Title: @@ นิยายSMN Chapter18 ขุนเขาคำราม @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 04:01:14 AM Chapter18 ขุนเขาคำราม ที่ลานกว้างหลังบ้านของครอบครัวบันดารา วูจินกำลังตรวจดูกระจาดขนาดใหญ่ที่เรียงรายเป็นตับจนพื้นที่หลังบ้านดูคับแคบไปถนัดตา ในกระจาดเหล่านั้นเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรนานาชนิด ข้างตัวของวูจินมีเสาต้นเล็กๆที่แขวนตะกร้าขนาดย่อมๆเรียงไล่ขนาดกันอยู่เจ็ดชั้น แต่ละชั้นนั้นก็เต็มไปด้วยรากใบไม้ดอกนานาพันธุ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงยาสมุนไพรทั้งสิ้น ท่านผู้เฒ่าใช้มือซ้ายหยิบใบไม้ที่เริ่มแห้งใบหนึ่งขึ้นมาจากตะกร้าชั้นบนสุดมาพิจารณาดู พลางใช้นิ้วมือลูบไปตามผิวใบอย่างเบามือก่อนจะหงายดูคราบฝุ่นที่ติดอยู่บนนิ้ว คิ้วสีเทาขมวดเล็กน้อย ท่านปู่ครับ ฮารีซันเอ่ยเรียกพลางเดินหลบกระจาดสมุนไพรขนาดใหญ่ที่วางขวางทางอยู่ วูจินหันไปถามหลานชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีอะไรรึ ฮารีซัน ผมจะมาบอกท่านปู่เรื่องการเตรียมตัวตั้งรับเหตุฉุกเฉินของบรรดาเผ่าต่างๆครับ ฮารีซันกล่าวไม่เต็มเสียงนัก ว่าอย่างไรล่ะ เตรียมพร้อมไปถึงไหนกันแล้วรึ? วูจินถามอย่างใคร่รู้ หลังจากวันที่ท่านแองโกริออนปรากฎตัวนี่ก็ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้ว พอทุกๆคนเห็นว่าเหตุการณ์ยังสงบดีจึงได้ล้มเลิกการเตรียมพร้อมกันกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือก็เตรียมซ้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินกันแบบพอเป็นพิธีเท่านั้น ฮารีซันพูดพลางมองไปรอบๆเหมือนจะมองให้ทะลุแมกไม้ไปถึงเผ่าต่างๆ เฮ้อ...พวกเราก็เป็นเสียอย่างนี้ ช่างลืมกันได้ง่ายดายนัก ตื่นเต้นตกใจกันได้ไม่กี่วันก็ลืมไม่ใส่ใจ นี่ละคือข้อเสียของชาวฟูดินันเรา หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแล้วจะเตรียมตัวกันทันรึ วูจินพูดอย่างเหนื่อยหน่าย ฮารีซันนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งด้วยสิ่งที่วูจินกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงที่น่าเหนื่อยใจนัก เอาเถอะ ตอนนี้ก็คงเหลือแต่ภาวนาว่าอย่าให้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นก็แล้วกัน วูจินเปรยขึ้น ฮารีซันพยักหน้ารับพลางถามขึ้น เมื่อสักครู่นี้ท่านปู่ทำอะไรอยู่เหรอครับ? ปู่กำลังดูสมุนไพรพวกนี้ มันมีบางอย่างผิดปกติไป วูจินกล่าวพลางหยิบใบไม้ใบหนึ่งส่งให้หลานชาย ฮารีซันรับมาพิจารณาดู เขาพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังหากแต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ อย่ามองเพียงแค่ลักษณะรูปร่างของมัน วูจินหยิบใบไม้จากมือของหลานชายขึ้นมาพลางใช้มือลูบเบาๆที่ผิวของใบไม้แล้วจึงหงายมือให้ดู ฝุ่นดินหรือครับท่านปู่ ฮารีซันเงยหน้าขึ้นถาม ใช่ แต่ว่ามันไม่ใช่ฝุ่นดินของที่นี่ วูจินใช้นิ้วมือถูกเข้าด้วยกันเพื่อพิจารณาฝุ่นดินให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น มันมาจากที่นั่น วูจินชี้มือไปทางเหนือยอดเขาคีรีบันดา ท่านปู่ มันจะเกี่ยวกับการที่เทพแองโกริออนปรากฎตัวรึเปล่าครับ ฮารีซันถาม ปู่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้ก็คือเตรียมพร้อมและรอเท่านั้น ขณะนี้อีกฟากของเทือกเขา มหากองทัพแห่งซาโลมกำลังเคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว มุ่งสู่เทือกเขาคีรีบันดาที่ตั้งสูงตระหง่านเบื้องหน้าอันเป็นปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่งยิ่งของฟูดินัน เสียงฝีเท้าเรือนแสนที่ย่ำผ่านผืนทรายดังสะเทือนเลื่อนลั่น ฝุ่นทรายตลบอบอวลจนดูเหมือนพายุทะเลทรายที่ได้หอบเอาเม็ดทรายนับล้านๆพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า หมู่ธงรูปวิหคเพลิงนับร้อยนับพันโบกสบัดรับกับไอแดดและผืนทรายที่ร้อนระอุ อีกทั้งเหล่าทหารในชุดสีแดงสดนับแสนที่กำลังเดินทัพมุ่งสู่ที่หมายอย่างฮึกเหิมทำให้ทั่วทั้งผืนทะเลทรายแห่งนี้ดูราวกับลุกเป็นไฟ ซาดินยกมือขึ้นป้องแดดเงยหน้ามองเทือกเขาขนาดมหึมาเบื้องหน้า บนยอดเขามีเมฆลอยเรี่ยอยู่ สีเขียวเข้มอันบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ปกคลุมเหนือยอดเขาเป็นแนวยาว หากแต่ต่ำลงมากลับเริ่มมีสีเขียวของพืชอ่อนลง สีน้ำตาลของดินเริ่มมีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดจึงเหลือแต่ดินทรายตั้งแต่ช่วงกลางของเทือกเขาจนสุดตีนเขา กษัตริย์หนุ่มไล่สายตาไปยังขอบเทือกเขาทั้งสองด้านที่ทอดตัวยาวจนสุดลูกหูลูกตา ปราการธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ซาดินพูดพลางหรี่ตาเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนที่จะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณตั้งค่าย Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter18 ขุนเขาคำราม @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 04:02:29 AM ทันใดนั้น เสียงแตรเขามาสติคอร์หางมรณะ(Dead Tail Masticore)ก็ดังกังวานเป็นสัญญาณให้ทหารหยุดพักและเตรียมตั้งค่าย เสียงแตรจากฝ่ายต่างๆก็ดังขานรับเป็นสัญญาณแทบจะทันที บลาส เซจ และแบล็ค ไวเซอร์พร้อมนกปีศาจคู่ใจก้าวลงจากรถแล้วก็รีบไปสมทบกับซาดินและเนริมอร์อย่างรวดเร็ว
ที่นั่นเอง ราโชยูได้ไปถึงอยู่ก่อนแล้วและกำลังรับคำสั่งของซาดินอยู่ เมื่อบลาส เซจและแบล็ค ไวเซอร์ไปถึง ซาดินก็สั่งงานราโชยูเสร็จพอดี แม่ทัพใหญ่ทำความเคารพอย่างรวดเร็วแล้วเดินจากไป ในขณะที่ซาดินเหลือบมาเห็นทั้งสองเดินเข้ามาพอดี พรุ่งนี้เช้ามืดข้าจะส่งกองสอดแนมขึ้นไปสำรวจบนเทือกเขานั่นก่อน พร้อมกับขึ้นไปเตรียมกรุยทางเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสัตว์ใหญ่ อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียง เมื่อแสงสว่างมากพอที่จะเริ่มมองเห็นทางได้ก็ให้ขึ้นสำรวจทันที ข้าไม่อยากเสียเวลากับการข้ามเทือกเขานี้นานนัก ข้าสั่งให้ราโชยูจัดกองสอดแนมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นอีกวันหนึ่งทัพใหญ่จึงค่อยเคลื่อนตามขึ้นไป พวกท่านเห็นว่าอย่างไร? ฝ่าบาททรงกระทำการรอบคอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทคาดว่าเราจะใช้เวลาเคลื่อนพลถึงยอดเขาเท่าไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ บลาส เซจถาม ซาดินเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า อย่างเร็วก็14วันกว่าจะขึ้นถึงยอดเขา แต่นั่นหมายความว่าหนทางจะต้องสะดวกราบรื่น ฝ่าบาท กระโจมของพระองค์และของพระนางตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ราโชยูเข้ามารายงาน ของท่านทั้งสองก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ดี ถ้าเช่นนั้นคืนนี้เราค่อยมาหารือกันอีกครั้ง ซาดินตัดบท ก่อนจะหันหน้าไปหาแม่ทัพใหญ่ สั่งทหารให้พักผ่อนให้เพียงพอ เราจะเคลื่อนทัพขึ้นเขาในวันมะรืนนี้ เมื่อสิ้นคำกษัตริย์หนุ่มก็เดินจากไปทันที โดยมีเนริมอร์เดินตามออกไปด้วยอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่านางไม่ค่อยอยากจะเสวนากับพ่อมดดำและอุปราชเฒ่าเท่าใดนัก รุ่งเช้าของวันใหม่กองสอดแนมของซาโลมราวสามกองพันก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาทันที เหล่าทหารผู้มีใจหื่นกระหายในสงครามต่างเร่งฝีเท้าเพื่อจะพิชิตยอดเขาให้เร็วที่สุด พวกเขาแผ้วถางป่าเตรียมทางให้แก่ทัพใหญ่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สัตว์น้อยใหญ่ที่ผ่านมาหรือขวางทางต่างถูกกำจัดสิ้น บ้างก็ถูกจับมาเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ค๊อกคาทริส(Cockatrice) , อีบองก้า(Ebonga), กวางคารา(Kara Antelope), เต่าเม่น(Spiky Chelonia) ,กริฟฟินหิน(Hard Rock Giffin) ,โคล่าสแควร์เรล หรือแม้กระทั่งหนูดินตัวเล็กๆก็มิอาจรอดพ้นเงื้อมมือของกองกำลังแห่งซาโลมไปได้เลย เช้าวันต่อมามหากองทัพแห่งซาโลมก็โห่ร้องลั่นกองชัยเสียงดังอื้ออึ้งสะท้อนก้องกังวานไปทั่วขุนเขา และออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาคีรีบันดาอย่างรวดเร็ว มหากองทัพแทบจะเคลื่อนพลทั้งกลางวันกลางคืน หนทางสู่ยอดเขานั้นช่างสะดวกโยธินนัก ด้านฝ่ายกองสอดแนมนั้นก็ส่งข่าวรายงานเหตุการณ์และอุปสรรคเบื้องหน้าอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้อุปสรรคต่างๆถูกเตรียมการแก้ไขได้ทันการณ์ มหากองทัพจึงเคลื่อนพลได้เร็วกว่ากำหนดยิ่งขึ้น หากแต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วันที่5แห่งการเคลื่อนทัพนั้นก็เริ่มมีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ในช่วงสายของวันที่ห้านั้นเองได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นครั้งหนึ่ง และในวันที่หกก็เช่นกันที่ได้เกิดแผ่นดินไหวถึงสองครั้งในตอนบ่ายของวันนั้น อย่างไรก็ดีทุกคนก็มิได้ติดใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก เนื่องจากเห็นว่าคงจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของภูมิภาคนี้เอง ทว่ายิ่งเดินทางเข้าใกล้ยอดเขามากเท่าไหร่ แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นและถี่ขึ้นตามลำดับ ในเช้าตรู่ของวันที่สิบ ทั้งกองทัพก็ต้องตื่นขึ้นด้วยความตระหนกตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามดังสะท้อนมาจากทางยอดเขาที่สลับซับซ้อนของคีรีบันดา แต่ทว่าข่าวที่กองสอดแนมส่งมาก็ยังมิพบสิ่งผิดปกติใดๆเลย มหากองทัพแห่งซาโลมจึงยังคงมุ่งหน้าต่อไป และในวันที่สิบเอ็ดนั้นก็ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ยาวนานกว่าและรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ พร้อมกับเกิดเสียงร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งดังกังวานและชัดเจนกว่าที่ผ่านๆมาจนดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้อยู่ใกล้เพียงคืบ เสียงร้องคำรามดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าติดต่อกันราวเกือบครึ่งชั่วโมงจึงสงบลง เมื่อสิ้นเสียงคำรามสุดท้ายทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยตระหนกและงงงวยด้วยว่ามิอาจอธิบายเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เนริมอร์ออกมาจากกระโจมของตนที่อยู่ทางปีกขวาของค่ายที่พักแล้วเดินไปสบทบกับซาดิน ราโชยู บลาส เซจ และแบล็ค ไวเซอร์ที่ยืนสนทนากันอยู่ก่อนแล้ว นั่นมันเสียงอะไรกัน เนริมอร์รีบถามอย่างตื่นตระหนก หากแต่ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบมิอาจให้คำตอบแก่นางได้ ราโชยู ส่งกองทหารขึ้นไปเรียกกองสอดแนมกลับมา ข้าต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและต้องโดยเร็วที่สุดด้วย ซาดินพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พ่ะย่ะค่ะ ราโชยูทำความเคารพก่อนจะรีบเร่งออกไปจัดทัพเล็ก กองทหารชุดใหม่อันประกอบไปด้วยมือเพชฌฆาตแห่งซาโลมสองร้อยนาย กองนกโมฮาแปดร้อยนาย และทหารชั้นเลวสี่พันนาย ถูกส่งขึ้นไปติดตามกองสอดแนมทันที แต่ทว่าแผ่นดินไหวและเสียงร้องคำรามอย่างรุนแรงก็ยังคงเกิดขึ้นในวันต่อมา พร้อมกับการเงียบหายของกองทัพทั้งสองกอง ซาดินนั้นร้อนใจยิ่งนัก เนื่องว่าความอยากรู้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคอยกระตุ้นความอยากในสงครามของเขามากขึ้นทุกที ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซาดินจึงสั่งให้ราโชยูจัดทัพเล็กขึ้นอีกหนึ่งกองทัพเพื่อขึ้นไปเร่งกองทัพที่ล่วงหน้าไปก่อนทั้งสองกองให้กลับมา รุ่งสางของวันที่สิบห้า แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและเสียงร้องคำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง แรงสั่นสะเทือนและเสียงคำรามที่ดังกึงก้องนั้นทำเอาทุกคนในกองทัพพากันสะดุ้งจนสุดตัว บ้างก็ชักอาวุธถือดาบออกมายืนจังก้าด้วยคิดว่าข้าศึกเข้าจู่โจม บ้างก็รีบคว้าชุดเกราะมาสวมกันเป็นพัลวัน จนกระทั้งแผ่นดินไหวสงบลงจึงได้กลับไปประจำการของตน ครั้นตกบ่ายราโชยูจึงรีบเข้าเฝ้าซาดินอย่างรีบร้อน ใบหน้าฉายแววกังวลชัดเจน เขาคุกเข่าอยู่หน้าฉากกั้นที่แบ่งส่วนห้องรับรองออกจากห้องบรรทม Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter18 ขุนเขาคำราม @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 04:03:35 AM ฝ่าบาท กะหม่อมคิดว่าเหตุการณ์นี้ยิ่งทวีความไม่ชอบมาพากลขึ้นทุกทีแล้วพ่ะย่ะค่ะ กองทัพที่เราส่งไปทั้งสามกองนั้นไม่ส่งข่าวใดๆกลับมาอีกเลย กระหม่อมไม่อาจจะเสียเวลาและทหารไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้ ขอฝ่าบาททรงมีบัญชาให้กระหม่อมนำทัพขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองเถิดว่ามันเกิดอะไรข้างบนนั้นกันแน่ ราโชยูกล่าวอย่างร้อนใจ
ไม่ต้อง ข้าจะไปเอง กษัตริย์แห่งซาโลมในชุดเกราะเต็มยศก้าวออกมาจากหลังฉาก ข้าจะไม่ทนรออยู่ที่นี่อีกต่อไป ข้าเบื่อเต็มทีกับการรอคอย จัดทัพให้ข้าเดี๋ยวนี้ ซาดินออกคำสั่งด้วยเสียงหงุดหงิด ราโชยูนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะรีบปรามเสียงแข็ง ฝ่าบาทมันอันตรายเกินไปที่พระองค์จะเสด็จไปเองพระองค์เดียวเช่นนี้ เรายังไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างบนนั้น หากเกิดอะไรขึ้นจะแก้ไขลำบาก ทรงไตร่ตรองใหม่อีกครั้งเถิด ซาดินมีสีหน้าขุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะกระแทกตัวลงนั่งบนเบาะทรงกลมใบใหญ่ที่แท่นบัลลังก์ในห้องรับรอง ไปเรียกทุกคนมา ซาดินออกคำสั่งด้วยความขัดใจยิ่ง เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว ซาดินจึงบอกความประสงค์ของตนทันที ข้าจะนำทัพขึ้นไปดูให้เห็นกับตาเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนนั้น มันอันตรายเกินไป ท่านจะนำทัพขึ้นไปคนเดียวโดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอย่างนั้นหรือ เนริมอร์แย้งขึ้น แล้วเจ้าจะให้ข้านั่งรอไปถึงเมื่อไหร่กัน ซาดินกล่าวอย่างไม่พอใจ ด้านแบล็ค ไวเซอร์เมื่อรู้ถึงความประสงค์ของซาดินก็รีบเหลือบมองบลาส เซจทันทีนัยว่าจะขอความเห็น ด้วยหากซาดินเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แผนการที่จะตีฟีเลเซียคงต้องชะงักงันไปอีกนาน อย่างน้อยก็น่าจะให้ใครติดตามพระองค์ไปด้วย เพื่อความไม่ประมาท บลาส เซจเสนอความเห็นขึ้น ซาดินมองทุกๆคนอย่างประหลาดใจ นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันเช่นนี้ แม้แต่คู่กัดตลอดกาลอย่างเนริมอร์และบลาส เซจยังมีความเห็นคล้ายคลึงกัน ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบลาส เซจ และแบล็คไวเซอร์เจ้าทั้งสองไปกับข้า ส่วนเนริมอร์และราโชยู พวกเจ้าอยู่คุมทัพใหญ่ที่นี่ เมื่อทุกคนไม่คัดค้าน ซาดินจึงสั่งการทันที เอาล่ะ! ราโชยูรีบไปจัดทัพให้ข้า ข้าจะออกเดินทางทันทีที่จัดทัพเสร็จ ส่วนเจ้าทั้งสองเตรียมตัวให้พร้อมโดยเร็วที่สุดแล้วมารายงานตัวที่นี่ พ่ะย่ะค่ะ ทั้งสามรับคำโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่จะแยกย้ายไปจัดการงานของตน ภายในเวลาเพียงสามสิบนาที ทัพของซาดินก็พร้อมออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาคีรีบันดา กองทัพใหญ่อันประกอบด้วยกองนกโมฮาหนึ่งพันห้าร้อยนาย มังกรซาลามันเดอร่ายี่สิบตัว มือเพชฌฆาตแห่งซาโลมสองร้อยนาย นักรบเพลิงมารสามร้อยนาย ผู้ฝึกสัตว์ห้าสิบนายและฝูงสัตว์ร้ายอีกหนึ่งพันตัว รวมทั้งทหารชั้นเลวอีกหกพันนาย โดยซาดินขึ้นขี่ซาลามันเดอร่าของตน ในขณะที่บลาส เซจและแบล็คไวเซอร์ขึ้นนั่งรถศึกที่ลากด้วยมาสติคอร์หุ้มเกราะ มุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่สลับซับซ้อนของคีรีบันดาอย่างรวดเร็ว ช่วงสายของวันที่สิบเจ็ดซาดินก็นำทัพขึ้นไปถึงช่องเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขาคีรีบันดา ในช่องเขานี้มีร่องรอยการผ่านมาของกองทัพแห่งซาโลมไม่ว่าจะเป็นรอยเท้ามากมาย หรือร่องรอยเถ้าถ่านที่เย็นชื้นของกองไฟที่เหล่าทหารก่อทิ้งไว้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณอันบ่งบอกว่ากองทัพได้มุ่งหน้ามาถูกทางแล้วนั่นเอง ขณะที่กองทัพเคลื่อนลึกเข้าไปในช่องเขานั้น กลิ่นคาวเลือดรุนแรงคละคลุ้งก็เริ่มโชยมาเป็นระยะๆ ร่องรอยของหินถล่มที่กองทับกันระเกะระกะตามช่องเขาเกลื่อนไปหมด เหล่าทหารเริ่มระวังตัวกันมากขึ้น ต่างก็เหลียวซ้ายแลขวามองหาสิ่งผิดปกติใดๆที่อาจเกิดขึ้นด้วยทุกเมื่อ พวกมังกรและเหล่าสัตว์เริ่มมีอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย แม้แต่วิหคโลกันต์ของแบล็ค ไวเซอร์เองก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนเช่นกัน เพียงแค่เลี้ยวโค้งตรงช่องเขาต่อมา เหล่าทหารหน่วยหน้าก็ต้องตกตะลึงยืนนิ่งจนทำให้ขบวนทัพต้องชะงักไปทั้งขบวน ลมที่พัดผ่านช่องเขาพาเอากลิ่นคาวเลือดและซากเนื้อเน่าที่เหม็นรุนแรงจนแสบจมูกกระจายไปทั่วบริเวณ ใจของซาดินนั้นอยากจะเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้ายิ่งนัก จึงเร่งส่งสัญญาณให้เดินทัพต่อทันที ทัพหน้าเมื่อตั้งสติได้ก็เดินทัพต่อหากแต่ความเร็วของฝีเท้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเมื่อซาดินเลี้ยวโค้งมาได้ กษัตริย์หนุ่มถึงกับผงะกับภาพตรงหน้า ซากศพแหลกเหลวของกองทัพซาโลมกระจัดกระจายไปทั่วช่องเขานั้น รอยเลือดสาดกระเซ็นทั่วไปหมดไม่ว่าจะเป็นตามพื้นที่กินเนื้อที่ยาวจนสุดขอบโค้ง ผนังทั้งสองข้างตั้งแต่พื้นดินจนสูงขึ้นไปอีกหลายสิบเมตรล้วนเปรอะไปด้วยคราบเลือดจนดูเหมือนว่าไม่เหลือที่ว่างที่เป็นสีของพื้นดินเลย ความโกรธแค้นของซาดินพุ่งพล่านขึ้นจนอกแทบระเบิดทันที เขาขบกรามแน่น เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ก่อนจะระเบิดเสียงตะโกนอย่างแค้นเคืองดังกึกก้อง Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter18 ขุนเขาคำราม @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 04:05:13 AM ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันต้องตาย!!!
เสียงโห่ร้องของทหารเรือนหมื่นก็ดังสนั่นรับคำของซาดิน ทันใดนั้นเสียงร้องคำรามดังกึกก้องกัมปนาทก็ลั่นรับกลับมาพร้อมกับแผ่นดินไหวอย่างแรง ฝุ่นดินจากเศษหินและดินที่ร่วงลงมาทำให้ฝุ่นสีน้ำตาลกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ ในชั่วเสี้ยววินาทีที่ฝุ่นดินจางไปนั้นก็ปรากฏร่างมหึมาของมังกรยักษ์สองหัวสีน้ำตาลขึ้นตรงเบื้องหน้ากองทัพห่างออกไปเพียงยี่สิบเมตรเท่านั้น เสียงโห่ร้องของซาดินและเหล่าทหารเงียบสนิทลงทันที ต่างก็อ้าปากค้างตกตะลึงกับความใหญ่โตมโหฬารของมังกรยักษ์ตัวนี้ ขนาดที่ใหญ่โตของมันทำให้ดูเหมือนกับว่ามีคนยกเอาภูเขาทั้งลูกมาตั้งไว้ข้างหน้า ดวงตาทั้งสี่ของมันกลอกไปมาอย่างลุกลน เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดน่ากลัว แรงลมที่เกิดจากการหายใจของมันทำเอาทหารที่อยู่แถวหน้าถึงกับยึดโล่ห์ของพวกตนไว้ไม่อยู่จนโล่ห์ปลิวไปอันละทิศละทาง ปากที่ใหญ่โตของมันสามารถจุซาลามันเดอร่าที่โตเต็มที่ได้ถึงคราวละสิบตัวหรืออาจจะมากกว่านั้น มันค่อยๆย่างก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ ทุกๆย่างก้าวของมันทำให้ภูเขาทั้งลูกสะเทือน ทหารบางคนเริ่มทิ้งอาวุธและวิ่งหนี บางคนก็หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก ข้างฝ่ายซาดินนั้นมีความบ้าดีเดือดเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับความโกรธแค้นที่เสียทหารเป็นหมื่นๆไปอย่างไร้ประโยชน์ ซ้ำทหารใจเสาะที่เริ่มทิ้งอาวุธวิ่งหนีเอาตัวรอดไปก่อนเช่นนี้ก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นบ้าเลือดขึ้นเป็นทวีคูณ ซาดินชูกระบองขึ้นจนสุดแขน ฆ่ามัน!!! ทหารบางคนที่ฮึดสู้ก็โห่ร้องรับคำสั่งของซาดิน แทบจะทันทีเจ้ามังกรใหญ่ก็คลุ้มคลั่งกระทืบเท้าไปมา หัวข้างหนึ่งสะบัดฟาดใส่ผนังผาด้านหนึ่ง หัวอีกข้างก็เงยขึ้นร้องคำรามเสียงดังสนั่น ก่อนจะกระโจนใส่ทัพหน้าไล่กัดทหารเป็นพัลวัน เท้าอันมหึมาของมันเหยียบย่ำทหารแหลกเหลว เหมือนมดปลวก กองทัพแห่งซาโลมบัดนี้ดูราวกับฝูงมดที่แตกรัง ต่างก็วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ทหารบางคนที่หนีไม่ทันก็ถูกมังกรยักษ์เหยียบจนร่างแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี บ้างก็ถูกหินถล่มทับ บ้างก็ถูกกัดตาย ซาดินเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ยิ่งโกรธจนตัวสั่นรีบขี่ซาลามันเดอร่าเข้าไปหาหมายจะสู้กับเจ้ามังกรยักษ์ แต่ทว่าซาลามันเดอร่ากลับตื่นตกใจไม่ยอมเดินเข้าไปหามังกรยักษ์ บลาส เซจเห็นดังนั้นจึงรีบปรามอย่างร้อนรน ฝ่าบาท ถอนทัพก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากแต่ซาดินยังไม่ฟังเสียงและพยายามบังคับซาลามันเดอร่าให้เดินตรงไป บลาส เซจมองไปยังมังกรยักษ์ที่เดินเข้ามาใกล้ทุกที ขณะนี้มันกำลังกระแทกตัวใส่ผนังผาด้านขวาอย่างแรงจนดูราวกับภูเขาลูกหนึ่งกำลังพุงชนภูเขาอีกลูกหนึ่งให้หายไป ฝ่าบาท ได้โปรดเถิด มิฉะนั้นพวกเราจะพากันตายทั้งหมด ซาดินกำกระบองแน่นอย่างโกรธแค้น ก่อนที่จะตะโกนสุดเสียง ถอย!! ณ กระโจมกลางค่ายทหารของซาโลม เหล่าแม่ทัพต่างอยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนต่างนั่งประจำที่ของตนบนเบาะทรงกลมสีแดงหม่นๆเรียงลดหลันกันไปตามลำดับยศ บนบัลลังก์นั้นเองซาดินนั่งอยู่บนเบาะทรงกลมสีแดงสดขนาดใหญ่โดยเนริมอร์นั่งอยู่บนเบาะสีแดงอีกใบที่เยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อย บรรยากาศในกระโจมเวลานี้อึมครึมชวนให้น่าอึดอัดยิ่ง สาเหตุก็เป็นเพราะขณะนี้ซาดินโกรธจัดราวกับภูเขาไฟคุ กรุ่นที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ นั่นมันตัวบ้าอะไรกัน!!! ซาดินคำรามสุดเสียงพร้อมกับใช้แขนข้างหนึ่งฟาดใส่โต๊ะข้างเบาะที่นั่งเต็มแรงจนโต๊ะหักเป็นเสี่ยงๆ เหล่าแม่ทัพต่างสะดุ้งกันโหยงก่อนจะนิ่งเงียบมิกล้าปริปากใดๆ เนริมอร์มองผู้เป็นสามีจากทางเบื้องหลังอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก ภาพกองทหารแตกทัพที่วิ่งหนีลงมาจากยอดเขาอย่างอลหม่าน ต่างก็พกช้ำดำเขียวกันไปตามๆกัน บ้างถึงกับแข้งขาขาดก็มี กองทัพเรือนหมื่นเหลือกลับมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทว่าแม้แต่ทั้งตัวนางและแม่ทัพคู่ใจอย่างราโชยูก็ยังมิกล้าถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนยอดเขาคีรีบันดากับซาดินผู้ซึ่งพร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่ใครก็ได้ในขณะนี้ แบล็ค ไวเซอร์ผู้นั่งขมวดคิ้วแน่นตั้งแต่กลับลงมาจากยอดเขาราวกับคนที่พยายามจะรำลึกถึงอะไรบางอย่าง ในที่สุดก็พูดเปรยออกมาเบาๆอย่างไม่ใคร่แน่ใจนัก หรือว่าตำนานนั่นจะเป็นเรื่องจริง ตำนานบ้าอะไร!! ซาดินตวัดเสียงใส่ ทูลฝ่าบาท เมื่อยังเด็กกระหม่อมเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงตำนานโบราณว่าบนเขาคีรีบันดามีเทพผู้พิทักษ์อยู่ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้เห็นเทพผู้พิทักษ์ยอดเขานี้เลย จนกระหม่อมคิดว่าน่าจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้านมากกว่า แล้วยังไง มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้อะไรมากขึ้นไปกว่าตอนนี้เลยสักนิด ซาดินกล่าวขุ่นเคือง บางทีกระหม่อมอาจจะเรียกอสูรกึ่งภูติที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มาสอบถามได้ ก็รีบจัดการเข้าสิ ซาดินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้น ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทหารที่ไร้ประโยชน์จากพระองค์สักสี่ห้าคนพ่ะย่ะค่ะ ซาดินมองแบล็ค ไวเซอร์อย่างชั่งใจครู่หนึ่ง ได้! Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter18 ขุนเขาคำราม @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 04:06:58 AM เพียงไม่กี่นาทีทหารที่บาดเจ็บถึงขั้นพิการสี่คนก็ถูกหามเข้ามาภายในกระโจม ทั้งสี่ต่างมองรอบกายอย่างกลัวๆกล้าๆด้วยมิรู้จุดประสงค์ที่ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า แบล็ค ไวเซอร์มองทหารเหล่านั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยกล่าวว่า
วันนี้พวกเจ้าได้รับเลือกให้รับใช้กองทัพและองค์ซาดิน จงภูมิใจซะ เมื่อกล่าวจบแบล็ค ไวเซอร์ก็ท่องคาถาพลางวาดวงอาคมวงใหญ่ขึ้นสองวง วงหนึ่งล้อมรอบทหารทั้งสี่คน อีกวงมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย พ่อมดดำวาดเส้นขอบวงทั้งสองให้สัมผัสชิดกันพอดี เสียงนกนรกคู่ใจก็ก็เริ่มร้องเสียงดังชวนขนลุก ทหารทั้งสี่คนเริ่มเห็นท่าไม่ดีก็เริ่มมองหาทางหนีทีไล่ สักพักก็มีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาจากใจกลางวงเวทย์ที่สองนั้นเป็นละลอกๆพุ่งขึ้นไปเหนือเพดานว่ายวนเป็นวง แต่หากสังเกตดูดีๆแล้วควันเหล่านั้นคือวิญญาณที่มีแต่หัวโดยมีไอสีขาวยาวเป็นทางคล้ายหางว่ายวนอยู่บนเพดานนั่นเอง ทันใดนั้นก็มีกลุ่มควันมากมายพวยพุ่งขึ้นจากใจกลางวงเวทย์พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบๆดังออกมาจากกลุ่มควันนั้น ครั้นเมื่อกลุ่มควันจางหายไปก็ปรากฏร่างของปรสิตพิษ(Poisoned Parasite)อสูรกึ่งภูตตัวสูงใหญ่ แทบจะทันทีมันก็พ่นไอพิษใส่กลุ่มทหารทั้งสี่แล้วตรงเข้าดึงทึ้งกัดกินอย่างตะกละตะกราม ทหารทั้งสี่ต่างหวาดกลัวคลานหนีเอาตัวรอดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ถูกกลุ่มกระโหลกวิญญาณที่ลอยวนเวียนอยู่กดทับร่างจนหนีไปไหนไม่ได้ จึงได้แต่ร้องเรียกให้คนช่วย บ้างก็ร้องขอความเมตตาจากซาดินและเนริมอร์ บ้างก็กรีดร้องดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ทุกคนในกระโจมต่างตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น บางคนก็สะอิดสะเอียนจนต้องเบือนหน้าหนีแต่ก็มิอาจทำอะไรได้ ข้างฝ่ายซาดินก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน แบล็ค ไวเซอร์ นี่เจ้า... ซาดินตวาดด้วยความโกรธ ฝ่าบาท ถ้าเราต้องการใช้ประโยชน์จากมัน เราก็จำเป็นต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่น่าพอใจ ซาดินได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ปรสิตพิษกัดกินทหารจนไม่เหลือแม้แต่ซาก คงเหลือแต่รอยเลือดที่สาดกระจายนองพื้นทั่วไปหมด มันเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงแห้งๆ ฉับพลันก็มีกะโหลกวิญญาณพุ่งออกมาจากปากมันถึงสี่ดวง ซึ่งก็คือวิญญาณของทหารทั้งสี่ที่มันกินเข้าไปนั่นเอง กะโหลกวิญญาณทั้งสี่ก็แหวกว่ายอากาศไปรวมกลุ่มกับกะโหลกวิญญาณอื่นๆที่ว่ายวนอยู่รอบตัวอสูรกึ่งภูตราวกับทาสผู้ซื่อสัตย์ ปรสิตพิษหัวเราะเสียงแห้งอย่างชอบใจ เจ้ามีกิจอันใดกับข้า อสูรกึ่งภูตกล่าวเสียงแหบแห้งจนแทบจะต้องเงี่ยหูฟัง ทันทีที่มันพูด วิหคโลกันต์ของแบล็ค ไวเซอร์ก็ตีปีกส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับจะกล่าวทักทาย ทำเอาบรรยากาศที่ดูวังเวงอยู่แล้วยิ่งชวนขนลุกยิ่งขึ้น วันนี้พวกข้าได้ยกทัพขึ้นสู่ยอดเขา และได้พบกับมังกรสองหัวตัวใหญ่มหึมา ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้ามังกรยักษ์ที่อยู่บนยอดเขานั่นคือตัวอะไร แหะ แหะ แหะ เสียงหัวเราะแหบแห้งของปรสิตพิษฟังดูยียวน เหมือนมันกำลังหัวเราะเยาะ ข้าเห็นแล้ว พวกเจ้าหนีกันไม่เป็นท่าเลย เมื่อกษัตริย์หนุ่มได้ยินดังนั้นความอับอายอดสูก็โถมเข้าใส่เพลิงโกรธดังน้ำมันราดรดบนกองไฟ มันคือตัวอะไร! ซาดินตวาดเสียงดัง ปรสิตพิษถึงกับผงะด้วยว่ามันรู้ดีถึงความเก่งกาจของซาดินโดยการรำลึกความทรงจำที่ได้จากทหารทั้งสี่ที่มันกินเข้าไป มันจึงค่อยตอบคำถามอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น มันคือ มังกรสองหัวไพทอน มังกรเทพผู้พิทักษ์เทือกเขาคีรีบันดา มันเป็นมังกรที่กินแต่พืชหญ้าเป็นอาหาร ไม่เคยทำลายสิ่งมีชีวิตและไม่เคยออกจากบริเวณหุบเขาเลย โกหก!! มันทำลายกองทัพของข้าไปถึงสี่กองทัพ ซาดินตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด พลางเอื้อมมือไปหยิบกระบองคู่กายอย่างรวดเร็ว หากเจ้ายังมั่วแต่เล่นลิ้นไม่บอกความจริง ข้าจะฆ่าเจ้าซะ ปรสิตพิษผงะถอยอีกครั้ง รีบละล่ำละลักพูดน้ำเสียงแหบแห้ง ข้าไม่ได้โกหก เพียงแต่ว่ามังกรไพทอนนี้จะมีสัมผัสไวต่อสภาวะจิตของสิ่งมีชีวิต หากมีจิตใจที่ไร้พิษสง เช่นชาวบ้านที่เก็บฟืนหรือหาของป่าเข้ามาใกล้ มันก็จะไม่ทำอันตรายใดๆ แต่หากมีจิตที่หวาดกลัวว้าวุ่น เช่นเวลาจะมีภัยธรรมชาติ พวกสัตว์น้อยใหญ่จะมีสัมผัสก่อน ก็พากันหนีอพยพ ความหวาดกลัวของพวกสัตว์จะส่งผลต่อไพทอน มันก็จะรู้สึกกดดันอึดอัดส่งเสียงร้องและกระสับกระส่าย หรือถ้ามีมนุษย์จำนวนมากๆขึ้นล่าสัตว์ ก็เกิดผลดุจเดียวกัน ดังนั้น พวกฟูดินันจึงมีธรรมเนียมไม่ออกล่าสัตว์พร้อมกันเกินสามคน ส่วนเมื่อคราวที่พวกท่านขึ้นไปบนยอดเขานั้น จิตที่กระหายเลือดกระหายสงครามนับแสนที่ถูกปลุกเร้าเพื่อการรบทำให้ไพทอนคลุ้มคลั่ง เมื่อพวกทหารยิ่งมีจิตใจจะต่อสู้มันก็ยิ่งโกรธอาละวาดจนพินาศสิ้นอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ หมายความว่า ถ้ามีจิตใจจะสู้รบก็ไม่มีทางเข้าใกล้มันเลยสิ แล้วเราจะปราบมันได้อย่างไร .จริงสิ! มันมีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน ซาดินถามอย่างมีความหวัง ไม่มี ปรสิตพิษตอบห้วนๆ นี่เจ้าจะบอกว่า ไม่มีทางที่เราจะนำกำลังรบ ผ่านเทือกเขานี่ได้เลยรึ ซาดินเริ่มหัวเสียอีกครั้ง เท่าที่ข้ารู้ คือไม่มี ปรสิตพิษตอบ นอกจากท่านจะส่งคนที่ไม่มีจิตใจจะรบผ่านไปนั่นแหละ นั่นแปลว่าท่านต้องส่งชาวบ้านให้เดินข้ามไม่ใช่ทหาร และนั่นหมายถึงตัวท่านเองคงไม่มีทางผ่านได้แน่ เพราะแค่ใจกระหายสงครามของท่านคนเดียวก็เพียงพอจะทำให้มันอาละวาดทำลายทั้งกองทัพ ซาดิน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่ง นิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดครู่หนึ่ง ถ้าเช่นนั้นมีทางอื่นที่สามารถข้ามไปฝั่งฟูดินันได้อีกหรือไม่ มีอีกทางคือท่านต้องเดินทัพอ้อมเทือกเขาไปทางตะวันตกแล้วลงใต้ ผ่านที่ราบระหว่างฟีเลเซียและฟูดินัน แล้วจึงย้อนเข้าฟูดินันอีกที ไม่....ทางนั้นใช้เวลามากเกินไป ทั้งเสบียงอาหารก็จะพาลหมดเสียก่อน ไหนจะต้องผ่านดินแดนของฟีเลเซียอีก ปัดโธ่! นี่เราจะผ่านมังกรตัวนี้ไปได้อย่างไรกัน ซาดินกล่าวอย่างว้าวุ่นใจนัก นั่นเป็นปัญหาที่ท่านต้องขบคิด ข้าขอตัว ปรสิตพิษพูดจบก็รีบพุ่งลงสู่วงเวทย์หายไปพร้อมๆกับเหล่ากระโหลกวิญญาณทั้งหมด ทิ้งให้ซาดินและเหล่าแม่ทัพขบคิดวิธีแก้ปัญหากันเอง |