Title: [Fic] Smn ยุคหลังเจ้าชายเดวิดครับ(นิยาย) มาต่อแล้วครับ Post by: The N on April 22, 2009, 12:13:25 AM เรื่องราวต่อไปนี้จะเกิดขึ้นในอาณาจักรเล็กๆที่ห่างไกลจากทวีปเมอร์รีเซียร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดสงครามระหว่าง
บรรดา อัศวินผู้กล้า กับSin โดยมีรัชทายาทของแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทวีปเมอร์ริเซีย เพื่อศึกษาหาความรู้ กลับไปช่วยเหลือทวีปเล็กๆของตน ณ ดินแดนที่แสงแห่งพระธรรมจักรส่องไปยังไม่ถึง เปลวเพลิงโชติช่วง ชัชวาน สีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นราวกับจะไปให้ถึงสรวงสวรรค์ เสียงร้องระงมของผู้คนที่ต้องบาดเจ็บล้มตาย จากไฟสงครามดังแซ่ซ้องไปทั่วทั้งเมือง แคว้นอคาดิเนีย ดินแดนที่ถูกยกย่องว่าเป็น แผ่นดินของจอมเวทย์ เพราะที่นี่กอปรไปด้วยผู้หลงใหลในพลังและอำนาจแห่งมนตราที่เดินทางมาหาความรู้ หากแต่เวลานี้ภัยพิบัติได้ย่างกรายมาถึงแล้ว ด้วยน้ำมือของ กองทัพอันเกรียงไกร และความวุ่นวายอันมิอาจเลี่ยงจึงตามมา บ้านเรือนและร้านค้าที่เคยมากไปด้วยผู้คนบัดนี้เหลือเพียงเศษซาก ดินแดนที่เคยรุ่งเรืองหลงเหลือเพียงเถ้าถ่าน ซากศพมากมายของผู้คนที่ต้องสังเวยให้กับการโจมตีที่รวดเร็วและโหดเหี้ยม ล้มระเนระนาดอยู่ทั่วไปทั้งถนนใหญ่ เสียงแว่วของการคร่ำครวญอ้อนวอนชีวิตจากผู้ที่หนีไม่ทันและกำลังจะถูกฆ่าดังจากหนทางที่ไกลออกไป แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า หากคนที่ตนเองร้องขอนั้นมิได้มีหัวใจ ความตายที่มิอาจหลีกเลี่ยงจึงตามมา ภายในเขตพระราชฐาน ณ วิหารที่สร้างด้วยทองคำทั้งหมดอันใช้เป็นที่กระทำพิธีและสักการะเหล่าทวยเทพอันแสนสวยงาม บัดนี้กลับกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่สำหรับเหล่าพ่อมดผู้เรืองอำนาจ บรรดาผู้รอดชีวิตมีอยู่เพียงหยิบมือเดียว ถูกรายล้อมไปด้วยอมนุษย์ต้นไม้ที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ อันเกิดจากมนตราผสานกับรากไม้ ก่อกำเนิดมาโดยมีลักษณะคล้ายมนุษย์ลำตัวถักทอไปด้วยเถาวัลย์พันเกี่ยวเป็นร่างกาย แววตาเขียวราวกับมรกต ร่างกายปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำทั่งทั้งตัวนิ้วมือก็ประดับไปด้วยใบไม้ประหลาดสีเขียวสด ในจำนวนเหล่าจอมเวทย์ที่ยังหลงเหลือชีวิต มีราชาโซโรส เจ้าแห่งอคาดิเนียและพระมเหสี อนาตาเชียรวมอยู่ด้วย ราชาผู้เฒ่า สองมือเกาะกุมคทาสีทองในมือแน่น แววตาอ่อนล้าโรยแรง เนื่องจากตรากตรำการรบมาทั้งวันทั้งคืน มนุษย์ต้นไม้ไร้ซี่งชีวิต พากันกรูเข้ามาอย่างล้นหลามโดยหาได้มีที่ท่าหวาดกลัวรึเกรงเหล่าจอมเวทย์ทั้งกลุ่มเลยแม้แต่น้อย เหล่าจอมเวทย์เองก็เตรียมรับมือเช่นกัน ข้าแต่ราชาแห่งเปลวเพลิงในสงคราม ขอจงเมตตาต่อผู้อัญเชิญท่านด้วยความเคารพ จงรับฟังคำของข้าผู้วิงวอนท่านด้วยเถิด ราชาเฒ่าร่ายคาถาพลางขมวดคิ้วด้วยความกังวล เปลวเพลิงลูกหนึ่งปรากฏปลายของคทา มันมีขนาดเท่ากับกำปั้นของมนุษย์ เปลวเพลิงทรงกลมที่เปล่งประกายจ้าสว่างวาบขึ้น พร้อมกับการถูกขว้างออกไป กระทบกับร่างของอมนุษย์ไม้ตนหนึ่งที่รุกเข้ามาใกล้จะถึงพระองค์ เปลวไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะลุกโชนไปด้วยไฟ นอกจากนี้มันยังแตกตัวออก เปลวเพลิงดวงเล็กๆพุ่งต่อกันโจมตีมนุษย์ไม้ตนอื่นๆเป็นลูกโซ่ ไม่นานทั้งหมดก็ถูกเผาผลาญจนสลายไป แต่นั่นมิได้แปรว่าจะปลอดภัย รีบเสด็จเถิดฝ่าบาท หากช้าจะมิทันการ ราชาแห่งความตายคงกำลังคืบคลานมา ณ ที่แห่งนี้อุปราชเวทย์ผู้หนึ่งสบถอย่างลนลาน แววตาหวาดผวาเมื่อเอ่ยชื่อที่เขาไม่อยากนึกถึง ก่อนที่ทั้งหมดจะค่อยๆออกจากวิหารทองคำอย่างระมัดระวัง ทันทีที่พ้นประตูวิหาร ขุมกำลังกลุ่มใหม่ก็เข้ามารายล้อมอีกครั้ง คราวนี้มาในรูปลักษณ์คล้ายๆกับแฟรรี่ ด้วยร่างกายสีเขียวสดกำยำ ปีกบางใสประดับทับซ้อนกันอยู่ด้านหลัง ดูงดงามแปลกตา หากแต่ว่าร่างกายที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ จำเพาะดวงตาที่แดงก่ำดุงโลหิต ใบหน้าแสยะยิ้มอย่างมีความสุขกับการล้างสังหารชีวิตของคนอื่น สิ่งเหล่านั้นแหละที่แตกต่างจากแฟรี่ที่แสนอ่อนโยนและร่าเริง เราจักหาวิธีเปิดทางส่งพวกเจ้าออกไป หลังจากนั้นจงเร่งรีบไปสมทบกับ มาแชลโลดี้ ที่รออยู่นอกอาณาจักร เข้าใจรึไม่ ราชาผู้เฒ่าดำริออกมาด้วยความร้อนรน เพราะเกรงว่าหากชักช้าจะมิทันการ ก่อนที่สายหาห่วงใยและเศร้าสร้อยจะปรากฏแด่ทารกน้อยในอ้อมแขนของพระมเหสีของพระองค์ นางอันเป็นที่รักแห่งข้า บัดนี้เวลาของข้าได้มาถึงแล้ว เจ้าจงนำราชบุตรแห่งเราที่เทพเจ้าประทานมาให้หนีรอดไปให้จงได้ เพื่ออนาคตแห่งโลกพิภพ ที่เราและเหล่าจอมเวทย์ทั้งหลายได้แผ้วถางไว้ด้วยชีวิตของพวกเราน้ำตาใสๆไหลออกมาจากดวงเนตร ที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและอาลัย ก่อนที่จะผลักนางไปอยู่ท่ามกลางการอารักขาของจอมเวทย์คนอื่นๆที่เตรียมตัวตามคำสั่ง ไม่เพคะ ข้าจะอยู่กับพระองค์พระนางกระชากเสียงอย่างรุนแรง ด้วยความอาลัยรัก ก่อนที่จะถูกตรึงด้วยมนตราจากพระสวามี สายตาทอดอาลัยปรากฏขึ้นจากดวงหน้าที่มิอาจขยับอันใดได้ มีเพียงหมดน้ำตาเท่านั้นที่รินไหลลงอาบสองแก้มและความสิ้นหวังที่สะท้อนอยู่บนสีหน้า จงจำเอาไว้เถิด ราชาผู้เฒ่าเกาะกุมสองมือที่นุ่มนิ่มและขาวนวลนั้น ราวกับจะให้ความรู้สึกแห่งความอบอุ่นที่สัมผัสได้นั้นติดตามตัวเองไปทุกภพทุกชาติ ข้ารักเจ้าเพียงผู้เดียว อนาตาเชียร จงดูแลโอรสของเราให้เติบใหญ่ขึ้นมา ภาระทั้งมวลและการเดินทางสู่ทวีปเมอร์ริเซีย กำลังรอเขาอยู่ สิ้นดำรัสสองมือก็ผละออกจากนาง ก่อนที่โบกพระหัตถ์เป็นเชิงให้เหล่าจอมเวทย์ชั้นสูงที่ติดตามพระองค์มานานถอยร่นไป แฟรี่ปีศาจฝูงใหญ่มิอาจจะต้านต่อคาถาของเหล่าพ่อมดผู้สูงส่งแห่งราชสำนัก อคาดิเนีย ได้เลยแม้แต่น้อย พวกมันผงะออกอย่างร้อนรน เมื่อโดนเปลวเพลิงจากไม้คทาของเหล่าจอมเวทย์ชราที่ร่ายคาถากำกับไว้ ดังนั้นพวกมันจึงหันมาเล่นงานราชาเฒ่าผู้อยู่เพียงลำพัง แต่นั้นนับว่าเป็นการตัดสินใจผิดมหันต์ พระเพลิงเอ๋ย ท่านสถิตในสนามรบใช่หรือไม่? ขอได้ตอบรับคำเรียกขานของเราอีกสักคราเถิด ผู้ที่กำลังหวังพึ่งท่าน ด้วยความเคารพยิ่งชีวิต ดวงตาที่หลับสนิท เหงื่อที่ไหลออกมาเพราะความเหนื่อย และเปลวไฟที่ร้อนระอุ ได้ลุกโชนไปทั่วทั้งวรกาย บัดนี้พระองค์มิต่างอันใดกับมนุษย์เพลิงเลยแม้แต่น้อย แฟรี่ปีศาจทั้งฝูงถูกเผามอดไหม้ลงในเวลาไม่นาน แต่นั่นมิได้หมายความว่าราชาผู้เฒ่าจะปลอดภัย เพราะความน่าสะพรึงที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น เงาร่างสีดำสายหนึ่งปรากฏเบื้องหลังของ โซโรสอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ยังรับรู้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ก่อนที่จะหันหลังกับไปเผชิญหน้ากับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายนั้น ซี .. ฉั๊วะ ยังมิทันจะได้กล่าวจบ ศีรษะของราชาผู้เปี่ยมไปด้วยมนตราก็หลุดลอยออกจากร่าง ใจของโซโรสที่เคยหมายว่าจะสร้างความเสียหายให้ราชาแห่งความตายผู้นี้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตแต่บัดนี้ ชีวิตของเขาสิ้นไปแต่กลับมิได้อะไรกลับมาเลย ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ พริบตาไฟที่ลุกลามตามร่างนั้นพลันมอดดับ ร่างสีดำทะมึนในชุดคลุมสีเขียวใบไม้ มองไปทั่วบริเวณ ก่อนที่หายวับไปกับความมืด ถัดออกมาจากดินแดนที่กำลังล่มสลาย ในป่าลึกหญิงวันกลางคนผู้หนึ่ง ที่แต่งกายด้วยชุดสีสาวปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย ในอ้อมแขนมีทารกเพศหญิงคนหนึ่ง นางโอบอุ้มเด็กน้อยหันมองไปมาอย่างระมัดระวัง เงาร่างสายหนึ่งพึ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางผงะด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าตนเองจะสามารถรับรู้อนาคตได้ก็ตามแต่พอถึงเวลาจริงๆก็อดที่จะตะหนกมิได้ นางเอียงกายหลบอย่างว่องไว แต่มันยังไม่เพียงพอ ผ้าคลุมกายของนางถูกกระชากออกไปส่วนหนึ่ง นางชี้มือและร่ายคาถาโดยเร็ว เทพแห่งอิกดราซิล อาณัติแห่งการพิทักษ์จงบังเกิด ประกายแสงสีขาวกางกั้นรอบตัวของนางไว้ พร้อมกับขยายออกครอบเป็นบาเรียเวทย์สีขาวนวล ร่างที่โจมตีนางหยุดกะทันหัน ชายเสื้อคลุมสีเขียวสะท้อนแสงแวววับ ใช่แล้ว เขาคือผู้ปลิดชีวิตชราของกษัตริย์ นักเวทย์ โชโรส มันจะขวางข้าได้หรือ หญิงรับใช้แห่งยักดราซิล น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ยพร้อมกับมือขวาที่วางทาบกับบาเรียนั้น ประกายสีขาววนรอบมือของผู้มาร้าย พร้อมกับการรัดเกี้ยวไปทั้งฝ่ามือ หญิงชุดขาวหาได้มีความยินดีไม่ เพราะนางทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา จากรอยยิ้มที่ทำให้นางต้องขมวดคิ้วในทันที เปรี้ยะ . เสียงของมือที่ทะลุผ่านบาเรียเข้ามาได้ ถึงแม้ว่าจะถูกพลังนั้นคุกคามแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลอะไรเลยแม้แต่น้อย เล็บสีดำที่ค่อยๆยาวยืดออกก่อนที่จะพุ่งตัวอย่างรวดเร็วเข้าโจมตีเป้าหมายที่อยู่ภายใน นางก้มตัวหลบโดยพลัน แต่เล็บเหล่านั้นกลับงอตัวลงมาโจมตีได้อีก นางจำต้องกลิ้งไปกับพื้นโดยใช้ร่างตัวเองกำบังทารกน้อย แต่น่าเสียดายที่ทารกน้อยได้รับแผลจากการโจมตีนั้นที่หัวไหล่ ผู้มาร้ายสะบัดมือเบาๆก็ทำให้บาเรียสลายไปได้ ก่อนที่จะตวัดมือเบาๆดึงร่างของหญิงชุดขาวด้วยพลังให้เข้ามาหาตน นางพยายามขัดขืนแต่มีรึที่มนุษย์จะต่อต้านเทพได้ นางพยายามเบือนหน้าไม่สบตากับร่างเบื้องหน้า รังเกียจข้ารึ? นางผู้รับใช้ ไม่มีเสียงตอบกลับ จนราชาแห่งความตายต้องหรี่ตามองอย่างสงสัยก่อนที่จะกระชากคอของนางด้วยอุ้งมืออย่างจริงจัง กรงเล็บแหลมคมจ่ออยู่ที่คอของนางเพียงเขาขยับเล็กน้อย นางก็คงลาโลกไปแล้ว ท่านพลาดแล้วราชาผู้ชั่วร้าย นางเผลรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก จากแววตาหวาดผวากลับกลายมาเป็นกระยิ่มยิ้มย่องใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ราชาแห่งความตายสะดุ้งรับผละออกจากนางทันที หากแต่ช้าเกินไป ของสิ่งหนึ่งพุ่งเข้าหาลำคอเขาอย่างรวดเร็ว มันตวัดรัดคอของเขาแน่น โดยมีลักษณะเป็นสร้อยประดับจี้รูปร่างแปลกประหลาดเส้นหนึ่ง นี่มันผู้หวังร้ายเปลี่ยนท่าทีในบัดดล เสียงสั่นเครือด้วยความวิตก แววตาซ่อนความกลัวเกรงเอาไว้ไม่น้อย ก่อนที่จะแข็งใจเงื้อกรงเล็บเข้าหานางอย่างรวดเร็ว ไปตายซะร่างแกร่งกระชากเสียงรุนแรง พร้อมกับเล็บแหลมยาวที่ตวัดลงอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ล่วงหน้า นางเบนหลบไปทันท่วงที โดยระวังทารกในอ้อมแขนไปด้วย ขอพลังแห่งเหล่าทวยเทพ ขอพระพรแห่งอิกดราซิล เครื่องหมายแห่งจันทราผู้พิทักษ์อุบัติแล้ว ขอจงปัดเป่าความชั่วร้ายนี้ด้วยเถิด เสียงอันกอปรไปด้วยความเคารพและวิงวอนเบาบางหลุดออกจากริมฝีบางงามๆของนาง ตามมาด้วยเสียงโหยหวนของร่างเบื้องหน้า ชุดสีเขียวใบไม้เริ่มลุกไหม้อย่างรุนแรง แววตาสิ้นหวังปรากฏออกจากร่างสีดำนั้น อย่างเด่นชัด ข้าขอสาปแช่งเจ้า ขอสาปแช่ง ขอสาปแช่ง . เสียงดังกังวานไปทั่วสารทิศพร้อมกับการมอดไหม้ไปจนหมดสิ้นของราชาแห่งความตาย รอยเล็บที่เด็กทารกได้รับ ปรากฏไอสีดำอย่างประหลาดและทอประกายสีเขียว นั่นคือสัญลักษณ์แห่งคำสาป หญิงชุดขาวได้แต่ถอนใจเบาๆ ก้มหน้ามองเด็กน้อยในอ้อมแขนของหล่อนอย่างสงสาร ชะตากรรมได้ลิขิตหนทางที่เต็มไปด้วยน้ำตาให้แก่เจ้าเสียแล้ว นางเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะหันไปทางดินแดนที่เคยรุ่งเรื่อง บัดนี้มีเพียงเถ้าถ่านไม่เหลือเค้าของความยิ่งใหญ่อีกแล้ว ก่อนที่นางจะหันหลังเดินจากไป . Title: Re: [Fic] Smu (serrias) นิยายครับ Post by: The N on April 22, 2009, 12:18:36 AM ไกลออกไปบนผืนแผ่นดินอันแสนกว้างใหญ่แห่งทวีป เซเมอร์เรียส ดินแดนแห่งตำนานที่ยังไม่มีศาสนจักรบนผืนพิภพ ณ ที่ซึ่งจะถูกกล่าวขานต่อไปในภายภาคหน้าและบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ ในฐานะผืนแผ่นดินที่เป็นจุดเริ่มต้นของมหาสงครามระหว่างศาสนจักร กับ Sin ความแตกต่างของภูมิประเทศอันเกิดจากการรังสรรค์ของราชาแห่งผืนพสุธา ด้วยความเร่งรีบและเจ็บปวด อันส่งผลให้ดินแดนแห่งนี้ขาดความสมดุล อันเป็นสาเหตุแห่งความแตกต่าง แต่นั้นก็เป็นเครื่องบ่งบอกถึงวิถีทางแห่งการดำรงชีวิตของผู้คน โดยถูกกางกั้นด้วยความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละดินแดน หากแม้ความรักและความเมตตาประดุจแสงสว่างที่ส่องนำพาสรรพชีวิตสู่ความสงบสุข กิเลสตันหา ราคะ รัก โลภ โกรธ หลง ย่อมประดุจเงาของแสงสว่าง นั่นคือความมืดที่คอยชักจูงผู้คนสู่หนทางแห่งความเสื่อมและล่มสลาย สงครามจึงไม่เคยหมดไปจากโลก เพราะความอยากและความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเองสงครามครั้งนี้ได้ถูกจารึกลงไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ชนรุ่นหลัง ถึงบั้นปลายแห่งความไม่รู้จักพอ และสงครามที่สร้างเพียงแค่ความเสียหายโดยหาประโยชน์อันใดมิได้เลยแม้แต่น้อย ราชอาณาจักร เดเวส ณ ดินแดนทิศตะวันออกของทวีปเล็กๆนาม เซเมอร์เรียส ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีป เมอร์ริเซีย ดินแดนที่เต็มไปด้วยป่าไม้และความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใดก็เห็นแต่ผืนป่าทอดยาวสุดลูกหูลูกตาทั้งยังอบอวลไปด้วยหมอกที่เกิดจากไอระเหยของน้ำให้ความชุ่มฉ่ำตลอดวันอีกด้วย ท่ามกลางทะเลหมอก หากสายลมพัดผ่านให้หมอกกระจายตัวออกเมื่อใด จะเผยให้เห็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง นั่นแหละ เดเวส กำแพงไม้ถมดินอย่างเรียบๆ รายรอบตัวเมืองบ่งบอกว่าเมืองนี้ไม่มีการศึกนัก จึงไม่ได้จัดการป้องกันให้ดีเท่าที่ควร สภาพของกำแพงก็เก่าแก่เต็มที อาจเป็นเพราะที่นี่ตั้งอยู่ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยอันตราย แถมยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆ จึงไม่มีดินแดนใดๆต้องการจะครอบครองก็เป็นได้ ถัดจากกำแพงเมืองดินดำไปก็เป็นตลาดในเมือง ที่มีผู้คนเดินจับจ่างใช้สอยหนาแน่นพอสมควร เสียงร้องตะโกนแข่งราคาสินค้าดังไปทั่วตลาด บ้างก็กำลังต่อรองสินค้ากัน ของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่หาได้ภายในอาณาจักร จำพวก เห็ด โสม ผลไม้ อาหารมังสวิรัติ และสัตว์ป่านานาชนิด โดยใช้เงินตรา เฟอดินันทรา ที่ใช้สกุลเดียวกันทั่วทั้งดินแดน พันธมิตรแห่งโลก ผู้คนที่นี่แต่งกายด้วยผ้าน้อยชิ้น ผู้หญิงใช้ผ้าพันช่วงอก และปิดกายช่วงล่าง ส่วนชาย มีเพียงผ้านุ่งห่มช่วงล่างไม่ยาวมากนัก หญิงสูงวัยส่วนมากใช้ผ้าคลุมไหล่เพื่อปกป้องความเย็นชื้น ห้างร้านส่วนใหญ่ ทำมาจากต้นไม้มากอายุทำเป็นเสาและนำผ้าที่ถักทอสีครึ้มมาทำเป็นหลังคา บังเศษใบไม้เบื้องบนที่ร่วงหล่น และสามารถบังแสงแดดที่เล็ดลอดจากกลีบเมฆเบื้องบน อาจเป็นเพราะอยู่กลางป่ากลางเขาหมอกเยอะ เลยมิอาจใส่เสื้อผ้าเทอะทะให้อับชื้นก็เป็นได้ แต่ละคนมีร่างกายที่สมส่วนแต่ไม่ถึงกับกำยำ นัยน์ตาสีเขียวราวกับผืนป่ารอบข้าง ผิวกายสีขาวซีด คงเพราะมิค่อยได้สัมผัสกับแสงแดดเท่าไหร่นัก เลยจากตลาดไปก็ถึงเขตชนชั้นสูงที่กางกั้นด้วยกำแพงสีเขียวมรกต และบ้านเรือนที่ดูหรูหรากว่าเขตตลาดมากนัก ลึกเข้าไปยังชั้นในสุด นั้นคือเขตพระราชฐานอันวิจิตงดงามเป็นที่อยู่ของชนชั้นกษัตริย์ ปราสาทสีเงินสะท้อนแสงแวววับเด่นสง่าอยู่กลางพระราชฐานนั้นคือ ที่ว่าราชการแผ่นดิน ท้องพระโรงแห่งเดเวส ในวันนี้คับคั่งไปด้วยมุขมนตรีทุกฝ่าย เพราะทราบกันดีว่า ราชาโซโลมา ให้ราชทูตอัญเชิญราชสาสน์กับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายในทำนองเจริญทางพระราชไมตรี จะทำอย่างไรกันดี? บุรุษผู้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ เดเวสแต่งกายด้วยผ้าสีเขียวมรกตสวยงามประกับด้วยอัญมณีสีแดงระเรื่อมากมาย รูปกายกำยำ แววตารักสงบ เอ่ยอย่างแผ่วเบาเป็นทีถามความเห็น การส่งราชสาสน์ มาทูลขอ ไม้ประดับแห่งอิกดราซิลที่พวกเราดูแลมานับสิบๆปี ชะรอยจะเป็นการหาเหตุในการรุกรานเราเป็นแน่แท้ หากเราโอนอ่อนต่อไปในภายภาคหน้า เขาก็จะกดขี่ข่มเหงพวกเราได้โดยง่าย ข้อคิดเห็นหนึ่งดังมาจากอุปราชซ้าย เลดิวัส ที่กำลังขมวดคิ้ว เอามือลูบเคราสีขาวโพลนของตัวเองอย่างวิตก บัดนี้โซโลมา มีกำลังกล้าแข็งเพราะล้มล้างและยึดครองดินแดนแว่นแคว้นต่างๆทั้งหมดที่อยู่เดิม ทั้ง เรโนเซีย อีเวตรา ไซรีส และฮาโรร่า มีกำลังกล้าแกร่งมากกว่าเราเหลือคณานับ หากเราปฏิเสธไปเสีย ก็จะกริ้วโกรธ แต่แท้ที่จริงจะสมใจที่โหยหาอำนาจเป็นแน่แท้ อุปราช ขวา มาฮาลทูลตอบใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวนลึกๆ แล้วควรจะทำเช่นไร? เสียงอันทรงอำนาจกังวานขึ้นอีกวาระ เลดิวัสลูบเคราอีกคราก่อนที่จะผสานมือตอบออกไปด้วยความเคารพ ข้าแด่องค์ เลโมโนสผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเห็นว่าเราควรจะผัดผ่อนเวลาไปก่อน แม้ว่าจะเสียไม้ประดับไป แต่เรายังคงอยู่รอดได้อีกนาน หากจะทำการสงครามก็แลไม่เห็นทางที่จะชนะเลยแม้แต่น้อย ใยเรามิยอมโอนอ่อนไปก่อนละ? ไม่ได้ มาฮาล กระชากเสียงรุนแรงเรียกความสนใจจากเหล่ามุขมนตรี และราชา เลโมโนสได้อย่างดี แววตาฉายความขุ่นเคืองก่อนที่จะทำความเคารพและกล่าวออกไป อันที่กล่าวมานั้น ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพระราชสาสน์นั้น เสแสร้งว่าทำทีมาเจริญไมตรี หากแต่ถ้อยคำแฝงอุบายหาเรื่องทำสงคราม การใช้ไม้ประดับแห่งอิกดราซิล ส่งมอบไปให้โซโลมา แล้วนั่นใช่ว่าจะแล้วกันไป ทางโน้นจะต้องคิดว่าเรากลัวเกรง แล้วไหนเลยจะนิ่งเฉยได้เล่า ไม่นานก็หาเหตุครั้งใหม่ มาอยู่ดี ไหนๆก็จะรบอยู่แล้วทำไมไม่รบไปเลย จะมัวรออะไร? ทั้งท้องพระโรงเงียบกริบไปหมดสิ้น กษัตริย์ผู้รักสงบได้แต่ถอนใจ รบวันนี้รึวันหน้าก็ไม่แตกต่างกัน จะหวั่นไปทำไม ตอบสาสน์กลับไปพริบตานั้นราวกับว่าเมฆหมอกแห่งไฟสงครามได้เคลื่อนเข้ามาปกคลุมดินแดนอันสงบสุขแห่งนี้แล้ว ในคืนแห่งดวงดาวระยิบระยับเป็นประกาย ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ดวงจันทร์มิอาจจะส่งแสงเทียบดวงดาวได้ ในป่าลึกเขียวขจีที่เงียบสงัด ลึกเข้าไปห่างไกลจากผู้คน มีต้นไม้อายุยืนนับพันปี ตั้งอยู่ใกล้ริมธารต้นน้ำ ที่ไม่มีผู้ใดจะเดินเข้ามาถึง บนต้นไม้ใหญ่นั้น มีการขูดลำต้นไม้ เพื่อให้กลายเป็นบันไดสำหรับใครบางคนได้เดินขึ้นไปอย่างง่ายดาย ด้วยลำต้นไม้ที่ใหญ่นั้นทำได้ไม่ยากนัก ช่วงกลางลำต้นที่อยู่สูงประมาณสองเมตรขึ้นไป เริ่มมีการปักหลักทำเสายึดบ้านไม้ ที่ตัดและคัดมาจากป่าใหญ่ถูกสร้างเป็นบ้านใหม่หลังเดียวชั้นเดียว หากภายในที่จัดแจงแบ่งกั้นเป็นห้องๆ แสงจันทร์นวลส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างให้ภาพสวยปรากฏเด่นชัด ดรุณีนางหนึ่งกำลังหลับนิทราอย่างเป็นสุขบนเตียงไม้ที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้สวยงามราวกับสวนดอกไม้บนสรวงสวรรค์ รูปหน้างดงามแม้ยามนิทรา ริมฝีปากบางยิ้มอย่างมีความสุข นางงดราวราวกับนางสวรรค์เลยทีเดียว ระวังหน่อยซิคะ เดี๋ยวไวท์ก็ตื่นกันพอดีหรอกซินเวีย จุ๊ จุ๊ เบาๆสิเธอ รีบไปกันเถอะ เลบาน่า เสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมาทำลายความสงบและฉุดหญิงสาวขึ้นมาจากการนอนอันแสนสุข เธอยกมือขึ้นมาลูบหน้าเบาๆเพื่อเรียกความตื่นตัว ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อยๆ เผยให้เห็นดวงตาสีครามที่งดงามทอประกายเอพยุงร่างขึ้นเบาๆก่อนที่จะเดินไปยังหน้าต่างอย่างงัวเงียเพราะพึ่งตื่น เงาร่างของเจ้าของเสียงเมื่อครู่กำลังออกจากประตูไปอย่างแผ่วเบา เธอแอบเกาะชายผ้าม่านผืนบางจ้องมองร่างทั้งสองผ่านหน้าต่างอย่างสงสัย ก่อนที่ร่างนั้นจะลับสายตาไปอย่างช้าๆ ท่านพี่ ซินเวีย กับท่านพี่ลาบาน่าจะไปที่ไหนกัน? เธอ อุทานออกมาพร้อมกับแววตาสงสัยที่ไร้เดียงสาราวกับเด็กๆ พลางขยับกายพาร่างบางไปที่ประตูและเดินลงบันไดไปสู่เบื้องล่าง ก่อนที่จะออกประตูตามพวกพี่ๆไป นี่เป็นครั้งแรกที่เธอก้าวออกจากบ้านต้นไม้มายังโลกภายนอกในยามราตรี ที่แสนสงัด แสงดาวระยิบระยับที่เธอได้มองผ่านหน้าต่างเล็กๆเท่านั้น บัดนี้เธอได้ออกมาสัมผัสกับมันจริงๆ แต่มันก็มิอาจทำให้เธอลืมจุดมุ่งหมายเดิมได้ เงาตะคุ้มไกลๆทำให้เธอรีบตามไปอย่างร้อนรนด้วยเกรงว่าจะไม่ทันพี่ๆ สาวสองนาง ร่างหนึ่งท่าทางอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้าหมดจดงดงามดวงเนตรอ่อนหวานทั้งคู่ ผมยาวสยายดำขลับถึงกลางหลัง ส่วนอีกคนหนึ่งผมสั้น ท่าร่างทะมัดทะแมง ดูเด่นกันไปคนละแบบ ยามนี้ทั้งคู่กำลังตัดผ่านพงหญ้ามาจนถึงกำแพงสูงใหญ่ของเดเวสอย่างรวดเร็ว จัดการเร็วๆซิ ลาบาน่า เดี๋ยวทหารลาดตะเวนก็มาพบเข้าพอดีหรอกซินเวียเร่งเพื่อนสาวที่กำลังอืดอาดเพราะถือคนโทน้ำด้วยความร้อนรน ลาบาน่ามองอย่างสงสัยเล็กน้อยพลางหรี่ตามองไปรอบๆ ยังไม่มีวี่แววทหารเลย จะรีบไปทำไมกัน? ช้าๆนะดีแล้วจะได้ไม่ผิดพลาดนะคะ คุณซินเวีย วันนี้ ท่านยายมาแชโลดี้ไม่อยู่ ถ้าเราไม่รีบเกิดว่าไวท์ตื่นขึ้นมาไม่เจอมันจะยุ่งไปกันใหญ่นะซิ ซินเวีย กล่าวแต่นางคงไม่คิดหรอกว่า สิ่งที่ห่วงนั้นมันเกิดขึ้นแล้ว และคนที่กล่าวถึงบัดนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากทั้งสองเลยแม้แต่น้อย จริงด้วยสิ ฉันลืมไปเลย ลาบาน่าวางคนโทน้ำลงอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ยกสองมือขึ้นผสานกับเพื่อนสาวในท่าเต็นรำ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กันและเริ่มออกท่วงท่าร่ายรำอย่างงดงาม เสียงลมพัดพาในยามค่ำคืนมันดังแว่วหวานเป็นบทเพลงไพเราะจับใจที่ก้องไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว ท่วงท่า ร่ายรำ นำฝัน คืนวัน ละเมอ เพ้อหา เยื้องกราย สะบัด ลีลา ดุจว่า ดารา รื่นเริง เสียงหวาน เย็บวาบ สดชื่น ชวนดื่ม ด่ำใน รสหวาน ฝันรัก ปักจิต คิดการ วันวาน หวานสุด สุขใจ เสียงเพลงกล่อมฟ้านภากาศ ดาราดาษเกลื่อนฟ้าแสงสวรรค์ วายุโชยโรยกลิ่นมาลาพลัน หอมชวนฝันหลงจิตหลับนิทรา สายลมผสานเสียงร้องของทั้งคู่พัดพาไปทั่วทั้งเมือง มนตราแห่งจอมคาถามาแชโลดี้สำแดงผล ให้ผู้คนเดเวสหลับใหลจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา ราวกับได้ยินเสียงเหล่าเทพยดา ขับกล่อมที่ปลายเตียง ทั้งสองหยุดร่ายรำและร้องเพลงทันทีเมื่อสายลมที่ผัดผ่านไปในเมืองหวนกลับมา เพราะนั่นหมายความว่า มนต์นิทราสุขสันต์สำแดงเดชแล้ว ไปกันเถอะทั้งสองหันมาสบตากันก่อนที่จะทะยานตัวด้วยสายลมพลิ้วไหวขึ้นไปบนกำแพงสูงชันของเดเวสและหายไปท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืน พลอยให้ร่างที่หลบซ่อนอยู่ปรากฏตัวออกมาจากพุ่มไม้เล็กๆไม่ห่างจากที่นั่นนัก ไวท์ในชุดขาวละมุมราวกับนางสวรรค์ผู้งดงามจ้องมองกำแพงสูงเบื้องหน้าไม่วางตา ทำไมพวกพี่ๆต้องเข้าไปด้านในนั้นด้วยละ แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไงนะ หญิงสาวมองไปรอบๆ ก็พบแต่เพียงความมืดมิด ไม่สามารถที่จะผ่านไปเช่นพี่ๆของนางได้ เนื่องเพราะปกตินายอยู่ภายใต้การดูแลและเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทั้งนางยังไม่ค่อยจะสนใจในการเรียนวิชาเวทย์มนต์ต่างๆ นั่นเพราะนางคิดว่าถึงอย่างไรนางก็มิได้นำมันไปใช้อยู่ดีโดยที่นางจะรู้ไหมว่าเพราะความคิดเช่นนี้จะทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปแบบที่มิอาจคาดคะเนได้เลยทีเดียว ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าเรียวบางของเจ้าหล่อนวิ่งดังแว่วพอสมควร เพื่อพาร่างงามเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไปตามด้านข้างของกำแพงสูงแห่งเดเวส สายตาของนางจดจ่ออยู่ที่ทิศทางเบื้องหน้าไม่วางตา ประกายดวงเนตรคมเรืองรองไปด้วยแสงสีน้ำเงินอันบริสุทธิ์ ภาพที่ปรากฏแก่สายตามันแจ่มชัดพอๆกับเวลากลางวันเลยทีเดียว ไม่นาน ไวท์ ก็มายืนอยู่เบื้องหน้าประตูบานใหญ่ที่สลักไปด้วยลวดลายสวยงามของเทวรูป แปลกประหลาดสองมือชูพันธุ์พืชเอาไว้ใบหน้าหนึ่งดุร้ายหนึ่งอ่อนโยน นางนองด้วยหางตา เพราะความรู้สึกในใจของนางหวาดผวาต่อบุคคลในภาพยิ่งนัก นางรีบผลักประตูบานใหญ่ที่ดูจะเกินแรงอันน้อยนิดของสตรี แอ็ด . เสียงประตูบานใหญ่เปิดออกอย่างช้าๆด้วยแรงผลักของร่างบาง เหงื่อหยดเล็กๆบังเกิดตามใบหน้าขาวนวลนั้น รอยยิ้มอย่างพอใจปรากฏออกมา เมื่อนางพบว่าบานประตูถูกเปิดออกแล้ว แต่ที่นางสงสัยคือทำไมไม่มีคนออกมาจากด้านในเลยแม้แต่คนเดียว นางคิดพร้อมกับเดินเข้าไปด้านใน วงล้อแห่งชะตากรรมได้เริ่มหมุนแล้ว Title: Re: [Fic] Sm หลังจากยุคของ เจ้าชายเดวิดไปแล้วนะค Post by: The N on April 22, 2009, 01:02:22 AM รอสักครู่นะครับ Title: Re: [Fic] Smn ยุคหลังเจ้าชายเดวิดครับ (serrias) นิยายครับ Post by: greamon on April 30, 2009, 07:24:34 PM หายไปไหนแล้วครับเนี่ย ::010::
เพิ่งเริ่มเองน้ามาต่อให้ได้ซัก5 -6 บทก่อนแล้วค่อยพักยาวดีกว่าไหมครับ ::003:: จะรอเน้อ Title: Re: [Fic] Smn ยุคหลังเจ้าชายเดวิดครับ (serrias) นิยายครับ Post by: The N on May 01, 2009, 06:59:13 AM อีกมุมหนึ่งของฟากฟ้ายามราตรีแห่งชูราโคร่า รัตติกาลที่ดำมืดและเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะอิดสะเอียนแปลกประหลาดบางอย่าง มันเป็นกลิ่นอายของหยาดเลือดและเสียงร้องไห้คร่ำครวญของความตาม ราวกับว่าวงล้อแห่งหายนะได้เวียนมาบรรจบ ณ ดินแดนแห่งนี้แล้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว เสียงฝีเท้าที่ทะยานอย่างรวดเร็ว เพียงปลายเท้าสัมผัสพื้นผิวเบื้องล่าง ก็พลิ้วตัวอย่างคล่องแคล่ว ฝีมือระดับนี้ มิใช่คนชนชั้นสามัญ เครื่องแต่งกายที่เป็นสีดำนั้นกลับ กลมกลืนกับความมืดมิด หากเห็นเพียงเงาการเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพราะแสงจันทร์วันเพ็ญกระจ่างใสพ้นออกมาจากฟากฟ้า แม้เมฆดำทมิฬนั้นจะบดบังเสียส่วนใหญ่ กระจายกำลังให้ทั่ว ตามหามันให้พบ หาไม่แล้วพวกเจ้าหัวขาดแน่เสียงตวาดก้องอันดุดันที่แว่วมาทำให้ ผู้ที่ถูกตามล่าหยุดชะงักเมื่อสองเท้าหยั่งลงบนปลายยอดหอคอยทรงระฆังคว่ำแห่งหนึ่งที่มีลักษณะสูงชะลูดเล็กน้อย ก่อนที่จะหันกายกลับมามองภาพเบื้องหลัง ค้นให้ทั่วห้ามมีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น ลากตัวเจ้าโจรปลายแถวนั่นออกมาให้ได้ เสียงที่กระชากรุนแรงดังมาจากทิวคบเพลิงที่สว่างไสวเรียงรายกันไปทั่วถนนเบื้องล่าง ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวาย ของเหล่าชาวเมืองที่ถูกปลุกขึ้นกลางดึก ดังไปทั่วทั้งถนน ดูท่าคงจะร้อนรนมากซินะ?ชายหนุ่มปริศนาเอ่ยปากเป็นครั้งแรกอย่างเย็นชาพลางจ้องมองอัญมณีสีรุ้งที่อยู่ในมือของตนบัดนี้มันเรืองแสงทอประกายสวยงามราวกับค้นพบเจ้าของที่แท้จริงของตัวมันเอง ผ้าคลุมสีดำโบกสะบัดไปตามแรงลมด้านบนอย่างรุนแรงพอสมควร ผมสยายสีทองแหวกออกตามแรงของวายุเผยให้เห็นหน้ากากสีเขียวมรกตดูราวกับตัวตลกก็มิปาน มันอยู่บนนั้นเสียงทหารนายหนึ่งเบื้องล่างที่เหลียวมองด้านบนพบเข้าพอดิบพอดี แน่ละเพราะหน้ากากของเขานั้นเปล่งประกายประหลาดสีเขียวเรืองรองที่สามารถแลเห็นได้แต่ไกลนี่นา ทหารทุกคนหันคบไฟมายังเป้าหมายก่อนที่จะบ่นพึมพำอะไรบางอย่างคล้ายกับจอมเวทย์ ลูกไฟขนาดเล็กใหญ่มากมายปรากฏออกจากคบไฟก่อนที่พุ่งเข้ามาหาชายุดดำคนนั้น ด้วยความเร็วและขนาดที่แตกต่างกันตามแต่พลังเวทย์ของแต่ละคน แน่ละที่ทหารจะมีเวทย์มนตร์เพราะที่นี่คือราชอาณาจักรโซโลมาอันเกรียงไกร ที่ครอบครองดินแดนหนึ่งในสี่ของทวีปชูราโคร่าเอาไว้ได้ ชายลึกลับสะบัดผ้าคลุมอย่างฉับไวต้านรับลูกไฟที่พุ่งมาโจมตีไว้ได้หมดทุกนัดทันทีที่มันกระทบผ้าคลุมราวกับว่าดวงไฟเวทย์เหล่านั้นจมหายไปในมหาสมุทรไม่ส่งผลใดๆ ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือผ้าที่รับลูกไฟเอาไว้นับร้อยกลับไม่ปรากฏรอยไหม้แม้แต่น้อย ยอดมาก นับว่าเจ้าไม่ใช่โจรชั้นปลายแถวแน่นอน แต่อย่าทำให้ข้าหมดสนุกเร็วนักละเสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้นพร้อมกับคมดาบสีแดงเพลิงแปลกตาที่ถลามาจากเบื้องล่างอย่างว่องไว ชายชุดดำพลิ้วกายกระโดดยันตัวจากปลายหอคอยขึ้นเบื้องบนทำให้พ้นวิสัยการโจมตีไปได้ ก่อนที่จะชูนิ้วชี้ของแขนซ้ายวาดเป็นวงกลม เปรี้ยง ประกายสายฟ้าจากเมฆครึ้มที่บดบังแสงจันทร์เอาไว้หมดสิ้น ฟาดลงที่ปลายหอคอยอย่างแรงบัดนี้ ชายผู้มาใหม่ควงดาบสีน้ำเงินเข้มในมืออีกข้างชูขึ้นก่อนที่ฟันเต็มแรง ผลที่ตามมาคือการพังทลายของยอดหอคอยและร่างที่ลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่างของชายหนุ่ม แสงจากคบไฟทำให้เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แววตาเข้มแข็งผมยาวสยายสีขาวประบ่าชุดคลุมสีแดงเข้มประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน จากเครื่องแต่งกายน่าจะเป็นชั้นสูง แววตาโกรธกริ้วจับจ้องไปยังประกายแสงสีเขียวรางๆบนฟากฟ้าก่อนที่จะกัดฟันกรอดเมื่อเท้าของเขาเหยียบพื้นดินอย่างสง่างาม ท่าน คาคุรัสเป็นอย่างไรบ้างครับแว่วเสียงจากชายร่างอ้วนเทอะทะ ศีรษะล้านไร้เส้นผมแต่งกายด้วยผ้าสีขาวคลุมทั่วทั้งตัวดูคล้ายนักบวช วิ่งกระหืดกระหอบแหวกกลุ่มทหารเข้ามาอย่างทุลักทุเล ก่อนที่จะหยุดหอบหายใจเบื้องหน้าของหนุ่มผมขาว ที่ถูกเรียกขานนามว่า คาคุรัส แต่เขากลับมิได้สนใจพร้อมกับกระโจนออกจากกลุ่มคนพุ่งไปด้วยความเร็วสูง เจ้าสารเลว อย่าอยู่เลย ตายไปซะคาคุรัสคำรามพร้อมไฟโทสะก่อนที่จะเหวี่ยงดาบคู่ในมือไปมาทับซ้อนกับจนเกิดภาพลักษณ์มากมาย ราวกับมีดาบคู่ของเขาเพิ่มขึ้นนับสิบเล่ม สองเท้าของเขาปรากฏแสงเรืองรองสีขาว นั่นคือเหตุที่ทำให้เขาสามารถกระโจนได้สูงและทรงตัวอยู่ในอากาศได้ บังคับภูตแห่งสายลมได้ มิน่าถึงกล้ากำแหง แต่ก็นับว่าเยี่ยมยอดที่นับดาบมีฝีมือจะใช้เวทย์ได้เก่งขนาดนี้ ดูท่าเจ้าคงจะเป็นองค์รักษ์คนใดคนหนึ่งของราชาโซโลมาสินะหนุ่มน้อยชายชุดดำกล่าวด้วยความราบเรียบพร้อมกับปล่อยตัวให้ตกลงจากอากาศโดยไม่ใช้พลังเวทย์ทรงตัวร่างที่ดิ่งลงฉับพลัน ทำให้เงาดาบมากมายขาดเป้าหมายและสลายอานุภาพไปหมดสิ้น เจ็บใจนักคาคุรัสกระชากเสียงเมืองเห็นคนร้ายรอดมือตนไปได้อีกครั้ง ชายลึกลับตวัดมือร่างที่กำลังตกลงเบื้องล่างก็หยุดชะงักพร้อมกับลอยขึ้นเหมือนเดิม ที่สองเท้าของเขาเองก็ปรากฏแสงสีขาวไม่แตกต่างจากคาคุรัสเลยแม้แต่น้อย ไม่จริง โจรร้ายอย่างเจ้าไม่มีทางที่ได้ร่ำเรียนวิชาเวทย์มนต์จากราชสำนักได้ เจ้าเป็นใครกันแน่? เขาเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เพราะแสงสีขาวที่สองเท้าของเขาและบุรุษปริศนานั่นมาจาก เวทย์วายุปีกแห่งการล่องลอย ที่ร่ำเรียนได้แต่องครักษ์ชั้นสูงของกษัตริย์โซโลมาเท่านั้นไม่มีทางที่คนภายนอกจะล่วงรู้ได้ พริบตานั้นประกายแสงสีเขียวสว่างวาบเข้าดวงตาของเขาอย่างจัง แม้ไม่เป็นอันตรายใดๆ แต่นั่นก็พอเพียงสำหรับทำลายประสาทการมองเห็นของคาคุรัสได้ชั่วขณะ เขาไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากมิติสีขาวโพลนเท่านั้นเอง แสงอะไรกันทำไมถึงได้แสบตายิ่งนัก? ไม่ทันขาดคำปฏิกิริยาของคาคุรัสราวกับคนที่กำลังไร้หนทางเดินต่อไปข้างหน้า และสิ่งที่ตามมาก็มีเพียงความเจ็บปวดและแผลมากมาย เนื่องจากอาวุธขนาดเล็กบางอย่างที่รวดเร็วและคมกริบที่สามารถตัดชุดเกราะสีแดงเข้มของเขาให้ขาดได้ ซ้ำร้ายยังกรีดผิวหนังของเขาให้เลือดสาดกระจายออกมาได้พอสมควร อั่ก . ร่างของเขาลอยละลิ่วราวกับว่าวเชือกขาดลอยตามแรงกระแทกไปอย่างเร็ว ก่อนที่ภาพหน้ากากสีเขียวเข้มจะปรากฏเบื้องหน้าของเขาทันทีที่สายตาของเขาเริ่มกลับมามองเห็นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับปฏิกิริยาที่ว่องไว คมดาบสีแดงตวัดอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่าก็คือสองนิ้วที่มีปลอกนิ้วมือสีทองลักษณะคล้ายแหวนเรียวยาวกลับสกัดคมดาบของเขาได้ด้วยนิ้วเพียงสองนิ้วเท่านั้น ไม่จริง เป็นไปไม่ได้น้ำเสียงสั่นเครือแห่งความอัปยศและสิ้นหวังปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต เจ้าของหน้ากากงามๆนั้นบรรจงจุมพิตเบาๆลงที่ซอกคอของคาคุรัส ก่อนที่จะหัวเราะเบาๆให้เขาได้ยิน Title: Re: [Fic] Smn ยุคหลังเจ้าชายเดวิดครับ (serrias) นิยายครับ มาต่อละครับ Post by: The N on May 01, 2009, 07:00:31 AM นี่หรือองครักษ์อันดับหนึ่งแห่งโซโลมา มันก็เท่านั้นเอง ไม่ต่างอะไรกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมถ้อยคำเย้ยหยันทำเอาหัวใจกล้าแกร่งของคาคุรัส รู้สึกราวกับถูกมีดคมๆบาดลึกเข้าไปภายใน ความภูมิใจของเขาถูกทำลายหมดสิ้น ใบหน้าฉายแววตระหนกไม่เหลือความดุดันอีกแล้ว
ทหารไร้กำลังใจรบ ไม่แตกต่างอะไรกับชาวนาผู้แก่เฒ่าหมดเรี่ยวแรง ไม่มีประโยชน์อันใดที่ข้า ราชาแห่งความตาย จะเสียเวลาด้วยอีกแล้ว ชายชุดดำสบถออกมาพร้อมกับปล่อยร่างของคาคุรัสให้ร่วงหล่นลงไปเบื้องล่างอย่างช้าๆ ก่อนที่จะพลิ้วกายจากไปในความมืดมิดทิ้งไว้แต่เพียงเรื่องราวที่จะดังไปทั่วแผ่นดิน โซโลมา มิอาจจับกุมจอมโจรแห่งความตายได้ในราตรีนี้ แม้ว่าจะเป็นแผ่นฟ้าผืนเดียวกัน หากแต่แสงจันทร์เหนือน่านฟ้า เดเวส กลับทอแสงสว่างเรืองรองแก้เบื้องล่าง ร่างบางนางหนึ่งเยื้องกรายผ่านห้างร้านที่เคยคึกคักเมื่อยามกลางวัน ที่บัดนี้เงียบเหงาและเต็มไปด้วยข้าวของวางอย่างเป็นระเบียบไม่ว่าจะเป็นเสาไม้ ผ่าร่มผืนบาง ห้างร้านถูกคลุมด้วยผ้าหยาบๆสีดำ เพื่อป้องกันฝุ่นผงที่จะมาเกาะสร้างความสกปรก ดวงตาใสกลมโตไร้เดียงสาเอียงมองสองข้างทางอย่างตื่นเต้น เพราะนางไม่เคยออกมานอกเขตบ้านต้นไม้เลยแม้สักครั้ง สิ่งแปลกตามากมายที่พบเห็นในเวลานี้ดึงดูด จิตใจของนางอย่างได้ผล ไวท์เดินผ่านเขตตลาดที่เงียบเหงามาถึงประตูบานใหญ่ที่เปิดอ้าไว้ เหล่าทหารรักษาการต่างนอนหลับใหลเพราะมนต์สะกดของ ซินเวียและเลบาน่า เธอมองก่อนที่จะหัวเราะออกเบาๆ เมื่อนายทหารรายหนึ่งนอนน้ำลายไหลยืดลงบนเสื้อทหารสีดำเข้มเป็นทางยาว แถมยังละเมอเพ้อพกถึงคนรักอีกต่างหาก ไวท์พาร่างบางก้มลงหยิบผ้าห่มผืนเล็กๆมาห่มให้ทหารผู้นี้ที่กำลังเริ่มเหน็บหนาวอย่างอ่อนโยน ด้วยแววตาห่วงใยก่อนที่จะทรงตัวขึ้นเดินข้ามผ่านไปในเขตชั้นในกว่าเดิม บ้านเรือนสวยงามยิ่งกว่าเขตตลาดมากนักดูท่าจะเป็นบ้านของเหล่าผู้มีอันจะกินทั้งหลายในเดเวส สวยจังเลย เสียงหวานๆพร้อมกับสายตาที่โลดแล่นไปกับสิ่งแปลกตาต่างๆที่มาเคยพบเจอมาก่อนในชีวิตของไวท์ ก่อนที่นางจะหยุดชะงักเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ที่สามารถเรียกร้องความสนใจจากตัวเธอได้ อะไรกัน? ไวท์รีบวิ่งไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนที่สำนึกบางประการภายใจจิตใจได้ร้องเตือนเธอว่า อย่าไป? แต่มันไม่เพียงพอที่จะฉุดรั้งความต้องการจะทราบ ของตัวเธอ ทันทีที่ไวท์ วิ่งพ้นจากมุมบ้านหลังนั้น เธอก็พบกับภาพที่น่าหวาดเสียว เมื่อร่างกายหนึ่งกระแทกพื้นใกล้เธอ ศีรษะของร่างนั้นกระเด็นกลิ้งมาก่อนที่สงบทันทีที่ถึงเท้าของเธอ แววตาที่มิอาจหลับได้เนื่องเพราะไม่ยินยอมรับความตาย จ้องมองมายังสาวน้อยที่บัดนี้ตื่นกลัวสุดขีด กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วบริเวณ เบื้องหน้าของเธอเวลานี้ เต็มไปด้วยศพของเหล่าทหารนับสิบคน แต่ละร่างล้วนอยู่ในสภาพที่ไม่สมประกอบทั้งสิ้น เธอหวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก คนผู้หนึ่งแต่งกายด้วยผ้าคลุมสีดำปกปดในหน้า แต่แววตาสีแดงที่ทอประกายรับแสงจันทราจากเบื้องบน กอปร กับหยาดโลหิตที่เปรอะเต็มชุดคลุมนั้น ราวกับจะย้อมมันให้กลายเป็นสีแดง ยิ่งแลดูน่ากลัวยิ่งเหนือสิ่งใด มีคนเห็นด้วยแฮะ เสียงเย็นชาแผ่วเบาลอดผ่านผ้าคลุมหน้าออกมา ก่อนที่ร่างนั้นจะหายไปในความมืดอย่างว่องไว สำนึกของไวท์บอกแก่ตัวเองว่า รีบหนีไป สองเท้าเรียวเล็ก พาร่างบางวิ่งหนีสุดแรงเกิด เธอพยายามจะหนีทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ใด ความรู้หวาดผวาเริ่มครอบงำจิตใจของเธอ นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ ทำให้ในเมืองแปลกประหลาดนี้ ถึงมีสภาพโหดร้ายเช่นนี้ได้ เมืองที่งดงามย่อมมีแต่สิ่งดีงามไม่ใช่รึ?ไวท์ ทบทวนกับตัวเองเพราะคนที่ไม่รู้จักโลกภายนอกเช่นนาง ทำให้คิดว่าดินแดนที่สวยงามและเต็มไปด้วยผู้คนย่อมมีแต่สิ่งที่สวยงามเท่านั้น มันช่างเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาเกินไป ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ เสียงของมีคมเรียวเล็กแหวกผ่านอากาศ เข้าเฉือนชุดนอนเรียวบางของไวท์โดยไม่ทำอันตรายใดๆแก่เรือนร่างแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้เก่งกาจเพียงใด ยิ่งเธอลาลานหนีมากเท่าไหร่ เสื้อผ้าก็ยิ่งขาดวิ่นมากขึ้นเท่านั้นเอง โครม ว๊าย .. เสียงร้องดังขึ้นเมื่อร่างบางสะดุดกับร่างของทหารนายหนึ่งที่นอนอยู่กับพื้น ส่งผลให้ไวท์ล้มคะมำลงกับพื้นในทันที ก่อนที่จะพลิกตัวกุมหัวเข่าขาวนวลที่มีรอยถลอก พร้อมๆกับเลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่นั่นกลับทำให้ คนที่นางต้องการจะหนีตามมาทัน อ้าว เลิกหนีแล้วรึไงสาวน้อย? รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมเสียงยียวนราวกับหยอกล้อกันเล่น ปรากฏพร้อมๆกับผ้าคลุมที่ปลดออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลแววตาดุดัน ราวกับมิใช่มนุษย์ ร่างนั้นเงื้อมืออย่างว่องไว ของมีคมชิ้นหนึ่ง ปรากฏออกมาจากชายเสื้อช้าๆ อย่าเข้ามานะ เจ้าปีศาจ ไวท์สบถด่าเสียงสั่นเครือพร้อมกับให้มือลากตัวเองทั้งที่ยังนั่งอยู่ให้ถอยหนีไปด้านหลัง สายตาจดจ้องอยู่กับรอยยิ้มชั่วช้าและการเคลื่อนไหวของร่างนั้นอย่างไม่ละสายตา จุ๊ จุ๊ พูดแบบนี้ได้เช่นไรสาวน้อย อย่ามากล่าวหากันซิ อืมว่าแต่เคยไปเที่ยวที่ไกลๆ ไหม? ฉันพาไปเอาไหมละ ร่างของปีศาจในสายตาของไวท์ เดินเข้าหานางช้าๆ ร่างงามพยายามตะกุยตะกายข้าวของแถวนั้นขว้างปาใส่ทันที แต่นั่นดุเหมือนยิ่งเพิ่มความรำคานและโทสะแก่คนผู้นั้นมากขึ้น เฮ้อ หมดอารมณ์เลยแฮะ งั้นก็ลาก่อนที่รัก สิ้นเสียงของมีคมในมือก็ถูกซัดออกไปอย่างว่องไวเป้าหมายก็คือลำคอของนาง ไวท์หมายจะหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด เพล้ง เสียงอาวุธเรียวบางนั้นแตกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับร่างกายกำยำสมส่วนร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของฆาตกรร้าย พร้อมกับตวัดมีดสั้นในมือสังหารร่างนั้นอย่างรวดเร็ว โดยที่คนร้ายไม่ทันได้หันกลับมามองด้วยซ้ำว่าใครเป็นผู้ประทานความเจ็บปวดและความตายให้กับตนเอง |