Title: @@ นิยายSMN Chapter 19 ดวงตาปีศาจ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 04:09:20 AM Chapter 19 ดวงตาปีศาจ หลังจากที่ปรสิตพิษจากไปแล้ว หากแต่การประชุมยังคงดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียด ทุกคนต่างก็ทุ่มเถียงกันถึงวิธีที่จะผ่านเจ้ามังกรยักษ์ไพทอนไปให้ได้ ทว่าก็ไม่มีใครสักคนจะสามารถหาวิธีผ่านมันไปได้ การประชุมที่ดูเหมือนจะยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดทำให้ทุกคนเหนื่อยล้ากันเต็มที ซาดินเองก็เห็นว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ขวัญและกำลังของทหารคงจะหมดไปในไม่ช้า ทว่าตัวของเขาเองก็ไม่รู้จะผ่านเจ้ามังกรยักษ์ไปได้อย่างไรเช่นกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งให้หงุดหงิดรำคาญใจนัก ฝ่าบาท หม่อมฉันมีความคิดบางอย่างจะเสนอ ไม่ทราบว่าพระองค์จะพอพระทัยหรือไม่ บลาส เซจเอ่ยขึ้นในที่สุด รีบว่ามา ซาดินกล่าวเสียงกะตือลือล้น หากเราไปทางช่องเขานี้ไม่ได้ และพระองค์ไม่ประสงค์จะอ้อมเทือกเขา ก็เหลืออยู่ทางเดียวบลาส เซจแสยะยิ้มพลางค่อยๆใช้นิ้วชี้ที่ยาวและเต็มไปด้วยรอยปูดโปนของกระดูกชี้ขึ้นฟ้า ทางอากาศพ่ะย่ะค่ะ ทันใดก็เกิดเสียงพูดคุยโต้แย้งกระหึ่มจากบรรดาแม่ทัพนายกองจนฟังไม่ได้ศัพท์ ซาดินรีบยกมือขึ้นเป็นนัยให้เงียบเสียงลง ก่อนจะใช้มืออีกข้างลูบคางพลางยื่นหน้ามาฟังอย่างตั้งใจ ว่าไป บลาส เซจ ซาดินสั่ง การไปทางอากาศนี้มิใช้การขนกองทัพทั้งหมดขึ้นไป แต่เป็นการส่งกองทัพบางส่วนไปตัดกำลังของฟูดินันเสียก่อนเพื่อมิให้สามารถจัดกองทัพมาสู้กันเราได้ เมื่อกองทัพใหญ่เคลื่อนไปถึง และยังเป็นการส่งคนไปสำรวจจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญๆของฟูดินันอีกด้วย พระองค์คงจำได้ว่าเจ้ามังกรตัวนี้ก็จะคลุ้มคลั่งแม้แต่ในกรณีของภัยธรรมชาติ บลาส เซจพูดพลางกางแผนที่ลงบนโต๊ะ บริเวณนี้คือป่าทมิฬซึ่งอยู่ติดกับเทือกเขาด้านตะวันตก ซึ่งตามที่กระหม่อมสืบทราบมา บริเวณนี้มีชนเผ่าเล็กๆหลายเผ่าอาศัยอยู่ และชนเผ่าบริเวณนี้เป็นชนเผ่าที่แข็งแกร่งและป่าเถื่อนที่สุดของฟูดินัน ดังนั้นเราจะใช้พวกมันนี่แหละให้เป็นประโยชน์ หากเราส่งกองทัพขึ้นไปเผาป่าทมิฬนี่เพื่อล่อเจ้ามังกรใหญ่ให้มัวแต่สาละวนอยู่กับเทือกเขาด้านนี้ จังหวะนั้นเราก็เคลื่อนทัพไปอีกฟากหนึ่งของเทือกเขาฝั่งทิศตะวันออกที่ติดกับทะเลทางด้านนี้ แล้วข้ามเทือกเขาทางช่องเขานี้ การบุกเข้าฟูดินันก็ง่ายนิดเดียว แล้วเราจะส่งกองทัพที่ว่าไปเผาได้ด้วยวิธีใดเล่า ในเมื่อเพียงแค่มีจิตสังหารเจ้ามังกรนั่นก็อาละวาดแล้ว ไอ้เจ้าตัวประหลาดเมื่อกี้ยังบอกเลยว่าพวกพรานล่าสัตว์ของฟูดินันยังขึ้นเขาแค่คราวละ3คนเท่านั้น ราโชยูถามขึ้น ถูกต้อง เราส่งคนไปมากๆไม่ได้ ดังนั้นเราจึงจะส่งฝูงมังกรไฟบินข้ามหัวเจ้ามังกรยักษ์นี้ไปให้พ้นจากรัศมีที่มันจะสัมผัสถึงจิตสังหารได้ แล้วจัดการเผาป่าทมิฬเสียให้ราบเป็นหน้ากอง ภารกิจในครั้งนี้เราจะใช้คนเพียงแค่2คนเท่านั้น 1คือผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลมเพื่อการคุมทัพมังกร และอีก1คือผู้ที่ไม่มีจิตใจที่จะสู้รบแต่มีพลังมากพอที่จะเผาฟูดินันให้ราบได้ในพริบตา เมื่อพูดจบทุกคนก็หันไปมองเนริมอร์เป็นตาเดียว ในขณะที่เนริมอร์ก็จ้องบลาส เซจราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ บลาส เซจจ้องกลับ แสร้งโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม พระนางคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะกระทำการนี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะพระนางมีความห่วงหาในพระโอรสเกินกว่าจะมีจิตใจที่จะออกรบ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพระนางคือผู้เดียวในกองทัพที่ไม่มีจิตสังหาร มีสิ ข้ามีจิตสังหารที่จะฆ่าเจ้ายังไงล่ะ เนริมอร์ชะโงกตัวมาข้างหน้า เหยียดริมฝีปากขึ้นพูดเป็นเชิงสัพยอกหากแต่แววตานั้นฉายแววชิงชังชัดเจน เนื่องด้วยนางรู้ดีว่าแม้นนางจะโกรธเกลียดจนอยากจะปลิดชีพอุปราชเฒ่าเพียงใด แต่ในยามศึกสงครามเช่นนี้ความขัดแย้งภายในเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับกองทัพ เนริมอร์ ซาดินกล่าวเตือนเสียงเรียบ เนริมอร์ถอยตัวกลับไปนั่งท่าเดิม แล้วจึงเริ่มต้นกล่าวต่อ ช่างแสนรู้เสียเหลือเกินนะ ในเมื่อจะบินข้ามหัวเจ้ามังกรนั่นไปล่ะก็ จะเป็นคนที่มีจิตสังหารหรือไม่ก็ไม่ต่างกันมิใช่รึ บลาส เซจหัวเราะเบาๆ ซึ่งนั่นก็เป็นการยั่วโทสะเนริมอร์ได้เป็นอย่างดี การจะข้ามไปโจมตีศัตรู จะต้องหยุดซุ่มดูจุดยุทธศาสตร์ของศัตรูก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ และการซุ่มดูนั้นแน่นอนว่าต้องดูจากที่สูง แต่ถ้าอยู่บนฟ้าก็จะเป็นจุดเด่นเกินไป ดังนั้นสังเกตการณ์ตามยอดเขาไหล่เขาย่อมจะดีกว่า และแน่นอนว่าเจ้ามังกรยักษ์ก็คงจะสัมผัสได้ทันทีถึงจิตสังหาร ฉะนั้นกระหม่อมจึงกล่าวว่าพระนางเหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจในครั้งนี้ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 19 ดวงตาปีศาจ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 04:10:49 AM ดี ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า ในสถานการณ์เช่นนี้ วิธีนี้น่าจะดีที่สุด ซาดินกล่าวขึ้น
แต่ข้า... เนริมอร์กล่าวแย้งยังไม่ทันจบซาดินก็หันมาจ้องหน้านางเขม็ง ก็ได้! ถ้าเช่นนั้นหากข้าทำภารกิจเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ข้าขอกลับไปเยี่ยมลูกตามที่ท่านได้เคยให้สัญญาไว้กับข้า เพราะถึงอย่างไรท่านก็ต้องเสียเวลาในการเดินทัพอยู่ดี และเมื่อครบกำหนด3เดือนแล้วข้าก็จะตามไปสมทบที่ค่ายด้วยผ้าคลุมผืนนั้นทันที เนริมอร์เสนอขึ้นอย่างมีความหวัง ซาดินนั่นมิใคร่จะพอใจนักแต่เพื่อเป็นการตัดปัญหาจึงจำใจต้องอนุญาตเนริมอร์ ก็ได้ ข้าอนุญาต เนริมอร์ยิ้มกว้างดวงตาพราวระยับ บัดนี้ในใจของนางมีแต่ความโลดเต้นยินดีที่จะได้กลับไปหาลูกชายจนลืมความขุ่นข้องหมองใจเมื่อสักครู่ไปจนหมดสิ้น ได้ จัดทัพให้ข้า พรุ่งนี้เช้ามืดข้าพร้อมจะออกเดินทางทันที ทุกคนต่างโล่งใจไปตามๆกันเมื่อองค์ราชาและมหารานีตกลงกันได้ในที่สุด น่าเสียดายนัก ข้าไม่อยากพลาดดูเหตุการณ์อันน่าอภิรมย์นี้เลย ถ้าเพียงข้าข้ามไอ้เจ้ามังกรนั่นไปได้... ซาดินพูดอย่างเสียมิได้ แบล็ค ไวเซอร์ รีบก้าวออกมายืนต่อหน้าบัลลังก์ทันที พลางโค้งตัวลงเพียงเล็กน้อย แสยะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ กระหม่อมสามารถทำให้พระองค์ติดตามสถานการณ์นี้ได้อย่างใกล้ชิดโดยมิพลาดการณ์แม้สักนาทีพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะได้ทอดพระเนตรราวกับทรงทอดพระเนตรด้วยตาเปล่า จริงรึ เจ้าจะทำได้ด้วยวิธีใดกัน น้ำเสียงของซาดินแสดงความตื่นเต้นดีใจขึ้นทันที แบล็ค ไวเซอร์ พยักหน้าให้บลาส เซจ เป็นสัญญาณ บลาส เซจ ก็รีบหันไปสั่งการทหารรับใช้สองสามคำ แล้วทหารนายนั้นก็รีบวิ่งออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว สักพักก็กลับเข้ามาพร้อมกับนายทหารอีกสี่นายซึ่งแบกอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำบรรจุอยู่เต็มใบเข้ามา เอาล่ะ เจ้านกที่น่ารักของข้า ถึงตาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว แบล็ค ไวเซอร์พูดด้วยเสียงแห้งต่ำกับสัตว์เลี้ยงของตน ซึ่งมันก็ผงกหัวรับคำผู้เป็นนายพลางบินไปเกาะที่ขอบอ่าง แบล็ค ไวเซอร์ยกมือขึ้นต่อหน้ามันแล้วเริ่มส่ายไปมือไปมาเป็นจังหวะพร้อมกับร่ายเวทย์ ดวงตาทั้งสี่ของนกปีศาจก็ส่ายตามมือของแบล็ค ไวเซอร์ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเจ้านกปีศาจก็เริ่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ตัวของมันเริ่มโงนเงนเหมือนทรงตัวไม่อยู่และเมื่อพ่อมดดำหยุดเคลื่อนมือไปมาเจ้านกปีศาจก็ตัวแข็งทื่อไม่ต่างกับท่อนไม้ พ่อมดดำยิ้มพอใจก่อนที่จะใช้มือขวาควักลูกตาบนซ้ายของนกปีศาจออกมาช้าอย่างน่าสยดสยอง หากแต่เจ้านกปีศาจกลับยังสงบนิ่งไม่ไหวติงเหมือนหุ่นไม้อยู่เช่นนั้น ทันทีที่ลูกตาถูกควักออกมาเลือดปีศาจสีดำสนิทที่ไหลออกมาก็เดือดพล่านและไหลกลับเข้าไปในเบ้าตาที่กลวงโบ๋นั้นยังกับมีชีวิต แผลที่ถูกเปิดก็ค่อยๆเล็กลงๆจนสมานปิดกลายเป็นเนื้อเดียว เวลานี้ไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีดวงตาอยู่ที่นั่นแม้สักนิด และเมื่อแผลหายสนิทเจ้านกปีศาจก็กลับมีชีวิตอีกครั้ง มันบินกลับไปเกาะที่ไหล่เจ้านายของมันเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น ดูราวกับว่ามันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบัดนี้มันเหลือดวงตาแค่สามดวงเท่านั้น ซึ่งได้สร้างความอัศจรรย์ใจและประหวั่นพรั่นพรึงในคาถาอาคมของพ่อมดดำผู้นี้แก่ทุกคนในที่ประชุมกันถ้วนหน้า ส่วนลูกตาที่ถูกควักออกมานั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดปีศาจสีดำสนิทจนมือของแล็ค ไวเซอร์กลายเป็นสีดำเพราะเลือดปีศาจไปด้วย พ่อมดดำจุ่มมือข้างที่ถือลูกตาลงไปในอ่างน้ำพลางแกว่งไปมาจนทั่วทั้งอ่างกลายเป็นสีดำสนิท เมื่อพ่อมดดำยกมือขึ้นจากอ่างน้ำ ลูกตาของนกปีศาจกลับใสแจ๋วไม่ต่างลูกแก้วเลยสักนิด พ่อมดดำถือลูกตาแก้วไว้ในมือซ้ายส่วนมือขวานั้นก็จุ่มไม้เท้าลงไปในอ่าง เพียงแค่ลูกแก้วบนยอดไม้เท้าสัมผัสถูกน้ำในอ่างมันก็ส่องประกายสีเขียวขึ้นทันที แบล็ค ไวเซอร์เริ่มต้นท่องคาถาอีกครั้ง เพียงไม่กี่อึดใจก็เกิดหมอกควันสีขาวขึ้นเหนือผืนน้ำในอ่างนั้น พ่อมดดำชักไม้เท้าของตนขึ้นจากน้ำก่อนจะยืนมือที่ถือลูกตาแก้วขึ้นต่อหน้าซาดิน พระองค์จะได้ทอดพระเนตรความอัศจรรย์ ณ บัดนี้ พ่อมดเป่าลมเบาๆเหนือกลุ่มหมอกควันนั้น กลุ่มหมอกก็สลายไปในอากาศทันทีเผยให้เห็นน้ำที่ใสสะอาดภายในอ่าง น้ำสีดำเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นน้ำใสอีกครั้งและกำลังเปลี่ยนสถานะอีกครั้ง น้ำค่อยๆเกิดระลอกคลื่นเล็กๆรอบๆขอบอ่าง ทุกๆครั้งที่เกิดระลอกคลื่น ภาพบางอย่างก็ค่อยๆปรากฎขึ้นบนผิวน้ำโดยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนในห้องต่างจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ ในน้ำนั้นปรากฏเป็นภาพของซาดินและเนริมอร์นั่งอยู่บนบังลังก์ เมื่อพ่อมดดำเคลื่อนมือที่ถือลูกตาแก้วไปทางใด ภาพในน้ำก็เคลื่อนตามอย่างน่าอัศจรรย์ เพียงแค่พระนางนำลูกตาแก้วนี้ติดตัวไปด้วย ฝ่าบาทก็จะสามารถติดตามสถานการณ์ได้ชนิดที่ว่ามิพลาดแม้สักนาทีพ่ะย่ะค่ะ พ่อมดดำกล่าว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดีมาก เจ้าคือสุดยอดพ่อมดจริงๆ แบล๊ค ไวเซอร์ ซาดินหัวเราะชอบใจ ข้าแทบจะทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว ฮ่า ฮ่า รุ่งสางของวันใหม่เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์เพิ่งจะจับที่เส้นขอบฟ้า ฝูงมังกรไฟ และมังกรไฟนิลทินโคออน(Niltincoion, the Fire Dragon)กว่าสองร้อยตัวก็โผทะยานขึ้นสู่ห้วงอากาศมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ สีแดงสดของฝูงมังกรไฟตัดกับสีฟ้าอ่อนๆของท้องฟ้าดูสะพรึงน่ากลัวยิ่งนัก ที่หัวขบวนนั้นราชินีแห่งซาโลมในชุดสีแดงเพลิงพร้อมคฑาเวทย์คู่กายกำลังขี่ซาลามันเดอร่าของตนบินไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีผู้ควบคุมสัตว์แห่งซาโลม(Zalom Tamer)คอยเร่งเหล่ามังกรไฟให้ตามองค์ราชินีไปไม่ห่าง กองทัพมังกรไฟของเนริมอร์ต้องใช้เวลาถึง1วันเต็มในการบินข้ามเทือกเขาคีรีบันดาเพราะความกว้างใหญ่ของมหาเทือกเขา ซ้ำนางยังต้องบินให้สูงพอที่จะพ้นจากการสัมผัสจิตสังหารของไพทอนมังกรเทพผู้พิทักษ์อีกด้วย กว่าเนริมอร์จะหาไหล่เขาที่ปลอดภัยพอที่จะตั้งกระโจมที่พักและต้องเป็นลานที่ใหญ่พอจะจุมังกรไฟทั้งหมดได้เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว นางได้เลือกไหล่เขาที่ทอดยาวตามแนวเขาทิศตะวันตกของคีรีบันดาที่มีแง่งหินขนาดใหญ่เป็นที่พักและกำบังฝูงมังกรจากสายตาของศัตรูเบื้องล่าง ในขณะที่ผู้ควบคุมสัตว์ก็สั่งฝูงมังกรให้ยืนล้อมรอบกระโจมที่พักเป็นกำแพงมังกรไฟเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้น ราชินีแห่งซาโลมยืนมองแสงไฟดวงเล็กๆริบหรี่นับร้อยที่กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆทั่วพื้นป่ารกทึบเบื้องล่าง ผืนป่าที่อยู่เบื้องล่างนั้นดูแปลกใหม่และน่าตื่นตาสำหรับชาวทะเลทรายเช่นนางนัก แสงจากดวงจันทร์กลมโตใสกระจ่างสาดส่องเหนือเหล่าต้นไม้ที่ขึ้นจนดูหนาทึบแซมด้วยแสงไฟดวงเล็กนับร้อยนับพันราวกับทะเลเมฆสีเขียวหม่นที่มีดวงดาวประดับประดาอยู่เต็มผืนเมฆ นางพยายามจดจำและคะเนระยะห่างของแสงไฟเหล่านั้น โดยแสงไฟที่เกาะรวมกันเป็นกลุ่มนั้นย่อมหมายถึงที่ตั้งของชุมชนแน่นอน นางวาดแผนที่คราวๆเพื่อใช้เปลี่ยนเทียบกับเวลาที่ฟ้าสว่างแล้ว ต้นไม้ยักษ์ขนาดมหึมาที่ใหญ่โตจนดูเหมือนภูเขาลูกย่อมๆก็โบกไหวตามแรงลมยามค่ำคืนอย่างแช่มช้อย เนริมอร์มองต้นไม้ยักษ์ด้วยความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้ก่อนที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลูกชายจะค่อยๆปรากฏขึ้นในมโนสำนึกของนาง นางยิ้มอย่างเป็นสุข ลูกรักแม่กำลังจะได้กลับไปหาเจ้าแล้ว |