Summoner Master Forum
November 26, 2024, 08:49:37 AM *
Welcome, Guest. Please login or register.

Login with username, password and session length
News: ประกาศใช้เวบบอร์ดใหม่ http://www.stmagnusgame.com/webboard/index.php

 
   Home   Help Login Register  
Pages: [1]
  Print  
Author Topic: @@ นิยายSMN Chapter 58 ร่างที่ไร้ใจ @@  (Read 8875 times)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« on: August 28, 2007, 02:37:43 AM »

Chapter 58 ร่างที่ไร้ใจ


                          หลังจากที่ปีศาจโฟนอสปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนำร่างของกษัตริย์ซาดินบินหายลับไปในห้วงมิติ   จอมทัพชาร์ลก็รีบสั่งการกองทัพเปกาซัสซึ่งนำโดยแม่ทัพหญิงโรน่าเข้าช่วยเหลือนำตัวกษัตริย์ซิกมันด์ไปยังสถานที่ปลอดภัยในทันที   และโดยไม่รอช้าก็รีบบัญชากองทัพมังกร และทัพนกออกลุกไล่กองทัพมังกรและทัพสัตว์ป่าของซาโลมที่หมายจะมาชิงตัวกษัตริย์ซิกมันด์ที่หมดสติอยู่ในหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นสามารถ   ประตูปิอมถูกเปิดออกพร้อม ๆ กับขบวนรถศึกอันเกรียงไกรของฟีเลเซ๊ยพุ่งทะยานออกมาจากปากประตูป้อม   เสียงควบฮ้อของรถศึกดังกึกก้องไม่ต่างกับเสียงคำรามของพายุแรงกล้า
                          ข้างฝ่ายกองทัพฟูดินันซึ่งนำโดยคาร์น ทราเฮิร์น และดามิก้าก็เฮโลลงมาจากหน้าผา   บ้างจะเกาะเกี่ยวฝูงทัพนกและทัพกริฟฟินพุ่งเข้าตีขนาบกองทัพเพลิงจากทุกทิศทุกทางโดยทันที
                          กองทัพซาโลมที่ถูกตีขนาบทั้งซ้าย ขวา หน้า และ บนอากาศโดยไม่ทันได้ตั้งตัว   ซ้ำยังขาดผู้นำทัพไปจึงทำให้กองทัพเกิดความสับสนและชุลมุนกันจนเสียขบวนวิ่งแตกแถวกันไปคนละทิศละทาง   ฝ่ายกองทัพฟีเลเซียและฟูดินัน   เมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ที   เร่งผนึกกำลังกันเข้าต่อตีไล่ล่าทหารซาโลมที่แตกทัพจนล้มตายไปเป็นอันมาก
                          การผนึกกำลังของกองทัพทั้งสองทำให้กองทัพซาโลมต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นท่า   กว่าจะจัดแถวและริ้วขบวนกันได้ก็ต้องไปตั้งหลักไกลถึงเมืองอาวีเลีย   โดยมีจอมทัพทมิฬราโชยูเป็นผู้นำทัพแทน   จอมทัพราโชยูซึ่งก็กำลังสับสนจากการหายตัวไปของกษัตริย์ซาดินจึงได้แต่สั่งตรึงกำลังให้กองทัพตั้งมั่นอยู่ที่เมืองอาวีเลีย   เพราะไม่รู้ชะตากรรมของกษัตริย์ซาดินว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร   ซึ่งจากการรายงานของทหารที่อยู่แนวหน้านั้นทำให้รู้แต่เพียงว่ามีปีศาจตนหนึ่งมาลักพาตัวพระองค์ไปเท่านั้น
                          จอมทัพทมิฬกวาดตามองแถวทหารของกองทัพฟีเลเซียและฟูดินันที่ตั้งแถวตรึงกำลังไว้อยู่อีกฟากของทุ่งหญ้าตรงบริเวณชายเขตเมืองอาวีเลีย   และก็ค่อย ๆ หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ   จอมทัพเถื่อนยังเห็นอาวุธหนักมากมายที่ทยอยกันขนมาวางเรียงไว้ตลอดแนว   และยังคงมีการลำเลียงอาวุธและกำลังพลมาอย่างต่อเนื่อง   ความกระวนกระวายใจด้วยไม่รู้ว่าจะตัดสินใจดำเนินการต่อไปอย่างไรดีก่อตัวขึ้นอยู่ในใจ   ทันใดนั้นพลนกโมฮานายหนึ่งก็ควบฮ้อเข้ามาหาจอมทัพทมิฬอย่างรวดเร็วพร้อมกับรีบมอบม้วนหนังสัตว์สีดำที่มีตราประทับของอุปราชบลาส เซจอยู่บนม้วนสารนั้นให้   ราโชยูจึงรีบคลี่ออกทันที   แม่ทัพร่างยักษ์รีบกวาดตาไปบนผืนหนังสัตว์อย่างลวก ๆ  ก่อนจะรีบรวบขย้ำมันไว้ในอุ้งมืออันใหญ่โตของตนพลางตะโกนสั่งเสียงดัง
                          “เตรียมพาหนะที่ฝีเท้าจัดที่สุดให้ข้าเดี๋ยวนี้”


s

                          กษัตริย์ซาดินทรงรู้สึกสลึมสลือเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นเป็นพัก ๆ   ความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บดูจะไม่ได้ลดน้อยหรือบรรเทาลงไปเลยสักนิด   พระองค์พยายามขยับตัว   แต่แขนและขากลับหนักอึ้งจนพระองค์ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย   ดวงเนตรที่หรี่ปรือของพระองค์มองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าแสงไฟสีแดงสลัว ๆ   ความหนาวราวกับอยู่กลางทะเลทรายในค่ำคืนอันมืดมิดแผ่จับพระองค์ไปทั่วทุกอณูขุมขน   พระองค์รู้สึกหนาวสะท้านจนสุดจะบรรยาย
ทันใดนั้นพระองค์ก็แว่วเสียงกรีดร้องโหยหวนและคลุ้งคลั่งของใครคนหนึ่งดังแว่วมา   ช่างเป็นเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความชิงชัง ขุ่นเคือง และอัดอั้นตันใจ   เหมือนเจ้าของเสียงนั้นกำลังสูญเสียความหวังและความฝันไป   จริงสินะ...พระองค์เองก็อยากจะกรีดร้องเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน   แต่เพราะอะไรกัน?   ความคิดที่ไม่ปะติดปะต่อของพระองค์ ทั้งความเจ็บปวด และความหนาวสะท้านที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สมองของพระองค์ดูเหมือนจะไม่ทำงานเอาเสียเลย   แล้วทำไมพระองค์ถึงรู้สึกเจ็บปวด?   ความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?   พระองค์พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์   แต่ภาพที่เกิดขึ้นในมโนจิตของพระองค์ก็ช่างดูวุ่นวายและอลหม่าน   ราวกับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตต่างก็แย่งกันพุ่งออกมาแสดงตัวให้พระองค์ได้เห็น   จนพระองค์สับสนว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง   ซ้ำภาพที่พร้อมใจกันพุ่งเข้าหาพระองค์นั้นก็มีแต่ภาพสงคราม ภาพการฆ่าฟัน ภาพการต่อสู้ ภาพกองศพที่กองสูงเป็นพะเนินแทบจะสูงเสียดฟ้า ภาพสาวงามมากมายที่พระองค์ยึดมาเป็นนางในฮาเล็มจากแคว้นและดินแดนเผ่าต่าง ๆ   ใช่!พระองค์สังหารครอบครัวของพวกนางทั้งหมดด้วย   เพื่อว่าที่พวกนางจะได้ไม่มีที่ให้กลับไปได้อีก   พระองค์ทรงพยักหน้าให้กับความคิดนั้น   การจะดูแลชนชาติที่ป่าเถื่อน   ก็ต้องปกครองด้วยความป่าเถื่อน   นี่แหละคือความถูกต้อง
                          “ซาดิน   ท่านรักลูกของเราบ้างไหม?”
                          เสียงหญิงสาวที่พระองค์รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังแว่วขึ้นมาในความคิด   เป็นเสียงที่พระองค์เคยวางทิ้งไว้ในซอกหลืบที่ไหนสักแห่งในจิตใจของพระองค์   กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะตอบกลับในใจราวกับเป็นคำตอบที่มีอยู่แล้วมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที 
                          “เจ้าคิดว่าข้าทำสิ่งเหล่านี้เพื่อใครกันเล่า?”
                          เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง   พระองค์ทรงมองไปตามที่มาของ้สียงนั้น   แววตาของพระองค์ว่างเปล่า   แต่หูของพระองค์พยายามเงี่ยฟังอย่างตั้งใจยิ่งขึ้น   
                          “โง่! โง่! งี่เง่าที่สุด!   ถ้ามันเชื่อฟังข้า   ถ้าเพียงแต่มันฟังข้า   อ๊า.......!!”
                          “ใช่ ถ้ามันฟังเจ้า   ถ้ามันเพียงแต่ฟังเจ้าสักนิด   ทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้”
                          เสียงพังข้าวของดังโครมครามไปทั่ว   พร้อม ๆ กับมีเสียงหัวเราะมากมายหลายเสียงดังแว่วมาจากทุกทิศทุกทาง
                          “ฟังสิ   ใคร ๆ ก็พากันหัวเราะเยาะเจ้า”  เสียงหัวเราะเหล่านั้นดูจะดังขึ้นกว่าเดิม “พวกทูตสวรรค์ข้างบนนั่นก็หัวเราะเยาะเจ้า”
                          “หยุดมันที! หยุดมัน! โอ้...ข้าจะต้องทำอย่างไรดี? ข้าจะต้องทำอย่างไรดี?”
                          เสียงหัวเราะแหลมสูงดังขึ้นก่อนจะกลายเป็นเสียงทุ่มต่ำดังสลับกันไปมา “สรรเสริญข้าสิ นมัสการข้าสิ เอ่ยนามของข้าสิ แล้วข้าจะช่วยเจ้า ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #1 on: August 28, 2007, 02:39:28 AM »

                      “โอ้ ท่านอวารูเซจ ...”
                      “ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”
                      เสียงเอ่ยนามดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังขึ้นจนก้องไปทั่วบริเวณ   ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ชวนให้ขนลุกและสั่นสะท้านไปทั้งตัว
                      ทันใดนั้นจู่ ๆ ห้องทั้งห้องก็สว่างขึ้น   สายตาของพระองค์เห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม   พระองค์ทรงขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น   ความคิดเริ่มตื่นตัวมากขึ้น   ใช่แล้ว...พระองค์กำลังต่อสู้อยุ่กับกษัตริย์แห่งฟีเลเซียไม่ใช่หรือ?   ทำไมพระองค์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?   พระองค์ฝันไปอย่างนั้นหรือ?   ไม่ใช่...ความเจ็บปวดและบาดแผลเหล่านี้เป็นของจริง   พระองค์ทรงเหลือบมองร่างกายของพระองค์เท่าที่สามารถเลื่อนสายตาไปถึง   ผ้าพันแผลถูกพันอย่างลวก ๆ ตามตัวของพระองค์บางแห่งยังมีเลือดซึมอยู่   เหมือนบาดแผลยังดูสดและปากแผลยังเปิดอยู่ภายใต้ผ้าพันแผลนั้น   ทันทีที่พระองค์พยายามขยับร่างเพื่อทรงมองพิจารณาให้ถนัดขึ้น   ความเจ็บปวดก็เริ่มทิ่มแทงร่างกายของพระองค์เหมือนโดนเฉือดเฉือนเนื้อเสียใหม่   พระองค์ทรงตะเบ็งร้องด้วยความเจ็บปวดจนสุดเสียง   ทว่าเสียงที่ออกมาทีเพียงเสียงครางแผ่ว ๆ ที่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งกรังของพระองค์เท่านั้น
                      ผ้าม่านบังตาถูกรูดออกไปข้างหนึ่งทันที   อุปราชบลาส เซจก้าวเข้ามายืนข้างเตียงด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยราวกับรูปสลัก   กษัตริย์ซาดินทรงจ้องมองด้วยความฉงน   เสียงพูดคุยและเสียงร้องโหยหวนเมื่อสักครู่เป็นเสียงอุปราชบลาส เซจอย่างนั้นหรือ?   แต่พระองค์ไม่เคยได้ยินอุปราชเฒ่าทำเสียงเช่นนั้นมาก่อนเลยในชีวิต
                      “ทรงรู้สึกพระองค์แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” อุปราชเฒ่าเอ่ยเสียงเบาพลางยิ้มกว้าง   แต่ทำไมพระองค์จึงเห็นว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกันแสยะปากมากกว่า
                      “ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เสียงของพระองค์ฟังดูแหบพร่าจนพระองค์ต้องพยายามกลืนน้ำลายฝืด ๆ ที่เจือรสเค็มของเลือดลงคออย่างยากลำบาก   พระองค์อยากจะกระแอ่มให้ลำคอรู้สึกโล่งแต่ไม่กล้าเพราะเกรงจะสร้างความเจ็บปวดให้ทวีมากขึ้นกว่าเดิม   เวลานี้แค่หายใจแผ่ว ๆ ก็เจ็บชายโครงแล้ว “แล้วสงครามล่ะ? เราชนะไหม?”
                      บลาส เซจ ตัวสั่นเทิ่ม กัดฟันแน่นเอียงคอที่แข็งแกร็งไปมาอย่างคนพยายามข่มอารมณ์จนสุดความสามารถ “ฝ่าบาท”  อุปราชเฒ่าเอ่ยเสียงเข้มก่อนจะเงียบเสียงลงครู่หนึ่งเพื่อปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ฝ่าบาท เวลานี้ข้าพระองค์มีข่าวที่น่าวิตกกังวลยิ่งกว่าเรื่องในสนามรบจะทูลให้ทรงทราบ”
                      อุปราชเฒ่าทำหน้าเศร้าก้มลงมองกษัตริย์ซาดิน   แต่แววตาของเขากลับนิ่งเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกใด ๆ อย่างที่แสดงออกมาทางสีหน้า   กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด   พระองค์ทรงเหลือบตามองร่างกายของพระองค์   แทบทุกส่วนมีแต่ผ้าดิบพันแผลไว้   แต่กลับไม่มีส่วนไหนเลยที่ความเจ็บปวดจะทุเลาเบาบางลง
                      “บลาส เซจ” กษัตริย์ซาดินทรงเรียกด้วยเสียงที่พยายามเค้นออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก “นะ...น้ำ...คอข้าจะไหม้เป็นผงอยู่แล้ว”
                      อุปราชเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความขัดใจ
                      “ทำไมฝ่าบาทไม่เคยฟังข้าพระองค์ทูล?” บลาส เซจยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น   จนเห็นฟันสีเหลืองที่ขึ้นเรียงกันอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบอย่างชัดเจน  “ฝ่าบาทไม่ทรงเห็นหรือว่าการที่ฝ่าบาทไม่ฟังข้าพระองค์นั้น   ผลมันออกมาเป็นเช่นไร?”
                      “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่ บลาส เซจ?” กษัตริย์ซาดินตรัสด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ความต้องการของพระองค์ไม่ได้รับการตอบสนองในทันที  ดวงเนตรจ้องมองอุปราชเฒ่าอย่างเอาเรื่อง  และยิ่งมีอารมณ์หงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ดั่งใจ “เจ้าให้ใครมารักษาแผลให้ข้ากัน?   มันไม่ได้ช่วยให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเลย” กษัตริย์ซาดินทรงกัดฟันแน่นก่อนจะตรัสเสียงลอดไรฟัน “เอามันไปประหารซะ!”           
                      บลาส เซจแสร้งไม่สนใจคำสั่งและเข้าใจเจตนาคำพูดของกษัตริย์ซาดินผิดว่าพระองค์ทรงอยากทราบเรื่องที่เขาพยายามจะทูลตั้งแต่แรก   จึงแสยะยิ้มเบนตัวออกห่างจากเตียงพลางหยิบม้วนหนังสัตว์สีน้ำตาลอ่อนพันด้วยเชือกถักสีแดง มีขี้ผึ้งประทับตราของราชอาณาจักรซาโลมติดอยู่ที่ปลายเชือกขึ้นมาคลี่ออก
                      “ทูลฝ่าบาท   ข้าพระองค์นาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์แห่งจักรวรรดิซาโลม   ได้รับรายงานว่าบัดนี้ทรราชเยซีฮานแห่งแคว้นลาร์ซาล   ได้แอบซ่องสุมกำลังพลเตรียมบุกโจมตีจักรวรรดิซาโลม   ข้าพระองค์ขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ยกทัพจากวังหลวงไปปราบกบฏแคว้นลาซาลให้สิ้นซาก   เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อจักรวรรดิซาโลมได้อีกต่อไป   มหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน” อ่านจบ อุปราชเฒ่าก็รีบม้วนหนังสือเก็บทันทีพลาง ทูลด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ข้าพระองค์จะรีบส่งราชโองการของฝ่าบาทไปยังมหาอำมาตย์นาริสโดยเร็วที่สุด”
                       “เดี๋ยว...” กษัตริย์ซาดินทรงหลับตาพลางขมวดคิ้วพยายามรวบรวมความคิดและทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทรงได้ยินจากปากของอุปราชเฒ่า   ดูเหมือนสมองของพระองค์จะทำงานเชื่องช้าลงทุกขณะ   เหตุใดพระองค์จึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับสารฉบับนี้นัก   มหาอำมาตย์นาริสส่งสารมาขอนำทัพหลวงออกรบกับเยซีฮานเองอย่างนั้นหรือ?   นาริสเคยบอกไว้ก่อนที่พระองค์จะยกทัพจากซาโลมมาว่าอย่างไรนะ?   ให้ทิ้งทหารไว้บางส่วนเพื่อป้องกันการโจมตีของไอ้กบฏเยซีฮานหากมันฉวยโอกาสบุกโจมตีซาโลมมิใช่หรือ?   เตรียมตั้งรับการโจมตีอยู่ในกำแพงเมืองที่แข็งแรงก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ?   ทำไมจะต้องออกไปกลางทะเลทรายให้มันลำบากและเปลืองเสบียงโดยใช่เหตุเล่า?  กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วแน่นขึ้นเมื่อสติของพระองค์ใกล้จะหลุดลอยไปเต็มที   หากพระองค์ได้นอนพักสักครู่คงจะดีไม่น้อย   แล้วค่อยกลับมาคิดว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี   ส่งราชโองการช้าไปไม่กี่ชั่วยามผลก็คงไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #2 on: August 28, 2007, 02:40:38 AM »

                       “ฝ่าบาททรงรีรออะไรอยู่?” อุปราชเฒ่าเร่งด้วยความร้อนใจ
                       “ข้าเพลีย...” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงเบาทว่าก็ยังคงความห้วนและเด็ดขาดในน้ำเสียง “ข้าจะนอนพักสักเดี๋ยวแล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”
                       “ไม่ได้!” บลาส เซจตะคอกเสียงดังก่อนจะรีบเงียบเสียงลงทันทีที่เห็นแววตาแข็งกร้าวและไฟโทสะที่คุโชนอยู่ดวงตาของกษัตริย์เพลิง   แม้กษัตริย์ซาดินจะอยู่ในสภาพปางตายเช่นนี้   แต่ใครเล่าจะรู้ว่าพระองค์ยังมีแรงฮึดเหลืออยู่เท่าไหร่   ขนาดโดนยอดฝีมือถึงสามคนโจมตีตรง ๆ ยังลุกขึ้นมาสู้ต่อได้   อุปราชเฒ่ารีบโค้งศีรษะลงจนเกือบติดแท่นบรรทม  ริมฝีปากสีคล้ำขยับไปมาเหมือนพยายามคิดหาเหตุผลร้อยแปดมาแก้ตัว “ฝะ...ฝ่า...ฝ่าบาท   พระอาญามิพ้นเกล้า   ข้า...ข้าพระองค์เพียงแต่เกรงว่าจะไม่ทันการณ์   สารฉบับนี้มาถึงตั้ง..ตั้งแต่...มะ...เมื่อวานแล้ว   แต่เพราะพระองค์ออกไปนำทัพทำให้พระองค์ไม่ทรงทราบเรื่อง”
                       กษัตริย์ซาดินทรงปิดเหลือกตาพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทั้งเพื่อข่มความโกรธและเรียกสติตื่นตัว   ทว่าก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะช่องอกที่ขยายขึ้นสร้างความเจ็บปวดของกับพระองค์คงต้องนิ่วหน้า
                       “ถ้าเจ้าจะต้องเอาราชโองการเดี๋ยวนี้   ก็จงไปเอาน้ำมาให้ข้า” กษัตริย์ซาดินตรัสสั่งเสียงรอดไรฟันแม้ดวงเนตรจะยังคงปิดอยู่
                       บลาส เซจกำหมัดแน่น   ริมฝีปากเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง   ดวงตาหรี่เล็กจ้องมองดวงตาที่ปิดสนิทของกษัตริย์เพลิงด้วยความคลั่งแค้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังมุ่งหน้าไปยังโต๊ะไม้สลักหน้าม่านสีแดงที่กั้นส่วนห้องโถงกับห้องบรรทม   ม่านนั้นเนื้อไม่หนามากจึงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวภายนอกได้ลาง ๆ   ที่บนโต๊ะนั้นมีสำรับน้ำชาจัดเตรียมไว้อยู่   อุปราชเฒ่าขยับตัวไปมาหน้าม่านคล้ายจะพยายามใช้ตัวบังกษัตริย์ซาดินมิให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ บนโต๊ะได้ถนัดนัก   บลาส เซจหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็ก ๆ ที่เหน็บอยู่ที่เช็มขัดออกมาพลางจ้องมองถ้วยเปล่าอย่างลังเล
                       “เจ้าคิดถูกแล้ว   รีบจัดการมันซะ   มัวชักช้าอะไรอยู่เล่า?   ไม่อยากให้มันเชื่อฟังเจ้ารึอย่างไร?   เร็วเข้าสิ...แค่หยดเดียวเท่านั้นเจ้าก็จะได้ชีวิตของกษัตริย์โง่นั่นมาอยู่ในมือแล้ว” เสียงที่หาที่มาไม่ได้ดังอยู่ข้าง ๆ หูของอุปราชเฒ่า   บลาส เซจค่อย ๆ เปิดจุกขวดด้วยมืออันสั่นเทา   กลิ่นเลือดพวยพุ่งออกมาทันที   แต่มว่ามือที่สั่นเทานั้นดูจะไม่ค่อยมีแรงเอาเสียเลย หรือจะเป้นเพราะความลังเลใจของเขากันแน่   จึงทำให้ปากขวดเอียงไม่มากพอจะทำให้เลือดปีศาจที่อยู่ภายในไหลออกมา
                       “เร็วเข้าสิ!” จู่ ๆ เสีย้งนั้นก็กลายเป็นเสียงตะคิกจนบลาส เซจตกใจคว่ำขวดจนเลือดปีศาจทั้งหมดเทพรวดลงไปในถ้วยนั้น   บลาส เซจเบิกตาโพล่งจ้องถ้วยชาที่มีของเหลวสีดำสนิทอยู่เกือบครึ่งถ้วยด้วยความตกใจ “ไม่เป็นไร   เลือดยิ่งเยอะก็ยิ่งได้ผลดี ฮี่ ฮี่ ฮี่!” เสียงกระซิบที่เหมือนจะปลอบใจนั้นจบท้ายด้วยเสียงหัวเราะแหบ ๆ น่าหมั่นไส้ ก่อนจะออกคำสั่ง “เร็วเข้า   ใส่เลือดของเจ้าลงไป”
                       บลาส เซจคว้ามีดปอกผลไม้ปลายแหลมที่วางอยู่ในถาดบนโต๊ะนั้นกรีดที่ปลายนิ้วชี้ข้างซ้ายของตนให้เป็นแผลเล็ก ๆ ก่อนจะบีบเลือดให้หยดลงไปสามหยด   แล้วจึงค่อยยกกาน้ำชาเทน้ำลงไปจนเต็มถ้วย   น้ำในถ้วยแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดและเดือดพล่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนิ่งสงบและกลายเป็นสีน้ำชาดังเดิม
                       “ฮี่! ฮี่! ฮี่! ใช่...ทีนี้ก็ยกไปให้มัน   ไม่เป็นไร...มันไม่ได้กลิ่นเลือดหรอก   เอาสิ! เอาไปให้มัน”
                       บลาส เซจยกถ้วยขึ้นด้วยมือที่สั่นเทายิ่งกว่าเดิม   หากกษัตริย์ซาดินจับได้เสียก่อนจะทำอย่างไรดี   เขาจะถูกประหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยการทรมานจนตายใช่ไหม?   จริงอยู่ที่วิธีทรมานหลาย ๆ อย่างนั้นเขาเป็นคนคิดขึ้น   แต่เขาไม่เคยมีความคิดที่จะอยากเป็นผู้ทดลองเองเลยสักครั้ง
                       “ฮี่! ฮี่! ฮี่! ไม่หรอก   ถึงมันจะจับได้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่   เวลานี้แรงที่มันมีเหลืออยู่ก็แทบจะไม่พอยกแขนสักข้างด้วยซ้ำ   พวกทหารข้างนอกนั่นก็เป็นคนของเราหมดแล้ว   จะกลัวอะไรกัน   เจ้ากลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่? ‘จะทำการณ์ใหญ่ มันต้องมีเสียสละกันบ้าง’  คนที่เคยพูดประโยคนี้หายไปไหนเสียเล่า?” เจ้าเสียงกระซิบที่ชั่วร้ายนั้นอ้างคำพูดที่บลาส เซจเคยใช้ในที่ประชุมเมื่อคราววางแผนบุกทวีปเมอร์รีเซีย หรือก็คือความคิดที่มันแอบหว่านเพาะไว้ในใจของอุปราชเฒ่าเมื่อนานมาแล้วนั่นเอง
                       บลาส เซจสู่หายใจเข้าลึก ๆ พร้อม ๆ กับใบหน้าที่ค่อย ๆ เหี้ยมเกรียมขึ้น   อาการสั่นเทาก็ค่อย ๆ เบาลง   ใช่...ใคร ๆ ก็เสียสละกันมาแล้วทั้งนั้น   ถึงคราวที่กษัตริย์ซาดินเองต้องเป็นผู้เสียสละบ้างแล้ว
                       “ฮี่! ฮี่! ใช่   โดยเจ้าจะเป็นคนมอบเกียรตินี้ให้กับมัน   มันจะต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำ”
                       อุปราชเฒ่าได้ยินดังนั้นก็เริ่มแสยะยิ้มกว้างอย่างชอบใจ   ความกลัวดูจะทุเลาเบาบางลงจนแทบจะไม่มีเหลือ   บลาส เซจถือถ้วยชาพลางใช้มืออีกข้างแหวกม่านเข้าไป
                       “ทำไมถึงช้านัก?!”  กษัตริย์ซาดินทรงพยายามตะเบ็งเสียงด้วยความขุ่นใจพลางเปิดตาขึ้นมองถ้วยชาในมือของอุปราชเฒ่าก่อนจะออกคำสั่ง “พยุงข้าขึ้นสิ!”
                       บลาส เซจแสยะยิ้มร่าพลางค่อย ๆ วางถ้วยชาไว้ข้างเตียงอย่างระมัดระวัง   เสียงนั่นพูดถูก   ดูสิ...แรงที่จะยันตัวขึ้นยังไม่มีเลย   คิดแล้วก็ค่อย ๆ ช้อนล่างกษัตริย์เพลิงขึ้นพลางใช้หมอนสองใบสอดพิงไว้ด้านหลัง   ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของกษัตริย์เพลิงดูจะสร้างความเจ็บปวดให้พระองค์มากทีเดียวเพราะใบหน้าของพระองค์บิดเบี้ยวจนเหยเก   อุปราชเฒ่ายิ้มอย่างมีความสุขหันไปบรรจงหยิบถ้วยชาอย่างระมัดระวังแล้วยื่นส่งให้   คล้ายอยากจะพิสูจน์ให้แน่ใจอีกครั้งว่าพระองค์ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นจริงหรือไม่
                       กษัตริย์ซาดินทรงจ้องตาเขม็งไปยังอุปราชเฒ่า   พระองค์กระหายน้ำจะตายอยู่แล้ว   แต่ดูเหมือนเจ้าอุปราชเฒ่าจะพยายามยียวนกวนโทสะของพระองค์อยู่ตลอดเวลา  กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงแข็งแม้จะทรงอ่อนล้าเต็มที “เอาถ้วยมาจรดที่ปากของข้า!”   
                       บลาส เซจ ยิ้มกว้างด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์   มือที่เหี่ยวย่นค่อย ๆ ยื่นถ้วยชาเข้าไปใกล้   กษัตริย์เพลิงเริ่มมีความลิงโลดเกิดขึ้นในใจ   ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เราเมื่อกระหายน้ำอย่างที่สุดแล้ว   เมื่อเห็นน้ำเพียงถ้วยเดียวก็ตื่นเต้นได้ถึงพียงนี้   ทว่ามันช่างมาถึงริมฝีปากของพะรองค์ช้าเหลือเกิน   ไม่ทันใจเอาเสียเลย   พระองค์ทรงเหลือบตาที่ขุ่นเคืองขึ้นมองอุปราชเฒ่าแล้วก็ต้องชะงักค้าง
                       “เจ้ายิ้มอะไรของเจ้า!”
Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #3 on: August 28, 2007, 02:42:20 AM »

                      ทันทีที่ตรัสดังนั้น   บลาส เซจก็ใช้มืออีกข้างบีบปากกษัตริย์ซาดินอย่างแรงจนพระองค์ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและตกใจ   อุปราชเฒ่าหัวเราะเสียงดังราวกับคนเสียสติก่อนจะเทกรอกน้ำในถ้วยลงไปในปากของกษัตริย์เพลิงทันที   กษัตริย์ซาดินเบิกตาโพล่งด้วยความตื่นตระหนก   ทรงเหวี่ยงแขนข้างหนึ่งขึ้นคว้าแขนข้างที่ใช้บีบปากของพระองค์   ความแสบร้อนของน้ำในถ้วยเผาผลาญปากและลำคอของพระองค์จนต้องสำลัก   อุปราชเฒ่าโยนถ้วยเปล่าทิ้งก่อนจะใช้มือข้างนั้นจับหลังศีรษะของกษัตริย์เพลิงในขณะที่มืออีกข้างที่ใช้บีบปากก็เลื่อนมาปิดที่ปากแทน   บลาส เซจเขย่ากษัตริย์ซาดินไปมาอย่างแรงตะคอกใส่อย่างคลุ้มคลั่ง
                      “กลืนลงไป! กลืนลงไปสิ!”
                      บลาส เซจยังคงเขย่าอยู่อย่างนั้นอีกสองสามครั้ง   จนเมื่อเห็นว่ามือทั้งสองข้างของกษัตริย์ซาดินห้อยตกอยู่ข้างเตียงพร้อมกับดวงตาที่เบิกโพล่งเหลือกลานคล้ายกับคนเห็นสิ่งที่น่ากลัวสุดขีด   อุปราชเฒ่าก็ตกใจกลัวรีบปล่อยมือทั้งสองข้างกระโจนลงจากแท่นบรรทมพลางถอยกรูดไปยืนอยุ่ปลายแท่นบรรทม   บลาส เซจหอบหายใจแรงด้วยทั้งความเหนื่อยและหวาดหวั่นจนเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น   ดวงตาเบิกกว้างแทบจะไม่ต่างกับดวงตาของกษัตริย์ซาดินที่นอนแน่นิ่งอยู่บนแท่นบรรทมนั้น
                      แต่แล้วจู่ ๆ ร่างทั้งร่างของกษัตริย์ซาดินก็กระตุกขึ้นอย่างแรง  เสียงหัวเราะลั่นและหวีดร้องด้วยภาษาที่ไม่อาจเข้าใจก็ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทางภายในห้องนั้น   ประสานกับเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดราวกับสัตว์ป่าก็ดังออกมาจากปากของกษัตริย์ซาดิน   มือทั้งสองข้างของพระองค์หยิกเกร็งจนสั่นเทิ่ม   ขาทั้งสองข้างถีบไปมาราวกับได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส   หลังของพระองค์แอ่นโค้งขึ้นราวกับจะหักเสียให้ได้   ลำตัวของพระองค์ตั้งแต่ช่วงอกจนถึงหน้าท้องบวมพองขึ้นอย่างน่ากลัวจนเหมือนมนุษย์ที่โตเต็มวัยสามารถเข้าไปนอนขดอยู่ในนั้นได้   ผ้าพันแผลที่พันไว้อย่างลวก ๆ นั้นขาดกระจาย   บลาส เซจ ถึงกับเข่าอ่อนและมีอาการสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนก   อุปราชเฒ่ามองไม่เห็นใบหน้าของกษัตริย์ซาดิน   แต่เห็นเพียงศีรษะที่สะบัดไปมาอย่างแรงสลับกับเสียงร้องโหยหวนของพระองค์
                      “ไอ้คนทรยศ   ข้าของสาปแช่งเจ้า อ๊ากกกกกกกก!”
                      กษัตริย์ซาดินตะโกนสุดเสียงก่อนที่ร่างจะล่วงลงกระแทกกับแท่นบรรทมอย่างแรงและแน่นิ่งไป   ร่างกายของพระองค์ค่อย ๆ ยุบและคลายอาการแข็งเกร็งลง
                      เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง   บลาส เซจยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ปลายแท่นบรรทมอยู่อีกเป็นเวลานาน   จนกระทั่งเขาแน่ใจจริง ๆ ว่าทุกอย่างสงบลงอย่างสิ้นเชิงจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและขยับเข้าไปใกล้กษัตริย์ซาดินอย่างช้า ๆ   เขากวาดสายตามองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของพระองค์ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปที่ใบหน้าอันขาวซีด   ริมฝีปากของพระองค์เผยอขึ้นเล็กน้อย   ดวงตาไร้แววมองจ้องเพดานนิ่งไม่กระพริบตา   อุปราชเฒ่าโบกมือไปมาผ่านดวงตาของกษัตริย์เพลิง   แต่ไม่มีอาการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้นจนดูราวกับซากศพ   มีเพียงหน้าอกที่กระเพื้อมขึ้นลงเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่ายังเป็นร่างที่มีชีวิตอยู่
                      “ต่อไปนี้   พระองค์จะเชื่อฟังข้าพระองค์แล้วใช่ไหม?” บลาส เซจถามเสียงเบาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
                      “ข้าจะเชื่อฟังเจ้า” ร่างของกษัตริย์ซาดินพูดตอบช้า ๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉยดังเดิม
                      “หึ! หึหึ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”  อุปราชเฒ่าหัวเราะในลำคอก่อนจะกลายเป็นหัวเราะลั่นจนสุดเสียง


   s

                         “ใครสั่งให้เจ้าทิ้งกองทัพ แล้วกลับมาที่นี่!” บลาส เซจจ้องหน้าจอมทัพราโชยู ตะคอกถามเสียงกร้าวด้วยความเดือดดาล   ก็จะไม่ให้เคืองโกรธได้อย่างไร   ในเมื่อจู่ ๆ ทหารก็เข้ามาแจ้งการมาถึงของจอมทัพทมิฬ   เพียงหนึ่งวันหลังจากที่เขาจัดการกับกษัตริย์ซาดิน   ทำไมจะต้องมีเสี้ยนหนามมาเป็นอุปสรรคกับแผนการณ์ของเขาอยู่เรื่อย
                      จอมทัพร่างยักษ์มองหน้าอุปราชเฒ่านิ่ง ๆ พยายามสะกดความโกรธที่วิ่งลิ่วขึ้นมา   สายตาเบนไปพิจารณาร่างที่นอนนิ่งอยู่บนแท่นบรรทมหลังผ้าม่าน   เขาพยายามพินิจพิเคราะห์ร่างที่นอนหายใจแผ่ว ๆ อยู่หลังม่านอย่างตั้งใจ
                      “ว่าอย่างไรเล่า?” อุปราชเฒ่าเร่งด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง   แต่เมื่อมองเห็นสายตาของจอมทัพร่างยักษ์จึงรีบกล่าวต่อ “แล้วเจ้าถือดีอย่างไรถึงไม่ยอมถวายบังคมฝ่าบาท”
                      แม่ทัพใหญ่เลื่อนสายตากลับมาจ้องตอบอุปราชเฒ่า “ข้ากลับมาเพราะท่านส่งสารไปแจ้งว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่   แต่ที่ข้ารู้คือ ฝ่าบาทโดนลักพาตัวและหายไปอย่างไร้ร่องรอย   การที่พระองค์หายตัวไปเช่นนั้นทำให้ทหารทั้งกองทัพระส่ำระสายและขาดขวัญกำลังใจอย่างมาก   ดังนั้นเมื่อจู่ ๆ ท่านก็บอกว่าพระองค์อยู่กับท่าน   ก็เป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องมาดูให้เห็นด้วยตาของตัวเองว่าฝ่าบาททรงอยุ่ที่นี่จริงหรือไม่   เพื่อจะได้กลับไปบอกเหล่าทหารได้เต็มปากว่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดีแล้ว   และข้าจะทำความเคารพก็ต่อเมื่อข้าเห็นว่านั่นเป็นฝ่าบาทจริง ๆ”
                      อุปราชเฒ่าหรี่ตาแคบจ้องตอบแม่ทัพร่างยักษ์อยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มกว้างพลางหันไปโค้งที่หน้าม่านกั้น
                      “ฝ่าบาท   แม่ทัพราโชยูอุตส่าห์ทิ้งหน้าที่มาเพื่อขอดูให้เห็นกับตาว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่จริงรึไม่   ข้าพระองค์ขอประทานอนุญาตเปิดม่านให้แม่ทัพขี้สงสัยผู้นี้ได้เห้นหน่อยจะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”  บลาส เซจ ถามอย่างนอบน้อม
                      “ได้สิ บลาส เซจ” กษัตริย์ซาดินตรัสเสียงเรียบ
                      บลาส เซจยิ้มร่าพลางรูดม่านเห็บไปข้างหนึ่ง   แม่ทัพราโชยูกวาดตามองกลับไปกลับมาตลอดร่างและใบหน้าอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจ   พระพักตร์ของพระองค์ดูซีดเซียว   บาดแผลต่าง ๆ ตามร่างกายก็ถูกผ้าด้วยผ้าพันแผลสะอาดอย่างเรียบร้อย
« Last Edit: August 28, 2007, 02:43:55 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #4 on: August 28, 2007, 02:43:26 AM »

                     “ยังไงล่ะ?   เจ้าดูพอใจรึยัง?   ทีนี้จะถวายบังคมฝ่าบาทได้รึยัง?” อุปราชเฒ่าถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นต่อ
                     “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ   โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมที่บังอาจไม่ถวายบังคมฝ่าบาทตั้งแต่แรก   กระหม่อมช่างโง่เขลานักที่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์เองที่ประทับอยู่” ราโชยูคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับโค้งศีรษะลง
                     “ถูกแล้ว   เจ้าน่ะช่างเบาปัญญา   คิดว่าข้าแต่งสารโกหกไปหลอกเจ้า   ซ้ำยังทิ้งหน้าที่ของกองทัพมาอีก   โทษของเจ้ามันสมควรจะโดนประหารจริง ๆ” บลาส เซจกล่าวพลางกระหยิ่มยิ้มย่องโดยมีสายตาที่เอาเรื่องของแม่ทัพร่างยักษ์จ้องเขม็งมาทางตน “แต่ฝ่าบาททรงมีเมตตา   เพื่อเห็นแก่ความดีที่เจ้าเคยทำ   เจ้าหน่ะยังมีประโชยน์กับกองทัพ   จะรีบประหารก็น่าเสียดาย    พระองค์คงจะอภัยให้กับความผิดครั้งนี้ใช่มั๊ยพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาท?”
                     “ใช่แล้ว บลาส เซจ” กษัตริย์ซาดินตรัสตอบ
                     “ขอบพระทัย ฝ่าบาท” แม่ทัพราโชยูขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจที่ฝ่าบาทยอมเลิกลาง่าย ๆ และยิ่งประหลาดใจในท่าทีของอุปราชเฒ่ายิ่งกว่า   แต่การละเว้นโทษตายก็ย่อมดีกว่าการตัดสินตามท่าทีปกติของคนทั้งคู่   
                     “ฝ่าบาทคงอยากจะพักผ่อนแล้ว   เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เองนะพ่ะย่ะค่ะ”
                     “ถูกแล้ว   ข้าอยากจะพักผ่อน   เจ้าจงจัดการตามที่เห็นสมควรได้ทันที” กษัตริย์ซาดินตรัสจบก็ทรงปิดเปลือกตาลงทันที   
                     “ขอบพระทัยฝ่าบาท” บลาส เซจยิ้มร่าพลางปลดผ้าม่านกลับลงมาตามเดิม   อุปราชผายมือนำจอมทัพราโชยูออกมาที่ห้องรับรองใหญ่คล้ายกับไม่ออกให้เสียงคุยดังรบกวนกษัตริย์ซาดิน
                     “ข้าขอขอบคุณที่อุตส่าห์พูดขออภัยโทษให้ข้า   และขอโทษที่เข้าใจท่านผิด” จอมทัพทมิฬเอ่ยขึ้นแม้จะยังรู้สึกเคลือบแคลงในท่าทีของอุปราชเฒ่าอยู่   
                     “ไม่เป็นไร   เจ้าก็คงได้ยินแล้ว   พระองค์ทรงมอบหมายให้ข้าจัดการเรื่องต่าง ๆ ตามที่เห็นสมควร   จงกลับไปที่แนวหน้าแล้วไปบอกพวกทหารถึงสิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยิน   แล้วข้าจะส่งสารไปสั่งการเจ้าโดยเร็วที่สุด   เออ...ข้าหมายถึงถ่ายทอดคำสั่งฝ่าบาทให้เจ้าอีกที” อุปราชเฒ่ากล่าวตอบ
                     จอมทัพราโชยูจ้องหน้าอุปราชเฒ่านิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังและออกก้าวเดิน
                     “ท่านอุปราช   ข้ามีข้อสงสัยอยู่สองสามเรื่อง” จอมทัพร่างยักษ์หยุดเท้าและหันกลับมาหา
                     “เรื่องอะไร?” บลาส เซจถามกลับแทบจะทันที
                     “ท่านเป็นคนส่งเจ้าปีศาจนั่นไปพาตัวฝ่าบาทมาที่นี่รึ?”
                     “ใช่   ข้าหมายถึงแบล็ค ไวเซอร์เป็นคนเรียกมันมา   เจ้านั้นมันมีวิชาอาคม   เจ้าก็รู้ใช่ไหม?” อุปราชเฒ่ารีบพูด   แต่แท้จริงแล้วเป็นท่านอวารูเซจต่างหากที่สั่งปีศาจโฟนอสไปพาตัวกษัตริย์ซาดินมาให้
                     จอมทัพทมิฬเบ้ปาก เลิ่กคิ้วขึ้น พลางพยักหน้าหงึก ๆ กว้างตามองหาพ่อมดดำ “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ?”
                     “ก็อยู่ที่ค่ายคอยเร่งผลิตทหารผีดิบอยู่น่ะสิ   เจ้าถามทำไม?”
                     “ก็เปล่าหรอก   ข้าก็ถามเฉย ๆ เพราะไม่เห็นเขาที่นี่   แล้วนี่ฝ่าบาทต้องใช้เวลาพักรักษาตัวนานไหม?” จอมทัพทมิฬทำหน้าพยักเพยิดไปทางห้องบรรทม
                     “ข้าไม่รู้   ข้าไม่ใช่หมอ   ถ้าพระองค์อาการดีขึ้นข้าจะส่งสารไปบอกเจ้าเอง   ไปได้แล้ว” บลาส เซจเอ่ยเป็นเชิงไล่เพราะแม่ทัพร่างยักษ์ถามเข้าใกล้จุดอันตรายมากเกินไป   เขาจะตอบได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่ได้ให้ใครมารักษากษัตริย์ซาดินเลย   เพียงแต่พันร่างกายด้วยผ้าพันแผลไว้เฉย ๆ   ก็ในเมื่อมันไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว...จะรักษาไปทำไม   คิดได้ดังนั้นก็แสยะยิ้มกว้างมองตามหลังชายร่างยักษ์ที่เดินออกจากกระโจมไป


Logged


Little Lamb, the Little Angel
Administrator
Member
*****
Offline Offline

Gender: Female
Posts: 5087


Email
« Reply #5 on: August 28, 2007, 02:44:23 AM »

มาเม้าที่นี่ก๊าบบบบ


http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=32817.0
« Last Edit: August 28, 2007, 02:46:59 AM by Little Lamb, the Little Angel » Logged


Pages: [1]
  Print  
 
Jump to:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2015, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Page created in 0.162 seconds with 22 queries.