Title: @@ นิยายSMN Chapter13 ผ้าคลุมขนนกแดง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 03:15:57 AM Chapter13 ผ้าคลุมขนนกแดง ณ ห้องรับรองในเขตพระราชฐานชั้นใน เนริมอร์กำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายใจยิ่งนัก ใบหน้าของนางดูหมองคล้ำอิดโรย ท่านมหาอำมาตย์นาริส ขอเข้าเฝ้า เสียงประกาศของทหารยามหน้าประตูดังขึ้น อำมาตย์เฒ่าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพลางโค้งคำนับ ทรงเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วน... ท่านนาริส จริงรึที่ว่าซาดินบุกถ้ำวงกตนั่นสำเร็จแล้วและกำลังขนสมบัติทั้งหมดกลับมา เนริมอร์รีบเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว พ่ะย่ะค่ะ หมายความว่า... เนริมอร์สีหน้าตื่นตระหนกไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำพูดนั้นออกมา หม่อมฉันพยายามประวิงเวลาอย่างที่สุดแล้วพระนาง และคงมิอาจประวิงเวลาต่อไปได้อีกแล้ว ไม่นะ! อิสฮานยังไม่แปดขวบดีเลยด้วยซ้ำ จะให้ข้าทิ้งลูกไปได้อย่างไรกัน ท่านนาริสโปรดประวิงเวลาต่อไปอีกสักหน่อยเถิด ขอให้ข้าได้มีเวลาอยู่กับลูกอีกสักนิด... อำมาตย์เฒ่าได้แต่ส่ายหน้า ท่านนาริส ลูกชายข้าช่างอาภัพนัก มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้ากษัตริย์ผู้คนต่างเคารพรักยกย่องสรรเสริญกันทั่วหล้า ทรัพย์สมบัติต่างๆก็มีมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันเหลือคณานับ แต่ความรักที่เรียบง่ายและอบอุ่นที่สุดเขากลับได้รับเพียงครึ่งเดียว มีพ่อก็เหมือนไม่มี ข้ารู้ดีว่าท่านก็รักอิสฮานราวกับเป็นลูกเป็นหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านทนเห็นอิสฮานที่น่าสงสารต้องขาดแม่ไปอีกคนได้เชียวหรือ บิดาเปรียบดั่งผืนฟ้า มารดาเปรียบดั่งแผ่นดิน แม้ฟ้าจะดับชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ได้ แต่หากแผ่นดินม้วยแล้ว ชีวิตจะยังคงดำรงอยู่ได้อย่างไร ท่านอย่าให้ลูกข้าต้องขาดแม่ไปอีกคนเลย พระนาง มิใช่ว่าข้าจะใจจืดใจดำไม่ช่วยเหลือท่าน หากแต่ว่าข้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่มันยังไม่ดีพอ ท่านเป็นถึงมหาอำมาตย์ใหญ่... ท่านเนริมอร์ การตระเตรียมการในส่วนต่างๆนั้นพร้อมสรรพจนแทบจะเกินความจำเป็นแล้วเสียด้วยซ้ำ จะเหลือก็แต่สมบัติที่จะนำมาซื้ออาวุธและเสบียงเท่านั้น ท่านเองก็ทราบดีมิใช่หรือ เนริมอร์กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอขึ้น ข้ามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ หลังจากที่ฝ่าบาทกลับมาอย่างน้อยสองอาทิตย์ อย่างมากก็ไม่ถึงหนึ่งเดือน ไม่!! มันเร็วเกินไป เนอริเมอร์ดวงตาเบิกกว้าง นางแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่มากไปกว่านี้แล้วพระองค์ หึหึ ท่านหยอกข้าเล่นใช่หรือไม่ เนริมอร์พยายามเค้นเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความตะหนก แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอำมาตย์แล้ว รอยยิ้มของนางก็ค่อยๆเลือนหายไป เนริมอร์ส่ายหน้าช้าๆดวงตาเบิกกว้าง ปากขยับเหมือนจะพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมา ลูกแม่... พูดได้เพียงเท่านั้นเนริมอร์ก็รีบวิ่งถลาไปผลักประตูห้องรับรองออกอย่างรวดเร็ว พระโอรสอยู่ที่ไหน รีบนำตัวพระโอรสมาหาเราเดี๋ยวนี้!! ณ อุทยานกลางพระราชวังแห่งซาโลม พระโอรสองค์น้อยกำลังเดินไปตามทางที่ปูด้วยแผ่นหินลวดลายแปลกตาอยู่พระองค์เดียว สีหน้าดูซึมเศร้าหงอยเหงา อิสฮานกัดริมฝีปากล่างแน่น ดวงตาคมคู่น้อยจ้องมองแต่ปลายเท้าตนเองที่ย่างก้าวกึ่งกระโดดไปตามลวดลายของแผ่นหิน เด็กน้อยมองไปยังอุทยานอีกฟากก็ทันได้เห็นทหารยามสองนายเดินลาดตระเวนอยู่ไกลๆ จึงรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว พวกเจ้า มาเล่นกับเราหน่อยสิ ทหารทั้งสองสะดุ้งสุดตัว ต่างมองหน้ากันไปมา พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระองค์มิบังอาจ โอรสน้อยยิ้มให้อย่างมีความหวัง ดวงตาคมพราวระยับ มาเถิด ไม่เป็นไร เราไม่ว่าอะไรพวกเจ้าหรอก อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเราก่อนนะ ไม่มีใครเล่นกับเราเลย ทหารทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง สีหน้าเริ่มตึงเครียด ฝ่าบาทได้โปรดเถิด พวกข้าพระองค์มีหน้าที่ต้องเดินเวรยาม หากไม่รีบกลับไปรายงานตัวกับนายทวารใหญ่แล้ว... Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter13 ผ้าคลุมขนนกแดง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 03:17:53 AM อิสฮานน้อยสีหน้าสลดลง ยิ้มเศร้าๆ เอาเถอะ เราเข้าใจ พวกเจ้ารีบไปเถิด
พ่ะย่ะค่ะ ทหารทั้งสองรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง เกือบไปแล้วสิ ใครจะกล้าไปเล่นด้วยเล่า วันดีคืนดีเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คงได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่ เฮ้ย เบาๆสิเดี๋ยวก็ทรงได้ยินหรอก.... เสียงพูดคุยของทหารทั้งสองดังขึ้นก่อนจะค่อยๆห่างออกไปจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ก็มากพอที่จะทำร้ายจิตใจของเด็กน้อยให้เจ็บปวดแล้ว อิสฮานดวงตาแฉะชื้น กัดริมฝีปากแน่นก่อนที่จะก้มหน้าลงและเริ่มต้นกระโดดไปตามแผ่นหินอีกครั้งอย่างหงอยเหงา ที่ปลายอีกฟากของอุทยานมีนางกำนัลสี่คนนั่งหมอบคอยเฝ้าพระโอรสอยู่ไกลๆ ต่างก็แอบกระซิบกระซาบคุยกันถึงเรื่องพระโอรสองค์น้อย น่าสงสารพระโอรสจริงๆ ดูสิพระองค์เหงามากนะ งั้นเจ้าก็ไปเล่นกับพระองค์สิ นางกำนัลอีกคนพูดขึ้น ใครจะกล้าเล่า ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องที่พระโอรสบาดเจ็บคราวนั้นก็ไม่มีใครกล้าเล่นกับพระองค์อีกเลย ท่านเสนาฯอำมาตย์ทั้งหลายก็ไม่กล้าส่งลูกมาเล่นกับพระองค์อีกแล้ว บ้างก็ว่าป่วย บ้างก็ว่าไปร่ำเรียนต่างเมือง แต่ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นว่าต่างก็กลัวพระพิโรธของพระนางเนริมอร์ นางกำนัลคนแรกพูดไปจับคอตัวเองไป ข้าก็สงสารพระองค์นะ แต่ข้ารักชีวิตตัวเองมากกว่า นางกำนัลอีกคนพูดเสริมขึ้น สีหน้ายังคงประหวั่นพรั่นพรึงถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ดูสิพระองค์กระโดดเล่นไปตามแผ่นหินแบบนั้นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ นางกำนัลอีกคนพูดพลางหันไปมองพระโอรสน้อยที่ยังคงกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปมาบนแผ่นหิน ไม่นานนักนางกำนัลต้นห้องของเนริมอร์ก็รีบวิ่งเข้ามาหากลุ่มนางกำนัลที่นั่งหมอบอยู่อย่างรวดเร็ว นางพูดปนหอบ เร็วเข้า พระนางตรัสเรียกหาพระโอรสเป็นการด่วนที่สุด นางกำนัลก็รีบวิ่งไปหาโอรสน้อยอย่างรวดเร็ว เพื่อแจ้งสารแก่พระองค์ เจ้าชายตัวน้อยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมกลมโตเปล่งประกายสดใส สมเด็จแม่ว่าราชการเสร็จแล้วหรือ พูดได้เท่านั้นก็รีบออกวิ่งอย่างเร็วไปยังทิศทางที่นำไปสู่ห้องรับรองในเขตพระราชฐานชั้นในทันที ทำให้เหล่าบรรดานางกำนัลต่างต้องรีบวิ่งตามหลังไปอย่างทุลักทุเล สมเด็จแม่ อิสฮานตะโกนเรียกพลางรีบวิ่งเข้าไปหาเนริมอร์ในห้องรับรองอย่างเร็วราวกับติดปีก เด็กน้อยยิ้มกว้างกางแขนโผเข้าหาเนริมอร์ บัดนี้ภายในห้องมีเพียงสองแม่ลูกอยู่กันตามลำพังเท่านั้น เนริมอร์กอดลูกไว้แน่นจนอิสฮานรู้สึกผิดสังเกต เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น น้ำตาหยดน้อยก็ตกสู่ใบหน้าของตน สมเด็จแม่ สมเด็จแม่เป็นอะไร ใครทำให้พระองค์ร้องไห้ เนริมอร์ส่ายหน้าช้าๆ น้ำตาหยาดใสๆยังคงไหลออกมาจากดวงตาคู่งามนั้น ลูกรัก หัวใจแม่นี้เจ็บปวดนัก ดั่งถูกเข็มแหลมแทงทะลุหัวใจแม่เป็นร้อยเป็นพันเล่ม ทรมานเหมือนถูกควักหัวใจออกจากร่างทั้งเป็น แม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรกัน เสียงขมขื่นของนางเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ โอรสน้อยเบะปากน้ำตาไหลอาบแก้ม สองมือน้อยๆเช็ดน้ำตาของผู้เป็นแม่พูดเสียงสั่นเครือเสด็จแม่ ใครบังอาจทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้ เนริมอร์ส่ายหน้าไม่ตอบใดๆเอาแต่ร้องไห้ เสียงสะอื้นของนางบาดลึกลงในหัวใจของเด็กน้อย เสด็จแม่อย่าร้องไห้เสียใจอีกเลย ลูกเห็นเสด็จแม่เจ็บปวดแบบนี้แล้วลูกก็เจ็บปวดด้วย เนริมอร์ได้ฟังก็ยิ่งร้องไห้หนัก ลูกที่น่ารักของแม่ เจ้าจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร ใครจะกล่อมเจ้านอนยามค่ำคืน ใครจะกอดเจ้าให้อุ่นยามหนาว ใครจะคอยพัดให้เจ้าเวลาร้อน ใครจะคอยปลอบเจ้าเวลาร้องไห้ ใครจะให้ความรักกับเจ้าแทนแม่คนนี้ เด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนหน้าซีด สองมือน้อยเขย่าแขนของมารดาร้องไห้เสียงจ้า เสด็จแม่จะไปไหน ไม่!ลูกไม่ให้พระองค์ไป ลูกไม่ให้เสด็จแม่ไปไหนเด็ดขาด เสด็จแม่อย่าทิ้งลูกไปนะ ราชินีแห่งซาโลมบัดนี้ไม่เหลือท่าทางอันองอาจและน่าเกรงขามอีกแล้ว นางสะอื้นไห้อย่างโศกเศร้าเวทนาลูกน้อยอย่างเหลือประมาณ โอ้ ลูกรักของแม่ การแยกแม่ไปจากเจ้านั้นก็เหมือนผลักแม่ไปสู่ไฟนรก ดวงใจแม่มอดไหม้จนแทบจะเป็นผุยผงอยู่แล้ว Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter13 ผ้าคลุมขนนกแดง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 03:19:43 AM อิสฮานทรุดเข่าลงกอดขาเนริมอร์ไว้แน่น น้ำตานองหน้า สมเด็จแม่ พระองค์จะไปไหนให้ลูกไปด้วย ลูกจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนจะเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่าง ให้ลูกไปกับพระองค์ด้วยเถิด ได้โปรดเถิดสมเด็จแม่
เนริมอร์ส่ายหน้าช้าๆ น้ำตายังคงไหลอาบแก้มหากแม่เลือกได้ แม่เลือกที่จะอยู่กับเจ้าที่นี่ ดีกว่าจะให้เจ้าไปที่นั่นกับแม่ ให้ลูกไปกับพระองค์ด้วย ให้ลูกไปกับพระองค์ด้วย ทั้งสองแม่ลูกต่างร้องไห้คร่ำครวญถึงกันอย่างน่าเวทนานัก ในพระราชวังซาโลมเวลานี้มีงานเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือถ้ำวงกตของซาดินและให้แก่สมบัติล้ำค่าอันมากมายมหาศาล ที่กลางท้องพระโรงนั้นมีสมบัติวางกองเรียงกันอยู่ กองหีบสมบัติตั้งสูงเกือบจรดเพดาน เหล่าเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ต่างดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ มีกองสมบัติที่อยู่เบื้องหน้าเป็นดั่งนางระบำที่ร่ายรำอวดประกายแสงระยิบระยับจับตา มีเสียงประกาศรายการสมบัติเป็นดั่งดนตรีขับกล่อม ใบรายนามของสมบัตินั้นยาวจรดพื้น ปลายของกระดาษที่จดรายนามสมบัตินั้นม้วนเป็นขดใหญ่อยู่ที่แทบเท้าของนายทะเบียนท้องพระคลัง มีนายทหารคอยยกสมบัติที่ถูกขานชื่อออกมาวางไว้เบื้องหน้าบัลลังก์ เวลาผ่านไปถึงสามชั่วโมง ในที่สุดสมบัติชิ้นสุดท้ายก็ถูกยกออกมา และชิ้นที่ 24,753 ผ้าคลุมขนนก เสียงนายทะเบียนท้องพระคลังดังก้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่นายทหารจะนำผ้าคลุมขนนกออกมา มันเป็นผ้าคลุมขนนกสีขาวปลายแดงเก่าๆผืนหนึ่ง ขนนกสีขาวบริสุทธิ์ปลายแดงทุกก้านเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบและมีสภาพสมบูรณ์ ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่ามากแล้วแต่ก็มีเค้าว่ามันเคยเป็นผ้าคลุมที่งดงามมากมาก่อน ทุกคนที่อยู่ภายในห้องนั้นต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับผ้าคลุมเก่าๆผืนนี้นักเพราะมัวแต่สาละวนอยู่แต่กับแสงระยิบระยับของเพชรนิลจินดาที่อยู่เบื้องหน้า จะมีก็แต่มหาอำมาตย์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จ้องเขม็งไปยังผ้าคลุมเก่าๆนั้น สายตาของเขามองที่ผ้าคลุมขนนกนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ คิ้วขมวดเล็กน้อยสีหน้าครุ่นคิด ซาดินค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ ทำให้เสียงที่ดังกระหึ่มภายในท้องพระโรงนั้นค่อยเบาลงจนกลายเป็นเงียบสนิท บัดนี้ ความหวังของพวกเราใกล้จะเป็นความจริงแล้ว อีกไม่นานทวีปเมอริเซียอันอุดมสมบูรณ์จะกลายเป็นของเราชาวซาโลมทุกคน เราจะไม่ต้องทรมานในขุมนรกทะเลทรายนี้อีกต่อไปแล้ว เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารและเสนาฯอำมาตย์น้อยใหญ่ก็ดังก้องขึ้นขานรับคำของซาดิน และชัยชนะของข้าเหนือถ้ำวงกตนั้นคงเป็นไปไม่ได้ หากไม่มีผู้ดูแลปกครองแผ่นดินแทนข้า ซาดินหันหน้าไปหาเนริมอร์ พูดอย่างอารมณ์ดี ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้า จงเลือกสิ่งที่เจ้าถูกใจ...... ข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น เนริมอร์พูดอย่างเศร้าสร้อยและเฉยเมย ถ้าเช่นนั้นก็จงเลือกอะไรก็ได้ไปเสียอย่างหนึ่งก็แล้วกัน ข้าไม่... ทูลฝ่าบาท นาริสโค้งคำนับ มีอะไรหรือท่านนาริส ข้าพระองค์เห็นว่าฝ่าบาทน่าจะประทานผ้าคลุมขนนกแก่พระนาง ผ้าขนนกเก่าๆนั่นนะรึ เนริมอร์ขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ กล่าวว่า ท่านนาริส ข้าไม่... นางพูดพลางหันหน้าไปทางอำมาตย์เฒ่า จึงได้เห็นสายตาที่แฝงความนัยของมหาอำมาตย์ ถึงแม้ว่าจะยังมิรู้ความหมายนัก แต่ก็นางก็รีบคล้อยตามทันที ข้าไม่...ข้าไม่รู้จะขอบใจอย่างไร ท่านช่างรู้ใจข้าเสียจริง นาริสโค้งตัวเล็กน้อย ในขณะที่ซาดินพยักหน้ารับ กล่าวว่า เจ้าถูกใจก็ดีแล้ว ซาดินส่งสัญญาณให้ทหารนำผ้าคลุมนั้นมาวางไว้แทบเท้าเนริมอร์ ก่อนที่จะประกาศต่อ และ ท่านนาริส สำหรับการเตรียมการรบอย่างดี เรามอบสมบัติและทองคำเจ็ดหีบให้ท่าน ขอบพระทัยฝ่าบาท นาริสกล่าวพลางโค้งคำนับ และสำหรับเจ้า บลาส เซจ หากไม่ได้คบเพลิงเวทย์ของเจ้าช่วย ป่านนี้ข้าคงยังวนเวียนอยู่ในถ้ำวงกตนั่น เรามอบสมบัติและทองคำให้เจ้าเจ็ดหีบ ขอบพระทัยฝ่าบาท บลาส เซจก้าวออกมาโค้งคำนับบ้าง หากแต่สายตากลับมองไปที่ผ้าคลุมที่นาริสทีด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย ในขณะที่นาริสก็ตีหน้าซื่อยิ้มกลับไปให้บลาส เซจ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter13 ผ้าคลุมขนนกแดง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 03:21:05 AM เช้าวันรุ่งขึ้น อำมาตย์เฒ่าก็ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าองค์ราชินีแห่งซาโลมทันที เมื่อนาริสเดินทางมาถึงห้องรับรองในเขตพระราชฐานชั้นในก็ได้พบว่าเนริมอร์ได้รออยู่ก่อนแล้ว นาริสเพียงแต่โค้งคำนับยังไม่ทันจะเอ่ยคำใดๆ เนริมอร์ก็ชิงถามคำถามเสียก่อน
ใยท่านจึงจงใจขอผ้าคลุมเก่าๆผืนนี้ให้ข้า ท่านก็ทราบดีว่าเวลานี้ข้าไม่อยากได้สิ่งใดๆทั้งนั้น นอกจากการอยู่กับลูกของข้า เนริมอร์ พูดเสียงกร้าว นางชี้มือไปทางถาดที่วางผ้าคลุมผืนนั้น ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อตอนที่มันถูกยกมาที่ห้องนี้ พระนางก็ทรงทราบดีไม่ใช่หรือว่า ข้าไม่เคยทำสิ่งใดโดยไร้เหตุผล ข้าขอพระราชทานผ้าคลุมนี้ให้แก่พระองค์ ทั้งนี้ก็เพื่อตัวพระองค์เองนั่นแหละ ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเพื่อตัวข้าเอง ข้าคิดว่าผ้าคลุมขนนกผืนนี้ทำมาจากขนของนกร็อคแดง(Red Roc) ที่มีถิ่นฐานอยู่บนยอดเขาสูงเท่านั้น น้อยคนนักที่จะรู้จักสัตว์ชนิดนี้เพราะมันไม่เคยบินลงมาหากินบนพื้นราบ แม้แต่เจ้าอุปราชเฒ่าก็คงจะไม่รู้เกี่ยวกับผ้าคลุมนี้สักเท่าไรนัก ข้าเคยอ่านพบในตำราเวทย์โบราณว่าผ้าคลุมเวทย์ที่ทำจากขนนกร็อคแดงนั้นสามารถใช้เคลื่อนย้ายคนจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้โดยใช้เวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาที และเมื่อคืนนี้ขณะที่ทหารยกถาดใส่ผ้าคลุมเข้ามา ข้าได้เผอิญเห็นบางส่วนของอักขระโบราณจากชายผ้าคลุมด้านในที่เผยอเปิดเพราะแรงลมพอดี เคลื่อนย้ายคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งงั้นรึ ไม่ว่าจะใกล้ไกลเพียงไรก็ได้ใช่ไหม!! หัวใจของเนริมอร์นั้นโลดเต้นยินดียิ่งนัก ทันทีที่นางตระหนักถึงประโยชน์ที่นางจะได้รับจากผ้าคลุมผืนนี้ ถูกต้องแล้วพระนาง แม้แต่จากโพ้นทะเลทรายกลับมายังห้องบรรทมของพระโอรสก็เพียงแค่อึดใจเดียว นาริสเดินเข้าไปใกล้ถาดผ้าคลุมนั้น พลางโค้งเป็นเชิงขออนุญาตจากเนริมอร์ ซึ่งบัดนี้ความตื่นเต้นดีใจของนางทำให้นางแทบไม่รับรู้สิ่งใดๆแล้ว หากการสันนิษฐานของข้าไม่ผิดแล้วล่ะก็ ผ้าคลุมขนนกผืนนี้ก็คือผ้าคลุมเวทย์ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ อำมาตย์เฒ่าใช้มือทั้งสองข้างหยิบผ้าคลุมออกมาคลี่ดูทันที เผยให้เห็นอักขระโบราณจารึกไว้ที่ด้านในของผ้าคลุมนั้นทั่วทั้งผืน เนริมอร์มองอย่างตื่นเต้นและมีความหวัง นางกวาดตาไปทั่วทั้งผืนผ้าคลุมนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ แม้จะอ่านอักขระโบราณเหล่านั้นไม่ออกก็ตาม ว่าอย่างไรท่านนาริส ใช่หรือไม่? เนริมอร์ถามอย่างร้อนรน สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ผ้าคลุมขนนกนั้น นาริสกวาดตาไปทั่วผ้าคลุม พลางค่อยๆยิ้มออกมา ใช่แน่แล้วพระนาง มันใช้อย่างไร บอกข้าเร็วเข้า ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจนัก ข้าจะค่อยๆถอดความของอักษรทั้งหมดนี่ให้พระองค์ฟัง เพื่อว่าจะได้ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเมื่อเวลาที่พระนางฝึกใช้มัน เชิญท่านเริ่มได้เดี๋ยวนี้เลย เนริมอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดียิ่งนัก นาริสค่อยๆถอดความอักขระโบราณอย่างช้าๆ และพูดให้เนริมอร์ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ ผ้าคลุมขนนกร็อคแดงผืนนี้ สามารถเคลื่อนย้ายมนุษย์ได้เพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น ผู้ที่ปรารถนาจะใช้ผ้าคลุมผืนนี้จะต้องปลุกเสกผ้าคลุมด้วยการนำผ้าคลุมออกสัมผัสแสงอาทิตย์วันละหนึ่งครั้ง และต้องท่องคาถาที่อยู่ทางด้านล่างของผ้าคลุมนี้อย่างแน่วแน่ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน ในวันที่ร้อยผ้าคลุมจะเริ่มขยับพลิ้วได้เองแม้ไร้แรงลม ฤทธิ์อำนาจของผ้าคลุมจะใช้ได้เพียงครั้งเดียวต่อการปลุกเสกหนึ่งครั้ง เมื่อปลุกเสกแล้วแต่ยังมิได้ใช้ จงเก็บผ้าคลุมนี้ไว้ในที่ที่แสงแดดส่องถึง แล้วฤทธิ์อำนาจก็จะยังคงอยู่ เมื่อใช้แล้วฤทธิ์อำนาจก็จะหมดไป หากปรารถนาจะใช้ผ้าคลุมอีก ก็ให้ปลุกเสกผ้าคลุมใหม่ทุกครั้งไป... นาริสกวาดตาดูทั่วผ้าคลุมอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า ที่เหลือทั้งหมดเป็นคาถาที่ใช้ปลุกเสกผ้าคลุมนี้ ดีล่ะ ข้าจะเริ่มท่องคาถาตั้งแต่วันนี้เลย |