Summoner Master Forum
October 04, 2024, 12:17:00 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: For Lover  (Read 2764 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« on: January 20, 2006, 08:40:57 PM »

Chapter One : Artherisa

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านที่อุดมไปด้วยธรรมชาตินานาชนิด ด้านหนึ่งติดกับทุ่งหญ้าขนาดใหญ่กรีนเฟด ซึ่งทุ่งหญ้านี้มีพื้นที่ 300 ตารางกิโลเมตร อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้านมีแม่น้ำธารซีเรีย แม่น้ำหลักที่หล่อเลี้ยงอาณาจักร   อเทอริซ่า และทีใจกลางน้ำวนกลางแม่น้ำนี้มีรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ตั้งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านที่มาศรัทธา

“วิว รอฉันด้วยซิ” เสียงหวานๆใสๆของสาวน้อยคนหนึ่งดังขึ้น ที่ต้นสะพานข้ามแม่น้ำ
“เร็วๆซิ จะได้รีบกลับไปดูประกาศจากเมืองหลวง” วิวที่วิ่งด้วยความเร่งรีบนั้นหยุดและหันกลับมาบอก
“แต่นี่มันก็วิ่งมาไกลแล้วนะ หยุดพักสักนิดจะได้มั้ย” สาวน้อยคนนั้นหยุดพักนั่งริมแม่น้ำ
“ก็ได้ พักสักนิดก็ดีนะ” วิวเดินมานั่งข้างๆ

ในขณะที่ทั้งสองนั้นนั่งพักเหนื่อยกันที่ริมแม่น้ำที่พุ่มไม้ใกล้ๆก็มีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งจ้องมองดูทั้งคู่อยู่ลับๆ

“เอาล่ะ หายเหนื่อยยัง ทีนี้ก็ไปต่อกันเถอะ ธิดาภา” วิวลุกขึ้นปัดฝุ่นเล็กน้อย แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวเท้าเดินออกไป ก็มีเสียงของสิ่งบางอย่างจากพุ่มไม้ใกล้ๆ รัดดาวจึงค่อยเดินเข้าไปด้วยความสงสัย
“เดี๋ยว” สาวน้อยคนนั้นเตือนเพื่อนของเธอ แต่วิวใจกล้านั้นไม่ฟังคำเตือนนั้น เธอค่อยๆยื่นมือเข้าไปเพื่อจะแหวกหญ้า

แง๊ว... แง๊ว...

ปรากฏออกมาเป็นกริฟฟอนเผือกตัวน้อยน่ารัก ลำตัวของมันทั้งร่างเป็นสีเผือกไปหมด ขนาดของมันนั้นเท่ากับลูกสุนัขตัวหนึ่งเลยไม่มีผิด มันกระโดดมาพร้อมกับร้องเสียงเล็กๆ และทำตาใส ที่ทำให้พวกเธอทั้งสองต่างหลงใหลในความน่ารักของมัน

“น่ารักจัง” วิวยื่นมือเพื่อที่จะไปจับกริฟฟอนเผือกน้อยตัวนี้

แฮ่...

กริฟฟอนเผือกเอาปากงับนิ้วของวิว จนเธอร้องลั่น ด้วยเสียงอันดังของเธอทำให้กริฟฟอนเผือกน้อยตัวนี้สะดุ้งตกใจวิ่งไปหลบที่หลังภา

“แกตายแน่ไอ้ลูกหมา” วิวพูดขึ้นด้วยความโกรธ เธอเดินตรงเข้ามาหามัน
“เดี๋ยว มันคงจะกลัวเธอมากกว่าที่จะทำร้ายเธอนะ” ภาก้มลงมาอุ้มกริฟฟอนเผือกน้อยขึ้นมา อาการกิริยาของมันนั้นดูแล้วช่างเป็นมิตรกับภาเอามากๆ
“ถึงหมู่บ้านเมื่อไหร่ จับต้มกินแน่” วิวพูดเสร็จก็เดินข้ามสะพานไปทันที ภาก็หัวเราะเล็กๆกับคำพูดของรัดดาว
“เอาล่ะ ฉันจะเลี้ยงเธอไว้เอง ไม่ต้องไปกลัววิวหรอก ว่าแต่ฉันจะตั้งชื่อให้เจ้าแล้วกัน เอาเป็นชื่อ อบิโน่ ไง เจ้าอบิโน่ กลับหมู่บ้านกันเถอะ” สาวน้อยธิดาภาเอามือลูบหัวมันเบาๆพลางเดินตามวิวกลับหมู่บ้านไป

ที่หมู่บ้านอเคมี่ ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านต่างมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ซึ่งบนเวทีนั้นมีหัวหน้าหมู่บ้านเกส และผู้นำข่าวสารจากเมืองหลวง

“มาทันพอดี” วิวหยุดพักเหนื่อยทันทีที่มาถึง

“เอาล่ะ พี่น้องทั้งหลาย เป็นประจำทุกอาทิตย์ที่พ่อหนุ่มปั้บ จะนำข่าวจากในเมืองหลวงมาบอกพวกเรา เอาล่ะ เชิญเลยพ่อหนุ่ม” เกสบอก
“ขอบคุณครับ เอาล่ะ อาทิตย์นี้ก็มีข่าวอยู่ไม่มาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวร้าย มาฟังข่าวดีกันก่อนก็แล้วกัน ข่าวแรกทางเมืองหลวงจะดูแลหมู่บ้านนี้และตามเขตชายแดนอาณาจักรเราเป็นอย่างดีให้มากขึ้น ข่าวร้าย ข่าวนี้ถ้าผมบอกไปแล้วพวกคุณทุกท่านจงอย่าได้ตื่นตระหนกไปนะครับ คือ ตอนนี้เกิดสงครามกันซึ่งอาณาจักรเราก็ได้ข่าวมาว่าจะถูกรุกรานจากอาณาจักรอื่นเช่นกัน แต่อีกไม่กี่วันทางเมืองหลวงจะส่งทหารมาประจำการตั้งป้อมรับศึกที่หมู่บ้านนี้ ขอให้ทุกคนที่จับมือถืออาวุธได้ โปรดฝึกฝนตัวเองให้แกร่งกล้าและมาเข้าร่วมกับกองทัพ และผู้เฒ่าชรา เด็กเล็ก ทางเราจะจัดหาที่หลบภัยให้โดยต้องตามผมกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อความปลอดภัย” ทันทีที่สิ้นเสียงของปั้บ โดยปกติชาวบ้านจะปรบมือกันด้วยความดีใจที่ได้ยินข่าวดี แต่พวกเขากลับต้องนิ่งเงียบตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ปั้บก็กวาดสายตามองดูชาวบ้านไปอ้าปากค้างกัน
“งั้นผมขอตัวลา” ปั้บพูดเสร็จเขาก็วิ่งลงจากเวทีไปขึ้นหลังม้าขวบกลับไปยังเมืองหลวงทันที

“เกิดอะไรขึ้นเหรอพ่อ” สาวน้อยธิดาภาเดินเข้ามาถาม ในขณะที่ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันไปด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย ทางการเขาบอกมาว่า ตอนนี้เข้าสู่ช่วงศึกสงคราม เราคงต้องหันมาฝึกจับดาบถือปืนเพื่อเอาตัวรอดแล้วละ” เกสตอบ
“แต่หมู่บ้านเราไม่ชำนาญด้านการสู้กันเลยนะ เราจะเอาอะไรไปสู้เขาได้” วิวถาม
“ทางการก็เลยจะส่งกองทัพมาตั้งป้อมคอยดูแลหมู่บ้านเล็กๆ ต่างๆ เพื่อไม่ให้เสียดินแดนไป” เกสตอบ
“แล้วพวกหนูละ จะต้องทำอะไรบ้าง” ธิดาภาถาม
“ลูกกับวิวถนัดในเรื่องการช่วยเหลือรักษา ลูกคงมีประโยชน์ต่อกองทัพมาก พ่อจึงคิดว่าอยากให้รู้ฝึกฝนและเรียนการใช้ยารักษาจริงๆ ต่อไปนี้มันจะไม่ใช่การฝึกซ้อมอีกแล้วนะ ลูกจะเจอกับสงคราม การตาย การนองเลือด พ่ออยากให้ลูกทำใจ เอาล่ะ ไปพักผ่อนกันเถอะ เดี๋ยวพ่อจะไปปรึกษาเรื่องพวกนี้กับผู้ชายในหมู่บ้าน” เกสตอบเสร็จก็เดินจากไป

“ภา” วิวเห็นภายืนก้มหน้านิ่งเงียบ
“เธอไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” วิวถาม
“ไม่เป็นไรหรอก เรากลับบ้านกันเถอะ” ภาตอบเสร็จเธอก็รีบเดินไปทันที
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #1 on: January 20, 2006, 08:41:56 PM »

Chapter Two : The Vanguard

เช้าวันต่อมา ปั้บ ขวบอาชาคู่ใจของเขากลับมาถึงเมืองหลวง ระหว่างที่เขาหลังจากหลังม้าและเดินตรงเข้ามาในพระราชวังนั้น สองข้างทางของเขาก็เห็นทหารจำนวนมากวิ่งไปมากับตลอดเวลา เขาเองก็รู้ว่าทหารพวกนั้นกำลังเตรียมพร้อมทั้งทางด้านอาวุธและเสบียง

“ณ แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะแต่งตั้งผู้คนเหล่านี้เป็นผู้นำทัพไปตั้งยังหมู่บ้านต่างๆ” เสียงของชายผู้หนึ่งพูดขึ้นท่ามกลางเหล่าทหารที่มียศสูงจำนวนมาก ปั้บแสดงความเคารพชายคนนั้นแล้วเขาก็เดินเข้าไปยืนด้านหลังชายคนนั้น
“คนแรก แพ๊ค ท่านจงนำพลทหาร 10,000 คนไปตั้งป้อมยังเมืองคิวบัสทางตอนเหนือ” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“ท่านลอร์ดล๊าค หากเรานำพลทหารแบ่งไปเยอะขนาดนั้น เราจะไม่มีทหารคุ้มครองเมืองหลวงได้นะท่าน” ปั้บยื่นหน้าเข้ามากระซิบเบาๆ
“เอาเถอะ ฉันคิดเอาไตร่ตรองดีทุกอย่างแล้ว” ลอร์ดล๊าคบอก
“คนต่อมา มิ้ง ท่านนำสารฉบับนี้ไปยื่นให้กับอาณาจักรฟรานคว้าน และตั้งป้อมปักหลักฐานช่วยรบอยู่ที่นั่น” ลอร์ดลาคประกาศ จากนั้นแม่ทัพผู้ทรงสง่าก็ก้าวเท้าเดินออกมารับสารจากลอร์ดล๊าค
“คนต่อมา บอน ท่านจงนำทหารช่างที่ชำนาญในด้านการต่อเรือไปยังริมฝั่งตะวันตก ท่านจงเกณฑ์ไพร่พลทหารและตั้งป้อมคุ้มครองเมืองตามชายฝั่งทะเลให้จงได้” ลอร์ดล๊าคประกาศขึ้น
“และคนสุดท้าย เต้ย ท่านจงไปยังดินแดนแห่งทุ่งกว้างอันเขียวขจีกรีนเฟด ท่านจงรวบรวมไพร่พลจากหมู่บ้านต่างๆบริเวณนั้นมารวมที่หมู่บ้านเดียว และจงตั้งป้อม ซึ่งด่านนั้น ทางตัวข้าเองก็เห็นใจท่านว่า ข้าศึกจะบุกตรงจุดนั้นหนักมาก ข้าจึงแต่งตั้งให้ ปั้บ และ เชน ทหารที่คอยคุ้มครองข้านั้น ติดตาม แม่ทัพเต้ย ไปด้วย ขอให้ท่านโชคดี” ลอร์ดลาคพูดเสร็จ แม่ทัพหนุ่มวัย 21 ปี ผู้เงียบขึมก็ก้าวเท้าออกมาหน้าแถว
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าข้าศึกจะเป็นใคร ขอให้เทพเทวดาทั้งหลายจงสถิตอยู่คุ้มครองพวกท่านให้การศึกครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี” ลอร์ดลาคกล่าวคำอวยพรเสร็จก็เดินออกไป ปั้บเองพอได้ยินเขาก็ตกใจเช่นกัน เพราะโดยส่วนตัวเขาไม่ค่อยได้จับดาบสู้คนสักเท่าไหร่ และแม่ทัพทั้ง 4 ต่างก็แยกย้ายกันไป

“เดี๋ยวแม่ทัพเต้ย” ปั้บรีบวิ่งเข้าไปหา แม่ทัพหนุ่มจึงหันหลังกลับมา
“ข้าขอไม่ไปกับท่านได้มั้ย ข้าไม่ถนัดเรื่องการสู้รบสักเท่าไหร่” ปั้บพูดด้วยน้ำเสียงพร้อมกับทำท่าออดอ้อน
“ได้ซิ เดี๋ยวจะให้คนมาสอนจับอาวุธให้ อยากใช้อาวุธอะไรละ” แม่ทัพหนุ่มพูดขึ้น ปั้บถึงกับอ้าปากค้างก่อนที่จะทำท่าค่อยๆหมดแรงเป็นลมล้มลงไป แม่ทัพหนุ่มยืนมองดูปั้บอยู่สักพักก่อนที่จะเดินจากไป

แปะ... แปะ...

“อะไร” ปั้บสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“แม่ทัพเต้ยบอกให้ฉันมาปลุก” ชายร่างใหญ่ที่ตบหน้าปั้บตอบ
“ไม่................” ปั้บตะโกนลั่น ชายร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นมองดูปั้บอย่างเงียบอยู่สักพัก
“ถ้าไม่อยากตายก็เดินตามมา” ชายร่างใหญ่พูดเสร็จเขาก็เดินออกไปจากห้อง
“ลูกเมียก็ยังไม่มี ทำไมเราต้องมาตายตอนนี้ด้วย” ปั้บพูดปลอบใจตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้นเดินตามชายร่างใหญ่ออกไปจากห้องพยาบาล

ทันทีที่ปั้บเดินออกมาจากห้องพยาบาลเขาก็พบวันนี่เป็นตอนเช้าของวันต่อมาแล้ว เขามองไปที่ลานกว้างยาวหน้าปราสาทที่เต็มไปด้วยฝูงชนที่มารอดูการออกเดินทางของสี่แม่ทัพ

“ณ เวลานี้ได้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีแล้ว ขออัญเชิญกษัตริย์แห่งอเทอริซ่า ราชานิวลอยด์” ลอร์ดลาคประกาศ ลงจากที่สิ้นเสียงของท่านลอร์ด ผู้คนต่างก็ปรบมือพร้อมกับส่งเสียงเฮด้วยความดีใจ กษัตริย์แห่งอเทอริซ่าก็เดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ซึ่งเบื้องหน้าของมีแม่ทัพทั้ง 4 ถวายความเคารพ สักพักราชานิวลอยด์ก็ชูมือขึ้น ผู้คนจำนวนมากต่างก็หยุดส่งเสียงและเงียบกันทันที

“อาณาจักรเรายืนหยัดอยู่กับมาอย่างร่มเย็นเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว บัดนี้ อาณาจักรกอไบท์ได้ประกาศศึกสงครามกับบรรดาอาณาจักรอื่นๆ โดยมีอาณาจักรเนียรอส และอาณาจักรเดวิล เป็นพันธมิตร ทั้ง 3 อาณาจักรนี้ ยิ่งใหญ่ในเรื่องสงครามก็กะนั้นอยู่ แต่ไม่มีอาณาจักรใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าอาณาจักรเราได้” ราชานิวลอยด์ลงเสียงหนักในคำสุดท้าย

ใช่...

ผู้คนต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันด้วยเสียงอันดัง

“แต่เรามีแม่ทัพผู้เก่งกาจถึง 4 คน แพ๊ค แม่ทัพผู้เก่งกล้าในเรื่องการวางแผนการรบ เจ้าจงไปนำชัยกลับมาให้ข้า” ราชานิวลอยด์ขึ้นเสียงอันหนักแน่นใส่
“มิ้ง จงยึดใจผู้คนแห่งฟรานคว้านมาให้ได้” ราชานิวลอยด์พูดปลุกใจให้แก่แม่ทัพมิ้ง
“บอน ถึงเจ้าจะต้องได้แต่ตั้งรับจากอาณาจักรฟิวโก้ ที่เก่งกาจในเรื่องการรบด้วยเรือก็ตาม โค่นมันให้ได้ เพื่อชิงว่าอาณาจักรเก่งที่สุด” ราชานิวลอยด์บอก
“อ่า และคนสุดท้าย แม่ทัพเต้ย เจ้าเก่งกาจที่สุดในบรรดาแม่ทัพทั้ง 4 ของข้า ข้าเลยมั่นใจว่าเจ้าจะต่อกรอาณาจักรกอไบท์และอาณาจักรเดวิล ทั้งสองอาณาจักรนี้ได้ ตัวข้านี้ และผู้คนของข้าอีกมาก เชื่อมั่นในตัวเจ้า เดินเข้ามาหาข้า” ราชานิวลอยด์บอก แม่ทัพหนุ่มก็เดินเข้าไปหา
“ดาบแห่งอเทอริซ่า ดาบที่ไม่มีผู้ใดได้จับนอกจากตัวข้าแล้ว ในบัดนี้ ข้าขอมอบดาบนี้ให้เจ้าถือแทนข้า จงอย่าทำให้ข้าผิดหวังละ” ราชานิวลอยด์ยื่นดาบให้พร้อมกับกระซิบเบาๆ
“จงไปประกาศให้โลกรู้เลยว่า อาณาจักรอเทอริซ่า ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” หลังจากที่สิ้นเสียงของกษัตริย์แห่งสงครามแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็หันกลับมาหาผู้คนนับแสนพร้อมกับชูดาบขึ้น ผู้คนต่างก็ส่งเสียงเฮกันด้วยความดีใจกันยกใหญ่ ราชาผู้ยิ่งใหญ่ได้เห็นแล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในพระราชวัง

หลังจากที่ดีใจกันได้ไม่นาน แม่ทัพทั้ง 4 ก็ค่อยๆเคลื่อนย้ายลงไปยังม้าคู่ใจของพวกเขาที่เตรียม ก่อนที่จะนำขบวนทัพเคลื่อนออกไปยังสนามรบ ระหว่างทางนั้นพวกเขาก็มองดูผู้คนที่มองดูตัวเขาด้วยความหวัง เสียงเพลงบรรเลงให้ฤกษ์จนในที่สุดทัพทั้ง 4 ก็ได้ออกจากเมืองหลวงอเทอริซ่าไป
« Last Edit: January 20, 2006, 08:43:43 PM by !!! Unknow !!! » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #2 on: January 20, 2006, 08:43:03 PM »

Chapter Three : Fallen Night

ที่หมู่บ้านกรีนเฟดในยามค่ำคืน ผู้ชายในหมู่บ้านต่างกันผลัดเปลี่ยนเวรกันเฝ้าเพื่อเตือนภัยให้กับผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งคืนนั้นเองสาวน้อยธิดาภาฝันเห็นภาพสงครามอันน่ากลัวจนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา ร่างกายเธอท่วมไปด้วยเหงื่อที่เปียกโชก เธอจึงลุกขึ้นออกมาเดินเล่นนอกบ้าน แต่วิวที่นอนไม่หลับเช่นกันก็เห็นดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นเดินตามออกไปอยู่ห่างๆ

วิวแอบสะกดรอยตามมาจนถึงริมแม่น้ำ เธอเห็นภานั่งลงอยู่ตรงนั้น เธอจึงเดินเข้าไปหาอย่างเงียบๆ
“ทำไมเราถึงฝันแต่เรื่องแบบนั้นนะ” ภาพูดกับเงาตัวเองในน้ำ
“ฉันก็ด้วย” วิวพูดขึ้นและเดินมานั่งข้างๆ
“เธอก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ” ภาถาม
“ใช่ เหมือนเธอแหละ” วิวตอบ ก่อนที่จะนอนมองดูดาวบนท้องฟ้า แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไปสักพัก

“คืนนี้ดาวสวยจังนะ ไม่ได้มาดูดาวแบบนี้ซะนานเลย” วิวชี้ดาวบนท้องฟ้าให้ดู
“เธอนี่ก็เปลี่ยนเรื่องง่ายดีนะ” ภาหัวเราะเล็กๆก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองดูดาว
“ทำไมเธอต้องคิดแต่เรื่องแบบนั้นด้วยละ ทั้งๆที่จริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องสนใจกับเรื่องพวกนี้เลย ถึงเวลานั้นจะมาถึงจริง เราก็หนีไปที่อื่นก็ได้นี่” วิวบอก
“มันอาจจะจริงอย่างที่ถูกพูดนะวิว แต่พวกเราก็ควรมีส่วนร่วมช่วยพวกเขาบ้าง” ภาก็หันมามองเพื่อนสาวของเธอด้วยสีหน้าที่ทุกข์ใจ

แม๊ว... เมี๊ยว... แม๊ว... แม๊วววววว...  เมี๊ยววววววว...

เสียงลูกแมวตัวหนึ่งดังขึ้น พวกเธอทั้งสองจึงกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อมองหามัน จนสักพักเสียงลูกแมวตัวนั้นค่อยๆดังขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนวิวเหลือบไปมองเห็น

“เฮ้ย นั่นไง ลูกแมวตกน้ำ” วิวสะกิดภาและชี้ให้ดู ทั้งคู่จึงรีบวิ่งไปหากิ่งไม้ยาวๆมา ยื่นไปให้ลูกแมวเกาะไว้ และช่วยมันขึ้นมาจากแม่น้ำ พอช่วยลูกแมวขึ้นมาได้แล้ว วิวก็อุ้มมันขึ้นมาดู

“นี่มันลูกแมวอะไรเนี่ย ที่หลังมีปีกเล็กๆด้วย” วิวพูดขึ้นด้วยความสงสัย สักพักลูกแมวน้อยก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ตัวมันสั่นด้วยความหนาว เมื่อมันเห็นสาวน้อยธิดาภา มันก็เอาแรงเท่าที่มีตะกุยแขนเสื้อของวิวเพื่อที่จะไปหาเธอให้ได้
“ลองเอามาให้ฉันที” ภาบอก วิวจึงส่งลูกแมวสีขาวนวลตัวน้อยตัวนั้นให้ภาเป็นคนอุ้ม
“มันคงจะหนาวมากเลยละ” ภามองดูมันซุกในอ้อมแขนของเธอ
“สงสัยเธอจะมีเสน่ห์กับสัตว์พวกนี้รึไงเนี่ย” วิวแซวขึ้นเล็กๆ
“ไม่รู้แหละ ฉันจะเลี้ยงเจ้าตัวน้อยนี้อีกตัวก็แล้วกัน เอาเป็นว่าจะตั้งชื่อมันว่า โฮลี่ แล้วกัน” ภามองดูลูกแมวตัวน้อยที่ค่อยหลับอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่น

ตูมมมมมมมมมมมมม

เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นไปทั่วฟ้า พวกเธอทั้งคู่สะดุ้งตกใจกลัวทันทีที่ได้ยิน จากนั้นก็มีควันไฟลอยขึ้นจากหมู่บ้านของเธอ เธอจึงรีบวิ่งกลับไปทันที

เมื่อมาถึงหมู่บ้าน ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่วิ่งแตกตื่น เธอพยายามจะวิ่งเข้าไปหาพ่อของเธอ

ทุกคนหนี.....

เมื่อภาได้ยินเสียงของพ่อเธอสั่งผู้คนในหมู่บ้านแล้ว เธอจึงวิ่งไปตามต้นเสียงฝ่าผู้คนที่วิ่งสวนทางออกมา แต่ก็มีระเบิดไฟพุ่งตกลงมาใส่บ้านจนเกิดระเบิดเป็นระยะๆ

“พ่อค่ะ” ภาเรียกพ่อของเธอที่กวาดต้อนชาวบ้านอยู่
“ลูกรีบหนีไปยังหมู่บ้านอื่นก่อน และช่วยบอกหัวหน้าหมู่บ้านนั้นให้รีบอพยพคนในหมู่บ้านออกไปทันที เดี๋ยวพ่อจะตามไป” เกสสั่งเสียเสร็จก็ผลักลูกสาวของตนออกไป ชาวบ้านที่วิ่งกันแตกตื่นอยู่นั้นต่างก็คอยผลักดันเธอจนไกลห่างจากพ่อของเธอเรื่อยๆจนลับสายตา เธอจึงตัดสินใจเชื่อมั่นในตัวพ่อของเธอ แล้ววิวก็ดึงมือภาออกมาจากฝูงชน

“เร็วรีบหนีกันก่อนเถอะ” วิวบอก
“เดี๋ยว” ภาสบัดมือของวิวออก และวิ่งเข้าไปหาอบิโน่ที่นอนสลบอยู่กับถนนที่มีชาวบ้านวิ่งกันเต็มไปบน บางคนก็เยียบมัน บางคนก็เตะมัน ด้วยความสงสารของเธอ เธอจึงแหวกฝูงชนเข้าไปช่วยมันออกมา

ตูมมมมมมมมมมม

เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง ชาวบ้านต่างก้มตัวหมอบลงราบกับพื้น แต่ภากับวิวนั้นอยู่ไกลแรงระเบิดจึงได้แต่หันไปมอง ภาพที่พวกเธอเห็นคือ ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ถูกสะเก็ดระเบิด กระเด็นลอยขึ้นฟ้าไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งจุดที่ระเบิดลงนั้น คือจุดที่พ่อของเธออยู่นั่นเอง

ใจของสาวน้อยธิดาภาแทบแตกสลาย เธอปลดปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจออกมา
“ภาไปต่อเถอะ เร็ว พ่อเธอคงจะไม่เป็นไร” วิวดึงภาวิ่งหนีออกจากหมู่บ้านนั้นต่อไปพร้อมกับความโศกเศร้าเสียใจของตัวเธอ

พอมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ ภาก็หันหลังกลับไปแลดูหมู่บ้านเกิดของเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอแทบจะไม่เชื่อสายตาว่าหมู่บ้านของเธอนั้นจะเต็มไปด้วยเปลวไฟที่รุกโฉดแผดเผาความทรงจำของเธอในหมู่บ้านนั้น ซึ่งเหนือกลุ่มควันไฟขึ้นไป เธอเห็นฝูงมังกรจำนวนมากบินวนอยู่ เธอมองมันด้วยสายตาที่โกรธแค้นก่อนที่จะตัดใจวิ่งข้ามสะพานไป
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #3 on: January 20, 2006, 08:45:12 PM »

Chapter Four : Holy Artherisa

เช้าวันต่อมา กองทัพศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรอเทอริซ่าก็เคลื่อนมาถึงเมืองกรีนเฟด เมืองทั้งหมดก็ได้ตกแต่งเตรียมรบไว้รอพวกเขาอยู่แล้ว

“โอ้ ในที่สุดพวกท่านก็มา ข้าชื่อ โบส เป็นเจ้าเมืองของที่นี่” เจ้าเมืองโบสแนะนำตัวทันทีที่กองทัพอเทอริซ่าเข้ามาในเมือง
“รายงานสถานการณ์ให้ที” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามขึ้นทันที
“ครับท่าน ตอนนี้....” ยังไม่ทันจะสิ้นคำพูดของเจ้าเมืองโบส

ข้าศึก... ข้าศึก... ตีหมู่บ้านอื่นมาแล้ว

ชายคนหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยก็ล้มลงทันทีที่แจ้งข่าวร้ายเสร็จ

“เชน ท่านช่วยเตรียมทัพป้องกันเมือง ชารัต พาเจ้าปอดแหกนั่นไปบนกำแพงเมืองตั้งพลธนูไว้ กาแลนและทหารม้าทุกคน ตามข้ามา” แม่ทัพหนุ่มสั่งการเสร็จก็ควบม้าออกไปยังประตูเมืองอีกฝั่งทันที

กองทัพม้า 100 นาย วิ่งเป็นขบวนตามแม่ทัพหนุ่มออกไปต้านข้าศึก แม่ทัพเต้ยควบยอดอาชาคู่ใจของเขาสวนทางชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นที่ถูกข้าศึกไล่ต้อนมา ศัตรูของพวกเขาคือเหล่าทหารแห่งกอไบท์กลุ่มหนึ่งที่ขี่สิงโตป่าสีแดง

“แปรขบวน แบล๊ค อีเกิล” แม่ทัพหนุ่มชักดาบออกมาชูขึ้นให้สัญญาณ ทหารม้าที่ควบตามมาก็ค่อยๆขยายออกเป็นรูปนกอินทรีขนาดใหญ่ที่ตีปีกกว้าง ซึ่งส่วนหัวของนกอินทรีนั้นคือ แม่ทัพหนุ่มผู้ใจกล้านั่นเอง

แต่ทันใดนั้น แม่ทัพหนุ่มก็ประหลาดใจขึ้นมาทันที เขามองไปเห็นสาวน้อยสองคนที่กำลังวิ่งหนีทหารกอไบท์ที่วิ่งไล่พวกเธอตามมาติดๆ

“เปลี่ยนๆ แปรขบวน กาดเดี้ยน ซัพพอต” ทหารม้าที่ควบตามมานั้นต่างก็ประหลาดใจเช่นกันที่ผู้นำได้เปลี่ยนคำสั่งอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ทำตามให้เร็วที่สุด แต่ในช่วงนั้นเอง แม่ทัพหนุ่มกลับเร่งม้าไปด้วยความเร็วทิ้งทหารม้าที่ตามมาอยู่ด้านหลังให้ห่างออกไปเรื่อยๆ เขายื่นแขนขวาที่จับดาบออกข้างลำตัวจนสุดแขน เป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ทำให้ทหารม้าด้านหลังนั้นเร่งฝีม้าให้เร็วขึ้นตามเขาไป

ตึก ตึก... ตึก ตึก...

เสียงหัวใจของเขาเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งใกล้สาวน้อยคนนั้นเข้าไปเท่าไหร่ หัวใจของเขากลับเริ่มมีสมาธิและเต้นช้าลงจนเขาควบคุมสติได้ เมื่อเขาและเธออยู่ห่างกันเพียง 10 เมตร ทหารกอไบท์ที่ขี่สิงโตป่าสีแดงที่ไล่ตามเธอมานั้น ก็กระโจนพุ่งใส่ทันที แม่ทัพหนุ่มเองก็ควบอาชากระโจนสวนเข้าปะทะ

“ภา หมอบ” วิวผลักเพื่อนของเธอก้มตัวลงหมอบลงไปด้วยกัน ซึ่งเหนือหัวของพวกเธอนั้น มีสิงโตป่าสีแดงขนาดใหญ่และยอดอาชาที่กระโจนผ่านไป แม่ทัพหนุ่มใช้ดาบฟันคอทหารกอไบท์ตนนั้นจนร่างกระเด็นตกจากหลังสิงโตป่าตายทันที

อเทอริซ่า จงเจริญ....

 กาแลนตะโกนสุดเสียงพร้อมกับใช้ทวนขนาดใหญ่ตั้งชี้ตรง แล้วทหารม้านับ 100 นาย ก็เข้าปะทะกับกองกำลังทหารแห่งกอไบท์ที่ควบสิงโตป่าสีแดง

แก๊กกกกกกกกกก...

เสียงของมังกรตัวหนึ่งดังขึ้น แล้วมังกรตัวนั้นก็โฉบใส่ทหารม้านายหนึ่งจนกระเด็นไปพร้อมๆกับม้า ซึ่งบนหัวของมังกรตัวนั้นมีชายคนหนึ่งควบคุมมันอยู่

“กาแลนคุ้มครองชาวบ้านทุกคนให้ดี อย่าให้ใครบาดเจ็บ” แม่ทัพหนุ่มสั่งการเสร็จก็ควบม้าตามมังกรตัวนั้นไปทันที

มังกรตัวนั้นบินไปไกลจนมันกลับตัววกกลับมา มันพ่นลูกไฟโจมตีใส่แม่ทัพหนุ่มอยู่หลายนัด แต่แม่ทัพหนุ่มเองก็ใช้ลีลาในการควบม้าหลบหลีกลูกไฟเหล่านั้นได้ จนมังกรตัวนั้นบินต่ำลงมา แม่ทัพหนุ่มก็ง้างดาบขึ้นทันที เมื่อเข้ามาใกล้กันในระยะ 50 เมตร มังกรไฟตัวนั้นก็พ่นไฟเป็นสายธารออกมา ในจังหวะนั้นเองแม่ทัพหนุ่มก็เสี่ยงดวงเขวี้ยงดาบใส่ ดาบเล่มนั้นปักเข้ากลางเพดานปากของมังกรตัวนั้นจนมันหยุดพ่นไฟพร้อมกับกรีดร้องด้วยเสียงอันเจ็บปวด แม่ทัพหนุ่มจึงกระโดดออกจากหลังม้าไปเกาะหางของมัน แล้วมังกรไฟก็บินสูงขึ้นเรื่อยๆ

เขารอจังหวะที่มังกรตัวนี้บินนิ่งแล้ว เขาก็ค่อยๆปีนจากหางของมันไปเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณลำตัว เขาปีนไปเรื่อยๆด้วยความระมัดระวัง จนมาถึงส่วนหัว เขาก็สะกิดหลังชายที่ควบคุมมังกรตัวนี้ พอชายคนนั้นหันมา แม่ทัพหนุ่มก็กระชากเสื้อชายคนนั้นและเหวี่ยงออกไปจากหลังมังกรให้ตกลงไปสู่ข้างล่างที่สูงประมาณ 100 เมตร แต่แล้วมังกรตัวนี้กลับดิ้นไปมาแรงขึ้น มันเริ่มบินอย่างผาดโผน แม่ทัพหนุ่มเริ่มจับหลังมันไม่ไหว จนในที่สุดมังกรไฟตัวนี้ก็สะบัดหัวขึ้น ทำให้แม่ทัพหนุ่มที่หมดแรงลอยสูงขึ้นไปข้างบน แล้วเขาก็เห็นมังกรตัวนั้นบินตามขึ้นมาพร้อมกับอ้าปาก มันพุ่งเข้ามางับเขา แต่แม่ทัพหนุ่มเอามือทั้งสองข้างจับดาบของเขาและดันตัวออก ด้ามดาบที่ยื่นยาวออกมายาวกว่าปากของมันนั้นทำให้มันไม่สามารถกัดแม่ทัพหนุ่มได้ มันจึงสะบัดหัวไปมาอย่างแรงอีกครั้ง จนทำให้ดาบที่ปักในปากของมันนั้นหลุดออกมา แล้วแม่ทัพหนุ่มก็ลอยหายขึ้นไปในกลุ่มเมฆ ทำให้ผู้คนที่อยู่ข้างล่างเป็นห่วงกับการต่อสู้ของเขา

พอมันตั้งหลักได้ มันก็บินพุ่งขึ้นมาด้วยความเร็วสูง มันอ้าปากกว้างเตรียมเขมือบแม่ทัพหนุ่ม เขาใช้สมาธิจับจังหวะแรงลมที่ต้านมังกรตัวนั้น ทำให้มันบินพุ่งขึ้นมาเป็นจังหวะ จนในที่สุดมันก็พุ่งเข้ามาถึงตัว แม่ทัพหนุ่มจึงใช้ดาบง้างขึ้นปักและเตะที่กามล่างของมังกรหมุนตัวตีลังกาไปข้างหน้าให้เลยจมูกของมันออกมาและใช้ดาบปักเข้าที่กลางหัวของมัน มังกรตัวนั้นตายไปในทันที ร่างของมันค่อยๆทิ้งดิ่งลงสู่ผิวโลกอย่างรวดเร็ว ทหารม้าจำนวนมากและชาวบ้านรวมทั้งชาวเมืองที่ออกมาดูนั้น ต่างลุ้นกันสุดๆกับการต่อสู้ของแม่ทัพหนุ่ม จนในที่สุดมังกรไฟร่างใหญ่ตัวนั้นก็ตกลงสู่พื้น แรงกระแทกทำให้เกิดกลุ่มควันฟุ้งกระแจกไปทั่ว

“ท่านแม่ทัพ” กาแลนที่ควบม้ามาถึงจุดตกรีบกระโดดลงจากหลังมาวิ่งเข้ามาดูอาการของแม่ทัพหนุ่มทันที
“ท่านแม่ทัพ ตายแล้ว” กาแลนเริ่มเปลี่ยนสีหน้าอันเศร้าหมองทันที
“อะไรกัน ฉันยังไม่ตายง่ายๆหรอก แค่จุกจนลุกไม่ขึ้น” แม่ทัพเต้ยพูดเสร็จก็สำลักอาการจุกออกมา กาแลนดีใจสุดขีดเขาจับแม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นมากอดแน่น และทหารม้านายอื่น และผู้คนที่ดูการต่อสู้นั้น ต่างก็ส่งเสียงเฮพร้อมกับปรบมือแสดงความดีใจให้กับแม่ทัพหนุ่ม ผู้นำกองทัพศักดิ์สิทธิ์แห่งอเทอริซ่า
« Last Edit: January 20, 2006, 08:50:29 PM by !!! Unknow !!! » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #4 on: January 22, 2006, 01:55:47 AM »

Chapter Five : The Century Church

หลังจากแม่ทัพหนุ่มได้ปราบกองทัพเล็กๆแห่งกอไบท์ได้ ภายในเมืองกรีนเฟดก็ได้จัดงานฉลองรื่นเริงกันทั่วเมือง ซึ่งคับแน่นไปด้วยชาวบ้านจากหมู่บ้านในเขตแดนกรีนเฟดทั้งหมดมารวมตัวกัน

“ท่านแม่ทัพ เดี๋ยวรอข้าด้วย” ปั้บวิ่งตามแม่ทัพหนุ่มที่เดินอยู่ที่บนประตูเมือง
“เจ้าตามข้ามาทำไมกัน” แม่ทัพหนุ่มหันมาถาม
“เอ่อ คือ ข้ารู้ว่าถ้าข้าจะขอไม่ร่วมรบเนี่ย ท่านคงจะไม่ให้เป็นแน่ ข้าจึงอยากขอเป็นอะไรก็ได้ในกองทัพที่ไม่ต้องเสี่ยงภัยมากจะได้มั้ย” ปั้บตอบ
“ได้ ชารัต เอาเจ้านี่ไปฝึกใช้ธนู” แม่ทัพหนุ่มตะโกนเรียก ลูกน้องคนสำคัญของเขา ชารัตชายผู้คุมทัพธนูก็วิ่งเข้ามาหาทันที
“เดี๋ยว ขอข้าเป็นพวกพยาบาลแทนไม่ได้เหรอ” ปั้บบอกแต่แม่ทัพหนุ่มไม่ฟังในคำพูดของเขาและเดินจากไป

เมื่อแม่ทัพหนุ่มได้มาอยู่ในที่เงียบเพียงคนเดียว เขาก็ก้มดูเสื้อเกราะของเขา

“ทำไมตอนนั้น ทหารนั่นมันไม่ยอมฟันเรา ทั้งๆที่ในจังหวะนั้นเราฟันพลาดไป” แม่ทัพหนุ่มยังคงสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ผ่านมา แล้วเขาก็ยืนเท้าระเบียงประตูเมืองมองดูผู้คนด้านล่างที่กำลังสนุกสนานกับงานเลี้ยงรื่นเริง

สักพักแม่ทัพหนุ่มก็จะกลับลงไปยังเต็นท์นอกเมืองเพื่อพักผ่อน แต่พอเขาหันกลับมา เขาก็เห็นสาวน้อยที่ทำให้เขาเกือบจะหยุดหายใจ เขาตบหน้าเพื่อเรียกสติก่อนที่จะเดินเข้าไปหา

“เหตุการณ์เมื่อเช้า เธอไม่เป็นอันตรายอะไรใช่มั้ย” แม่ทัพหนุ่มถามขึ้น สาวน้อยคนนั้นจึงหันมา
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเอาไว้” สาวน้อยคนนั้นตอบ
“ชื่ออะไรเหรอครับ ผมชื่อ เต้ย เป็นแม่ทัพที่นำกองกำลังมาตั้งค่ายที่นี่” แม่ทัพเต้ยถาม
“ชื่อ ธิดาภา เรียก ภา เฉยๆก็ได้ค่ะ ฉันเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาในหมู่บ้านใกล้ๆ” ภาตอบ
“ภา ไปเร็ว ฉันเจออะไรแปลกๆเข้าแล้วละ” วิววิ่งขึ้นมาตามทันที แต่เธอก็แปลกใจทันทีว่าเพื่อนของเธอนั้นนั่งอยู่กับใคร
“เดี๋ยวฉันไปก่อนนะคะ เพื่อนมาเรียกแล้ว” ภาส่งยิ้มให้ก่อนที่จะลุกขึ้นวิ่งไปหาวิว
“ครับ ตามสบาย” แม่ทัพเต้ยผู้ใจกล้านั้นกลับกลายเป็นผู้อ่อนโยนไปทันที

เมื่อสองสาวได้เดินจากไปแล้ว แม่ทัพหนุ่มน้อยก็ยังคงเพ้ออยู่สักพัก พอเขาตั้งสติได้ เขาก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาชารัตที่สนามฝึก

“ชารัต เดี๋ยวข้าขอตัวเจ้านี่ไปก่อน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยฝึกซ้อมให้มันต่อ” แม่ทัพเต้ยลากปั้บไปทันที
“ครับ ท่านแม่ทัพ” ชารัตตอบเสร็จก็เดินจากไป
“ขอบคุณท่านแม่ทัพมากเลยที่ช่วยข้าเอาไว้ ข้าฝึกจนปวดเหมื่อยไปทั่วตัวแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนบ้างนะ” ปั้บทำขาอ่อนยืนไม่อยู่
“อยากสบายใช่มั้ย” แม่ทัพหนุ่มถาม
“ครับ” ปั้บตอบ
“ข้ามีงานบางอย่างอยากให้ทำ และตลอดไปจนกว่าข้าจะยกเลิก ข้าอยากให้เจ้าคอยติดตาม สาวน้อยสองคนซึ่งเดี๋ยวข้าจะชี้ให้ดู เจ้าต้องคอยติดตามและนำข่าวมาบอกข้า และถ้ามีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับพวกเธอ เจ้าต้องคุ้มครองพวกเธอให้ได้ ถ้าไม่มีข้า หากพวกเธอมีบาดแผลหรือเป็นอะไรใดๆ เจ้าจะโดนหัก” แม่ทัพหนุ่มบอก
“ขอบคุณ ท่านแม่ทัพมากเลยครับ ที่ไม่ให้งานอะไรที่ต้องมาทนทุกข์เจ็บแสบทรมานแบบนี้” ปั้บตอบแล้วเขาก็มีแรงกลับมาอีกครั้งและเดินตามแม่ทัพหนุ่มไปทันที

“นั่นใครเหรอ ภา” วิวดึงเพื่อนสาวของเธอมาในที่ลับตาคนและถามขึ้น
“คนที่ช่วยพวกเราไว้เมื่อเช้าไง จำไม่ได้เหรอ” ภาจึงเดินมานั่งที่เก่าอี้พักให้สบายก่อนที่จะตอบ
“จำได้ แต่เขาชื่ออะไรเหรอ” วิวถามต่อ
“เขาบอกชื่อ เต้ย”
“เต้ย เหรอ ชื่อดูแปลกๆ แต่เอาล่ะ มาเข้าเรื่องของพวกเรา ก่อนหน้านี้ฉันไปเจอทางลับใต้ดินในวิหารเซนทูรี่ ฉันคิดว่าในนั้นต้องมีอะไรบางอย่างแน่ เราไปด้วยกันเถอะ ฉันไปคนเดียวก็เหงา ก็เลยจะชวนเธอไปด้วย” วิวบอก แล้วเจ้าสัตว์น้อยน่ารักอบิโน่และโฮลี่ก็วิ่งเข้ามาหา

“นั่นไง 2 คนนั้น เจ้าต้องสะกดรอยตามอยู่ตลอดเวลาอย่าให้คาดสายตาได้” แม่ทัพหนุ่มสั่ง
“ครับโผ๊ม” ปั้บพูดด้วยเสียงอันกล้าแกร่ง แม่ทัพหนุ่มเห็นแล้วก็ยิ้มด้วยความมั่นใจก่อนที่จะเดินจากไป

เจ้าสัตว์น้อยน่ารักพอวิ่งเข้ามาหาได้ มันก็กระโดดขึ้นมาบนตักของสาวน้อยธิดาภาทันที มันก็เอาหัวไซร้ไปมาด้วยความคิดถึง ภาเห็นแล้วก็หัวเราะเล็กๆ
“เอาเจ้าอบิโน่กับโฮลี่ไปเป็นเพื่อนอีกนะ” ภาบอก
“จ้า แม่เสน่ห์แรง เร็ว เดี๋ยวจะมีคนมาเห็นเข้า” วิวรีบวิ่งไปทันที สาวน้อยธิดาภาจึงลุกขึ้น ปล่อยให้เจ้าสัตว์น้อยทั้งสองปีนขึ้นมาบนบ่าของเธอทั้งสองข้าง และเธอก็วิ่งตามเพื่อนสาวไป

เมื่อมาถึงวิหารเซนทูรี่สาวๆก็กวาดสายตามองดูรอบๆว่าไม่มีคนแล้ว พวกเธอจึงแอบวิ่งเข้าไปในวิหาร ปั้บเองก็วิ่งตามเข้าไปอยู่ห่างๆ แต่ก่อนที่เข้าจะวิ่งตามไปนั้น เขาเห็นเงาบางอย่างบินผ่านจากหลังจากตึกหนึ่งไปยังหลังคาวิหาร
“ไม่ได้การแหละ ต้องรีบไปรายงานท่านแม่ทัพ” ด้วยความปอดแหกของสายลับฝึกหัด เขาตัดสินใจรีบวิ่งกลับไปหาแม่ทัพหนุ่มทันที

“ข้างในนี้หรูหราอลังการดีจัง ว๊าว” วิวตื่นตะลึงกับความยิ่งใหญ่ภายในวิหาร
“เอาเถอะ รีบๆเข้าหน่อยนะ ไหนละทางเข้าที่เธอบอก” ภาถามและไม่ค่อยสบายใจที่แอบเข้ามาโดยมิได้บอกกล่าวใดๆ
“ทางนี้ ทางนี้ ตามมาเลย” วิวได้ยินที่เพื่อนเธอบอกจึงเลิกสนใจกับความอลังการทันที และกลับมาทำหน้าที่นำทางต่อเข้าไปในห้องข้างๆ แต่พอมาเปิดประตูแล้วนั้น ประตูกลับปิดแน่นสนิท
“เมื่อเย็นยังเปิดได้เลยนี่” วิวพูดขึ้นด้วยความสงสัย

แมะ...

อบิโน่สะดุ้งสุดตัวรีบวิ่งเข้ามาในอ้อมแขนของธิดาภาทันทีด้วยความกลัว เพราะมีบางอย่างหยดใส่หลังของมัน โฮลี่เห็นแล้วก็ใช้จมูกดมหาบางอย่าง พอมันเงยหน้ามองขึ้นข้างบน มันก็สะดุ้งตกใจกลัวทันทีและวิ่งเข้ามาซุกในอ้อมแขนของสาวน้อยอีกตัว พวกเธอทั้งคู่ต่างก็ประหลาดใจกับอาการของเจ้าสัตว์น้อยทั้งสองนี้ แต่พอเธอสังเกตดูดีๆ บนหลังของอบิโน่ มีเลือดเปียกอยู่ พวกเธอทั้งคู่จึงค่อยๆหันหลังและมองขึ้นไปข้างบนเพดาน...
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #5 on: January 23, 2006, 01:33:46 AM »

Chapter Six : Vampire

แฮ่................ พึบ พึบ

เศษผ้าขนาดใหญ่ปลิวตกลงมาจากเพดานวิหาร พวกเธอทั้งคู่จึงหลบออกมาด้วยความระแวง แล้วก็มีชายคนหนึ่งพุ่งออกมาจากเศษผ้าเข้าอัดใส่วิวจนกระเด็นไปชนกำแพง แล้วชายคนนั้นก็บินพุ่งเข้ามาคว้าตัวสาวน้อยธิดาภาเอาไว้และบินทะลุกระจกวิหารออกไป เจ้าสัตว์น้อยทั้งสองพยายามจะกัดแขนของชายคนนั้นแต่กลับถูกสะบัดออกจนตกลงมา

เมื่อแม่ทัพหนุ่มมาถึงเขาก็เห็นวิวนอนทรุดอยู่กับพื้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“นี่ๆ เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหนุ่มถาม
“ไปช่วยเธอด้วย” วิวชี้ไปทางกระจกวิหารที่พัง แม่ทัพหนุ่มเห็นแล้วก็โกรธขึ้นมาทันที เขาผิวปากเรียกม้าคู่ใจมา
“ปั้บ ดูแล เธอคนนี้ด้วย ถ้าชาวบ้านมาถามถึง บอกมีข้าศึกลอบโจมตี บอกกาแลนและเชนให้คุ้มครองเมืองให้ดี เดี๋ยวฉันมา” แม่ทัพหนุ่มสั่งเสร็จก็เหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังม้าและควบออกไป

แม่ทัพหนุ่มควบม้าตามผีดิบที่บินอยู่บนท้องฟ้า เขาตามมันจนออกมายังเขตกว้างของทุ่งหญ้ากรีนเฟด แม่ทัพหนุ่มต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่หลายที่ออกหากินในยามกลางคืน แต่เขาไม่สนใจใดๆกับพวกมัน เขายังคงควบม้าตามผีดิบไปอย่างไม่ลดละ แต่คอยโจมตีใส่พวกสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายเขา

แต่แล้วจู่ๆพื้นข้างหน้าก็ปะทุขึ้นมาขวางไว้ แล้วก็มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากดิน มันคือแมลงยักษ์(Mega Insect) มันตะหวัดก้ามขนาดใหญ่ของมันไปมา ทำให้แม่ทัพหนุ่มไม่สามารถไปต่อได้ ข้าตั้งสติคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็ควบม้าตรงไป เจ้าแมลงยักษ์จึงใช้ก้ามโจมตีใส่แต่เขาก็หลบได้ จนมาถึงตัวมัน แม่ทัพหนุ่มก็กระโดดออกจากหลังม้าใช้ดาบแทงเข้าที่กลางหน้าผากของเจ้าแมลงยักษ์ ด้วยความเจ็บปวดเจ้าแมลงยักษ์ตัวนี้จึงมุดดินหายไป

ฮ่าๆๆๆ....

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเจ้าผีดิบดังลั่นไปทั่วทำให้แม่ทัพหนุ่มเจ็บใจเป็นอย่างมาก

“รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะตามไปช่วยเธอ” แม่ทัพหนุ่มพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินกลับมาขึ้นม้าและควบกลับไปยังเมืองกรีนเฟด

เมื่อสาวน้อยธิดาภาฟื้นคืนขึ้นมาเธอก็พบว่าตัวเธอนั้นมาอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่ง เดินกุมขมับด้วยอาการปวดหัว สักพักเธอก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง เธอเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนมาถึงห้องโถง เธอค่อยเดินลงจากบันไดมายังตรงกลาง

“ไง แม่สาวน้อยของฉัน” เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเธอ เธอจึงหันกลับไปด้วยอาการหวาดกลัว
“คุณเป็นใคร” ภาถามพร้อมกับค่อยๆเดินถอยออกมาอย่างช้าๆ
“ฉันเป็นเจ้าของปราสาทนี้ นามของฉันคือ ลอร์ดซิล” ซิลตอบ ภาจึงหันหลังเพื่อจะวิ่งหนี แต่พอหันหลังไปก็เจอกับชายคนนั้นมายืนอยู่ตรงข้างหน้าเธอ
“อย่าคิดหนีเลยจะดีกว่า ฉันเพียงต้องการเธอมาเป็นชายาของฉัน ตลอดกาล” ซิลบอกแล้วก็ดึงสาวน้อยมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ไม่นะ ฉันยังไม่พร้อม” สาวน้อยพยายามจะดันตัวของชายคนนั้นออกห่างไว้ จนเธอหลุดออกจากอ้อมแขนของชายคนนั้น แต่เธอก็ล้มลง
“ทำไมกัน เพื่อที่จะให้เธอได้คงความสาวไปตลอด เธอไม่ต้องการเหรอ” ซิลเดินเข้าขึ้นค่อมบนร่างของสาวน้อย
“ไม่ ฉันไม่ต้องการ” สาวน้อยตอบ
“งั้นเจ้าก็จงเป็นอาหารของข้าซะ” ซิลแยกเขี้ยวออกมาฝังเขี้ยวลงที่คอของเธอ ซิลดูดเลือดอันหอมหวานของสาวน้อยไปทีละนิดอย่างช้าๆด้วยความอร่อย สาวน้อยเองก็ค่อยๆหมดแรงลงที่จะต้าน เธอเริ่มค่อยๆหมดแรงลงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น

“ไม่......” สาวน้อยธิดาภาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันอันสยดสยอง เธอรีบเอามือจับที่บริเวณลำคอของเธอ ก็ไม่พบรอยเขี้ยวอย่างที่เธอฝันไว้ เธอตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นกลัวจนเหงื่อท่วมไปทั่วร่าง เธอค่อยๆหลับตาลงตั้งสติเอาไว้
“ความฝันหรือเนี่ย” ภาพูดเตือนกับตัวเอง ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากเตียง แล้วเธอก็ตกใจเมื่อเห็นภาพชายในฝันนั้นแขวนอยู่ที่ผนัง และเธอยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นจนไม่กล้าเดิน เมื่อภาพนั้นเหมือนกับจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนก็ตาม ก่อนที่เธอจะสติแตก เธอรีบวิ่งออกจากห้องนั้นทันที

เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องได้ เธอก็ได้ยินเสียงคนกำลังทะเลาะกันอยู่ เธอจึงเดินไปยังต้นเสียงนั้น ซึ่งมาจากห้องโถงกว้าง เธอจึงเดินมาหยุดแอบฟังอยู่ที่มุมทางเดิน

“พี่จะจับเธอมาทำแบบนั้นไม่ได้ พี่ก็เคยบอกอยู่ไม่ใช่เหรอ” เสียงของสาวน้อยคนหนึ่งพูดกับลอร์ดซิล
“ใช่พี่รู้ แต่นั่นมันเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ตอนนี้พี่เองก็อยากมีบ้าง จะไม่ได้เชียวหรือ ไม่งั้นหากเจ้าไม่ยินยอม พี่จะจับเธอละ มอริแกน มาเป็นชายาพี่แทน” ซิลบอก ทำให้น้องสาวของตนนั้นตกใจกับคำพูดของเขา
“พี่พูดแบบนี้ได้ไง” มอริแกนตบหน้าพี่ชายของเธอด้วยความเสียใจก่อนที่จะบินออกจากปราสาทไป

ลอร์ดซิลจับแก้มที่โดนตบเบาๆ ก่อนที่จะหัวเราะขึ้น แล้วเขาก็หันมามองที่สาวน้อยธิดาภาที่มาแอบฟัง เธอสะดุ้งตกใจทันทีที่เห็น เธอจึงรีบวิ่งกลับไปที่ห้อง และปิดห้องล๊อคไว้แน่น ซ่อนตัวอยู่ในนั้น

“ออกมาเถอะ แม่สาวน้อย มาเป็นชายาของข้าซะดีๆ หากไม่ออกมา เจ้าก็จงอยู่ในนั้นตลอดไป” ซิลพูดเสร็จก็หัวเราะขึ้นพร้อมกับเดินจากไป สาวน้อยธิดาภาได้ยินก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ เธอทำได้แต่มองดูโลกภายนอกผ่านหน้าต่างขนาดใหญ่ที่มีแต่แสงจากดวงจันทร์สาดส่องเข้ามา
« Last Edit: January 23, 2006, 01:35:02 AM by !!! Unknow !!! » Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #6 on: January 24, 2006, 02:23:44 AM »

Chapter Seven : Moon Shrine Werewolf

เมื่อแม่ทัพหนุ่มกลับมาถึงเมืองกรีนเฟด ณ เวลานั้นก็เที่ยงคืนพอดี
“โอ้ ท่านแม่ทัพ” ปั้บที่ยืนเฝ้ารอด้วยอาการครึ่งตื่นครึ่งหลับอยู่นั้น พอได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าจึงรีบวิ่งออกมา
“ในเมืองนี้ มีใครร็จักที่อยู่ของเจ้าผีดิบมั้ย” แม่ทัพหนุ่มถาม
“หลวงพ่อที่วิหารน่าจะพอรู้จักบ้างนะ” ปั้บตอบ แม่ทัพหนุ่มได้ยินจึงควบม้าไปทางวิหารเซนทูรี่ทันที ปั้บเองก็วิ่งตามไป

“หลวงพ่อ” แม่ทัพหนุ่มรีบลงจากหลังม้าและวิ่งเข้ามาในวิหาร ชายวัยกลางคนที่กำลังยืนทำพีธีกรรมอยู่หน้าเทวรูปอยู่นั้นก็หันมามองด้วยความตกใจ
“มีอะไรเหรอ พ่อหนุ่ม” ชายคนนั้นถาม
“หลวงพ่อ พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับผีดิบในละแวกนี้มั้ย” แม่ทัพหนุ่มถาม ชายคนนั้นจึงยืนนึกอยู่สักพัก
“อ๋อ จำได้ละ เจ้าผีดิบ ลอร์ดซิล ข้าพอจะรู้จักเรื่องราวของมัน” หลวงพ่อตอบ
“แล้วรู้มั้ยว่ามันอยู่ที่ไหน” แม่ทัพหนุ่มถามด้วยความเร่งรีบ
“ทางทิศตะวันตกห่างออกไปจากเมืองนี้ก็ประมาณ 10 กิโลเมตร” หลวงพ่อตอบ แม่ทัพหนุ่มได้ยินเสร็จจึงกอดหลวงพ่อไว้เพื่อแสดงความขอบคุณ และเขาก็วิ่งออกไป
“เดี๋ยวพ่อหนุ่ม เจ้าผีดิบ ฆ่าด้วยอาวุธธรรมดาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมนต์ช่วย” หลวงพ่อโยนขวดน้ำมนต์ให้ แม่ทัพหนุ่มจึงหันกลับมารับไว้ แล้วก็ขึ้นไปบนหลังม้า
“เดี๋ยว ท่านแม่ทัพ ให้ข้าไปด้วยซิ” ปั้บหยุดพักเหนื่อยก่อนที่จะชูดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาเพื่อแสดงความกล้าหาญให้แม่ทัพได้เห็น
“ได้งั้น วิ่งตามข้ามา” แม่ทัพหนุ่มพูดเสร็จก็ควบม้าออกไปทันที

“เดี๋ยวก่อน” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อแม่ทัพหนุ่มมาถึงประตูเมือง แม่ทัพหนุ่มจึงหยุดม้าและกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็มีชายคนหนึ่งขี่ม้าออกมาจากมุมมืด
“ให้ข้าไปด้วยเถอะ” เชนพูดขึ้น แม่ทัพหนุ่มได้ยินแล้วก็พยักหน้าก่อนที่จะควบม้าไปต่อ
“เดี๋ยว เชน ให้ข้าขึ้นท้ายไปกับท่านด้วยเถอะ” ปั้บพูดเสร็จเขาก็ทรุดลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยแบบสุดชีวิต
“ได้ งั้นขึ้นมาเลย” เชนพูดเสร็จปั้บก็ค่อยคลานขึ้นมาบนหลังม้า แล้วเชนก็ควบม้าตามแม่ทัพหนุ่มไปทันที

ที่ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ณ ทุ่งหญ้ากรีนเฟด สาวน้อยมอริแกนนั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้อยู่เพียงลำพัง แต่ทว่าเธอนั้นกลับไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียว ไกลออกไปในรัศมี 1 กิโลเมตร มีฝูงหมาป่าฝูงหนึ่งได้กลิ่นอันหอมหวานจากเหยื่อที่มันกำลังล่าเป็นอาหาร พวกมันจึงวิ่งตรงเข้าไปตามกลิ่นนั้น

“ทำไมพี่ ถึงคิดกับเราแบบนั้น ทำไม ทำไมกัน” ในขณะที่เธอกำลังร้องไห้อยู่นั้น เธอก็ไม่ได้ระวังตัวจากภัยใดๆรอบข้างที่มีอยู่มากในยามค่ำคืน

แฮ่.............

เสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ เธอจึงหยุดสะอื้นร้องไห้ทันที เสียงนั้นมันค่อยดังขึ้นเรื่อยๆ เธอปาดน้ำตาออกก่อนที่จะค่อยๆหันไปมอง แล้วก็เห็นหมาป่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งแยกเขี้ยวอยู่ใกล้กับตัวเธอมาก เธอค่อยๆขยับตัวถอยออกห่างอย่างช้าๆ แต่แล้วเธอก็ถอยออกมาชนกับบางอย่าง ซึ่งพอเธอหันไปก็เห็นเจ้ามนุษย์หมาป่าอีกหนึ่ง ซึ่งพวกมนุษย์หมาป่านั้นเป็นศัตรูร้ายที่สุดสำหรับเหล่าแวมไพร์อย่างเธอ และยิ่งในระยะใกล้เช่นนี้ เธอยิ่งหมดหนทางที่จะต่อกรกับพวกมัน

“ไม่นะ อย่าเข้ามานะ” เธอค่อยๆถอยออกห่าง แต่ก็มีมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งเอาอุ้มมือที่มีเล็บแหลมคมจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ไม่ให้หนี แล้วมนุษย์หมาป่าตัวที่อยู่ข้างหน้าเธอกางกงเล็บอันแหลมคมขึ้น แล้วมันก็ตะหวัดใส่มาที่เธอ แต่เธอก้มตัวหลบได้ทันและฉวยโอกาสรีบบินหนีออกมา

พวกมนุษย์หมาป่าทั้ง 11 ตัวจึงรีบวิ่งตามมาทันที หมาป่าตัวหนึ่งกระโดดพุ่งเข้าใส่แต่เธอก็บินหลบได้ แต่แล้วเธอก็ถูกหมาป่าตัวหนึ่งพุ่งกระแทกจนเธอตกลงมา แล้วหมาป่าอีกตัวก็กระโจนเข้าใส่เธอ เธอจึงถีบมันออกไป แล้วเธอก็ลุกขึ้น หมาป่าอีกตัวจึงกระโจนใส่อีก แต่เธอก็บินพุ่งออกมาได้ทัน แต่ก็มีหมาป่าอีกตัวกระโดดขึ้นมาเกาะบนหลังของเธอ มันใช้ปากที่มันอันแหลมคมยิ่งกว่าใบมีดกัดเข้าที่ปีกของเธอ จนทำให้เธอเสียหลักในการบินไปชนกับก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง หมาป่าตัวนั้นกัดกระชากปีกของเธออย่างแรงไปมาก่อนที่จะเหวี่ยงร่างของเธอกระเด็นออกมาท่ามกลางฝูงของมัน พวกมันทั้ง 11 ตัวเดินวนเข้ามาใกล้เธอจนล้อมเธอเอาไว้

จ่าฝูงของมันเดินตรงเข้ามาที่ร่างของแวมไพร์สาวน้อยที่หมดแรงลง มันเอาอุ้งเท้าเอาใหญ่ของมันเหยียบทับไปบนร่างของเธอและหอนขึ้นด้วยความดีใจ เธอเจ็บปวดกับบาดแผลที่ปีกของเธอเป็นอย่างมากจนเธอไม่สามารถที่จะบินได้ และเธอก็รู้ว่าเธอคงไม่รอดแน่ มนุษย์หมาป่าเหล่านั้นก็หอนหวนขึ้นกัน เสียงของพวกมันฟังแล้วทำให้สยดสยองเป็นยิ่งนัก

“ท่านแม่ทัพ นั่นเสียงหมาป่านี่” ปั้บพูดขึ้น
“ใช่ งั้นเราก็ลองไปดูกัน” แม่ทัพหนุ่มบอก ปั้บก็ตกใจทันที
“จงอย่ากลัว ไอ้เพื่อนรัก” เชนบอกแล้วแม่ทัพหนุ่มและทหารเอกก็ควบม้าไปอย่างรวดเร็ว

กลับมาทางแวมไพร์สาวที่กำลังรุมล้อมโดยฝูงมนุษย์หมาป่า จ่าฝูงของมันค่อยก้มตัวลง น้ำลายจากปากของมันหยดลงเปียกเปื้อนไปบริเวณลำคอของเธอ มันอ้าปากกว้าง เขี้ยวอันแหลมคมของมันทำให้สาวน้อยรู้ชะตาชีวิตของเธอ มันกัดลงที่ซอกคอของเธอ มันพยายามบิดกระชากไปมา เพื่อให้เธอได้สิ้นลมหายใจ แล้วลูกน้องของมันก็จะได้เข้ามาร่วมกินเธอเป็นอาหาร

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งซึ่งมาจากฝูงอื่น มันกระโจนเข้าใส่จ่าฝูงของกลุ่มแรก แล้วมนุษย์หมาป่าสองฝูงนี้ก็วิ่งเข้ากัดกันเพื่อแย่งชิงอาหาร มอริแกน เห็นแล้ว เธอจึงออกแรงอีกครั้งเพื่อที่จะลุกและเดินหลบออกมาจากการต่อสู้ของพวกนั้น แล้วมนุษย์หมาป่าฝูงที่สามก็โผล่ออกมาจากหลังเนิน ซึ่งฝูงนี้มีเพียง 3 ตัว มันฉวยโอกาสกระโจนเข้าใส่เธอจนกระเด็นไปไกลลับสายตาจากมนุษย์หมาป่าสองฝูงแรกที่กำลังต่อสู้กัน

หมาป่าฝูงที่สามต่างเข้ารุมขย้ำปีกของเธอทั้งสองข้าง ร่างที่ไม่ตายของเธอนั้น ได้รับรู้ความเจ็บปวดอันแสนจะทรมานด้วยคำสาปที่ทำให้เธอเป็นแวมไพร์ พวกมันฉีก กัด ขย้ำ จนปีกของเธอทั้งสองข้างนั้นฉีกหัก แล้วมันก็เหวี่ยงร่างของเธออกไป แล้วหมาป่าตัวหนึ่งก็เดินตรงขึ้นมาทับร่างของเธอ มันจ้องมองดูแววตาอันเจ็บปวดทุกข์ทรมานแทบจะขาดใจของเธอ แต่ความปราณีของพวกมันนั้นไม่มีอยู่ในสมอง มันกัดเข้าที่บริเวณหน้าอกของเธอและกัดฉีกเนื้อของเธอออกมากิน และหมาป่าอีกตัวหนึ่งก็กัดกินบริเวณท้องของเธอ และอีกตัว มันกินบริเวณต้นขาของเธอ พวกมันกินอย่างมูมมามด้วยความหิวโหย

“จุดจบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าต้องทนอยู่ต้องทุกข์ทรมานต่อไป” มอริแกนพูดประชดตัวเองพรางน้ำตาไหลออกมา

แล้วเสียงหอนของมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งทำให้ฝูงหมาป่าสองฝูงแรกหยุดกัดกันทันที แล้วพวกมันทั้งหมดก็เดินตรงเข้ามาตามกลิ่นคาวเลือดอันหอมหวาน แล้วพวกมันทั้งหมดก็รุมกัดกินแวมไพร์สาวน้อยผู้เคราะห์ร้ายตกเป็นเหยื่ออาหารของมนุษย์หมาป่าทั้ง 26 ตัว

เมื่อแม่ทัพหนุ่มมาถึง พวกเขาทั้ง 3 ก็ตกตะลึงกับฝูงมนุษย์หมาป่าจำนวนมาก
“โอ้แม่ช่วย” ปั้บพูดขึ้นด้วยความตกใจ ทำให้มนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งหันมา แล้วพวกมันทั้งหมดก็หันมามองตาม
“พูดทำไม” เชนตัวหัวปั้บสักที
“เอาล่ะ ใครเคยเจอแบบนี้มาก่อนบ้างมั้ย” แม่ทัพหนุ่มถาม ปั้บ และ เชน ต่างก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ดี งั้นมาลองกันสักครั้งเป็นประสบการณ์ชีวิตแล้วกัน” แม่ทัพหนุ่มชักดาบออกมาแล้วเขาก็ควบม้าตรงเข้าไปยังฝูงมนุษย์หมาป่า เชนเองก็ชักดาบออกมาแล้วควบม้าตามไปทันที ปั้บเองก็ชักดาบออกมาเช่นกัน แต่เขาจับดาบไว้แน่นด้วยความกลัว

ฝูงหมาป่าเหล่านั้นจึงหันมาสนใจพวกเขาทั้งสามแทน พวกมันวิ่งเข้ากระโจนใส่ แต่แม่ทัพหนุ่มก็ใช้ดาบฟาดฟันพวกมันจนตายเป็น 3 ตัว ก่อนที่เขาจะถูกมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งกระแทกตกลงจากหลังม้า เชนเห็นแล้วก็อดเป็นห่วงแม่ทัพไม่ได้ เข้าจะเข้าไปช่วยแต่มีมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่ทำให้เขาและปั้บตกลงมาจากหลังม้า เชนรีบลุกขึ้นเอาดาบตั้งท่าสู้ มนุษย์หมาป่าตัวนั้นก็ยืนตั้งท่าสู้ มนุษย์หมาป่าตัวนั้นไม่รีรอ มันกระโจนเข้าใส่พร้อมกงเล็บอันแหลมคม ทหารเอกเชนก้มตัวหลบพร้อมกับตะหวัดดาบฟันสวนกลับไปโดนตาซ้ายของมนุษย์หมาป่าตัวนั้น ทำให้ตาของมันบอด ด้วยความเจ็บปวด มันหอนขึ้นหนึ่งครั้งเพื่อเรียกให้ลูกน้องของมันทั้งหมดหนีไปทันที

เมื่อพวกมนุษย์หมาป่าไปกันหมดแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็วิ่งเข้ามาดูร่างของแวมไพร์สาว เนื้อบางส่วนของเธอถูกฉีกกระชากออก แต่พอแม่ทัพหนุ่มยืนดูได้สักพัก บาดแผลเหล่านั้นก็ค่อยๆรวมตัวปิดสนิทและค่อยๆจางหายไป ทำให้เขานั้นประหลาดใจ แต่ถึงยังไง เขาก็ต้องช่วยเธอเอาไว้ให้ได้ เขาจึงอุ้มร่างของเธอวิ่งไปขึ้นบนหลังม้า และพากลับเมืองไปรักษาตัวก่อน
Logged


!!! Unknow !!!
Member
*****
Offline Offline

Gender: Male
Posts: 362


Email
« Reply #7 on: January 25, 2006, 01:14:35 AM »

Chapter Eight : Sword Magician Girl

ณ เช้าวันรุ่งขึ้นที่เมืองกรีนเฟด ดวงตะวันทอแสงเจิดจ้าฉายมายังทุ่งกว้างอันเขียวขจี สายลมพัดผ่านเอื่อยๆ ทุกคนภายในเมืองก็ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นด้วยความมั่นใจว่าจะไม่เกิดภัยเพราะอยู่ในการคุ้มครองจากกองทัพอย่างหนาแน่น แม่ทัพหนุ่มที่อ่อนเพลียมาทั้งคืน เขาก็นอนพักอยู่ภายในเต็นท์อันอบอุ่นจากแสงดวงตะวัน เหล่าทหารหลายคนก็แปลกใจว่าทำไม แม่ทัพของเขาที่ไม่เคยตื่นสายนั้น กลับยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย แต่ไม่นานนัก เป็นเวลาเกือบเที่ยง แม่ทัพหนุ่มผู้ทรงสง่าก็ตื่นขึ้นมาอย่างสบาย เขาลุกขึ้นเดินออกมาจากเต็นท์ ก็เห็นทหารจำนวนมากหันมามองที่เขาทันที

“อรุณสวัสท่านแม่ทัพ” ทหารนายหนึ่งพูดทักขึ้น แล้วทหารนายอื่นๆก็พูดทักตามกันต่อๆมา แม่ทัพหนุ่มก็ยิ้มให้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้พวกเขา จากนั้นเขาก็เดินต่อมาตรงเข้ามาในตัวเมือง

“โอ้ ท่านแม่ทัพ เมื่อคืนข้าตามหาท่านตั้งนาน” เจ้าเมืองโบสรีบวิ่งเข้ามาหา
“ข้าไม่ว่าง ข้าขอตัว” แม่ทัพหนุ่มพูดขึ้นทำให้เจ้าเมืองผู้อารมณ์ดีนิ่งเงียบตะลึงค้างและมองดูแม่ทัพหนุ่มของเขาเดินจากไป

เมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึงวิหารเซนทูรี่ เขาก็เดินตรงเข้ามาในวิหาร ซึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งริมสุด แต่เขาไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก เขาจึงเดินตรงเข้ามาหาหลวงพ่อ

“เธอเป็นอะไรมากมั้ยหลวงพ่อ” แม่ทัพหนุ่มถามขึ้น
“ตามปกติ เหล่าแวมไพร์จะฟื้นฟูรักษาตัวได้ด้วยตัวเอง ฉันแทบไม่ต้องทำอะไรมากเลย บาดแผลทั้งหมดของเธอก็หายเป็นปกติเอง เพียงต้องใช้เวลาในการรักษาตัวเท่านั้นเอง” หลวงพ่อตอบ แล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้องข้างๆ แม่ทัพหนุ่มได้ยินก็พอสบายใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นเขาก็เดินมานั่งที่ม้านั่งอันเดียวกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่นั่งกันคนละปลายเก้าอี้

เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่มีวี้แววของหลวงพ่อคนนั้นจะเดินออกมา ทั้งคู่นั่งกันอย่างเงียบสงบ แล้วในที่สุดหญิงสาวคนนั้นก็ลุกขึ้น แม่ทัพหนุ่มจึงหันไปมองดูเธอเดินจากจุดนั้นตรงมาที่หน้าเทวรูป เธอนั่งลงสวดภาวนาต่อหน้าเทวรูปด้วยจิตใจที่นิ่งสงบ แม่ทัพหนุ่มเห็นแล้วก็สงสัยจึงนิ่งเงียบอยู่เฉยๆไม่ได้ เขาจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินเข้าไปถาม

ฟิ๊ง...

“หยุดอยู่แค่นั้นเถอะ ไม่ต้องเข้ามาใกล้กว่านี้” สาวผู้นั้นชักดาบออกมาจ่อที่คอของแม่ทัพหนุ่มอย่างรวดเร็ว แม่ทัพหนุ่มตกใจกับความเร็วของเธอทันที
“เอ่อ... เอ่อ... เธอชื่ออะไร แล้วมาจากไหน” แม่ทัพหนุ่มถาม สาวน้อยคนนั้นจึงยิ้มเล็กก่อนที่เธอจะตอบ
“ฉันเป็น นักดาบธรรมดาทั่วไป เร่ร่อนไปทั่วไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ชื่อของฉัน ปีโป้ ลูเครเทีย(Lucretia) เรียกว่า โป้ เฉยๆก็ได้ แล้วเธอละ” โป้ถาม
“ฉํน แม่ทัพหนึ่งในสี่แห่งอเทอริซ่า นามของฉันคือ เต้ย” แม่ทัพหนุ่มตอบ
“งั้นฉันคงต้องขออภัยในความรุนแรงที่ทำไปด้วย” โป้ชักดาบเก็บ

แล้วหลวงพ่อก็เดินออกมาจากห้องข้างๆ พร้อมกับ มอริแกน ในร่างหญิงสาวสามัญชนธรรมดา แม่ทัพหนุ่มเห็นแล้วก็ประหลาดใจในความงามของเธอเป็นอย่างมาก

“ต้องขอขอบคุณเธอมากๆนะที่ช่วยฉันเอาไว้ในคืนนั้น” มอริแกนกล่าวคำขอบคุณและเดินเข้ามากอดและหอมแก้มแม่ทัพหนุ่มเพื่อเป็นการตอบแทน
“ช่วงนี้ เธอยังหายไม่สนิท คงต้องใช้เวลาอีกสัก 2-3 ชั่วโมงรักษาบาดแผลภายใน แต่ตอนนี้หากเดินเล่นอยู่ภายในเมืองก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอก” หลวงพ่อบอก
“หลวงพ่อค่ะ แล้วคนไหนที่หลวงพ่อบอกว่าเห็นเขาจะไปฆ่าเจ้าซิล” โป้ถามขึ้น
“ก็เขานั่นคนนั้นนั่นไง” หลวงพ่อตอบพร้อมกับชี้ไปทางแม่ทัพหนุ่ม
“คนนั้นนั่นนะ” โป้ไม่ค่อยจะเชื่อสายตาเธอ
“ก็ใช่ไง ถึงเมื่อคืนที่บอกเขาจะไม่ได้ไปถึงปราสาทของมัน แต่เขาก็ได้ตัวน้องสาวของเจ้าผีดิบนั่นมาแทน คือหญิงสาวคนนั้นนั่นไง” หลวงพ่อตอบ โป้ก็ตกใจทันที
“งั้นฉันพาเธอไปเดินเล่นคุยกันในเมืองก่อนแล้วกันนะ” แม่ทัพหนุ่มบอกแล้วเขาก็เดินจูงมือมอริแกนไปเดินเล่นภายในเมือง

เมื่อเวลาผ่านไปจน 5 โมงเย็น สาวน้อยมอริแกนก็หายดีเป็นปกติ เธอกลับมายิ้มร่าเริงได้อย่างเดิม เขาทั้งสองเดินมาหยุดพักกันที่ม้านั่งริมน้ำพุกลางเมือง

“มอริแกน เธอช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวเธอให้ฟังหน่อยได้มั้ย” แม่ทัพหนุ่มถาม
“ได้ซิ ตลอดเวลา 100 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนที่ฉันถูกคำสาปผีร้ายนี้ ฉันก็ไม่เคยรู้อะไรกับข้อดีและข้อเสียของคำสาปนี้เลย ฉันเคยเจอสถานการณ์แบบเมื่อคืนมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว แต่ไม่หนักเท่าคืนนั้น ฉันมีทั้งเสร็จเจ้าพวกสัตว์ร้ายพวกนั้น ทั้งพวกมันเสร็จฉันก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วเหยื่อของฉันคือพวกผู้ชาย ฉันต้องดื่มดูดเพื่อเลี้ยงชีพทุกๆ อาทิตย์ พวกผู้ชายที่หลงเสน่ห์ฉันต่างก็มักเสร็จเป็นเหยื่อของฉันตลอด แต่ก็มีบางครั้งที่ฉันเสร็จพวกผู้ชายเหล่านั้นก่อน ก่อนที่ฉันจะตอบแทนพวกมันในยามที่มันหลับ” มอริแกนเล่าให้ฟัง แม่ทัพหนุ่มก็กลืนน้ำลายเข้าไปอึกหนึ่ง
“ตลอด 100 ของเธอที่ผ่านมานี้ เธอคงจะไม่เคยเห็นสิ่งที่สวยงามสุดที่หรอกซินะ มาซิ เดี๋ยวฉันจะพาไป” แม่ทัพหนุ่มมองดูเธอเล่นกับนกน้อยที่บินมาบนตักของเธอ เขายิ้มให้เธอพร้อมกับยื่นมือมาให้เธอจับ มอริแกนเห็นแล้วก็อยากลองไปดูสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มบอกเธอจึงยื่นมือมาจับ แล้วแม่ทัพหนุ่มก็ดึงเธอขึ้นมาและจูงมือเธอเดินไปด้วยกัน

แม่ทัพหนุ่มปิดตาเธอและพาขึ้นมาบนหอคอยที่สูงที่สุดภายในเมือง ซึ่งสูงราวๆตึก 20 ชั้น
“เอาล่ะนะ” แม่ทัพหนุ่มปล่อยมือออกจากใบหน้าของเธอ
แวมไพร์สาวค่อยๆเปิดตาขึ้นมองดูตะวันที่ใกล้จะลับขอบฟ้าในยามเย็น แสงตะวันที่สาดส่องสีเหลืองอร่ามสว่างไสวเป็นครั้งสุดท้ายของวัน เธอไม่เคยเห็นภาพที่สวยงามขนาดนี้มาก่อนในชีวิตนี้ เธอปลื้มกับมันมากจนน้ำตาเธอแทบไหล
“ขอบคุณมากนะ เต้ย ที่พาฉันมาดูสิ่งๆนี้” แวมไพร์สาวกล่าวคำขอบคุณ แล้วทั้งคู่ก็ยืนชมพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าซึ้งเป็นภาพอันน่าประทับใจในชีวิตของเธอ
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.24 seconds with 21 queries.