Title: @@ นิยายSMN Chapter 4 ทหารไร้วิญญาณ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 02:23:10 AM Chapter 4 ทหารไร้วิญญาณ ทุกคนในท้องพระโรงทั้งเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ต่างก็ตีความปริศนาในคำทำนายของนาซาอีกันไปต่างๆนานา ซาดินจึงกล่าวขึ้น เอาล่ะๆ พวกเจ้าเงียบกันได้แล้ว ท่านทั้งสองมีความเห็นอย่างไรบ้าง พลางหันหน้าไปมอง บลาส เซจ และ นาริส สุไลมาน บลาส เซจ รีบก้าวออกมาโค้งคำนับพลางกล่าวว่า ฝ่าบาท คำทำนายของนาง นาซาอี นั้น เป็นการยืนยันถึงสิ่งที่เรากำลังจะหารือกันในวันนี้อย่างแน่นอน การประสูติของพระโอรสน้อยนับเป็นมหามงคลยิ่ง แสงทองของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องไปทั่วซาโลมในวันประสูตินั้น ก็คือ นิมิตหมายที่บ่งบอกว่ายุคทองของ จักรวรรดิซาโลม ได้มาถึงแล้ว และคำทำนายในวันนี้ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่า ฝ่าบาทจะมีชัยเหนือทวีป เมอริเซีย ทั่วทุกแว่นแคว้นจะต้องยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าฝ่าบาท เมอริเซีย จะต้องเป็นของชาวซาโลม และตระกูลอิบริด ชั่วลูกชั่วหลานเป็นแน่แท้ ซาดิน เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจยิ่ง ข้างฝ่ายบรรดาเสนาอำมาตย์ต่างก็ส่งเสียงดังอื้ออึงอีกครั้ง ทั้งเสียงสนับสนุน และเสียงคัดค้าน โต้ตอบกันไปมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ด้าน เนริมอร์ นั้นก็ว้าวุ่นใจยิ่งนัก นางมองไปยัง นาริส สุไลมาน เมื่อเห็นว่ามหาอำมาตย์ใหญ่ก็มีทีท่ามิเห็นชอบด้วยเช่นกัน นางจึงค่อยมีความหวังขึ้น นาริส ครั้นเมื่อคิดว่าเงียบอยู่ต่อไปคงไม่เป็นการดีแน่ จึงก้าวออกมายืนอยู่เบื้องหน้า ซาดิน โค้งคำนับแล้วจึงทูลว่า ฝ่าบาท ท่านหมายจะพิชิต เมอริเซีย นี้ ทรงตริตรองดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ? อาณาจักรทั้งสามทางใต้นั้นล้วนแล้วแต่มียอดฝีมืออยู่มากมาย ทั้งวิชายุทธก็ออกจะแปลกพิสดารกว่าเรามากนัก อีกทั้งสภาพภูมิประเทศที่แตกต่าง ทหารแห่งพระองค์แม้จะเก่งกาจชำนาญศึก แต่ก็เฉพาะในถิ่นทุรกันดารนี้เท่านั้น คู่ต่อสู้ที่ผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงพวกแคว้นเล็กแคว้นน้อย.... อ้า!! ท่านนาริส สุไลมาน มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่ เหตุไฉน ท่านจึงมีใจเยี่ยงอิสตรีเช่นนี้เล่า ท่านผู้เปรียบเสมือนราชสีห์ที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับกลัวการตะปบหนูตัวกระจ้อยในพงไพร ท่านพูดราวกับว่าซาโลมจะต้องปราชัยในการศึกครั้งนี้ ถ้อยคำดูแคลนเช่นนี้ มิน่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของท่าน บลาส เซจ ว่า เหน็บแนม ข้ามิได้ดูแคลน หรือ ขลาดกลัวตามที่ท่านกล่าวหาหรอก ท่านมหาอุปราช นาริส สุไลมาน กล่าวด้วยทีท่าสงบ ฝ่าบาท ลองตรองดูเถิดว่า สิ่งที่กระหม่อมทูลนั้นเป็นจริงดังว่าหรือไม่ ? ซาดิน นิ่งเงียบไปสักพักราวกับกำลังชั่งใจ ในสิ่งที่ได้ฟัง นาริส จึงกล่าวต่อไปว่า จากประสบการณ์ที่กระหม่อมได้กรำศึกน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน กระหม่อมเกรงว่าในการทำศึกครั้งนี้ สิ่งที่เราจักได้มา จะมิคุ้มค่ากับสิ่งที่เราจะต้องเสียไปนะฝ่าบาท ท่านคิดเช่นนั้นหรือ ซาดิน เปรย คิ้วขมวดเข้าหากัน พลางหันหน้าไปมอง บลาส เซจ ราวกับจะขอความเห็น ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเหตุการณ์จะเป็นดั่งที่ท่านว่า ท่านมิได้ฟังคำทำนายถึงพระโอรสดอกหรือ ? บลาส เซจ เอ่ย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนเหยียดหยัน นาริส หันกลับไปตอบ บลาส เซจ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดุจกัน ก็แล้วตัวท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า ท่านตีความคำทำนายได้ถูกต้อง สีหน้า บลาส เซจ กลับมาเรียบเฉยมิบ่งบอกอารมณ์ใดๆ พลางกล่าว มหาอำมาตย์พูดเช่นนี้ หมายความว่า ข้าตีความผิด แล้วท่านสามารถตีความได้ถูกต้องกว่าข้างั้นรึ ? เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องขอฟังการวิเคราะห์อันชาญฉลาดจากท่านเสียหน่อยแล้ว ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว มหาอุปราช ข้ามิได้มีเจตนาจะดูแคลนท่าน หากแต่เพียงข้าอยากให้ท่านคิดให้รอบคอบกว่านี้เสียก่อน นาริส กล่าวพลางหันมาโค้งคำนับให้ ซาดิน อีกครั้ง แล้วจึงทูลไปว่า ฝ่าบาท ข้าพระองค์มิใช่นักปราชญ์ที่จะวิเคราะห์ถอดความคำทำนายได้ดีกว่าคนอื่นๆ หากแต่ ข้าพระองค์เห็นว่าแทนที่พระองค์จะทรงก่อสงครามขึ้นทั่วผืนทวีป ไยพระองค์มิหันหน้ามาพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุขเล่า เมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข นั่นต่างหากจึงจะเรียกว่ายุคทองของซาโลม ฝ่าบาท เราสูญเสียมามากพอแล้วกับการทำศึกสงคราม ทั้งทรัพย์สินในท้องพระคลัง ทั้งไพร่พลมากมาย Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 4 ทหารไร้วิญญาณ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 02:25:03 AM ซาดินขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า ใช่ เราสูญเสียไปมาก โดยเฉพาะไพร่พล...
บลาส เซจ เห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยขึ้น ฝ่าบาท ทรงกลัวอะไรหรือ เหล่าทหารพร้อมจะพลีชีพเพื่อพระองค์อยู่แล้ว ซาโลมเป็นดั่งไฟ เมื่อไฟให้พลัง ให้ประโยชน์ใดๆ แก่ท่าน มันย่อมต้องเผาผลาญบางสิ่งเพื่อเป็นเชื้อเพลิง ดังนั้น การที่แผ่นดิน ประเทศ ผู้คนต้องถูกเผาผลาญเพื่อสร้างยุคใหม่อันยิ่งใหญ่นี้ และความเจริญรุ่งเรืองแห่งซาโลม มันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ซาดินยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ยิน ในแววตามีประกายวาวดูเหี้ยมเกรียม พลางพยักหน้าช้าๆ เปรยขึ้นว่า จริงของเจ้า ฝ่าบาท แล้วหากไฟนี้ร้อนแรงเกินกว่าเราจะควบคุมได้ จนไฟนี้กลับย้อนมาแผดเผาผู้ที่จุดเสียเองเล่า นาริส มิยอมแพ้เช่นกัน ด้าน เนริมอร์ นั้น มิอาจเก็บความร้อนใจได้อีกต่อไป จึงกล่าวแทรกขึ้น ซาดิน ข้าคิดว่าการนี้เราอาจได้ไม่คุ้มเสีย เหล่าทหารของเราก็........... เนริมอร์หยุดพูดทันที เมื่อ ซาดิน ยกมือห้าม ซาดินหันไปมอง บลาส เซจ นัยว่าจะให้ บลาส เซจ เป็นผู้โต้คำของเนริมอร์เอง พระนางเนริมอร์ แล้วถ้าหากในการทำศึกสงครามครั้งนี้ ฝ่าบาทจะไม่เสียกำลังไพร่พลแม้เพียงสักคน ซ้ำยังมีกำลังพลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้นเล่า บลาส เซจ กล่าวพลางแสยะยิ้ม อย่างเจ้าเล่ห์ เหลวไหล! เนริมอร์ ลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดัง เจ้าพูดเพ้อเจ้อเกินจริงแล้ว จริงอยู่ว่ารบโดยมิเสียกำลังไพร่พลอาจทำได้ แต่การเพิ่มจำนวนกำลังพลอย่างเจ้าว่านั้นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน แล้วหากกระหม่อมทำได้ล่ะ ? บลาส เซจ กล่าวอย่างท้าทาย ทั้ง ซาดิน และ เนริมอร์ ต่างก็ประหลาดใจในคำของมหาอุปราช เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาเสนาอำมาตย์ดังอื้ออึงไปทั่วท้องพระโรง แต่ในใจของ เนริมอร์ ในขณะนี้เต็มไปด้วยความกังวลร้อนใจ และโทสะจากการยั่วยุของ บลาส เซจ จึงมิทันได้ระวังอุบายที่ บลาส เซจ วางไว้ จนเผลอประกาศออกไปว่า ก็ได้ หากท่านทำได้จริง ข้าจะมิขัดขวางการศึกครั้งนี้อีก ซาดิน ได้ฟังเช่นนั้นก็นึกฉงนด้วยเช่นกัน จึงกล่าวว่า บลาส เซจ เจ้าจะใช้วิธีใดรึ ไหนลองบอกข้าสิ ฝ่าบาท ทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองจะดีกว่า ข้าพระองค์ได้เตรียมการไว้แล้ว บลาส เซจ ค้อมศีรษะ เป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะปรบมือ 2 ครั้งเป็นสัญญาณ สักพักทหารองครักษ์สองนายก็หามศพของนายทหารคนหนึ่งเข้ามา กลิ่นซากศพที่เริ่มเน่าส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วท้องพระโรงนั้น เหล่าเสนาอำมาตย์บ้างก็เบือนหน้าหนี บ้างก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับกลิ่นสาบสาง นาริส สุไลมาน เห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามว่า นี่ท่านคิดจะทำอะไรนี่ จึงได้นำศพเข้ามาในเขตพระราชฐานเช่นนี้ บลาส เซจ หันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย มิกล่าวตอบใดๆ เมื่อนายทหารทั้งสองวางศพลง ณ กลางท้องพระโรง บลาส เซจ ก็ก้าวออกมายืนเบื้องหน้าบัลลังก์ ที่ประทับ ข้าพระองค์ได้เรียนรู้วิชานี้จากนักปราชญ์มนต์ดำผู้เป็นสหายของข้าพระองค์ ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่หากให้เวลาข้าพระองค์อีกสักระยะ ข้าพระองค์มั่นใจว่าสามารถฝึกได้จนสมบูรณ์ ว่าแล้ว บลาส เซจ ก็หยิบขวดเล็กๆขวดหนึ่งออกมาเปิดจุกออก ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดรุนแรงก็พวยพุ่งออกมาจากขวดนั้นตลบอบอวนไปทั่วทั้งท้องพระโรง บลาส เซจ เดินเข้าไปใกล้ศพนั้นเทของเหลวสีดำสนิทลงไปที่ศพสองสามหยด จากนั้นก็ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วก็เริ่มร่ายมนต์ด้วยภาษาที่แปลกหู ทุกคนในห้องต่างเงียบกริบ สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่กับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า สิ้นเสียงร่ายมนต์ของ บลาส เซจ ภายในห้องก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังมาจากทุกทิศทุกทาง แล้วทุกอย่างก็สงบลงในทันที ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 4 ทหารไร้วิญญาณ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on December 19, 2004, 02:26:01 AM จงตื่นขึ้นมาด้วยวิญญาณใหม่แห่งมารเถิด ทาสแห่งข้า บลาส เซจ สั่งด้วยเสียงอันดัง
ทันใดนั้นซากศพก็ส่งเสียงร้องโหยหวน และเริ่มขยับตัวลุกขึ้น เสียงประหวั่นพรั่นพรึงจากบรรดาเสนาอำมาตย์ก็ดังไปทั่วท้องพระโรง บลาส เซจ ยิ้มอย่างพอใจกล่าวว่า แสดงพลังในตัวเจ้าให้ข้าดูหน่อยสิ ซากศพนั้นก็ชักดาบออกมาจากฝักและหันหน้าไปทางทหารองครักษ์ทั้งสองที่เป็นผู้หามตนเข้ามา ทหารองครักษ์ทั้งสองเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบชักดาบออกมาทันที หากพวกเจ้าไม่อยากตายก็จงฆ่ามันซะ บลาส เซจ กล่าว สิ้นคำของ บลาส เซจ ซากศพนั้นก็กระโจนเข้าใส่ทหารทั้งสองทันที ทั้งสามต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ซากศพนั้นแม้จะถูกฟันแทงกี่ครั้งกี่หนก็ไม่สิ้นฤทธิ์ ยังคงตรงเข้าห้ำหั่นทหารทั้งสองอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดทหารทั้งสองก็เริ่มอ่อนแรงด้วยความเหนื่อยล้าและพิษบาดแผล ร่างของทั้งสองค่อยๆทรุดลงนอนตายอยู่แทบเท้าซากศพนั้น ดูสิว่าท่านได้ทำอะไรลงไป ท่านทำให้เราเสียทหารฝีมือดีไปถึงสองคน!! นาริส หันไปจ้องหน้า บลาส เซจ พูดเสียงกร้าว บลาส เซจ เงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง แล้วจึงพูดว่า ผิดแล้วมหาอำมาตย์ ข้าทำให้เรามีทหารที่เก่งกาจ และแข็งแกร่งที่สุดเพิ่มขึ้นอีกสองคนต่างหากเล่า ว่าแล้ว บลาส เซจ ก็ทำการร่ายมนต์ปลุกทหารทั้งสองขึ้นมา ศพของทหารทั้งสองก็ค่อยๆลุกขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าที่บัลลังก์ ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างพากันนิ่งเงียบตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งงงงันและพรั่นพรึง แม้แต่ นาริส สุไลมาน ก็อยู่ในอาการมิต่างกัน ด้านเนริมอร์นั้นทั้งตกตะลึง โกรธเคือง และเสียหน้ายิ่งนัก หากแต่นางมิสามารถกล่าวใดๆได้อีก เพราะได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว จึงได้แต่ขบกรามแน่น นางลุกขึ้นสะบัดหน้า เดินออกจากท้องพระโรงไป ข้างฝ่ายซาดินนั้นเมื่อคลายความตกตะลึงลงแล้วก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม ดีมาก บลาส เซจ ! กองทัพที่มิมีวันตายใครเล่าจะหาญกล้าต่อกรด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงหัวเราะของกษัตริย์แห่งซาโลมดังลั่นท้องพระโรง เหล่าขุนนาง ต่างนิ่งเงียบ รู้สึกขนพองสยองเกล้ากับเหตุการณ์วิปริตที่เกิดขึ้น ข้างฝ่ายมหาอุปราช ยืนยิ้มอย่างผู้มีชัย เคียงข้างศพเดินได้ทั้งสามนั้น |