Title: @@ นิยายSMN Chapter 9 เมื่อหิมะละลาย @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 02:55:33 AM Chapter 9 เมื่อหิมะละลาย ที่กราบเรือด้านหน้าซึ่งประดับประดาด้วยบรรดาดอกไม้สีขาวสะอาดตาและริ้วธงหลากสี รูปปั้นของนางไซเรน(Siren)ที่อยู่ตรงหัวเรือนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องประดับนานาชนิดราวกับเป็นคนจริงๆ นกทะเลนับร้อยตัวบินวนเวียนเหนือผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวดูช่างเป็นภาพที่สวยงามดุจภาพวาดของจิตรกรเอกก็ไม่ปาน ราชองครักษ์อองเดร ยังคงยืนอย่างมั่นคงองอาจสายตามองออกไปยังท้องทะเลไกลโพ้น ผ้าพันคอผืนขาวพริ้วไสวตามแรงลมดูงามสง่า พลางคิดทบทวนอดีตที่ผ่านมา อดีตที่เขาไม่มีวันลืม อดีตที่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิตของเขา และอดีตที่นำพาเขามา ณ จุดนี้ จากเด็กกำพร้าที่ถูกนายทหารเก็บมาเลี้ยง แต่ไม่ใช่การให้ความรักเยี่ยงบุตร เขากลับถูกเลี้ยงดูให้เป็นทหาร ถูกสอนให้อยู่แต่ในกฎระเบียบที่เข้มงวด ให้รับรู้หน้าที่อันสูงสุดคือการจงรักภักดีต่อประเทศชาติและราชวงค์ ไม่รู้จักความหมายอื่นใด และไม่มีเป้าหมายใดในชีวิต... ครั้งนั้นเมื่อสัตว์ประหลาดอมาดิลลอน(Armadillon) ห้าตัวพลัดหลงเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยแถบชานเมือง ชาวแอนดิซอง ต่างหนีเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น ทหารราบสองกองร้อยได้รับคำสั่งให้ทำการขับไล่อมาดิลลอนและทำการช่วยเหลือชาวบ้านทันที เหล่าทหารต่อสู้กับอมาดิลลอนอย่างดุเดือด ฝูงอมาดิลลอนที่ตกใจกับเสียงกรีดร้องของชาวบ้านและอาวุธที่เหล่าทหารพุ่งเข้าใส่ พวกมันจึงอาละวาดหนัก เข้าฟาดฟันใส่ทหารอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะปราบเหล่าอมาดิลลอนลงได้ก็ใช้เวลาถึงสองชั่วโมง มีทหารบาดเจ็บนับสิบคน พยาบาลและคณะซิสเตอร์ต่างก็ออกช่วยเหลือทหารและชาวบ้านอย่างรวดเร็ว พลทหารอองเดรซึ่งขณะนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปียังเป็นเพียงทหารราบชั้นผู้น้อย และไม่เคยเผชิญหน้ากับการต่อสู้จริงมาก่อน ภารกิจแรกของทหารใหม่ หากศึกแรกได้รับชัยชนะนั่นหมายถึงการสอบผ่านการเป็นนักรบที่แท้จริง แต่หากได้รับความพ่ายแพ้ นั่นย่อมหมายถึงความล้มเหลวแห่งการฝึกฝนอันยาวนาน และยิ่งกับพลทหารใหม่ มันช่างไม่ต่างกับมดปลวกที่แค่ออกไปตายอย่างไร้ค่าเท่านั้น แม้นายทหารอองเดรจะมีความตั้งใจเต็มเปี่ยมแต่ทว่าความอ่อนประสบการณ์ และโชคที่ไม่เข้าข้าง เขาพลาดพลั้งถูกผลึกน้ำแข็งของอมาดิลลอนแทงทะลุสีข้างบาดเจ็บสาหัส และก่อนที่เจ้าอมาดิลลอนยักษ์จะตรงเข้าสังหารเขา นายกองก็ได้เข้าสังหารเจ้าสัตว์ร้ายบ้าคลั่งเสียก่อนที่มันจะสังหารเขา แต่มิใช่เพื่อช่วยเหลือเขาหากเพียงแค่เข้าฉวยจังหวะเมื่อเจ้าสัตว์ร้ายมัวพะวงกับเหยื่อตรงหน้าเท่านั้น นายทหารชั้นเลวนอนรอความตายด้วยความเจ็บปวดทั้งใจและกายอย่างแสนสาหัสเคียงข้างซากเจ้าสัตว์ยักษ์โดยไม่มีใครใส่ใจ สภาพของทหารยศต่ำสุดนอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดคงจะถูกมองว่าเกินเยียวยา การรักษาย่อมมีให้แก่ผู้ที่ยศสูงกว่าและผู้ที่พอมีหวังรอดมากกว่า พลทหารหนุ่มใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดยันกายขึ้นนั่งพิงซากเจ้าสัตว์ยักษ์ขนปุย หอบหายใจรวยริน เพื่อจะบอกว่าเขายังมีแรงพอจะลุกได้ เขายังไม่ตาย แต่ภาพเบื้องหน้าคงมีแต่การวิ่งวุ่นของเหล่าทหารที่แบกร่างของเพื่อนที่บาดเจ็บ ภาพของเหล่านักบวชจำนวนน้อยนิดที่พยายามใช้พลังรักษาทหารบาดเจ็บนับสิบที่ร้องครวญคราง บางคนหันมามองเขาแต่เมื่อพิจารณาได้สักพักก็ส่ายหน้า ก่อนเดินผละจากไปรักษาผู้อื่น เราคงต้องตายแบบนี้แน่.......... พลทหารอองเดรคิดในใจ เขาไม่ใช่คนจำพวกที่จะร้องขอชีวิตหรือร้องขอความช่วยเหลือ เพราะเขาคิดว่าหากการร้องขอนั้นได้รับการปฎิเสธ คงเป็นความอัปยศนัก ความหดหู่ใจและสิ้นหวังได้ทำให้เขาเลือกทางที่จะตายอย่างทรนง คงจะเป็นเพียงสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจำต้องเลือกยอมรับในขณะนี้ ระหว่างที่ตัดสินใจนั่งรอความตายที่กำลังก้าวกระชั้นเขาเข้ามาอย่างช้าๆ เขาก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขาอยู่ เขารีบหันไปยังทิศทางนั้นทันที ชั่วขณะนั้นใจของเขาก็หล่นวูบตกประหม่าในทันใดเมื่อเห็นเจ้าหญิงน้อยอลาน่ายืนขมวดคิ้วจ้องมองบาดแผลของเขาอยู่ข้างๆ พระอาญามิพ้นเกล้า..... ทรงเสด็จมาทำอะไรที่นี่ ที่นี่อันตรายมาก.... พระองค์นายทหารกล่าวเสียงแผ่ว อลาน่าน้อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยิ้มจนตาหยีตอบว่า ฉันมากับซิสเตอร์โรซาน่าจ๊ะ ซิสเตอร์มาช่วยคนบาดเจ็บ ซิสเตอร์อยู่ตรงนู้น เด็กน้อยหันหน้าพลางชี้มือไปอีกฟากของถนน เขาจึงเห็นแม่ชีรูปหนึ่งกำลังใช้พลังรักษาทหารที่บาดเจ็บนายหนึ่งอยู่ เด็กน้อยหันหน้ากลับมา คิ้วน้อยๆขมวดกันอีกครั้ง แววตาแสดงออกซึ่งความห่วงใย คุณทหารก็บาดเจ็บเหมือนกัน คุณทหารท่าทางเจ็บมากนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะรักษาให้ ฉันรักษาเป็นนะ ฉันเห็นซิสเตอร์ทำบ่อยๆ ว่าแล้วเจ้าหญิงน้อยก็รีบเอามือแตะที่บาดแผลของเขา ทหารหนุ่มตกใจเป็นกำลังรีบเขยิบออกห่าง ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บจากบาดแผลจนเขาชะงักค้าง คิ้วขมวดเกร็งกัดฟันแน่น ก่อนจะกล่าวเสียงแหบพร่า องค์หญิง...... กระหม่อม.......จะทำให้พระหัตถ์สกปรก......... บุรุษผู้ถูกสอนมาชั่วชีวิตว่าประเทศชาติและราชวงค์สำคัญยิ่งชีพ ณ บัดนี้เบื้องหน้าเขาคือเจ้าชีวิตผู้สูงส่งเทียมฟ้า เด็กหญิง เกิดความสงสัยในแววตา ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ไม่สกปรกหรอกจ๊ะ แต่คุณทหารอย่าขยับอีกนะ คุณทหารต้องเจ็บมากแน่ๆ ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ฉันจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 9 เมื่อหิมะละลาย @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 02:56:46 AM มือน้อยๆของเจ้าหญิงเอื้อมมาจับที่ไหล่อันอ่อนแรง พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน มือนั้นลูบที่หัวไหล่อย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจของพลทหารผู้สิ้นหวัง
ทำใจดีๆไว้นะจ๊ะ อดทนไว้นะจ๊ะ เสียงอันอ่อนโยนกับมือที่อบอุ่น ทำให้พลทหารหนุ่มเกิดความรู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างประหลาดไหลซ่านเข้ามายังร่างกายและจิตใจ ความเจ็บปวดเริ่มคลายลง ดวงตาสีน้ำเงินของเขาคลอไปด้วยน้ำตา เจ้าหญิงน้อยยิ้มอย่างเมตตา คุกเข่าลงเคียงข้าง เลื่อนมือมาที่บาดแผลของเขา เลือดที่ไหลออกมากระเซ็นโดนอาภรณ์ล้ำค่าของเจ้าหญิง มือสีขาวนุ่มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและคราบดิน เจ้าหญิงน้อยหลับตา ความสว่างสดใสอันอบอุ่น ที่ดูเหมือนกับแผ่ออกมาจากร่างบอบบางนั้น แต่ด้วยวัยเพียงหกชันษาเจ้าหญิงน้อยจึงมิอาจคงพลังแห่งการรักษาไว้ได้ แสงจึงค่อยๆจางลงไป แย่จริง คงต้องลองใหม่ ขอโทษนะจ๊ะ ฉันเองเพิ่งเคยลองทำจริงๆครั้งแรก เจ้าหญิงยิ้มก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้ ก็ไม่ต่างจากครั้งแรก เจ้าหญิงขมวดคิ้วน้อยๆมองหน้านายทหารหนุ่มอีกครั้งอย่างเป็นห่วงเป็นใย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งแสงสว่างและพลังอันอบอุ่น ดูจะไหลผ่านเข้ามาในร่างที่บาดเจ็บนั้นแต่เพียงชั่วครู่ก็จางลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เจ้าหญิงไม่ลืมตาขึ้นหากแต่เริ่มตั้งสมาธิใหม่ทันที แสงสว่างสดใสขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะจางลง และเริ่มสว่างอีก อองเดรรู้สึกว่ามีพลังอันอบอุ่นแผ่เข้ามาหาเขาเป็นระยะๆ หากแต่มันไม่มากเพียงพอที่จะรักษาบาดแผลฉกรรจ์นั้นได้ ความบาดเจ็บคลายลงเล็กน้อยแต่เลือดยังคงไหลออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดน้อยๆผุดขึ้นบนหน้าผากกลมเนียนไหลลงมาที่คิ้วยาวบางที่ขมวดอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ทันทีที่แสงจางลงเจ้าหญิงลืมตาขึ้นหอบหายใจน้อยๆ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังใบหน้าทหารหนุ่ม เธอก็เห็นใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ปากที่สั่นเทา พยายามพูดบางสิ่งบางอย่างด้วยเสียงที่ตะกุกตะกักแต่ไม่ใช่มาจากอาการบาดเจ็บ หากแต่มาจากการพยายามกลั้นการสะอื้นไห้ พระ...พระอาญามิพ้นเกล้า.......พระองค์เป็นเจ้าชีวิต.... โปรดอย่างทรงลำบาก.....เพื่อกระหม่อมอีกเลย.....กระหม่อมเป็นแค่พลทหาร.......... ทุกคนปล่อยให้กระหม่อมตายแล้ว............... เจ้าหญิง.......กระหม่อมไม่อาจรับพระกรุณา....เพียงนี้........ โปรดอย่าให้กระหม่อมต้องตายพร้อมความรู้สึกผิด......... เจ้าหญิงน้อยหน้าเศร้า ดึงผ้าเช็ดหน้าลูกไม้ที่ทักทอด้วยลวดลายที่สวยวิจิตรออกเช็ดน้ำตาให้ พลทหารตกใจยกมือขึ้นห้าม น้ำตากลับไหลมากกว่าเดิม โปรดเถิด..........กระหม่อมมิอาจรับได้ เจ้าหญิงเอื้อมมือน้อยๆ ขึ้นจับมือที่ปัดป้องนั้น ฉันสงสารคุณทหารเหลือเกิน ฉันมาเพิ่มความทุกข์ให้คุณทหารหรือเปล่า อองเดรรีบส่ายหน้า เจ้าหญิงอลาน่าน้อยจึงกล่าวต่อด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย ถ้าฉันเป็นเจ้าชีวิตจริง ฉันคงสามารถสั่งไม่ให้คุณทหารต้องตาย แต่ว่ามีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะทรงกำหนดชีวิตมนุษย์ได้ และเราจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ด้วยพระเมตตาของพระองค์...... เจ้าหญิงกุมมือพลทหารแน่นขึ้น ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ละทิ้งผู้มีความพยายาม และผู้ที่วางใจในพระองค์ ฉันเองก็จะพยายามช่วยคุณทหาร คุณทหารเองก็ต้องพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ ถ้าเราทั้งสองต่างพยายามอย่างมุ่งมั่น คุณทหารคิดว่าพระเจ้าจะทรงทนเมินเฉยไม่เมตตาต่อเราเชียวหรือจ๊ะ และถ้าคุณทหารต้องตายต่อหน้าฉันโดยที่ฉันไม่อาจช่วยอะไรได้ ฉันจะเสียใจมาก........ อองเดร นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนกล่าวขึ้นอย่างตื้นตัน หากเป็นพระประสงค์ขององค์หญิง... กระหม่อมจะพยายามมีชีวิตอยู่ เจ้าหญิงยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนนางฟ้าองค์น้อยๆ เลื่อนมือสัมผัสบาดแผลอีกครั้ง และหลับตาลง แสงสว่างที่สดใสค่อยๆสว่างขึ้น....... หลังจากซิสเตอร์โรซาน่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้กับทหารจนหน่วยแพทย์ทหารและพยาบาลมาถึง ก็ออกตามหาเจ้าหญิงอลาน่า ซิสเตอร์หาอย่างไรก็ไม่เจอ จนกระทั่งสังเกตเห็นแสงที่สว่างออกมาเป็นระยะๆใกล้ซากอมาดิลลอน เธอรีบเข้าไปดู และก็พบทหารที่อาการสาหัสเอนหลังพิงซากของมัน รวมทั้งเจ้าหญิงอลาน่าที่กำลังใช้พลังทำการรักษาอยู่ ซิสเตอร์ตกใจร้องออกมา เจ้าหญิง ทรงทำอะไรอยู่เพคะ เจ้าหญิงลืมตาขึ้นมอง หายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ซิสเตอร์มาแล้ว ซิสเตอร์คะ ช่วยคนคนนี้ด้วยค่ะ ซิสเตอร์โรซาน่า เข้ามาดูอาการนายทหาร แล้วกล่าวอย่างตกใจ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 9 เมื่อหิมะละลาย @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 02:58:33 AM อาการสาหัสมาก........ นี่คุณทนอยู่ในสภาพนี้ได้นานขนาดนี้ได้อย่างไร ปาฎิหารย์แท้ ซิสเตอร์ช่วยเขาได้มั้ยคะ เจ้าหญิงถามอย่างเหนื่อยอ่อน ซิสเตอร์โรซาน่า หันมาทางองค์หญิง ถามด้วยความตกใจ เจ้าหญิงใช้พลังการรักษาได้อย่างไรกันเพคะ แล้วเจ้าหญิงทรงรักษาอยู่นานแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่เรามาถึงค่ะ เจ้าหญิงตอบ นั่นนานมากนะเพคะ นี่เขาทนอยู่นานขนาดนี้.............. แล้วองค์หญิงทราบมั้ยเพคะว่าการใช้พลังรักษาแบบนี้ต้องใช้พลังชีวิตของคนที่รักษาเข้าช่วย ผสมผสานกับพลังอันศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกฝนมานานปี หรือมีพระพรพิเศษอย่างหม่อมฉัน ร่างกายจะทนรับไม่ได้เกินครึ่งชั่วโมงนะเพคะ แต่นี่เกือบสามชั่วโมงเชียวนะเพคะ ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซิสเตอร์รีบช่วยเขาก่อนเถิดเจ้าหญิงตอบพร้อมยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ซิสเตอร์โรซาน่าคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวแก่พลทหารที่นอนอยู่ อาการขนาดนี้ต้องใช้พลังจากเบื้องบนเข้าเสริมมากเป็นพิเศษ แต่สภาพร่างกายคุณบอบช้ำมาก ฉันเกรงจะรับไม่ไหว ผมไม่ยอมตายครับซิสเตอร์ เพราะเจ้าหญิงทรงบอกไม่ให้ผมตายเจ้าหญิงยิ้มให้อองเดรอย่างอ่อนโยน ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงพลังมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาในตัวเขาอย่างเฉียบพลัน ก่อนสติจะดับวูบลง อองเดรรู้สึกรำคาญเมื่อมีเสียงผึ้งมาบินอยู่ในหูของเขา เขาพยายามยกมือขึ้นปัดมันออกไปแต่แขนเขากลับอ่อนปวกเปียกราวกับไม่มีกล้ามเนื้อ เขาพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก แสงสว่างที่แทรกตัวผ่านเปลือกตาของเขาเข้ามาทำให้เขาแสบตาจนต้องกระพริบตาอยู่หลายครั้ง เวลานี้เขารู้แล้วว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ผึ้งหากแต่เป็นเสียงซุบซิบของกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ๆกับเตียงที่เขานอนอยู่ เขามองไปรอบๆจึงได้รู้ว่าเขาอยู่บนเตียงคนไข้ในสถานพยาบาลของกองทัพนั่นเอง เขายังรู้สึกเพลียอยู่จึงคิดว่าจะหลับต่ออีกสักหน่อยก็พอดีว่าเขาได้ยินกลุ่มคนนั้นเอ่ยชื่อเจ้าหญิงอลาน่า เขาตื่นตัวรีบเงี่ยหูฟังทันที ชายที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆเขากำลังคุยอวดสิ่งที่ตนเองเห็นมาอย่างตื่นเต้น พวกเจ้าต้องไม่เชื่อแน่ๆ ข้าเห็นเจ้าหญิงน้อยเสด็จมาเมื่อวันที่ไอ้พวกอมาดิลลอนมันลงมาอาละวาด ไม่นึกเลยว่าพระองค์จะทรงเป็นห่วงชาวบ้านอย่างเราๆแบบนี้อุตส่าห์เสด็จลงมาเยี่ยม เขาเล่าอย่างตื่นเต้น พระสิริโฉมต้องงดงามน่ารักแน่ๆเลยใช่มั้ย ชายอีกคนที่มีผ้าพันแผลอยู่บนศีรษะรีบคะยั้นคะยอให้ชายคนแรกเล่า โอ!ทรงน่ารักมากเลย ไม่ถือพระองค์แม้แต่นิดเดียว ทรงยิ้มให้ข้าด้วย ชายคนแรกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แต่ตอนพระองค์เสด็จกลับไม่รู้ว่าทรงเป็นอะไร ดูอ่อนเพลียมากจนซิสเตอร์ที่มาด้วยกันต้องประคองตลอดทางเลย ข้าล่ะเป็นห่วงจริงๆ แทบจะทันที อองเดรก็พุ่งลงจากเตียงไปเขย่าไหล่ชายคนที่พูดอย่างแรง องค์หญิงทรงเป็นอะไร ทรงเป็นอะไรมากรึเปล่า โอ๊ย!เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆ ค่อยๆพูดกันก็ได้ เจ้าจะฆ่าข้าหรือไง ชายคนนั้นพลักอองเดรออกไปเต็มแรง อองเดรเซล้มกลับลงไปที่เตียงของเขา ตอนนี้ขาเขาแทบจะไม่มีแรงอีกครั้ง บาดแผลก็รู้สึกปวดตุ๊บๆ เขาทั้งประหลาดใจและแปลกใจกับร่างกายของเขาที่แทบจะยกมือไม่ขึ้นกลับไม่รู้เอาเรี่ยวแรงจากไหนพุ่งร่างไปถึงเตียงข้างๆได้ ชายคนนั้นมองเขาอย่างไม่พอใจ พลางตอบเสียงหงุดหงิด สลบไปตั้งห้าวันพอฟื้นขึ้นมาก็อาละวาดเลยรึเจ้าทหารยศต่ำ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกซิสเตอร์เขาช่วยแกทำไม อองเดรใจหายวาบ นี่เขาหมดสติไปถึงห้าวันเต็มๆเชียวหรือ แต่เรื่องเจ้าหญิงน้อยสำคัญกว่าชีวิตของเขาแล้วตอนนี้ เขารวบรวมกำลังหยัดตัวขึ้นถามเสียงร้อนรน เจ้ายังไม่ได้บอกข้า องค์หญิงทรงเป็นอะไรมากรึเปล่า ชายคนนั้นมองอองเดรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเสียงหนักๆ ยังคงมีแววขุ่นใจอยู่ในน้ำเสียง ข้าก็ไม่รู้ว่าทรงเป็นอะไรเหมือนกัน แต่ทรงดูเหนื่อยอ่อนมากจนซิสเตอร์ต้องพยุงเดิน ข้าก็เห็นแค่นั้นแหละ หมดธุระของเจ้าแล้วใช่ไหม ชายคนนั้นกล่าวจบก็หันกลับไปอีกทางมิสนใจเขาอีก อองเดร ก้มหน้านิ่งค่อยๆทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช้าๆ มือเล็กๆที่วางอยู่เหนือสีข้างของเขาเปื้อนเลือดของเขาไปหมดใบหน้าขององค์หญิงน้อยดูซีดเซียวและเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกที่อกอย่างแรง เขาหลับตาเม้มปากแน่น เขายกมือขวาขึ้นแตะที่หัวใจพลางสาบานในใจว่า กระหม่อม อองเดร ออเนอเร่ ขอสาบานด้วยเกียรติในกายทั้งหมดที่มีว่า กระหม่อมจะจงรักภักดีต่อเจ้าหญิงอลาน่า และจะเทิดทูนพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด เสียงหวูดเรือดังก้อง เขารู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกระชากเขากลับมายืนที่กราบเรืออีกครั้ง เขารีบกวาดตาไปทั่วบริเวณนั้นว่ามีใครสังเกตเห็นหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วเขาจึงค่อยเบาใจ เสียงหวูดเรือดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง อันเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงเมืองท่าแอนดิซองแล้ว อองเดรกวาดสายตาไปทั่วท้องทะเลและฝูงเงือกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะกลับหลังหันเดินเข้าไปภายในเรือ |