Summoner Master Forum
November 27, 2024, 07:46:57 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 7 สายลมพัดผ่านผืนดิน @@  (Read 7732 times)
0 Members and 2 Guests are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 02:41:29 AM »

Chapter 7  สายลมพัดผ่านผืนดิน


                     ณ ดินแดนอันห่างไกลทางตะวันออกของทวีปเมอริเซีย   สถานที่ซึ่งถูกโอบล้อมด้วย คีรีบันดา (Kerebanda) เทือกเขาขนาดใหญ่มหึมาที่ทอดตัวยาวครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ทางตอนเหนือแผ่กว้างล้อมทั้งทางด้านตะวันออกจนสุดเขตแดนด้านตะวันตก   ราวกับปีกมารดาแห่งวิหคยักษ์ที่กางออกเพื่อปกป้องลูกน้อยของตน   เทือกเขานี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผืนทวีป เมอริเซีย และเป็นที่รู้จักของชนชาว เมอริเซีย เป็นอย่างดี    เพราะความยิ่งใหญ่แห่งอดีตกาลที่สร้างตำนานการต่อสู้ไว้มากมาย ณ ที่นั่น   ทั้งยังเป็นที่สถิตของเหล่าทวยเทพต่างๆ   และกล่าวกันว่ายังมีมังกรเจ้าพิภพ ไพทอน (Python, Kerebanda’s Guardian) คอยปกปักษ์รักษาดั่งองครักษ์เฝ้าพิทักษ์มหาภูเขาลูกนี้อยู่   เมื่อเอ่ยนาม คีรีบันดา เมื่อใด   เมื่อนั้นนามนี้จะเป็นดั่งคำศักดิ์สิทธิ์ของผู้เอ่ยกล่าวนั้นก็มิปาน    
                     ลมทะเลที่พัดมาจากทางใต้ส่งผลให้พื้นที่บริเวณตีนเขามีฝนตกชุก   อีกทั้งเทือกเขาที่มีลักษณะทอดยาวเช่นนี้ยังเป็นเหมือนแขนที่โอบกั้นมิให้เมฆฝนลอยผ่านไป   ทำให้บริเวณที่ถูกโอบล้อมนี้มีฝนตกตลอดปี   ก่อกำเนิดความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งยวดของผืนดิน   ส่งผลให้พันธุ์ไม้ทุกชนิดเจริญงอกงามจนมีขนาดใหญ่กว่าไม้พันธุ์เดียวกันที่เติบโตในเขตอื่นของทวีป   กระทั่งเกิดเป็นป่าไม้สูงใหญ่ครึ้มเขียวขจี   อบอวลไปด้วยกลิ่นพฤกษานานาพันธุ์   ส่งกลิ่นอายแห่งความสดชื่นมีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งพงไพร  
                     ที่ใจกลางป่าแห่งนี้มีมหาพฤกษา อิกดราซิล (Yggdrasil) ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่อย่างสงบ   ใบของต้น อิกดราซิล นี้มีสีเงินยวงส่องประกายระยิบระยับสว่างไสวไปทั่วบริเวณราวกับอัญมณีที่หยอกล้อกับแสงไฟ   ที่แง่งรากด้านหนึ่งมีธารน้ำผุดซึ่งได้กลายเป็นต้นน้ำของแม่น้ำ ลำธารหลายสายไหลกระจายไปทั่วภูมิภาคนี้   และมีสายหนึ่งที่ไหลลงสู่ทะเลสาบ นีรันดา (Nerunda Lake)  ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักให้ชนเผ่าต่างๆ รวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่ ได้ใช้ประโยชน์กัน  
                     พื้นที่บริเวณที่ถูกโอบล้อมนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก   มีป่าน้อยใหญ่แบ่งย่อยอยู่ในพื้นที่นี้มากมาย   และมีจำนวนไม่น้อยที่ยังมิเคยถูกค้นพบหรือสำรวจมาก่อน    ผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ ที่นี้มีมากมายหลายเผ่าด้วยกัน  และรวมไปถึงเผ่าสมิงต่างๆด้วย  หากแต่เผ่าที่ใหญ่ที่สุดคือ เผ่า ฟูดินัน (Fudenun)
                     ผู้คนใน เผ่าฟูดินัน นี้เป็นผู้ที่รักสงบอยู่กันอย่างสันติ  มีน้ำใจไมตรี   ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายธรรมดา ในแต่ละวันผู้คนจะออกไปหาอาหารในป่าบ้าง ทำไร่ทำสวนบ้าง  ขาดเหลืออะไรก็จะมาแบ่งปันกัน    การแต่งกายก็เรียบง่ายไม่ฉูดฉาด    เสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆก็ล้วนแล้วแต่ถักทอกันเองด้วยเส้นด้ายที่ปั่นจากใยพืช    เผ่า ฟูดินัน ที่ถูกบ่มเพาะจากธรรมชาติเช่นนี้   จึงมีแต่ความสงบสุข ไร้สิ้นซึ่งความทะเยอทะยานอยาก ไร้ซึ่งสงคราม    ธรรมชาตินั้นเอื้อให้พงไพรรักสันติฉันใด   ธรรมชาติก็เอื้อให้ผู้คนในชน เผ่าฟูดินัน รักสันติฉันนั้น
                     บ่ายแก่ๆของวันที่อากาศแจ่มใส   สายลมโชยอ่อนๆพัดพาเอากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ที่เพิ่งจะแย้มบานได้ไม่กี่วันให้อบอวลไปทั่วบริเวณ    ณ ชายป่าด้านหนึ่งของเผ่า ฟูดินัน มีเสียงต่อสู้อึกทึกครึกโครมดังแว่วอยู่    ใกล้ต้นไม้ใหญ่มีเด็กชายสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนพื้น   ฝุ่นดินและเศษหญ้ากระจายฟุ้ง   ไม่ใกล้ไม่ไกลนักมีเด็กหญิงเล็กๆวัย หก ปีคนหนึ่งกำลังยืนดูให้กำลังใจอยู่เงียบๆ   ชั่วอึดใจทั้งคู่ก็กลิ้งลงเนินไปชนกับต้นสนขนาดกลางที่อยู่ใกล้ๆดังโครมจนต้นสนโอนเอนไปมาอย่างแรง    เด็กหญิงกรีดร้องเสียงดังพลางรีบวิ่งไปหาทั้งสอง   ทั้งคู่ต่างกระเด็นไปคนละทิศละทาง  เมื่อทั้งคู่หันหน้าไปมองต้นสนแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองกันและกัน   ฉับพลันทั้งคู่ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
                     “ท่านพี่…ท่านพี่เป็นอะไรกันรึเปล่า”  เด็กหญิงที่เพิ่งวิ่งมาถึงถามเสียงเบาพลางหอบหายใจ
                     หนึ่งในนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล   ขาทั้งสี่ที่หยัดตัวขึ้นเผยให้เห็นร่างม้าครึ่งตัวที่ยังโตไม่เต็มที่ของลูก เซนทอร์ มันพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตระหนกของเด็กหญิง
                     “ข้าไม่เป็นไรหรอก    ท่านไปดูพี่ท่านจะดีกว่าว่าบาดเจ็บหรือไม่” เซนทอร์ กล่าวพลางพยักเพยิดหน้าไปทางเด็กชายอีกคน   ใบหน้ายังคงมีแววขบขันอยู่
                     เด็กน้อยวิ่งไปนั่งลงใกล้ๆเด็กชายที่ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง   พลางมองสำรวจหาร่องรอยบาดเจ็บ   เด็กชายยิ้มให้น้อยๆพลางลูบหัวเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “พี่ไม่เป็นไรหรอก วานาอัน (Wanaan)  พี่แข็งแรงออกจะตายนี่ไงเห็นไหม”  
                     เด็กชายว่าพลางทำท่าเบ่งกล้ามให้ดู   เด็กหญิงหัวเราะคิก  ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกายสดใส   เซนทอร์น้อย เดินเข้ามาสมทบด้วย กล่าวว่า “ใช่   ข้ารับประกันเรื่องความทรหดของพี่ท่านเลย   ถ้าเทียบกับเด็กวัย 10 ขวบด้วยกัน   ข้าให้พี่ของท่านเป็นที่หนึ่งเลยนะ”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 02:43:02 AM »

                        หนูน้อย วานาอัน ยิ้มอย่างภูมิใจในตัวพี่ชายนัก   เซนทอร์น้อยเงยหน้าขึ้นมองฟ้า   เมื่อเห็นว่าเริ่มบ่ายมากแล้วแล้วจึงต่างร่ำลากลับบ้านของตน   ขณะที่สองพี่น้องเดินผ่านป่าไปได้สักครู่   ชั่วขณะนั้นเองทั้งสองก็ได้ยินเสียงแตรล่าสัตว์ดังแว่วอยู่ไกลๆ   เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็เห็นฝูงนกบินหนีมาจากทิศทางตรงข้าม   เด็กชายก้มหน้ามองน้องสาวของตนสีหน้าครุ่นคิดพลางมองกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งแล้วจึงหันกลับหาน้องน้อยคุกเข่าลงมองหน้าน้อง
                        “วานาอัน   เจ้าเดินกลับบ้านไปเองได้ไหม   พี่จะไปดูอะไรทางโน้นสักหน่อยแล้วเดี๋ยวพี่จะรีบกลับไป”
                        เด็กหญิงมองหน้าพี่ชาย   คิ้วน้อยๆขมวดแน่นส่ายหน้าช้าๆ   มือน้อยๆจับมือพี่ชายเอาไว้แน่น   พี่ชายจึงใช้มืออีกข้างลูบหัวน้องสาวเบาๆ
                        “งั้นเอาอย่างนี้นะ   เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่   เดี๋ยวพี่จะรีบไปรีบมา”
                        เด็กหญิงส่ายหน้าแรงขึ้น หน้าเบ้ น้ำตาเอ่อขึ้นคลอเบ้า   เด็กชายจึงรีบพูดขึ้น
                        “เด็กดีอย่าร้องไห้สิ   พี่คิดว่าทางนู่นต้องมีพวกมาล่าสัตว์แน่ๆ   พี่จะไปดูสักหน่อย แต่พี่ไม่อยากให้เจ้าไปด้วยเพราะว่ามันอาจมีอันตรายได้…”
                        เด็กน้อยได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ร่วงไหลลงอาบสองพวงแก้ม   เด็กชายเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบเช็ดน้ำตาให้น้อง กล่าวว่า “เอาล่ะ!ก็ได้  อย่าร้องไห้นะ  เจ้าไปกับพี่ก็ได้   แต่เจ้าห้ามอยู่ห่างพี่เด็ดขาดเลยนะ   ตกลงไหม?”
                        เด็กหญิงรีบพยักหน้าอย่างเร็ว   พี่ชายจึงยิ้มให้ และจูงมือน้องสาวออกเดินไปยังทิศทางตรงข้ามลึกเข้าไปในป่า   ทั้งสองเดินกันได้สักพักใหญ่ก็เห็นรอยเลือดหยดเล็กๆเป็นทางยาว    เด็กทั้งสองเดินตามหยดเลือดไปเรื่อยๆ   รอยเลือดนั้นหายเข้าไปในพุ่มไม้ข้างๆต้นไม้ใหญ่   เด็กทั้งสองค่อยๆเดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้นั้น   วานาอันจับชายเสื้อพี่ชายไว้แน่น   เด็กชายเอามือแหวกพุ่มไม้เงียบๆ   ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของนกเนดา(Naeda)   ซึ่งเป็นหนึ่งในนกสวยงามของ ฟูดินัน   ปีกทั้งสองข้างของมันเป็นสีรุ้งแวววาวสวยงาม   หากแต่ตอนนี้มีลูกธนูเสียบคาอยู่ที่ปีกข้างหนึ่งมีเลือดไหลนองพื้นเป็นวงกว้าง   เด็กหญิงเห็นดังนั้นก็เริ่มร้องไห้ด้วยความสงสารนกน้อย   เด็กชายจึงหันไปปรามเนื่องด้วยเกรงว่านกจะตกใจ   เด็กน้อยจึงค่อยเบาเสียงลงและร้องไห้อยู่เงียบๆ   เมื่อมันเห็นเด็กทั้งสองเดินเข้ามาก็พยายามตะเกียกตะกายบินหนีอย่างอ่อนแรง   เด็กชายเดินเข้าไปดูอาการใกล้ๆพยายามจับ นกเนดา ที่ตื่นกลัวให้อยู่นิ่งๆเพื่อไม่ให้ปากแผลฉีกไปมากกว่านี้    เด็กชายถอดเสื้อของตนออกคลุมหัวนกไว้เพื่อมิให้มันเห็นอะไรจะได้คลายความกลัวลงพลางค่อยๆอุ้มมันขึ้นมาอย่างเบามือ   ด้านวานาอันก็ค่อยๆเอามือน้อยๆลูบตัว นกเนดา เบาๆ    เมื่อความรู้สึกที่เป็นมิตรเอ่อล้นมายังสัตว์ป่าที่บาดเจ็บนี้   มันจึงค่อยๆคลายความพยศลง    เด็กชายมองดูสภาพบาดแผลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีก่อนจะกล่าวว่า
                        “พี่ว่าเราต้องรีบพามันกลับไปหาท่านปู่เร็วที่สุดเลย…”
                        “เจ้าจะเอานกของเราไปไหนกัน   นั่นเป็นสมบัติของเรานะ”
                        เสียงกังวานใสดังขึ้นทางด้านหลัง    เด็กชายหันกลับไปดูอย่างรวดเร็ว   ส่วน วานาอัน ก็รีบวิ่งไปแอบอยู่หลังพี่ชายด้วยความเร็วพอกัน   ข้างต้นไม้ใหญ่นั้นปรากฎร่างของเด็กหญิงสูงศักดิ์ขี่ม้าสีขาวสะอาดตา   ดวงตาโตสีเขียวมรกตกำลังจับจ้องเด็กทั้งสองไม่วางตา  
                        “เธอเป็นคนยิงนกตัวนี้หรือ”  เด็กชายถาม
                        “ไม่ใช่เราหรอก   น้องชายของเราเป็นผู้ยิง   เราเพียงอาสามาเก็บให้เท่านั้น” เด็กหญิงผู้มาใหม่พูดพลางพิจารณาเด็กชาวป่าทั้งสอง  เด็กคนพี่นั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด   ส่วนเด็กหญิงคนน้องนั้นแอบมองตนผ่านทางช่องแขนของพี่ชาย   และเมื่อเห็นว่าตนก็มองอยู่เช่นกันก็รีบหลบเข้าข้างหลังพี่ชายทันที  
                        “รึว่านั่น   เป็นนกที่เจ้าทั้งสองเลี้ยงไว้”  เด็กหญิงเอ่ยถาม   พลางผ่อนสายบังเหียนม้าลงเพื่อให้ม้าได้เล็มหญ้าอ่อนที่อยู่ตรงหน้าแล้วจึงเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าเดินเข้ามาใกล้เด็กชาวป่าทั้งสอง
                        “ไม่ใช่หรอก   แต่นกนี่เป็นสมบัติของป่านี้   และทุกชีวิตในป่านี้มิได้มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ”
                        “ถ้าเช่นนั้นนกตัวนี้ก็ต้องเป็นของเรา”
                        “เธอจะเอามันไปทำอะไร   เอาไปกินเหรอ   นกพันธุ์นี้รสชาติไม่อร่อยหรอกนะ”
                        เด็กหญิงได้ยินดังนั้นก็พลางหัวเราะเสียงใส  “ใครบอกเล่าว่าเราจะนำไปกิน   เราไม่นำไปกินอยู่แล้ว   เราเพียงแต่แข่งกันว่าใครจะเป็นผู้ยิงนกที่แสนสวยนี่ได้ก่อน”
                        เด็กชายได้ยินดังนั้นก็พูดเสียงดังว่า  “เธอยิงมันด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้หรือ!   ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเกินกว่าที่เธอจะฆ่าเล่นเพื่อความสนุกแบบนี้นะ”
                        “ไม่เห็นจะเป็นไรเลย   ก็ในเมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีอำนาจเหนือสัตว์เหล่านี้   และให้เรามนุษย์เป็นผู้ปกครองดูแลพวกมันอยู่แล้วนี่”
                        “แล้วเธอปกครองดูแลพวกมันแบบนี้หรือ”
                        เด็กหญิงเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งงันไป   เด็กชายชาวป่าจึงกล่าวเสริมขึ้น “หากบิดาของเธอให้ของขวัญกับเธอ   แล้วเธอทำลายมันทิ้งด้วยเหตุเพียงว่ามันเป็นของของเธอแล้วเธอจะทำอย่างไรกับมันก็ได้อย่างนั้นรึ   เธอไม่คิดว่าบิดาของเธอจะเสียใจบ้างหรือ?”
                        เด็กหญิงตกตะลึงกับเหตุผลอันเกินคาดคิดของเด็กชาวป่า   พลางคิดทบทวนคำพูดนั้นครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เราไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อนเลย  เธอกล่าวได้ถูกต้องแล้ว… เมื่อพระเจ้าให้มนุษย์เป็นผู้ปกครองสัตว์ทั้งมวล  เราควรดูแลทุกชีวิตด้วยเมตตา จึงจะเป็นที่พอพระทัยพระองค์…”  เด็กหญิงชะงักคำพูดลงเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กชาวป่าก้มหน้าลงมองนกสีหน้าเคร่งเครียด   จึงได้พูดเบาเสียงลง  “เธอยังโกรธเราอยู่หรือ”
                        “ทำไมเราจะต้องโกรธเธอด้วยล่ะ” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองคิ้วขมวดน้อยๆสีหน้างุนงง
                        “ก็เธอทำหน้าบึ้งตึงอยู่นี่”
                        “เราไม่ได้โกรธเธอ   เราเพียงแต่เป็นห่วงนกตัวนี้ต่างหาก”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 02:44:48 AM »

                        เด็กหญิงนิ่งอึ้ง  เพราะทุกคำตอบของเด็กชาวป่าคนนี้ล้วนเหนือความคาดหมายของเธอ   เด็กคนนี้มีแต่ใจที่เป็นห่วงนกมากกว่าที่จะมาคิดโกรธเคือง   เด็กหญิงทั้งประหลาดใจระคนสนใจในตัวเด็กชาวป่าคนนี้นัก เพราะช่างมีจิตใจต่างกับผู้คนที่เธอเคยเจอมา
                        ฉับพลันเสียงกีบเท้าม้านับสิบก็ดังลั่นทั่วป่า   เสียงตะโกนที่ฟังไม่ได้ศัพท์แว่วดังควบคู่กับเสียงกีบเท้าม้าและเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ   เด็กทั้งสามหันหน้าไปทางต้นเสียงนั้น   วานาอันรีบหลบหลังพี่ชายเกาะชายเสื้อแน่นกว่าเดิม
                        “คงจะเป็นเสียงคนของเรา”
                        “เจ้าหญิงเรจิน่า  เจ้าหญิงเรจิน่า”
                        มีเสียงเรียกดังจากด้านหลังของเด็กหญิง   แล้วทหารในชุดล่าสัตว์ร่วมสิบคนก็ปรากฏกายขึ้นเป็นแถวทางด้านหลัง   หนึ่งในนั้นขี่ม้าหยุดทางด้านข้างเด็กหญิง   กล่าวด้วยสีหน้าตื่นๆเล็กน้อย
                        “เจ้าหญิงไม่น่าขี่ม้ามาผู้เดียวเช่นนี้เลย   ในป่ามีอันตรายมากมาย   เจ้าชายก็ทรงเป็นห่วงมากเนื่องจากทรงหายตัวไปนาน  สั่งให้เราเร่งออกตามหา อีกสักพักเจ้าชายก็คงตามมา…..”
                        สิ้นเสียงทหารนั้นก็มีเสียงกีบเท้าม้าอีกกลุ่มควบดังตามมา   ฝุ่นดินและเศษหญ้าฟุ้งขึ้นราวกับกลุ่มควันไฟกองใหญ่   ชั่วอึดใจเดียวทหารอีกกลุ่มก็มาถึง   ซึ่งนำหน้าโดยเด็กชายตัวเล็กๆผมสีน้ำตาล อายุประมาณ 9 ปี นั่งอยู่บนม้าสีขาวครีม เชิดหน้าอย่างสง่างามเกินเด็ก  สวมชุดล่าสัตว์ที่ทำจากผ้าเนื้อดีสีเขียวสลับขาว เด็กชายมีสีหน้ายุ่งดูหงุดหงิดไม่พอใจเมื่อเห็นเด็กชาวป่าทั้งสอง  
                        “ท่านพี่อยู่ที่นี่เอง”เด็กชายร้องเสียงดัง กระโดดลงจากหลังม้าแล้วหันมามองเด็กชาวป่าทั้งสอง
                        “เอานกของเรามานะไอ้เจ้าคนป่า   ไอ้ขโมยสกปรก   เอานกของเรามา!!”
                        เด็กชายตะโกนเสียงแหลม   พลางหยิบดาบขนาดไม่ใหญ่นักขึ้นมาแกว่งอย่างน่ากลัว
                        “หยุดนะ ซิกมันต์”เด็กหญิงกล่าวดุผู้เป็นน้อง  ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง    “เราขอโทษด้วยที่น้องเราทำเสียมารยาท”  “ท่านพี่ห้ามพูดกับมันนะ   ข้าห้ามท่านพูดกะพวกมันนะ” เด็กชายยิ่งตะโกนเสียงดังและแหลมกว่าเดิม  
                        “ แกด้วย ไอ้พวกสกปรกอย่าบังอาจมายุ่งกับท่านพี่นะ แกต้องถูกลงโทษที่บังอาจขโมยนกเรา   และบังอาจมายุ่งกับท่านพี่ของเรา”
                        ฉับพลันเด็กชายกวัดแกว่งดาบเข้าหาเด็กชาวป่าทั้งสอง   เด็กชายชาวป่าเอื้อมมืออีกข้างเข้ากอดน้องสาวตัวน้อยที่เริ่มร้องไห้อีกครั้งด้วยความกลัว   แววตาของเขาจ้องเขม็งอย่างไม่กลัวอาวุธตรงหน้า   ทันใดนั้นดาบในมือเด็กชายสูงศักดิ์ก็ลอยละลิ่วกระเด็นไปไกล   เด็กหญิงที่เหล่าทหารเรียกเธอว่า เจ้าหญิงเรจิน่า บัดนี้ถือดาบของตนในมือ   ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าด้วยฝีมือดาบที่ดีกว่าเธอได้สะบัดดาบของน้องชายกระเด็นออกไป   ก่อนกล่าวเสียงดุ
                        “ซิกมันต์!!  ลืมที่ท่านพ่อเคยสอนแล้วหรือว่าห้ามหันดาบใส่ผู้ไร้อาวุธ!!”
                        ซิกมันต์น้อย หน้าเสีย   เรจิน่า เก็บดาบก่อนกล่าวแก่พวกทหาร
                        “พวกเจ้าเชิญเสด็จองค์ชายไปรอที่ชายป่าก่อน  แล้วเราจะตามไป”
                        “แต่นกของ……” ซิกมันต์ กล่าวพลางมองไปยังนกในมือเด็กชาวป่า
                        เรจิน่า เดินเข้าจับไหล่น้องชาย พลางว่า “วันนี้พี่เพิ่งได้นาฬิกาพกอันใหม่เป็นของกำนัลจากลอร์ด คาร์ลแลนซ์ พ่อของชาร์ล (Charles) พี่จะยกให้เธอแลกกับนกนั้น ดังนั้นไปรอที่ชายป่าพร้อมพวกทหารแล้วพี่จะไม่บอกท่านพ่อเรื่องที่เจ้าทำวันนี้”
                        เด็กชายครุ่นคิดชั่วครู่   รีบพยักหน้าก่อนขึ้นขี่ม้าเชิดคางขึ้น ปรายหางตามองเด็กชาวป่าสองคนทำหน้าเหยียดหยามหนึ่งครั้งก่อนจะสะบัดหน้าขี่ม้าควบจากไป   ข้างฝ่ายเหล่าทหารผู้ติดตามบางส่วนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง       เมื่อ เรจิน่า ยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนทั้งยังส่งสัญญาณให้ล่วงหน้าไปก่อน จึงได้ตัดสินใจควบม้าจากไปกันหมด   กระทั่งเด็กทั้งสามถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพังแล้ว  เด็กหญิงจึงเดินเข้าไปหาเด็กชาวป่าทั้งสอง
                        “เราขอโทษแทนน้องเราที่เสียมารยาทอีกครั้งนะ”
                        “เธอเก่งนะใช้ดาบได้ด้วย   ผู้หญิงในเผ่าของเราไม่มีใครใช้เป็นเลยจะมีก็แต่ใช้เวทย์มนต์เท่านั้น”
                        เด็กทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกัน   เด็กหญิงยิ้มน้อยๆเงียบไปชั่วอึดใจก่อนพูดโพล่งออกมาราวกับเพิ่งนึกได้  “จริงสิ!   เรายังไม่รู้จักกันเลย   เรานี่ช่างแย่จริงเชียว   เราชื่อ เรจิน่า อรีธา (Regina Aretha)  เป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักร ฟิลิเซีย (Felasia) ที่อยู่ทางฝากตะวันตกนู่น   แต่ช่วงสัปดาห์นี้เรามาท่องเที่ยวที่เมือง วอลเนีย (Valnia District) ที่อยู่ตรงเขตชายแดน  จึงมาล่าสัตว์ในป่านี้”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 02:45:44 AM »

                    “เราชื่อ ฮารีซัน บันดารา (Harison Bandara) เป็นลูกชายหัวหน้าเผ่าฟูดินัน ที่อยู่ทางชายป่าด้านโน้น”
                    “ถ้าเช่นนั้นเธอก็เป็นเจ้าชายด้วยนะสิ  เพราะเธอเป็นลูกชายหัวหน้าเผ่านี่”
                    เด็กชายยิ้มให้“ไม่ใช่หรอก   เราก็มีฐานะเท่าๆกับเด็กคนอื่นๆในเผ่านั่นแหละ”
                    “น่าอิจฉาจัง   เราก็อยากจะเป็นเด็กธรรมดาๆบ้าง  มีอิสระอย่างพวกเธอ จะไปไหนมาไหนก็ได้  เราจะไปไหนมาไหนก็ต้องมีทหารตามกันเป็นพรวน”
                     “เธอก็เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปออก…  น้องของเธอเสียอีกที่ดูเป็นคนสูงศักดิ์”
                    “จริงหรือ   เราเหมือนเด็กธรรมดาๆทั่วไปจริงหรือ”เจ้าหญิงน้อยพูดเสียงตื่นเต้น
                    “ใช่” เด็กชายยืนยัน  “และอีกอย่างหากเธอไม่ชอบใจก็บอกพวกเขาสิว่าไม่ต้องตาม”
                    “พวกเขาไม่ยอมหรอก  เพราะมันเป็นหน้าที่ของพวกเขา…” เรจิน่า หยุดพูดเมื่อเห็นดวงตากลมโตสดใสแอบมองเธอจากช่องแขน ฮารีซัน
ฮารีซัน ยิ้มกว้างเอี่ยวตัวไปทางขวาเล็กน้อย “นี่คือน้องสาวของเรา ชื่อ วานาอัน”
                    วานาอัน รีบก้มหน้าลงหน้าแดงถึงหู   เรจิน่า เห็นดังนั้นจึงเขยิบตัวเข้าไปใกล้ และยิ้มให้กล่าวว่า “ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ วานาอัน” เด็กหญิงรอจนกระทั่งเด็กน้อยค่อยเงยหน้าขึ้นสบตา และก็ได้เห็น วานาอัน ยิ้มให้อย่างน่ารักน่าชัง  
                    “ยิ้มเก่งจริง  เมื่อตะกี้ยังร้องไห้อยู่เลย   นี่ยิ้มได้แล้ว” เด็กหญิงกล่าวอย่างชื่นชม
                    “วานาอัน เป็นแบบนี้แหละ  ใบหน้าจะอมยิ้มตลอดเวลา หรือถ้าไม่ก็จะร้องไห้ไปเลย  ไม่เคยแสดงสีหน้าเฉยๆหรอก”
                    “จริงๆนะหรือ” เรจิน่า ยิ้มชอบใจ  “ จริงสิ!!   แล้วนกตัวนี้พวกเธอจะทำอย่างไร”
                    “เราจะนำไปให้ท่านปู่รักษา   ท่านปู่เชี่ยวชาญเรื่องสารพัดรวมถึงการรักษาด้วย   ท่านปู่ต้องช่วยมันได้แน่”
                    “ดีจริง  ถ้าเช่นนั้นเราว่าเธอควรรีบไปดีกว่าเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์   เราก็คงต้องไปเช่นกันเพราะเราอยู่ที่นี่นานแล้ว   เดี๋ยวน้องชายเราจะส่งคนมาตามอีก”
                    เมื่อเด็กทั้งสามร่ำลากันและกันเรียบร้อยแล้ว   เจ้าหญิงน้อยก็เหวี่ยงตัวขึ้นม้าขาวอย่างคล่องแคล่ว  
                    “หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะ” เรจิน่า กล่าว
                    “หวังว่าคงได้พบกันอีก” ฮารีซัน ตอบกลับ
                    ทั้งคู่มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามทางของตน
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.115 seconds with 22 queries.