Crisis Valkyrie Extended
…………………..
ทวีป เมอริเซีย
…………..หลังการณ์สถาปนา นครมิราบิลิส ขึ้นเป็นราชอาณาจักรที่ 5 แห่งเมอริเซียได้เพียง 3 ปี
และเป็นการสงบศึกระหว่างอาณาจักรทั้ง 4 (Four Kingdom) ด้านการเมืองการสงครามและเศรษกิจ
นั้น ต่างฝ่ายต่างยังอยู่ในช่วงฟื้นฟู ขณะที่ ศึกจากภายนอกทวีป ได้เข้ามาเยือน
เมื่อเกิดการล่าอาณานิคม ขึ้นจาก บรรดา ประเทศในทวีป อื่นๆ
ทั้ง จาก อาริมาเทีย ดิสอาปจูร่า เลาดิเชีย มิสรายิม ประเทศอาณานิคม ที่มาจาก ทวีป 4 ทวีปนี้
ได้ทำสงครามกันเพื่อจะยึดครองชัยภูมิ ที่สำคัญหรือก็คือ เมอริเซีย ทวีปอันเป็น ศูนย์กลางแห่งเทอร่า
การยึดครอง เมอริเซีย ได้ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางกว้างออกไปสู่การเข้ายึดอาณานิคม อื่นๆทั้งหมดได้ในทันที
ด้วยเหตุนี้ เมอริเซีย บัดนี้จึงกลายเป็นสนามรบของ การแก่งแย่งแผ่นดิน จาก อาณานิคมต่างๆ
สงครามดำเนินยาวนานเป็นเวลานับ 10 ปี และจบลงด้วยการล่มสลายของ เมอริเซีย ประชากร
ในทวีปแตกกระเซอะกระเซิงไปคนละทิศคนละทาง ผืนแผ่นดินในทวีปถูกปิดล้อมด้วย กำแพงคลื่นพลังงาน
อันทรงพลังจาก การทำสงคราม และกลางเป็นแผ่นดินรกร้างไปในที่สุด
……………..
หลังจากการล่มสลายของ เมอริเซีย อาณานิคม ต่างๆเริ่มเห็นพ้องกันว่าการทำสงครามต่อไป ก็รังแต่จะสร้างความเสียหายที่ไม่อาจเรียกกลับคืนให้แก่กัน จึงได้รวมตัวกันทำสนธิสัญญาว่าจะเลิสงครามซึ่งกันและกัน ทว่าพวกกลุ่มหัวการเมืองรุนแรง และ พวกพ่อค้าอาวุธสงคราม ไปจนถึงองค์กรก่อการร้ายต่างๆนั้น
ย่อมไม่พอใจและเห็นด้วยกับสนธิสัญญานี้ ดังนั้นแม้สนธิสัญญาจะมีการบังคับใช้แล้วก็ตาม
แต่ทว่า ประเทศในบางอาณานิคม ก็ยัง คงทำสงครามกันภายในประเทศ หรือข้ามประเทศ กันอยู่
ในขณะที่ประเทศใหญ่ๆซึ่งมีขุมกำลังอำนาจก็จะพยายามกีดกันตัวเองจากความขัดแย้งเหล่านั้น
บางประเทศก็หาผลประโยชน์กับสงคราม ในประเทศ อื่น
เวลาผ่านไปนับ 200 ปีทว่ากลับไม่มีใครแลเหลียว ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะสงครามเลย
บรรดาประชาชนชาวเมอริเซีย ที่สูญเสียแผ่นดินเกิดลูกหลานของพวกเค้าก็ต้องออกมาดิ้นรน
เอาชีวิตรอดในต่างแดน ทั้งยังถูกกดขี่ข่มเหงสารพัดสารพันธ์ เช่นเดียวกับชนชาติอื่นๆที่แพ้สงครามให้กับ
อาณานิคมที่กล้าแข็งกว่า เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้ มนุษย์เรียนรู้อะไรขึ้นเลย พวกเค้ายังเพิกเฉยกับสงคราม
เหมือนที่ผ่านๆมา
………………………………
…………………………………………….
EX 01 คมดาบของพระองค์…
แดดอ่อนในยามเช้าส่องกระทบลงมาที่ชายคาบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆของตัวบ้านซึ่ง
มีรั้วกั้นอาณาบริเวณไว้ เช่นเดียวกับบ้านหลังอื่นๆ ที่ปลูกตั้งเรียงราย กันไปเต็มสองฝั่งถนน
ลักษณะการจัดวางผังเมืองเป็นแบบหมู่บ้านในเขตชานเมืองหรือชนบท เสียงนกร้องที่ดังขึ้นในรุ่งสางนี้
เป็นดังบทเพลงขับกล่อมเพื่อปลุกผู้หลับไหลให้ฟื้นจากนิทรา และเริ่มกิจวัตรประจำวันของตน
สายลมหนาวได้พัดผ่านผ้าม่านสีชมพูริมหน้าต่างบ้านหลังหนึ่งผืนผ้าม่านปลิวพริ้วไสวไปกับสายลมโบก
ก่อนจะโรยตัวลงแนบชิดติดกันเหมือนเดิม ก่อนที่มือซึ่งมีผิวขาวนวลจะชักกางใบผ้าม่านรูดไปราวกับ
เพื่อบังแดดที่ส่องเข้ามา
“ เช้าวันนี้อุณหภูมิ จะลดลงตั้งแต่…. ”
เสียงรายงานพยากร์อากาศดังขึ้น จากลำโพงเครื่องรับสัญญาณวิทยุ ที่ตั้งอยู่บน
โต๊ะไม้ข้างหัวเตียง และที่เตียงนั้น ร่างของหญิงสาวผมยาวสลวยสีทอง ซึ่งยุ่งกระเซิง
ในชุดนอนสีชมพูลายดวงดาว กำลังนอนอย่างสบายอารมณ์ ริมฝีปากอันอิ้มเอิบของเธอนั้น
เปื้อนคราบน้ำลายที่ไหลเยิ้มไปจนถึงแก้มซ้าย โดยรวมแล้วเธอก็ดูเหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วๆไป
เพียงแต่ใบหูของเธอกลับเป็นหูของสัตว์จำพวกแมวปกคลุมด้วยขนสีดำ ที่ทำให้เธอดูแปลกไปจากทุกคน
“ พี่ครับ….พี่นี่เช้าแล้วนะครับ…ตื่นเถอะครับพี่ซาน ”
เสียงปลุกจากเด็กหนุ่มผมที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างห้อง ดังขึ้นเค้าเองก็มีใบหูเยี่ยงสัตว์ป่าเช่นเธอแต่คราวนี้
มันเป็นใบหูของสุนัขป่า หนุ่มน้อยผู้มีดวงตาแสนอ่อนโยน ผมสีดำคลับและเรียบมันเพราะถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ
และเสื้อเชิตสีขาวสวมทับด้วยสูทแขนยาวสีน้ำเงิน เดินตรงเข้ามาแตะเนื้อต้องตัวเธอ อย่างไม่รู้สึกกระดากกระด้างอะไร
เค้า เขย่าร่างของเธอ เบาๆเพื่อที่จะปลุกให้เธอตื่น
“ งืมๆ.....ขออีก 5 นาทีนะ เฟนท์ … ”
เธอครางเบาๆด้วยความงัวเงียก่อนจะพลิกตัวหนีน้อองชายของเธอ
“ พี่ซานครับ…พี่ขอตั้งแต่ที่ผมขึ้นมาปลุกรอบแรกแล้วนะ ไม่รีบตื่นเดี๋ยวก็ไปสายหรอกครับพี่ซาน ”
น้องชายของเธอ แย้งพลางดึงแขนเธอเพื่อจะดึงให้เธอตื่น แต่สุดท้ายไม่ว่าจะตื้อเท่าไหร่ เธอก็ไม่ยอมตื่น
ซักที จนเค้าต้องยอมแพ้
“ เฮ้อ~ พี่เนี่ย…งั้นผมไปก่อนนะ… ”
น้องชายของเธอ เปรยอย่างเซ็งๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ งืมๆ…พุดดิ้งจ๋า~~ ”
และแล้วเธอก็ถูกทิ้งให้นอนอยู่ในห้องตามลำพัง
……………………………..
ที่ชั้นล่างของบ้านตรงหน้าบานประตูไม้ขัดสีขาว เฟนท์ กำลังยัดเท้าตัวเองลงไป
ในรองเท้าผ้าใบสีดำ ก่อนจะผูกเชือกรัดให้แน่น
แล้วจึงลุกขึ้นยืนเพื่อเคาะเท้าดูว่าแน่นดีแล้วหรือไม่ จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเป้สีดำขึ้นสะพายหลัง
แต่ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปเค้าหันกลับเข้ามาในบ้านแล้วตะโกนขึ้นมา
“ พี่ซาน คร้าบบบบ ถ้าไม่รีบจะไปสายนะคร้าบบบ!! ”
เฟนท์ ตะโกนก่อนจะปิดประตุบ้านแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่ประตูรั้ว ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปตามถนน เค้าหันกลับ
ขึ้นไปมองยังบานหน้าต่างชั้นสองของบ้าน
“ พี่ซานคงตื่นแล้ว…มั้ง ”
เฟนท์ พูดกับตัวเองก่อนจะออกเดินไปโดยไม่หันกลับมาสนใจ พี่สาวของตนที่
ตอนนี้ก็ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง
“ งืม~…พุดดิ้งเต็มไปหมดเยย มากินด้วยกันน้า…เรกกะ~~ ”
………………………………….
………………………………………………………….
เฟนท์ วิ่งไปตามทางเท้าบนถนนที่ทอดยาวเข้าไปสู่ตัวเมือง ระหว่างทางคนที่เดินสวนมาก็ทักทายเค้าอย่างสนิทสนม
เค้าเองก็ทักทายตอบกลับไปด้วยอัธยาศัยที่ดี
“ อรุณสวัสดิ์จ้า แหม เฟนท์ วันนี้ออกแต่เช้าเลยนะ ”
“ อรุณสวัสดิ์ครับคุณยาย ”
“ อ้าวๆ ไม่ต้องรีบวิ่งขนาดนั้นก็ได้เดี๋ยวก็หกล้มกันพอดี ”
“ อ๋อ ครับขอบคุณที่เป็นห่วงฮะ ”
ระหว่างทางที่เค้าวิ่งผ่านไปก็จะมีคนรู้จักเข้ามาทักทายอยู่ตลอดจนเมื่อ เข้าสู่ตัวเมืองแล้ว
ก็จะไม่มีใครทักทายแบบเมื่อรู่นี้อีก เพราะกิจวัตรของผู้คนในเมืองนั้น เร่งรัดกับเวลา
เอามากๆ ทุกคนจึงแทบไม่มีเวลาจะมามองหน้าหรือทักทายใคร
แต่ตัว เค้าเองก็ไม่ได้หวังให้ใครมา ทักทายไปตลอดทั้งทางี่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่กันขนาดนี้เพราะไม่อย่างนั้น
ทุกคนก็คงไม่เป็นอันต้องทำอะไรกันพอดี รวมถึงตัวเค้าเองก็จะสายด้วย
ย่างก้าวแรกที่เข้ามาในตัวเมืองนี้ เค้าค่อยๆลดฝีเท้าลง และเปลี่ยนเป็นเดินแทน เพราะผู้คนบนทางเท้าเริ่มมาก
ขึ้นเรื่อยๆและถนน หนทางก็เต็มไปด้วย ยวดยานพาหนะ ต่างๆ เฟนท์ เดินมาจนถึงทางแยกเลี้ยวเข้า
ซอยแห่งหนึ่ง เค้าเดินเข้าไปในซอยนั้น ภายในระแวกแทบจะไม่มีผู้คนเดินผ่านเลย ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบกว่า
ถนนหลักข้างนอกนั่นเสียอีก และในระแวกนี้ นานๆทีจึงจะมี รถผ่านมา เข้าจึงเริ่มวิ่งเหยาะๆอีกครั้ง
เค้าวิ่งไปตามทางในซอย ก่อนจะมาหยุดที่หน้าประตูร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนทางสามแพ่ง
ซึ่งป้ายร้านเขียนว่า ร้านเค้ก Happy Material
เฟนท์ เดินไปเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะมีเสียงตะโกนดังตอบกลับมา
“ อ๊า~~ เฟนท์ นายมาแล้วเหรอ แปปนะ ฉันเกือบเสร็จแล้วล่ะ..หวา~~~ ”
“ เรกกะ อันนั้นไม่ใช่รองเท้านะ รองเท้าน้องอยู่นี่ต่างหาก ”
“ เหวอ! แล้วนี่มันอะไรครับ เนี่ย แว้กก!! ”
“ ว้าย เรกกะ อย่าเหยียบสินี่มันเป็นถุงแป้งรูปรองเท้านะ…ว้ายแป้งฟุ้งไปหมดแล้ว ”
โครมๆ คราม ตึงๆ ตุบ
ขณะที่ยืนรออยู่หน้าประตูร้านนี้ เสียงอึกทึกครึกโครม บ่งบอกถึงความวุ่นวายภายใน
ก็ดังมาไม่มีขาดสาย ก่อนที่เสียงจะเงียบไป ซักครู่ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า เรื่องข้างใน
คงจะจัดการเสร็จแล้ว ไม่นานประตูร้านก็เปิด ออกพร้อมกับรอยยิ้มแก้เขิน
ของเด็กหนุ่มผมสีทองทรงชี้แหลมและมีปลายผมที่โง้งขึ้นเพราะการหวีแบบตวัดปลาย
ในชุดเครื่องแบบนักเรียน เช่นเดียวกับเค้า
“ โทษนะ เฟนท์ พอดีวุ่นไปหน่อยก็เลย ต้องให้นายรอซะนานเลย~ ”
เด็กหนุ่ม เอ่ยปากขอโทษอย่างเก้ๆกังๆ
“ เอ่อ…ไม่เป็นไร ยังไงก็เจอแบบนี้ทุกเช้าอยู่แล้วหล่ะ ”
เฟนท์ ตอบก่อนที่พวกเค้าจะกล่าวลา พี่สาวของ เรกกะ แล้วจึงเดินไปด้วยกัน
ระหว่างทางก็คุยเรื่องสัพเพระ ไปตลอดทาง
“ นี่ๆ เฟนท์ เมื่อวานนายได้ดู แรทโตะเรนเจอร์(Rato Ranger) หรือเปล่าหุ่นรบสุดยอด ไดอาแมนคริสโตะ
ออกมาแล้วนา อย่างเท่ห์เชียวล่ะ ”
“ อ๋อ ที่รวมร่างสุดยอด กันระหว่างเทพมังกรทั้ง 6 น่ะเหรอ เจอแบบนั้นเข้าไปพวก
วอลซาร์ด แพ้ยับไม่เป็นท่าเลยล่ะ ”
ทั้งสองคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ตลอดทางที่เดินไป จนเมื่อเดินผ่านหน้าร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แห่งหนึ่ง
ซึ่งตั้งเครื่องรับสัญญาณภาพและเสียงเอาไว้ที่ตู้กระจกหน้าร้าน ภาพและเสียงของผู้บรรยายข่าวที่ปรากฏอยู่นั้น ทำให้
เฟนท์ หยุดชะงักไป
“ เมื่อ คืนวานนี้ มหาสังฆราช มาเวล ที่ 13 แห่งจักรวรรดิ์ มาอิล ผู้คุมอำนาจฝ่ายใต้ของ
สหราชอาณาจักรซีราในทวีปเลาดิเชีย ได้ประกาศชัยชนะต่อการยึด นครเยรซาเลม จาก จักรวรรดิ์ ลาเดีย
รายงานสภาพการณ์ใน สหราชอาณาจักรตอนนี้ ยังคงอยู่ในความไม่สงบ จำนวนผู้เคราะห์ร้ายมีมากขึ้น
เรื่อยๆ…. ”
รายงานข่าวนี้ เฟนท์ จ้องมองมันด้วยดวงตาท่ายความเศร้าหมองออกมา ขณะเดียวกัน
เรกกะ กลับส่งสายตาไม่พอใจให้กับข่าวที่ได้รับนี้
“ พวก จักรวรรดิ์ คิดจะรบไปถึงไหนกันนะ ปากอ้างศาสนาอ้างพระเจ้า
แล้วก็ไปฆ่าพวกที่ไม่เห็นด้วย ซักวันเถอะพระเจ้าจะลงโทษเอาหึ! ”
เรกกะ บ่นเสียงขุ่นกับเหตุการณ์บ้านเมืองในต่างแดน ที่ห่างไกลจากที่พวกเค้าอยู่นี่มากนัก
“ พระเจ้าน่ะ….ไม่มีจริงหรอก…. ”
เฟนท์ เปรยเสียงแผ่วขึ้นมา ทำเอา เรกกะ หันไปมองด้วยสายตาแปลกๆ
กับคำพูดของเค้า
“ ถ้าพระเจ้ามีจริงสงครามพวกนี้…ก็คงจะไม่เกิดขึ้นหรอก ”
เฟน เอ่ย ริมฝีปากสั่น เค้ากำหมัดแน่นเสียจนข้อมือซีดขาว ราวกับโกรธแค้น อะไรบางอย่างอยู่
เรกกะ ที่เห็นเช่นนั้น จึงเอื้อมมือไปแตะ ไหล่เค้า ก่อนจะพูดขึ้น
“ ไม่เอาน่า…รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวได้เข้าเรียนสายกันพอดี ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะชักลากชักจูงให้เค้าเดินตามไป
{ เรกกะ…ขอบใจนะ…เพราะมีนายฉันถึง… }
เฟนท์ คิดในใจเค้ารู้สึกขอบคุณ เรกกะ ที่ช่วยดึงเค้าออกจากความหมองหม่นในใจ รายงานข่าวเกี่ยวกับสงคราม
นั้นทำให้หัวใจของเค้าเจ็บปวด เพราะตัวเค้า เป็นลูกหลานชาวเมอริเซีย สงคราม ทำให้แผ่นดินเกิดของ
เค้าต้อง สูญสิ้นและถูกลืมตัวตนของการมีอยู่ ชาวเมอริเซียได้กลายเป็นกลุ่มบุคคล
ที่ถูกลืมเลือนจาก ประชาคมโลก เพราะในการเจรจา สนธิสัญญา ต่างๆของ ประชาคมโลก เมอริเซีย
ไม่มีตัวแทนที่จะเข้าร่วมในการ ลงนามสนธิสัญญา ดังนั้น พวกเค้า จึงเป็นแรงงานที่ไม่มีกฏหมายคุ้มครอง
ในบางประเทศ ถึงกับมีการใช้แรงงาน ชาวเมอริเย อย่างหนักถึงตาย และ บางประเทศก็ทำการทดลองผิดอย่างศีลธรรม
กับมนุษย์หรือ ครึ่งเผ่าพันธุ์สมิง อย่างพวกเค้า ได้ลงคอ ที่จริงแล้ว อะไรก็ตามที่มีความคล้ายคลึงมนุษย์
และถูกเป็นชาวเมอริเซีย ก็แทบจะถูกกระทำแบบนี้ทั้งนั้น
ในบางประเทศ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้บ้าง ด้วยการให้ความคุ้มครองแก่พวกเค้าแต่ก็ยังคง
กดขี่พวกเค้าให้เป็นแรงงานต่อไป ด้วยการออกกฏห้าม ชาวเมอริเซีย รับราชการ หรือเข้ารับการศึกษา
บีบให้พวกเค้าเป็นทาสเพียงอย่างเดียว แต่ที่ตอนนี้ ที่เค้าอยู่คือ โลกอส(Logos) ประเทศซึ่งเปิดเสรี
ไม่แบ่งแยกและให้โอกาส แก่ชาวเมอริเซีย อย่างเท่าเทียม แม้ว่าการกระทำนี้จะทำให้ โลกอส
ดูเป็นประเทศที่มีคุณธรรม แต่นั่นก็แลกมาด้วยการที่ต้องถูกประเทศอื่นเพ่งเล็งว่า แย่งแรงงานพวกเค้า
หรือโดนดูถูกว่ายอมให้กับพวกต่ำต้อย แต่ด้วยแสนยานุภาพสูงสุดของ ประเทศแห่งนี้ ซึ่งมี เจ้าหญิงมาเรียลูส
เป็นผู้สำเร็จราชการทรงปกครองประเทศอย่างเป็นเอกเทศ โลกอส มีกำลังทางการทหารที่นับได้ว่าสูงล้ำกว่า
อาณานิคมระดับกลางๆอยู่มาก
แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนฐานของอุดมการณ์ที่ว่า “เราจะไม่รุกรานใคร และ จะไม่ยอมให้ใครมารุกรานเรา”
…………………….
………………………………….
โรงเรียน St. Mugnagus
เป็นโรงเรียน ที่ทางโบถส์ St. magnus ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนสหภายในประเทศอันสุขสงบ
จากภัยสงครามอย่างโลกอส นี้ ซึ่งที่นี้เน้นหลักการสอนให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยก ลูกหลานชาวเมอริเซีย
ที่เข้าเรียนที่นี่จะเยอะเป็นพิเศษ และด้วยกฎหมายคุ้มครองสิทธิของทุกคนอย่างเท่าเทียม จึงไม่มีการเหยียด ชนชั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะพระมหากรุณา ของเจ้าหญิง มาเรียลูส (Marialust) ผู้สำเร็จราชการปกครองแคว้นนี้อย่างเป็นเอกเทศ พระองค์ทรงมีพระเมตตา ทรงห่วงใยราษฎร ทั่วหล้าโดยไม่แบ่งแยก ชาวเมอริเซีย ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์ถึงกับพูดเป็น เสียงเดียวว่าพระองค์คือ
เจ้าหญิงอลาน่า(Alana)ที่อวตารลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ อีกครา
………………………………………….
…………………………………..
“ คนต่อไป เรกกะ(Recca) เธอช่วยอ่านบทคัดย่อที่สามของหน้านี้ทีนะ ”
เสียงของอาจารย์ ดังขึ้นก่อนที่ เรกกะ ยืนขึ้นขณะที่ยกเล่มหนังสือปกอ่อน สีฟ้าซึ่งมีตรา นกพิราบขาว
แห่งสันติภาพ ประทับอยู่ที่หน้าปก ตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นี้ แม้จะดูปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ทว่าเมื่อจ้องมองให้ ลึกลงไป
จะพบว่ามี ก้อนตะกอนอะไรบางอย่างฝังลึกอยู่ในแก้วตา ทำให้ตาดวงนั้นไม่สามารถมองเห็นได้
“ หลังจากการเข้ารับราชการ องค์หญิง มาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส ให้เปิดประเทศ โลกอส เป็นเสรี
ไม่ขึ้นกับใคร และดำรงอยู่บนรากฐานแห่งการอยู่ร่วมกัน… ”
เรกกะ อ่านบทความที่เขียนอยู่ในหนังสือ อย่างช้าๆและชัดให้ทั้งห้องฟัง ก่อนที่จะนั่งลง
“ เฟนท์ ต่อไปตาเธออ่าน แล้ว ”
อาจารย์ผู้สอน หันมามอง เฟนท์ ที่ตอนนี้กำลังเลิ่กลั่กอยู่กับหน้าหนังสือของเค้า
{ ย…แย่ล่ะสิ มัวคิดอะไรเพลินอยู่ก็เลยไม่ได้ฟังเลย เรกกะ นายอ่านถึงหน้าไหนแล้วเนี่ย }
เฟนท์ นึกในใจขณธที่ควานเปิดหน้าหนังสือไปมา จนเมื่อ อาจารย์ เร่งขึ้นมา เค้าจึง
ต้องจำใจยืนขึ้นอ่านในหน้าที่เค้าคิดว่าหน้าจะถึงแล้ว
“ อ…เอ่อ ตรงบทคัดย่อที่ ห้า อ..เอ่อ อยู่ตรงไหนนะ อยู่ไหน อ..เอ่อ องค์หญิงมาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส.. ”
เฟนท์ อ่านเสียงอำอึ้งตะกุกตะกัก อย่างลนลานทว่าบรรทัดที่เค้าอ่านนั้นมันซ้ำกับ บรรทัดที่ เรกกะ อ่านไปเมื่อครู่นี้เอง
“ เฟนท์(Feint) ที่เธออ่านน่ะมันบทคัดย่อที่สาม เพื่อนๆเขาอ่านผ่านไปแล้ว ของเธอ ต้องขึ้นต้นเรื่องพระราชกรณีกิจของพระองค์ต่างหาก ”
อาจารย์ผู้สอน กล่าวเสียงหน่ายๆกับอาการตื่นผวา ของ เค้าที่เป็นเอาเสียทุกครั้งในทุกชั่วโมงเรียน
เฟนท์ มักเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง
บ่อย ครั้งการกระทำของเขา จึงทำให้ ทุกคนหน่ายไปพอๆกัน แม้แต่อาจารย์ผู้สอนเองก็รับไม่ค่อยได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผลการสอบทุกครั้ง เขาจะได้คะแนน ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“ เฮ้อ เจ้า เฟนท์ เป็นอีแบบนี้ทุกทีสิน่า ”
เรกกะ ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่เสียงกริ่ง หมดชั่วโมงเรียนจะดังขึ้น
“ งั้นวันนี้พอแค่นี้นะนักเรียน ”
อาจารย์ผู้สอนกล่าวขณะที่ กลับไปยังโต๊ะเพื่อเก็บอุปกรณ์การสอนและหนังสือ ลงกระเป๋าหนัง
“ ทั้งหมดตรง…เคารพ ”
เสียงสั่งการของ นักเรียนหญิง ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับที่นักเรียนทั้งห้องลุกจากโต๊ะและ
ก้มลงทำความเคารพ
“ ขอบคุณ ครับ/ค่ะ ”
สิ้นเสียง นักเรียนทั้งห้องก็พากันเก็บของ ออกจากลิ้นชักโต๊ะ ลงกระเป๋าสะพาย และทยอยกันออกจากห้อง
ไป โดยยังมีบางส่วนนั่งสนทนากันอยู่ในห้องบ้าง
“ เรารีบกลับกันเถอะ เฟนท์ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นขณะที่เดินมาหา เฟนท์ ที่โต๊ะ ซึ่งกำลังเก็บหนังสือและสมุดลงกระเป๋า
“ เรกกะ วันนี้ นายไปก่อนเถอะ พี่ ซาน (San) กับชั้น มีธุระต้องไปทำน่ะ ”
เฟนท์ ตอบ พร้อมกับสะพายเป้ขึ้นหลัง
“ อะไรกันนายก็ด้วยเหรอ วันนี้ เจ้า ไรด์(Ryad) เองก็บอกว่าติดธุระเหมือนกัน ว่าจะไปซื้อ ฟิคเกอร์
ไพทอน(Python Figure) กับการ์ด Rato ranger ชุดใหม่ที่พึ่งวางขายวันนี้ด้วยกันซะหน่อย เฮ้อ เอาเถอะ
ไปคนเดียวก็ได้ พรุ่งนี้เจอกันนะ ”
เรกกะ บ่น อุบอิบ อย่างไม่สบอารมณ์ ที่เพื่อนๆของเขาพากันติดธุระหมด จนเขาต้องไปซื้อของคนเดียว
“ อ..อื้อ ไว้วันหลังชั้นจะชวน ไรด์ ไปด้วยละกันนะ ”
เฟนท์ กล่าว ขณะที่ เรกกะ เดินออกไปหลังจากโบกมือลา
ก่อนที่เขาจะเดินเลี้ยวออกไปอีกทาง ขณะที่เดินเหม่อลอยไปนั้น เขาก็ไปชนเข้ากับนักเรียน คนหนึ่ง
“ หวา..ข..ขอโทษด้วย ผมไม่ทันระวังเอง ขอโทษด้วย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ โค้งขอโทษขอโพย ปะหลกๆให้กับเด็กนักเรียนที่เขาเดินไปชนนั้น
…………………..
ขณะเดียวกัน ซาน พี่สาวของ เฟนท์ เธอพึ่งจะเดินออกมาจาก ห้องพักอาจารย์ โดยมีสีหน้างัวเงีย
และรู้สึกเบลอๆ เล็กน้อย
“ โธ่ เพราะ เฟนท์ ไม่ยอมปลุกแท้ๆ เลยโดนอาจารย์ พาเข้าไปเทศซะ
จนเลิกสายจนได้ เฟนท์ จะไปรอเราก่อนรึยังน้า วันนี้เป็นวันเริ่มภา…รกิจ ”
เธอ เดินไปบ่นไปตลอทางเดินในอาคาร ก่อนจะไปหยุดเอา เมื่อเห็น น้องชายเธอกำลังถูกกลุ่มนักเรียนรุ่น
น้อง ของเธอ รุมล้อม เฟนท์ เอาไว้