Summoner Master Forum
November 26, 2024, 08:32:32 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายEpi9 Chapter 2 ปฐมกษัตริย์แห่งฟูดินัน @@  (Read 8595 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: October 10, 2008, 04:25:13 PM »

ปฐมกษัตริย์แห่งฟูดินัน



                    กองทัพเปกาซัสกว่าห้าสิบนายบินตรงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ โดยมีเทือกเขาคีรีบันดาและน่านฟ้าของฟูดินันเป็นฉากหลังนั้นงดงามราวกับภาพวาด จนทำให้บรรดาชาวป่าทั้งหลายถึงกับหยุดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อมองดู กองทัพที่ได้ชื่อว่าสง่างาม องอาจ และเกรียงไกรที่สุดของอาณาจักรฟีเลเซีย
                    กองทัพม้าบินแปรขบวนเหนือฟูดินันก่อนจะร่อนโฉบลงตรงพื้นที่ว่างใกล้ประรำพิธีบรรดาชาวป่าและเด็ก ๆ ต่างก็รีบวิ่งกรูกันเข้ามา เพื่อจะได้เห็นกองทัพเปกาซัสใกล้ ๆ แต่ด้วยความองอาจและทนงในศักดิ์ศรีของเหล่าอัศวิน และโดยเฉพาะกษัตริย์ซิกมันด์ที่สาม ที่เหมือนกับมีรังสีแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีแผ่ออกมาจากรอบองค์ จนไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ จึงได้แต่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น
                    ข้างฝ่ายกษัตริย์ซิกมันด์ที่สาม ซึ่งทรงอยู่ในชุดเกราะเต็มยศสีเขียวอ่อนคลิบทอง ทรงเหวี่ยงองค์ลงจากหลัง  โกล์ดเดิน เมน เปกาซัส (Golden Mane Pegasus) เปกาซัสขาวขนทองอร่ามที่แสนงามสง่า ซึ่งเจ้าม้าบินก็คงจะรู้ถึงความสวยงามของมัน จึงได้สะบัดแผงคอสีทองอร่ามพร้อมกับเหยียดปีก เรียกสียงฮือฮาจากบรรดาชาวป่าได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
                    กษัตริย์ซิกมันด์ทอดพระเนตรไปรอบ ๆ มองดู บรรดาชาวป่าที่รายรอบอยู่ห่าง ๆ โดยมีพระพักตร์นิ่งเฉย ทำให้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าพระองค์ทรงคิดอะไรอยู่ เจ้าหญิงเรจิน่าซึ่งเสด็จมาถึงเป็นองค์แรกก็ทรงยิ้มทักทายต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นใครเล่าจะกล้าคาดหวังว่ากษัตริย์ผู้หยิ่งทนงในศักดิ์ศรีและภาคภูมิในเกียรติยศอย่างกษัตริย์ซิกมันด์ จะทรงยอมเสด็จมาถึงฟูดินันเช่นนี้ แรกทีเดียวเมื่อกษัตริย์ซิกมันด์ทรงรับปากว่าจะเสด็จมาร่วมงานตามคำเชิญของฮารีซันนั้น เจ้าหญิงเรจิน่าทรงทั้งโลดเต้นยินดี ทั้งแปลกพระทัยมิใช่น้อย นี่เป็นอีกข้อยืนหยัดหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นว่ากษัตริย์ซิกมันด์ทรงยอมรับในตัวฮารีซัน และชาวป่าฟูดินันมากขึ้นนั่นเอง ไม่ว่าพระองค์จะมาด้วยความตั้งใจ หรือจำใจ หรือเพราะเป็นมารยาท ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด แค่พระองค์ยอมมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่พิเศษมากแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ต้องมีการเตรียมการต่าง ๆ มากมายในฟูดินัน เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดหรือหมิ่นเกียรติของกษัตริย์ซิกมันด์โดยมิได้ตั้งใจ
                    กระนั้นก็ดีเจ้าหญิงเรจิน่าก็ทรงอดไม่ได้ที่จะรีบมาต้อนรับน้องชาย เพราะทรงอยากมาดูให้เห็นกับตา ว่าผู้ที่มาคือน้องชายของพระองค์จริง ๆ
                    “ยินดีต้อนรับจ๊ะ ซิกมันด์” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสทักด้วยน้ำเสียงยินดี
                    “เสด็จพี่” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสทักเสียงเรียบ
                    “มาสิ พี่จะแนะนำให้รู้จักทุกคน” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสพอดีกับที่ทุก ๆ คนทยอยเดินเข้ามาสมทบ
                    “นี่คือ ท่านผู้เฒ่าวูจิน เป็นปู่ของฮารีซัน”
                    กษัตริย์ซิกมันด์ทรงก้มพระเศียรลงเล็กน้อยก่อนจะรีบเงยขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบดูไม่ทัน เจ้าหญิงเรจิน่าทรงทราบดีว่านี่คือการแสดงความเคารพที่มากที่สุดเท่าที่คนหยิ่งทนงอย่างกษัตริย์น้องชายจะทำได้ ทว่าคนอื่น ๆ จะคิดอย่างไรนั้น พระองค์ได้แต่หวั่นพระทัย จึงทรงชำเลืองไปทางผู้เฒ่าวูจินคล้ายจะทรงขอความเข้าอกเข้าใจจากชายชรา จากการที่พระองค์ได้ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสของฟูดินันผู้นี้มาระยะเวลาหนึ่ง พระองค์ตระหนักได้ว่าผู้เฒ่าวูจินนั้น มีอุปนิสัยที่น่าเคารพยกย่องมาก ทั้งยังเป็นผู้มีเหตุผล จิตใจดีและเปิดกว้าง แต่แล้วพระองค์ก็ต้องทรงประหลาดพระทัย เมื่อวูจินโค้งศรีษะลงต่ำเพื่อทำความเคารพกษัตริย์ซิกมันด์
                    “ขอบคุณที่อุตส่าห์มา การเดินทางสะดวกราบรื่นดีไหม ฝ่าบาท?” ผู้เฒ่าวูจินกล่าวทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งก็ทำให้เจ้าหญิงเรจิน่าทรงนึกขอบคุณอุปนิสัยใจคอของชาวฟูดินัน โดยเฉพาะครอบครัวบันดาราที่ไม่ถือสาหาความกับท่าทีที่ออกจะดูแข็งกร้าวและไม่ค่อยเป็นมิตรตามแบบฉบับชาวฟีเลเซียโดยเฉพาะกับน้องชายของพระองค์
                    “ท้องฟ้าปลอดโปร่งดี ทำให้เวลาเดินทางไม่เท่าไหร่” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเรียบ และยังคงมีสีพระพักตร์เรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเหมือนเช่นเดิม
                    วูจินยิ้ม กับท่าทีของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์เสียงร่ำลือถึงอุปนิสัยใจคอของชาวฟีเลซีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์หนุ่มผู้นี้มากมาย ทั้งจากฮารีซันและเจ้าหญิงเรจิน่า ก็ได้เล่าให้เขาฟังมาบ้าง ซึ่งก็ทำให้เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องได้เห็นท่าทีที่แข็งกร้าวอยู่บ้าง แต่เท่าที่เห็นก็ไม่ได้ถึงขั้นเลวร้ายอย่างที่ได้ยินได้ฟังมา แต่เห็นได้ว่ากษัตริย์หนุ่มผู้นี้เก็บซ่อนความรู้สึกต่าง ๆ ได้เก่งทีเดียว คงจะเป็นเพราะการฝึกฝนอย่างเข้มงวดตามแบบกษัตริย์ชาตินักรบนั่นเอง นอกจากนั้นชายชราก็ต้องยอมรับว่ากษัตริย์หนุ่มผู้นี้มีความสง่างาม องอาจ ทนงในเกียรติ และศักดิ์ศรี เช่นที่ เรียกว่าแผ่ออกมาจนรอบ ๆ ตัวทีเดียว
« Last Edit: October 10, 2008, 04:32:25 PM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: October 10, 2008, 04:26:20 PM »

                    “ขอให้ข้าได้แนะนำ สมาชิกในครอบครัวอีกคน นี่คือ หลานสาวของข้าและเป็นน้องของฮารีซัน ชื่อวานาอัน” วานาอันซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้เฒ่าวูจินก็หน้าแดงขึ้นรีบก้มหน้าก้มตาโค้งคำนับก่อนจะรีบถอยไปยืนเยื้องข้างหลังวูจิน
                    “ต้องขออภัยด้วย น้องของข้าค่อนข้างจะขี้อายและไม่คุ้นกับการพบปะแขกบ้านแขกเมืองหรือผู้มีบรรดาศักดิ์” ฮารีซันกล่าวออกตัวแทนน้องสาว ซึ่งทำตัวลีบก้มหน้ามองแค่รองเท้าเกราะของกษัตริย์ซิกมันด์
                    กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อยคล้ายกับไม่ได้ทรงใส่พระทัยก่อนจะหันไปทางนักบวชหญิง
                    “ท่านนี้คือ ซิสเตอร์โรซาน่า ราชครูของเจ้าหญิงอลาน่าผู้แทนจากอาณาจักรแอนดิซอง” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัส
                    “ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท” ซิสเตอร์โรซาน่า โค้งทำความเคารพกษัตริย์ซิกมันด์ “เกียรติยศและชื่อเสียงด้านความเก่งกล้าสามารถของพระองค์ขจรขจายไปถึงอาณาจักรแอนดิซองของเรา วันนี้ได้มีโอกาสเห็นพระองค์และกองทัพเปกาซัสช่างเป็นบุญตาของกระหม่อมฉันยิ่งนัก”
                    “ข้าก็ได้ยินเรื่องของท่านราชครูมาไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะด้านการอุทิศตนและความศักดิ์สิทธิ์ หากซิสเตอร์จะส่งคณะของซิสเตอร์มาศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ที่ซาโลมอนอคาเดมี่ (Salomon Academy) เราก็ยินดีต้อนรับ”
                    “ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท ซาโลมอน อคาเดมี่เป็นสถานที่ขึ้นชื่อว่าล้วนผลิตบุคคลากรที่มีคุณภาพและเป็นแหล่งรวมความรู้แขนงต่าง ๆ ไว้มากมายทราบมาว่าท่านบิชอปเกรเกอรี่ก็จบการที่นี่ด้วย นับเป็นเกียรติอย่างมากที่พระองค์ทรงต้อนรับคณะนักบวชของหม่อมฉันเช่นนี้” ซิสเตอร์โรซาน่าทูลอย่างยินดี
                    กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์ก่อนจะทรงหันไปทางบิชอปเกรเกอรี่
                    “ท่านบิชอป”
                    “ถวายบังคม ฝ่าบาท” บิชอบเกรกอรี่โค้งคำนับ
                    “การเตรียมงานและหมายกำหนดการต่าง ๆ เรียบร้อยดีไหม?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสพลางกวาดพระเนตรบริเวณโดยรอบ
                    “ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนที่นี่ให้ความร่วมมือดี” บิชอปเกรกอรี่ทูลตอบ ซึ่งกษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงพยักพระพักตร์เป็นเชิงรับรู้
                    “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนก็มากันพร้อมแล้ว เรามาเริ่มงานเฉลิมฉลองกันเลยดีไหม?” ผู้เฒ่าวูจินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน จึงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ
                    ทันใดนั้นสียงดนตรีและไชโยโห่ร้องก็ดังสนั่นลั่นป่าเสียงกลองและเครื่องเป่านานาชนิดจากนักดนตรีดังผสานกันเป็นเพลงชวนฮึกเหิมเร้าใจ ทุกจังหวะนั้นสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจจนต่างอดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้นตามอย่างสนุกสนานแม้แต่บรรดาผู้อาวุโสก็ยังอดไม่ได้ที่จะปรบมือเข้าจังหวะไปด้วย บนประรำพิธีมีนักเต้นหญิงในชุดต่างสีสวยงามขึ้นร่ายรำอย่างสนุกสนาน ทุกใบหน้ามีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บรรดาอาคันตุกะถูกเชื้อเชิญไปยังที่นั่งของตนซึ่งถูกจัดเตรียมไว้อย่างพิถีพิถัน
                    ผู้เฒ่าวูจินขยับมือเป็นสัญญาณเมื่อเห็นว่าหลานทั้งสองของตนยังยืนรีรออยู่ ฮารีซันสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะยื่นมือให้น้องสาวของตน วานาอันใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้งนึกขอบคุณที่มีพี่ชายเดินเคียงข้างไปด้วยกัน หากให้เธอเดินขึ้นไปบนประร่ำพิธีเพียงลำพัง เธอคงต้องขาพับลงไปนั่งกองกับพื้นเป็นแน่ ๆ แต่เมื่อมีพี่ชายเดินจับมือไปด้วย ก็เหมือนกับเธอได้รับแบ่งความเข้มแข็งจากพี่ชายมาให้ได้อุ่นใจบ้าง
                    สองพี่น้องเดินขึ้นสู่ประร่ำพิธีโดยมีสายตานับหมื่นคู่จับจ้องตามไปด้วย บรรดานักเต้นเริ่มเบนตัวออกพร้อม ๆ กับโปรยปรายกลีบดอกไม้นานาพันธุ์เป็นพรมให้บุคคลทั้งสองเดินผ่าน บนพลับพลาที่ถูกตกแต่งด้วยไม้ดอกสวยงามนานาพันธุ์ มีบัลลังก์ไม้สลักจากเปลือกของมหาพฤกษาอิกดราชิลสองบัลลังก์ ซึ่งภูกสลักเสลาด้วยความประณีตวิจิตรเป็นรูปมหาพฤกษาอิกดราชิลท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ บัลลังก์ไม้ที่ไม่ได้ถูกประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาหรือทองคำดังเช่นอาณาจักรอื่น ๆ แต่ทว่าก็เปี่ยมคุณค่าด้วยงานฝีมืออันเลิศของช่างฝีมือชาวฟูดินัน
                    ฮารีซันก้าวขึ้นนั่งบนบัลลังก์ที่ใหญ่และมีรายละเอียดของงานสลักมากกว่า ในขณะที่วานาอันนั่งลงบนบัลลังก์เล็กด้วยท่าทางเหนียมอาย ทันทีที่ทั้งสองนั่งบนบัลลังก์ เสียงดนตรีต่าง ๆ ก็หยุดลงพร้อม ๆ กับความว่างเปล่าบนประร่ำพิธี
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: October 10, 2008, 04:28:15 PM »

                    จากนั้นบรรดานางรำจากวิหารเทพบารามันจำนวนเจด็นางก็ก้าวขึ้นสู่ประร่ำพิธีด้วยลีลาอ่อนช้อย จนบรรดาผู้ชมแทบจะลืมหายใจ เสียงดนตรีจากเหล่านักดนตรีแห่งวิหารเทพบารามัน ก็บรรเลงเพลงขับระบำรำฟ้อนอย่างงดงามที่สุด อ่อนช้อยที่สุด จนทุกคนเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ และแล้วที่ใจกลางเหล่านางรำทั้งเจ็ดก็ปรากฏร่างหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทันสังเกตว่านางขึ้นไปอยู่บนประรำพิธีตั้งแต่เมื่อไหร่ หญิงสาวแลดูอ่อนช้อยงดงามในชุดขาวคลิบทองซ้อนทับกระโปรงยาวสีน้ำเงินและแดง ผมมีสีน้ำตาลเข้มยาวสยายเหยียดตรงจนถึงสะโพก ที่ศรีษะมีรัดเกล้าสีทองอันบ่งบอกว่าเธอคือพระวิหารเทพบารามัน  ผู้มีนามว่า นาซูไร (NAZUEI BARAMAN’S SHAMAN) นั่นเอง
                    บรรดาชาวป่าต่างตื่นเต้นและตกตะลึ่งที่ได้เห็น นาซูไร , เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าหญิงสาวที่ถวายสตัวเป็นคนกลางระหว่างเทพบารามันกับมนุษย์ ซึ่งจะได้รับเลือกเพียงคนเดียวเท่านั้นและจะถวายตัวรับใช้เทพบารามันจนสิ้นอายุขัย แล้วจึงจะมีการคัดเลือกพระประจำวิหารใหม่ ซึ่งในระหว่างนั้นนางจะแทบไม่ออกมาพบปะผู้คน จะมีก็แต่เพียงวันฉลองเทพบารามันที่จะจัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น ดังนั้นวันนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นวันพิเศษอย่างแท้จริง
                    นางรำสองนางเดินตรงไปยังพลับพลาที่สองพี่น้องบันดารานั่งอยู่ ในมือของแต่ละนางมีมงกุฏที่ทำจากใบสีเงินของมหาพฤกษาอิกดราชิลอยู่ นาซูไรเดินตามนางรำทั้งสองไปจนมาหยุดอยู่ต่อหน้าสองพี่น้องบันดารา
                    นาซูไรวาดมือเหนือทั้งสองพี่น้อง พลางเกิดประกายระยิบระยับคล้ายเกล็ดเพชรโปรยปรายเหนือบุคคลทั้งสอง
                    “ด้วยอำนาจแห่งเทพบารามัน ข้าขอมอบมงกุฎนี้ให้ท่าน และบัดนี้ท่านจะเป็นนายเหนือดินแดนแห่งนี้ จงปกครองดินแดนแห่งนี้ด้วยความชอบธรรม” กล่าวเสร็จแล้วก็วางมงกุฎสีเงินบนศรีษะของฮารีซัน
                    “และขอมอบมงกุฎนี้แก่ท่าน ท่านจะเป็นสื่อของสรรพชีวิตในดินแดนแห่งนี้ จงใช้สัมผัสของท่านเพื่อประโยชน์สุขของทุกสรรพชีวิตเถิด” กล่าวแล้ว นาซูไรก็วางมงกุฎใบไม้บนศรีษะของวานาอัน
                    ทันใดนั้นก็เกิดลมวูบไหวสูงขึ้นไปเหนือประร่ำพิธี ยอดไม้สูงต่างโยกไหว ก่อนที่ใบไม้สีเงินจากมหาพฤกษาอิกดราชิลนับพันใบ จะโปรยปรายลงมา ใบไม้สีเงินพลิ้วไหวต้องแสงอาทิตย์ จึงเกิดประกายวิบวับไปทั่วทั้งประร่ำพิธี เรียกเสียงร้องฮือฮาด้วยความตื่นเต้นจากบรรดาผู้มาร่วมงานจนอื้ออึงไปทั่ว วานาอันยิ้มกว้างหันไปมองพี่ชายอย่างตื่นเต้น
                    “มหาพฤกษาร่วมยินดีกับเราค่ะ” วานาอันพูดพลางยกมือทั้งสองขึ้น เงยหน้ามองใบไม้สีเงินระยิบระยับที่โปรยปรายลงมา ยิ้มรับคำอวยพรที่แว่วมากับสายลม พลางกล่าวกระซิบคำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
                    “ขอบคุณครับ ท่านอิกดราชิล” ฮารีซันกล่าวอย่างตื่นเต้นมองใบไม้สีเงินที่ส่องประกายระยิบระยับเหมือนละอองของดวงดาว จนเมื่อมองลงมาจนสบสายตากับดวงตาที่แย้มยิ้มของนาซูไร นางก็วาดมือทั้งสองข้างออกอย่างอ่อนช้อยก่อนจะโค้งตัวลงคำนับพร้อม ๆ กับนางรำคนอื่น ๆ
                    “ไชโย! ไชโย! ไชโย! แด่กษัตริย์ฮารีซันและเจ้าหญิงวานาอัน” เสียงร้องจากบรรดาชาวฟูดินันก็ดังขึ้นแทบจะพร้อมกันจนเสียงดังสนั่นป่า
                    และแล้วหน้าประวัติศาสตร์ก็ถูกจารึกไว้ว่า

                    ในวันโซลัม (Solum) แรกของเดือนมัทธิว ฮารีซัน บันดารา ได้ขึ้นเสวยราชย์เป็นกษัตริย์ฮารีซัน แห่งอาณาจักรฟูดินัน ด้วยวัยยี่สิบเอ็ดชันษา และวานาอัน บันดารา ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหญิงวานาอัน แห่งอาณาจักรฟูดินัน ในวัยสิบเจ็ดชันษา และเริ่มศักราชที่หนึ่งของราชวงศ์บันดาราในปีเดียวกันนี้เอง


                    อาหารมากมายถูกนำมาเสริฟพร้อม ๆ กันที่หัวโต๊ะทั้งสองด้านก่อนที่จะวางไล่เรียงกันไปสู่บุคคลสำคัญในลำดับถัดมาตามที่ได้ถูกนัดแนะไว้โดยเจ้าหญิงเรจิน่า ซึ่งก็ทำให้บรรดาผู้อาวุโสชาวป่าและเหล่าอัศวินชาวฟีเลเซีย ยอมรับการแก้ปัญหาเรื่องลำดับความสำคัญของเจ้านายฝ่ายตนได้และข้างกษัตริย์ซิกมันด์เองก็มิได้ทรงแสดงอาการขัดเคืองใด ๆ ออกมา จึงทำให้หลาย ๆ คนต่างก็รู้สึกโล่งใจไปตาม ๆ กัน และแม้จนมาถึงจานหลักที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือเนื้อแพะเขาทองที่ถูกเสริฟพร้อม ๆ กัน ให้แก่ทั้งสองกษัตริย์ซิกมันด์และกษัตริย์ฮารีซันก็สามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น
                    จนเมื่ออาหารทุกจานเริ่มถูกทยอยเก็บออกจากโต๊ะอันเป็นสัญญาณว่า งานเลี้ยงฉลองอย่างเป็นทางการสิ้ทนสุดลงแล้ว กษัตริย์ซิกมันด์จึงทรงลุกขึ้น
                    “ข้าคงต้องกลับแล้ว”
                    “จะกลับแล้วหรือ? นี่ก็เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสคะยั้นคะยอ
                    “ข้ายังมีงานของกองทัพให้ต้องสะสางอีกมาก เสด็จพี่จะกลับพร้อมกับข้า หรือจะกลับพร้อมท่านบิชอป?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามเสียงเรียบ พระพักตร์ยังคงนิ่งเฉย ไม่ทรงแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้อีกฝ่ายรู้ว่าทรงคิดอะไรอยู่
                    “พี่กลับพร้อมท่านบิชอบดีกว่า พี่อยากจะดูแลหน้าที่ต่าง ๆ ในส่วนของพี่ให้เรียบร้อยจนจบงาน” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัส นี่ก็เป็นอีกอุปนิสัยหนึ่งที่โดดเด่นของชาวฟีเลเซียที่จะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จก่อนสิ่งอื่นใด ซึ่งก็ไม่เว้นแม้แต่บรรดาราชวงศ์ ซึ่งทำให้กษัตริย์ซิกมันด์ไม่ทรงขัดเคืองใด ๆ เมื่อทรงทราบถึงเหตุผลของเจ้าหญิง จึงทรงพยักพระพักตร์เป็นเชิงยอมรับการตัดสินพระทัยนั้น
                    “ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลาย ข้าคงต้องขอตัว” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส พลางก้มพระศรีษะเล็กน้อยคล้ายจะทรงขอองค์ลาทุกคน
                    ทุกคนจึงลุกขึ้นโค้งส่งพร้อมกับทูลถวายพรส่งเสด็จ ซึ่งกษัตริย์ซิกมันด์ก็ทรงพยักพระพักตร์ที่เรียบเฉยรับก่อนจะหมุนองค์เสด็จผ่านแถวอัศวินเปกาซัสที่ยืนเรียงแถวรับเสด็จอย่างองอาจ และสง่างาม สักพักเสียงแตรเงินอันเป็นสัญญาณของกองทัพเปกาซัสก็ดังขึ้น ก่อนที่ฝูงบินเปกาซัสจะทยานขึ้นเหนือน่านฟ้าฟูดินัน
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: October 10, 2008, 04:29:18 PM »

                    ผ่านมาได้สองสัปดาห์แล้วหลังจากที่ได้มีการเฉลิมฉลองการสถาปนาฟูดินันขึ้นเป็นอาณาจักร   เวลานี้ทั่วทั้งผืนป่าก็อาจเรียกได้ว่ากลับสู่ความสงบอีกครั้ง   บรรดาราชอาคันตุกะจากต่างอาณาจักรก็เดินทางกลับไปกันหมดแล้ว   จะมีก็แต่ผู้คนชาวฟูดินันที่ยังคงตื่นเต้นกับสถานะใหม่   และชอบพูดคุยกันโดยจะหาโอกาสใส่คำพูดที่ว่า   “พวกเราชาวอาณาจักรฟูดินัน”   ลงไปในประโยคของพวกตน   และบางคนก็ชอบจะมาเดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ บ้านของครอบครัวบันดาราเพื่อจะได้เห็นฮารีซันและวานาอัน   ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นกษัตริย์และเจ้าหญิงของอาณาจักรไปแล้ว
                    ทว่าครอบครัวบันดาราก็ยังคงทำตัวเหมือนเช่นเดิมหน้าที่ใด ๆ ที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน   พวกเขาก็ยังคงทำเหมือนเช่นเดิม   จนทำให้ชาวป่าหลาย ๆ คนเลิกให้ความสนใจครอบครัวบันดาราและกลับไปดำเนินชีวิตปรกติบ้าง   เพราะไม่เห็นความน่าสนใจที่จะติดตามดูวิถีชีวิตกษัตริย์และเจ้าหญิงที่ไม่ต่างไปจากตน
                    ในช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันที่อากาศสดชื่นเย็นสบายวันหนึ่งวานาอันกำลังเบิกบานใจกับการเช็ดทำความสะอาดใบไม้สีเงินยวงที่เธอรวบรวมไว้ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา   ใบไม้สีเงินยวงกองใหญ่ตรงหน้าเมื่อทำความสะอาดแล้วจะแลดูเปล่งประกายและแวววาวจนสามารถสะท้อนใบหน้าของหญิงสาวได้เลยทีเดียว   วานาอันบรรจงเรียงซ้อนใบไม้สีเงินลงในตะกร้าจนกลายเป็นตั้งสูงและใกล้จะเต็มตะกร้าแล้วเมื่อจู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกสัมผัสถึงพลังประหลาดบางอย่าง   แม้แต่ต้นไม้โดยรอบและสายลมก็ไม่อาจให้ความกระจ่างแก่เธอได้   พลังนั้นเริ่มแผ่เข้ามาใกล้โดยเริ่มจากจุดเล็ก ๆ แล้วเริ่มขยายความเข้มข้นของพลังนั้นมากขึ้น   หญิงสาวลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะออกเดินหาที่มาของพลังนั้น   หรือจะวิ่งไปบอกท่านปู่และพี่ชายดี ทว่าหญิงสาวไม่ได้สัมผัสถึงพลังแห่งความชั่วร้ายหรือคุกคามเธอจึงตัดสินใจได้ในที่สุดว่าเธออยากจะรู้ถึงที่มาของพลังประหลาดที่สัมผัสได้มากกว่า   เพราะเกรงว่าถ้าย้อนกลับไปบ้านเจ้าพลังประหลาดนี้อาจจะหายไปแล้วก็ได้   เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น   หญิงสาวจึงค่อยลุกขึ้นและออกเดินไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ถึงพลังประหลาดโดยทิ้งตะกร้าไว้เบื้องหลัง

                    เจ้าชายอิสฮานทรงรู้สึกเหมือนว่าทรงลอยเคว้งคว้างหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่กลางห้วงมิติมานานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้   ร่างทั้งร่างชาจนแทบไร้ความรู้สึก   เปลือกพระเนตรหนักจนแทบลืมไม่ขึ้นแต่พระองค์ก็ทรงพยายามต่อสู้กับความง่วงงุน   พลางทรงคิดว่าจะทำอย่างไรให้กลับไปหาเสด็จแม่ได้อีกครั้ง
                    แต่แล้วจู่ ๆ พระองค์ก็ทรงรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดพระองค์ทรงได้ยินเสียงนกร้อง   และรู้สึกเหมือนมีสายลมที่เย็นสดชื่นพัดอยู่รอบ ๆ พระองค์   มีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยเอื่อย ๆ ผ่านจมูกของพระองค์ด้วย   พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนกัน?   เมื่อทรงคิดได้ดังนั้นก็พยายามปรือเปลือกพระเนตรที่แสนหนักอึ้งขึ้น   แสงอ่อน ๆ ที่สาดเข้ามานั้น   ทำให้พระองค์ต้องทรงหรี่พระเนตรเพื่อให้ชินกับแสงสว่างนั้น   มีภาพเลือนรางปรากฏของต่อหน้าพระองค์   แล้วก็ทรงได้ยินใครบางคนพูด   ทว่าเป็นคำพูดที่พระองค์ไม่เข้าพระทัย   พระองค์จึงทรงขมวดคิ้วแน่นขึ้นเพื่อเพ่งสายพระเนตรได้ถนัดขึ้นแล้วพระองค์ก็ทรงได้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนหวานและอ่อนโยนที่สุด   ทรงรวบรวมพลังที่เหลือในพระวรกายทั้งหมดแม้จะใกล้หมดแรงเต็มทีเพื่อจะเปล่งเสียงที่เบาราวกับกระซิบ   ก่อนสติจะดับวูบลงอีกครั้ง
                    “เสด็จแม่”

                    วานาอันเดินลัดเลาะไปตามแขนงรากอันใหญ่โตของมหาพฤกษาด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถ   ทันใดนั้นเธอก็ได้เห็นแสงประหลาดสว่างวาบขึ้นทางหางตาก่อนที่ดับวูบไป   หญิงสาวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นตระหนก   เพราะดูเหมือนบรรดาต้นไม้โดยรอบก็จะตื่นตระหนกกับสิ่งแปลกปลอมที่กำลังเกิดขึ้นไปด้วย   วานาอันรีบวิ่งไปยังทิศทางนั้นทันที
                    แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องตกใจจนซุ่มเสียงหายเข้าไปในลำคอจนหมด   ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกลืมตาเบิกโพลงมองดูร่างของเด็กชายตรงหน้า   เด็กชายอายุไม่น่าจะเกินสิบสองปีนอนหายใจรวยรินพร้อมกับบาดแผลและคราบเลือดหลายแห่งเด็กชายอยู่ในชุดสีขาวแดงที่ตัดเย็บในแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน มีผ้าคลุมขนนกสีแดงสดพันอยู่รอบตัว  หญิงสาวนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเครื่องแต่งกายเช่นนี้เป็นเสื้อผ้าของเผ่าใด   วานาอันเขยิบเข้าไปใกล้พลางมองไปรอบเพื่อดูว่าใครหรืออะไรทำร้ายเด็กชายที่ไร้อาวุธอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้   เมื่อหญิงสาวแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอื่นอีกในบริเวณนี้   จึงได้คุกเข่าลงข้าง ๆ เด็กชายพลางมองสำรวจบาดแผลตามร่างกายว่ารุนแรงขนาดไหน   หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ   บาดแผลยังดูสดและบางแห่งยังมีเลือดไหลซิบ ๆ อยู่   หญิงสาวเริ่มหวั่นวิตกลงทันที   หากปล่อยไว้นานกว่านี้เด็กชายจะต้องเสียเลือดจนตายแน่ ๆ วานาอันมองใบหน้าของเด็กชายพลางคิดหาวิธีพาเด็กชายไปหาท่านปู่ด้วยวิธีใดดี   ก็พอดีที่ใบหน้าของเด็กชายเริ่มขยับ หญิงสาวรีบโน้มตัวลงต่ำด้วยความยินดี   ทันทีที่เห็นเด็กชายปรือตาขึ้น   วานาอันก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
                    “อ๊ะ! รู้สึกตัวแล้ว   ทำใจดี ๆ ไว้นะจ๊ะ   ฉันจะรีบพาเธอไปหาท่านปู่   ท่านปู่รักษาเธอได้แน่   อดทนไว้นะจ๊ะ”
                    “เสด็จแม่”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: October 10, 2008, 04:30:26 PM »

                    ภายในห้องรับรองเล็ก ๆ นั้น   วานาอันกำลังง่วนอยู่กับการเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เด็กชายลึกลับอย่างขมักเขม่น   หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นว่าบาดแผลเริ่มแห้งสนิทแล้ว   ยาสมุนไพรที่ปู่ของเธอทำเมื่อนำมาพอกบาดแผล   โดยใช้ใบสีเงินของต้นอิกดราซิลปิดทับนั้นไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย
                    การดูแลพยาบาลคนเจ็บ แม้ไม่ใช่งานที่เธอถนัดที่สุด แต่เธอก็สามารถทำได้ดีพอสมควร เพราะมีประสบการณ์จากเมื่อครั้งต้องดูแลผู้บาดเจ็บจากการบุกของซาโลม เมื่อสองสามปีก่อน แต่การที่ได้รับหน้าที่หลักในการดูแลเด็กชายก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าอยู่บ้างเพราะเหมือนได้รับมอบหมายดูแลชีวิตคน ๆ หนึ่งเลยทีเดียว
                    ขณะเดียวกัน ที่ฟากหนึ่งของห้อง  ฮารีซันซึ่งยืนอยู่นอกห้องพักกำลังมองวานาอันที่กำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เด็กชายผู้บาดเจ็บอยู่   เด็กชายยังคงไม่ได้สติมาสามวันแล้ว   ทำให้ครอบครัวบันดารายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้เลย   ฮารีซันหันกลับมาหาวูจินที่กำลังผสมสมุนไพรต่าง ๆ เข้าด้วยกันอยู่บนโต๊ะ
                    “ท่านปู่คิดอย่างไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้ครับ?”
                    วูจินหยุดมือครู่หนึ่งหันไปมองเด็กชายผ่านช่องประตู
                    “ปู่อยากรู้ว่าใครมันช่างโหดเหี้ยมทำร้ายเด็กได้ถึงขนาดนี้   นี่ถ้าวานาอันไม่ไปพบเข้า   ป่านนี้เจ้าหนูนี่คงไม่รอด”
                    ฮารีซันพยักหน้าเห็นด้วย   “นอกจากบาดแผลฉกรรจ์แล้ว   ตามเสื้อผ้าก็ยังมีรอยไหม้ไฟบางส่วนอีกด้วย   ข้านึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเด็กคนนี้โดนทำร้ายมาอย่างไรและด้วยน้ำมือของใคร”   แต่ก็ยังอดถามต่อไม่ได้ “ท่านปู่คิดว่าเขามาจากไหนครับ?”
                    วูจินมองหลานชายแว่บหนึ่งก่อนจะย้อนกลับไปมองภายในห้องพัก   “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
                    “เสื้อผ้าที่เขาใส่มา   มันไม่เหมือนกับเผ่าใดเลยในฟูดินัน   ทั้งรูปร่างหน้าตาก็มองดูต่างจากชาวป่าอย่างพวกเรา   จะว่าไปถ้าดูจากเสื้อผ้าและรูปร่างหน้าตา   เขาดูคล้ายกับพวก ...เอ้อ...พวก   ซาโลมมากกว่า”   ฮารีซันพูดอย่างเป็นกังวลหากก็ได้แต่สงสัย 
                    “อืม”   ผู้เฒ่าวูจินก็อดสงสัยในตัวเด็กชายไม่ได้   เพราะเด็กชายดูแตกต่างจากชาวฟูดินันจริง ๆ ทั้งคิ้วตาที่คมเข้ม จมูกโด่ง ที่รับกับดวงตาคู่โต ผมหยักศก และ ผิวสีน้ำผึ้ง ที่ดูแล้วไม่พบในเด็กชาวบ้านแถบฟูดินันนี้เลย  “เอาเถอะ   เรามานั่งสงสัยกันไปก็ไม่มีประโยชน์   รอสอบถามเอาจากตัวเด็กเองดีกว่า   แต่ร่างกายบอบช้ำมากขนาดนี้   ก็ต้องอาศัยแรงใจของเขาเองว่าจะแข็งแรงพอจะฟื้นสติได้เมื่อไหร่   ปู่ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะได้สติในเร็ววันนี้”   วูจินกล่าวพลางมองเข้าไปยังช่องกรอบประตูอีกครั้ง   พยายามวิเคราะห์เด็กชายผู้ลึกลับด้วยสีหน้าและแววตาครุ่นคิด

                    เจ้าชายอิสฮานทรงรู้สึกหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่หลายครั้ง บางครั้งก็ทรงรู้สึกเหมือนอยู่ในท้องพระโรงที่มีแต่ทะเลเพลิง บางครั้งก็เหมือนทรงอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นตา ทว่าทุกครั้งที่พระองค์ทรงรู้สึกทุรนทุรายหรือหวาดกลัวพระองค์จะทรงเห็นรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของพระมารดา ที่เหมือนกับจะบอกพระองค์ว่าไม่มีอะไรที่น่ากลัว พระองค์จะได้รับการปกป้อง ซึ่งนั่นก็ทำให้พระองค์สงบและผ่อนคลายลงทุกครั้ง

                    เจ้าชายอิสฮานทรงรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้ง พระองค์ตกอยู่ในทะเลเพลิงอีกแล้ว พระองค์ทอดพระเนตรไปทางไหนก็มีแต่ซากปรักหักพังและเปลวไฟลุกท่วม เหงื่อของพระองค์ผุดขึ้นเต็มพระพักตร์และไหลย้อยไม่หยุด ที่สุดปรายห้องพระองค์ทรงเห็นปิศาจรูปร่างน่ากลัวหลายตัวกำลังวิ่งตรงเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ทรงกลับหลังหันแล้วออกวิ่งสุดกำลัง แต่ก็ดูเหมือนว่าจังหวะการก้าวเท้าของพระองค์นั้นเชื่องช้าเหลือเกิน เท้าทั้งสองของพระองค์หนักอึ้ง การก้าวเท้าแต่ละทีเหมือนพระองค์ต้องใช้พลังกายทั้งหมดที่มี เพื่อบังคับเท้าแต่ละข้างให้ก้าวออกไป พระองค์ทรงหันไปมองปิศาจอีกครั้ง ก็ต้องทรงตกพระทัยแทบสิ้นสติ เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ๆ เสียงหัวเราะแหบแห้งที่ชวนสะอิดสะเอียน และน่าขนลุก เหมือนจะดังอยู่ใกล้ ๆ แค่ที่หลังพระกรรณ
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: October 10, 2008, 04:32:08 PM »

                    “เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อม ๆ กับมีมือมาจับที่บ่าของพระองค์   เจ้าชายทรงตกพระทัยจนสะดุ้งเฮือกลืมตาโพลง   ไม่กล้าขยับหรือแม้กระทั้งหายใจอยู่เป็นครู่ใหญ่   ภาพเพดานไม้ที่ดูไม่คุ้นตาทำให้พระองค์ยิ่งทรงหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น   พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนกัน?
                    แต่แล้วพระองค์ก็ต้องทรงตกพระทัยอีกเป็นครั้งที่สอง เหมือนมีใครคนหนึ่งชะโงกตัวเหนือร่างของพระองค์ สายพระเนตรที่ยังคงไม่ชัดเจน ทำให้ดวงพระเนตรจับภาพที่อยู่ใกล้ได้ลำบาก พระองค์ทรงพยายามเพ่งมองผ่านแสงสลัวในห้อง และสิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายพระเนตรคือรอยยิ้มอันอ่อนโยนของหญิงสาววัยรุ่นที่มีใบหน้าน่ารักอ่อนหวาน ผมยาวสลวยเหยียดตรง และผิวขาวสะอาดที่ดูไม่เหมือนหญิงซาโลมเลย แต่รอยยิ้มเป็นมิตรของหญิงสาวคนนี้ก็ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกอบอุ่นพระทัยมากขึ้น ราวกับว่าใบหน้างามที่กำลังยิ้มแย้มสดใสนี้เป็นดวงจันทร์สีนวลที่ลอยสว่างอยู่ในเวลาอันมืดมนของพระองค์ และรอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้นค่อย ๆ กว้างขึ้น จนกลายเป็นเสียงหัวเราะ
                    “เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าฟื้นแล้ว! ท่านปู่คะ พี่ฮารีซันเขาฟื้นแล้วค่ะ” หญิงสาวหัวเราะด้วยความดีใจก่อนจะผลุบหายไปจากสายพระเนตร เจ้าชายทรงหันพระพักตร์ตามหญิงสาวที่หายไปทางช่องประตูนั้น เหมือนดวงจันทร์แสนงามหายลับไปหลังหมู่เมฆมืดดำ แล้วความกลัวก็กลับเข้ามาจู่โจมพระองค์อีกครั้ง เธอพูดภาษาอะไรกัน? พระองค์ไม่เข้าพระทัยแม้แต่คำเดียว
                    เพียงครู่เดียว หญิงสาวก็กลับเข้ามาอีกครั้งด้วยท่าทีกระหืดกระหอบแต่ใบหน้าก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มตามมาติด ๆ ด้วยชายแก่ท่าทางใจดี กับผู้ชายร่างสูงกำยำทั้งคู่มองพระองค์ด้วยความรู้สึกหลายอย่างทั้งดีใจ ทั้งแปลกใจ ทั้งค้นหา และอีกมากมายที่พระองค์ยังอ่อนด้อยประสบการณ์เกินกว่าจะจำแนกได้ครบและถูกต้อง
                    “ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
                    “เป็นยังไงบ้างเจ้าหนู?   รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนมากเป็นพิเศษหรือเปล่า?” ผู้เฒ่าวูจินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ข้างเตียง
                    เจ้าชายอิสฮานทรงนอนตัวแข็งทื่อทอดพระเนตรบุคคลทั้งสามอย่างทำอะไรไม่ถูก   พวกเขาไม่ได้พูดภาษาซาโลม พวกเขาไม่ใช่ชาวซาโลม นี่พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนกัน?
                    “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?   ทำไมจึงบาดเจ็บถึงเพียงนี้?  แล้วเจ้าไปอยู่ที่ใต้มหาพฤกษาอิกดราซิลได้อย่างไรกัน?” ฮารีซันยังคงถามต่อด้วยความสงสัย
                    เขาพูดว่าอิกดราซิลอย่างนั้นหรือ?  เขากำลังหมายถึงต้นไม้ยักษ์อิกดราซิลใช่ไหม?  หรือว่าเสด็จแม่ส่งเรามาที่ฟูดินัน?   เจ้าชายอิสฮานทรงคิดได้เช่นนั้นก็ทรงรู้สึกพระทัยหายยิ่งขึ้นกว่าเดิม   แล้วเสด็จแม่ล่ะ?  เสด็จแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง?   ภาพสุดท้ายที่พระองค์จำได้นั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน   คำพูดสุดท้ายของพระมารดายังคงดังก้องอยู่ในพระเศียร   ทรงคิดได้ดังนั้นน้ำเนตรก็เอ่อขึ้นคลอ   ไม่มีเสด็จแม่อีกแล้ว   ไม่มีอีกแล้ว   เป็นเพราะพระองค์   เป็นเพราะพระองค์ที่ทำให้เสด็จแม่ต้อง...   เจ้าชายอิสฮานทรงพยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้เพราะบุคคลแปลกหน้าทั้งสามยังคงจ้องมองพระองค์อยู่
                    “พี่ฮารีซันอย่าเพิ่งให้เขารีบนึกถึงเรื่องน่ากลัวสิคะ   ดูสิคะ   เขาดูเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว” วานาอันรีบกล่าวปกป้องทันที   หญิงสาวที่เคยแต่ถูกดูแล และทนุถนอมอย่างดีจากปู่และพี่ชาย   ทั้งยังไม่เคยมีน้องให้ต้องดูแล   ซึ่งเธอก็เป็นเหมือนผู้ที่มีฐานะเป็นน้องทั่ว ๆ ไป   ที่อยากจะมีน้องชายหรือน้องสาวเล็ก ๆ สักคนให้ตนได้ทำหน้าที่เป็นพี่บ้าง   เมื่อได้มีโอกาสดูแลเด็กชายก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเธอได้รับการเติมเต็มความปรารถนาลึก ๆ ในใจ
                    “ดูสิ   ไม่ทันไร   หลานข้ากลายเป็นแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบเสียแล้ว” วูจินหัวเราะอย่างรู้ทัน   ในขณะที่ฮารีซันหัวเราะตอบวูจินอย่างชอบใจ   เพราะทั้งวูจินและฮารีซันต่างก็รู้ว่า วานาอันปรารถนาอยากจะมีน้องชายหรือน้องสาวสักคนมาตั้งนานแล้ว
                    “ตกลงวานาอัน   ยังไม่ถามก็ได้   เรื่องพวกนี้รอให้เจ้าหนูนี่หายดีกว่านี้ก่อน   แล้วพี่จะค่อยถามเขาอีกที   แต่เวลานี้ถ้าพี่แค่ถามชื่อเขา   เจ้าจะอนุญาตไหม? ” ฮารีซันแกล้งขออนุญาตเพื่อหยอกน้องสาว
                    “ได้คะ” วานาอันปั้นหน้าจริงจังตอบ ก่อนจะหัวเราะคิกออกมา
                    “ว่าไงเจ้าหนู   เจ้าชื่ออะไร? เราจะได้เรียกเจ้าถูก” ฮารีซันหันไปถามเด็กชาย
                    เจ้าชายทอดพระเนตรบุคคลทั้งสามอีกครั้ง   เวลานี้พระองค์อยู่ในชนชาติศัตรู   เช่นนี้แล้วพระองค์ก็รู้ได้โดยสามัญสำนึกว่าจะทรงให้ใครรู้ไม่ได้ว่าทรงเป็นเจ้าชายแห่งซาโลม ทั้งความสับสนและกังวลเริ่มก่อตัวเข้ามาในสมองของเด็กชาย   การกระทำใด ๆ ก็ตาม อาจนำภัยหรืออะไรก็ตามที่ไม่อาจคาดคิดมาสู่ตนได้   ดังนั้นในเวลานี้สมองของเด็กน้อยที่พึ่งฟื้นจากการหลับอันยาวนานจึงไม่อาจสั่งการตอบสนองใดๆ ในคำถามที่เป็นภาษาที่ไม่เข้าใจความหมายเช่นนี้ นอกจากการนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น 
                    “เฮ...เจ้าหนู   เจ้าชื่ออะไร?” ฮารีซันถามอีกครั้งและเริ่มขมวดคิ้วหันไปมองวูจินและวานาอัน “หรือว่าเขาหูหนวกเป็นใบ้?”
                    “ไม่หรอก   เพราะเวลาพวกเราพูด   ดวงตาของเขาก็มองตาม” วูจินพูดยิ้ม ๆ   ซึ่งก็เพราะได้สบตากับเด็กชายพอดี 
                    “เขาพูดได้นะคะ   ตอนที่พบเขาในป่าเขายังพอมีสติอยู่   น้องได้ยินเขาพูด” วานาอันรีบตอบ
                    “เขาพูดว่าอะไร?” ฮารีซันถามด้วยความใคร่รู้   เพราะอาจจะได้เบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับตัวเด็กชายหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
                    “เออ   น้องได้ยินไม่ค่อยถนัด   ไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไร   ขอโทษนะคะ” วานาอันพูดเสียงเบาอย่างรู้สึกผิดน้อย ๆ ที่ไม่สามารถให้คำตอบแก่ฮารีซันได้
                    “ไม่เป็นไร   เจ้าไม่ต้องขอโทษพี่   มันไม่ใช่ความผิดเสียหน่อย” ฮารีซันพูดให้กำลังใจ “อืม... หรือเขาจะช็อคจากอาการบาดเจ็บ หรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนพูดไม่ได้”
                    “ก็อาจเป็นได้...” วูจินกล่าวด้วยน้ำเสียงเครียดลง “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับการเยียวยาจิตใจของเขา   เอาเถอะ   เวลานี้ปล่อยให้เขาพักผ่อนไปก่อน   เราอาจจะได้รู้อะไรมากขึ้นหลังจากนี้” วูจินตบหลังมือเด็กชายเบา ๆ พลางยิ้มอย่างใจดี “ไม่ต้องกังวลอะไรนะ   พักผ่อนให้สบาย   บ้านบันดาราจะดูแลรักษาเจ้าจนหายดีเหมือนเดิม”     
                    เด็กชายยังคงนอนนิ่งไม่พูดอะไรขณะมองชายต่างวัยทั้งสองที่ค่อย ๆ เดินออกจากห้อง   และเมื่อเลื่อนสายตากลับมา   ก็ได้เห็นว่าหญิงสาวกำลังมองและยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ซึ่งทำให้เธอดูสวยน่ารักในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากหญิงสาวทั่วไปในบ้านเกิดของตน และยังแตกต่างจากมารดาของเขาเอง   แต่ทว่า สิ่งที่สัมผัสได้ คือ ความอ่อนโยน ความรัก และความห่วงใยอันบริสุทธิ์นั้นไม่แตกต่างกันเลย    เด็กชายเม้มปากเล็กน้อยอย่างลังเลก่อนจะค่อย ๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ยิ้มตอบหญิงสาว   ซึ่งเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาของเด็กชาย
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #6 on: October 10, 2008, 04:32:45 PM »

มาเม้าที่นี่นะจ๊ะ

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=44894.0
Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.197 seconds with 22 queries.