Summoner Master Forum
November 27, 2024, 09:40:23 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 38 อิกดราซิลมอดไหม้? @@  (Read 10179 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 21, 2005, 04:34:28 AM »

Chapter 38 อิกดราซิลมอดไหม้?
[/size][/b]


                      ชาวฟูดินันต่างก็หวีดร้องด้วยความอกสั่นขวัญแขวนรีบวิ่งออกมานอกตัวบ้านด้วยความแตกตื่นเนื่องเพราะพื้นที่แถบนี้ไม่เคยมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมาก่อน   ทุกคนออกมายืนจับกลุ่มกันที่บริเวณลานกว้างจนแออัดไปหมด   ต่างก็ตัวสั่นงันงกเพราะความหวาดกลัว   ทันทีที่ทุกคนเห็นครอบครัวบันดาราพวกเขาก็แทบถลาเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังจนแน่นขนัด   ทุกสายตาต่างก็จับจ้องด้วยความคาดหวังว่าท่านผู้เฒ่าวูจินผู้ทรงภูมิที่สุดในเผ่าจะสามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดนี้ได้   แม้แต่ฮารีซันและวานาอันก็ยังแอบลอบมองปู่ของตนด้วยความหวังลึก ๆ อยู่ในใจเช่นกัน   แต่ยังไม่ทันทีที่ท่านผู้เฒ่าจะเอ่ยปากสารภาพถึงความไม่รู้ของตนด้วยความจนใจ   ฉับพลันนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องต่ำทุ้มกังวานดังแว่วสะท้อนมาจากป่าในเขตเผ่าสมิง   ชาวบ้านหลายคนเริ่มห่อตัวลีบเพราะความกลัว   วานาอันกระชับมือทั้งสองข้างที่เกาะแขนปู่ไว้แน่นด้วยความหวาดหวั่นจนวูจินต้องตบมือหลานสาวเบา ๆ เพื่อปลอบขวัญ   ทว่าสายตานั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลไม่ต่างจากฮารีซันเท่าใดนัก
                      “เสียงอะไรน่ะท่านผู้เฒ่า?” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนถาม
                      “แล้วแผ่นดินไหวเมื่อกี้ล่ะ?” ชายอีกคนถามแทรก
                      “สวรรค์พิโรธใช่ไหม?” หญิงชราร้องถาม
                      ทันใดนั้นเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับการชี้มือชี้ไม้ไปบนฟ้าฝั่งตะวันตก
                      “ดูนั่นสิ! ดูนั่น!”  นางละล่ำละลักพูดด้วยดวงตาเบิกโพล่ง ปากคอสั่น และเมื่อทุกคนหันไปตามทิศทางที่นางชี้นั้น    เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกก็ดังระงมขึ้นทันทีเมื่อภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือเต่ายักษ์ขนาดมหึมากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าเทือกเขาคีรีบันดา
���
                      หากความตระหนกตกใจและหวาดกลัวของชาวฟูดินันนั้นสร้างความแตกตื่นขึ้นในเผ่าแล้ว   ทว่ากลับยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับความตื่นตระหนกของชาวเผ่าสมิงที่จู่ ๆ ภูเขาที่เคยเห็นมันตั้งตระหง่านสงบนิ่งมาหลายชั่วอายุคน  ภูเขาที่ใช้เป็นที่ล่าสัตว์และหาอาหาร กลับกลายเป็นเต่าบินขนาดมหึมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตา   แรงลมที่เกิดขึ้นจากการกระพือปีกของเต่ายักษ์ก็มหาศาลจนต้นไม้หักโค่นระเนระนาด   ปีกที่กางแผ่ออกมากวาดบ้านเรือนพังราบ   เป็นแถบ ๆ   บ้านบางหลังที่ยังคงสภาพอยู่ได้ก็โงนเงนจนดูเหมือนจะพังลงมาได้ตลอดเวลา   ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออกเพราะเหตุการณ์ที่เกิดนั้นรวดเร็วมากจนไม่มีใครตั้งสติได้ทัน   เพียงพริบตาเดียวทุกอย่างก็ราบเป็นหน้ากลองเหลือเพียงที่ดินร้างว่างเปล่าขนาดใหญ่เท่านั้น
                      เสียงร้องไห้ด้วยความตกใจของบรรดาลูกสมิงและเสียงโอดโอยของเหล่าสมิงที่บาดเจ็บดังระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน   ทันทีที่คลายความตื่นตระหนกลงได้พวกนางสมิงต่างต้องเร่งช่วยกันพยาบาลคนเจ็บ   ฝ่ายสมิงที่ไม่บาดเจ็บก็เร่งรื้อซากปลักหักพังมองหาข้าวของที่ยังพอใช้การได้ออกมากองรวมกันไว้ภายนอกซากอาคาร  
                      ระหว่างที่สมิงทุกตนกำลังสาระวนอยู่กับการซ่อมแซมบ้านเรือนและลำเลียงผู้บาดเจ็บนั้นเอง   ทันใดนั้นสัญชาตญาณแห่งการระวังภัยของสัตว์ป่าก็ตื่นตัวขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน   เมื่อจู่ ๆ จิตสังหารจำนวนมหาศาลโถมทะลักผ่านพื้นที่ว่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเข้ามาราวกับลาวาเดือดที่ประทุออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ   บรรดาสมิงต่างก็คว้าอาวุธคู่กายของตนขู่คำรามไปยังพื้นที่ว่างโล่งเบื้องหน้า   เหล่านางสมิงก็เร่งพาเด็ก ๆ และสมิงที่บาดเจ็บเข้าไปหลบซ่อนตัวในป่าลึก   เสียงขู่คำรามของบรรดานักรบสมิงดังสนั่นก้องป่าราวกับฝูงจ้าวแห่งพงไพรกำลังกู่ร้องคำรามข่มขวัญศัตรู   ด้วยแรงลมที่พัดมาจากฝั่งฟีเลเซียทำให้ลานกว้างเบื้องหน้าเกิดฝุ่นคลุ้งกระจายม้วนตัวขึ้นกลายเป็นกำแพงฝุ่นหนาทึบขนาดใหญ่   แต่ด้วยสัญชาตญาณแห่งสัตว์ป่าและดวงตาที่แหลมคมยาวไกลเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปทำให้เหล่านักรบสมิงสามารถมองเห็นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในกำแพงฝุ่นนั้น
                      ความเครียดก่อตัวและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว   ราวกับเคราะห์กระหน่ำซ้ำเติมเผ่าสมิง   ที่ทำมาหากินจู่ ๆ ก็กลายเป็นตัวยักษ์บินจากไปเหลือไว้แต่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ความเสียหายของบ้านเรือนและผู้คนที่บาดเจ็บ   แต่ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ   กลับต้องรีบลุกขึ้นมาจับอาวุธเพื่อเผชิญหน้ากับความเลวร้ายยิ่งกว่า   อนิจจานักรบสมิงไม่กี่พันตนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชุลมุนจากเต่ายักษ์ไปหยก ๆ ไหนเลยจะสามารถต่อกรกับกองทัพกระหายเลือดนับแสนของจักรวรรดิซาโลมได้  
« Last Edit: December 21, 2005, 04:34:45 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 21, 2005, 04:35:58 AM »

                      ทันทีที่กองทัพเพลิงเคลื่อนทัพเข้าเขตเผ่าสมิงก็เข่นฆ่าฟาดฟันนักรบสมิงอย่างดุเดือด   ชั่วเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเผ่าสมิงก็ถูกปล้นสะดมและเผาทำลายที่อยู่อาศัยจนวอดวาย   ศพสมิงนับร้อยนับพันนอนตายกระจัดกระจายไปทั่ว   เพียงแค่พริบตาเดียวทั้งหมู่บ้านก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว   เผ่าสมิงที่ถูกรุกรานอย่างเหี้ยมโหดต่างต้องรีบถอยร่นเข้าไปในป่าลึกใกล้เขตเผ่าฟูดินันเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทางเลือก  
                       ทหารซาโลมได้รับคำสั่งให้กักตุนอาหารและทรัพย์สินมีค่าทันที   กษัตริย์ซาดินเดินสำรวจรอบ ๆ ลานกว้างที่ดูเหมือนจะเป็นลานชุมนุมของเผ่าสมิงท่ามกลางร่างที่ไร้วิญญาณของเหล่านักรบสมิง   เมื่อแลเห็นความอุดมสมบูรณ์ที่ดูเหมือนเก็บเกี่ยวเท่าไหร่ก็ไม่หมด   ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใดก็มีแต่ความชุ่มชื่นและเขียวสดทำให้ความโลภของกษัตริย์ซาดินยิ่งโหมกระพือแรงกล้าขึ้นเมื่อคิดว่ายิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็คงยิ่งมีอาหารและความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นไปอีก   พวกเผ่าประหลาดครึ่งสัตว์พวกนี้ถึงแม้จะมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็มีจำนวนน้อยนิดแค่หยิบมือ   นึกไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงผ่านเทือกเขาคีรีบันดามาได้   อะไร ๆ ก็เหมือนจะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อมเช่นนี้   การจะครอบครองผืนป่าแห่งนี้คงไม่ยากเย็นอย่างที่คิด   กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรไปรอบ ๆ ผืนป่าก่อนที่จะไปหยุดลงตรงที่ต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้าพลางยิ้มอย่างท้าทาย  
                       “ดูสิว่าคราวนี้เทพของพวกมันจะทำยังไง?” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างเย้ยหยัน

                       “ฝ่าบาท!” เสียงอุปราชเฒ่าดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความไม่พอใจไว้อย่างชัดเจน   บลาส เซจที่เพิ่งจะตามมาสมบทกับกองทัพได้ทันก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างร้อนรน “เหตุใดพระองค์จึงเคลื่อนทัพมาโดยลำพังก่อนที่จะได้ปรึกษาหารือกับทุกคนเช่นนี้?   ลืมความตั้งใจของพวกเราแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ   เรากำลังบุกฟีเลเซียและพวกมันก็กำลังจะถูกไล่ต้อนให้จนมุมอยู่แล้ว   พระองค์กำลังจะทำให้เราเสียการณ์ใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ”
                       “ดูสิ   เจ้าเคยเห็นความอุดมสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อนไหม บลาส เซจ? “ กษัตริย์ซาดินตรัสถามเหมือนจะไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่อุปราชเฒ่าพูดสักนิด
“ฝ่าบาท!” บลาส เซจ เรียกด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและกระด้างเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้น   กษัตริย์ซาดินจึงหันมาสนใจในที่สุด   ดวงเนตรหรี่แคบเปล่งประกายกล้า
                       “ทำไม?!   ความตั้งใจแรกของเราก็คือบุกผืนป่านี้เพื่อกักตุนเสบียงอาหารไม่ใช่หรือ?   ตอนนี้เสบียงของกองทัพก็ร่อยหรอเต็มทีแล้ว” กษัตริย์ซาดินตรัสกระแทกเสียงวาดมือไปยังช่องเขาที่เปิดออก “ไอ้เต่าบินนั่นเปิดทางนี้ให้ข้า   ให้กองทัพของข้า   และนี่!” ทรงชี้นิ้วไปที่ผืนป่าเบื้องหน้า “เสบียงอาหารที่เราต้องการและข้าต้องการทั้งหมดด้วย   งานแค่นี้หวังว่าเจ้าคงไม่พลาดอีกนะ   จงไปจัดการซะ!   ข้าจะรอดูผลงานของเจ้าอยู่ที่นี่”
กษัตริย์ซาดินสั่งให้บลาส เซจนำทัพทันทีโดยไม่สนใจความขุ่นเคืองและเครียดขึงของอุปราชเฒ่า   แล้วจึงหันไปให้สัญญาณพลกลอง   รับสั่งเสียงห้วนห้าว “ทหารทั้งหลายฟังให้ดี   เคลื่อนทัพถึงเผ่าใดเมืองใดก็ให้ชิงของมีค่าทุกอย่างและรวบรวมเสบียงอาหารมาให้มากที่สุดใครขวางทาง   ฆ่าให้หมด!!”
เสียงขานรับจากบรรดาทหารแห่งเพลิงก็ดังกระฮึ่มก้องป่า

                       รุ่งขึ้นของวันที่สามหลังเหตุการณ์เต่าบินยักษ์   ทันทีที่เหล่าเซนทอร์เรนเจอร์พาชาวเผ่าสมิงหลบหนีเข้ามาถึงเขตเผ่าฟูดินันพร้อม ๆ กับชาวป่าจากเผ่าต่าง ๆ บริเวณใกล้เคียงก็ทำให้เกิดความตื่นตระหนกและระส่ำระสายขึ้นในฟูดินันทันที   เสียงสัญญาณจากหอคอยทั้งสี่ของเผ่าก็ดังระรั่วก้องป่าพร้อม ๆ กับเสียงสัญญาณขานรับจากเผ่าต่าง ๆ ดังเป็นทอด ๆ อย่างรวดเร็ว   บรรดาชาวบ้านต่างก็รีบหอบลูกจูงหลานโดยไม่มีแม้แต่เวลาที่จะเก็บทรัพย์สมบัติของตนมีเพียงทรัพย์สินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะคว้าได้ติดตัวมานิดหน่อยเท่านั้น   ทุกคนต่างไปรวมตัวกันที่บริเวณลานกว้างของเผ่าด้วยความพรั่นพรึง   ซึ่งที่นั่นเองครอบครัวบันดาราก็ยืนรอคอยท่าอยู่แล้ว  
                       “พี่น้องทุกท่าน   เต่ายักษ์ที่พวกเราเห็นบินจากไปเมื่อไม่กี่วันมานี้คือภูเขาที่กั้นเผ่าสมิงและอาณาจักรฟีเลเซียไว้นั่นเอง   อย่างที่เราทราบมาว่าเวลานี้จักรวรรดิซาโลมกำลังทำศึกกับอาณาจักรฟีเลเซียอยู่   และขณะนี้กองทัพเพลิงของจักรวรรดิซาโลมก็อาศัยพื้นที่ว่างที่เกิดขึ้นนั้นบุกทำลายเผ่าสมิงแล้ว   และพวกมันกำลังจะเคลื่อนทัพมาทางนี้      ระหว่างนี้เราจะเร่งระดมพลเพื่อต้านกองทัพของซาโลมให้เร็วที่สุด   ดังนั้นเราจึงต้องรีบอพยพทันที”  ฮารีซันแจ้งสถานการณ์คร่าว ๆ ให้บรรดาชาวบ้านและผู้อพยพได้รับรู้ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกและเสียงหวีดร้องคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวของบรรดาชาวบ้าน
                       ฮารีซันหันไปหาปู่และน้องสาว “ท่านปู่กับวานาอันไปกับคาราวานชาวบ้านด้วยนะครับ”
                       “วานาอัน   เจ้าไปกับพวกเขาเถอะ   ปู่จะอยู่ที่นี่” วูจินกล่าวเสียงเรียบ
                       วานาอันเบิกตากว้างด้วยความตกใจรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว กล่าวอย่างร้อนรนเพราะความเป็นห่วง “ถ้าท่านปู่อยู่ที่นี่   หลานก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”
                       “ไม่ได้นะ   อยู่ที่นี่ไม่ได้ทั้งสองคนนั่นแหละ   ท่านปู่ได้โปรดเถอะครับ...มันอันตรายเกินไป” ฮารีซันก็รีบละล่ำละลักพูดเมื่อได้ยินเช่นนั้น   ความเงียบที่น่าอึดอัดก็เกิดขึ้นทันทีในขณะที่ขบวนผู้อพยพเริ่มทยอยเคลื่อนแถวออกจากลานกว้างมุ่งหน้าสู่ป่าลึกทางทิศตะวันออกโดยมีจุดหมายอยู่ที่เชิงเขาปีกขวาของเทือกเขาคีรีบันดา   ส่วนผู้อพยพอีกจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าลงใต้สู่ที่ลุ่มอีกฟากของทะเลสาบนีรันดาตอนใต้   ซึ่งแม่น้ำที่ไหลออกจากทะเลสาบนีรันดาได้กัดเซาะจนมีลักษณะเป็นทำนบสูงเหมาะแก่การตั้งค่าย   ผู้เฒ่าวูจินมองใบหน้าของหลานทั้งสองอย่างชั่งใจพักหนึ่ง  
                       “เอาเถอะ   ถ้าอย่างนั้นวานาอันอยู่กับปู่ก็ได้” วูจินกล่าวขึ้นในที่สุด   ซึ่งวานาอันที่แม้ใบหน้างามจะขมวดมุ่นเพราะความหวั่นวิตกแต่ก็รีบคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจทันทีที่ปู่ยอมอนุญาตให้อยู่ด้วย
                       “ท่านปู่” ฮารีซันพยายามทักท้วง
« Last Edit: December 21, 2005, 04:36:14 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 21, 2005, 04:38:12 AM »

                       ทันใดนั้นเองนักรบสมิงที่ถูกตีถอยร่นมาก็มาถึงฟูดินันพอดี   นำโดยคาร์นและโทมาฮอว์ค ลีโอพาร์ด   เลือดของศัตรูแทบจะชุ่มโชกตัวสมิงทั้งสอง   ใบหน้ายังคงแสยะแยกเขี้ยวอย่างดุดัน   ทำเอาวานาอันซึ่งไม่ทันตั้งตัวอ้าปากอุทานด้วยความตกใจแต่ไม่กล้าให้เสียงรอดออกมา   จึงได้ยินเพียงเสียงสูดอากาศเข้าไปและหยุดชะงักลมหายใจเสียดื้อ ๆ   เพราะเผ่าสมิงแทบจะไม่เคยมาสุงสิงกับเผ่ามนุษย์มานาน   แค่ได้พบเห็นธรรมดาก็สร้างความหวาดกลัวให้อยู่แล้ว   ยิ่งมาเห็นในสภาพที่เลือดโทรมกายเช่นนี้   หญิงสาวจึงถึงกับตัวสั่นใบหน้าซีดเผือดรีบเขยิบหลบไปอยู่หลังปู่และฮารีซันทันที   ฮารีซันเห็นดังนั้นจึงก้าวขึ้นมาบังน้องสาวไว้ทำให้วานาอันคลายความตกใจและรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น   เมื่อคาร์นมายืนต่อหน้าหัวหน้าเผ่าฟูดินัน   เขาก็คำรามเสียงต่ำด้วยความอึดอัดใจ  
                       “ท่านผู้เฒ่า  ท่านฮารีซัน   ข้าละอายใจจริง ๆ ที่ไม่เคยให้ความร่วมมือใด ๆ เรื่องเตรียมการซ้อมรบ   แต่สุดท้ายเผ่าเรากลับถูกโจมตีเป็นเผ่าแรกซ้ำยังกลับต้องมาพึ่งพวกท่าน”
                        “อย่าคิดเช่นนั้นเลยท่านคาร์น   พวกเรายินดีที่พวกท่านมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย   เวลานี้ถ้าเราได้นักรบสมิงมาช่วยเสริมอีกแรงก็จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กองทัพของพวกเรามากขึ้น” ฮารีซันกล่าวอย่างไม่ถือโทษโกรธเคืองพลางกระชับมือกับคาร์นที่ส่งมือมาให้ด้วยความยินดียิ่ง   ซึ่งถือเป็นสัญญาว่าเผ่าสมิงจะเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่าฟูดินันและเผ่าอื่น ๆ นั่นเอง
                       “พวกเราใช้ทางลัดเดินตัดป่าทั้งวันทั้งคืนจึงมาถึงที่นี่ได้เร็วขึ้น   ข้าคิดว่ากองทัพซาโลมที่มีจำนวนมากมายขนาดนั้น   ทั้งยังปลดสะสมกวาดทรัพย์สินตามเผ่าต่าง ๆ ด้วยก็น่าจะใช้เวลาในการเดินทัพอย่างเร็วคงก็ไม่เกินสามวัน   เราคงยังพอมีเวลาเตรียมรับมือพวกมันได้”  คาร์นประเมินเวลาให้ผู้นำรุ่นเยาว์และผู้อาวุโสได้ทราบ
                       “แล้วหัวหน้าเผ่าสมิงล่ะ?” วูจินถามขึ้นเมื่อไม่เห็นหัวหน้าเผ่าสมิงในกลุ่มนักรบ
                       โทมาฮอว์ค ลีโอพาร์ด ส่ายหน้า “หลังจากเผ่าของเราถูกโจมตีจนต้องถอยร่นมา   พวกเรายังไม่พบท่านเลย   ก็หวังว่าท่านจะปลอดภัย…”
                       พูดได้เพียงเท่านั้นแกสช์ก็ตามเข้ามาสมทบพร้อมกับนายพลทราเฮิร์นแห่งเผ่าเซนทอร์ ดามิก้า และ หัวหน้านักรบจากเผ่าต่าง ๆ ทุกคนต่างยินดียิ่งนักเมื่อได้ทราบว่าเผ่าสมิงจะช่วยรบอีกแรง   แต่ทุกคนค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นวูจินและวานาอันยังคงอยู่ที่นั่นมิได้ร่วมเดินทางไปกับขบวนผู้อพยพ
                       “ทำไมท่านวูจินและวานาอันยังอยู่ที่นี่ล่ะ? ข้าให้อลูปัส(Alupus, The Companion of Damica)พาไปส่งที่ขบวนอพยพดีไหม?” ดามิก้าอาสาให้สัตว์คล้ายหมาป่ายักษ์ขนสีขาวปรอดทั้งตัว   ซึ่งสัตว์เลี้ยงคู่ใจของตนไปส่งทั้งสองยังที่ปลอดภัยทันที
                       “ขอบใจมาก ดามิก้า   แต่ข้าและหลานตั้งใจจะอยู่ช่วยพวกเจ้าที่นี่อีกแรง” วูจินกล่าวเสียงหนักแน่น   ใช้มือตบหลังมือของหลานสาวที่ประคองแขนของตนเบา ๆ เหมือนจะให้ความมั่นใจกับเธอ
                       “ท่านปู่”
                       “ท่านผู้เฒ่า”
                       “ท่านวูจิน”
                       เสียงทัดทานจากฮารีซันและบรรดาหัวหน้านักรบดังขึ้นแทบจะพร้อมกันด้วยความกังวลและเป็นห่วงในสวัสดิภาพของบุคคลทั้งสอง
                       “พวกเจ้าอย่าวิตกกังวลนักเลย   ข้าไม่เข้าไปยุ่งในการรบของพวกเจ้าหรอก   ข้ากับวานาอันจะไปรอพวกเจ้าอยู่ที่ป่าด้านหลังนั่น” วูจินชี้มือไปทางป่าอีกด้านซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของมหาพฤกษาอิกดราซิล “ถ้าใกล้จะพลาดท่าเสียทีก็ให้รีบถอยไปที่ชายป่าด้านนั้น   ข้าจะร่ายคาถากางม่านมิติ (Dimension Curse) ไว้คอยช่วยพวกเจ้า”
                       เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นจึงค่อยเบาใจ   เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าเมื่อครั้งเกิดสงครามระหว่างเผ่านั้น   คาถาม่านมิติของผู้เฒ่าวูจินนั้นมีอานุภาพพรางตาศัตรูได้ดีถึงเพียงใด
                       “ถ้าเช่นนั้นผมฝากน้องด้วยนะครับท่านปู่   วานาอันดูแลท่านปู่ดี ๆ นะ” ฮารีซันยินยอมในที่สุด   ซึ่งวานาอันก็พยักหน้ารับคำทันที   สีหน้ายังคงดูซีดเซียวเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนสร้างความประหวั่นและตื่นตระหนกให้เด็กสาวไม่น้อย   ฮารีซันกอดน้องเบา ๆ คล้ายจะปลอบให้คลายความกังวล  ก่อนจะหันไปกอดปู่ที่รักและเคารพราวกับจะขอกำลังใจและความเข้มแข็งจากท่านผู้เฒ่า
                       เมื่อร่ำลากันเรียบร้อยแล้ววูจินและวานาอันจึงออกเดินทางไปยังที่มั่นของพวกตน   จากนั้นทุกคนจึงร่วมกันวางแผนการรบอย่างรวดเร็วโดยอาศัยความได้เปรียบจากความชำนาญในพื้นที่คอยดักซุ่มโจมตีกองทัพของจักรวรรดิซาโลม   เพราะจำนวนกองทัพที่มากมายมหาศาลของซาโลมทำให้ต้องพึ่งพาพวกสิ่งมีชีวิตและสัตว์ประหลาดดุร้ายที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบผืนป่าให้เป็นประโยชน์   ต่างตกลงกันแบ่งกำลังออกเป็นส่วน ๆ เพื่อหลอกล่อและตั้งรับกองทัพเพลิงจำนวนมหาศาลที่ทะลักเข้ามา   โดยบางส่วนจะหลอกล่อให้กองทัพซาโลมตามเข้าไปในเขตถ้ำทมิฬของเผ่าป่าทมิฬซึ่งมีกิ้งก่าหิน(Stone Lizard) ขนาดใหญ่อาศัยอยู่จำนวนมาก   ร่างกายที่มีหนามแข็งเหมือนหินโดยเฉพาะตุ้มหินที่หางนั้นสามารถสร้างความเสียหายให้เหยื่อชนิดที่แทบไม่เคยพลาด ทั้งยังมีแมลงมัจจุราชสวรรค์ (Death Paradise) แมลงสีสันฉูดฉาดสวยงามแต่มีพิษร้ายแรงขนาดฆ่าคนได้ทันทีด้วยการต่อยเพียงครั้งเดียว และแม่ม่ายดำ(Dark Widow) ราชินีแมงมุมผู้เลือดเย็นคอยสร้างใยจ้องดักจับผู้บุกรุกเพื่อเป็นอาหารอีกด้วย   ซึ่งหากไม่ใช่คนที่ชำนาญในพื้นที่และรู้ทางหนีทีไล่ภายในถ้ำเป็นอย่างดีก็จะตกเป็นเหยื่อของกิ้งก่าหิน แมลงมัจจุราชสวรรค์ และแม่ม่ายดำได้ง่าย ๆ   และหากใครสามารถรอดชีวิตจากถ้ำทมิฬได้   ก็จะถูกจู่โจมจากนักรบฝีมือเยี่ยมของเผ่าป่าทมิฬอีก   โดยหน้าที่นี้ดามิก้าและโทนิม่าอาสานำทัพเอง  
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 21, 2005, 04:41:03 AM »

                      อีกส่วนหนึ่งนำโดยหัวหน้าเผ่าย่อย ๆ ทางเหนือร่วมกับเผ่าย่อยอื่น ๆ ทำหน้าที่หลอกล่อกองทัพเพลิงไปทางทิศใต้ของมหาพฤกษาอิกดราซิลซึ่งมีป่าอยู่บริเวณหนึ่ง   เป็นเขตป่าดงดิบหนาทึบที่ยังไม่ใครเข้าไปตั้งรกรากอยู่   มันถูกเรียกว่าเขตแดนรกร้าง ที่นี่มีผีคามอต(Kamot, the Ghost of Waste Land) ผีร้ายหวงที่ซึ่งมันจะจู่โจมผู้บุกรุกอย่างไม่ปราณี ปีศาจอคาทาร์ทอส(Akathartos)ปีศาจรูปร่างเหมือนคางคาวเผือกขนาดใหญ่ที่มักดักซุ่มโจมตีผู้ที่ย่างกรายเข้ามาในเขตแดนของตน   ทั้งยังมีสัตว์ประหลาดดุร้ายอาศัยอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นอารัคโน่ (Arachno) สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมนุษย์ผิวเนื้อสีแดงเลือดมีเข็มพิษแผ่เป็นพัดอยู่ทางด้านหลัง   อารัคน่า(Arachna) ราชินีแมงมุมอีกพันธุ์หนึ่ง   อารัคน่ามักอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นในขณะที่แม่ม่ายดำชอบอาศัยอยู่ในถ้ำมืดและชื้นแฉะ และยังมีต่อพิษ (Delirious Warp)ที่อาศัยอยู่ในป่าเขตนี้อย่างชุกชุม   มันจะต่อยเหยื่อแล้วปล่อยพิษร้ายที่ทำให้อวัยวะภายในของเหยื่อกลายเป็นของเหลวพร้อมวางไข่ไว้ในร่างของเหยื่อเพื่อให้ซากของเหยื่อกลายเป็นอาหารของลูก ๆ มัน   ในขณะที่กองทัพอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นทัพใหญ่ประกอบด้วยเผ่าฟูดินัน เผ่าเซนทอร์ และ เผ่าสมิงก็เตรียมจัดการกับกองทัพที่เหลือของซาโลมโดยมีผู้เฒ่าวูจินกางอาคมม่านมิติไว้ค่อยช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง
                      ครั้นเมื่อตกลงกันได้ดังนี้แล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันไปจัดการตามแผนที่วางไว้ทันที   เผ่าป่าทมิฬนำโดยดามิก้าและโทนิม่านำนักรบกว่าห้าพันคนประกอบไปด้วย นักล่าแห่งป่าทมิฬ(Black Wood Hunter) เหล่านักล่าผู้ชำนาญพื้นที่ป่าแถบเผ่าสมิงมากที่สุดอีกทั้งยังรู้จักวิธีการปราบสัตว์ร้ายแถบนี้เป็นอย่างดี, มนุษย์หมาป่า(Black Wood Werewolf) เผ่ามนุษย์หมาป่าสีดำสนิทรูปร่างใหญ่กำยำ  อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ในเผ่าป่าทมิฬมีหอกยาวเป็นอาวุธ มีทักษะได้การดมกลิ่นและสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเป็นเลิศ ถนัดด้านการดักซุ้มโจมตีแบบกองโจร, ก๊อบลิน(Black Wood Goblin) เผ่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในป่าทมิฬ มีรูปร่างขนาดเล็กปราดเปรียว เล็บยาวแหลมคม และ หางยาว ชำนาญด้านการดักลอบโจมตีเป็นพิเศษ, เพชฌฆาตแห่งป่าทมิฬ (Black Wood Executioner) เหล่าหน่วยเพชฌฆาตของเผ่าที่มีพละกำลังมหาศาลและไร้ความปรานี, นักรบทวนแห่งป่าทมิฬ (Black Wood Lancer) นักรบที่สวมหน้ากากตกแต่งด้วยลวดลายสีแดงมีจะงอยคางแหลมยื่นดูน่ากลัว ใช้กะโหลกของศัตรูมาทำสนับเข่าทั้งสองข้าง  อันเป็นการบ่งบอกถึงความเก่งกล้าสามารถของนักรบ, ซินิสเตอร์เซนทอร์ (Sinister Centaur) เซนทอร์เถื่อนที่มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าวและขี้หงุดหงิด มีหอกห้าแฉกเป็นอาวุธ และ ไวล์ด ไนท์ เซนทอร์ (Wild Night Centaur)  นักรบเซนทอร์สายเสือดำที่ดุร้ายใช้โล่และหอกแหลมเป็นอาวุธ   ทั้งหมดต่างมุ่งหน้าออกไปยังจุดที่กำหนดไว้ทันที  
                      ด้านเผ่าฟูดินัน เผ่าสมิง และ เผ่าเซนทอร์ นำกองกำลังปกป้องฟูดินัน(Fudenun Guard) ที่ผ่านการฝึกจากแกสช์ นักล่าแห่งฟูดินัน(Fudenun Hunter), ผู้ฝึกสัตว์แห่งฟูดินัน (Fudenun Tamer) ที่สามารถควบคุมสัตว์ประหลาดและสัตว์ป่าได้เป็นอย่างดี, เซนทอร์แพะภูเขา (Mountain Goat Centaur) ที่มีความทรหดสูงเพราะอาศัยอยู่บริเวณภูเขาที่ลาดชัน และรวมทั้งนักรบเผ่าสมิง ต่างก็เตรียมตั้งรับกับกองทัพของจักรวรรดิซาโลมอย่างเต็มที่   ในขณะที่นักรบจากเผ่าอื่น ๆ ที่เหลือก็แยกย้ายไปเตรียมรับมือทางฝั่งทิศเหนือ

                      กองทัพที่แสนโหดเหี้ยมของซาโลมบุกจู่โจมเผ่าต่าง ๆ ราวกับมหาเพลิงพิโรธที่แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างจนมอดไหม้ภายในพริบตาเดียว   ผนวกกับความขัดเคืองใจของอุปราชเฒ่าที่องค์กษัตริย์ไม่ทำตามแผนการที่ตนวางไว้ยิ่งทำให้การสั่งการจู่โจมในแต่ละครั้งของบลาส เซจยิ่งทวีความอำมหิตขึ้นเรื่อย ๆ   ชั่วเวลาเพียงหนึ่งวันเผ่าเล็ก ๆ ตามทางก็แทบไม่เหลือแม้แต่กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต   การบุกจู่โจมเผ่าต่าง ๆ ช่างง่ายดายและแสนสะดวกโยธินเหมือนเผ่าต่าง ๆ ไม่มีการป้องกันใด ๆ เลยทั้งสิ้น   บลาส เซจจึงเริ่มแบ่งกองกำลังบางส่วนไว้เพื่อการเก็บทรัพย์สมบัติโดยนำกองทัพผีส่วนใหญ่ไปกับตนด้วย    
                      เข้าวันที่สอง   ขณะที่บลาส เซจ นำกองทัพรุกคืบเข้าใกล้มหาพฤกษาอิกดราซิลเข้าไปเรื่อย ๆ   จู่ ๆ  กองทัพเพลิงก็ถูกจู่โจมจากทุกทิศทุกทางด้วยฝูงธนูและกับดักที่กองกำลังปกป้องของฟูดินันวางไว้   เหล่าผู้ฝึกสัตว์จากเผ่าต่าง ๆ ต่างก็ส่งฝูงสัตว์ประหลาดและสัตว์ป่าที่ดุร้ายไม่ว่าจะเป็น เกรท บาซิลิส์ก (Great Basilisk), พังพอนดาบ (Saber Mongoose), เสือดิน (Ground Tiger), เสือหางดาบ(Saber Tail Tiger) และ เสือสามเขา(Tri Horn Tiger)
                      ทว่าการลอบโจมตีกองทัพของจักรวรรดิซาโลมนั้นแทบจะไม่ทำให้การเคลื่อนทัพหยุดชะงักหรือล่าช้าลงสักเท่าไหร่เลย   เพราะทัพหน้าของซาโลมคือเหล่าทหารผีนรกที่เป็นอมตะนั่นเอง   อุปราชเฒ่าเงยหน้าหัวเราะด้วยความสะใจและสมเพชในความอ่อนด้อยทั้งด้านการรบและยุทโธปกรณ์ของพวกชาวป่า
                       แต่แล้วด้วยความไม่คาดฝันจู่ ๆ ก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศอย่างรวดเร็วจากชายป่าฝั่งซ้ายเฉียดแขนของอุปราชเฒ่าไปอย่างไม่รู้ตัว   เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่เปิดออกทันที   ร่างของบลาส เซจสั่นเทิ้ม ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด   และในทันใดนั้น ฝนธนูห่าใหญ่ก็พุ่งออกจากชายป่าด้านซ้ายโจมตีทัพกลางของซาโลมทันที   บลาส เซจ ทั้งเจ็บปวดและตกตะลึงที่ถูกโจมตีอย่างกะทันหัน   ตำแหน่งที่เขาอยู่เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ใจกลางของกองทัพรายล้อมด้วยทหารที่มีอาวุธครบมือร่วมแสนนาย   แต่กลับยังถูกพวกชาวป่าล้าหลังพวกนี้ทำร้ายอย่างน่าสมเพช   ความโกรธจัดที่ปะทุออกจากความแค้นที่ถูกลูบคมส่งผลให้อุปราชเฒ่าแผดเสียงสั่งการแม่ทัพฝ่ายซ้ายจนน้ำเสียงแตกพร่า   ดวงตาปูดโปนด้วยความโกรธแค้น   นิ้วที่ผอมยาวจนกระดูกปูดโปนชี้ตรงไปยังป่าลึกด้านซ้ายอย่างสั่นเทา
« Last Edit: December 21, 2005, 04:41:33 AM by Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: December 21, 2005, 04:42:28 AM »

                     “ฆ่าพวกมันให้หมด   อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
                     ทัพปีกซ้ายกว่าสองหมื่นนายก็เคลื่อนเข้าสู่ป่าลึกทันทีพร้อมกับการถอยร่นของพวกชาวป่าที่หลบซ่อนอยู่ตามที่ซ่อนตามพุ่มไม้และยอดไม้สูง   แต่เพียงชั่วอึดใจเสียงตีเกราะเคาะไม้และเสียงเฮโลก็ดังสนั่นจากทางป่าด้านขวาพร้อม ๆ กับหอกแหลมและลูกดอกอาบยาพิษที่พุ่งจู่โจมทัพซาโลมปักร่างทหารจนล้มคว่ำไปหลายร้อยนาย   เพราะจุดที่อยู่ในที่แจ้งของทัพซาโลมทำให้ตกเป็นเป้าให้หอกและลูกดอกอาบยาพิษได้ง่าย   อีกทั้งความชำนาญในการซ่อนตัวของพวกชาวป่าที่อาศัยภูมิประเทศที่คุ้นเคยเป็นข้อได้เปรียบ   ทำให้การซุ่มโจมตีเกิดผลค่อนข้างน่าพอใจอย่างยิ่ง   เหล่าทหารซาโลมต่างรีบยกโล่ขึ้นป้องกันเป็นแนวยาว   สายตาพยายามสอดส่ายหาที่มาของลูกดอกอาบยาพิษและหอกที่ระดมใส่พวกตน   ความขึงโกรธที่สั่งสมมาหลายวันและความชะล่าใจในฝีมือเชิงยุทธ์ของพวกชาวป่าทำให้บลาส เซจไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่านี่อาจจะเป็นกับดักของพวกชาวป่า  
                     “หนอย...ไอ้พวกมดปลวกโสโครก   ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึกที่บังอาจมาต่อกรกับข้า   ทัพปีกขวาไปจัดการมันให้สิ้นซาก” ทันทีที่เสียงสั่งการของอุปราชเฒ่าแผดกร้าว   ทัพปีกขวากว่าสองหมื่นนายที่พุ่งทะยานเข้าสู่ป่าลึกอย่างรวดเร็ว   อุปราชเฒ่าหันไปมองทางหน้าทัพที่บัดนี้เหล่าทหารผีร่างพรุนไปด้วยลูกธนูจนแทบไม่มีที่ว่าง   บลาส เซจกัดฟันกรอดก่อนจะให้สัญญาณเคลื่อนทัพไล่ล่าพวกชาวป่าที่ถอยร่นไปทางมหาพฤกษาอิกดราซิลทันที
                     กองทัพผีนรกออกวิ่งนำหน้าไล่ล่าพวกชาวป่าอย่างไม่ลดละ   ไม่ว่าพวกชาวป่าจะพยายามต่อต้านกองทัพผีสักเพียงไรก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล   รังแต่จะเสียธนูและไพล่พลไปอย่างไร้ประโยชน์    ความเร็วของฝีเท้าพวกมันไม่มีตก   เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของพวกชาวป่าที่วิ่งไม่ทันจนถูกทหารผีฉีกทึ้งร่างทั้งเป็นดังเป็นระยะ ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ   เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นไปทั่วผืนป่าสร้างความหฤหรรษ์ให้กับอุปราชเฒ่าอย่างหาที่สุดไม่ได้   ยิ่งได้เห็นอาการทุรนทุรายของเหยื่อก็ยิ่งมีความสุข   เหล่าทหารผีที่รุมกันเข้าฉีกกินเหยื่อทั้งเป็นราวกับเป็นงานเลี้ยงเลือดของปีศาจร้ายกระตุ้นให้บลาส เซจยิ่งฮึกเหิมและก้าวร้าวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

                     นักรบฟูดินัน เซนทอร์ และสมิง ถูกรุกไล่จนใกล้เขตมหาพฤกษาเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทางเลือก   พวกเขาไม่อาจต่อกรกับปีศาจที่ไม่มีวันเหนื่อย เจ็บ หรือ ตาย และมีจำนวนมากมายมหาศาลเช่นนี้ได้   เหล่านักรบเริ่มเสียขวัญเมื่อถูกไล่กัดกินโดยกองทัพที่เป็นอมตะอย่างไม่มีทางสู้
                     “ท่านฮารีซัน   เราใกล้เขตมหาพฤกษาเข้าไปทุกทีแล้วนะ   ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปไอ้ปีศาจพวกนี้ต้องไปถึงค่ายอพยพแน่” นายพลทราเฮิร์น แห่งเผ่าเซนทอร์พูดด้วยความหวั่นวิตก
                     “ไอ้พวกขี้ขลาดนั่นเอาแต่หลบอยู่หลังกองทัพปีศาจ   ถ้าเราจัดการเก็บไอ้พวกทัพมนุษย์ได้   เราก็คงจะสามารถบั่นทอนขุมกำลังพวกซาโลมได้บ้าง   อย่างน้อยก็ไม่ใช่ให้ทหารร่วมแสนวิ่งไปพล่านทั้งป่าอย่างนี้” คาร์นคำรามขณะที่เร่งฝีเท้าให้จัดขึ้น
                     “พวกเราวิ่งอย่างนี้กันมาหลายชั่วโมงแล้วนะ   พวกนักรบก็เริ่มอ่อนแรงแล้ว   ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปกองทัพของพวกเราคงไม่มีเหลือแน่   หนอย...ถ้าเพียงแต่เราสามารถอ้อมไปข้างหลังมันได้ละก็” แกสซ์แยกเขี้ยวคำรามอย่างดุดัน
                     “มีอยู่ทางเดียวที่เราจะไปอยู่ข้างหลังพวกมันได้” ฮารีซันพูดอย่างรวดเร็ว ไม่ลดความเร็วของฝีเท้าลงแม้แต่น้อย   โดยมีสายตาใคร่รู้ของเหล่าขุนพลมือฉกาจที่เหลือบมามอง “เราต้องไปหาท่านปู่”
                     ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยทันทีเพราะพอจะเดาความคิดของหัวหน้าเผ่ารุ่นเยาว์ได้   เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นทุกคนจึงรีบเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู้เขตมหาพฤกษาอย่างรวดเร็ว

                     ทันทีที่กองทัพซาโลมรุกไล่เหล่านักรบชาวป่ามาถึงเขตใต้ร่มใบของมหาพฤกษาอิกดราซิล   จู่ ๆ พวกนักรบชาวป่าก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา   กองทัพของซาโลมถึงกับหยุดชะงักอยู่นอกเขตร่มใบของมหาพฤกษาจ้องมองพื้นที่เบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา   นักรบชาวป่าเป็นหมื่นหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร?   สายตาทุกคู่ต่างพยายามสอดส่ายหาที่ซ่อนที่น่าจะเป็นไปได้ของพวกชาวป่า   แต่ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนก็มีแต่ที่โล่งแจ้งและความว่างเปล่า
                     “ไอ้พวกมดปลวกเจ้าเล่ห์   บังอาจเล่นกลอะไรกับข้านี่” บลาส เซจ คำรามเสียงลอดไรฟัน   ดวงตาที่แดงกำสอดส่ายไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองความใหญ่โตมโหฬารของต้นอิกดราซิล   เพียงแค่จับจ้องกิ่งก้านที่วูบไหว บลาส เซจก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังต้นคอแล้ว   อุปราชเฒ่าเหยียดริมฝีปากอย่างชิงชัง “ค้นหาให้ทั่วทุกตารางนิ้ว   พวกมันต้องซ่อนตัวอยู่แถว ๆ นี้แน่”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: December 21, 2005, 04:43:49 AM »

                         แต่ทันทีที่ทหารผีเริ่มก้าวเข้าเขตร่มใบของต้นไม้ยักษ์ร่างของพวกมันก็สั่นงันงก   เพียงแค่เท้าของพวกมันเหยียบไปบนใบไม้สีเงินยวง   ควันสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นพร้อมกับเสียงหวีดร้องที่แหลมจนแสบแก้วหูจากเหล่าทหารผีนรก   ใบไม้สีเงินที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นกลับกลายเป็นกับดักที่มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์แผดเผาเท้าของเหล่าทหารผีให้เดือดพล่าน  
                          “ข้านึกสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว” บลาส เซจขบกรามแน่นกระแทกคทากับพื้นรถม้าด้วยความขัดเคืองก่อนจะรีบสั่งการให้ทหารผีเดินอ้อมชายป่าไป และให้ทหารมนุษย์ออกลุยทัพหน้าแทน
                          ทหารซาโลมกระจายกำลังกันค้นหานักรบชาวป่าทันที   หลายคนสัมผัสได้ถึงสายตาจำนวนมากที่จับจ้องมองพวกเขาอยู่   บางครั้งหางตาของพวกเขาสามารถจับภาพบางอย่างได้คล้ายมีใครสักคนเคลื่อนไหว   แต่แล้วมันก็อันตราธานหายไปในทันทีที่สายตาพยายามจับภาพให้ชัดเจนขึ้น
                          และในวินาทีนั้น   กองทัพชาวป่าก็เฮโลออกมาจากชายป่าทางทิศเหนืออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย   คาร์น แกสช์ และ โทมาฮอว์ค ลีโอพาร์ด นำกองทัพสมิงและนับรบชาวป่าบางส่วนเข้าจู่โจมจากทางปีกซ้าย   ในขณะที่ฮารีซันและนายพลทราเฮิร์น นำกองทัพฟูดินันและนักรบเซนทอร์ตีขนาบทางปีกขวาทัพซาโลมที่วางกำลังป้องกันอย่างหลวม ๆ เพราะการแยกย้ายกันค้นหาพวกชาวป่าทำให้เหล่านักรบชาวป่าสามารถต่อกรได้ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   เสียงฟาดฟันของศัสตราวุธที่ตรงเข้าห้ำหั่นกันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ   แต่ทันทีที่กองทัพเพลิงรวมตัวกันได้พวกชาวป่าก็รีบถอยร่นเข้าป่าลึกอีกครั้ง   ทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารทั้งชาวป่าและซาโลมที่ล้มตายเป็นจำนวนไม่น้อย   เลือดสด ๆ ไหลชโลมพื้นอาบรากของมหาพฤกษา  
                          “ไอ้พวกโง่เง่า   หนีไปหาที่ตายแท้ ๆ “ บลาส เซจ แสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิต   เพราะเขาเพิ่งจะสั่งการให้กองทัพผีนรกเดินอ้อมไปทางนั้นพอดี   เมื่อบลาส เซจมองเห็นธงซาโลมพลิ้วไหวอยู่ไกล ๆ ทางทิศที่พวกชาวป่ามุ่งไปเขาก็แทบจะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น   แต่แล้วเพียงพริบตาเดียวพวกนับรบชาวป่าก็อันตราธานไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง   อุปราชเฒ่าถึงกับเซถลาไปข้างหน้า มือกำขอบรถศึกไว้แน่น
                          “เป็นไปไม่ได้!” อุปราชเฒ่าคำราม ฟาดคทาใส่ขอบรถศึกอย่างเดือดดาล “บังอาจลองดีกับข้าใช่ไหม?   ข้าจะทำให้พวกเจ้าสำนึกในความโอหังโง่ ๆ นี้   ตัดต้นไม้บริเวณนี้ให้หมด   ข้าจะเผามันด้วยเพลิงเวทย์ที่น้ำไม่มีวันดับได้   ดูสิว่ามันจะหลบซ่อนตัวที่ไหนได้อีก?”
                          เหล่าทหารก็รุมกันตัดต้นไม้บริเวณชายป่าด้านหลังตามคำสั่งของท่านอุปราชเป็นการใหญ่   ต้นไม้ขนาดสามถึงสี่คนโอบต้นแล้วต้นเล่าเริ่มล้มระเนระนาด   บางต้นล้มหักไปฟาดกับอีกต้นจนกิ่งก้านของต้นนั่นหักร่วงลงกราวพื้น   ใบไม้สีเขียวสดปลิวว่อนไปทั่วบริเวณต้นไม้ที่กองทับกันสูงแทบมิดศีรษะ   เสียงครวญลั่นของต้นไม้ดังสนั่นอื้ออึงราวกับใครบางคนกำลังครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส      
                          แต่แล้วทุกคนก็พลันได้ยินเสียงประหลาดคล้ายเสียงหวีดร้องอย่างโหยหวนดังแว่วออกมาจากต้นไม้ยักษ์เบื้องหลัง   เสียงร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัวพร้อมกับที่ลำต้นและกิ่งก้านของมันเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงเหมือนมีมือขนาดใหญ่กำลังเขย่าต้นไม้ยักษ์ทั้งต้นจนทุกคนสามารถสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนได้จากพื้นดินเลยทีเดียว
                          “ฤทธิ์มากนักหรือ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงมอดไหม้เป็นต้นแรกเสียเลย” อุปราชเฒ่าชูคทาขึ้นวาดเป็นวงเวทย์กลางอากาศ   ปากก็ร่ายมนตร์ใส่ต้นไม้ยักษ์ด้วยความเกรี้ยวกราด   เพียงอึดใจเดียววงเวทย์นั้นก็เรืองแสงวาวโรจน์ขึ้นก่อนจะเกิดเปลวไฟสีเขียวพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ยักษ์อย่างแรง   เกิดเสียงดังลั่นราวกับสายฟ้าฟาด   กลุ่มควันสีเขียวหม่นพวยพุ่งพร้อมกับเสียงปริแตกของเปลือกไม้ดังสนั่น......                
 
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: December 26, 2005, 06:29:42 PM »

มาเม้าส์กันต่อที่นี่เลย

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=17428
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.236 seconds with 22 queries.