Summoner Master Forum
November 26, 2024, 03:40:42 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 57 การสัพยุทธ ณ ป้อมมาซาดา @@  (Read 9465 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: August 02, 2007, 09:09:59 PM »

Chapter 57 การสัพยุทธ ณ ป้อมมาซาดา

                          ที่บนยอดผานั้น  กองทัพชาวป่าต่างหยุดยืนมองด้วยความตื่นเต้นกับภาพเบื้องล่าง   ไม่มีใครคาดฝันเลยว่าเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียจะมีฝีมือเก่งกาจถึงเพียงนี้   แสงสีขาวแห่งดาบเวทย์พุ่งออกมาเป็นสายอย่างต่อเนื่องพร้อม ๆ กับทหารซาโลมที่หงายล้มลงเป็นแถบ ๆ เพียงไม่นานสนามรบที่แออัดไปด้วยทหารซาโลมตลอดสามวันก็เปิดโล่งกินเนื้อที่ไปถึงครึ่งหนึ่งของระยะทางตลอดช่องเขา
                          บรรดาขุนพลชาวป่าต่างก็นิ่งเงียบมองดูภาพเบื้องล่างด้วยความตื่นเต้นและระทึกใจ   ดามิก้าถึงกับผิวปากเสียงเบาหวิวแสดงความทึ่งในฝีมือของเจ้าหญิงแห่งสายลม
                          “ให้ตายเถอะ ข้าไม่คิดเลยว่านางจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ทำไมพวกฟีเลเซียถึงไม่ให้นางออกรบตั้งแต่แรกนะ?”
                          “ไม่หรอกดามิก้า   พลังเวทย์ระดับนี้ไม่ใช่จะใช้กันได้บ่อย ๆ   แล้วนี่ยิ่งเป็นการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเช่นนี้ นางคงต้องใช้พลังในตัวอย่างมากทีเดียว” คาร์น สมิงราชสีห์ตั้งข้อสังเกตเสียงขรึม
                          “นี่คงเป็นเพราะทัพใหญ่ของซาโลมมาถึงช่องเขานี้แล้วแน่ ๆ ทางฟีเลเซียถึงต้องรีบลดจำนวนศัตรูในช่องเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เซนทอร์ทราเฮิร์นตั้งข้อสังเกตบ้าง “ท่านเห็นว่าอย่างไร? ฮารีซัน”
                          ทุกคนต่างหันมามองเมื่อฮารีซันนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร  จึงได้เห็นว่าฮารีซันกำลังจ้องมองเหตุการณ์เบื้องล่างอย่างจริงจังชนิดไม่กระพริบตาเลยทีเดียว   ทราเฮิร์นกระแอมยิ้มขำพลางตบไหล่ชายหนุ่มเบา ๆ
                          “ตาท่านไม่กระพริบเลยนะ”
                          “ห๊ะ! ท่านว่าอะไรนะ?” ฮารีซันสะดุ้งเล็กน้อยหันมาถามด้วยความตกใจทำให้ทุกคนอดยิ้มขำออกมาไม่ได้แม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้
                          “ท่านมองนางไม่วางตาเลยเชียวแหละ” ดามิก้าเอ่ยขึ้นพลางทำสายตาเจ้าเล่ห์
                          “ไม่ใช่เช่นนั้นสักหน่อย” ฮารีซันรีบปฏิเสธ   ทว่าใบหน้าก็เลิ่กลั่กอย่างมีพิรุธจนคาร์นคำรามเสียงต่ำก่อนจะกรอกตาขึ้นอย่างไม่คิดจะเชื่อเลยสักนิด
                          “ถ้าเช่นนั้นท่านคิดอะไรอยู่เล่า?  ถึงได้เงียบจนผิดสังเกต” ดามิก้าอดโพล่งถามขึ้นด้วยความอยากรู้ตามนิสัยของตนไม่ได้
                          “ข้าเพียงคิดว่า นอกจากนางจะสวยสง่าและสูงศักดิ์แล้ว   นางยังมีฝีมือที่เก่งกาจเหลือเกิน”   ฮารีซันตอบออกไป   แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความน่ารัก ร่าเริงสดใส ที่จะหาใครมาเทียบเทียมเจ้าหญิงไม่ได้   ทว่าคงจะไม่เหมาะที่จะพูดในเวลาเช่นนี้และเจ้าหญิงเองก็คงไม่อยากจะให้ใครได้รู้จักตัวตนอีกด้านของเธอมากนัก   ฮารีซันจึงได้แต่เก็บเอาไว้ในใจอยู่เช่นเดิม
                          “ก๊าซซซซซซซซซซ!!”
                          ทันใดนั้นจู่ ๆ ก็มีเสียงร้องของมังกรดังสนั่นลั่นช่องเขาพร้อม ๆ กับเสียงโห่ร้องอย่างยินดีจากกองทัพซาโลมที่กำลังถอยร่น   ทันทีที่เสียงร้องของมังกรดังขึ้นกองทัพเพลิงก็ต่างกรูกันเข้ามาในช่องเขาอย่างไม่กลัวตาย   ฮารีซันหันไปตามเสียงนั้นแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

s

                          เสียงร้องของจ้าวมังกรซาลามันเดอล่าดังสนั่นจนเจ้าหญิงเรจิน่าต้องทรงหยุดมือเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ   เหนือขึ้นไปนั้นมังกรซาลามันเดอล่ายักษ์ในชุดเกราะเต็มยศโฉบผ่านเหนือพระองค์ไปก่อนจะบินรอบเหมือนหมายจะสำรวจบริเวณโดยรอบ   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงกระชับดาบในมือมั่น   ทันทีที่มองเห็นตัวผู้ขี่ก็ตวัดดาบใส่ทันที
                          “มิลลี่ยน สแลช”
                          ดาบเวทย์สีขาวเรืองนับล้านก็พุ่งทะยานขึ้นราวกับน้ำพุร้อนใต้พิภพที่แสนเชี่ยวกราด   มังกรแดงโผหลบฉากอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับเวลาที่มันปรากฏตัวมา   เจ้าหญิงเรจิน่าจึงทรงบิดข้อมือให้ดาบขนานกับพื้นดินแล้ววาดแขนออกเป็นกว้างก่อนจะตวัดดาบวาดเป็นรูปวงพระจันทร์ขนานไปกับพื้น   โดยแทบจะไม่ทันกระพริบตาพระองค์ก็เหวี่ยงปลายดาบขึ้นบนเหนือศีรษะพลางตวัดแขนอย่างรวดเร็วไขว้กันไปมาจนเกิดเป็นร่างแหดาบเวทย์ปูเป็นผืนทะยานขึ้นฟ้าในชั่วเสี้ยววินาที
                          “มิลเลี่ยน สแลช!! ”
                          ฉับพลันนั้นก็เกิดเสียงระเบิดด้วยคลื่นความถี่สูงดังสะท้อนไปทั่วช่องเขา   พร้อม ๆ กับที่บรรดาสัตว์สงครามกู่ร้องกันระงมด้วยความเจ็บปวดในช่องหูของพวกมัน   แม้แต่คาร์นยังอดคำรามเสียงต่ำรีบยกมือขึ้นปิดหูของตน
                          “ก๊าซซซซซ! ”
                          เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเจ้ามังกรยักษ์ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด   ทว่ามันก็ยังคงทรงตัวอยู่ในอากาศได้   แม้ว่าปลายปีกทั้งสองข้างจะมีช่องโหว่ทะลุ     ทั้งตามลำตัวก็มีบาดแผลและมีเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาอยู่บ้าง   ในขณะที่ตัวเจ้าหญิงเองก็ทรงเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบให้เห็น   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงตวัดดาบชี้ตรงไปยังผู้ที่อยู่บนมังกรแดงด้วยสายตาท้าทายและไม่กริ่งเกรง   ซึ่งผู้ที่อยู่บนมังกรซาลามันเดอล่ายักษ์ก็ดูจะชอบอกชอบใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว  เพราะนอกจากดวงตาที่หรี่แคบลงคล้ายกับกำลังยิ้มนั้น  เขายังรีบโฉบมังกรซาลามันเดอล่ายักษ์ลงมาอีกด้วย
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: August 02, 2007, 09:11:06 PM »

                           ขณะที่มังกรโฉบตัวอยู่เหนือพระองค์  นักรบวัยฉกรรจ์บนมังกรซาลามันเดอล่าก็กระโดดลงมาพร้อมกับควงกระบองพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ให้ทันตั้งตัว   ทว่าเจ้าหญิงเรจิน่าก็ทรงกระโดดหลบในฉับพลันทันที  พร้อมกับตวัดดาบเข้าใส่เต็มแรง   นักรบในชุดเกราะแดงใช้กระบองรับดาบก่อนจะตวัดไปอีกด้านหมายจะสะบัดดาบให้หลุดออกจากมือหญิงสาว   ทว่าเจ้าหญิงเรจิน่าก็ว่องไวพอที่จะพลิกองค์ตามแรงส่งดาบได้ทันโดยที่ดาบไม่หลุดจากมือ   ทันทีที่หยั่งเชิงกันแล้ว   ทั้งคู่จึงถอยออกมาคุมเชิงกันกลางสนามรบ   ท่ามกลางสายตานับล้านคู่   นักรบเพลิงยืดตัวขึ้นตรง  เผยร่างสูงใหญ่บึกบึนผิวเข้มจนออกสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยมัดกล้าม  บ่งบอกว่าชายผู้นี้คงรบทับจับศึกมาอย่างโชกโชนมาทั้งชีวิต   เมื่อยืนเทียบกับเจ้าหญิงเรจิน่าแล้ว   พระองค์แลดูรูปร่างเล็กและบอบบางไปในทันตา
                           “ข้าเจ้าหญิงเรจิน่าแห่งฟีเลเซีย” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยืดอกขึ้นด้วยท่วงท่าราวกับพญาหงส์   พร้อมประกาศพระนามด้วยความทระนงในเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งตน   มีเสียงเดาะลิ้นจากฝ่ายนักรบเพลิง  พร้อมใช้สายตาโลมเลียไปทั่วเรือนร่างและใบหน้างดงามหมดจดของหญิงสาว   จนร่างของหญิงสาวเริ่มสั่นเทิ่มด้วยความโกรธที่ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้สายตาแสดงกริยาหยาบคายใส่ 
                           “ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียจะเลอโฉมถึงเพียงนี้   ไม่เช่นนั้นข้าคงจะเป็นผู้นำทัพเองแต่แรก”
                           “ไร้มารยาท!” เจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียทรงเชิดหน้ามองอีกฝ่ายอย่างดูแคลนพลางตวัดดาบออกมาทางเบื้องหน้าของตน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจมาที่ปลายดาบของพระองค์แทน
                           “ทั้งโฉมงาม ทั้งมีฝีมือ เสียตรงคลั่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีมากไปหน่อย” ว่าพลางทำเสียงจิ๊กจั๊กในปากพร้อมกับส่ายหน้าน้อย ๆ “แต่ไม่เป็นไรเจ้าอายุยังน้อย ยังพอดัดได้”
                           “สามหาว! เจ้าคนเถื่อน  อย่ามาทำเป็นเสนอหน้าวิเคราะห์ผู้อื่นโดยไม่รู้จักมองตัวเองที่ไร้มารยาทขนาดแนะนำตัวเองยังไม่เป็น  แต่ก็คงจะจริงอย่างเจ้าว่า   อายุอย่างเจ้าคงจะดัดไม่ได้แล้วสินะ”
                           “ปากกล้าจริงนะแม่สาวน้อย เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าข้าคือใครทำไมต้องบอกให้มากพิธี”   
                           กษัตริย์เพลิงจ้องมองเจ้าหญิงผู้งามสง่าเบื้องหน้า ด้วยแววตากรุ่มกริ่ม 
                           “ข้าคือกษัตริย์ซาดินแห่งจักรวรรดิซาโลม   ผู้ที่จะมาพิชิตอาณาจักรฟีเลเซียนี้....” ตรัสพลางเหลือบมองกษัตริย์แห่งสายลมที่อยู่บนป้อมกำแพง    ก่อนจะเคลื่อนสายตาที่ฉายแววแฝงความนัยบางอย่างมาทางเจ้าหญิงผู้เลอโฉมตรงหน้า ทำเอาเจ้าหญิงหน้าแดงขึ้นด้วยความโกรธจัด
                           “…แต่ตอนนี้ ข้าอยากพิชิตเจ้าเป็นที่สุด”
                           “กษัตริย์ซาดิน!! ถ้าวันนี้ข้าทำให้เจ้าคุกเข่าขอโทษข้าไม่ได้  ข้าก็จะต้องเอาชีวิตเจ้าให้ได้  แดนซิ่ง ซอร์ด!!”
                           ทันใดนั้นดาบเวทย์สีขาวจำนวนนับพันนับหมื่นก็พุ่งเข้าใส่กษัตริย์ซาดินจากหลายทิศทางราวกับฝูงวิหคเริงระบำกษัตริย์ซาดินกระโดดขึ้นสูงหลบฝูงดาบเวทย์   ทว่าเพียงเจ้าหญิงเรจิน่าตวัดมือขึ้น  ฝูงดาบก็เปลี่ยนทิศหมุนคว้างตามกษัตริย์เพลิงขึ้นไปในทันที
                           กษัตริย์ซาดินรีบควงกระบองอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันตนเอง   แต่ทว่าดาบเวทย์มีมากมายจนไม่อาจสกัดกั้นได้ทั้งหมด  ทำให้มีดาบเวทย์บางส่วนเล็ดรอดจากการป้องกัน   พุ่งเข้าเชือดเฉือนเกราะโลหะของกษัตริย์ซาดินจนเกิดเป็นรอยบากขึ้นหลายรอย  ซึ่งบางรอยก็มีโลหิตไหลซึมผ่านออกมาด้วย   เมื่อกษัตริย์ซาดินกลับลงมาถึงพื้นก็ต้องเหลือบตาสำรวจความเสียหายของตน
                           “ทำได้ไม่เลวสาวน้อย” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงเข้มขึ้น “รวดเร็วฉับไวและรู้จักพลิกแพลง แต่เจ้าเล่นงานข้าทีเผลอ” กษัตริย์ซาดินตำหนิพร้อมตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีครั้งต่อไป   พร้อมกับทรงมองจับสังเกตการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังมากขึ้น
                           “ไม่ต้องพูดมาก   แดนซิ่ง ซอร์ด!” เจ้าหญิงเรจิน่าปลดปล่อยพลังเวทย์ใส่กษัตริย์เพลิงทันที   ดาบเวทย์นับพันก็พุ่งเข้าใส่เป้าหมายอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนฝูงดาวหางที่พุ่งผ่านฟ้าเป็นสาย เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นอย่างต่อเนื่องพร้อม ๆ กับเกิดแสงสว่างวาบจนไม่มีใครสามารถมองเห็นการสู้กันของทั้งสองไปชั่วขณะ
                           ทันทีที่แสงสว่างจางลงพร้อม ๆ กับความคาดหวังไปต่าง ๆ นานาของทั้งสองฝ่าย  แต่แล้วเสียงไชโยโห่ร้องของทหารซาโลมก็ดังสนั่นขึ้น  เมื่อเห็นว่ากษัตริย์ของพวกตนยังคงยืนหยัดอยู่ในท่าถือกระบองคู่กายป้องกัน   แม้จะมีความเสียหายของชุดเกราะและมีอาการบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น   แต่พระองค์ก็ยังคงดูทะมัดทะแมงและยังคงพร้อมจะสู้อยู่  เสียงหัวเราะในลำคอของกษัตริย์ซาดินยิ่งทำให้เหล่าทหารได้ใจโห่ร้องกันเสียงดังยิ่งขึ้น
                           “หัวเราะทำไม? เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาแล้ว   เพราะกษัตริย์เถื่อนผู้นี้ถูกโจมตีด้วยพลังดาบเวทย์ของพระองค์จัง ๆ ไปถึงสองครั้งแต่กลับยังยืนอยู่ได้   ซ้ำยังยังแทบไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็นเลยทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่เคยต้องใช้ท่าโจมตีนี้เกินสองครั้งในการต่อสู้มาก่อนเลย
                           “ข้าหัวเราะเพราะข้าเห็นจุดอ่อนของเพลงดาบของเจ้าแล้วนะสิ” กษัตริย์ซาดินหรี่ตาแคบคล้ายกำลังยิ้มอยู่ภายใต้หมวกเกราะ เป็นยิ้มที่เหี้ยมเกรียมและบ่งบอกถึงความสะใจของผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนั้น
                           “จุดอ่อนอะไรกัน?!” เจ้าหญิงตรัสเสียงดังด้วยความไม่เชื่อ
                           “ถ้าเช่นนั้นข้าจะแสดงให้ดู   แต่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำให้ใบหน้างาม ๆ กับรูปร่างสวย ๆ นั่นต้องเป็นแผลหรอกนะ” ตรัสจบกษัตริย์ซาดินก็พุ่งตัวเข้าหาเจ้าหญิงเรจิน่าทันที  เจ้าหญิงจึงตวัดดาบเวทย์ใส่อีกครั้ง  ทว่ากษัตริย์ซาดินกลับไม่ยอมหลบซ้ำยังพุ่งเข้าหาเร็วขึ้นอีกด้วย   ดาบเวทย์พุ่งเข้าเฉือนเกราะเหล็กและผิวเนื้อของกษัตริย์ซาดินไม่หยุด   แต่ก็ดูเหมือนพระองค์จะไม่สนใจความเจ็บปวดเลย  จนเมื่อจวนตัวแล้วเจ้าหญิงจึงรีบพุ่งตัวหลบจากกระบองที่กษัตริย์ซาดินเงื้อเข้าใส่   เสียงกระบองกระแทกพื้นดังสนั่นจนพื้นสะเทือน   ซากศพทหารกระจายแหวกขึ้นเป็นแนวทั้งสองข้าง  พื้นดินยุบตัวจนเกิดหลุมลึกเป็นทาง  เจ้าหญิงเรจิน่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ   หากพระองค์หลบไม่ทัน   ร่างของพระองค์คงจะแหลกเหลวด้วยการฟาดกระบองของกษัตริย์เถื่อนเพียงครั้งเดียว
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: August 02, 2007, 09:12:25 PM »

                          กษัตริย์ซาดินทรงเหลือบมองแขนซ้ายที่มีบาดแผลใหญ่ที่สุด  พลางหรี่ตาลงข้างหนึ่งคล้ายกับข่มความเจ็บไว้ก่อนจะหันไปมองเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย   จึงเห็นว่านางก็กำลังสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปะทะเมื่อสักครู่เช่นกัน   พระองค์จึงตั้งท่าเตรียมบุกอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่ปรากฏให้เห็นอย่างแจ่มชัดอีกครั้งจากแววตา
                          “เจ้าต้องเสียสติแน่ ๆ “ เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสขึ้นอย่างเหลือเชื่อในความบ้าบิ่นของกษัตริย์เถื่อน 
                          “หึ! หึ! จุดอ่อนของเจ้าคือเจ้ารับมือคู่ต่อสู้แบบประชิดตัวไม่ได้เมื่อเจ้าใช้เพลงดาบเวทย์น่ะสิ   และดูท่ามันจะอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ   ซึ่งก็หมายความว่า...พลังเวทย์ของเจ้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว” ตรัสจบกษัตริย์ซาดินก็พุ่งตัวเข้าใส่อีกครั้ง   เจ้าหญิงเรจิน่ารีบตวัดดาบเวทย์ใส่ทันทีเช่นกันก่อนจะรีบพุ่งตัวหลบการโจมตีของอีกฝ่าย   โดยไม่ทันรู้เลยว่า กษัตริย์ซาดินทรงหลอกให้พระองค์หลบการโจมตีไปจนถึงบริเวณที่มีซากทหารนอนตายเกลื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก   ทันใดนั้นพระองค์ก็สะดุดเข้ากับซากทหารจนเสียหลักล้มลง   ดาบคู่กายกระเด็นหลุดจากมือจนเกินกว่าจะเอื้อมถึง   เสียงหัวเราะอย่างมีชัยของกษัตริย์ซาดินดังก้องขึ้นทันที
                          “เสด็จพี่! ” กษัตริย์ซิกมันด์ที่ทรงอยู่บนป้อมกำแพงตะโกนสุดเสียง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก   เมื่อเห็นพี่สาวของตนล้มลง
                          ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเจ้าหญิงเรจิน่าทรงหันไปมองดาบคู่กาย  ก่อนจะหันกลับมามองศัตรู   กษัตริย์ซาดินกระโดดขึ้นกลางอากาศพร้อมกับง้างมือขึ้นจนสุดแขน  ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะมืดไปในทันที
                          “ตูม! ”   เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาทจนสะเทือนไปทั้งช่องเขา
                          ทั่วทั้งสนามรบตกอยู่ในความเงียบสงัดเพราะต่างก็ตกตะลึงกับภาพที่อยู่เบื้องหน้า   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงค่อย ๆ ปรี่ดวงตาขึ้น   เมื่อทรงรู้สึกว่าเสียงกระแทกเกิดขึ้นแล้วแต่พระองค์ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดเสียที   มีเพียงความรู้สึกเหมือนพื้นดินสะเทือนอย่างแรงที่บริเวณโดยรอบพระองค์เท่านั้น   พระองค์ไม่เคยรู้เลยว่าความตายจะให้ความรู้สึกที่แสนจะธรรมดาเช่นนี้   เมื่อทรงลืมตาขึ้นโดยหวังจะได้เห็นภาพสรวงสวรรค์เหมือนที่เคยเห็นตามฝาผนังโบสถ์   พระองค์กลับเห็นแผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนตระหง่านขวางระหว่างพระองค์กับกษัตริย์ซาดินไว้   เจ้าหญิงทรงกระพริบตาปริบ ๆ พยายามทำความเข้าใจกับภาพเบื้องหน้า   แต่เมื่อทรงมองเห็นโล่แขนดูคุ้นตาที่รับกระบองของกษัตริย์เพลิงก็ทำให้เจ้าหญิงเรจิน่าค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา
                          “ฮารีซัน” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงยินดีโดยแท้จริง   ฮารีซันมาช่วยพระองค์ทันเวลาพอดี
                          “เจ้าหญิงเป็นอะไรรึเปล่า?” ฮารีซันถามด้วยความเป็นห่วง   แม้เสียงที่ออกมาจะฟังดูแปลกไปจากเดิม   ซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่าเขาคงรับแรงกระแทกอย่างรุนแรงมากทีเดียว
                          “ข้าไม่เป็นไร” เจ้าหญิงทรงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อให้เห็นว่าพระองค์ทรงปลอดภัยจริง ๆ และแทบจะทันที   เสียงโห่ร้องอย่างยินดีจากทหารฟีเลเซียและฟูดินันก็ดังขึ้นจนกลบเสียงของฝ่ายซาโลมบ้าง   โดยมีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของกษัตริย์ซิกมันด์และบรรดาแม่ทัพทั้งหลายร่วมอยู่ในนั้นด้วย
                          กษัตริย์ซาดินทรงตวัดกระบองกลับพลางมองสำรวจเพื่อประเมินผู้มาใหม่ที่เข้ามาแทรกในการต่อสู้ของตน   ก่อนจะทรงเหลือบตามองเสียงโห่ร้องที่ดังไม่หยุดจากบนขอบช่องเขาทั้งสองด้าน
                          “เจ้าสินะ  ผู้นำทัพของฟูดินัน” กษัตริย์ซาดินตรัสประเมินด้วยวาจาไม่ใคร่พอใจเท่าใดนัก   ด้วยเพราะถูกขัดการต่อสู้ที่น่าอภิรมย์กลางคัน
                          “ถูกแล้ว   ข้าฮารีซัน บันดารา หัวหน้ากองทัพฟูดินัน   วันนี้ข้าจะขอแก้แค้นแทนพี่น้องชาวป่าเผ่าต่าง ๆ ที่ต้องตายด้วยน้ำมือของเจ้า” ฮารีซันกล่าวพลางชูกำปั้นขึ้น
                          “หึ! อะไรกันนี่?  ข้ากำลังสนุกกับการต่อสู้กับสาวงามอยู่ดี ๆ   ต้องเปลี่ยนมาสู้กับชาวป่าอย่างเจ้าเหรอ?  เอาเถอะถ้าคิดว่าทำได้ก็เข้ามาเลย” กษัตริย์ซาดินทรงตรัสเสียงกร้าวพร้อมยกกระบองขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการจู่โจม
โดยไม่ต้องรอให้เชิญเป็นครั้งที่สอง  ฮารีซันก็ควงหมัดเข้าใส่ทันที   แม้ฮารีซันจะเสียเปรียบที่ต้องใช้หมัดสู้กับกระบองที่มีช่วงการโจมตีที่ยาวกว่า   แต่หากเขาสามารถเข้าประชิดวงในได้ก็จะสามารถกลบข้อเสียเปรียบนั้นไปได้   เสียงอาวุธและโล่กระทบกันจนดังสนั่นต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างดุเดือด   เสียงร้องตะโกนของแต่ละฝ่ายเวลาออกอาวุธทำให้รู้ว่าทั้งสองต่างฟาดฟันเข้าใส่กันอย่างสุดกำลัง   เมื่อกษัตริย์ซาดินฟาดกระบองพลาดไปถูกผนังหินคราใด   บรรดากองทัพชาวป่าก็แทบจะหยุดหายใจเพราะราวกับเชิงผาสะเทือนไปทั้งแถบ   หินน้อยใหญ่ตามเชิงผาต่างก็ร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างไม่ต่างจากกองหินถล่ม   ไม่ต่างจากฝ่ายกองทัพซาโลมที่ต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากทุกครั้งที่ฮารีซันจู่โจมพลาดจนหมัดกระแทกพื้น   แรงสั่นสะเทือนก็ทำให้บรรดาก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อยเต้นเร่าราวกับมีชีวิต   แม้จะอยู่ห่างจากต่อสู้ของทั้งคู่มาก   แต่ทุกคนก็ยังสัมผัสได้ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากแต่ละฝ่าย
                          ทันทีที่กษัตริย์ซาดินฟาดกระบองเข้าใส่ช่วงลำตัวของฮารีซัน   ฮารีซันก็รีบบิดข้อศอกหมุนโล่มากันทันที   ก่อนจะใช้มืออีกครั้งกระแทกหมัดใส่ด้ามกระบองอย่างแรงหมายจะให้กระบองหลุดจากมือของกษัตริย์เพลิง   ทว่ากษัตริย์ซาดินรู้แกวจึงหมุนตัวตามแรงเหวี่ยงพลางง้างมือเสริมแรงก่อนจะฟาดกระบองเข้าใส่ลำตัวอีกข้างของฮารีซันสุดกำลัง   ฮารีซันเห็นดังนั้นจึงรีบยกโล่ขึ้นป้องกันทันที    กระบองฟาดใส่โล่อย่างแรงส่งร่างของผู้นำชาวป่าลอยละลิ่วไปกระแทกผนังผาด้านหนึ่งจนผนังผาเว้าลึกเป็นแอ่งโค้งก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง   เชิงผาด้านนั้นยุบตัวลงบางส่วนจนทำให้เศษดินเศษหินจำนวนมากร่วงกราวจนเกิดเป็นฝุ่นตลบบดบังร่างของผู้นำชาวป่าจนมองไม่เห็น   เสียงโหวกเหวกของบรรดากองทัพชาวป่าด้านบนที่เกือบร่วงหล่นไปตามเชิงผาที่ทลายตัวลงมาดังก้องไปทั่ว
                          “ฮารีซัน!” เจ้าหญิงทรงตกใจอุทานขึ้นเสียงดังด้วยความเป็นห่วง   รู้สึกเย็นสันหลังวาบ   ชั่วขณะนั้นพระองค์คิดอะไรไม่ออกนอกจากจะหาทางช่วยฮารีซันไม่ให้กษัตริย์ซาดินฉวยโอกาสโจมตีซ้ำได้   คิดได้ดังนั้นก็ทรงตวัดดาบใส่กษัตริย์เพลิงทันที
                          “แดนซิ่ง ซอร์ด!”
                          กษัตริย์ซาดินที่ทรงหันหลังอยู่ไม่ทันระวังตัวเพราะมัวแต่สนใจผู้นำทัพชาวป่า   กว่าจะไหวตัวทันก็จวนตัวเสียแล้ว  แม้พระองค์จะรีบตวัดกระบองหมายจะตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่าย  แต่ดาบเวทย์ก็พุ่งเข้ามาใกล้จนพุ่งเข้าเฉือนตัดชุดเกราะของกษัตริย์เพลิงอย่างนับไม่ถ้วนแรงปะทะส่งให้พระองค์ถลาไปไกลก่อนจะทรุดเข่าลงข้างหนึ่งเพราะดาบเวทย์เฉือนใกล้ข้อพับของพระองค์  ทว่าเข่ายังไม่ทันแตะถึงพื้นพระองค์ก็รีบหยัดตัวลุกขึ้นทันที   โลหิตเริ่มไหลซึมออกจากตามบาดแผลมากขึ้น
                          ทันใดนั้นดวงตากรุ่มกริ่มและการแสดงท่าทางยียวนของกษัตริย์ซาดินก็หายไป เหลือแต่ความดุดันและเหี้ยมเกรียมที่ค่อย ๆ  เพิ่มทวีมากขึ้น   แววตาคมกล้าแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
                          “พลังเวทย์ของเจ้าจวนจะหมดแล้วสินะ” กษัตริย์ซาดินยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมพลางง้างกระบองขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่ทันที
                          ข้างฝ่ายเจ้าหญิงเองก็ทรงตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน  ทว่าไม่มีวิธีไหนที่จะใช้ต่อสู้กับกษัตริย์ผู้บ้าบิ่นและชำนาญศึกได้ดีไปกว่านี้   เจ้าหญิงเรจิน่ากระชับดาบในมือมั่น   พลางรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีเตรียมปล่อยดาบเวทย์ครั้งสุดท้าย  และจะทรงเสี่ยงรอจนกษัตริย์ซาดินเข้ามาใกล้มากพอที่จะถูกอานุภาพของดาบเวทย์อย่างเต็มที่
                          “ย๊ากกกกกกกกกกกก!”
                           ตูม!
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: August 02, 2007, 09:13:31 PM »

                         จู่ ๆ ฮารีซันก็พุ่งร่างเข้ามาพร้อมควงหมัดเข้าใส่กษัตริย์ซาดินเต็มแรง   กษัตริย์ซาดินที่ไม่ทันตั้งตัวถูกต่อยเข้าที่สีข้างร่างลอยละลิ่วไปกระแทกผนังผาอีกฝั่งจนกลายเป็นแอ่งเว้าลึกเข้าไปในผนังหิน   เชิงผาด้านบนบางส่วนทลายตัวลงมาอย่างเร็วทำให้บรรดากองทัพชาวป่าที่อยู่ด้านบนจากตะเกียดตะกายหนีกันอลหม่าน   ฝุ่นหินทรายร่วงกราวบังร่างของกษัตริย์ซาดินที่จมลึกเข้าไปในผนังหินทันที
                         “ฮารีซัน”
                         เจ้าหญิงตรัสเรียกด้วยความตกใจ   ร่างของฮารีซันมีแต่ฝุ่นดิน   ปากแตกจนมีเลือดไหลเป็นทาง   โล่เกราะมีรอยเว้าเป็นแนวตามรอยกระบอง   ตามตัวมีรอยขีดข่วนที่ผิวเนื้อขรูดกับหินจนมีเลือดไหลซิบ ๆ ออกจากปากแผล   แขนข้างซ้ายห้อยตกอยู่ข้างตัว  บนโล่ห์ข้างซ้ายนั้นเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ 
                         “เจ้าหญิงเป็นอะไรรึเปล่า?” ฮารีซันหอบหายใจแรงพลางมองสำรวจอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าหญิงอย่างร้อนรน   ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของทหารฟีเลเซียและฟูดินัน
                         “ท่านดูบาดเจ็บยิ่งกว่าข้าเสียอีก” เจ้าหญิงทรงส่ายหน้าช้า ๆ ตรัสตอบด้วยเสียงเบาและสั่นเครือเล็กน้อยพลางมองสำรวจบาดแผลต่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง   ดวงตาของพระองค์สลดลงและเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด   ซึ่งก็มีเพียงฮารีซันเท่านั้นที่อยู่ใกล้พอที่จะได้เห็นสายตาแห่งความอาทรนี้
                         ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นทำให้ทั้งคู่ต้องรีบหันกลับไปมองในทันที   เศษหินที่แตกกระจายพุ่งกระเด็นออกมาจากช่องผนัง   ฮารีซันรีบขยับใช้ร่างที่กำยำของตนกำบังเศษหินจำนวนมากมายที่พุ่งมาทางพวกตนให้แก่เจ้าหญิงเรจิน่า   เศษหินแหลมคมบาดร่างกายของฮารีซันจนเกิดแผลกรีดเป็นทางยาวหลายที่   รวมถึงที่แก้มขวาก็มีรอยบาดเป็นทางยาวแม้จะไม่ลึกแต่ก็มีเลือดไหลซึมออกมา   ฮารีซันเหลือบไปมองสำรวจเจ้าหญิงเรจิน่าเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่าเจ้าหญิงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ก่อนจะเตรียมตัวรับมือกับการจู่โจมของกษัตริย์เถื่อน   
                         กษัตริย์ซาดินทรงดันตัวเองออกจากผนังผาพร้อม ๆ กับไอเอาเลือดในช่องปากออกมา   ชุดเกราะบุ๋มลึกและมีรอยปริที่ขอบเกราะหลายที่   มือของพระองค์จับที่สีข้างพลางหรี่ตาแคบมองดูความเสียหายที่เกิดขึ้น   การถูกโจมตีเข้าที่สีข้างอย่างแรงคงสร้างความบาดเจ็บภายในแก่กษัตริย์ซาดินอยู่ไม่น้อย   ทั้งบาดแผลจากการโจมตีของเจ้าหญิงด้วยดาบเวทย์อันคมกริบก็ยังมีโลหิตไหลรินออกมาอยู่ตลอด   แต่ทว่ากษัตริย์ซาดินก็ยังฝืนยืนตรงอยู่ได้   จนดูเหมือนว่าพระองค์ทรงบาดเจ็บน้อยกว่าที่ควรจะเป็น   เสียงโห่ร้องกระทืบเท้าอย่างยินดีจากทหารซาโลมดังขึ้นจนแผ่นเดินสะเทือน   ความที่พระองค์ต้องมีชีวิตอย่างแร้นแค้นในดินแดนทะเลทรายที่แสนหฤโหดอย่างซาโลม   ทำให้พระองค์มีแรงฮึดและความทรหดอดทนต่อความเจ็บปวดมากกว่าบรรดาชาวป่าอย่างฟูดินันและเหล่าทหารแห่งฟีเลเซีย   
                         กษัตริย์ซาดินทรงกระชับกระบองในมือมั่น   พระองค์ทรงรู้ตัวเองดีว่า   เวลานี้ซี่โครงของพระองค์คงจะหักอยู่ภายในหลายซี่   หากพระองค์ยังคงยืดเยื้อการต่อสู้นี้ต่อไปโลหิตอาจจะไหลคั่งอยู่ภายในหรือไหลออกจากบาดแผลภายนอกจนหมดตัวก่อนจะยึดป้อมได้   คงจะไม่เป็นการดีแน่   ที่นี่มียอดฝีมือรวมกันอยู่มากเกินไป   คิดได้ดังนั้นก็ทรงตวัดกระบองชี้ไปทางกำแพงป้อมพลางตะโกนท้าทาย
                         “กษัตริย์แห่งฟีเลเซียมั่วไปมุดหัวอยู่ที่ไหน?   ถึงให้ผู้นำชาวป่ากับอิสตรีมาสู้กับข้า   หรือมัวแต่กลัวจนหัวหด   อย่ามั่วแต่หลบอยู่หลังกระโปรงอิสตรีอยู่เลย   จงออกมาสู้กับข้าอย่างชายชาติทหารเขาทำกัน” กษัตริย์ซาดินทรงรู้นิสัยของกษัตริย์แห่งฟีเลเซียดีว่าหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมากเพียงใดจึงกล่าวท้าทายหยามเกียรติของพระองค์
                         ข้างฝ่ายกษัตริย์ซิกมันด์ เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำดูหมิ่นนั้นก็ทรงกริ้วโกรธเป็นกำลัง   รีบเหวี่ยงตัวขึ้นหลังเปรูนเปกาซัส (Perun Pegasus) ทันทีโดยไม่ต้องรอให้กษัตริย์เถื่อนท้าทายอีกเป็นครั้งที่สอง
                         “ฝ่าบาท!” แม่ทัพชาร์ลร้องเรียกก่อนที่พระองค์จะโจนทะยานขึ้นฟ้า   โดยมีบรรดาแม่ทัพนายกองที่ย่อเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อร่วมทัดทานพร้อมกับจอมทัพชาร์ล
                         กษัตริย์ซิกมันด์ทรงรั้งบังเหียนไว้ด้วยความขุ่นเคืองแต่ก็ทรงนิ่งเงียบแม้ใบหน้าของพระองค์จะเริ่มดุดันขึ้นเรื่อย ๆ
                         “ทรงระมัดระวังพระองค์ด้วย   กษัตริย์เถื่อนนั่นรู้จุดอ่อนของพระองค์จึงได้พูดจาเย้ยหยันดูหมิ่นพระเกียรติของพระองค์หมายจะยั่วให้พระองค์โกรธจนขาดความระมัดระวัง...”
                         แม่ทัพชาร์ล กล่าวเตือนสติ   แต่ก็ไม่ได้ทูลใด ๆ ต่อเมื่อเห็นว่าใบหน้าของกษัตริย์ซิกมันด์เริ่มมีแววมุ่งมั่นและทรนงเข้ามาแทนที่   นั่นเพราะพระองค์ได้แปรเปลี่ยนความกริ้วโกรธมาเป็นพลัง   แม่ทัพชาร์ลเห็นดังนั้นคำนับส่งพร้อม ๆ กับเสียงกล่าวถวายพรจากบรรดาแม่ทัพนายกอง   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงรั้งบังเหียนขึ้นก่อนจะพุ่งทะยานออกไปทันที   ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของบรรดาอัศวินแห่งฟีเลเซีย   กษัตริย์ซาดินเมื่อทรงเห็นดังนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพอใจ   ฝืนข่มความเจ็บปวดควงกระบองเตรียมรับมือ   ในขณะที่เจ้าหญิงเรจิน่าก็รีบประคองฮารีซันกลับเข้าประตูป้อม
ฝ่ายกษัตริย์ซิกมันด์ก็พุ่งเข้าหากษัตริย์เถื่อนด้วยความเร็วสุดกำลัง   ทรงกระชับดาบประจำพระองค์เตรียมห่ำหั่นศัตรูอย่างไม่กลัวเกรง   ทว่าสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ ๆ กษัตริย์ซาดินก็ใช้กระบองฟาดพื้นสุดแรงเกิด   พื้นทั่วบริเวณนั้นสั่นสะเทือนอย่างแรงจนพื้นดินแตกกระจายพุ่งขึ้นมาเกิดเป็นแรงส่งมหาศาลให้กษัตริย์เถื่อนดีดตัวพุ่งตรงไปหากษัตริย์ซิกมันด์ด้วยความเร็วสูงไม่แพ้กัน   กษัตริย์ซิกมันด์เมื่อเห็นดังนั้นก็ทรงตะลึงงันให้ความบ้าดีเดือดของอีกฝ่ายจนเกือบเสียจังหวะไป
                         ทันใดนั้นเสียงแผดร้องของจ้าวมังกรซาลามันเดอร่าก็ดังขึ้นจากฝั่งกองทัพซาโลมพร้อม ๆ กับร่างอันใหญ่ของมันที่พุ่งมาหาผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว   ฝุ่นทรายจากความเร็วและแรงกระพือของปีกมังกรยักษ์พุ่งตลบตามหลังเป็นทางยาวพร้อม ๆ กับเสียงโห่ร้องเอาใจช่วยกษัตริย์ของตนจากทหารทั้งสองฝ่าย   ในจังหวะที่จ้าวมังกรโฉบเข้ามาใกล้   กษัตริย์ซาดินก็ทรงตีลังกากลางอากาศก่อนจะวางเท้าลงบนหลังของมังกรพาหนะได้อย่างพอเหมาะพอเจาะแม้จะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้อยู่ก่อนแล้ว   นั่นยิ่งทำให้พระองค์ดูน่าเกรงขามและดุดันยิ่งขึ้นเมื่อทรงประทับบนหลังจ้าวมังกรแดงด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียมและเตรียมพร้อมที่พร้อมจะห้ำหันศัตรูเช่นนี้
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: August 02, 2007, 09:14:36 PM »

                          ทว่าทันทีที่พระองค์ อยู่บนหลังซาลามันเดอร่าแล้วกลับกลายเป็นว่ากษัตริย์แห่งสายลมได้หายไปจากสายตาเสียแล้ว   บนท้องฟ้านั้นว่างเปล่า   มีเพียงพระองค์บนหลังมังกรพียงลำพังเท่านั้น   กษัตริย์ซาดินทรงกระชับกระบองในมือมั่น   สายตาเหลือบไปทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง อย่างระแวดระวัง   แม้แต่เสียงเชียร์จากบรรดาทหารทั้งสองฝ่ายก็ยังเงียบลงด้วย   เพราะต่างก็พยายามมองหากษัตริย์แห่งฟีเลเซีย   ผู้ซึ่งจู่ ๆ ก็เหมือนจะหายลับไปจากสายตาเพียงชั่วเสี้ยววินาที
แต่แล้วในชั่วพริบตาเดียว   จู่ ๆ เสียงร้องแหลมของม้าก็ดังขึ้นก่อนจะมีแสงสีขาวขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากด้านล่างผ่านหน้ากษัตริย์ซาดินไปอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งหายลับขึ้นไปบนท้องฟ้า   พร้อม ๆ กับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของมังกรซาลามันเดอร่า   จ้าวมังกรเสียหลักบินเอียงถลาไปทางซ้ายจนกษัตริย์ซาดินเกือบพลัดตกจากหลังของมัน   กษัตริย์เพลิงรีบคว้าสายบังเหียนเพื่อบังคับซาลามันเดอร่าให้อยู่นิ่ง ๆ    จึงทรงได้เห็นว่าชุดเกราะของจ้าวมังกรมีรอยกรีดลึกเป็นทางยาวตั้งแต่ช่วงโคนปีกจนถึงกลางลำคอจนถึงผิวหนังของมันและเริ่มมีเลือดซึมไหลออกมา 
                          กษัตริย์ซาดินทรงขบกรามแน่นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยมีเสียงไชโยโห่ร้องของบรรดาทหารแห่งฟีเลเซียและฟูดินันดังขึ้นด้วยความดีใจจนก้องสนามรบ   ทว่ากษัตริย์แห่งสายลมก็หายลับไปจากสายตาอีกครั้ง   บนท้องฟ้าไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากกษัตริย์ซาดินและมังกรคู่ใจเท่านั้น   พระองค์เหลียวมองรอบกายอย่างรวดเร็วและระแวดระวังมากยิ่งขึ้น   เพียงอึดใจจู่ ๆ พระองค์ก็ทรงถูกกระแทกจากด้านหลังอย่างแรงจนเกือบพลัดตกจากหลังมังกรยักษ์   จ้าวมังกรร้องลั่นบินถลาเอียงปีกไปทางขวา   ปีกของมันรีบกระพือเพื่อรักษาสมดุล   หางอันใหญ่โตส่ายไปมาเพื่อช่วยทรงตัว   พระองค์มองหากษัตริย์แห่งสายลมอีกครั้ง   และก็เช่นเคยที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนพระองค์ก็พบแต่ความว่างเปล่า   กษัตริย์ซาดินทรงหมุนข้อมือพันสายบังเหียนรอบฝ่ามือจนสายบังเหียนตึง   แม้จะเป็นการต่อสู้กับนักรบเปกาซัสเหมือนกัน   แต่การต่อสู้เมื่อครั้งปะทะกับแม่ทัพหญิงโรน่า แม่ทัพของกองทัพเปกาซัส นั้นช่างเทียบกันไม่ได้เลยกับการต่อสู้กับกษัตริย์แห่งสายลมในครั้งนี้   กษัตริย์เพลิงกำกระบองคู่กายแน่น   สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดและทวีความดุดันมากยิ่งขึ้น
                          ทันใดนั้นแสงสีขาวก็พุ่งลงมาจากฟ้าราวกับดาวตกขนาดใหญ่พุ่งตรงมาหาพระองค์   
                          “ด้วย เกียรติแห่ง ฟีเลเซีย(Glory of Felesia)”
                          กษัตริย์ซาดินทรงเงยหน้าพลางรีบตวัดกระบองฟาดสวนขึ้นไปทันทีเช่นกัน
                          “แมกมาต้า สแมส์ช (Magmata Smash)”
                          เปรี้ยง !
                          เสียงอาวุธกระแทกกันดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด   เกิดแสงสว่างวาบจนบนท้องฟ้าบริเวณนั้นสว่างไสวคล้ายดวงอาทิตย์ขนาดย่อม ๆ  แรงปะทะทำให้เกิดกระแสลมพัดวูบกระจายเป็นวงกว้างจนธงรบของกองทัพทั้งสองฝ่ายโบกสะบัดอย่างแรงก่อนจะลู่ลงในทันที
                          เมื่อแสงจ้าค่อย ๆ จางลงก็ปรากฏร่างกษัตริย์ซิกมันด์ที่ส่องบนหลังเปกาซัส   กำลังใช้สองมือกำดาบ(หลวง)แห่งฟีเลเซีย (Felesia Royal Sword) ยันอยู่กับ กระบองเมอร์แดด (Mehrdad, the Club of Zadin) ของกษัตริย์ซาดิน   ไม่น่าแปลกใจเลยที่การปะทะกันของศาสตราวุธทั้งสองจะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้เพราะต่างก็เป็นสุดยอดศาสตราวุธของกษัตริย์จากทั้งสองอาณาจักร
                          กษัตริย์ซาดินนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่านอกจากจะชอบสงครามและเชี่ยวชาญการรบแล้วด้านพละกำลังและความทรหดนั้นก็เรียกว่ามหาศาล   ในขณะที่กษัตริย์ซิกมันด์นั้นก็เป็นเลิศด้านเชิงยุทธ์   แม้พละกำลังอาจเป็นรองกษัตริย์เพลิง   ทว่าความรวดเร็วในการออกอาวุธนั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่ากษัตริย์ซาดินมาก   ยิ่งอยู่บนหลังเปกาซัสด้วยแล้ว   พระองค์ก็กลายเป็นจ้าวเวหาที่ไม่มีผู้ใดอาจต่อกรด้วย
                          กษัตริย์เถื่อนนั้นหากไม่บาดเจ็บมากมายอยู่ก่อนแล้ว  ลำพังแค่การยันอาวุธกับกษัตริย์แห่งสายลมด้วยแขนเพียงข้างเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากเลย   ทว่าแรงกระแทกเมื่อสักครู่ทำให้โลหิตจากบาดแผลตามร่างกายเริ่มไหลออกมามากขึ้น   ซ้ำชายโครงที่หักอยู่ก่อนหน้านี้ก็ยิ่งสร้างความเจ็บแปลบและขยายความเสียหายภายในเพิ่มมากขึ้น
                          กษัตริย์ซิกมันด์เห็นดังนั้นก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดาบโดยใช้แรงเปกาซัสช่วยเสริมแรงกดให้มากขึ้น   เสียงคำรามเพราะการใช้พลังจนสุดแรงจากลำคอของกษัตริย์ทั้งสองดังราวกับเสียงพญามังกรคำราม
                          “ย๊า ~~~~~~~~~! “
                          กษัตริย์ซาดินร้องสุดเสียงก่อนจะทรงใช้มืออีกข้างกระชากบังเหียนขึ้น  มังกรซาลามันเดอล่าสะบัดหัวกลับมาและพ่นเปลวไฟร้อนจัดใส่กษัตริย์ซิกมันด์ทันทีเปลวไฟสีแดงฉานพุ่งเป็นลำไปไกลหลายเมตร   ท่ามกลางความหวั่นวิตกและตกใจจากฝั่งฟีเลเซีย  ในขณะที่เสียงเชียร์ด้วยความสะใจก็ดังกระหึ่มมาจากกองทัพซาโลม
                          เมื่อเปลวไฟดับลงก็ปรากฏร่างของกษัตริย์แห่งสายลมได้อันตรธานหายไปอีกครั้ง   กษัตริย์ซาดินทรงหอบหายใจเข้าแรง ๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดพลางกวาดสายตามองหากษัตริย์แห่งฟีเลเซีย   พลางค่อย ๆ สูดลมหายใจให้ช้าลงเหมือนจะพยายามรวบรวมสมาธิ   ทุกส่วนของร่างกายดูเหมือนจะหยุดนิ่งเพื่อรอคอยสัญญาณบางสิ่งบางอย่างด้วยความอดทน   แต่แล้วเพียงพริบตาเดียวกษัตริย์ซาดินก็ทำในสิ่งที่เหมือนคนบ้าคลั่งและระห่ำอย่างสุดขั้วจนบรรดาเหล่าแม่ทัพ ไม่เว้นแม้แต่จอมทัพชาร์ลและบรรดาขุนพลชาวป่าต้องตกตะลึงจนตาค้าง   เมื่อจู่ ๆ กษัตริย์เพลิงก็โยนบังเหี้ยนบังคับมังกรทิ้ง    ก่อนจะกลับหลังหันแล้วออกวิ่งอย่างรวดเร็วไปตามแผ่นหลังของจ้าวมังกรซาลามันเดอล่าโดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากพลัดตกจากแผ่นหลังที่ขรุขระและเต็มไปด้วยเกล็ดหนามแหลมคม   จนเมื่อแม้จะวิ่งเข้าใกล้ส่วนหางของจ้าวมังกรเข้าไปทุกทีแล้วแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าพระองค์จะชลอฝีเท้าลง   ตรงกันข้ามพระองค์กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและเร็วยิ่งขึ้นไปอีก   
                          “นั่นเขาคิดจะทำบ้าอะไรน่ะ?!”
                          “นั่นมันฆ่าตัวตายชัด ๆ “
                          “เขาเสียสติไปแล้วรึ?”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: August 02, 2007, 09:15:32 PM »

                       เสียงคำถามมากมายหลุดจากปากของบรรดาแม่ทัพของทั้งฟีเลเซียและฟูดินันที่ยืนตะลึงจนตาค้างมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหนือสนามรบ   กษัตริย์เพลิงยังคงวิ่งต่อไปจนจวนจะสุดปลายหางของจ้าวมังกร   และทันใดนั้นเองจ้าวมังกรก็แผดเสียงร้องดังสนั่นก่อนจะตวัดหางขึ้นสุดแรง   พร้อม ๆ กับที่กษัตริย์ซาดินที่ดีดตัวพุ่งขึ้นเร็วปานลาวาเดือดที่ปะทุออกจากปล่องมหาภูเขาไฟตรงเข้าหาดาวหางสีขาวที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาทางตนด้วยความเร็วปานกัน
                       “ย้า.........! ”
                       ตูม!!
                       แรงปะทะทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวพร้อม ๆ กับแสงจ้าที่ทำให้ตาแทบพร่า   ก่อนจะเกิดเสียงฟาดฟันใส่กันอย่างดุเดือดของสุดยอดฝีมือจากสองอาณาจักรครั้งแล้วครั้งเล่า   ในชั่ววินาทีนั้นต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับออกอาวุธฟาดฟันใส่กันกลางอากาศอย่างสุดแรงจนเกิดประกายไฟแปลบปลาบตลอดเวลา   
                       กษัตริย์ซิกมันด์นั้นแม้จะทรงต้องใช้สองมือช่วยในการออกอาวุธและตั้งรับการโจมตีของกษัตริย์ซาดิน   แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถในการบังคับม้าปีกถดถอยลงไป   ข้างฝ่ายกษัตริย์ซาดินเองแม้จะได้รับบาดเจ็บเข้าขั้นสาหัสโลหิตไหลโทรมกาย แต่ก็ยังคงออกอาวุธด้วยความหนักแน่น ดุดัน จนดูราวกับพญามารจากขุมนรก
                       กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเอี้ยวตัวหลบกระบองที่กษัตริย์ซาดินฟาดฟันใส่อย่างดุเดือด   แม้พระองค์จะมีความรวดเร็วมากกว่ากษัตริย์เถื่อนจนสามารถสร้างบาดแผลให้กษัตริย์ซาดินได้ไม่น้อย   แต่เรี่ยวแรงอันมหาศาลของกษัตริย์ซาดินก็ทำให้การตั้งรับการโจมตีในแต่ละครั้งลำบากขึ้นเรื่อย ๆ   มือทั้งสองของพระองค์กำด้ามดาบแน่นจนแทบจะไม่มีสีเลือด   การรับแรงกระแทกของกระบองในบางครั้งก็ถึงกับมือชาไปชั่วขณะ  จนในเวลานี้ตำแหน่งของกษัตริย์เพลิงกลับมาอยู่ด้านบนของกษัตริย์สายลม อาศัยแรงหวดกระบองแต่ละครั้งทำให้ตัวลอยขึ้นไปในอากาศ   แม้แต่เจ้าม้าบินยังต้องกระพือปีกพยุงตัวอย่างยากลำบากเพื่อทรงตัวไม่ให้ตกลงไปตามแรงกระแทกอันมหาศาลจากการฟาดกระบองในแต่ละครั้ง   ไม่น่าเชื่อว่ากษัตริย์แห่งดินแดนทะเลทรายที่บาดเจ็บและเสียเลือดอย่างมากจะทรหดและมีเรี่ยวแรงในการต่อสู้มากมายถึงเพียงนี้   
                       ทันทีที่กษัตริย์ซาดินทรงเงื้อมือฟาดกระบองเข้าใส่อีกครั้ง   กษัตริย์ซิกมันด์ก็ตวัดดาบฟันปลายกระบองที่ถูกฟาดลงมาหาพระองค์จนสุดแรง   เสียงโลหะกระแทกใส่กันจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวพร้อม ๆ กับเกิดประกายไฟขึ้น   ทว่ากษัตริย์ซาดินกลับทรงบิดข้อมือลงเหมือนตั้งใจไว้อยู่แล้ว   ทำให้ปลายกระบองที่ถูกฟันอย่างแรงจนเบี่ยงพลาดเป้าฟาดเกราะไหล่ซ้ายของพระองค์อย่างจังจนแตกร้าวพร้อม ๆ กับความเจ็บปวดที่แล่นปลาบขึ้นมาในทันที   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกัดฟันแน่นจึงมีแต่เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังรอดออกมา   พระองค์รีบตวัดดาบใส่กษัตริย์ซาดินหมายจะบั่นคอกษัตริย์เถื่อนให้ได้ในดาบเดียว 
                       กษัตริย์ซาดินรีบใช้เท้าถีบยันเปกาซัสเพื่อส่งตัวเองออกห่างจากปลายดาบของกษัตริย์ซิกมันด์ก่อนจะปล่อยร่างของตนให้ลอยละลิ่วร่วงลงสู่พื้นสนามรบเบื้องล่าง   แต่แล้วจู่ ๆ จ้าวมังกรก็พุ่งโฉบเรียบพื้นก็จะทะยานขึ้นรับร่างของกษัตริย์เถื่อนที่กลับตัวตีลังกาลงสู่หลังของมังกรคู่กายได้อย่างพอดิบพอดี   แต่แรงกระแทกและความรุนแรงจากการปะทะที่เกิดขึ้นก็ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในของกษัตริย์เพลิงมากเสียจนพระองค์ทรงกระอักเลือดออกมากองใหญ่   พระองค์ทรงใช้มือข้างหนึ่งกุมสีข้างที่บัดนี้มีสีคล้ำม่วงและบวมขึ้นเป็นวงกว้าง   ซึ่งแสดงให้รู้ว่ามีเลือดคั่งอยู่ภายในจำนวนมากและทำให้พระองค์หายใจลำบากขึ้นทุกที     
                       ข้างฝ่ายกษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงบังคับม้าเปกาซัสให้กลับมาทรงตัวอยู่ได้ด้วยความยากลำบาก   เพราะแรงถีบของกษัตริย์ซาดินทำให้เปกาซัสที่ยังมีความเป็นเปกาซัสป่าเต็มตัวถึงกับเสียศูนย์และเริ่มสะบัดหัวดีดตัวอาละวาดไปมาด้วยความโกรธ   กษัตริย์ซิกมันด์ที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ซ้ายจึงใช้เวลาเป็นพักใหญ่กว่าจะทำให้เจ้าเปกาซัสสงบลงได้ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของบรรดาอัศวินฟีเลเซีย   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงก้มลงมองมือซ้ายของพระองค์ที่ยังคงมีอาการสั่นเทาจากความเจ็บปวด   เพราะนอกจากจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของกษัตริย์เถื่อนแล้วยังต้องฝืนบังคับเปกาซัสที่พยศในทันทีอีก   เกราะที่ไหล่ซ้ายของพระองค์แตกร้าวและมีบางส่วนที่กระเด็นหายไป   พละกำลังการโจมตีของกษัตริย์เถื่อนผู้นี้แม้จะบาดเจ็บสาหัสและทั้งตัวพระองค์เองก็ใช้ดาบของพระองค์รับแรงกระแทกแล้วส่วนหนึ่ง   ยังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับเกราะที่สร้างจากโลหะที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรฟีเลเซียได้ถึงเพียงนี้   หากต่อสู้กันสภาวะปกติพระองค์คงตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากเป็นแน่   พละกำลังของพระองค์เริ่มจะถดถอยลงแล้วเพราะจากการทุ่มแรงกายทั้งหมดฟาดฟันใส่กันเมื่อครู่นี้   แต่พระองค์ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เท่าใด   หากไม่รีบจัดการให้เด็ดขาด   เกรงว่าพระองค์อาจจะเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำให้กับความทรหดของอีกฝ่ายเสียเอง
                       กษัตริย์ซิกมันด์ทรงคิดดังนั้นก็รีบกระชับบังเหี้ยนแน่นพลางควบทะยานเปกาซัสขึ้นสูงเสียดฟ้า   เมื่อพละกำลังของพระองค์ไม่อาจเทียบกับกษัตริย์เถื่อนได้   ความเร็วประดุจมหาพายุเท่านั้นแหละที่จะสามารถเสริมกำลังของพระองค์ให้เหนือกว่ากษัตริย์เพลิงอย่างสิ้นเชิง   พระองค์ทะยานเข้าหาดวงอาทิตย์ก่อนจะชักม้าบินกลับหมุนควงสว่านพุ่งลงสู่ท้องฟ้าเบื้องล่างโดยมีดวงอาทิตย์อันเจิดจ้าแผ่รังสีอันร้อนแรงเป็นกำแพงอยู่เบื้องหลัง   
                       ความเร็วจากการพุ่งตัวแบบควงสว่านที่แทบจะเป็นแนวดิ่งของกษัตริย์แห่งสายลมนั้นรวดเร็วเสียจนร่างทั้งร่างของพระองค์ร้อนผ่าวเพราะแรงเสียดสีของอากาศทำให้ชุดเกราะของพระองค์มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ   ในหูของพระองค์แว่วเสียงหวีดร้องแหลมของมวลอากาศที่วิ่งผ่านจนสร้างความเจ็บปวดให้แก่พระองค์   ปอดของพระองค์ถูกบีบอัดจากแรงดันอากาศที่แปรผันอย่างรวดเร็วจนเจ็บร้าวไปทั้งช่องอก   แต่ดวงตาของพระองค์ยังคงแน่วแน่และพุ่งตรงไปที่จุด ๆ เดียวเท่านั้น   
                       กษัตริย์ซาดินทรงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันมุ่งมั่นและแรงกล้าที่พุ่งตรงมาหาราวกับจะทะลุร่างของพระองค์และแผดเผาให้เป็นจุลได้แทบจะทันที   พระองค์รีบตวัดกระบองเตรียมพร้อมพลางเงยหน้าขึ้นมองหาที่มาแห่งจิตสังหารนั้น   แต่แล้วแสงแห่งดวงอาทิตย์ก็สาดส่องเข้าใส่ดวงตาของพระองค์จนพร่าเลือนไปชั่วขณะ   พระองค์ทรงหรี่ตาแคบยกมือขึ้นป้องบังแสงอาทิตย์โดยอัตโนมัติ   และทันใดนั้นเองราวกับดวงอาทิตย์ที่พุ่งตกลงมาจากฟากฟ้าพร้อมกับประกายอันเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นอัศวินแห่งเปกาซัสพร้อม ๆ กับคมดาบที่พุ่งตรงเข้ามาหาพระองค์อย่างเร็วจนไม่อาจกระพริบตา   กษัตริย์ซาดินใช้สองมือของพระองค์ยกกระบองขึ้นรับคมดาบทันที
                      ตูม!!
                       เกิดแสงจ้าสาดส่องไปทุกทิศทุกทาง   บรรดาทหารทั้งสองฝ่ายที่กำลังจับจ้องเหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่ต่างก็ตาพร่าไปตาม ๆ กัน   แรงกระแทกจากการปะทะทำให้ทหารบางคนที่ยืนไม่มั่นคงถอยล้มไปเป็นท่า   แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งตัวได้   ทุกคนก็ได้ยินเสียงของหนักที่ตกกระแทกพื้นอย่างแรงจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง   เท้าของทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนั้น   
                       ที่สนามรบเบื้องล่างนั้นเกิดฝุ่นดินฟุ้งตลบ   ทุกคนต่างจับจ้องสังเกตดูความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อในขณะที่ฝุ่นดินค่อย ๆ โรยตัวลง   ครั้นเมื่อฝุ่นดินจางลงสภาพที่เกิดขึ้นบนสนามรบนั้นก็ทำให้ทุกคนเงียบกริบจนไม่แม้แต่จะหายใจ   เกิดหลุมลึกกว้างขนาดใหญ่ที่กลางสนามรบนั้น   ร่างมหึมาของจ้าวมังกรซาลามันเดอร่านอนสะบัดหางไปมาเบา ๆ อยู่ที่ก้นหลุม   ปีกของมันหักและฉีกขาด   หลังของมันบริเวณใกล้กับลำคอหักและผิดรูป   ที่ข้าง ๆ กันนั้นเปรูนเปกาซัสนอนตะแคงและพยายามจะเกียดตะกายลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ   ปีกข้างหนึ่งของมันก็หักเช่นกัน   ไม่ห่างกันนั้นมีร่างสองร่างที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่   กษัตริย์ซาดินนั้นนอนตะแคงข้างโดยขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนขาหน้าของเจ้ามังกรแดง   ในขณะที่กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามนั้นนอนคว่ำหน้าโดยที่หมวกเกราะศีรษะกระเด็นหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้   ช่วงเวลาอันแสนยาวนานดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดสำหรับคนที่เฝ้าดูอยู่   ความกลัวจับขั้วหัวใจคืบคลานกัดกินจิตใจของทหารแต่ละคนอย่างรวดเร็ว   เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายต่างสอดส่ายสายตามองหาสัญญาณแห่งชีวิตจากกษัตริย์ของพวกตน
                       และแล้วความเคลื่อนไหวที่แทบจะทำให้ทั้งสนามรบกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งก็ปรากฏขึ้น   เมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ทรงเริ่มขยับและไอสำลักเลือดออกมากองใหญ่   เสียงโห่ร้องที่แทบจะปลุกเหล่าอัศวินที่พลีชีพให้ฟื้นขึ้นมาจากความตายก็ดังกระหึ่มจากกองทัพฟีเลเซียและฟูดินันจนแผ่นดินสะเทือน   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงค่อย ๆ ตั้งดาบเพื่อดันตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก   แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เสียงไชโยโห่ร้องจากบรรดาอัศวินยิ่งดังกึกก้อง      แต่แล้วเสียงไชโยโห่ร้องจากทหารฝ่ายซาโลมก็ดังกึกก้องขึ้นบ้าง   เมื่อกษัตริย์ซาดินทรงเริ่มขยับและพลิกตัวกลับมานอนหงาย   ใบหน้าซีกขวาของพระองค์เต็มไปด้วยเลือด   ดวงตาทั้งสองยังปิดสนิทและหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ   
                       เหล่าทหารต่างก็กู่ร้องส่งเสียงเชียร์นายของตนเพื่อให้ไปถึงศัตรูได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ตั้งตัวติด   กษัตริย์ซาดินทรงค่อย ๆ ใช้มือควานหาอาวุธคู่กายอย่างอ่อนแรง   พระองค์นั้นบอบช้ำเกินกว่าที่ร่างกายจะทนรับไหวแล้วแม้หัวใจของพระองค์จะยังแข็งแกร่งและทรหดเช่นเดิม   ในขณะที่กษัตริย์ซิกมันด์นั้นแม้ร่างกายของพระองค์บอบช้ำและยังทรงตัวอย่างยากลำบากทว่าดวงตาของพระองค์ยังคงแน่วแน่ที่จะจัดการกับกษัตริย์เพลิงให้ได้   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงรีบก้าวเข้าไปหาเร็วขึ้นเมื่อทรงเห็นว่ากษัตริย์ซาดินทรงคว้ากระบองได้สำเร็จ   พระองค์ตวัดดาบขึ้นและยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น   
                       ทันใดนั้นเอง   เสียงร้องแหลมก็ดังขึ้นเหนือพระองค์ก่อนที่ปีศาจครึ่งนก โฟนอส (Phonos) ที่รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวและกงเล็บคล้ายนก ปีกคล้ายค้างคาว จะบินโฉบลงมาต่อหน้าพระองค์   มันเหยียดปีกจนสุดก่อนจะโก่งคอร้องเสียงแหลมคล้ายกับกำลังขู่คำรามใส่พระองค์   ก่อนที่มันจะหันหลังและคว้าร่างของกษัตริย์ซาดินไว้แล้วถีบตัวทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและหายเข้าไปในช่องมิติสีดำที่เกิดขึ้นเหนือสนามรบในฉับพลันทันที   กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองเจ้าปีศาจโฟนอสหายลับไปในช่องมิติก่อนที่สติของพระองค์จะค่อย ๆ ดับวูบลงเช่นกัน
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: August 02, 2007, 09:17:14 PM »

มาเม้าท์กันต่อที่นี่นะจ๊ะ


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=32140.0
« Last Edit: August 02, 2007, 09:19:49 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.153 seconds with 22 queries.