Summoner Master Forum
October 09, 2024, 10:17:57 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: นิยายอีกเรื่องนึง (- -) ตัวละครส่วนใหญ่เป็นเพื่อนๆ เรื่อง Kingdom Element  (Read 2307 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« on: July 11, 2006, 05:26:01 AM »

Kingdom Element

ตอนที่ 1 อาณาจักรเอสจีน่า

ณ ดินแดนที่อุดมเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ มีอาณาจักรหนึ่งชื่อ เอสจีน่า ได้ก่อตั้งขึ้นซึ่งมี แม่น้ำคอลเวียเป็นแม่น้ำหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตทั้งอาณาจักร แถมยังเป็นด่านสกัดการบุกรุกจากอาณาจักรอื่นๆได้บ้างรวมถึงทั้งยังเป็นเส้นทางที่ใช้ติดต่อการค้ากับอาณาจักรอื่นๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น ณ พระราชวังหลวงเมืองเอสจีน่า เหล่าผู้คนในเมืองต่างตื่นขึ้นมากันอย่างสดใสพร้อมที่จะรับกับวันใหม่ รวมทั้งในราชวังที่มีทหารมากมายคอยรักษาการกันอย่างเข้มแข็ง

“ลอร์ดอาท วันนี้เจ้าว่ามีคนต้องการพบข้ารึ” ราชาแพ๊คเอ่ยถามขึ้น
“พะยะค่ะ” ลอร์ดอาทตอบ
“งั้นอย่าช้าที พาเข้ามาหาข้าเลย” ราชาแพ๊คบอก ลอร์ดอาทก็ลุกขึ้นเดินออกไป สักพักก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับชายใส่ผ้าคลุมขาวคลุมไว้จนมองเห็นหน้าได้ไม่ชัดพร้อมกับในมือของเขาถือไม้เท้าด้ามหนึ่งที่หัวไม้เท้ามีลูกแก้วบางอย่าง ทั้งคู่ทำความเคารพกษัตริย์แห่งเอสจีน่า

“ไม่ต้องบอกก็รู้ดูจากชุดแล้ว เจ้าต้องเป็นพ่อมดใช้อย่างที่ข้าพูดหรือเปล่า” ราชาแพ๊คเอ่ยถามขึ้น
“นามของกระหม่อมคือ โข่ง นักปราชญ์ผู้ล่วงรู้อนาคตและความลับต้องห้ามทั้งหมด” โข่งตอบขึ้น
“ข้าอาจจะทายเจ้าผิดไปสักนิดแต่พอได้ยินชื่อเจ้า ข้าก็รู้ได้ทันที ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเลืองชื่ออย่างท่านมาเยือนยังอาณาจักรของข้า” ราชาแพ๊คกล่าวชื่นชม
“กระหม่อมเดินทางไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผ่านอาณาจักรต่างๆมามากมาย บ้างก็กล่าวหากระหม่อมว่าคือ ฆาตกร บ้างก็ชื่นชมว่ากระหม่อมคือ ฮีโร่ นั่นกระหม่อมไม่เคยขัดใจสิ่งใด ใครจะคิดยังไงกับกระหม่อมนั้นมันบังคับกันไม่ได้ แล้วส่วนพระองค์จะคิดยังไงกับกระหม่อมก็ได้ เพราะหากกระหม่อมจะตายเมื่อไหร่ กระหม่อมจะล่วงรู้และหลีกทางตายได้ทัน” โข่งพูดขึ้น พอกษัตริย์ได้ฟังเสร็จก็หัวเราะขึ้นมาเล็กๆ
“อะไรกันแค่นี้ข้าจะมองท่านออกหรือว่าท่านเป็นยังไง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาพิสูจน์ ว่าแต่ท่านมาเยือนที่นี่ด้วยเหตุอันใดกัน” ราชาแพ๊คถามขึ้น

“กระหม่อมมีเรื่องดีและเรื่องร้ายมาบอก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องร้ายซะส่วนใหญ่” โข่งตอบ สีหน้าของกษัตริย์ก็เริ่มเปลี่ยนทันที
“งั้นเอาเรื่องร้ายก่อนแล้วกัน ปิดท้ายจะได้เอาเรื่องดีให้มันหายเครียดจนลืมเรื่องร้ายไปเลย” ราชาแพ๊คบอก
“เรื่องแรก ในไม่ช้านี้ อาณาจักรของพระองค์จะต้องเข้าร่วมในสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระหม่อมอยากจะแนะนำแค่ อยากให้สานสัมพันธมิตรกับอาณาจักรใกล้เคียงให้มากๆเพื่อจะได้ลดศัตรูลง” โข่งบอก
“อีกนานมั้ย” ราชาแพ๊คถามด้วยความสงสัย
“กระหม่อมมิอาจจะที่บอกได้ มันเป็นกฎต้องห้ามซึ่งหากบอกมากกว่านี้ กระหม่อมจะถูกลงโทษจากธรรมชาติได้” โข่งส่ายหน้าปฏิเสธ
“งั้นเรื่องต่อไป” ราชาแพ๊คถอนหายใจและหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะรับฟังเรื่องต่อไป
“เรื่องสอง 1 ใน 3 ธิดาของพระองค์จะสูญเสียไปแต่อนาคตที่ไกลกว่านี้กระหม่อมยังดูไม่ออกว่าธิดาของพระองค์คนนั้นจะรอดหรือไม่ ซึ่งอนาคตมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พระองค์ยังพอมีเวลาที่จะเลือกธิดาของพระองค์ที่จะรอดได้ ซึ่งค่ำคืนหนึ่งในเดือนนี้จะมีชายชุดดำบุกเข้ามาในปราสาทท่าน ท่านต้องวางยาธิดาของพระองค์ 1 คนในคืนนั้นเพื่อล่อให้ชายชุดดำได้ลักพาตัวพระธิดาไป เพราะอนาคตกระหม่อมเห็นว่า พระองค์ทรงห่วงมากเมื่อรู้เรื่องนี้จึงเรียกพระธิดามาอยู่ใกล้ชิดที่ค่ำคืน แต่นั่นจะทำให้พระองค์จะสูญเสียพระธิดาทั้งหมดที่ต้องจากไปพร้อมกับความตาย เพราะชายชุดดำคนนี้ ยังมิอาจจะใช่ที่จะหาใครพิชิตได้” โข่งเล่าให้ฟังต่อ
“เจ้ารู้แม้กระทั่งตอนที่เจ้าเล่าข้าคิดเช่นไร สงสัยข้าจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้จริงๆ แต่ข้าก็รักลูกสาวของข้าทั้งหมดเท่าๆกัน ไม่อาจจะที่จะสูญเสียใครไปได้” ราชาแพ๊คพูดขึ้นก่อนที่จะกุมขมับ
“พระธิดาของพระองค์นั้นล้วนแต่งดงามยิ่งนัก ถึงแม้กระหม่อมยังไม่เคยได้พบเห็น แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่อนาคตของพระองค์วิ่งผ่านเข้ามามันก็ทำให้รู้ได้ทันที แต่ถ้าพระองค์ทรงเป็นห่วงพระธิดาเอามากๆ จงให้พระธิดาของพระองค์ 1 คนนั้นได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายจากอาณาจักรอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการบุกของชายชุดดำ ซึ่งกระหม่อมรู้ว่าพระองค์ทรงฉลาดพอที่จะไม่ต้องสูญเสียพระธิดาไปนานเกิน 1 เดือน”โข่งบอก สีหน้าของกษัตริย์เมื่อได้ยินก็คลายทุกข์ไปได้บ้าง

“เสด็จพ่อเพค่ะ” เสียงอันอ่อนหวานนุ่มนวลของพระธิดาองค์หนึ่งดังขึ้นมาจากห้องข้างๆ
“โอ้ ลูกรัก มาหาพ่อก่อนซิ นี่นักปราชญ์ผู้ล่วงรู้อนาคต ลูกลองมาให้เขามองดูอนาคตของลูกซิ” ราชาแพ๊คบอก พระธิดาจึงเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม พระธิดาทรงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
“นี่ พระธิดาคนเล็กของข้า ชื่อ พริ้ม ส่วนนั่นนักปราชญ์ขาว โข่ง” ราชาแพ๊คแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน
“ทำไมท่านถึงใช้ผ้าคลุมบังหน้าขนาดนั้นละ เราขอดูหน้าท่านชัดๆได้ไหม” พริ้มถามและลุกขึ้นเดินไปหาใกล้ๆ
“มิได้ กระหม่อมไม่สมควรที่จะให้พระธิดาได้เห็นหน้า และอีกอย่างคือ กระหม่อมตาบอด เพราะถูกธรรมชาตินั้นลงโทษแลกกับสิ่งที่กระหม่อมได้ล่วงรู้มา” โข่งตอบ
“นะ เงยหน้าให้เราดูหน่อยซิ ไม่ให้ท่านพ่อดูก็ได้ แค่ให้เราดูคนเดียว” พริ้มบอก
“เอาเถอะ อย่าไปรบกวนอะไรเขามากเลยลูกรัก เขาเป็นแขกของพ่อนะ ทำตัวดีๆหน่อย” ราชาแพ๊คบอก พริ้มจึงคาใจอยู่กับเรื่องนี้แต่ก็หันกลับเดินมานั่งที่เดิม โข่งก็ยิ้มให้เล็กๆ
“งั้นเรื่องดีของข้าละ ลองเล่ามาซิ” ราชาแพ๊คถาม
“เรื่องดีนั้น อาณาจักรเอล์ฟ จะเดินทางมาเยือนอาณาจักรเพื่อทำพันธไมตรีกันซึ่งเขาจะช่วยท่านได้มากๆในช่วงสงคราม แต่เจ้าชายเอสจะสนใจในตัวพระธิดาของพระองค์คนหนึ่งเป็นพิเศษจึงสู่ขอจากพระองค์ นั่นไม่รู้ว่าจะเรียกเรื่องดีหรือร้าย แต่สำหรับกระหม่อมแล้ว อนาคตของเจ้าชายเอสที่กระหม่อมดูมาแล้วนั้น จะสูญเสียพระชนม์หลังวันอภิเษกสมรส 1 วัน แต่เจ้าชายยศจะขึ้นครองราชย์แทน ถ้าหากพระองค์ไม่อยากให้เจ้าชายเอสต้องตายสิ้นพระชนม์และไม่อยากให้พระธิดาของพระองค์ต้องสูญเสียคนรัก พระองค์ต้องปฏิเสธคำขอจากเจ้าชายเอส ซึ่งที่จริงแล้วอนาคตของเจ้าชายเอสคือ ตาย หลังจากที่พระองค์ปฏิเสธไป เขาจะวุ่นวายใจกับเรื่องนี้มากจนถูกลอบสักหาร และเจ้าชายยศก็จะขึ้นครองราชย์แทนเช่นเคย” โข่งเล่าสิ้นเสียงคำสุดท้าย
“พระธิดาคนนั้นคือเราหรือเปล่า” พริ้มถามขึ้น แต่นักปราชญ์ขาวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“กระหม่อมมิอาจจะที่จะบอกได้ให้พระธิดาทรงไม่พอพระทัยได้” โข่งบอก

“เอาล่ะ ท่านรีบเร่งหรือเปล่า ถ้าไม่ข้าอยากเชิญให้ท่านอยู่พักที่อาณาจักรของข้าสัก 2-3 วัน” ราชาแพ๊คถาม
“กระหม่อมยินดีรับคำขอจากพระองค์เสมอ” โข่งตอบ
“งั้นเย็นนี้ลูกจะมาถามเขาบ้างแล้วกัน” พริ้มพูดขึ้นด้วยความดีใจก่อนที่จะลุกเดินออกไปจากห้อง
“ลอร์ดอาท....” ราชาแพ๊คพูดขึ้น
“เขาคงหูตึงสักนิด ลอร์ดอาท…” ราชาแพ๊คหัวเราะขึ้นเล็กๆ
“ทหารนำลอร์ดอาทไปตัดหัว” ราชาแพ๊คตะโกนสั่ง ลอร์ดอาทก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
“โอ้ ขอประทานอภัยโทษให้กระหม่อมด้วยที่เผลอหลับไป” ลอร์ดอาทบอก
“พานักปราชญ์ขาวผู้นี้ไปหาพ่อบ้านหนุ่ย บอกให้พ่อบ้านหนุ่ยจัดห้องนอนสำหรับแขกด้วย” ราชาแพ๊คสั่ง ลอร์ดอาทก็รีบลุกขึ้นเดินนำออกไปทันที

“การที่เราล่วงรู้อนาคตมันก็เจ็บปวดมากๆเช่นกัน ทำไมนักปราชญ์ขาวผู้นั้นถึงไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย แต่ถ้าเราไม่รู้สิ่งใดเลย เราอาจจะสูญเสียสิ่งที่ใดไปอย่างง่ายดายและต้องมาเจ็บช้ำหนักมากกว่าครั้งที่รู้ว่าต้องสูญเสีย เจ้าเป็นใครกัน นักปราชญ์ขาว” ราชาแพ๊คพูดกับตัวเองที่หน้าต่างและมองดูอาณาจักรของตนผ่านออกไปยังโลกกว้างจากหน้าต่างบานใหญ่ในพระราชวัง
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #1 on: July 11, 2006, 05:26:27 AM »

ตอนที่ 2 โคมไฟเลือด

เมื่อยามพบค่ำ ตะวันที่ทอแสงสุดท้ายแห่งวันค่อยๆลับขอบฟ้าไป นักปราชญ์ขาวยืนมองดูสุริยัน ณ หอคอยสูงชั้นบนสุดของหอสมุดหลวงของเมือง เขามองดูมันอย่างเงียบๆอยู่สักพัก ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นมา

“แสงตะวันยามลับขอบฟ้านี่มันช่างสวยท่านว่าไหม” นักปราชญ์ขาวบอก
“นานมาแล้วที่เราเคยมายืนดูแบบนี้ อนาคตสำหรับวันนี้ทายซิว่าใครจะตาย” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“เรานั้นมีความสามารถพิเศษที่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ แต่เรามิอาจจะเปลี่ยนอนาคตมันได้ ใครที่จะตายสำหรับวันนี้ มันแล้วแต่ท่าน” นักปราชญ์ขาวตอบให้หายสงสัย
“กษัตริย์ทรงตรัสว่าจะจัดงานเลี้ยงที่พระราชวัง ท่านคือแขกสำคัญของพระองค์จงอย่าลืมไปละ ข้าขอตัวต้องหาเหยื่อรายที่ 1032 ให้ได้ก่อนเที่ยงคืน” ชายคนนั้นพูดเสร็จก็วิ่งกระโดดจากยอดหอคอยสูงราวตึก 10 ชั้น แล้วทันใดนั้นปีกสีดำขนาดใหญ่ของเขาก็กางออก แล้วเขาก็บินหายไปพร้อมกับแสงตะวัน
“ท่านจงอย่าได้ทำความชั่วสร้างกรรมอีกต่อไปเลย” นักปราชญ์ขาวก็เดินกลับลงไปยังหอสมุดข้างล่าง

ทันทีที่นักปราชญ์ขาวกำลังจะก้าวท้าวออกจากหอสมุด
“เดี๋ยว รอด้วย” ชายคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับเครื่องไม้เครื่องมือที่พ่วงติดกับเสื้อของเขา
“ท่านจะไปงานเลี้ยงในพระราชวังใช่ไหม ไปด้วยคนซิ เราอยากเข้าไปกินอาหารหรูๆบ้างจัง ทหารมันไม่ให้คนสามัญปกติอย่างเราเข้าไป” ชายคนนั้นหยุดยืนพักเหนื่อยสักครู่
“ตามสบาย เราเองก็ตาบอดมองทางไม่เห็น มีเพื่อนสักคนมาคอยเดินนำทางก็ดีเช่นกัน” นักปราชญ์ขาวตอบ ชายคนนั้นก็หัวเราะเล็กๆ
“ตาบอด แล้วเมื่อกี๊เดินลงมายังไงเนี่ย เอาล่ะ เราชื่อ สัมฤษธิ์ หรือเรียกชื่อเล่นเราว่า วิน ก็ได้จะสั้นกว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้เลืองชื่อของที่นี่ประดิษฐ์สิ่งของต่างๆมาแล้วมากมาย” วินบอก
“แต่ใครๆในเมืองกลับมองท่านว่าเป็นพวกสติแตก โรคจิต แต่เราเองไม่คิดกับท่านเช่นนั้นหรอก” นักปราชญ์ขาวบอกแล้วก็เดินตรงออกไป
“รู้ด้วยซะงั้น เอาล่ะ แต่เราเองก็ประดิษฐ์ของออกมาให้พวกคนในเมืองได้ใช้กัน แม้กระทั่งยังประดิษฐ์หลอดไฟซึ่งทางกษัตริย์เองก็ชอบมาก แต่ทำไมแค่เข้าไปในงานเลี้ยงยังไม่มีใครชวนเลย” วินรีบเดินตามนักปราชญ์ขาวไปพร้อมกับเล่าเรื่องของตัวเองต่างๆนาๆให้ฟัง

เมื่อมาถึงยังประตูทางเข้าพระราชวังที่มีทหารเฝ้าอยู่
“อ๊อ ท่านนักปราชญ์ เชิญเข้าได้เลยครับ” ทหารนายหนึ่งบอก นักปราชญ์ขาวจึงเดินผ่านเข้าไป
“แต่เจ้าบ๊อง เข้าไม่มีบัตรเชิญห้ามเข้า” ทหารนายนั้นผลักวินกระเด็นออกไป
“เขามากับเรา โปรดให้เขาเข้ามาเถอะ” นักปราชญ์ขาวบอก
“ก็ได้ครับ” ทหารนายนั้นบอก วินจึงรีบลุกขึ้นมาด้วยความดีใจและเดินตามเข้าไป

“ขอบคุณท่านนักปราชญ์มากๆเลยนะที่ช่วยเอาไว้ เจ้า 2 ตัวนั้นมันโหดกับเราเสมอ” วินบอก
“เอาล่ะในเมื่อท่านเข้ามาได้แล้วก็จงอย่าไปสร้างความเสียหายใดๆโดยเฉพาะห้ามเข้าใกล้คนที่ใส่ชุดแดง เราบอกอนาคตท่านได้แค่นี้แหละว่าห้ามเข้าใกล้ ขอให้ท่านสนุกกับงานเลี้ยง” นักปราชญ์ขาวเตือนเสร็จวินก็รีบวิ่งตรงเข้าไปยังโต๊ะอาหารทันที นักปราชญ์มองดูสิ่งที่ทำให้ชายคนนั้นมีความสุขได้ เขาเองก็ยิ้มอย่างมีความสุขก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปยังลานกว้างในพระราชวังที่มีเหล่าขุนนาง แม่ทัพและเศรษฐีทั้งหลายอยู่กันจำนวนมาก

“ในที่สุดแขกคนสำคัญของข้าก็มาถึง ขอให้ทุกท่านรู้จักกับนักปราชญ์ขาวผู้เลืองชื่อในเรื่องล่วงรู้อนาคต เขามาบอกภัยร้ายให้กับข้าเพื่อให้ข้าหาทางพ้นจากภัยนั้นเพื่อไม่ให้พวกเราต้องเสียบ้านเกิดเราไป” ราชาแพ๊ค แล้วทุกคนในที่นั้นต่างก็หันไปมองที่นักปราชญ์ขาว
“เรามิใช่บุคคลสำคัญขนาดนั้น ท่านทุกคนจงอย่าได้เชื่อถือยึดติดกับเรามาก” นักปราชญ์ขาวบอกแล้วเขาก็กวาดสายตาไปรอบๆ จนไปสักเกตุเห็นบางสิ่งบางอย่าง เขาเห็นหญิงสาวชุดดำคนหนึ่งชี้ขึ้นไปบนเพดานแล้วพอเขามองขึ้นไปโคมไฟขนาดใหญ่ก็หล่นลงมาใส่

“ท่านนักปราชญ์” เจ้าหญิงพริ้มตบบ่าเบาๆ จนนักปราชญ์ขาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้นี้
“พระธิดามีประสงค์สิ่งใดจากกระหม่อมหรือ” นักปราชญ์ขาวถาม
“ท่านเคยบอกมิใช่หรือว่าจะบอกอนาคตของเราให้ฟังในคืนนี้” เจ้าหญิงพริ้มตอบ นักปราชญ์ก็เริ่มเหงื่อตกทันที เขากวาดสายตาไปรอบๆอีกครั้งก็ไม่เจอหญิงชุดดำแล้ว
“กระหม่อมขอตัวสักครู่ มีเหตุร้ายแรงที่ก่อให้เกิดความตายนับ 10 ในไม่ช้านี้” นักปราชญ์รีบวิ่งตรงไปยังกษัตริย์แห่งเอสจีน่า
“มีอะไรรึ ท่านนักปราชญ์” ราชาแพ๊คถาม
“พระองค์ต้องสั่งให้ผู้คนทั้งหมดออกห่างจากโคมไฟใหญ่บนเพดาน กระหม่อมเห็นในอนาคตว่ามันจะตกลงมาในงานซึ่งมีคนตายจำนวนมาก แต่กระหม่อมมองไม่เห็นว่าอนาคตนี้คือความตายของผู้ใด ซึ่งหากเขารอดไป ความตายนี้ก็จะมายืนเขาอีกซึ่งอาจจะทำให้เกิดเหตุร้ายที่กระหม่อมยังมองไม่เห็น กระหม่อมต้องการพบใครบางคน เพื่อพูดคุยกับยมทูตไม่ให้เอาชีวิตของเขาไป” นักปราชญ์ขาวบอกกษัตริย์ก็วิตกทันทีกับเรื่องที่ได้ยิน เขาจึงปรบมือขึ้นเพื่อเรียกให้คนอื่นนั้นหันมาสนใจในสิ่งที่กษัตริย์กำลังจะพูด

“ตอนนี้โคมไฟบนเพดานมันเริ่มชำรุดอยากให้ทุกท่านโปรดหลีกออกห่างมันซะ เพราะมันอาจจะ...” ทันใดนั้น นักปราชญ์ขาวก็เห็นหญิงชุดดำอีกครั้ง ซึ่งเธอชี้ขึ้นไปข้างบน นักปราชญ์ขาวจึงมองตามขึ้นไป
“ข้ามาเพียงเอาชีวิตของเจ้าหญิงหรือเจ้าจะยอมตายแทนนางก็ได้” หญิงชุดดำนั้นกระซิบเบาๆข้างๆหูของนักปราชญ์ขาว แล้วข้างหน้าของเขาที่มีผู้คนจำนวนมากกำลังยืนฟังสิ่งที่กษัตริย์กำลังพูดอยู่นั้น เจ้าหญิงทั้ง 3 ได้อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย นักปราชญ์ขาวจึงเริ่มลำบากใจว่า ใครคนไหนที่ยมทูตต้องการ แล้วเขาก็เงยมองขึ้นไปบนเพดานอีกครั้ง เขาก็เห็นหญิงชุดดำใช้เคียวขนาดใหญ่ฟันโซ่ที่แขวนโคมไฟขนาดใหญ่จนขาด โคมไฟขนาดใหญ่จึงล่วงลงมา

เมื่อทุกคนทั้งหมดเห็นว่าโคมไฟกำลังล่วงลงมา แต่นั่นมันก็สายเกินไปสำหรับบางคนที่อยู่ตรงกลาง แต่แม่ทัพยะและแม่ทัพปิงก็ได้ช่วยเจ้าหญิงแพรวและเจ้าหญิงพริ้มออกมาได้ทัน เหลือเพียงเจ้าหญิงมุกที่หนีออกมาไม่ทัน นักปราชญ์ขาวจึงดึงผ้าคลุมออกแล้วก็วิ่งตรงเข้าไปด้วยความเร็วและไม่ให้ผ้าคลุมนั้นมาติดขาตอนวิ่ง เขากระโดดพุ่งชนเจ้าหญิงมุกจนกระเด็นออกไป แต่แล้วโคมไฟขนาดใหญ่ทรงกรวยนั้นก็ปักใส่กลางหลังของนักปราชญ์ขาว
“เจ้าหญิงไม่บาดเจ็บใช่ไหมครับ” นักปราชญ์ขาวพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงแล้วเขาก็สิ้นลม
“มีคนตายมาเก็บศพหน่อย” ลอร์ดอาทบอกในขณะที่ทุกคนกำลังเงียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงของลอร์ดอาททำให้ทุกคนมามองเป็นสายตาเดียวกัน จนลอร์ดอาทกลัวแล้วเขาก็วิ่งออกไปจากงาน

เลือดของนักปราชญ์ขาวที่ไหลนองออกมานั้น รวมทั้งโคมไฟขนาดใหญ่ที่อาจจะแตกกระจายเป็นเศษแก้วทำให้บาดเจ็บได้อีกทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เลย

นักปราชญ์ขาวนอนอยู่ลำพังอย่างเดียวดาย เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้อีก เขานอนหงายมองดูเพดานที่มีโคมไฟที่เอาชีวิตเขาไป แล้วโคมไฟนั้นก็ล่วงลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้นักปราชญ์ขาวกลิ้งตัวหลบได้

“ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งหลังจากที่ยืนดูตะวันลับขอบฟ้าเมื่อเย็น ทำไมกันน้องสาวฉันถึงจ้องจะเอาชีวิตแกโดนแกล้งคนอื่น ต้องลงโทษน้องสาวบ้างแล้วละ ขอโทษด้วยแล้วกัน” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหัวของนักปราชญ์ขาวกล่าวคำขอโทษ
“เราเองก็ไม่อยากบังหน้าด้วยคำว่า นักปราชญ์ขาว อีกเช่นกัน เลือดของเราที่ไหลนองนั้นมันอาจจะปลุก...” นักปราชญ์ขาวพูดอยู่นั้น
“อย่าเอ่ยถึงเขาคนนั้นเลย” ชายคนนั้นบอก
“นอนให้สบาย ข้าจะไปส่งท่านที่เดิม” ชายคนนั้นใช้มือลูบตาของนักปราชญ์ขาวจนปิดทั้งสองข้าง

เมื่อนักปราชญ์ขาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ในโลกปัจจุบัน มือของเขาที่กระดิกนั้นทำให้ผู้คนนั้นตกใจกัน เขาใช้ไม้เท้าเสกมนต์ให้โคมไฟขนาดใหญ่นั้นลอยขึ้นไปจากร่างของเขา

“พ่อบ้านหนุ่ยรีบพานักปราชญ์ขาวไปรักษาตัวด่วน” ราชาแพ๊คสั่ง แล้วทหารจำนวนมากก็วิ่งเข้ามาแบกร่างของนักปราชญ์ขาวตรงไปยังห้องพยาบาล

แล้วงานเลี้ยงทั้งหมดในค่ำคืนนี้ก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพร้อมกับอาหารเสียขวัญ จนหมด หลังจากงานสิ้นสุดลงไป 1 ชั่วโมง ทหารกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาเพื่อทำความสะอาดพื้นที่เปื้อนเลือด แต่แล้วทหารนายหนึ่งก็สงสัยกับเลือดที่ไหลนองแปลกๆ เขาจึงหันหลังและเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดานให้กระจกบนเพดานสะท้อนรอยเลือดบนพื้น แล้วสักพักทหารนายนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากทุกรูของร่างกาย แล้วเขาก็ตายท่ามกลางกลุ่มของทหารนายอื่นๆ ซึ่งไม่มีใครรู้สาเหตุการตายของทหารนายนั้น
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #2 on: July 11, 2006, 05:26:55 AM »

ตอนที่ 3 ความน่ากลัวของ อนาคต

หลายวันต่อมาหลังจากเหตุการณ์โคมไฟถล่มลงมาจบไป นักปราชญ์ขาวก็มีอาการดีขึ้นมา เช้าวันนั้นเขาตื่นขึ้นลุกเดินออกมาจากเตียงออกมายังระเบียงด้านนอกเพื่อสูดอากาศยามเช้าอันบริสุทธิ์ เขาเล่นกับนกน้อยที่บินมาเกาะราวระเบียงอยู่สักพัก

“ท่านนักปราชญ์ เจ้าหญิงพริ้มมีเรื่องอยากจะปรึกษา เจ้าหญิงทรงรออยู่ที่สวนดอกไม้” พ่อบ้านหนุ่ยบอกแล้วเขาก็เดินออกไป
“เดี๋ยวพ่อบ้าน” นักปราชญ์ขาวหันมาทัก พ่อบ้านหนุ่ยจึงหันกลับมา
“มีอะไรเหรอ” พ่อบ้านหนุ่ยถาม
“ไม้เท้า ผ้าคลุม ของเราอยู่ที่ไหนช่วยเอามาให้เราที่นี่ได้ไหม” นักปราชญ์ขาวตอบ พ่อบ้านหนุ่มก็ยิ้มให้ก่อนที่จะเดินออกไป
“ปีกอสูรสีขาว สิ่งชั่วร้ายที่แฝงในรูปความดี ทำไมถึงไม่มีใครมองเห็นมัน” นักปราชญ์ขาวมองดูนกน้อยที่บินมาเกาะที่มือของเขา เขาจึงใช้อีกมือหนึ่งสัมผัสลูบนกตัวนั้นเบาๆ สักพักนกน้อยตัวนั้นก็มีปีกสีขาวงอกออกมาจากหลังของมันทั้ง 2 ข้าง ก่อนที่มันจะบินจากไป

ไม่นานนักพ่อบ้านหนุ่ยก็เอาสิ่งของที่นักปราชญ์ขาวต้องการมาให้ นักปราชญ์ขาวจึงสวมผ้าคลุมขนาดใหญ่คลุมทั้งร่างของเขาแล้วก็เดินออกไปจากห้องพร้อมกับไม้เท้าคู่ใจ

เมื่อนักปราชญ์เดินมาถึงสวนดอกไม้ที่มีต้นไม้และดอกไม้มากมายเรียงรายไปทั่ว เขาเดินชมดอกไม้ไปสักพักจนมาถึงศาลาพักกลางสวน
“สวัสดียามเช้าท่านนักปราชญ์ นี่เราคงไม่รบกวนท่านที่ยังบาดเจ็บอยู่ใช่ไหม” เจ้าหญิงพริ้มทักทาย นักปราชญ์ได้ยินเสียงอันอ่อนหวานของเจ้าหญิงเขาจึงเดินตามเสียงนั้นไป
“เจ้าหญิงทรงมีประสงค์สิ่งใดให้กระหม่อมช่วยหรือ” นักปราชญ์ขาวเดินขึ้นมานั่งในศาลา
“คือ หลายเดือนมาแล้ว ท่านแม่เคยให้กระจกชิ้นสำคัญที่สวยและงดงามก่อนที่ท่านแม่สิ้นพระชนม์ แต่เราทำมันล่วงลงไปในแม่น้ำคอลเวีย ซึ่งเราอยากจะได้มันกลับมามันเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ดูต่างหน้าท่านแม่ได้ ท่านนักปราชญ์พอรู้ไหมว่าตอนนี้กระจกนั้นอยู่ตรงส่วนไหนของแม่น้ำ” เจ้าหญิงพริ้มถาม
“กระหม่อมสามารถมองอนาคตได้ แต่ไม่สามารถมองดูอดีตของใครๆได้นอกจากตัวเอง กระหม่อมคงตอบคำถามนี้ของเจ้าหญิงไม่ได้ แต่จากกระแสน้ำที่ไหลมาจากทางตอนเหนือแล้วนั้น ถ้าเป็นไปได้กระจกนั้นอาจจะไหลวนอยู่ธารน้ำใต้ปราสาทนี้” นักปราชญ์ขาวตอบ
“ขอบคุณท่านนักปราชญ์มากๆเลยที่ช่วยตอบให้เรา” เจ้าหญิงพริ้มพูดขึ้นด้วยความดีใจ
“แค่กระหม่อมได้ช่วยก็เกินพอแล้ว” นักปราชญ์ขาวยิ้มให้ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินออกไป
“เดี๋ยว ท่านเคยบอกใช่ไหมว่าจะทำนายอนาคตของเรา ตอนนี้ไหนๆก็มาแล้วก็ช่วยบอกเราให้หายสงสัยที” เจ้าหญิงพริ้มบอก นักปราชญ์ขาวจึงนั่งลงและสูดอากาศหายใจลึกๆ

“เจ้าหญิงทรงแน่ใจแล้วเหรอว่าอยากจะรู้อนาคต” นักปราชญ์ขาวถาม เจ้าหญิงพริ้มก็เริ่มไม่มั่นใจกับคำพูดของนักปราชญ์
“ทำไมกัน อนาคตของเรามันเลวร้ายมากเลยเหรอ” เจ้าหญิงพริ้มถาม
“กระหม่อมมิอาจที่จะบอกได้ แต่หากเจ้าหญิงอยากรู้ กระหม่อมก็พร้อมที่จะเปิดทางสู่อนาคตให้เจ้าหญิงได้ดูมันด้วยตนเอง” นักปราชญ์ขาวตอบ
“ถ้าเรามองมันแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น” เจ้าหญิงพริ้มถามให้หายสงสัย
“อนาคต” นักปราชญ์ขาวตอบแล้วเขาก็เปิดผ้าคลุมที่คลุมหัวอยู่ออก เจ้าหญิงพริ้มเห็นก็ตะลึงนิดๆกับดวงตาสีขาวทั้งสองข้างของนักปราชญ์ขาว
“กระหม่อมบอกได้แค่ อนาคตของคนเราทุกคน มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่เจ้าหญิงพร้อมที่จะเห็นมันล่วงหน้าหรือเปล่า ถ้าพร้อมจงใช้แววตาทั้งสองข้างของเจ้าหญิงมองเข้ามายังในดวงตาของกระหม่อม แต่ขอบอกก่อนว่า อนาคตของทุกๆคนหากใครได้เห็นแล้วแม้แต่องค์กษัตริย์ก็ยังหวาดกลัว” นักปราชญ์ขาวบอก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าหญิงเธอจึงตัดสินใจมองดูอนาคตของตัวเอง

เจ้าหญิงพริ้มมองดูอยู่สักพักจนภาพทุกอย่างที่เธอเห็นนั้นขาวไปหมด นานเข้าจนเธอเริ่มแสบตาเธอก็กระพริบตา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเธอนั้นมาอยู่ในท้องพระโรง
 
“เร็วๆเข้ามาแล้วปิดประตูให้หมด คุ้มครองพระองค์กับเจ้าหญิงมุกให้ดี” แม่ทัพหรี่สั่ง เจ้าหญิงพริ้มจึงหันไปยังประตูตะวันออกของห้องก็เห็นทหารจำนวนมากที่รายล้อมกษัตริย์แห่งเอสจีน่า แล้วอีกฟากหนึ่งคือประตูตะวันตก
“ท่านพ่อนี่มันเกิดอะไรขึ้น” เจ้าหญิงแพรววิ่งเข้ามาถามราชาแพ๊ค
“เจ้าหญิงพริ้ม วิ่ง” แม่ทัพปิงตะโกนบอก แล้วทหารกับเขาก็หยุดหันหลังตั้งท่าสู้

เจ้าหญิงพริ้มในปัจจุบันยืนมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆด้วยอาการที่ตกตะลึง

สักพักทหารและแม่ทัพปิงก็ค่อยๆถอยออกมาและปิดประตูหน้า ทันใดนั้นประตูหน้าก็พังปรากฏชายชุดดำเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เจ้าหญิงพริ้มในปัจจุบันมองดูชายชุดดำอย่างใจจดใจจ่อ แต่แล้วเธอก็หวาดผวาขึ้นเมื่อชายชุดดำนั้นเหมือนกับมองเห็นเธอและหันมามองที่เธอซึ่งจุดที่เธอยืนอยู่นั้นไม่มีใครอื่นอีกแล้ว
“เอาเถอะ เจ้าแว่น แก่แล้วเตรียมตัวตายซะเถอะ” ชายชุดดำบอก
“กล้าพูดกับกษัตริย์แบบนี้เหรอ ตายซะเถอะ” แม่ทัพปิงและทหารกลุ่มนั้นต่างวิ่งเข้าโจมตีใส่ชายชุดดำ
“3 วินาทีสำหรับการหลบโจมตีของข้า อ๊า...” ชายชุดดำแปลงร่างเป็นอสูรกายมีกงเล็บที่แหลมคมและมีร่างกายที่ใหญ่โตพร้อมกับสยายปีกออกมา พุ่งเข้าขย่ำทหารเหล่านั้น และสะบัดหางไปโดนแม่ทัพปิงจนกระเด็นออกไป

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก...........................

อสูรกายหน้าขนนั้นหอนขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วเงาของมันก็ขยายกว้างขึ้นและทหารเหล่านั้นและแม่ทัพปิงก็ค่อยๆถูกดูดหายลงไปในเงาพร้อมกับอสูรกายตัวนี้
“แม่ทัพปิง” เจ้าหญิงพริ้มในอนาคตพยายามจะเข้าไปช่วย แต่พี่ๆของเธอต่างดึงรั้งเอาไว้

สักพักชายชุดดำก็ลอยขึ้นมาจากเงาของตนในสภาพคนปกติ
“เกราะเหล็กเคี้ยวยากจริง ว่าไง เจ้าแว่น จะยอมส่งมาให้ข้าหรือไม่” ชายชุดดำถาม
“ไม่ ข้าไม่มียกลูกสาวให้กับแกเป็นอันขาด ไอ้ตัวประหลาด” ราชาแพ๊คตอบ
“หรี่ ลุยมัน” แม่ทัพยะบอกแล้วทั้งคู่พร้อมกับทหารก็วิ่งเข้ามาขวางทางไว้
“หลบไป ข้ากินจนอิ่มแล้ว” ชายชุดดำบอกแล้วเขาก็เดินตรงเข้ามา
“ลุย” แม่ทัพยะและแม่ทัพหรี่ต่างวิ่งเข้าโจมตีพร้อมกัน

ทันทีที่กลุ่มทหารบุกเข้าโจมตี ก็มีควันดำปรากฏขึ้นรอบๆตัวชายชุดดำ เมื่อทหารบุกเข้ามาถึงก็มีคลื่นบางอย่างพัดจนพวกเขากระเด็นออกมายกเว้นทหารแถวหน้า
“นั่นมันลมอะไรกัน” แม่ทัพหรี่รีบลุกขึ้นมาทันที แล้วแม่ทัพทั้งสองและเจ้าหญิงต่างก็ตกใจกับภาพที่ทหารแถวหน้านั้นร่างขาดเป็นสองท่อน แล้วก็มีดาบขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ในมือของชายชุดดำ
“ข้ากินอิ่ม ทีนี้ก็ถึงเวลาออกกำลังกายไง เข้ามาสนุกด้วยกันซิ” ชายชุดดำกวัดมือเรียก ด้วยความโมโหแม่ทัพทั้งสองจึงวิ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง โดยแม่ทัพหรี่ก้มตัวฟันและแม่ทัพยะกระโดดขึ้นฟัน  แต่เมื่อคมดาบนั้นฟันถูกตัวของชายชุดดำที่ยืนนิ่ง ร่างกายของเขาก็กลายเป็นควันสีดำสลายไปและปรากฏขึ้นด้านหลังพวกเขา แล้วทหารที่เหลือต่างก็วิ่งเข้าโจมตีทันที

การต่อสู้ของชายชุดดำและทหารนับร้อยได้เริ่มขึ้น แต่การตะหวัดดาบของชายชุดดำแต่ละครั้งนั้นทำให้ทหารจำนวนมากตายไปอย่างรวดเร็ว สองแม่ทัพใจกล้าจึงรีบวิ่งเข้าโจมตีทันทีไม่เปิดโอกาสให้ชายชุดดำได้ตั้งตัวโดยเข้าโจมตีตอนจังหวะที่ชายชุดดำกระโดดขึ้น ซึ่งแม่ทัพยะกระโดดฟันอีกครั้ง และแม่ทัพหรี่ก็ใช้ดาบแทงขึ้นมาจากข้างล่าง ชายชุดดำเห็นคมดาบของแม่ทัพยะแล้วเขาจึงหมุนตัวเหยียบดาบของแม่ทัพยะเพื่อดันตัวกระโดดสูงขึ้นไปอีกแล้วเขาก็ตกลงมาใช้ดาบขนาดใหญ่ฟันใส่แม่ทัพหรี่อย่างรวดเร็วจนตายในทันทีแล้วเขาก็ตะหวัดเป็นวงรอบทำให้ทหารและแม่ทัพยะนั้นกระเด็นออกไป เมื่อแม่ทัพยะลุกขึ้นมาชายชุดดำก็พุ่งเข้ามาใช้ดาบแทงทะลุร่างของแม่ทัพหนุ่มผู้กล้า ชายชุดดำค่อยๆปล่อยร่างของแม่ทัพหนุ่มให้ล้มลงอย่างช้าๆและมองดูเจ้าหญิงทั้งสามและกษัตริย์แห่งเอสจีน่า

“แล้วในที่สุดก็ไม่มีทหารหน้าไหนจะคุ้มครองกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อีกแล้ว” ชายชุดดำค่อยเดินเข้ามาอย่างช้าๆเพราะกับเหลือบสายตามองไปที่เจ้าหญิงพริ้มในปัจจุบันที่ทนรับกับภาพการฆ่ากันอย่างโหดร้าย
“แกต้องการอะไร หากต้องการชีวิตข้า ก็ฆ่าข้าซะแล้วปล่อยลูกสาวของข้าไปซะ” ราชาแพ๊คถาม
“ตอนแรกข้าขอดีๆ เจ้ามิให้เอง ข้าเลยหมดอารมณ์ไม่อยากได้อะไรแล้วก็คิดว่าฆ่าไปให้หมดจะสิ้นเรื่องกว่า” ชายชุดดำตอบแล้วดาบขนาดใหญ่ในมือของเขาก็สลายกลายเป็นควันจางหายไป
“ไม่ยังเหลือข้าอีก 1 คน ถ้าจะฆ่าเจ้าหญิงและองค์ราชา ต้องข้ามศพข้าไปก่อน” ลอร์ดอาทเดินเข้ามายังประตูใหญ่ ชายชุดดำจึงหันกลับไปมอง แล้วเขาก็หัวเราะขึ้น
“ปืนในลูกกระสุน 1 นัด ถ้าคิดว่ายิงข้าโดนก็เอาซะ หรือที่จริงแกกล้ายิงหรือเปล่า” ชายชุดดำหันกลับไปแล้วลอร์ดและกษัตริย์ต่างก็ตะลึงเมื่อจู่ๆเจ้าหญิงมุกก็ถูกชายชุดดำจับไปตอนไหนไม่มีใครเห็น ซึ่งกษัตริย์แห่งเอสจีน่าให้มาดูก็ไม่เห็นลูกสาวของตน
“ยิงมาซิ จะดูซิว่าแม่นแค่ไหน” ชายชุดดำบอก
“ปล่อยตัวเจ้าหญิงไปซะ” ลอร์ดอาทขึ้นเสียงใส่แล้วมือของเขาก็ค่อยๆสั่น
“ข้าจะนับแค่ 1” ชายชุดดำบอกซึ่งมือข้างหนึ่งของเขาปิดปากของเจ้าหญิงเอาไว้แล้วมืออีกข้างหนึ่งก็ล๊อคคอของเธอ

“ขอโทษด้วยเจ้าหญิง” ลอร์ดอาทกดไกปืนแต่จู่ๆกระสุนนั้นกลับพุ่งเข้าใส่กลางหน้าผากของตนตายไปในทันที ชายชุดดำเห็นก็หัวเราะขึ้น
“เจ้าโง่” เขาหันกลับมาหากษัตริย์และเจ้าหญิงองค์อื่นอีกครั้ง
“ปล่อยตัวลูกข้าไปซะ” ราชาแพ๊คคุกเข่าลง
“1...” ชายชุดดำนับเลขตายที่เขาบอกแล้วเขาก็เล็บอันแหลมคมปาดคอเจ้าหญิง เจ้าหญิงพริ้มในปัจจุบันเห็นแล้วก็ร้องไห้ออกมาทันที เธอมองดูร่างของพี่สาวค่อยๆล้มลงไป
“อ๊า ข้าทำตามที่เจ้าขอแล้ว ข้าปลดปล่อยวิญญาณของลูกสาวเจ้าไปไง” ชายชุดดำบอก ด้วยความโกรธของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาลุกขึ้นวิ่งตรงเข้าไปและควักมีดที่ซ่อนอยู่ออกมาแทงเข้าที่ท้องของชายชุดดำ
“เจ้าแทงข้า แล้วต่อไป เจ้าคิดยังไงบ้างละ” ชายชุดดำดึงมีดสั้นนั้นออกและเอาแทงใส่ท้องของกษัตริย์เอสจีน่า
“ท่านพ่อ” เจ้าหญิงทั้งสองต่างร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“คราวนี้ก็เหลือสาวงามทั้ง 2 แห่งเอสจีน่า แต่น่าเสียดายที่ต้องมาจบชีวิตลงในวันนี้ คอแห้งขึ้นมาแล้วซิวันนี้พูดมากไปหน่อย” ชายชุดดำเอามือจับที่คอของเขา เจ้าหญิงทั้งสองจึงหันหลังเพื่อที่จะวิ่งหนี แต่แล้วชายชุดดำก็พุ่งเข้ามาคว้าตัวเจ้าหญิงแพรวเอาไว้ได้
“พริ้ม หนีไป” เจ้าหญิงแพรวบอกเสร็จชายชุดดำก็ฝังเขี้ยวลงที่คอของเจ้าหญิงเพื่อดูดเลือดอันหอมหวาน เจ้าหญิงพริ้มเห็นแล้วจึงวิ่งหนีไปตามคำที่พี่สาวได้บอกไว้

“หนีไปเลย หนีไปให้สุดจักรวาล เจ้าก็ไม่รอดถ้าข้าฆ่าเจ้าในอดีตได้ซะก่อน” ชายชุดดำทิ้งร่างไร้วิญญาณของเจ้าหญิงและหันมามองที่เจ้าหญิงพริ้มในปัจจุบัน
“ไม่ เขาเห็นเราหรือเนี่ย นักปราชญ์ช่วยฉันด้วย” เจ้าหญิงพริ้มเดินถอยออกห่างจากตัวชายชุดดำ ซึ่งเขาค่อยๆเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“ไม่มีทางหนีกลับโลกจริงของเธอได้หรอก” ชายชุดดำใช้หมัดซ้ายอัดใส่แต่เจ้าหญิงพริ้มก้มตัวหลบด้วยความกลัว เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็เห็นขนนกสีขาวมากมายหล่นอยู่รอบๆตัว เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเธอก็มาอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ที่มีแสงอันมหาศาลสว่างจ้าเข้ามา ซึ่งมีชายคนหนึ่งยื่นมือออกมา
“ไม่......” ชายชุดดำรีบวิ่งตรงมาที่เจ้าหญิง แต่เธอก็จับมือชายผู้นำทางออกไปจากโลกอนาคตอันน่ากลัว

“ฮ๊า...” เจ้าหญิงพริ้มสะดุ้งตื่นขึ้นมาในศาลาในสวนดอกไม้ ร่างกายของเธอนั้นเปียกท่วมไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมา พร้อมกับหายใจอย่างแรงด้วยความกลัว
“อนาคต มันไม่สามรถหลีกเลี่ยงได้ นี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะเราหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ และเราเห็นมาก่อนว่าจะต้องเจอ แต่เราก็ไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดได้ แต่ถ้าเจ้าหญิงยังมีผู้นำทางอย่างกระหม่อมอยู่ กระหม่อมรับรองว่า ชายชุดดำจะไม่สามารถทำอะไรเจ้าหญิงได้ กระหม่อมขอตัวลา ส่วนเรื่องกระจก คืนนี้กระหม่อมยินดีลงไปยังธารน้ำใต้ปราสาทเพื่อหามันมาให้” นักปราชญ์ขาวเล่าให้ฟังเสร็จเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงเจ้าหญิงพริ้มที่ยังหวาดกลัวกับสิ่งที่ตนเจอมา
“ทำไมกัน ชายชุดดำคนนั้นเป็นใครกัน จริงซิ.... เดี๋ยวท่านนักปราชญ์” เจ้าหญิงพริ้มเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะเรียก แต่ก็ไม่เห็นนักปราชญ์ขาวอีกแล้ว แต่เธอกลับเห็นขนนกสีขาวล่วงอยู่บนโต๊ะในศาลาเธอจึงเก็บมันขึ้นมาและเก็บมันไว้กับตัวก่อนที่จะเดินออกไปจากสวนดอกไม้
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #3 on: July 11, 2006, 05:27:24 AM »

ตอนที่ 4 เส้นทางลับธารน้ำ กับ สาวน้อยผู้นำทาง

เย็นวันนั้น เจ้าหญิงพริ้มที่กำลังจะบอกอะไรบางอย่างให้นักปราชญ์แต่เธอวิ่งจนทั่วพระราชวังก็ยังไม่พบนักปราชญ์เลย จนเธอวิ่งเข้ามาในท้องพระโรงซึ่งมีกษัตริย์แห่งเอสจีน่านั่งอยู่

“ท่านพ่อค่ะ ท่านพ่อเห็นนักปราชญ์ขาวไหมค่ะ” เจ้าหญิงพริ้มถาม
“เขาเพิ่งเดินออกไปก่อนลูกจะมาเอง มีเรื่องอะไรเหรอ” ราชาแพ๊คตอบ เจ้าหญิงพริ้มจึงส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับยิ้มให้ก่อนที่จะวิ่งออกประตูใหญ่ไป

ที่บ้านเก่าหลังหนึ่งย่านชานเมือง เสียงกระดิ่งประตูได้ดังขึ้น
“วันนี้ไม่ขายของ ไป ไป กลับไป” นักประดิษฐ์หนุ่มวินตะโกนไล่ออกมา
“ท่านแน่ใจแล้วหรือที่ไล่เราเช่นนั้น” วินได้ยินเสียงแล้วเขาก็ทิ้งจากงานประดิษฐ์ของเขาหันมามองก็เห็นนักปราชญ์ขาว
“อ้าว ท่านนักปราชญ์ เราไม่รู้ว่าเป็นท่าน เชิญเข้ามาก่อนซิ” วินรีบวิ่งออกมารับทันที แล้ววินก็จัดเตรียมน้ำมาให้นักปราชญ์ขาวได้ดื่มพักเหนื่อย
“เรามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย” นักปราชญ์ขาวบอก
“วินคนนี้ยินดีช่วย ครับโผ๊ม” วินรีบรับปากทันทีพร้อมกับยิ้มให้อย่างเข้มแข็งโดยไม่ฟังว่าเรื่องนั้นจะเป็นอะไร
“เนื่องจากเราเห็นว่าท่านมีสิ่งประดิษฐ์มากมายซึ่งบางอย่างอาจจะมีประโยชน์ต่อเรา เราอยากให้ท่านช่วยนำสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ประโยชน์ในที่มืดๆได้ และเราอยากให้ท่านไปธารน้ำใต้ปราสาทกับเรา” นักปราชญ์ขาวเล่าให้ฟัง ทันใดนั้นรอยยิ้มอันเปร่งปรั่งของวินก็เหี่ยวลงทันที
“อ๊า ถ้ำสยองขวัญ ท่านนักปราชญ์แน่ใจเหรอว่าจะเข้าไป ข่าวเขาลือกันมากมายเกี่ยวกับที่นั่นว่า หากมีใครเข้าไปจะไม่ได้กลับออกมานอกจากมีเลือดที่ไหลออกมาพร้อมกับกระแสน้ำ” วินเล่าให้ฟัง แต่นักปราชญ์ขาวก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า
“แต่จะว่าไป เราเองก็ยังไม่มีคนที่จะสามารถนำทางเราไปได้เลย ท่านพอจะรู้บ้างมั้ยว่ามีใครที่พอรู้ทางในธารน้ำนั่น” นักปราชญ์ขาวถาม
“ไม่รู้เลยละ แต่ถ้าเป็นแผนที่แล้ว ที่วิหารฟ้า มีแม่ชีคนหนึ่ง เธอเป็นคนเก็บรักษาแผนที่ปราสาทเก่ารวมทั้งธารน้ำนั้นด้วย” วินตอบ
“งั้นถ้าหากท่านไม่ต้องการจะไป เราไปคนเดียวเองก็ได้ เพราะคนอื่นๆก็ปฏิเสธเราเช่นนี้เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหญิงพริ้มต้องการกระจกชิ้นสำคัญที่ทำหายไปในนั้นแล้ว เราเองก็ไม่อยากไปหรอก” นักปราชญ์ขาวบอก
“เจ้าหญิงพริ้มเหรอ ให้ข้าไปด้วย ถ้าข้าช่วยสำเร็จ ข้าจะได้เข้าวังได้หรือเปล่า” วินถาม
“ได้แน่นอน ท่านจะได้รับความดีความชอบจากองค์กษัตริย์ด้วย” นักปราชญ์ขาวตอบ
“งั้นไปกันเลย เดี๋ยวขอเตรียมขอแปป” วินรีบวิ่งเข้าไปในห้องเก็บของพร้อมกับความดีใจ
“เราเองจะไปรอท่านที่วิหารฟ้าแล้วกัน” นักปราชญ์ขาวบอก
“เดี๋ยวข้าจะตามไป…” วินวิ่งออกมาตอบแต่ก็ไม่เห็นนักปราชญ์ขาวอีกแล้ว
“ไปไหนของเขา เร็วจัง” วินสงสัยขึ้นมาทันทีแล้วเขาก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อเตรียมสิ่งประดิษฐ์
“วิน ท่านเห็นนักปราชญ์ขาวหรือเปล่า” เสียงของเจ้าหญิงพริ้มดังขึ้นมาจากหน้าประตู
“อ๊อ เขาเพิ่งออกไปก่อนหน้าเจ้าหญิงจะมาแปปเดียวเอง พะยะค่ะ” วินตอบ
“แล้วรู้ไหมเขาจะไปที่ไหนกัน” เจ้าหญิงพริ้มถามอีกที
“เขาบอกจะไปรอที่วิหารฟ้า…” เมื่อเจ้าหญิงได้ยินแค่นั้นเธอก็มุ่งหน้าไปยังวิหารฟ้าทันที

ที่วิหารฟ้า แม่ชีแตงกวากำลังทำความสะอาดเทวรูปเทพธิดาฟ้า เทวรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง
“ดาดยามเช้าสาดส่อง แม่ชีจงอย่าเพิ่งปัดฝุ่นเลย เทพธิดา จะไม่พอใจเอา เพราะนี่คือช่วงวิกาลแห่งสรวงสวรรค์” เสียงของนักปราชญ์ดังขึ้น แม่ชีแตงกวาจึงหันมามอง
“ท่านนักปราชญ์ ท่านมีธุระอันใด” แม่ชีแตงกวาถาม
“คนในเมืองบอกมากันว่า แม่ชีมีแผนที่ธารน้ำใช่หรือเปล่า” นักปราชญ์ขาวตอบ
“ใช่ เราคอยเก็บรักษามันไว้อย่างดี หากท่านนักปราชญ์ต้องการ เราก็จะเอามาให้” แม่ชีจึงเดินเข้าไปยังห้องข้างๆ นักปราชญ์ขาวจึงเดินมายังหน้าเทวรูปและก้มหัวหลับตาลง
“เทพธิดาฟ้า ช่วยให้พรแก่เราด้วยเถอะ” นักปราชญ์ขาวอธิฐานในใจ
“ยามน้ำนิ่ง ทุกสิ่งจะหยุด นกขาวน้อยสี่ปีกของท่านจะช่วยทุกอย่าง” เสียงอันอ่อนโยนแต่แฝงด้วยพลังและความแข็งแกร่งในเสียงนั้นดังขึ้นมาข้างๆหูของนักปราชญ์เหมือนมีคนมากระซิบ เมื่อนักปราชญ์ขาวเงยหน้าขึ้นมาก็มีแสงสว่างจ้าขึ้นส่องแสงมาจากเทวรูป เขาเห็นเงาลางๆของเทพธิดาฟ้าที่มองดูเขาอยู่ แต่แล้วแม่ชีแตงกวาก็เข้ามา แสงทุกอย่างจึงดับไป

“ท่านจงเก็บรักษามันไว้ให้ดี ต้นตระกูลของเรานั้นเป็นผู้เขียนแผนที่นี้ขึ้นและสืบทอดรักษาต่อๆกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งแผนที่นี้มันค่อนข้างจะเข้าใจยาก จึงไม่มีใครนิยม แต่เราก็ช่วยท่านได้แค่นี้” แม่ชีแตงกวาส่งม้วนแผนที่ให้
“ขอบคุณท่านแม่ชีมาก เสร็จจากงานแล้ว เราจะรีบนำเอามันมาคืนให้ท่านแม่ชีทันที” นักปราชญ์ขาวบอกเสร็จเขาก็เดินออกไป แม่ชีจึงหันกลับมาทำความสะอาดฐานเทวรูป แต่ยังไม่ทันได้จับผ้า
“แม่ชีแตงกวา ท่านเห็นนักปราชญ์ที่ใส่ชุดขาวๆหรือเปล่า” เจ้าหญิงพริ้มถาม
“นักปราชญ์ขาวเพิ่งยืมแผนที่เราไปเอง แล้วเขาก็เพิ่งเดินออกไป เขาไม่ได้สวนทางกับเจ้าหญิงเลยเหรอ เขาออกไปก่อนที่เจ้าหญิงจะถามเราขึ้นไม่ถึง 3 วินาทีเอง” แม่ชีแตงกวาตอบ
“งั้นขอโทษแม่ชีด้วยที่เรามารบกวนเวลาทำความสะอาดเทวรูป” เจ้าหญิงพริ้มเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างแรงเกี่ยวกับนักปราชญ์ขาว แล้วเธอก็เดินออกไปจากวิหารฟ้า

เมื่อเจ้าหญิงพริ้มเดินพ้นออกมาจากวิหารฟ้า เธอก็เดินตรงกลับไปยังพระราชวัง
“ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องการบอกสิ่งนั้นกับเราขนาดนั้น เจ้าหญิงทรงเก็บความลับนั้นไว้ด้วยตัวเองเถอะ” นักปราชญ์ขาวที่นั่งอยู่บนปลายยอดหลังคาวิหารฟ้าที่กำลังมองดูเจ้าหญิงพริ้มเดินกลับไปอย่างช้าๆ
“ความงามและความเย็นชาของน้ำแข็ง ค่ำคืนนี้เราคงต้องพึ่งท่าน” นักปราชญ์ขาวมองดูแท่งน้ำแข็งที่ตนถืออยู่ในมือ และเขาก็เงงยหน้ามองดูแสงตะวันที่ใกล้จะลับขอบฟ้าในอีกวันหนึ่ง

“โอ้ ท่านนักปราชญ์ ท่านไปนั่งอะไรอยู่บนนั้น” วินตะโกนเรียกนักปราชญ์ขาวทันที ด้วยเสียงที่ตะโกนอันดังทำให้เจ้าหญิงพริ้มได้ยินและหันกลับมาดู แต่เธอก็ไม่เห็นนักปราชญ์ขาวนอกจากผ้าคลุมผืนสีขาวขนาดใหญ่ลอยไปตามกระแสลมจากยอดหลังคาวิหาร
“ทำไมท่านต้องคอยหลบเราด้วย ท่านนักปราชญ์” เจ้าหญิงพริ้มพูดด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะหันหลังกลับและเดินตรงกลับไปยังพระราชวัง
เมื่อผ้าคลุมนั้นลอยลงมา นักปราชญ์ขาวก็ปรากฎตัวออกมาจากผ้าคลุมก่อนที่ผ้าคลุมนั้นจะตกถึงพื้น
“สุดยอด ท่านนักปราชญ์ทำได้อย่างไรกัน” วินตะลึงกับสิ่งประหลาดที่ตนไม่เคยพบเจอ
“เราไปกันเถอะ” นักปราชญ์ขาวบอกแล้วเขาก็เดินตรงที่ยังท่าน้ำเล็กๆใกล้ๆ

“ท่านพอจะให้เรายืมเรือท่านได้ไหม” นักปราชญ์ขาวถามชายคนหนึ่งที่กำลังนอนซมอยู่ริมท่า
“500 ส่งมาก่อน ไม่งั้นไปให้ไกลถ้าไม่อยากโดนลูกปืนเป่าหัว” ชายคนนั้นตอบ นักปราชญ์ขาวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“เราไม่มีเงินทองติดตัวเลย เราแค่ขอยืมเรือท่านเท่านั้น” นักปราชญ์ขาวพูดอยู่นั้น ชายขี้เมาก็หลับไป
“ไม่เห็นยากเลย ท่านนักปราชญ์ ไอ้นนมันเมาอยู่หลับไม่รู้เรื่อง เอาเรือไปมันไม่รู้หรอก” วินบอกแล้วเขาก็กระโดดข้ามชายคนนั้นไปขึ้นเรือ นักปราชญ์ขาวเห็นแล้วจึงเดินตามขึ้นไป แล้วทั้งคู่ก็ออกเรือตรงไปยังปราสาทเก่า

จิ๊บ...จิ๊บ...จิ๊บ...

เสียงนกตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ขอบเรือ ซึ่งนกตัวนั้นเป็นนกน้อยสีขาวที่มีสี่ปีก นักปราชญ์ขาวก็ลูบเจ้านกน้อยเบาๆ
“โอ้ นี่สัตว์เลี้ยงของท่านเหรอ ท่านนักปราชญ์มหัศจรรย์ดีแท้นก 4 ปีก” วินตะลึงกับนกที่เขาไม่เคยเห็น
“เขาเป็นเด็กน้อยที่เราเก็บมาเลี้ยงไว้เอง” นักปราชญ์ตอบ ทำให้วินงงกับคำพูดของนักปราชญ์มากขึ้น

แล้วแสงตะวันก็ลาลับไปจากเมือง ทันใดนั้นก็มีแรงลมพัดออกมาอย่างแรงจากปากทางเข้าธารน้ำใต้ปราสาท พอแรงลมนั้นหายไป วินก็สังเกตเห็นเงาของสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ว่ายอยู่ใต้ท้องเรือซึ่งมันมีขนาดใหญ่กว่าเรือถึง 5 เท่า ด้วยขนาดของมันทำให้วินนั้นตกใจกลัวมากๆ
“ท่านนักปราชญ์เรากลับกันเถอะ มีตัวอะไรไม่รู้อยู่ใต้ท้องเรือ” วินบอก
“เต่าวอลเนีย เต่ายักษ์ผู้ใจดี เขาไม่ทำอะไรเราหรอก เขามาปกป้องเราด้วยซ้ำจากปลาร้ายอื่นๆ เพราะถ้ามีเขาอยู่ข้างล่าง ปลาตัวอื่นๆจะไม่กล้ามาทำร้ายเรือเรา” นักปราชญ์ขาวตอบ
“ทำไมท่านนักปราชญ์อารมณ์ดีอย่างนี้ เรื่องที่มันน่ากลัว เลวร้าย ท่านกลับยิ้มและยังดีใจอยู่ได้ แปลกคนดีจัง” วินหัวเราะแฮะๆ
“เพราะเราไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนไง เอารีบพายเข้าไปในปราสาทเถอะ เพราะเต่าวอลเนียมาส่งเราได้แค่นี้ หากอยู่นานปลาร้ายอื่นๆอาจจะเข้ามาโจมตีเรือเราได้” นักปราชญ์ขาวพูดเสร็จด้วยความกลัวของวิน เขารีบพายเรือเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาทั้งสองลงมาจากเรือแล้วก็มาอยู่ท่าเรือใต้ปราสาท
“มืดขนาดนี้ต้องนี่ สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยม ไฟฉายของวิน” วินควักไฟฉายออกมา แต่เมื่อเขาเปิดไฟส่องเขาทั้งสองก็เห็นโครงกระดูกถือดาบกำลังจะฟันใส่พวกเขา
“ท่านพ่อหลบไป” เสียงของสาวน้อยคนหนึ่งดังขึ้น แล้วนกน้อยสี่ปีกก็แปลงร่างเป็นสาวน้อยคนหนึ่งออกมาโจมตีใส่โครงกระดูกนั้นจนสลายไป วินตะลึงทันที
“ดุจประกายไฟแห่งชีวิตยามใดที่ข้าตายจงดับมันไป” นักปรชาญ์ขาวท่องคาถาบางอย่างแล้วลูกแก้วที่หัวไม้เท้าของเขาก็ส่องแสงสว่างขึ้น วินก็ตะลึงอ้าปากค้างทันทีเมื่อเห็นสาวน้อยคนหนึ่งที่มีปีกสีขาว 4 ข้างและเรือนร่างปกคลุมไปด้วยขนนก แล้วเธอก็หันมา
“ท่านพ่อไม่เป็นไรใช่ไหมค่ะ” สาวน้อยคนนั้นถาม
“บอกแล้วเขาก็แค่เด็กน้อยที่ฉันเก็บมาเลี้ยง แต่ให้ความรักเหมือนกับเขาเป็นลูกสาวคนหนึ่ง” นักปราชญ์ขาวบอก
“กระผม วิน อยากทราบชื่อของเธอได้ไหมครับ” วินถามทันที
“ชื่อ ลูน่า ค่ะ พอรู้ว่าท่านพ่อจะมาในที่อันตรายหนูเองก็ต้องมาคอยปกป้องท่านพ่อเอาไว้” ลูน่าตอบ
“ลูน่า เป็นภาษาลาติน ที่แปลว่า ดวงจันทร์ เพราะเราเก็บเธอมาเลี้ยงในคืนพระจันทร์เต็มดวง ก็เลยตั้งชื่อให้เธออย่างนั้น” นักปราชญ์ขาวบอก
“ไปเถอะท่านพ่อหนูจะคอยคุ้มครองพ่อตลอดทางเอง” ลูน่าพูดเสร็จก็เดินตรงเข้าไปข้างใน
“ชอบลูกสาวเราละซิ นี่เธอเป็นลูกคนที่ 7 จากลูกสาวของเราทั้งหมด 12 คน เธออายุแค่ 15 ปี ถ้าไปกับเราก็คงได้เห็นลูกสาวของเราคนอื่นๆ” นักปราชญ์ขาวแซวเล่นๆเบาๆ แล้วเขาก็เดินตามลูน่าเข้าไปข้างใน เมื่อวินได้สติหลังจากที่ตาค้างกับความงามของลูน่าแล้วเขาก็รีบวิ่งตามเข้าไปทันที
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #4 on: July 11, 2006, 05:27:51 AM »

ตอนที่ 5 ปราสาทร้าง

“ท่านนักปราชญ์ ขนาดมีไฟจากข้าและท่านแล้ว ที่นี่ก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี” วินพูดอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไปจนน่ากลัว
“ธารน้ำกระแสนี้ไหลแรงจริงๆ เหมือนราวกับว่าข้างหน้านั้นเป็นน้ำตก ลูน่า ช่วยบินไปดูลาดราวให้ที” นักปราชญ์ขาวสั่งแล้วเขาก็เปิดผ้าคลุมหัวออก สาวน้อยลูน่าจึงรีบบินขึ้นมุ่งไปข้างหน้า
“แล้วพวกเราละท่านนักปราชญ์” วินถาม
“เจ้ากลัวรึ มีเราอยู่อย่ากลัวไปเลย เชื่อมั่นในสายตาของเราคู่นี้” นักปราชญ์หันมาตอบ วินก็ตะลึงกับแววตาสีขาวทั้งสองข้างของนักปราชญ์

ในระหว่างที่ทั้งสองเดินไปอยู่นั้น ทางเดินเหนือธารน้ำก็สั่น ทั้งคู่จึงหยุดและจับราวทางเดินไว้
“เกิดอะไรขึ้น” วินรีบถามขึ้นทันที
“มีบางอย่างขึ้นมาบนทางเดิน วินคอยระวังหลังให้ด้วย” นักปราชญ์ขาวตอบแล้วเขาก็ค่อยๆเดินตรงไป แต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้าเดินอยู่บนทางเดิน วินจึงกลัวเอามากๆ เขารีบเดินตามหลังนักปราชญ์ขาวไปทันที
“หลับตาไว้ เราเห็นมันแล้ว” นักปราชญ์ขาวบอก
“มันคือตัวอะไร ท่านนักปราชญ์” วินถามด้วยความกลัวแล้วเขาก็หลับตาเดินโดยใช้มือหนึ่งจับผ้าคลุมของนักปราชญ์ขาวเอาไว้ แล้วเสียงฝีเท้านั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆและถี่ขึ้นเรื่อยๆ

“แสงแห่งตะวันจงมอบพลังให้แก่ข้า” นักปราชญ์ขาวเพิ่มพลังแสงจากหัวไม้เท้าให้สว่างมาก จนสัตว์ประหลาดสี่ขาที่กำลังจะเข้าโจมตีเขานั้นแสบตา แล้วนักปราชญ์ก็เดินเข้าหามันเรื่อยๆ ด้วยแสงที่สว่างจ้ามากๆทำให้มันมองอะไรไม่เห็นจนมันเดินถอยหลังตกธารน้ำไป
“ลืมตาได้แล้ว มันไปแล้ว” นักปราชญ์บอกแล้วเขาก็เดินไปเรื่อยๆ
“โอ้ ท่านนักปราชญ์สุดยอดจริงๆ” วินวิ่งเข้ามากอดนักปราชญ์ขาวไว้แน่น

เมื่อทั้งคู่เดินไปได้สักพัก ก็มีลมประหลาดพัดมาอย่างแรง ซึ่งมีสิ่งบางอย่างแฝงมาด้วยทำให้นักปราชญ์ขาวปวดหัวเอามากๆ
“ท่านนักปราชญ์ เป็นอะไรไหม พอไปต่อไหวมั้ย” วินถาม พอนักปราชญ์เขาตั้งสติได้เขาก็เห็นขนนกของลูน่าล่วงอยู่
“ลูน่า” นักปราชญ์ยืนมึนงงอยู่สักพัก
“ท่านพ่อ ช่วยด้วย” เสียงของลูน่าดังขึ้นมาจากข้างใน นักปราชญ์ขาวจึงรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที

เมื่อนักปราชญ์ขาววิ่งเข้ามาถึงยังชั้นใต้ดินของปราสาทแล้ว เขาก็เห็นมิโนทอร์(ครึ่งคนครึ่งวัวขนาดใหญ่ที่สูงราว 10 เมตร)ใช้มือขนาดใหญ่กดทับร่างของลูน่าเอาไว้ นักปราชญ์ขาวจึงกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ก็เห็นผนังร้าวอยู่ด้านหลังมิโนทอร์
“ขนนกสีขาว สายลมอันอ่อนไหว จึงพัดศัตรูแห่งข้า” นักปราชญ์ขาวใช้ขนนกของลูน่าพร้อมกับร่ายเวทย์มนต์สร้างแรงลมขนาดใหญ่โจมตีใส่มิโนทอร์จนมันกระเด็นไปชนกำแพง แล้วลูน่าจึงรีบลุกขึ้นวิ่งมาหา
“ผืนแผ่นดินแห่งพสุธา ทหารแห่งปฐพีจงออกมา” นักปราชญ์ขาวกำเศษดินจากพื้นขึ้นมา แล้วเขาก็ร่ายเวทย์มนต์ขึ้น จากนั้นเศษดินเหล่านั้นก็รวมตัวเป็นโกเลม(รูปปั้นรูปร่างคล้ายคนขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ปกติ 2 เท่า)
“ท่านนักปราชญ์เกิดอะไรขึ้น” วินที่วิ่งตามมาด้วยความเหนื่อย แต่พอเขาเห็นขนาดของมิโนทอร์เขาก็ตะลึงวิ่งมาหลบหลังนักปราชญ์ขาวทันที
“วิน ช่วยดูแลลูน่าให้ด้วย” นักปราชญ์ขาวสั่ง
“ท่านพ่อสู้คนเดียวไหวเหรอค่ะ” ลูน่าถาม นักปราชญ์ขาวก็ยิ้ม
“โกเลม ลุยมัน” นักปราชญ์ขาวสั่งแล้วโกเลมก็วิ่งตรงเข้าไปต่อสู้กับมิโนทอร์

เมื่อมิโนทอร์ฟื้นขึ้นมามันก็หยิบค้อนขนาดใหญ่ของมันทุบใส่ แต่โกเลมใช้แรงอันมหาศาลรับแรงทุบของค้อนนั้นไว้ แล้วนักปราชญ์ขาวก็กระโดดขึ้นตามลำตัวโกเลมและกระโดดขึ้นมาบนค้อนของมิโนทอร์
“เปลวไฟแห่งชีพ นกไฟพิโรธ โจมตีมัน ฟิกนิค” นักปราชญ์ขาวใช้ขนนกของลูน่าที่หลุดล่วงมาจำนวนมากนั้นร่ายเวทย์มนต์เรียกนกไฟออกมาพุ่งโจมตีใส่มิโนทอร์เปลวเพลิงอันร้อนแรงทำให้มิโนทอร์ล้มหงายไปกระแทกกับผนังที่ร้าว ทำให้ผนังพังและตัวมันก็ตกลงไปในธารน้ำนอกผนังห้อง แล้วโกเลมที่เรียกออกมานั้นก็สลายกลับกลายเป็นดินดังเดิม

“บาดเจ็บอะไรมากไหม ลูน่า” นักปราชญ์ขาวถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มากหรอกค่ะ” ลูน่าตอบ แล้วเธอก็เดินนำไป เมื่อลูน่าเดินผ่านไป นักปราชญ์ขาวก็เห็นปีกข้างหนึ่งของเธอนั้นมีเลือดไหลออกมา
“ลูน่า ปีกของเธอ” นักปราชญ์ขาวถาม
“ไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บอะไรมากหรอก” ลูน่าตอบ
“อ๊า ดีเลยอุตส่าเตรียมอุปกรณ์มาไว้ รู้เลยว่าต้องมีใครสักคนบาดเจ็บ เลยเตรียมชุดรักษามาด้วย” วินบอก
“หนูไม่เป็นไร ยังพอบินได้” ลูน่าพยายามฝืนแต่พอเธอเริ่มกระพือปีก เธอก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด และปีกข้างนั้นก็มีขนล่วงออกมา ด้วยความเจ็บทำให้เธอทรุดลงไม่มีแรงที่จะบินขึ้นทันที
“มาให้ฉันรักษาให้ดีกว่า” วินบอกแล้วเขาก็วางชุดทำแผลไว้ข้างๆ แล้วเขาก็ทำแผลให้กับลูน่า ซึ่งในขณะนั้นเองนักปราชญ์ขาวก็เดินไปหยิบขนนกของลูน่าขึ้นมา ซึ่งมีขนนกที่เปื้อนเลือดจนท่วม
“พระจันทร์สีเลือด” เขามองดูมันอยู่สักพักก็มีภาพชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่โดยมีพระจันทร์สีเลือดอยู่ด้านหลัง
“ลูน่า นี่ใช้ขนนกของเธอหรือเปล่า” นักปราชญ์ขาวถาม
“นั่นไม่ใช่ของหนู ของหนูไม่ใหญ่ขนาดนั้น” ลูน่าตอบ
“มีอะไรเหรอ ท่านนักปราชญ์” วินถามต่อ นักปราชญ์ขาวส่ายหน้าปฏิเสธและคิดอะไรบางอย่าง

“ด้วยขนเลือด อาวุธแห่งการูด้าจงออกมา” นักปราชญ์ขาวร่ายคาถาบางอย่างแต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“พระจันทร์สีเลือด จงมอบพลังให้แก่ข้า” นักปราชญ์ขาวร่ายคาถาอีกครั้งแต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นเดิม
“ความตายแห่งกาลเวลา ขนเลือดจงเปิดทางให้แก่ข้า” นักปราชญ์ขาวร่ายคาถาอีกครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“ท่านนักปราชญ์ ทำอะไรอยู่เหรอ เห็นบ่นๆอะไรอยู่” วินถาม
“ต้องมีสักบทซิที่ใช้ขนนี้เป็นวัตถุดิบ มันเป็นขนของใครกัน” นักปราชญ์ขาวพูดพึมพำอยู่คนเดียว
“อ๊าก... เจ็บนะ” ลูน่าร้องออกมาเมื่อวินกดที่แผลของเธอแรงไป
“ใช่แล้ว ลูน่า ขอบใจลูกมากนะ” นักปราชญ์นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ดาบเคย์มอร์แห่งมหาอัศวิน ดาบผู้พิชิตแห่งอาร์ค ข้าขอปลุกพลังแห่งท่าน” นักปราชญ์ขาวร่ายเวทย์มนต์อีกครั้ง ทันใดนั้นขนนกสีเลือดก็ลอยขึ้นและส่องแสงสว่างจ้า เมื่อแสงดับลงก็ปรากฏดาบเคย์มอร์ นักปราชญ์ขาวจึงคว้ามันไว้
“ที่แท้นี่ก็คือขนนกที่ประดับบนหมวกของท่านนี่เอง” นักปราชญ์ยิ้มขึ้น
“เสร็จละ ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำแรงไปเมื่อกี๊” วินบอก
“ไปกันต่อเถอะ” นักปราชญ์ขาวบอก

“เดี๋ยว... ท่านพ่อรู้อยู่แก่ใจว่าข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ทำไมท่านพ่อไม่ยอมบอกหนูล่วงหน้า” ลูน่าถาม
“เพราะถ้าบอกไปแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้ไม่รู้ มันก็ต้องเจอ” นักปราชญ์ขาวตอบ
“อะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ” วินถาม
“อย่าไปสนใจเลย เข้าไปกันต่อเถอะ” นักปราชญ์ขาวตอบ
“เดี๋ยว... อีกเรื่องคือ ในขณะที่หนูยังอยู่ในร่างนี้ ขนของหนูจะล่วงโรยมาตลอด ซึ่งท่านพ่อก็น่าจะรู้ว่า หากขนของหนูล่วงโรยหมด หนูก็จะต้องตาย ท่านพ่อพอมีน้ำยาที่ใช้หยุดยั้งคำสาปนี้ไว้ชั่วขณะหรือไม่” ลูน่าถาม
“ไม่มี แต่สามารถหาได้ เร็วๆนี้ แต่มันไม่มีประโยชน์” นักปราชญ์ขาวตอบ แล้วเขาก็เดินเข้าไปยังห้องถัดไป
“อยากเห็นสาวน้อยคนนี้คนล่วงหมดจัง” วินพูดพึมพำพร้อมกับเดินตามนักปราชญ์ขาวเข้าไป ลูน่าที่นั่งอยู่นั้นเธอมองดูขนบนเรือนร่างของเธอที่หลุดออกมาเส้นหนึ่ง แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินตามเข้าไป

เมื่อเข้ามาแล้ว นักปราชญ์ขาวก็หยิบแผนที่ขึ้นมาดู แต่ลูน่าที่เดินตามเข้ามาหลังนั้น เธอออกวิ่งและบินขึ้นมุ่งหน้าไปทันที
“เดี๋ยว ลูน่า ลูกยังบาดเจ็บอยู่” นักปราชญ์ขาวเตือน
“สามารถหาได้ เร็วๆนี้ !!! แต่มันไม่มีประโยชน์ !!! เพราะพ่ออยากให้หนูตายไปจบๆเรื่อง พ่อไม่รักหนูแล้ว” ลูน่าบินจากไปพร้อมทั้งน้ำตา
“ท่านนักปราชญ์ นั่นมีสัตว์ประหลาดบินตามเธอไปด้วย เธอบาดเจ็บอยู่ สู้มันไม่ได้แน่” วินชี้ให้ดู
“อนาคตของลูกถึงแม้มันจะสั้น แต่พ่อเชื่อมั่นว่าลูกต้องเปลี่ยนแปลงมันได้ ด้วยสายเลือดของพ่อคนนี้” นักปราชญ์ขาวยืนนึกอยู่ในใจ
“ไม่ต้องตามไปหรอก เราไปของเราต่อเถอะ” นักปราชญ์ขาวบอกแล้วเขาก็เก็บแผนที่และเดินไปตามทาง

ในขณะเดียวกัน ลูน่า ที่บินออกมาจากปราสาท เธอก็บินขึ้นมายังดาดฟ้าของปราสาท เธอนั่งอยู่คนเดียวลำพัง
“ทำไมกัน ทำไมท่านพ่อถึงพูดเช่นนั้น” ลูน่าพูดกับตัวเองคนเดียวพรางสะอึกสะอื้น
“แม่สาวน้อย ใยเจ้ามานั่งที่นี่คนเดียวเล่า” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ลูน่าจึงหันไปมอง
“คุณเป็นใครกัน” ลูน่าถาม
“ฉันก็คือ ลอร์ดแด๊กคูร่า และเธอคือเหยื่อของฉัน” ชายคนนั้นแยกเขี้ยวออกมาแล้วเขาก็กระโจนใส่ ลูน่าจึงทิ้งตัวลงจากดาดฟ้าปราสาทล่วงลงมาและกางปีกบินหนี แต่แด๊กคูร่าตัวนั้นก็บินตามเธอติดๆ

แด๊กคูร่าตัวนั้นเปิดฉากด้วยการบินพุ่งชนด้วยความเร็ว แต่ลูน่าบินหลบหนีได้ทัน แด๊กคูร่าตัวนั้นจึงชนกับหอคอยทะลุเข้าไป ลูน่าจึงบินสูงขึ้นไปเหนือปราสาท
“หนีข้าไม่พ้นหรอก” เสียงของแด๊กคูร่าตนนั้นโผล่มาจากข้างหลังของเธอ ลูน่าจึงหันไปมอง แด๊กคูร่าตัวนั้นจึงใช้หมัดอัดใส่เธอจนล่วงตกลงมา
แรงกระแทกที่ตกลงมาจากที่สูงที่ให้เธอจุกเอามากๆ แด๊กคูร่าตนนั้นก็ไม่ลามือมันบินตามลงมาทันที ลูน่าจึงสร้างพระจันทร์ขนาดเท่าลูกบอลโจมตีใส่ ทำให้แด๊กคูร่าตนนั้นกระเด็นออกไป แล้วเธอก็ออกแรงลุกขึ้นและบินขึ้นอย่างช้าๆด้วยอาการบาดเจ็บ แต่แด๊กคูร่าตัวนั้นก็บินพุ่งเข้ามาจากข้างหลังเธอ มันกดเธอลงกับพื้น แล้วมันก็ใช้เขี้ยวกัดลงที่ปีกของเธอข้างหนึ่ง ซึ่งโดนตรงบริเวณแผลเก่าของเธอที่ยังไม่หายดี เธอกรีดร้องด้วยความทรมาน เธอจึงตัดสินใจรวบรวมพลังแห่งแสงจันทร์สร้างระเบิดพลังออกมา ทำให้ขนของเธอนั้นล่วงโรยออกมาจำนวนมาก แต่ก็ทำให้แด๊กคูร่ากระเด็นออกไปไกลจนนอนแน่นิ่ง เธอจึงค่อยๆลุกขึ้นเดินหนีทีละก้าว
“ท่านพ่อ ช่วยหนูด้วย” ลูน่าน้ำตาไหลออกมาเมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือจากพ่อของเธอ

“ท่านนักปราชญ์ ท่านเหม่อลอยหรือเปล่า เห็นยืนนิ่งอยู่นานแล้ว ข้าชักเริ่มกลัวกับห้องนี้จังเลย” วินบอกแล้วเขาก็มองไปรอบๆห้องด้วยความหวาดระแวง แล้วนักปราชญ์ขาวก็ได้สติกลับมา
“ขอโทษด้วยที่เราขาดสติ พอดีเราง่วงไปนิด ไปต่อกันเถอะ” นักปราชญ์ขาวเดินนำต่อไปเรื่อยๆ

“ท่านพ่อ หนูขอโทษ” ลูน่าหมดเรี่ยวแรงที่จะก้าวเท้าเดินต่อไป และพอเธอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแด๊กคูร่าตัวนั้นยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอ
“ครั้งแรกที่ได้ชิมเลือดของพวกที่ไม่ใช่มนุษย์แท้ๆ” แด๊กคูร่าตนนั้นบอก ลูน่าที่หมดแรงลงเธอค่อยๆล้มลง แต่แด๊กคูร่าตัวนั้นประคองร่างเธอเอาไว้ และวางเธอลงกับพื้นอย่างช้าๆและนิ่มนวล ก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวที่คอเธอและดูดเลือดอันหวานๆอย่างเอร็ดอร่อย

ในทางเดียวกัน นักปราชญ์ขาวก็รู้สึกปวดตรงหน้าอกเอามากๆจนเขายืนไม่อยู่และเป็นลมล้มลง
“ลู...น่า...” นักปราชญ์ขาวพูดเป็นคำสุดท้ายก่อนที่จะสลบไป
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #5 on: July 11, 2006, 05:28:24 AM »

ตอนที่ 6 กระจกวารี เงามืดแห่งนักปราชญ์

เที่ยงคืนดึกสงัด ร่างอันแน่นิ่งของสาวน้อยลูน่าที่ถูกทิ้งไว้บนยอดปราสาท กับ ร่างของนักปราชญ์ขาวที่นอนสลบไปที่ชั้นใต้ดิน

แปะ...แปะ...

นักปราชญ์ขาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการตบหน้าของวิน
“อะไร” นักปราชญ์ขาวถาม
“ท่านสลบไปนานเลย หากเราอยู่ที่นี่กันทั้งคืนอสูรกายจากไหนต่อไหนอาจจะผ่านมาเจอได้ หากท่านนักปราชญ์ยังสลบอยู่ ฉันไม่รอดแน่นอน” วินตอบ
“เส้นทางข้างหน้ามันอันตรายเอามากๆ หากท่านกลัวความตายแล้ว เรายินดีที่จะร่ายมนต์ส่งท่านกลับออกไปข้างนอกแล้วให้ท่านจงกลับไปยังบ้านโดยไม่บอกเรื่องนี้กับใคร” นักปราชญ์ขาวลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้าไม้เท้าขึ้นมา
“ไม่ ข้ายินดีร่วมทางไปกับท่าน” วินก้มลงกอดขานักปราชญ์ขาวไว้แน่น
“โอเค เราจะส่งท่านกลับไป ประตูแห่งกาลเวลา จงดึงชายคนนี้กลับสู่วันเวลาในอดีต 6 ชั่วโมง” นักปราชญ์ขาวใช้ไม้เท้ากระแทกใส่พื้นแล้วพื้นก็มีแสงสีขาวสว่างขึ้นมา ร่างของวินค่อยๆถูกดูดลงไปและหายไปในที่สุด เมื่อทุกอย่างจบลง นักปราชญ์ขาวก็เดินตรงเข้ายังทางข้างในสุด
“ประตูวิหารคอลเวีย จงเปิดออก” นักปราชญ์ขาวพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง แล้วประตูขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าก็เปิดออก

เมื่อประตูนั้นเปิดจนสุด นักปราชญ์ขาวก็เดินเข้ามา เขาก็พบว่า ภายในห้องเป็นถ้ำกว้างมากๆซึ่งมีทะเลสาบอยู่ตรงกลางถ้ำ ซึ่งที่เกาะเล็กๆกลางทะเลสาบมีกระจกเงินที่ส่องแสงสะท้อนจากดวงจันทร์เข้ามา ทำให้นักปราชญ์ขาวเห็น เขาจึงยืนหลับตานิ่งทำสมาธิ เขาพยายามรวบรวมพลังจิตไว้ให้แน่น แล้วชายคนหนึ่งผมสีฟ้าใส่ชุดสีขาวทั้งตัวพร้อมกับผ้าพันคอสีขาวอมฟ้าผูกเอาไว้ แล้วเขาก็เดินไปบนผิวน้ำตรงไปยังกระจกเงินนั้นและมองมันด้วยแววตาสีฟ้าทั้งสองข้าง เมื่อเขาเดินมาถึงแล้วเขาก็ก้มลงหยิบกระจกนั้นขึ้นมาแล้วชูขึ้นทำให้เกิดแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องมานั้นสะท้อนสว่างไปทั่วถ้ำ

แล้วนักปราชญ์ขาวก็ลืมตาขึ้น เขาก็พบว่ามาอยู่ในที่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เหมือนกับว่าตัวเขานั้นอยู่ในอวกาศที่มืดมิดอมสีฟ้าทึบเหมือนอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร และมีดาวดวงเล็กลอยระยิบระยับไปทั่ว
“ท่านต้องการสิ่งใด” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าหญิงพริ้มต้องการได้เห็นหน้าพระองค์อีกครั้ง” นักปราชญ์ขาวตอบ แล้วดาวดวงเล็กๆนั้นก็มารวมตัวเป็นรูปร่างคล้ายปลาโลมา แหวกว่ายอยู่บนอากาศ
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว กระจกที่เจ้าหญิงต้องการนั้น มิใช่สิ่งนี้ ซึ่งนั่นถูกพ่อมดมนต์ดำนามว่า หน่อง ที่มาก่อนหน้าท่านชิงไปก่อนแล้ว” ปลาโลมาตัวนั้นบอก แล้วนักปราชญ์ขาวก็เงียบไปสักพัก
“ดวงตาของท่านคู่นั้น ท่านมิต้องการที่จะใช้มันมองสิ่งต่างๆแล้วหรือ” ปลาโลมาตัวนั้นถาม
“การมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันช่างเจ็บปวดยิ่งนักเมื่อเห็นการสูญเสียโดยที่เราไม่สามารถช่วยสิ่งใดได้” นักปราชญ์ขาวตอบ
“เพราะท่านเพิ่งเสียลูกสาวไปเพราะสิ่งนี้ซินะ” ปลาโลมาตัวนั้นบอก
“ท่านคือใครกัน ทำไมถึงรู้เรื่องของเราได้” นักปราชญ์ขาวถาม
“นามของเราคือ ลูดามัส” ปลาโลมาตัวนั้นก็สลายกลายเป็นดาวดวงเล็กดังเดิม แต่ดาวกลุ่มนั้นก็เปร่งแสงออกมาจนปรากฏร่างของอัศวินขนาดใหญ่มากๆซึ่งตรงกลางท้องของอัศวินนั้นมีหญิงสาวคนนั้นติดอยู่ ซึ่งเธอถือหอกปริศนาบางอย่างอยู่
“งั้นเราขอตัวลา” นักปราชญ์ขาวบอกแล้วเขาก็หันหลังกลับ
“ท่านสูญเสียความทรงจำไปหรือท่านไม่นึกถึงความทรงจำนั้น” ลูดามัสถาม
“บางอย่างลืมมันได้ก็ดีแล้ว” นักปราชญ์ขาวตอบเสร็จก็เดินตรงออกไปเรื่อยๆ
“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องส่งผู้รับใช้ของท่านคืน” ลูดามัสพูดพึมพำแล้วเธอก็ใช้หอกนั้นปักลงที่พื้นและท่องคาถาบางอย่าง

เมื่อชายที่ถือกระจกคนนั้นลืมตาขึ้น เขาก็เห็นมังกรน้ำขนาดใหญ่พุ่งเข้าโจมตีใส่เขา มันดันร่างของเขาจมลงไปในน้ำ ที่ลึกเอามากๆ จนร่างของชายคนนั้นกระแทกกับก้นทะเลสาบ แล้วมังกรน้ำตัวนั้นก็ว่ายหนีไป แล้วนักปราชญ์ขาวที่ยืนนิ่งทำสมาธิอยู่หน้าประตูนั้นก็กระอักเลือดออกมา

ชายคนนั้นก็ว่ายขึ้นมาจนตัวเขายืนบนผิวน้ำได้อีกครั้ง มังกรน้ำตัวนั้นที่ว่ายอยู่ข้างล่าง ทำให้ชายคนนั้นไม่สามารถรู้ได้ว่า มันจะโผล่ขึ้นมาโจมตีเขาเมื่อไหร่ แล้วเงาของมังกรน้ำที่อยู่ข้างล่างก็หายไป ชายคนนั้นจึงดึกผ้าพันคอออกมา จากนั้นไม่นาน ข้างหน้าของของเขาก็เกิดน้ำวนขนาดขึ้นโดยการว่ายวนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วของมังกรน้ำ ชายคนนั้นจึงขึ้นไปยืนบนเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบ แล้วเขาก็กระโดดหมุนตัวควงเป็นสว่านลงไปตรงกลางน้ำวน การหมุนตัวควงของเขานั้น ทำให้ผ้าพันคอของเขาที่คมกริบบาดใส่ร่างของมังกรน้ำเป็นแผลจำนวนมาก จนมันทนไม่ได้จึงต้องว่ายหนีไปพร้อมกับเสียงร้องอันเจ็บปวด ชายคนนั้นจึงไม่รีรอเขารีบว่ายน้ำขึ้นมายืนบนเกาะกลางน้ำอีกครั้ง แต่เท้ายังไม่ทันแตะพื้น มังกรน้ำตัวนั้นก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับพ่นแรงดันน้ำมหาศาลโจมตีใส่จนชายคนนั้นกระเด็นไปติดกับผนังถ้ำ แล้วนักปราชญ์ขาวก็กระเด็นถอยหลังล้มลงทันที แต่เขาก็ลุกขึ้นตั้งสมาธิอีกครั้ง

“ความอมตะโดยไร้สิ่งอันตราย” ชายคนนั้นใช้ผ้าพันคอนั้นผูกมัดปิดตาเอาไว้
“ถ้าเรามองไม่เห็นว่ามีอะไร ก็เหมือนเราเดินไปอย่างไม่มีอันตราย ข้าไม่กลัวแกหรอกเจ้าไส้เดือนน้ำ” ชายคนนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ มังกรน้ำตัวนั้นก็พ่นพลังน้ำโจมตีใส่ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ชายคนนั้นจึงเดินมายังกลางทะเลสาบแล้วเขาก็หยุดนิ่ง
“ยามน้ำนิ่ง ทุกสิ่งจะหยุด” นักปราชญ์ขาวพูดขึ้นแล้วเขาก็หยิบแท่งน้ำแข็งออกมา พร้อมกับยื่นแขนซ้ายออกไป
“คำถามที่เทพธิดาฟ้าตั้งไว้ เราไขมันออกแล้ว นั่นคือ น้ำแข็ง” นักปราชญ์ขาวใช้แท่งน้ำแข็งแทงใส่ที่ข้อมือของเขาจนเลือดไหลออกมา ทันทีที่เลือดนั้นหยดลงสู่ผิวน้ำ น้ำในทะเลสาบก็แข็งทันที แต่แล้วมังกรน้ำตัวนั้นกลับไม่แข็ง มันออกแรงคำรามออกมาจนทำให้น้ำแข็งทั้งหมดแตกกระจายเป็นน้ำดังเดิม แล้วมันก็หันมาหานักปราชญ์ขาว มันว่ายเข้ามาเรื่อยๆ แต่ในถ้ำนั้นกลับค่อยเย็นตัวลงเรื่อยๆ น้ำเริ่มค่อยๆแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่มังกรน้ำตัวนั้นก็พยายามจะว่ายไปเรื่อยๆจนในที่สุดน้ำทั้งหมดก็กลายเป็นน้ำแข็ง เหลือเพียงแต่ร่างกายมันที่ยังพยายามจะพุ่งเข้าไปกัดนักปราชญ์ขาวให้ได้

ความตายเยือกแข็ง คมหอกแห่งเทพเจ้าลูดามัส...

หญิงสาวคนหนึ่งที่มีร่างกายสีฟ้าทั้งตัวนั้นพุ่งเข้ามาใช้หมัดซ้ายของเธอที่มีพลังอยู่นั้นโจมตีใส่มังกรน้ำ ทำให้ร่างกายของมันนั้นเป็นน้ำแข็งและแตกกระจายออก

“ยามใดที่ฉันไปเยือนที่ไหน ที่นั่นจะเป็นน้ำแข็ง ท่านนักปราชญ์จำมิได้แล้วหรือว่าฉันคือใคร” หญิงสาวคนนั้นหันมาถาม
“เจ้าหญิงน้ำแข็งที่ถูกเราสาปให้เป็นทาสรับใช้เราไปตลอด เราไม่เคยลืมเลือน” นักปราชญ์ขาวตอบ
“งั้นวันนี้ฉันมาเพื่อปลดปล่อยให้ตัวเองพ้นจากการเป็นทาสของท่านโดยการฆ่าท่าน” หญิงสาวคนนั้นบอก
“งั้นเชิญเลย เซซิอัส ถ้าหากเธอต้องการชีวิตของเราก็เชิญแทงหัวใจเราให้ทะลุเลย แต่ชายคนนั้นคงไม่ยอมเป็นแน่” นักปราชญ์ขาวบอก เซซิอัสจึงหัวเราะขึ้นเล็กๆ
“ฉันฝึกพลังกับองค์ลูดามัสจนมีพลังแข็งแกร่งเพื่องานนี้แล้ว ท่านจงปลดปล่อยฉันไปเถอะ ถ้าต้องการยังได้เห็นโลกใบนี้ต่อไป” เซซิอัสพูดเสร็จก็ผิวปากขึ้น แล้วก็มีหมาป่าน้ำแข็งขนาดใหญ่วิ่งเข้ามาหาเธอ
“ถึงแม้แต่วันนี้เราต้องตาย ก็ขอให้เธอช่วยใช้ดอกหิมะขาวนั้นช่วยชีวิตลูน่าลูกสาวของฉันด้วย เธอกำลังรอความรักจากเราอยู่ แต่เราคงมิอาจจะไปหาได้หากเราต้องตาย” นักปราชญ์ขาวบอก เซซิอัสจึงเกิดความสงสารขึ้นมาเล็กๆ แต่เธอก็แข็งใจทำหน้านิ่ง
“งั้นถ้าหากฉันชนะ ฉันจะปล่อยให้ท่านได้พบกับลูกสาวอีกครั้งก่อนที่จะตาย” เซซิอัสบอก
“ทำไม เธอถึงมั่นใจซะขนาดนั้น ถ้าคิดว่า พลังแค่นั้นล้มฉันได้แล้วก็ คิดผิดละ แค่พลังส่วนหนึ่งจากการฝึกอันยาวนาน ลองมาเจอของจริงหน่อยละกัน” ชายคนนั้นบอกแล้วเขาก็เปิดผ้าปิดออกแล้วก็นำผ้านั้นมาผูกมัดที่ข้อมือซ้ายเอาไว้ เซซิอัสจึงยิ้มให้ก่อนที่จะกระโดดขึ้นขี่เฟนริวหมาป่าน้ำแข็งคู่ใจของเธอ

หมาป่าน้ำแข็งหอนด้วยเสียงอันดัง ทำให้แท่งน้ำแข็งบนเพดานถล่มลงมาโจมตีใส่ชายคนนั้น แต่เขาก็วิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับหลบหลีก แต่เสียงนั้นก็ทำให้พื้นน้ำแข็งนั้นแตกเป็นหลุม แต่ชายคนนั้นก็ยังกระโดดหลบได้อีก
“เฟนริว ปล่อยคลื่นน้ำแข็ง” เซซิอัสสั่งเสร็จเธอก็กระโดดหายขึ้นไปบนเพดานน้ำแข็ง แล้วเฟนริวก็ดูดลมมารวมอยู่ที่ปากและพ่นแรงลมพร้อมกับน้ำแข็งจำนวนมากโจมตีใส่ ชายคนนั้นจึงยกแขนขึ้นบังเอาไว้ สักพักเซซิอัสก็มาโผล่ลงที่ข้างหลังของชายคนนั้น
“คำสาปแช่แข็ง” เซซิอัสใช้มือของเธอที่มีแสงสีฟ้าเปร่งออกมาโจมตีใส่ชายคนนั้น แต่จู่ๆชายคนนั้นก็หายไป เมื่อเฟนริวหยุดพ่นน้ำแข็ง เซซิอัสก็เห็นชายคนนั้นขึ้นไปขี่บนหลังเฟนริวแล้ว
“สองต่อหนึ่ง ไม่เอาเปรียบไปหน่อยเหรอ” ชายคนนั้นบอก เฟนริวจึงออกแรงสะบัดให้ชายคนนั้นหลุดออก
“คลื่นไอเย็น” เซซิอัสใช้ฝ่ามือของเธอออกแรงดันไปข้างหน้าทำให้เกิดคลื่นพุ่งเข้าโจมตีใส่ชายคนนั้น เขาจึงกระโดดหลบออกมา แต่ในขณะที่ลอยอยู่ เขากำหมัดซ้ายไว้แน่นแล้วเขาก็ลงมาตั้งหลักได้

“เพลิงสายฟ้า พิฆาต” ชายคนนั้นออกหมัดที่มีพลังแห่งสายฟ้าสร้างกำแพงไฟฟ้าโจมตีเป็นคลื่นไป เฟนริวจึงเอาตัวเข้ามาขวางรับการโจมตีนั้นไว้แทนเซซิอัส แล้วมันก็สลายกลายเป็นน้ำแข็งไปในที่สุด ด้วยอารมณ์ของการสูญเสีย เซซิอัสมองดูเศษน้ำแข็งที่เป็นซากของเฟนริวนั้น เธอหยิบเศษน้ำแข็งขึ้นมา
“ทีนี้ก็หนึ่งต่อหนึ่ง มาลงพลังที่หมัดเดียวให้จบๆกันไปเลย ใครแรงกว่ากัน ใครอึดกว่ากัน และใครเร็วกว่ากัน ก็รู้กันไปเลย” ชายคนนั้นบอกแล้วเขาก็ใช้มือขวาจับที่ข้อมือซ้ายที่มีผ้าผูกอยู่นั้นกำไว้แน่น
“ฉันต้องชำระแค้นให้ได้” เซซิอัสกำเศษน้ำแข็งนั้นไว้แล้วมือข้างซ้ายของเธอก็มีแสงสีฟ้าเปร่งออกมาสว่างจ้ากว่าครั้งไหนๆ
“เอาเลยนะ” ชายคนนั้นยิ้มขึ้น
“ด้วยพลังแห่งเทพเจ้าลูดามัส พระองค์จงมอบพลังให้แก่ข้าด้วย” เซซิอัสอธิฐานถึง

“หอกแห่งน้ำแข็ง พลังแห่งลูดามัส หอกแห่งการหยุดกาลเวลา Ludra Lance” เซซิอัสปลดปล่อยพลังออกมา มือข้างซายของเธอมีแท่งน้ำแข็งจำนวนมากมารวมตัวเป็นหอกขนาดใหญ่
“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด Thor Hammer” ชายคนนั้นกำหมัดซ้ายแน่นจนเกิดพลังสายฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นที่มือของเขาแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วเห็นเพียงแต่แสงที่ตาม ทั้งคู่พุ่งเข้าโจมตีพร้อมๆกัน

หยุดเถอะ...

เสียงของนักปราชญ์ขาวดังขึ้น แต่ทั้งคู่นั้นได้ปะทะเข้ากันแล้ว

เซซิอัสตะลึงกับภาพที่เห็นหมัดของเธอนั้นโจมตีพลาดเลยชายคนนั้นไป แต่หมัดไฟฟ้าของชายคนนั้นหยุดชะงักไว้ที่หน้าท้องของเธอด้วยเสียงของนักปราชญ์
“เธอโชคดีที่นักปราชญ์ห้ามไว้ แต่ที่จริงแล้ว ทาสรับใช้จะเก่งกว่านายได้ยังไงกันเล่า” ชายคนนั้นยิ้มให้แล้วเขาก็สลายหายไป
“เธอไม่จำเป็นต้องฝังใจกับคำว่า ทาสรับใช้ของเราหรอก เธอจงคิดซะว่า เราก็คือเพื่อนคนหนึ่งของท่าน เพื่อนย่อมช่วยเพื่อนเป็นธรรมดา ไปกันเถอะ เซซิอัส เฟนริวนั้นเป็นหมาป่าน้ำแข็งที่เพียง 1 วันเศษซากของมันจะกลับมารวมตัวคืนชีพอีกครั้ง แต่ตอนนี้ เราต้องการให้เธอช่วย เธอยินดีที่จะช่วยเพื่อนคนนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ต้องการ โปรดอย่าตามเรามาเลย แต่ถ้าต้องการ โปรดจับมือเราไว้” นักปราชญ์ที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสาวน้อยน้ำแข็งที่ตะลึงกับความพ่ายแพ้ของเธอ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้ามองดูนักปราชญ์ขาว
“ฉันคนเดียว หยุดยั้งชายคนหนึ่งไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องได้เพื่อนๆที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า ทาสรับใช้ของเรา ทั้ง 6 มา ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป และเธอคือหนึ่งในนั้น” นักปราชญ์ขาวบอกและยิ้มให้ เซซิอัสจึงอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นรอยยิ้มของนักปราชญ์ เธอจึงส่งมือให้และนักปราชญ์ขาวก็ดึงเธอลุกขึ้น แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปด้วยกัน
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #6 on: July 11, 2006, 05:28:53 AM »

ตอนที่ 7 ดนตรีบรรเลงเสียงเพลงมรณะ คำสาปแห่งการหลับไหล

ก่อนเช้ารุ่งวันนั้น นักปราชญ์ขาวก็เดินทางออกมานอกปราสาทร้างได้
“เซซิอัส ช่วยลูน่าให้ด้วยนะ” นักปราชญ์ขาวบอก เซซิอัสจึงยิ้มก่อนที่กระโดดขึ้นไปบนปราสาท ส่วนนักปราชญ์ขาวก็นั่งเรือพายกลับไปยังท่าเรือ

เมื่อกลับมาถึงเมืองแล้วนักปราชญ์ขาวก็เดินตรงไปยังวิหารฟ้าและวางม้วนแผนที่ที่ฐานเทวรูปแล้วเขาก็เดินออกไป เพื่อเดินทางกลับไปยังพระราชวัง

“โอ้ อรุณสวัสยามเช้า ท่านนักปราชญ์ท่านที่เฝ้าประตูทางเข้านั้นพูดขึ้น
“อรุณสวัส” นักปราชญ์ขาวพูด แล้วทหารนายนั้นก็ไปสังเกตเห็นเลือดที่แขนซ้ายของนักปรชาญ์
“ท่านนักปราชญ์ ไหวมั้ย บาดเจ็บมากหรือเปล่า” ทหารนายนั้นถาม
“ไม่หรอก เดี๋ยวเราให้หมอบูมเมาดีฟช่วยรักษาให้” นักปราชญ์ตอบแล้วก็เดินเข้าไปต่อ

ปัง... ปัง ปัง ปัง...

เสียงปืนได้ดังขึ้นมาจากในพระราชวัง นักปราชญ์จึงรีบเข้าไปทันที เมื่อเขาเข้ามาถึงยังลานกว้างที่ใช้จัดงานเลี้ยงก็เห็นผู้คนมากมายวิ่งแตกตื่นกัน แล้วภาพข้างหน้าของเขาคือ ร่างที่ไร้วิญญาณของกษัตริย์แห่งเอสจีน่าและเจ้าหญิงทั้งสาม เขามองไปรอบๆห้องก็เห็นชายแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งซึ่งพวกเขากำลังเล่นดนตรีไม่สนใจสิ่งใด แล้วนักปราชญ์ขาวก็หันหลังกลับเงยมองขึ้นก็เห็นชายคนหนึ่งที่ใส่ผ้าคลุมที่แดงพร้อมกับปืนไรเฟิลในมือของเขา แล้วเขาก็ใช้ปืนนั้นยิงใส่นักปราชญ์ขาว เข้ากลางหน้าผากจนร่างของนักปราชญ์กระเด็นล้มลงไป ชายผ้าคลุมแดงจึงกระโดดลง

แล้วนักปรชาญ์ขาวก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากภาพเหตุการณ์ในอนาคต เขาก้มมองดูจุดที่ตนเองล้มลงก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปต่อ เขาเดินตรงกลับไปยังห้องพักที่พ่อบ้านหนุ่ยจัดเตรียมให้
“เอาล่ะ วันนี้เราเหนื่อยมาพอแล้ว ขอพักผ่อนละกัน ช่วยเอากระจกนี้ไปให้เจ้าหญิงพริ้มด้วยแล้วกัน” นักปราชญ์ขาวพูดกับตัวเองแล้วเขาก็ถอดผ้าคลุมออกและขึ้นนอนบนเตียงอันนุ่ม
“ใช้อีกแล้วรึ ฉันต่างหากที่เหนื่อยต้องมาออกแรงใช้พลัง แกอ่ะตื่นไปให้ซะ” ชายชุดขาวบอก
“ช่วยหน่อยละกัน ท่านดันเกิดมาเป็นฝาแฝดเราเอง” นักปราชญ์ขาวบอกแล้วเขาก็หลับตาลงนอนทันที
“อยากนอนโว๊ย” ชายชุดขาวตะโกนเสียงออกมาแล้วเขาก็เดินมายังหน้าต่าง เขามองดูหิมะที่ตกในยามค่ำคืน ซึ่งไม่นานมากนักแสงตะวันก็ทอแสงขึ้นแต่กลุ่มหมอกเมฆนั้นก็มีมากทำให้แสงนั้นส่องลงมาไม่มากแต่ก็ให้ความสว่างแก่โลกวันใหม่ได้ ชายชุดขาวมองไปยังยอดปราสาทร้างก็เห็นเซซิอัสกำลังนั่งมองมายังเขาและข้างกายเธอมีหมาน้อยคู่ใจเฟนริวนนอนหลับอยู่ข้างๆ และในมือของเธอนั้นก็มีลูกน้อยสีขาวสี่ปีกที่นอนแน่นิ่ง
“ไม่น่าเชื่อเพียงแค่ ดอกไม้หิมะขาว ดอกเดียวจะทำให้เมืองทั้งเมืองมีหิมะตกได้” ชายชุดขาวยืนดูอยู่สักพักเขาก็เอาผ้าพันคอสีฟ้ามาพันและเดินออกไปสูดอากาศยามเช้าในเมืองพร้อมกับเอากระจกวารีติดตัวไปด้วย

“โอ้ อรุณสวัสยามเช้าท่านนักปราชญ์ อากาศหนาวแบบนี้ท่านน่าจะใส่ผ้าคลุมหนาๆของท่านนะ แต่โอ้ พอท่านนักปราชญ์ถอดผ้าคลุมแล้ว หล่อไม่เบาเลยนะ” พ่อบ้านหนุ่ยทักทายขึ้นเมื่อเจอระหว่างทาง
“ท่านก็เช่นกัน ฝากบอกเจ้าหญิงพริ้มด้วยว่า สวนกลางน้ำตอน 10 โมงเช้า” ชายชุดขาวบอกแล้วก็เดินออกไป
“โอ้ เจ้าหญิงพริ้มก็ฝากเรามาบอกท่านนักปราชญ์เช่นกันว่า เจ้าหญิงพริ้มกำลังรอท่านอยู่ที่สวนกลางน้ำ” พ่อบ้านหนุ่ยจึงบอกทิ้งท้ายก่อนที่ชายชุดขาวจะเดินออกไปไกล

ทันทีที่เขาออกมายังนอกพระราชวัง เขาก็เห็นเมืองทั้งเมืองที่มีหิมะปกคลุม และเห็นเด็กๆในเมืองต่างวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
“ดอกไม้หิมะขาว เธอให้โทษหรือให้ความสุขกันนี่” ชายชุดขาวเดินตรงไปยังท่าเรือหลวงข้างๆพระราชวัง

เมื่อมาถึงท่าชายชุดขาวก็พบกับลอร์ดอาทที่กำลังนั่งรอเรืออยู่
“รออะไรรึ” ชายชุดขาวถาม
“รอเรือที่จะแล่นไปส่งที่เมืองเววิส” บอร์ดอาทตอบ
“รอยันตกเย็นท่านก็ไม่ได้นั่งเรือหรอก” ชายชุดขาวบอกแล้วเขาก็เดินลงไปบนผิวน้ำ ลอร์ดอาทตะลึงกับภาพที่เห็นชายชุดขาวเดินบนผิวน้ำได้
“โอ้ ท่านนักปราชญ์ ท่าน...ท่าน...” ลอร์ดอาทแทบไม่เชื่อในสายตาของเขา ชายชุดขาวจึงหันกลับมามอง
“อะไร” ชายชุดขาวถาม
“ท่านเดินบนน้ำได้” ลอร์ดอาทตอบ
“ทำไมกัน ในเมื่อผิวน้ำมันเป็นน้ำแข็ง ทำไมเราจะเดินบนลานน้ำแข็งกว้างนี้ไม่ได้เชียวหรือ ที่เรือจะไม่มาก็เพราะเหตุนี้เช่นกัน ในเมื่อน้ำเป็นน้ำแข็งจะมาได้อย่างไร” ชายชุดขาวบอก ลอร์ดอาทก็หายค่องใจ และเขาลองเอาเท้าเหยียบเบาๆลงมาบนผิวน้ำ ซึ่งเขาก็รู้สึกได้ว่ามันแข็งเป็นน้ำแข็งแล้วจริงๆ
“ขอบคุณท่านนักปราชญ์มากๆที่ช่วยไขข้อสงสัย” ลอร์ดอาทตะโกนบอกแล้วเขาก็ก้าวเท้าทั้งสองข้างเหยียบลงไปบนผิวน้ำ ซึ่งเขาก็จมลงทันทีในน้ำอันหนาวเย็นยะเยือก
“ท่านมีน้ำหนักตัวมากไป น้ำแข็งมันรับน้ำหนักท่านไม่ไหวหรอก” ชายชุดขาวตะโกนบอกพรางหัวเราะชอบใจแล้วเขาก็เดินตรงไปยังสวนกลางน้ำ

หล่า ลา ลั๊น หล่า...   
ลัน ลา ลั๊น ลา ลั่น ลา...   
ลั๊น ล๊า ลัน ลา ลัน ลัน ลา ลัน ลัน ลา ลันล๊า...   
หล่า ลา ลั๊น ล๊า ล่า ลัน ลา...   
ล๊า ลัน ลา ลัน ลา ลั่น ล๊า ลัน ลา ลัน ลา หล่า ลา ลัน ล๊า..... ………….

ชายชุดขาวได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งร้องเพลงอยู่ เขาจึงเข้าไปอย่างช้าๆ เขาเดินขึ้นไปบนศาลาขนาดใหญ่บนเกาะกลางแม่น้ำคอลเวีย ซึ่งมีบันไดสูงขึ้นไป 30 กว่าขั้น เมื่อเขาขึ้นมาแล้วนั้น ก็เห็น เจ้าหญิงพริ้มกำลังร้องเพลงพรางเล่นกับนกน้อยที่บินมาหาเธออยู่ตรงระเบียงอีกฟากหนึ่งของศาลา

“ไพเราะมาก บทเพลงนี้ เราเพิ่งเคยเห็นเจ้าหญิงร้องบทเพลงนี้ได้เป็นคนแรก” ชายชุดขาวตะลึงกับเสียงอันอ่อนหวานไพเราะบวกกับทำนองเพลง เจ้าหญิงพริ้มจึงหันมา
“นั่นเป็นเพราะเราได้ยินบทเพลงนี้มาจากหีบเพลงของท่านแม่ เราจำบทเพลงนี้ได้ไม่หมดหรอก” เจ้าหญิงพริ้มบอกแล้วเธอก็เดินมานั่งในศาลากว้างกลางแม่น้ำ   
“เมื่อวานท่านหายไปไหนทั้งวันเลย ยิ่งนานวัน ท่านนักปราชญ์ยิ่งชอบทำตัวลึกลับขึ้นทุกวัน” เจ้าหญิงพริ้มถาม
“กระหม่อมก็เป็นปกติของกระหม่อมอยู่แล้ว เพราะกระหม่อมไม่เหมือนคนทั่วไป ที่เจ้าหญิงทรงเคยพบมาอยู่ทุกวัน” ชายชุดขาวตอบ
“ใช่ซิ ขนาดอากาศหนาวเช่นนี้ ท่านนักปราชญ์ยังถอดผ้าคลุมหนาใส่แค่เสื้อขาวบางๆและผูกผ้าพันคอที่สวยมากๆ ใครเป็นทักผ้าพันคอนี้ให้เหรอ” เจ้าหญิงพริ้มถามต่ออีก
“น้องสาวของกระหม่อมพะยะค่ะ” ชายชุดขาวตอบ
“เมื่อวานลองถามนักวิทยาศาสตร์นั่นแล้ว เขาบอกท่านจะไปเอากระจกที่เราต้องการในธารน้ำนั้นเหรอ แล้วท่านได้มันมาหรือเปล่า” เจ้าหญิงพริ้มถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น ชายชุดขาวจึงหยิบกระจกวารีขึ้นมา แต่เมื่อหยิบขึ้นมา มันกลับเป็นกระจกชิ้นสำคัญของเจ้าหญิงพริ้ม ซึ่งไม่ใช่กระจกที่เขาเห็นมาในถ้ำทะเลสาบ เจ้าหญิงพริ้มดีใจมากๆที่ได้เห็นกระจกใบนี้อีกครั้ง
“ขอบคุณท่านนักปราชญ์มากๆที่ช่วยหากระจกนี้ให้เรา ไม่งั้นเรานอนไม่ค่อยหลับเลยเมื่อนึกถึงท่านแม่” เจ้าหญิงพริ้มกล่าวคำขอบคุณ
“เจ้าหญิงทรงรู้ไหมว่า บทเพลงนี้ผู้ที่ร้องได้ต้องเป็นสาวพรหมจรรย์ หรือสาวบริสุทธิ์ และมีจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความดี ซึ่งเจ้าหญิงมีคุณสมบัติตามนั้นทุกประการ แต่ถ้าหากผิดไปแม้แต่ข้อเดียว ในบทเพลงนี้เจ้าหญิงจะตะโกนดังสักแค่ไหน ก็จะไม่มีเสียงของเจ้าหญิงดังออกมาเลย” ชายชุดขาวบอก เจ้าหญิงพริ้มก็พยักหน้าตามพร้อมกับยิ้มให้
“แต่เจ้าหญิงทรงรู้หรือไม่ว่า บทเพลงนี้ หากไม่ได้ร้องขึ้นมาจากปากของสาวพรหมจรรย์แล้ว มันจะเป็นคำสาปที่ทำให้คนทั่วไปที่ฟังนั้นหลับใหลไปตลอดกาล ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนที่นำมันไปใช้ในทางที่ผิด” เมื่อสิ้นเสียงของชายชุดขาวแล้ว

ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ตึง...   ตึง ตึง ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ตึง...   ตึ่ง ตึ๊ง ตึง ตึง ตึง ตึง...   ตึง ตึ่ง ตึง ตึงตึ๊ง...

เสียงเปียโนดังขึ้นกึกก้องไปทั่ว ชายชุดขาวฟังแล้วก็ตกใจขึ้นทันที
“เจ้าหญิงอย่าฟังเสียงนั่น” ชายชุดขาวรีบดึงผ้าพันคอออกแล้วเอามาพันรอบดวงตาของเจ้าหญิงไว้รวมทั้งปิดหูไว้ด้วย ส่วนชายชุดขาวนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างของเขาอุดหูเอาไว้ แต่ไม่นานนักก็มีเลือดไหลออกมาจากหูของเขา
“เจ้าหญิงห้ามดึงผ้านี้ออก จนกว่ากระหม่อมจะบอก” ชายชุดขาวตะโกนแหวกเสียงอันดังของเปียโน

ตึ่ง ตึง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ้ง ตึง ตึ่ง...   ตึ๊ง ตึง ตึง ตึง ตึง...   ตึ่ง ตึ๊ง ตึง ตึง ตึง ตึง...   ตึ่ง ตึง ตึง ตึ๊ง......................

ผู้คนในเมืองรวมทั้งในพระราชวังที่ฟังบทเพลงนี้ พวกเขาค่อยๆหลับใหลไปทีละคน หลับไหลไปเหมือนว่ามีความสุขกับการที่ได้ฟังบทเพลงนี้จนหลับไป ส่วนชายชุดขาวนั้น ด้วยความเจ็บปวดทรมานกับเสียงเพลงนี้ เขาตะโกนร้องลั่นออกมา จากเสียงของชายที่ร้องด้วยความเจ็บปวดเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงหอนโหยหวนอันเจ็บปวดของสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง ทำให้เจ้าหญิงพริ้มนั้นกลัวเอามากๆ แต่เธอก็ไม่เห็นสิ่งใดเลย

“เจ้าหญิงต้องถอนคำสาปทุกคนให้ได้ กระหม่อมเชื่อใจในตัวเจ้าหญิง ใช้ความบริสุทธิ์ปล่อยออกด้วยพลังเสียงของเจ้าหญิง และเจ้าหญิงต้องจัดการกับผู้ที่เล่นบทเพลงนี้ให้ได้ ซึ่งกระหม่อมมีเพลง ผ้าผืนนั้นที่จะคอยช่วยปกป้องภัยทุกอย่างที่จะเข้ามาทำร้ายเจ้าหญิงได้ และตอนนี้กระหม่อมยังไม่สามารถเปิดเผยให้เจ้าหญิงเห็นตัวจริงของกระหม่อมได้ กระหม่อมขอตัวลา” เสียงของชายชุดขาวดังขึ้น พรางสลับเสียงลมหายใจของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าหญิง
“เดี๋ยว ท่านนักปราชญ์ แล้วท่านจะไปไหน แล้วเราต้องช่วยคนอื่นยังไง” เจ้าหญิงพริ้มดึงผ้านั้นออกแต่ก็ไม่เห็นนักปราชญ์แล้ว เหลือเพียงแต่ขนอันยาวสีน้ำตาลคล้ายกับขนของหมาป่า
“ผ้าผืนนี้เหรอ” เจ้าหญิงพริ้มมองดูผ้าพันคอของชายชุดขาวแล้วเธอก็กำมันไว้แน่นก่อนที่จะวิ่งกลับลงไปจากศาลากลางแม่น้ำคอลเวียตรงมุ่งหน้ากลับไปยังพระราชวัง
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #7 on: July 11, 2006, 05:29:46 AM »

แล้วกระผมก็ไม่ได้แต่งเรื่องนี้ต่อ เพราะเพื่อนๆไม่อ่านกัน (- -)
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.246 seconds with 21 queries.