Summoner Master Forum
November 27, 2024, 07:42:49 PM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 6 เตรียมการรบ @@  (Read 7330 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: December 19, 2004, 02:33:03 AM »

Chapter 6  เตรียมการรบ


                       เป็นเวลาโพล้เพล้แล้วเมื่อ ซาดิน กลับจากการออกว่าราชการและกำลังอยู่ในห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนฉลองพระองค์    เหล่านางกำนัลต่างก็ช่วยกันเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เจ้าเหนือหัว   บัดนี้กษัตริย์แห่งซาโลมอยู่ในชุดเสื้อขาวแขนยาวเนื้อดีที่ปล่อยชายยาวเกือบจรดพื้น    มีผ้าแพรสีดำนิลขลิบทองเป็นลวดลายสวยงามคาดเอวอยู่    ที่ศีรษะมีผ้าโพกหัวสีดำประดับด้วยอัญมณีสีแดงสดอยู่ตรงกลางดูสง่าน่าเกรงขาม
                       ขณะที่ซาดินกำลังสวมเสื้อคลุมสีดำดิ้นทองอยู่   ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ทหารองครักษ์เข้ามาทูลว่า นาริส สุไลมาน กำลังรออยู่ที่ห้องรับรองชั้นในเพื่อขอเข้าเฝ้า    กษัตริย์หนุ่มออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ นาริส ขอเข้าเฝ้าในยามนี้    หากแต่ก็ทรงออกไปพบแต่โดยดี
   
                       ณ ห้องรับรองชั้นใน   มหาอำมาตย์ใหญ่กำลังยืนมองแผนที่ของจักรวรรดิซาโลมที่แขวนไว้บนผนังด้านหนึ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่    เสียงทหารยามก็ประกาศการมาถึงของ ซาดิน   นาริส โค้งตัวลงคำนับระหว่างที่ ซาดิน เดินเข้ามาในห้อง
                       “ตามสบาย   ท่าน นาริส”  ซาดิน กล่าวพลางนั่งลงบนเก้าอี้ทองคำ
                       “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
                        เมื่อ นาริส สุไลมาน เงยหน้าขึ้นก็เห็นเครื่องแต่งกาย ซาดิน ซึ่งบ่งบอกว่ากษัตริย์หนุ่มกำลังจะไปหาความสำราญในฮาเล็มนั้นเอง   นาริส จึงโค้งอีกครั้งกล่าวว่า “ขอประทานอภัยฝ่าบาท   ที่มาเข้าเฝ้าในเวลาที่พระองค์จะไปผ่อนคลายอิริยาบถเช่นนี้”
                       “ไม่เป็นไร ท่านนาริส   วันนี้ข้าไปที่นั้นเร็วกว่าเวลาปรกติอยู่สักหน่อย   ว่าแต่ท่านมีกิจด่วนสำคัญอันใดจึงมาพบข้ากะทันหันเช่นนี้หรือ”
                       “หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูล   หากแต่มิใคร่สะดวกที่จะกราบทูลในท้องพระโรง   จึงต้องมาขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์”
                       “เรื่องอะไรหรือ”
                       “เกี่ยวกับ พระนางเนริมอร์ ฝ่าบาท……พระองค์ทรงทราบปฏิกิริยาของพระนางแล้ว?”
                       “ใช่    ข้ารู้แล้ว”  ซาดินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
                       มหาอำมาตย์หยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสร้งสงสัย “ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่พระนางแต่งงานกับพระองค์ด้วยวัยเพียง 10 ชันษา    พระนางก็มิเคยขัดคำสั่งพระองค์แม้เพียงสักครั้งมิใช่หรือ     หน้าที่การงานต่างๆพระนางก็มิเคยบกพร่อง    ครั้งนี้คงถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา……”  
                       ซาดินยิ้มเล็กน้อย มองมายังมหาอำมาตย์ผู้เป็นเสมือนญาติสนิทคนเดียวที่เหลืออยู่ กล่าวตอบเหมือนรู้ความนัย
                       “ ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ ท่านนาริส      ข้าเห็นท่านมาตั้งแต่จำความได้     น้ำเสียงกับสีหน้าแบบนั้นมันแปลว่าท่านเริ่มจะวาดลีลาวาทศิลป์ให้ข้าเวียนหัวอีกแล้วนะ…..หึหึ”
                       นาริส สุไลมาน ยิ้ม “ก็เหมือนกับที่หม่อมฉันทราบว่าที่จริงท่านก็กังวลเรื่องของพระนางอยู่ไม่น้อย แต่กลับเงียบเฉยเสีย”
                       ซาดินหรี่ตา และพยักหน้าเล็กน้อย“ท่านรีบเข้าเรื่องของท่านเถอะ นาริส”
                       “ ฝ่าบาทเองก็ทราบดีว่าหม่อมฉันจะพูดอะไร   พระนางเนริมอร์ มีสิ่งสำคัญในชีวิตของพระนางอยู่   และเป็นสิ่งเดียวที่นางจะยอมไม่ได้ที่จะเสียมันไปแม้วินาที   หม่อมฉันยังจำได้ ในงานถวายราชบรรณาการของแคว้น มาชฮา ทางตะวันตก ที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องเพชรนิลจินดาและแพรพรรณอันงดงาม   แม้แต่นางสนมกำนัล เพียงได้เห็นก็นัยน์ตาลุกวาวตื่นเต้นตามประสาอิสตรี   แต่ พระนางเนริมอร์ กลับหันหน้าไปทางห้องบรรทมของพระโอรสตลอดเวลา   และยังเสด็จออกจากงานไปหาพระโอรสถึง 3 ครั้ง   ซ้ำยังเสด็จออกไปก่อนงานจะจบลง   ในชีวิตหม่อมฉัน   หม่อมฉันพบเห็นความรักของแม่และลูกมามาก   แต่ พระนางเนริมอร์ นั้นใครที่เห็นก็คงอดตื้นตันไม่ได้”
                       “ความอ่อนไหวเกินกว่าเหตุของอิสตรี” ซาดิน กล่าวพลางทอดสายตาออกไปไกลนอกหน้าต่าง  “ท่านจะให้ข้ายึดเอาเรื่องอันไร้สาระนี้เป็นสิ่งร่วมในการตัดสินใจการศึกงั้นหรือ”
                       “ฝ่าบาท……..”
                       ซาดิน ยกมือห้าม “พอเถอะ ท่านนาริส  ไว้คุยเรื่องนี้ทีหลังแล้วกัน   ท่านกำลังจะทำให้ข้าหมดอารมณ์กับความสำราญในฮาเร็ม”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: December 19, 2004, 02:34:49 AM »

                       กษัตริย์หนุ่มก้าวเดินจะออกไปจากห้อง อำมาตย์ชราสีหน้าวิตกร้องห้าม
                       “ฝ่าบาท ได้โปรดเถิด   ความสุขในฮาเร็มจะสำคัญอย่างไร   แต่เรื่องนี้นั้น………”
                       ซาดินหมุนตัวกลับ จ้องไปยัง นาริส  “ท่านเห็นว่าข้ากำลังทำสิ่งไม่เหมาะสมในเวลาเช่นนี้งั้นหรือ”
                       “พระอาญามิพ้นเกล้า  ข้าน้อยมิบังอาจ……”
                       “ ท่านนาริส ชีวิตของข้าเองก็เหมือนไฟ     วันนี้สว่างไสว แต่ไม่รู้วันใดจะดับมอด.....    หากข้าจะหาความสุขให้มากที่สุดตราบที่มีชีวิต    มันก็เป็นเรื่องสมควรแล้วมิใช่หรือ”
                       เมื่อ ซาดิน พูดจบก็ยิ้มให้ นาริส ก่อนที่จะหมุนตัวกลับ  และเดินจากไป   อำมาตย์เฒ่าก็ได้แต่มองตามหลังกษัตริย์หนุ่มไปพลางถามตัวเองอยู่ในใจว่า ‘ข้าเห็นความเศร้าแฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้นรึ    หรือเป็นเพียงแค่อาการตาฝ้าฟางจากความชรากันนะ’



                       ในขณะที่แสงทองของวันใหม่เพิ่งจะสาดแสงไปทั่วจักรวรรดิซาโลมได้ไม่นานนัก    แต่ในท้องพระโรงกลับเนืองแน่นไปด้วยบรรดาเหล่าแม่ทัพนายกอง เสนาอำมาตย์น้อยใหญ่    เนื่องด้วยว่าวันนี้มีการประชุมหารือกันเรื่องการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆสำหรับการทำศึก
                       บลาส เซจ และ นาริส ซึ่งยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของบัลลังก์พระที่นั่งต่างก็ยืนนิ่งมิพูดอะไรกันเลย   บลาส เซจ นั้นชำเลืองมอง นาริส เป็นครั้งคราว    หากแต่ทุกครั้งจะแฝงแววยิ้มเยาะอยู่ในที    ฝ่ายมหาอำมาตย์เฒ่าจึงยิ้มน้อยๆอย่างรู้ทันกล่าวว่า
                       “ท่านอยากจะพูดอะไรหรือ?  มหาอุปราช”
                       “หึหึ   ท่านคิดจะทำอะไรรึ มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่     ถึงได้ลอบเข้าเฝ้าเจ้าเหนือหัวเป็นการส่วนพระองค์ในยามวิกาลเช่นนั้น”
                       นาริส หัวเราะเบาๆ    ก่อนจะพูดว่า   “อ้า!  ตาท่านนี่ช่างกว้างไกลดีแท้    ข้าเลื่อมใสฝีมือการสืบและสอดส่องของท่านจริงๆ    แม้มดสักตัวก็คงไม่พ้นสายตาเป็นแน่”
                       บลาส เซจ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์  “คงแปลกน่าดู ถ้ามหาอำมาตย์แห่งซาโลมคิดหาทางยับยั้งสงคราม”
                       “ข้าก็มิได้หมายใจจะทำเช่นนั้นหรอก    มหาอุปราช”  นาริส ยิ้ม
บลาส เซจ หรี่ตาลงข้างหนึ่ง  คิดสงสัยว่านาริสจะทำอะไรกันแน่   อำมาตย์เฒ่าหัวเราะในลำคอมิตอบใดๆอีก    ชั่วอึดใจเสียงทหารยามก็ประกาศก้อง
                       “องค์ซาดิน   เสด็จแล้ว”
                       ทั่วทุกคนในท้องพระโรงต่างก็รีบลุกขึ้นถวายความเคารพ     ซาดิน ซึ่งอยู่ในชุดเต็มยศก้าวขึ้นนั่งบนบัลลังก์อย่างองอาจ     เมื่อ ซาดิน นั่งบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้วจึงส่งสัญญาณให้เหล่าเสนาอำมาตย์ และแม่ทัพนายกองต่างๆนั่งลง
                       “บัดนี้   ซาโลม จะประกาศสงครามกับดินแดนต่างๆทั่วทวีป เมอริเซีย เพื่อสร้างยุคใหม่ขึ้น     ข้าอยากรู้ว่าสภาพการณ์ของกองทัพขณะนี้เป็นอย่างไร ”
                       ซาดิน ถามขึ้น   พลางหันหน้าไปยังเหล่าแม่ทัพที่นั่งเรียงรายอยู่ทางฝั่งขวาของบัลลังก์   นายทหารที่นั่งทางหัวแถวค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ   เผยให้เห็นร่างที่สูงใหญ่ยักษ์กำยำซึ่งทำให้ทหารยามภายในห้องแลดูตัวเล็กลงถนัดตา   ใบหน้าที่อยู่ภายใต้เงามืดของหมวกเหล็กดูดุดัน   อีกทั้งชุดเกราะสีม่วงดำที่ทำมาจากส่วนกะโหลกของมังกร และรวมถึงเคียวมรณะ(Dead Scythe) ที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาอยู่ตลอดเวลา   ยิ่งทำให้นายทหารผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก   นายทหารผู้นี้ก็คือ ยอดขุนพลแห่ง ซาโลม ซึ่งมีฉายาว่าจอมทัพกระหายเลือด ราโชยู(Rachoyu ,Bloodlust General) นั้นเอง   ราโชยู โค้งเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
                       “ทูลฝ่าบาท   เหล่าทหารของเราซึ่งเรียกกลับมาประจำการ   บัดนี้มีห้าหมื่นเศษ   เป็นทหารฝีมือดีเสียสองหมื่น   อีกทั้งกองสนับสนุนอันได้แก่กองกำลังนกโมฮา(Zalom’s Rider) เจ็ดร้อยนาย    มือเพชฌฆาตแห่งซาโลม(Zalom’s Headman) ห้าร้อยนาย     ผู้ฝึกสัตว์ประหลาด(Zalom’s Tamer) หกร้อยนาย    นักรบเพลิงมาร(Evil Fire Warrior) ห้าร้อยนาย    ฮาโวก้า(Havoca)  แปดร้อยตัว    มังกรซาลามันเดอร่า(Salamandera) ยี่สิบตัว     อีกทั้งสัตว์ประหลาด และอสูรกายเผ่าต่างๆอีก ห้าร้อยตัว   รวมทั้งสิ้นเบ็ดเสร็จก็ร่วมหกหมื่นพะยะค่ะ”
                        ซาดิน ได้ยินดังนั่นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที “กำลังทหารเพียงเท่านี้    แล้วจะเพียงพอต่อการทำศึกใหญ่นี้ได้อย่างไร”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: December 19, 2004, 02:36:27 AM »

                      “ที่เหลือทหารเพียงเท่านี้ก็สืบเนื่องมาจากเมื่อคราวที่ยกทัพไปปราบ เยซีฮาน (Yacehan ,the Lord of Larzal) ที่แคว้น ลาซาน(Larzal)    ครั้งนั้นทำให้เราสูญเสียทหารไปมากทีเดียวฝ่าบาท     ข้าพระองค์จึงมีความเห็นว่าเราอาจจะต้องว่าจ้างพวกนักรบรับจ้างจาก เผ่ามอร์ (Mor Mercenary) ซึ่งเป็นเผ่านักรบที่เก่งกาจ    มาเสริมทัพได้อีกส่วนหนึ่ง”  ราโชยู กล่าว
                      “เยซีฮาน!!”  ซาดิน เคี้ยวฟัน   ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง    โทสะพลันพรั่งพรูขึ้นเมื่อได้ฟังนามนี้     พลางประกาศก้องทั่วท้องพระโรง  “อ้าย เยซีฮาน     อ้ายกบฏทรยศมันบังอาจตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้า     หากไม่ใช่เพราะแคว้น ลาซาน อยู่ในพื้นที่ที่ได้เปรียบ     รวมทั้งแหล่งน้ำมันธรรมชาติที่อยู่บริเวณนั้นอย่างมากมายแล้วล่ะก็     ข้าคงพิชิตแคว้นเล็กกระจ้อยร่อยเยี่ยงนั้นได้นานแล้ว    และมัน อ้ายเยซีฮาน ก็จะต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือข้า”
                      บรรยากาศในที่นั้นตึงเครียดขึ้นทันที    ด้วยว่าเมื่อ ซาดิน บรรลุแก่โทสะแล้วจะหาผู้ใดมาทัดทานได้ยากนัก    นาริส  จึงกล่าวปรามขึ้น
                      “ฝ่าบาท     โปรดชะลอโทสะลงด้วยเถิด      อันว่าแคว้น ลาซาน นั้นมิใช่เพียงแค่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี     มีทรัพยากรน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น     หากแต่ตัวเยซีฮานเองก็ขึ้นชื่ออยู่หนักหนาว่าเป็นแม่ทัพที่ชาญศึกยิ่ง     อีกทั้งเมื่อคราวที่ยังรับใช้ฝ่าบาทอยู่นั้น    ก็ได้เรียนรู้กลศึกแผนการรบจากพระองค์ไปมิใช่น้อย      ผนวกกับทุนเดิมที่เป็นคนเฉลียวฉลาด      เยซีฮาน จึงสามารถแก้เกมการรบของพระองค์ได้ทุกครั้ง      แต่อย่ากระนั้นเลยในเมื่อพระองค์หมายจะพิชิต เมอริเซีย นี้จำนวนทหารที่เรามีอยู่คงต้องเสริมขึ้นอีกอย่างน้อยสามเท่าตัว”
                      “หืมม์!   สามเท่าตัวเป็นอย่างน้อยรึ”  ซาดิน ใช้มือแตะคางกล่าวเสียงเบา
                      นาริส ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยสีหน้าราบเรียบว่า  “ถูกแล้วฝ่าบาท     พระองค์อย่าทรงลืมว่า     แม้กองทัพของ เยซีฮาน ไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับกองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์      ซ้ำยังมิเคยยกทัพมาประชิดเราสักครั้ง     แต่หากพระองค์ยกทัพใหญ่ไปตี เมอริเซีย แล้ว    หม่อมฉันเกรงว่า เยซีฮาน อาจใช้จังหวะนี้บุก ซาโลม ก็เป็นได้”
                      ซาดิน ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด   แววตายังขึงโกรธ “สักวันข้าต้องบั่นหัวมัน   มิให้อยู่เป็นหอกข้างแคร่ข้าอีก… ท่านนาริส การศึกที่ทั้งห่างไกลทั้งต้องระวังรอบด้าน เหล่าอสูร และมังกรคงต้องมากกว่ามิใช่สามเท่า   หากต้องเป็น5-6เท่าทีเดียว  อีกทหารที่มีฝีมือต้องจำนวนเรือนแสนขึ้นไปเท่านั้น   ทั้งยังต้องฝึกให้รู้จักการรบในภูมิประเทศที่แปลกประหลาดอีก  อือม์.........”
                      กษัตริย์ผู้ชาญศึกเริ่มคิดประเมินสถานการณ์     นาริส ได้ทีจึงพูดขึ้น
                      “ถูกแล้วฝ่าบาท..... การศึกนี้มิใช่การศึกที่โจมตีรวบรวมแคว้นเล็กแคว้นน้อยดังกาลก่อน     หากแต่เป็นการบุกสู่ถิ่นที่ไม่มักคุ้น    อีกทั้งระยะทางห่างไกลยิ่งนัก     รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง     เราได้รู้สถานการณ์ของเราแล้ว      หากแต่ไม่รู้สภาพการณ์ของฝ่ายตรงข้ามเท่าใดเลย.......”
                      นาริส กางแผนที่ขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะกลางท้องพระโรง     ลากนิ้วชี้จาก ซาโลม ลงไปทางใต้พลางพูดว่า
                      “ทางใต้นี้มีอาณาจักรใหญ่อยู่1อาณาจักรคือ ฟีเลเซีย(Felasia)    กับป่าอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์อันประกอบด้วยเผ่าน้อยใหญ่มากมาย เผ่าที่ใหญ่ที่สุดคือชนเผ่า ฟูดินัน(Fudenun) ซึ่งอาศัยใกล้ต้นไม้ยักษ์ อิกดราซิล (Yggdrasill)    ฟีเลเซีย อยู่ทางตะวันตก     ฟูดินัน อยู่ทางตะวันออก      อาณาจักร ฟีเลเซีย บัดนี้ปกครองโดย ซิกมันต์ที่2     เป็นที่รู้กันทั่วทั้งทวีปว่าอาณาจักรนี้ เต็มไปด้วยนักรบผู้กล้า    เป็นอาณาจักรนักรบโดยแท้     มีกองทัพที่เกรียงไกรและปราบสัตว์ประหลาดน้อยใหญ่มากมาย    ประเทศที่แม้แต่สตรียังเรียนวิชาดาบ    อีกทั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีนักคือเป็นที่สูง      หากแต่ทางตะวันออก    ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก     มีเพียงเผ่าน้อยใหญ่กระจัดกระจาย ล้วนประกอบอาชีพทำไร่ไถนา  การประมงทางใต้ และค้าขายเพียงเล็กน้อย     ดังนั้นหากเปรียบไป  ฟีเลเซีย เป็นดั่งราชสีห์ผู้พร้อมต่อกร     ทว่า ฟูดินัน นั้นเป็นดั่งวัวอ้วนที่มิรู้จักระวังตัว.......”
                      “หากได้ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เพียงนี้มาอยู่ในอาณัติ     ความอดอยากข้นแค้นใน ซาโลม จะไม่มีอีกต่อไป    หากแต่.........” ซาดิน หยุดคิดก่อนจะกล่าวต่อ “ความอุดมสมบูรณ์ของมันมิเพียงแต่ให้อาหาร    หากแต่ให้การปกป้องอีกด้วย......”
                      “ฝ่าบาทคงหมายถึงป่าดงดิบพื้นที่มหาศาลใน ฟูดินัน” นาริส  กล่าวอย่างรู้ใจผู้เป็นนาย
                      “ใช่    มันเป็นที่ซ่อนที่ดีที่สุด     ทหารของเราชำนาญการรบแบบประจันหน้าในที่โล่ง     การรบในป่าดงดิบคงมิต่างกับคนตาบอด  และที่สำคัญ   กำแพงธรรมชาติที่อยู่นี่อีกเล่า   เทือกเขายาวเหยียดจนจรดดินแดนของ ฟีเลเซีย...........”
                      “ใช่แล้วฝ่าบาท     เทือกเขาคีรีบันดาโอบล้อมดินแดนนี้.....    ฟูดินัน ไม่เพียงเป็นดั่งวัวอ้วนที่ไม่รู้จักระวังตัว     แต่ยังเป็นวัวที่อยู่ในคอกล้อมป้องกันที่แน่นหนานัก.......”
                      “เช่นนั้นแล้วคงมีเพียงสองทาง     หนึ่งนั้นคือพังคอกสูงเสียดฟ้าเสีย........ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้” ราโชยู กล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง นาริส
                      “ส่วนทางที่สองคือฆ่าราชสีห์ที่เฝ้าปากคอกเสีย”
                      ซาดิน ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมก่อนกล่าวชื่นชมขุนศึกทมิฬ “เจ้ายังใจกล้าบ้าบิ่นเช่นเดิมนะราโชยู หึหึ     ข้าชักอยากเห็นเจ้าเอาเคียวของเจ้าตัดหัวพญาราชสีห์ให้ดูเป็นขวัญตาซะแล้วสิ”
                      “หรือมิฉะนั้นก็ปีนข้ามคอกซะยังง่ายกว่า”
                      เสียงของมหาอำมาตย์ นาริส กล่าวแทรก      ซาดิน และ ราโชยู หยุดมองอย่างสงสัย.....
                      “เพียงข้ามเขาเข้าตี ฟูดินัน ที่อ่อนแอ      แล้วเราก็จะได้ทั้งเสบียงอาหารและดินแดนในเวลาเดียวกัน   เมื่อหันเข้าตี ฟีเลเซีย ย่อมกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น   หากเข้าตี ฟีเลเซีย ที่เข้มแข็งก่อน   การศึกที่ยากลำบากต่อให้ได้ชัยชนะเราคงเสียไพร่พลไปไม่น้อย เมื่อหันไปตี ฟูดินัน   เมื่อนั้นจากศึกง่ายอาจกลายเป็นศึกยากยิ่งขึ้น”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: December 19, 2004, 02:37:55 AM »

                       “อือม์    ท่านนาริส กล่าวได้ดีมีเหตุผล”ซาดิน กล่าว   ราโชยู พยักหน้ายอมรับ   นาริส จึงกล่าวต่อ
                       “แต่ฝ่าบาท   จากที่หม่อมฉันได้ทูลแล้ว   เราเองมีความรู้ในภูมิประเทศและสภาพการณ์ใน ฟีเลเซีย และ ฟูดินัน เพียงผิวเผินเท่านั้น   ลำพังเพียงเท่านี้เราไม่อาจแน่ใจในสิ่งใดได้เลย   หม่อมฉันเห็นว่า เราจึงควรส่งคนเข้าสอดแนม และสืบสภาพความเป็นไปในทุกด้านของทั้งสองประเทศนี้”
                       “เราเห็นดีด้วยในเรื่องนี้” ซาดินกล่าว
                       “อย่างน้อยเวลา 1 ปีในการสอดแนมจะช่วยให้เราวางแผนการรบทุกอย่างได้รัดกุม…..”
                       “มันไม่นานไปหน่อยหรือ ท่านนาริส” บลาส เซจ ซึ่งนิ่งเงียบตลอดการหารือ     เมื่อกล่าวคำขึ้นทุกคนในท้องพระโรงจึงหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
                       นาริส มองไปยังขุนนางเฒ่าอย่างระแวดระวัง      เพราะการที่คนเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนอย่าง บลาส เซจ นิ่งเงียบอยู่นาน     แลดูจะเป็นเรื่องน่ากลัวมากกว่าเมื่อยามพูด     เพราะนั่นย่อมหมายถึงการนิ่งเงียบเพื่อคิดสร้างแผนชั่วในใจมากกว่าอย่างอื่น     และเมื่อเริ่มต้นพูดอาจหมายถึงการเริ่มแผนชั่วนั้น
                       “ท่านอุปราช…” นาริส กล่าวด้วยรอยยิ้ม “กับ ฟูดินัน เองนั้น   ข้าคิดว่าอาจส่งคนเข้าปะปนสืบข่าวได้ง่ายนัก เพราะข้าเคยได้ยินมาว่าคนแคว้นนี้ จิตใจดี และเชื่อคนง่ายนัก   หากแต่ ฟีเลเซีย....... ท่านคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ความหยิ่งผยองที่ไม่น้อยไปกว่าความชาญศึกของคนอาณาจักรนี้มาบ้าง   ความรังเกียจคนต่างถิ่นต่างเผ่า ต่างผิวต่างพันธุ์   แม้แต่กับ ฟูดินันที่อยู่ติดกันยังไม่ละเว้น   ท่านคิดว่าการส่งคนตีสนิทชิดเชื้อตลอดจนอยู่อาศัยในอาณาจักรที่คิดว่าตนสูงส่งกว่าผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องง่ายกระนั้นหรือ   อีกทั้งนิสัยนักรบด้วยแล้ว   การระแวงระวังคนต่างถิ่นมีอยู่ในสัญชาติญาณ   ดังนั้น 1ปี ในการเข้าสืบใน ฟีเลเซีย  ข้ายังคิดว่าอาจยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ..”
                       อุปราชเฒ่าเจ้าเล่ห์ เงยหน้าขึ้น จะกล่าวคำ   นาริส สุไลมาน ผู้อ่านออกได้ทันทีว่าสิ่งที่จะออกมาจากปากเฒ่าเจ้าเล่ห์คือสิ่งใด ก็ชิงพูดต่อทันที
                       “การทำศึกโดยไม่รู้จักศัตรู  แม้มังกรต่างถิ่นยังอาจพ่ายงูดินเจ้าของบ้าน และคนฉลาดจะไม่ทำศึกกับผู้ที่ไม่รู้จัก   และคนฉลาดย่อมไม่ละโอกาสที่จะ รู้ข้อมูลของศัตรู  และโดยเฉพาะคนฉลาดอย่างท่านอุปราช เองคงไม่ลืมพื้นฐานแสนง่ายข้อนี้”
                       บลาส เซจ ชะงักด้วยรู้สึกว่าเหมือนดังถูกด่าอยู่ในที
                       “โอ้ข้าลืมไป   ท่านอุปราช คือผู้เชี่ยวชาญการสอดแนม    โดยเฉพาะเรื่องราวในปราสาทนี้   แต่ทหารที่ข้าส่งไปแม้ที่มือดีที่สุดก็คงสอดแนมได้ไม่เชี่ยวชาญเท่ากับท่าน   ครั้นข้าจะส่งท่านไปสอดแนมเสียด้วยตัวเองก็ดูจะเป็นการเสียดายที่จะให้คนเก่งกาจรู้มากรู้มายอย่างท่านไปออกห่างไกลจากปราสาท   ดังนั้นโปรดได้เห็นใจในความสามารถที่มิเทียบเท่าท่าน ของบรรดาเหล่ากองสอดแนมของข้าด้วย”
                       เมื่อสิ้นคำ นาริส ก็ยิ้ม และโคลงศีรษะให้    บลาส เซจ ซึ่งก็ยิ้มตอบมาหากแต่ดวงตาแดงก่ำด้วยเส้นเลือด และแววตาที่เคียดแค้น เนื่องจากถูกด่าอย่างไม่รู้ตัว    เมื่อ บลาส เซจ นิ่งอึ้งด้วยความโกรธ  ซาดิน ยิ้มอย่างหน่ายใจ ราโชยู และเหล่าขุนนางต่างพยายามกลั้นความขันไว้ นาริส จึงเสริมต่อ
                       “นอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นอีก  ระยะทางข้ามทะเลทรายอันห่างไกลไปยัง  ตีนเขา คีรีบันดา นี้มีโอเอซิสเพียง 5แห่ง  และแห่งสุดท้ายคือที่นี่” นาริส ชี้ไปยังจุดหนึ่งในแผนที่ “ระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมดประมาณ 3-4 เดือน  และจากโอเอซิสนี่ไปถึงคีรีบันดาคือ 3 สัปดาห์ถึง1เดือน     นั่นหมายความว่าจากที่นี่ไปเราต้องมีเสบียงพอเลี้ยงคนนับแสนเป็นเวลา1เดือน”
                       สิ้นคำนี้ทั่วท้องพระโรงเงียบงันลง
                       “การศึกนี้ใหญ่หลวงนัก....” ซาดินกล่าว   สายตายังจับจ้องอยู่บนแผนที่ “แล้วเราจะต้องใช้เวลาเตรียมเสบียงกี่ปีกันเล่า”
                       นาริส จึงเสริมต่อว่า “ขณะนี้เมืองที่อุดมสมบูรณ์พอที่จะเก็บเกี่ยวได้ทางตะวันออก     ก็มี อาคิม (Akim) ไต้ฝุ่นปีศาจออกอาละวาด   จนพืชผลเสียหายยากแก่การเก็บเกี่ยว”
                       “เช่นนั้นเราคงต้องปราบเจ้านี่ก่อน” ซาดิน กล่าวโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนแผนที่
                       “เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าพระองค์เอง    ฝ่าบาท” บลาส เซจ กล่าวแทรกขึ้น
                       “ดีมาก  บลาส เซจ     ถ้าเช่นนั้น ท่านนาริส     ท่านคิดว่าเราจะต้องใช้เวลาในการเตรียมเสบียงกี่ปีหรือ” ซาดิน กล่าว
                        มหาอำมาตย์ใหญ่ โค้งรับคำ ก่อนที่จะตอบว่า “หากเรางดเก็บภาษีประชาชนสัก 2 ปี     เพื่อให้ประชาชนได้ประกอบสัมมาอาชีพ เพาะปลูกกันอย่างเต็มที่แล้ว     หม่อมฉันพระองค์คาดว่าคงใช้เวลาทั้งสิ้น 5 ปี”
                       “ข้าให้งดภาษีได้เพียง 1 ปี และเก็บเกี่ยวให้ได้ภายใน 4 ปี”
                       “พ่ะย่ะค่ะ” อำมาตย์เฒ่า รับคำมิกล้าโต้เถียงใดๆ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: December 19, 2004, 02:39:15 AM »

                          “แล้วเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่า     มีการเตรียมความพร้อมไปถึงไหนแล้ว” ซาดิน ถาม
                          ราโชยู โค้งเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “อาวุธยุทโธปกรณ์ของเราเสียหายมากทีเดียว      ทั้งการเกณฑ์ไพล่พลมากขนาดนี้     เราคงต้องเร่งทำอาวุธเพิ่มขึ้นอีกมากมาย”
                          นาริส เมื่อได้ฟังคำของ ยอดขุนพล ก็พลันนึกขึ้นได้ “ฝ่าบาท   นอกจากการทำอาวุธเพิ่มขึ้น   เรายังต้องสร้างยุ้งฉางขนาดใหญ่ขึ้นมาหลายหลังเพื่อกักเก็บเสบียง   อีกทั้งรถเกวียนจำนวนมากเพื่อจะสามารถขนเสบียงติดตามไปกับกองทัพอีกด้วย”
                          “เช่นนั้นแล้ว ท่านนาริส   ท่านก็จงดำเนินการเรื่องนี้ในทันที” ซาดิน ออกคำสั่ง
                          “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท  และนอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว   เรื่องสภาพภูมิประเทศนั้นยังเป็นสภาพที่กองทัพของเราไม่มักคุ้น    ฟูดินันเป็นป่าดงดิบ   ส่วนฟีเลเซียก็เป็นที่ราบสูงชัน   ซ้ำทหารยังต้องเดินทางไกล   เราจะต้องฝึกให้กองทัพมีความทรหดอดทนอย่างมาก”
                          “ราโชยู เจ้าคิดว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่    จึงจะเกณฑ์ไพล่พลเสริมกำลังทัพได้ครบตามจำนวน     รวมทั้งฝึกฝนทักษะการรบให้แกร่งกล้าพอที่จะออกศึกใหญ่ครั้งนี้ได้”
                          ราโชยู หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
                          “การเกณฑ์ไพล่พลทั่วอาณาจักรรวมทั้งตามหัวเมืองต่างๆคงไม่ยากเย็นเท่าใดนัก     กระหม่อมคาดว่า 4 เดือนคงได้    ส่วนการฝึกฝนทักษะนั้น   สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารมาก่อนคงต้องใช้เวลา 3-4 ปีทีเดียว    แต่กระหม่อมเกรงว่าผู้ที่แข็งแกร่งพอที่จะผ่านการฝึกของกองทัพจะมีไม่ถึง 1 ใน 3     ทั้งประชากรที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็คงมีแต่ผู้หญิง และเด็กเท่านั้น”
                          “ถ้าเช่นนั้นก็จงเกณฑ์เด็กชายที่อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปเข้ากองทัพเสีย”  บลาส เซจ กล่าวเสียงเรียบ
                          “ท่านเสียสติไปแล้วรึ     เด็กอายุเพียงเท่านั้นจะทนรับการฝึกหนักในกองทัพได้อย่างไร” นาริส แทบไม่เชื่อหูตนเอง    โทสะครุกรุ่นในน้ำเสียง
                          “เด็กๆจะไปทำอะไรได้    เมื่อคราวที่ข้านำทัพบุกแคว้นใดสักแคว้นทางตอนเหนือ     การสู้รบดำเนินอยู่เนิ่นนานแรมเดือนจนแคว้นนั้นแทบจะไม่เหลืออะไรมาสู้กับข้าแล้ว    ในที่สุดก็ต้องเอาเด็กๆออกมาจับอาวุธสู้กับข้า     ซึ่งข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อันใดเลย    รังแต่จะเป็นเหยื่อให้กับคมหอกคมดาบของข้า”
                           “ฝ่าบาท     ในเวลานี้พระองค์อาจจะเห็นว่าไร้ประโยชน์     ทว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นทหารที่เก่งกล้าสามารถ     การที่เราต้องรอให้เด็กเหล่านี้โตในอีก 5 ปีข้างหน้าแล้วจึงค่อยฝึกต่ออีก 3 ปีนั้น    กระหม่อมเห็นว่าเป็นการเสียเวลาเกินไป       ซึ่งอาจทำให้เราเสียการณ์ใหญ่ได้” บลาส เซจ กล่าวพลางหันหน้ายิ้มเยาะไปทาง อำมาตย์เฒ่า  
                          “ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว” นาริส  พูดน้ำเสียงแข็งกร้าว
                          “จะทำการณ์ใหญ่ต้องเหี้ยมโหด” บลาส เซจ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียม
                          ซาดิน นิ่งเงียบไปราวกับกำลังชั่งใจอยู่นาน    ปากเม้มแน่นสีหน้าเคร่งเครียดครุ่นคิด   ที่สุดจึงเอ่ยขึ้น
                          “อีก 6-7 ปีข้างหน้าเด็กเหล่านั้นก็ต้องมาเป็นทหารของ ซาโลม อยู่ดี........    ถ้าวันหน้ามันเป็นทหารที่มีฝีมือไม่ได้     วันนี้มันก็สมควรตาย!”

         
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.119 seconds with 22 queries.