เนื่องจากว่าครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ว่างมาก จึงลอง เอานิยายตัวเองมาลงดู แหะๆ ติชมกันด้วยนะคับ พึ่งหัดแต่ง อ่า
ยังอยู่ในช่วงปรับปรุง แหะๆ ใครรุวิธีขยาย ฟ้อน ม่าง อ่า แหะๆ
Chapter 1 จุดเริ่มต้นของครอบครัวแมตเตอร์
บ้านเล็กๆที่อยู่ตรงตรอกลูเซีย ไม่มีมนุษย์คนใดเข้าไปข้างในมาก่อน บ้านของครอบครัวแมตเตอร์ บ้านหลังนี้ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องเห็นแม้ไม่อยากจะเหลือบตาชำเลืองขึ้นไปดูรูปปั้นแกะสลักรูปกากอล์ยที่จ้องเขม็งมาที่พื้นถนน บางครั้งเหมือนมันจ้องพวกเราด้วยซ้ำ นั่นคือคำกล่าวขานที่ชาวบ้านเล่าต่อๆกันมา แน่นอนตรอกลูเซียเป็นตรอกที่น่าพิศวงสำหรับผู้ที่เดินผ่านไปมาอยู่เสมอแม้ผนังด้านข้างจะเป็นอิฐที่โบกอย่างหนาแน่นก็ตาม แต่ไม่มีสิ่งใดเลยอยู่ในตรอกลูเซีย ยกเว้นประตูรั้วโทรมๆที่ขนาดใหญ่เกินพอดีอยู่ในสุดทางเดินของตรอก ใช่แล้วล่ะ ประตูรั้วของแมตเตอร์ เคยมีเรื่องเล่าขวัญผวาสำหรับบ้านนี้มาเหมือนกัน แน่นอนว่าชาวบ้านแถวนั้นคงรู้กันดีและไม่มีใครคิดจะเข้าหรือผ่านตรอกนี้เวลาฝนตก ใครจะกล้าเข้าละ ในเมื่อคนที่เข้าไปในนั้นก็ไม่เคยออกมาอีกเลยก็ว่าได้ ยิ่งเวลาฝนตกนะ ยิ่งแรงเท่าไร เสียงอีกาที่ไม่ควรมีก็กลับดังแข่งกับเสียงกระทบของสายฝน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่คำเล่าขานของชาวบ้านผู้ที่รู้ไม่ลึกที่ดีแต่จ้องจำผิดบ้านหลังนั้น
ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะรู้ที่เรื่องของแมตเตอร์ได้ดีไปเท่า พวกไวเซอร์ พวกที่คิดว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่ำต้อย ไร้ค่าไม่สมควรอยู่บนโลก แน่นอนว่าพวกไวเซอร์ย่อมมีอะไรดีกว่ามนุษย์ปกติ เวทย์มนต์ จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ผิด คือสิ่งที่พวกไวเซอร์ได้รับเมื่อแรกเกิดและขยายเผ่าพันธุ์อยู่กับมนุษย์มาช้านานเพียงแต่ว่าปะปนอยู่ สิ่งที่ยืนยันว่าพวกไวเซอร์มีอยู่จริงก็คือสิ่งเร้นลับที่เกิดขึ้นบนโลก สิ่งที่แม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ไม่มีทางพิสูจน์ได้ ใช่แล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยพวกไวเซอร์ แต่ชาวไวเซอร์ไม่ชอบพบปะกับมนุษย์ซักเท่าไร พวกไวเซอร์จึงรวมตัวกันและสร้างสถานที่ที่หนึ่งขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งที่พักพิงอิงอาศัย บ้านแมตเตอร์ คือหนึ่งสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นเพียงชั่วพริบตาและตรอกลูเซียก็ถูกสร้างขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืนด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามนุษย์เป็นหมื่นๆปีก็ไม่มีทางตามมันทัน แน่นอนว่าในตรอกนี้มีอะไรมากมายกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยไวเซอร์ชั้นสูงสามตน และเรื่องราวก็ผ่านมาจนถึงช่วงๆหนึ่งช่วงนี้มีไวเซอร์ปะปนอยู่กับมนุษย์ถึง 40% เรื่องราวทุกอย่างจึงได้เกิดขึ้น เนื่องจากมี ไวเซอร์คนหนึ่งทรยศต่อพวกพ้องในไปบอกความลับกับมนุษย์ แต่นับว่าเป็นความโชดียังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะไม่มีใครเชื่อคำพูดของชายชราท่าทางอมโรคอยู่แล้ว แม้ไม่มีใครเชื่อแต่ก็มีคนเล่าปากต่อปากจนกลายเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาในหมู่คณะมนุษย์ยามสังสรรค์
วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 1991 ที่ฝนตกพรำ บ้านหลังนั้นมีเสียงของเด็กทารกเพศชายผิวขาวดวงตากลมโตได้กำเนิดเกิดขึ้นมา
ยินดีด้วยนะบอนด์ ในที่สุดก็มีลูกสักที เพื่อนๆร่วมวงได้พูดขึ้นพร้อมกับตบไหล่เบาๆพลางหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มอีกอึกใหญ่ๆ
ฉันเป็นห่วงแคลร์มากกว่า ดูท่าแล้วรู้สึกไม่ดีเลย ชายหนุ่มวันกลางคนพูด พลางลูบหนวดหนาๆของตน
ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอฉันดูหน้าตาของลูกหน่อยสิคะ แคลร์พูดพลางเอื้อมมือไปรับบุตรชายของตน
มาร์วี แคลร์พูด
อะไรนะแคลร์ บอนด์พูดด้วยน่าตาสงบ เมื่อรู้ว่าภรรยาสุดที่รักปลอดภัย
ลูกของเราไง มาร์วี แมตเตอร์ แคลร์ยิ้มพร้อมกับส่งลูกขึ้นนางพยายาบาล
เธอต้องพักผ่อน นางพยาบาลพูด แต่พักที่นี่ไม่ได้ ต้องไปที่โรงพยาบาล
งั้นก็รีบไปกันเถอะบอนด์พูดอีกครั้งด้วยสีหน้าที่สดใสน้อยลง
ขอบคุณจริงๆ ที่ยอมมาทำคลอดที่บ้านหลังนี้ แคลร์เสริม
ระหว่างที่กำลังเดือนทางฝนที่ตกโปรยปรายมาตลอดก็ได้หยุดชะงักราวกับว่าเทพเจ้าต้องการให้หนุ่มน้อยผู้ที่ได้ไปถึงโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย
มาร์วี! มาร์วี! เธอแอบหลับในคาบของครูอีกแล้วนะ ครูคาร์เบอร์ตะโกนสุดเสียง
โธ่! ครูคาร์เบอร์มันน่าเบื่อออกจะตาย โรงเรียนนี้ไม่มีอะไรทำที่มันดีกว่านี้แล้วหรอ มาร์วีพึมพัมพลางขยี้ตาหลังจากฝันแสนหวานมานาน
กริ๊งงงงงงงง!!!
เอาล่ะ หมดคาบแค่นี้ เตรียมตัวกันให้ดีนักเรียนทั้งหลาย พรุ่งนี้จะเป็นการสอบประจำปีแล้ว ครูคาร์เบอร์กล่าว
มาร์วี กลับบ้านด้วยกันนะ เสียงแสนไพเราะได้ดังขึ้นข้างๆของมาร์วี ทำให้ชายผมยาวประบ่า ถึงกับหันมามอง
โธ่! นึกว่าใคร โซฟีนี่เอง มาร์วีพูด วันนี้คิดยังไงชวนเรากลับด้วยละเนี่ย
อะไรกัน คนเป็นแฟนกันชวนกันกลับบ้านด้วยเนี่ยเหรอแปลกโซฟีพูดพลางดึงแขนมาร์วีเดินไปที่ระเบียงทางเดิน
เมื่อทั้งคู่ออกไปข้างนอกหิมะก็ได้โปรยลงมาสู่พื้นแผ่นดินที่พวกเขาทั้งสองกำลังเดินกอดกันออกจากโรงเรียน
เออนี่มาร์วี ขอถามอะไรอย่างสิอย่าโกรธนะสาวผมทองถาม
ตามสบายเลย จะโกรธไปทำไมแค่อยากรู้เรื่องของเรามาร์วีตอบพลางหัวเราะ
พ่อกับแม่เธอละ ทั้งคู่หยุดนิ่งไม่มีทีท่าขยับหรือมองหน้ากัน เธอโกรธเหรอ
โอ๊ะๆ เปล่าๆ แค่กำลังนึกในอดีตซักนิดนึง หนะมาร์วีพูดพร้อมกับสีหน้าอันเศร้าหมอง พวกเขาจากเราไปนานแล้ว ท่านประสบอุบัติเหตุทางรถนะ
ตอนนี้เธออยู่กับใครเนี่ยหล่อนถามต่อด้วยความอยากรู้
คนเดียวนะสิ ถามแปลกๆ พ่อกับแม่ตายไปแล้วคิดว่าฉันจะอยู่กับใครได้ละ เขาพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะ
เธอไม่เคยเสียใจเลยเหรอหล่อนถามต่อ
เคยสิเขาพูดอย่างเย็นชา มากมายจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วละ ไม่รู้กี่ครั้งที่เราต้องนอนร้องไห้อยู่คนเดียวกับห้องเปล่าๆที่ไม่มีใครเลย ไม่รู้กี่ครั้งที่เรากลับมาที่บ้านแล้วไม่เคยเจอใครซักคน ไม่รู้กี่ครั้งที่เวลาเรานอนแล้วได้ยินเสียง นึกว่าเป็นพวกท่านจึงรีบวิ่งลงมาดูแต่สูดท้ายก็เป็นเพียงแค่ลมพัด ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่เพื่อนๆล้อเราว่าเป็นคนที่ไม่มีพ่อแม่ เราหน่ะนะร้องไห้จนเบื่อแล้วละ
เสียใจสำหรับเรื่องทั้งหมดนะ ฉันไปก่อนนะ ถึงบ้านฉันแล้ว บาย โซฟีเลีย กล่าวคำอำลาพร้อมกับหอมแก้มของมาร์วีเบาๆก่อนจะเข้าไปในบ้านของเธอ เล่นเอามาร์วีผู้เคร่งขรึม หน้าแดงไปเลยดีเทียว พอถึงบ้านก็เจอแต่เรื่องเดิมๆ ไม่มีใครอยู่ ฝุ่นก็ติดเต็มหน้าต่าง ไม้ก็ไม่เคยอยู่ในเตาผิง เขาขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเองแล้วก็หลับไปอย่างอ่อนเพลีย
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังอ่านหนังสือครั้งสุดท้ายก่อนเข้าห้องสอบ พวกครูทั้งหลายก็ไล่นักเรียนให้เข้าห้องของตนเพื่อเตรียมตัวในการเลื่อนชั้น มาร์วีก็เป็นหนึ่งในนั้น
เอาละ...นะนักเรียน เราจะสอบทั้งหมด 3 วิชา เริ่มเวลา 9:00และเลิกสอบเวลา 12:00 ... บ่ายโมงเมื่อไรครูจะออกเกรดเลื่อนชั้นให้ แล้วอีก 3 ... วัน คนที่สอบผ่าน...ก็ให้เตรียมตัวมารับประกาศนียบัตร...ได้เลย เอาละ เริ่มการสอบได้!เสียงตามสายที่ออกมาจากลำโพงคงอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนักจึงทำให้เสียงออกมาขัด
นักเรียนทุกคนทำข้อสอบกันอย่างขะมักเขม้นภายในห้องเงียบสนิทได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินบอกเวลาดังอย่างเสมอ ได้ยินเสียงลมที่พัดมาข้างหน้าต่างที่เปิดไว้เล็กๆเพื่อให้อากาศระบายและถ่ายเท เมื่อเวลาผ่านไปจนเกือบจะหมดเวลาสอบ มาร์วีก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งข้อสอบกับอาจารย์คาร์เบอร์ ลาก่อนชีวิตอันหน้าเบื่อหน่าย เขากล่าวก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง เพื่อรอรับประทานอาหารพร้อมกับเพื่อนๆของเขา
ฉันว่าข้อสอบคราวนี้ไม่ค่อยยากนะ เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกล่าว
แต่ฉันว่ายากเป็นบ้าเลยโดยเฉพาะเลขเพื่อนอีกคนพูดไปเคี้ยวอาหารไป
รีบๆ กิน รีบๆไป รอเกรดดีกว่านะ จะได้รีบกลับบ้าน จริงไหมมาร์วีโซฟีพูดพลางเรียกมาร์วีที่กำลังกินข้าวให้หันมาเห็นด้วยกับความคิดของตนเอง
หืม อืมๆ มาร์วีพูดพลันหันไปหยิบน่องไก่ชิ้นโตมากินทันที
เฮ้ยๆ นั่นแฟนนายนะ ดูแลดีๆสิ ฮ่าๆโทมันเพื่อนแสนสนิทของมาร์วีพูด เล่นเอาหัวเราะทั้งโต๊ะอาหาร ไม่เว้นแม้แต่ผู้โดนล้อ มาร์วี่ แมตเตอร์ หรือแฟนของเขา โซฟีเลีย อาดุส
ประกาศ...ประกาศ...นักเรียนเกรด9ที่กำหารสอบวันนี้ให้ไปรับใบ...เกรดได้แล้วที่ห้องทำงานของครูคาร์...เบอร์ เสียงตามสายของโรงเรียนก็ยังคงไม่ดีเช่นเคย
แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะว่านักเรียนส่วนใหญ่ได้ไปรออยู่หน้าห้องทำงานอยู่แล้วยกเว้นพวกของมาร์วีที่กำลังเดินไปหลังจากสังสรรค์ที่โรงอาหารเสร็จสิ้น
ฮ่าๆ พวกเราผ่านหมดโว้ย ขอบใจจริงๆเลยไอ้โล้นคาร์เบอร์ ฮ่าๆโทมันพูดกับพรรคพวกของเขาหลังจากที่ออกจากโรงเรียนมาได้ซักพัก แ ล้วนายละมาร์วี ได้เท่าไร เหรอ
97อ่า เฉลี่ยแล้วเขาพูดพร้อมกับสีหน้าที่ค่อนข้างผิดหวัง
97เลยหรอ คะแนนเฉลี่ยฉันพึ่งได้แค่ 88 เองนะโซฟีพูด
แค่ หรอ พวกเราทำกันสุดชีวิตได้ประมาณ 81 เธอได้ตั้ง 88 นะ ไม่ใช่ แค่ 88โทมันกล่าวอย่างอารมณ์บูด เฮ้ย!ฉันไปละนะ ลาก่อน พลางเลี้ยวเข้าซอยไปอย่างเงียบๆ
ฉันก็เหมือนกัน ไปก่อนนะมาร์วี ถึงบ้านฉันแล้ว ลาล่ะลูกสาวคนโตตระกูลอาดุส พูดพลางวิ่งเข้าบ้านไป
เมื่อมาร์วีถึงบ้านก็เหตุเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เตาผิงที่ไม่เคยใช้มาก่อน เหตุไฉนถึงมีกองฟืนที่ไหม้ค้างเหลืออยู่ในเตาผิง หน้าต่างที่มีแต่คราบฝุ่น เหตุไฉนถึงถูกทำความสะอาดซะเรียบร้อยไปหมด โซฟาตัวเก่าๆที่มีแต่รอยขาดจนยับเยิน เหตุไฉน ถึงมีรอยเย็บจนไม่มีนุ่นปริออกมาข้างนอก
ยินดีด้วยนะลูกเสียงที่ฟังดูแล้วอบอุ่นได้มากระซิบข้างๆหูเบา
แม่! แม่กลับมาหาผมแล้วใช่ไหม แม่ยังไม่ตายใช่ไหมมาร์วีตะโกนด้วยความดีใจ ตะโกนทั้งน้ำตา
ใช่แล้วลูก แม่ขอโทษนะที่ต้องหลอกลูก แม่มีเรื่องจะบอก เรื่องที่ลูกควรรู้
ลูกเป็นชาวไวเซอร์นะ ลูกคงเคยได้ยิน ใครๆพูดถึงบ้างแล้วละ ลูกหน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือมนุษย์นะแคลร์พูดต่อ
จริงเหรอครับแม่ ผมคือพวกไวเซอร์เหรอครับมาร์วีหน้าฉงน
จริงสิลูก
แล้วทำไมต้องทิ้งผมให้อยู่คนเดียวละ
มันเป็นสิ่งที่ทดสอบว่าลูกเหมาะสมหรือไม่กับการที่จะรู้ความจริง มันคือกฎแห่งเรา
ไม่เห็นจะเข้าใจเลย
เราไม่มีเวลาอธิบายแล้วรีบไปกับแม่ด่วนแคลร์ลากลูกชายของเขาไปที่เตาผิงทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกโชติช่วงขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ แม่ของเขาได้ดึงเขาเข้าไปในเปลวเพลิงอันร้อนระอุแล้วพวกเขาก็หายลับไปท่ามกลางห้องที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยฝีมือแม่ของเขา แคลร์ แมตเตอร์