Summoner Master Forum

Summoner Master => SMN FanCard FanArt & FanFic => Topic started by: greamon on February 06, 2009, 03:49:22 AM



Title: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ,อัพสารบัญเรียบร้อย
Post by: greamon on February 06, 2009, 03:49:22 AM
Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie

สารบัญ


Saga 01 ปฐมบทแห่งตำนานบทใหม่
Saga 02 ผู้สืบทอด (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg547725#msg547725)
Saga 03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg548196#msg548196)
Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว! (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg553026#msg553026)
Saga 05 แทรกแซง Britanir 1 (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg555617#msg555617)

Saga 06 แทรกแซง Britanir 2 (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg558054#msg558054)
Saga 07   โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอก มาแล้ว  (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg559314#msg559314)
Saga 08 Double Action (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg561225#msg561225)
Saga 09 จงหลั่งน้ำตาให้วิถีแห่งลูกผู้ชาย (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg562673#msg562673)
Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย.... (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg564884#msg564884)

Saga 11  ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายหรือเปล่า.. (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg567980#msg567980)
Saga 12  Ava-Trans (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg569829#msg569829)
Saga 13 เบิกโรงนางเอกมาแล้ว.... (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg572268#msg572268)
Saga 14 ขอโทษนะ…. (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg573362#msg573362)
Saga 15 Reason… (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg575250#msg575250)

Saga 16  Friend….. (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg576648#msg576648)
Saga 17 จุดบรรจบ.... (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg578185#msg578185)
Saga 18 Emperor Recca.. (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg579212#msg579212)
Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg580305#msg580305)
Final Saga Requiem .... (http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=48206.msg581520#msg581520)


Music Videoประกอบนิยาย (คลิกที่รูป)

Thaliwil openning
(http://images.temppic.com/16-03-2009/images_vertis/1237190099_0.84711400.jpg) (http://www.youtube.com/v/if1LEkvWODc&hl=en&fs=1[/url)

Thaliwilya Endding
(http://images.temppic.com/16-03-2009/images_vertis/1237190099_0.35929800.jpg) (http://www.youtube.com/v/QxkgV2Lcs0I&hl=en&fs=1[/url)

Dragoon Action
(http://images.temppic.com/16-03-2009/images_vertis/1237190098_0.96226300.jpg) (http://www.youtube.com/v/Co4GQgSOuSU&hl=en&fs=1[/url)

Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie

บัดนี้กำลังจะเริ่มแล้ว ไปชมกันเลยค่ะ

....................
...........................

10 ปีหลังการก่อตั้ง นครมิราบิลิส

ในวันนี้ ควรจะเป็นวันฉลองพระชนมายุครบ 9 พรรษา ของเจ้าชาย เอลียาห์
พระโอรส ของกษัตริย์ ฮารีซันกับราชินี เรจิน่า นครมิลาบิลิส ในวันนี้ ควรจะต้องมีงานเลี้ยงฉลอง
รื่นเริงอย่างเอิกเกริก ทว่า…..สิ่งที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ แทนที่ควรจะเป็นที่ เสียงหัวเราะ

อย่างสนุกสนาน บทเพลงรื่นเริงที่ควรจะถูกขับขานไปทั่วเมือง กลับกลายเป็นเสียง ร่ำไห้ โศกเศร้าเสียใจ
เสียงโห่ร้อง ของนักรบ และเสียงคำรามของสัตว์สงคราม แทน บัดนี้ไม่เพียงแค่ มิราบิลิส เท่านั้นที่
แปรสภาพกลายเป็นสมรภูมิ รบ ที่กลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพและคราบเลือดนองกระจายไปตามถนน

ทั่วทั้งทวีปเมอริเซีย ได้เปลี่ยนเป็นสมรภูมิอันยิ่งใหญ่ ของโลกเทอร่า ไปเสียแล้ว
เมื่อเกิดสงครามจากการรุกรานเพื่อขยายอาณานิคม ของอาณาจักร ในทวีปอื่นๆ รุกรานเข้ามาเนื่องจาก
เมอริเซ๊ย เป็นทวีปศูนย์กลางของ โลกเทอร่า ทำให้ เมอริเซียกลายเป็นทางผ่านของ ทุกอาณานิคม

การยึดเมอริเซียได้ ก็เท่ากับเป็นการครอง ชัยภูมิในการขยายอาณานิคม ของ ตนออกไปได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ เมอริเซีย ถูกรุกราน จากต่างแดน อยู่อย่างไม่รู้จบ จนอาณาจักร ทั้ง 4
ซาโลม ฟีเลเซีย ฟูดินัน และ แอนดิซอง ต้องรวมตัวกันขึ้นปกป้อง ทวีปแผ่นดินเกิด ของตน

ทว่าด้วย เมอริเซีย พึ่งจะฟื้นตัวจากสงคราม ภายในทวีป ได้ไม่นาน ทำให้วิทยาการ และ ยุทธศาสตร์ การรบ
ไม่พัฒนาเทียบเท่า ต่างแดน อีกทั้ง องค์กร ก่อการร้ายภายใน ทวีป ยังคอยก่อกวน ในยามนี้

ทำให้ เหล่า อาณาจักร ทั้ง4 ถูกไล่ต้อน จนตอนนี้ประชากร ในทวีป ได้สังเวยชีวิตให้กับไฟสงครามไปจนเหลือเพียง
 หยิบมือเท่านั้น ฐานที่มั่นสุดท้าย นครมิราบิลิส ซึ่งถูกกองกำลังของ ต่างแดน ปิดล้อม
 และความหวังเพียง หนึ่งเดียวในตอนนี้ เมืองวอลเนีย  (Valnia) ที่มีเต่าบินยักษ์ เป็นฐาน ซึ่งย้ายออกไป ตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทร
ซึ่งกำลังจะ บินมาเพื่อ อพยพ ประชากร ทั้งหมดที่เหลือ อยู่ไป บัดนี้ม่านประวัติศาสตร์กำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง


Saga 01 ปฐมบทแห่งตำนานบทใหม่

“ วอลเนีย จะมาถึงในรุ่งสางของวันนี้ เราจะต้อง ตีฝ่าวงล้อมของ ศัตรูพาประชาชน ทั้งหมดหนี
ออกจาก ค่ายไปยัง วอลเนีย จากนั้นกองทัพของเราจะอยู่ต้านเพื่อให้ ทัพวอลเนีย หนีไปให้สำเร็จ ”
กษัตริย์  ซิกมันต์ ที่สาม (Sigmund) ตรัสบัดนี้พระองค์และเหล่า กษัตริย์ผู้นำไปจนถึง แม่ทัพ และรองแม่ทัพ จากทุก อาณาจักร
ในเมอริเซีย ทั้งหมดกำลังประชุมกันอยู่กระโจม ซึ่งตั้งมั่นอยู่ใน นครมิราบิลิส

“ แล้ว จำนวนผู้อพยพ ล่ะ  ”
เยซีฮาน(Lord Yaceahan) กษัตริย์ผู้ครองแคว้น ลาซาล ตรัสถามขึ้นในที่ประชุม

“ เป็นประชากร จากแค้วน ลาซาล 150 ราชอาณาจักรซาโลม 500 ราชอาณาจักรฟีเลเซีย 1020 ราชอาณาจักร ฟูดินัน 813 และราชอาณาจักรผนวกเมืองท่า แอนดิซอง อีก 915 คน รวมทั้งสิ้นมี 3398 คน ล้วนเป็นหญิง เด็กและคนชรา
ค่ะ ”
 แม่ทัพหญิงจากฟีเลเซีย ลุกขึ้นรายงาน

“ อืม….มีแค่ 3000 กว่าเองงั้นเรอะ ประชาชนในเมอริเซีย เหลือเพียงเท่านี้เอง แล้วกำลังทหารล่ะ  ”
กษัตริย์ อิสฮาน (Ishan) ตรัสด้วยความกลัดกลุ้มพระทัย เมื่อได้ยินตัวเลขที่น่าตกใจ ถึงจำนวนของประชากร
ในทวีปที่เหลือเพียงน้อยนิด ไม่มีใครในกระโจม ปฏิเสธต่อตัวเลขเหล่านั้นได้ เพราะ กว่า สามปีมาแล้ว
 ที่สงครามนี้เริ่มขึ้น พวกเขาเสียคนไปมาก จนเกินกว่าจะสู้รบต่อไปได้

“ กำลัง ทหารของเรา มีเพียง 990 นาย แม้จะรวมพวกเด็กหนุ่มที่ อาสามาร่วมรบด้วยแล้ว ก็ยังมีเพียง
1400 นายเท่านั้น และกว่าครึ่ง ไม่มีอาวุธ  รวมทั้งพวกเด็กใหม่ ยังขาดประสบการณ์ ในการรบ

ซึ่งแม่ทัพชาว์ล(General Charles) และ คาร์น (Karn, the Commander of Black Wood) กำลังเร่งฝึก
ทหารอาสาเหล่านี้อยู่ ส่วนทัพนักเวทย์แม้จะรวมพวกนักบวช กับ ชาแมน เข้าไปแล้วก็ยังมีจำนวน เพียง 300 เท่านั้น

ส่วน ตระกูลนักรบที่พอจะเป็นกำลังให้เราได้ในตอนนี้มี อินซู(Inzu) อซาร์(Azar) โอดิลอน (Odilon) สามตระกูลเท่านั้นค่ะ เพราะตัวแทนจากแอสเซนเซียโน่ (Ascensiano) ถูกกลุ่มก่อการร้าย มาราดัน (Maradan Cult)
ลอบสังหารไปเมื่อวาน  ”
แม่ทัพ หญิง คนเดิมรายงานอีกครั้ง สถานการณ์ณ์เริ่มจะตึงเครียดขึ้นไปอีก ด้วยจำนวนทัพที่มีเพียงน้อยนิด
อีกทั้งกว่าครึ่ง เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ ยังมีอนาคตกลับต้องเอาชีวิต มาทิ้งในสมรภูมิ

ยิ่งไปกว่านั้น คือ กองทหารที่มีตอนนี้และได้เพิ่มมานั้น เป็นทัพทหารราบ เพียงอย่างเดียว เพราะ
พาหนะอาวุธ ยุโทปกรณ์ทั้งหมดล้วน ถูกทำลายไประหว่างที่รบกันมาอย่างยาวนาน


“ แล้วสภาพการณ์ ทัพศัตรูล่ะ ”
กษัตริย์ อังเดร (Andre) แห่งแอนดิซอง ตรัสถามขึ้น

“ ตอนนี้ทัพ ศัตรู จาก ทุกทวีป กำลังปะทะกันเองอยู่ และมีบางส่วน ที่มุ่งเข้ามาโจมตีค่ายของเรา
แต่จากการ ประเมินแล้ว ทัพโดยรวมของศัตรูที่จะเข้ามา ขัดขวางการอพยพของเรา น่าจะมีราว ล้านเศษๆ

ซึ่งมีทั้ง จักรกลสังหาร สัตว์อสูร และมังกรขนาดใหญ่  อีกทั้ง สภาพสนามรบ ตอนนี้ เพราะองค์กรก่อการร้าย
ให้ความช่วยเหลือกับ ทวีป อื่น ทำให้มังกร นิลคาบาล เกิดใหม่ขึ้นเป็น

นิลคาบาลนอร์(Nilcarbannor, The Malevolent Dragon) รัศมีความแห้งแล้งที่มันแผ่ออกมา ทำให้
 สภาพอากาศในสนามรบ แห้งและร้อนมาก ส่วนอีกฝั่งนั้น


 มังกรทาราสควีร์ (Tarrasque, the Dragon of the Sain’s Saga) ก็บันดาลให้เกิด ฝนฟ้าคะนอง
จนสนามรบเปียกชุ่มไปด้วยฝน ตอนนี้ กำลังของมังกรทั้งสองตัว กำลังปะทะกัน ที่กลางสนามรบ ”
แม่ทัพหญิงสาว รายงาน อีกครั้งขณะที่ ยกรายงานขึ้นมาอ่านไปด้วย


“ แค่กำลังจะตีฝ่าออกไปยัง มีไม่พอ นี่ยังต้องถูกกดดัน จากสภาพอากาศ ที่ไม่แน่นอนของ
มังกรวิบัติพวกนั้นอีกหรือ แล้วประชาชน ของเรามีรึที่จะหนีฝ่าไปจนถึง วอลเนีย ที่จะมาในรุ่งสางนี้น่ะ ”
กษัตริย์ ซิกมันต์ ตรัสอย่างสิ้นหวัง

“ ทูลฝ่าบาท มังกรนิลคาบาลนอร์ นั้น เพราะพวกมาราดัน ทำการชุบชีวิตมันขึ้นมาจาก มังกรในตำนาน นิลคาบาล
ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของ อาณานิคมทวีปดิสอาปจูร่า ส่วนมังกร ทาราสควีร์นั้นเป็น
 มังกรในตำนาน ของทวีป อาริมาเทีย คิดว่า อาณานิคมของ ทวีปนั้นคงจะมีเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกัน


จึงสามารถชุบชีวิต มังกรแห่งตำนานนี้ขึ้นมาได้ เพราะผลจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
พลังของพวกมัน ทำให้ พืชผลไม่สามารถปลูกได้ ทัพของเรา จึงมีเสบียงไม่พอแจกจ่ายให้อย่างทั่วถึง
อีกทั้ง วอลเนีย ก็ไม่แน่ว่า จะฝ่ากองทัพของ พวกล่าอาณานิคม มายังที่นัดพบ ได้หรือไม่ เพราะอีกฝ่าย ล้วนมี

กำลังการรบสูงกว่าเราอย่างสิ้นเชิง ยิ่งทัพมังกรจากต่างทวีป ล้วนมีรูปร่าง แปลกประหลาด
และมีพลังแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อมังกร ที่พวกเรารู้จัก ด้วยพะย่ะค่ะ ”
อำมาตย์เล็กของอิสฮาน ซึ่งเขาเคยเป็น ศิษย์ของ นาริส สุไลมานมาก่อนด้วย กล่าวอธิบาย ถึง
สิ่งที่ตนทราบให้ทุกคนกระจ่าง

“ แล้วนี่เรา จะทำยังไงดี นี่ถ้าเรามีนักรบฝีมือเยี่ยม กับทัพมังกร ซักทัพหนึ่งล่ะก็ ”
กษัตริย์ ซิกมันต์ ตรัสมาถึงตรงนี้ ทุกคนในที่ประชุมก็เงียบ ไปราวกับนึกอะไรบางอย่างออก


“ แล้วนักรบแห่งตำนานคนนั้นล่ะ ที่ว่าเป็น อวตารของอัศวินมังกรเทพ เขาไม่อยู่นี่เหรอ ”
อิสฮาน ตรัสขึ้นทว่า ต่างไม่มีใครรู้ว่า คนที่อิสฮาน กล่าวถึงอยู่ที่ไหน และ
ทำไมถึงไม่ได้อยู่ที่นี่ ทั้งที่ทั่วเมอริเซีย ตอนนี้ไม่มีที่ไหน รอดจากไฟสงคราม ซึ่งทุกคนใสนทวีปเมอริเซีย
ต่างก็ได้มารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ แต่ทว่ากลับไม่มีการปรากฏตัวของ อัศวินดังกล่าวเลย

“ ขออนุญาตครับ ตอนนี้ สารจากวอลเนีย แจ้งมาว่า ใกล้จะถึงสถานที่นัดพบแล้วครับ ”
นายทหารเดินสาร เข้ามาในกระโจม พร้อมกับรายงาน ข่าวที่เข้ามานั้นทำให้ ที่ประชุมต้องรีบหาทางสรุป
แผนการโดยเร็ว พวกเขาไม่มีเวลาอีกแล้ว

“ แล้วก็ มีผู้นำอีกท่านอยากจะขอมาเข้าร่วมประชุมด้วยครับ ”
นายทหารเดินสารกล่าว ทำเอาทุกคนในที่ประชุม หันควับมาทางเดียวกันด้วยความสนใจ

“ เขาเป็นใคร ”
 ซิกมันต์ ตรัสถามขึ้น

“ ทูลฝ่าบาท ผู้นำท่านนี้ นำทัพมังกร ขนาดใหญ่ มาจำนวนมาก นอกจากเขาแล้วยัง มีผู้ติดตาม
อีก4 คนเอ็ย…..ตัว…เอ่อตน….เอ่อ ขอฝ่าบาทประธานอภัยให้กระหม่อมด้วยกระหม่อมไม่รู้จะเรียก
ว่ายังไงดี ผู้ติดตามทั้งสี่ ไม่ใช่ทั้งคนทั้งสมิง เหมือนเป็นครึ่งคนครึ่งสมิง มากกว่าแล้วก็มีอัศวินกริฟฟิน
อีกคน ถ้ายังไง ฝ่าบาท… ”
ยังไม่ทัน ที่ นายทหารเดินสารจะรายงานจบ ซิกมันต์ ทรงยกพระหัตถ์ ปรามนายทหารไว้
 ซึ่งนายทหารเองก็ รู้สึกสับสนและกังวล กับท่าทีของ ทุกคนในที่ประชุม

ที่ดูจะตกตะลึง และกระซิบกระซาบกันไปต่างๆนานา ทำเอานายทหารรู้สึกเสียวสันหลัง
ว่าตนเอา พาบุคคลอันตรายเข้ามารึเปล่า

“ เชิญ เขาเข้ามาเลย รวมทั้งผู้ติดตามด้วย ”
ซิกมันต์ ตรัส จบนายทหาร ก็รีบรับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกไปเชิญ แขกผู้มาเยือนในยามวิกฤติ นี้เข้ามา

“ ขออภัย ที่อยู่ๆก็ถือวิสาสะเข้ามาร่วมประชุมด้วย กระหม่อม ซาราเบลด…ลอว์เรนท์ ซาราเบลด
และผู้ติดตาม จาก รูลเวลส์ (Runevel) ลาเซริโอ้ (Laserio) และนีโอเวลส์  (Neovel) ”
ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ สวมชุดเกราะอัศวิน มังกรอย่างครบเครื่องเดินเข้า มาในกระโจมพร้อมกับผู้ติดตาม
ที่ทยอยตามเข้ามา ก่อนจะเริ่มแนะนำตัว

“ กระหม่อม เจนัส นีโอเวลส์ (Genus Neovel) และนี่ นีน่า นีโอเวลส์ (Neena Neovel) ”
ชายหนุ่มอีกคนซึ่งมีหางหมาป่าขนสีดำ ยื่นออก เริ่มแนะนำตัวและ หญิงสาวข้างเคียง ที่มีหางแมว ต่อทันที

“ ส่วนกระหม่อม ลากุน่า รูลเวลส์ (Laguna Runevel) และข้างๆนี่  ริคุ เฟ็นเรีย(Riku Fenria)
 และคนสุดท้าย กาเทีย ลาเซริโอ้ (Gatia Laserio) ”
หลังจาก ชายหนุ่มหางหมาป่าขนสีดำ กล่าว ชายหนุ่มซึ่งมีหางหมาป่าเช่นกันแต่ขนเป็นสีเงิน ก็กล่าวแนะนำ
ตัวกับคนค้างเคียงต่อไปจนครบ โดยไล่ จากตัวเขาไปยัง ชายหนุ่มผมแดงซึ่งมีหางพังพอน ยื่นออกมา
ก่อนจะไล่ไปจนถึงชายคนสุดท้ายที่อาวุสโสกว่าคนอื่นในกลุ่ม เขาสวมชุดเกราะกองกำลังอัศวิน กริฟฟินของ
ฟีเลเซีย


ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆไปชั่วครู่ที่ทั้งห้องประชุมต้อง นั่งนิ่งตกตะลึง ราวกับต้องมนต์สะกดให้อยู่ในภวังค์ ก็มิปาน
เมื่อคนที่พวกเขา เฝ้ารอว่าจะมาช่วย หรือไม่ อยู่นานแล้วได้มาปรากฏตัวขึ้นเอาป่านนี้


……………..
………………….

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga 02

ท่ามกลางความสิ้นหวังแสงสว่างที่เจิดจ้ากลับ ส่องสว่างขึ้นมาอย่างแรงกล้า

“ ทัพมังกรที่เรามีมาด้วยก็ จะมีมาหนุนอีก คงจะราวๆ แสนห้าหมื่นเศษ เป็นมังกรทรงอำนาจเสีย สามหมื่นเศษ
คิดว่าเราคงพอจะสู้ได้ ”

“ ดี….ตอนนี้เรามีทางเลือกมากกว่า หนึ่งแล้ว เราจะไม่ถอยหนีเพียงอย่างเดียว แต่เราจะกอบกู้แผ่นดินเมอริเซีย
ผืนนี้กลับคืนมาด้วย ”

การฝากฝัง และผู้รับช่วงต่อ

 “ พวกเจ้ารีบไปซะ สงครามนี้ข้าจะยุติมันลงเดี๋ยวนี้ด้วยตัวข้าเอง ”

“ จงฟังแม้วันนี้ร่างเราจะเหลือเพียง ทุลีเถ้า แต่วิญญาณของ เรา จะดำรงสืบไปยังลูกหลานและซักวัน ลูกหลานของเราจะมาทวงเอาแผ่นดินผืนนี้คืน …..ซักวัน ”

จากนี้ไป หน้าประวัติศาสตร์แห่งเทอร่ากำลังจะเปลี่ยนโฉม ตำนานบทใหม่ของวีรบุรุษสงคราม
กำลังจะเปิดอีกในไม่ช้า Saga 02 ผู้สืบทอด
……………..
มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ปิโยะ ปิโยะ อิอิ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga01ปฐมบทแห่งตำนานบทใหม่
Post by: General Charles on February 07, 2009, 06:30:19 PM
ปิโยะ  ::006::

อ่านไปงงไป  ::002::

เเต่เร้าใจดี  ::020::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga01ปฐมบทแห่งตำนานบทใหม่
Post by: greamon on February 08, 2009, 06:08:44 PM
Saga 02 ผู้สืบทอด

ผืนแผ่นดินแห่งเมอริเซีย ที่เคยอุดมสมบรูณ์และแวดล้อมไปด้วย ธรรมชาติอันงดงาม
และความหลากหลายทางภูมิประเทศ
ทว่าบัดนี้ ภัยพิบัติ ได้มาเยือนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า  ทิศตะวันตก ของทวีป เกิดพายุมรสุม พัดกระหน่ำ
พายุฝนฟ้าคะนอง ติดต่อกันมาเป็นช่วงเวลายาวนาน นับปี ท้องนภาถูกปกคลุมเมฆทมิฬ บดบังแสงอาทิตย์

มิให้สาดส่องลงมา ด้วยฝนที่ตกต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน ทำให้  พืชพรรณและผืนป่า ต้องจมอยู่ใต้น้ำ
ผืนดินบางส่วนยุบตัวกลายเป็นโคลนตม และไหล ลงทะเลไป จนทำให้ ผิวน้ำของทะเลเปลี่ยนเป็นสีโคลน
ทับถมกันมานานนับ ปีแล้ว นับตั้งแต่ ทาราสควีร์ มังกรทรงอำนาจ ซึ่งมีเกล็ดที่แข็งแกร่ง

กับอำนาจในการสร้างลมฝน ของมัน อาณานิคมจากทวีปอาริมาเทีย ได้ใช้มัน เป็นกำลังหลักในการบุกเข้า
ยึดครอง เมอริเซีย

ทางทิศตะวันออกของ เมอริเซียกลับเกิด ภัยแล้ง ท้องนภาไร้ซึ่งเมฆหมอก บดบังอีกทั้งรัศมีแห่งดวงตะวัน
 ยังคงสาดส่องแรงกล้า กว่าปกติ ทำให้ ผืนดินสูญเสียความชุ่มชื้น พืชพรรณ และชีวิต ทั้งหมด
ต่างสูญสิ้น แม้แต่น้ำในทะเลสาบ นีรันด้า ยังเหือดแห้งไป  หากแต่มีเพียงมหาพฤกษา เท่านั้นที่ยังคง
ตั้งเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางความแห้งแล้งนี้ โดยไม่เหี่ยวเฉาลงไป  สภาพอากาศที่แห้งแล้งนี้ ถูกดลบันดาล
ขึ้นด้วย มวลพลังงาน ของ นิลคาบาลนอร์ มังกรร้าย ซึ่งเคยถูก อัศวิน ทาลิวิลย่า ในอดีตเมื่อ หลายร้อยปีก่อนสังหาร

บัดนี้ ด้วยวิทยาการ จากอาณานิคม ทวีป ดิสอาปจูร่า กับความช่วยเหลือของ องค์กรก่อการร้าย มาราดัน
ทำให้มันคืนชีพขึ้นมาและมีความแข็งแกร่งกว่า ครั้งอดีต

พลังที่ต่างกันสุดขั้ว ของมังกรทั้งสองนี้ ส่งผลให้ เมอริเซีย กลายเป็นแดนนรกไปเลย ทีเดียว
 เหลือเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่    ไม่ได้รับผลกระทบ จากพลังของ มังกรทั้งสอง ทว่าการรบพุ่งปะทะกัน
ของ อาณานิคมจากทวีปอื่นๆก็ได้ปะทะกันอยู่ที่นั่นด้วย ในแคว้น วาเนียน อันเป็นที่ตั้งของ นครมิราบิลิส

ทว่าการต่อสู้ในนครมิราบิลิสนั้นพึ่งจะถูกสงบลงไป ด้วยพลังอำนาจของ ทัพมังกร นับแสน
ที่บุกทะลวง ตรงมาจาก พื้นที่ก้ำกึ่งชายแดนของเขต ฟีเลเซีย และ ฟูดินัน
ตีฝ่าทะลวง เข้ามา และสงบศึกภายในเมืองได้ โดยการนำทัพของ ผู้กล้า ที่หายตัวไปตั้งแต่ 10 ปีก่อน



“ ทัพมังกรที่เรามีมาด้วยก็ จะมีมาหนุนอีก คงจะราวๆ แสนห้าหมื่นเศษ เป็นมังกรทรงอำนาจเสีย สามหมื่นเศษ
คิดว่าเราคงพอจะสู้ได้ ”
ชายหนุ่มผู้นำทัพมังกร ตีฝ่าเข้ามา ได้กล่าวขึ้นใน ที่ประชุม ในขณะที่ สายตาของผู้เข้าร่วมบางคนยังอด
มองเขาอย่างวางตาเสียไม่ได้  กับการกลับมาของเขา

“ ดี….ตอนนี้เรามีทางเลือกมากกว่า หนึ่งแล้ว เราจะไม่ถอยหนีเพียงอย่างเดียว แต่เราจะกอบกู้แผ่นดินเมอริเซีย
ผืนนี้กลับคืนมาด้วย ”
ซิกมันต์ ตรัสขึ้นอย่างมีหวัง

“ ช้าก่อน..ถ้ายังไง เจ้าจะช่วยบอกหน่อยได้ไหม ตลอด 10 ปีมานี่ไม่สิ ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่
ทวีปของเราถูกรุกรานจากพวกอาณานิคมทวีปอื่น เจ้ากับพวกไปอยู่ที่ไหนมา แล้วยังกองทัพมังกร
ไร้ผู้ควบคุมอีกนับแสนนั่นอีก พวกเจ้าไปรวบรวมมาจากไหนกัน ทำไมถึงไม่มีใครรู้เลย ที่สำคัญ
กว่านั้น ทำไมพึ่งจะมาเอาป่านนี้ ”
อิสฮาน ตรัสถามด้วยความสงสัย ในเจตนาของ ชายหนุ่ม

“ เกี่ยวกับเรื่องนั้นกระหม่อนจะขอเป็นผู้อธิบายเอง ”
เสียงดังเข้ามาในกระโจม ก่อนที่ บิชอปแห่งฟีเลเซีย เกรเกอรี่ จะเดินเข้ามา

“ ช้าก่อน ตอนนี้เรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว รายละเอียดเอาไว้ทีหลังตอนนี้เราต้อง ฝ่าไปให้ ถึงวอลเนีย
ที่จะลงจอด ที่ แนวสันเขามาซาด้า ก่อน ลอว์เรนซ์ เจ้ากับกองทัพของเจ้าจะเป็นทัพหน้า ส่วนประชาชนจะให้
ทัพหลักของเราคุ้มกันไป  ”
สิ้นสุดการตัดสินพระทัย ของ ซิกมันต์ ทุกคนต่างก็แยกย้าย กันไปในทันที




…………….
………………..


“ ทุกคนรีบ วิ่งเร็วเข้าไป ให้ถึงวอลเนีย ”
เสียงตะโกนที่ ดังขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ กลุ่มคน สาวเท้าวิ่งให้เร็วขึ้น
ท่ามกลางเสียงสู้รบ เสียงคำราม ของมังกร นับแสน ที่เข้าปะทะกัน
เปลวเพลิง ลำแสง กระแสลม และพลังอำนาจอันมหาศาลของ เหล่ามังกร
และจักรกล ที่เข้าปะทะกันนั้น สร้างความเสียหายแก่ผืนแผ่นดิน จนลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง

“ ฮูมมมมม ”(ต้านไว้อย่าให้พวกมันเข้ามาทำร้ายผู้อพยพได้)
เสียงคำรามของมังกรขาวขนาดใหญ่ดีวายดราก้อน(Divine Dragon) ดังขึ้นเพื่อสั่งการทัพมังกรที่ ทำการสกัดกองทัพ จักรกลสังหาร และพวกทหารจากอาณานิคมต่างแดน โดยสู้ร่วมไปกับเหล่าทหาร แห่งเมอริเซีย ด้วยกำลังอำนาจของเหล่ามังกร ทำให้ทัพศัตรูต้องถอยร่น อย่างไร้ทางสู้

“ การบุกโจมตี เราจะทำหลังจากอพยพ ผู้คนไปบนวอลเนียได้หมดก่อน ”
“ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อม ขอพระองค์สักเรื่องได้ไหมพะยะค่ะ แลกกับการที่ให้เราเป็นทัพหน้า กระหม่อนอยากจะให้ช่วยอพยพ พวกลูกมังกรและมังกรที่สู้ไม่ได้ไปกับวอลเนียด้วย และครอบครัวของกระหม่อนกับเหล่าผู้ติดตามให้อพยพตามไปด้วย ”
“ ไม่มีปัญหา ด้วยจำนวนประชากรที่มีตอนนี้ต่อให้ขึ้นไปบนวอลเนียก็ยังเหลือที่อีกมากมาย ”

บทสนทนาที่ ลอว์เรนซ์ เจรจาต่อรองกับ ซิกมันต์ นั้นก้องขึ้นขณะที่เขา แทงดาบลงไปยังร่างของจักรกลสังหาร ก่อนจะชักดาบออกแล้วกระโดดลงจากตัวของมัน  ก่อนที่มันจะระเบิดตัวเอง

“ ยังไงซะก็ต้องให้พวกเพื่อนมังกรของเรา หนีไปพร้อมๆกับครอบครัวของเราด้วย หลังจากที่เปิดประตูมิติมังกรออกมาแล้ว คำทำนายนั่นก็น่าจะเป็นจริงในไม่ช้า ”
ลอว์เรนซ์ คิดขณะที่มองไปรอบๆ ในตอนนั้นเอง มังกรของฝ่ายศัตรูก็ได้พุ่งตรงเข้ามาทำร้ายเขา จากด้านหลัง

“ Spell Fist ”
สิ้นเสียงเจ้ามังกรร้ายก็ถูก ครึ่งสมิงหมาป่าสีดำ ที่ติดตามเขามาซัดจนกระเด็นไป

“ ไม่เป็นไรนะ ”
ครึ่งสมิงหมาป่าถาม ขณะเดียวกันก็จัดการกับฝูงทหารที่บุกเข้ามา  ทำร้ายไปพร้อมๆกัน

“ อืม ขอบใจนะ เจนัส..ว่าแต่ เทีย กับคนอื่นๆล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่กวัดแกว่งเพลงดาบจัดการกับทหารศัตรูไปคนแล้วคนเล่า

“ ให้ พวก ลากูน่า ตามคุ้มครองไปแล้ว ”
เจนัส กล่าว ตอนนี้ทั้งสองถูกต้อนจนหลังชนกัน ท่ามกลางวงล้อมของ ศัตรู

“ ตอนนี้รอบๆเราไม่มี ทหารกับมังกรฝ่ายเราอยู่เลยใช่ไหม ”
ลอว์เรนซ์ หันไปถาม ก่อนที่เจนัส จะทำจะมูก ฟุดฟิดเพื่อ ดมหากลิ่นของฝ่ายเดียวกัน เนื่องด้วยสายเลือดเผ่าสมิง
ที่มีอยู่ครึ่งหนึ่งในตัวทำให้ เขามีประสาทรับกลิ่นที่เยี่ยมยอดกว่ามนุษย์ทั่วไป

“ ไม่มีเลย ระยะตั้งแต่รอบนอกจนถึงด้านในนี้ไม่มีใครแล้ว ”
เจนัส ตอบทันทีที่ลอว์เรนซ์ได้รับคำตอบเขาก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงโล่งใจ

“ ดีล่ะถ้างั้นก็เล่นได้เต็มที่เลยสินะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวก่อนจะชักดาบ อีกเล่มซึ่งมีกรรเชียงดาบสีทอง คมดาบมีสีดำสนิท

“ จงกู่ร้อง Shin Saber (ดาบแท้จริง) และจงบิดเกลียวแสงและความมืด MiraiKen (ดาบอนาคต) ”
สิ้นคำของลอว์เรนซ์ ก็เกิดสายฟ้าฟาดลงมายังดาบทั้งสองเล่มที่เขาถืออยู่ ก่อนที่ดาบทั้งสองเล่มจะกลายเป็นแสงและ
พุ่งออกจากมือของเขา ไปก่อรูปกลายเป็นมังกรขนาดมหึมา สองตัว ตัวหนึ่งมีปีกสีขาวตัดแดง เกล็ดร่างทอประกายสีทอง ร่างทั้งร่างปกคลุมด้วยสายฟ้าทรงอำนาจ และอีกตัว ปีกสีแดงตัดโครงปีกสีดำ ซึ่งปลายปีกสีแดงนั้นกระพือรัวและเร็วเสียจนเกิดเสียง หึ่งๆ คล้ายผึ้ง ร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำนิล และแผ่รังสี สีรุ้งที่งดงามออกมาจากร่าง

“ จงดูซะที่คือมังกรศาสตราที่ตกทอดกันมาของตระกูลครึ่งสมิง ที่มอบให้แก่ซาราเบลดผู้นี้ อาวุธแห่งทวยเทพ โกรอทพาลม่า(Gorothparma, the Weapon of God) และ สุดยอดมังกร นิลทูเรี่ยน (Nilturien, the Giga Dragon) ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ มังกรทั้งสองก็คำรามขึ้นพร้อมกัน เสียงของมันดังกึกก้องไปทั่วปฐพีราวเสียงอัสนีบาต
พิโรธ เสียงของมันดังก้องไปจนได้ยินถึง เหล่าผู้อพยพและ ผู้คนรอบๆจนต้องหันมามอง ทิศที่มังกรศาสตรา ทรงอำนาจเหล่านั้น ปรากฏอยู่

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/22.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/43.jpg)

“ จ..เจ้านี่มันอะไรกัน มังกรนี่ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่า เมอริเซีย มีมังกรที่สถิตอยู่ในดาบด้วย ”
“ เจ้าเด็กพวกนั้นมันปีศาจชัดๆ มันเรียกมังกรออกจากดาบได้ ”
เสียงตะโกนหวีดร้องของเหล่าทหารศัตรูด้วยความเกรงในอำนาจของ มังกรศาสตราทั้งสอง ดังขึ้นขณะที่วงล้อมเริ่มหนีแตกกระเจิง

“ โกรอทพาลม่า  สายฟ้าขาว(White Thunder) นิลทูเรี่ยน เงาดำเฉิดฉาย (Shining Shadow) ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ สายฟ้าทรงอำนาจที่ปกคลุมร่างของ โกรอทพาลม่า ก็ถูกรวมอยู่ในอุ้งมือของมัน ก่อนจะถูกยิงไปยังเหล่าทหาร ที่พากันหนีตาย ทิศที่คลื่นสายฟ้าสีขาว พัดผ่านแม้นผืนปฐพีก็ ถูกฉีกขาดเป็นทาง

แสงสว่างและความมืดที่ก่อตัวขึ้นในอุ้งเล็บของ นิลทูเรี่ยน ได้หลอมรวมกันกลายเป็นมวลพลังงาน ทรงกลมสีดำที่มีประกายแสงเจิดจรัสในความมืด เพียงแค่สิ่งนั้นล่องลอยออกจากกรงเล็บของมัน ทุกสรรพสิ่งก็แทบจะถูกกลืนกินเข้าไป ด้วยการโจมตีประสานของ สองมังกรผู้เรืองอำนาจ ทัพศัตรูที่ล้อมกรอบพวกเขาไว้ได้ หายสาบสูญไปจากที่แห่งนั้นในพริบตา

……………..
………………..
…………………….

ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำซัดลงมา คณะของผู้อพยพ ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อไปยังจุดหมายคือ เมืองวอลเนียที่เทียบท่าอยู่ในอ่าวทะเล


“ หม่าม้าฮะ..ปะป๋าจะกลับมาหรือเปล่าฮะ ”
คำถามของเด็กหนุ่มผมสีทอง กล่าวถามกับผู้เป็นแม่ ด้วยใบหน้าที่หยาดน้ำตาคลอเบ้า
และน้ำเสียงสะอึกสะอื้นราวกับจะร้องไห้

“ จ้ะพ่อจะต้องกลับมาแน่จ้ะ ”
ผู้เป็นแม่กล่าวพร้อมกับ ก้มลงอุ้มลูกน้อยเข้ามากอดไว้ในอ้อม อก ขณะที่เดินตามฝูงชนเพื่อ อพยพหนีขึ้นไปยังเต่าบิน
วอลเนีย ที่ลงจอดอยู่ในอ่าวทะเลของฟีเลเซีย แถวของผู้อพยพที่ค่อยๆเรียงรายกันขึ้นไปบนเต่ายักษ์นั้นมีทั้ง มนุษย์ มังกรและ สมิง โดยที่รอบๆนั้น มีทหาร คอยคุ้มกัน จากการจู่โจมของ พวกทหารฝ่ายอาณานิคมต่างแดน

“ อ็าคคค ”
เสียงร้องของทหารนายหนึ่งที่คุ้มกันอยู่ดังขึ้นอย่างโหยหวน  ก่อนที่ร่างของ ทหารผู้นั้นจะ ถูกกรงเล็บขนาดยักษ์ ฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยน้ำมือของ มังกร ทาราสควีร์ ที่มาดักรออยู่ บริเวณอ่าวนี้ก่อนแล้ว พร้อมกับพวก ทหารอาณานิคม ทวีป อาริมาเทีย

“ รีบหนีขึ้นไปที่วอลเนียเร็วเข้าเร็ว..อ็าคค ”
เสียงตะโกนของนายทหารที่ยืนอยู่บนฝั่งวอลเนีย ที่เร่งให้พวก ผู้อพยพรีบหนีขึ้นไปนั้น ยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของเสียง ก็ถูก ทหารของอาริมาเทีย ทิ่มแทงด้วยคมหอก ก่อนจะถูกจับโยนลงทะเลไป

“ พวกเจ้าเป็นเชลยศึกของเราแล้วจงอย่าขัดขืนมิเช่นนั้น ข้าจะให้ ทาราสควีร์ จับกินซะ ”
เสียงของผู้บัญชาการ อาณานิคม อาริมาเทีย ดังก้องขึ้นจาก เรือกลที่ลอยเข้าเทียบฝั่ง พร้อมกับกองทหารที่ลงจากลำเรือ
ได้ลงมาล้อมกรอบ ผู้อพยพ

“ เชลยศึกเหรอ คิดแล้วเชียวว่า พวกแกต้องเล่นไม่ซื่อ พวกฉันเลยรอบเข้ามากับพวก ผู้อพยพ ด้วยพวกแกมีสายในกองทัพของเราจริงๆสินะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ซึ่งเสียงนั้นทำให้เหล่าประชาชนแห่งเมอริเซีย จับจ้องไปทางเดียวกัน เมื่อ ผู้นำทัพทหารกองคุ้มกันที่นำพวกเขามายังที่นี่ นั้นได้ไปยืนข้างฝ่ายศัตรู

“ เมื่อกี้ใครกันที่พูดขึ้นออกมาข้างหน้าซะ ”
ผู้บัญชาการกองทัพ ตวาดใส่เหล่าผู้อพยพ พร้อมๆกับที่ พลทหารของ อาริมาเทีย กระชับหอกในมือขึ้น
ทำให้พวกผู้อพยพเริ่มเสียขวัญ ในขณะที่ ทหารที่คุ้มแต่ละนายที่มีอยู่ที่นี่ นั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกของมันแทบทั้งสิ้น

“ หึๆๆๆ มีไม่น้อยเหมือนกันนะ พวกนกสองหัวเนี่ย ”
“ แต่ก็ช่างเถอะกำจัดๆให้มันหมดๆไปซะก็สิ้นเรื่อง ”
เสียงซึ่งไม่ซ้ำกันได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่ บุคคล สามคนจะเดินออก มาด้านหน้า ทั้งสามล้วนเป็น
ครึ่งสมิง ซึ่งมี สาวครึ่งสมิงแมวป่าผมสีทอง หนุ่มครึ่งสมิงพังพอนผมแดง และหนุ่มครึ่งสมิงหมาป่าผมเงิน

“ พวกแกเป็นตัวอะไรกันเนี่ย คนก็ไม่ใช่สมิงก็ไม่ใช่ เมอริเซียมีตัวประหลาดแบบนี้ด้วยเรอะ ก็ดีพวกแกคงเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการสร้างทหารเทียม จับมันไว้ ”
ผู้บัญชาการ กล่าวจบ พลทหารแห่ง อาริมาเทีย ก็กรูกันเข้ามา หมายจะตะครุบ พวกเขาทั้งสาม

“ มันไม่ง่ายนักหรอกนะ คาไมทาจิ(Kamaitachi = เคียวสายลม) ”
สิ้นคำของครึ่งสมิงพังพอน กระแสลมรอบๆก็เกิดแปรปรวนก่อนจะเกิดคลื่นสุญญากาศ
 พุ่งตัดร่างของ พลทหาร ที่กรูเข้ามาจนร่างขาดท่อน และไม่ช้า ครึ่งสมิงแมวป่า ก็ชักปืนพก
 ขึ้นมาก่อนที่จะกราดยิงใส่ เหล่าทหารจน ล้มลงไปทีละคนสองคน และเมื่อพลยิงของทาง อาริมาเทีย

 ที่สุมกันอยู่บนเรือยนต์ เล็งปืนมาทางพวกเขา ลูกกระสุนทั้งหมดที่ถูกยิงออกมานั้น กลับถูกสกัดไว้ก่อน
จะเข้าถึงตัวพวกเขา ด้วยกำแพงมนตรา ที่ครึ่งสมิงหมาป่า สร้างขึ้น

“ หนอยไอ้พวกนี้ ไม่เอาแล้ว ทาราสควีร์ ขยี้มันซะ ”
 ผู้บัญชาการ ออกคำสั่งจบ เจ้ามังกรก็ง้างกรงเล็บขึ้นหมายจะขยี้พวกเขาจนสิ้นชีพ
แต่ทว่า ครึ่งสมิงหมาป่า ตนนั้น ก็งัดเอาศิลา ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ขนาดกำมือ ออกมา
และเริ่มร่ายคาถา

“ ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ  จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) ”
สิ้นคำของ ครึ่งสมิงหนุ่ม หมู่เมฆที่ ทาราสควีร์ สร้างขึ้นเพื่อบัลดาลฝน ก็แหวกออก พร้อมกับการปรากฏของ
 จันทราสีคราม เป็นอัศจรรย์แก่สายตาของทุกผู้ที่อยู่เบื้องล่าง  แม้แต่ ผู้บัญชาการแห่งกองทัพอาณานิคม อาริมาเทีย
ยังอดมองตาไม่กระพริบ  ก่อนที่แสงสีครามจะส่องลงมาจากดวงจันทราสีคราม ทุกสิ่งที่ต้องแสงนั้น จะเกิดไอเย็นและ
จับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง แสงนั้นถูกยิงลงสู่พื้นทะเล ที่กองเรือของพวก อาริมาเทีย และมังกร ทาราสควีร์ ยืนอยู่
เพียงพริบตาทะเลกลับกลายเป็นธารน้ำแข็งในบัลดล  มังกรทาราสควีร์ ไม่อาจขยับเขยื้อนไปจากตรงนั้นได้
รวมไปถึง พลทหารที่อยู่บนเรือและ ผู้บัญชาการได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไป
สร้างความหวาดหวั่นแก่ พวกพลทหารที่ อยู่บนหาดซึ่งรอดจากการแช่แข็งทั้งเป็นมาได้  

“ รีบขึ้นไปพวกเรา ตอนนี้แหล่ะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่ พลพรรค มังกรที่อพยพ มาด้วยนั้นพุ่งตรงเข้าทำร้าย กองทหารกบฏ จนล่วงลงมาจาก วอลเนีย และเปิดทางแก่ผู้อพยพ

“ เทียเธอรีบ พา เรกกะ ขึ้นไปซะเร็วเข้า เดี๋ยวชั้นกับพวก ลากูน่า จะจัดการตรงนี้แล้วไปพาตัว ลอว์เรนซ์กับคนอื่นๆมาเอง ”
ชายคนที่ตะโกนเมื่อครู่ เข้ามากล่าว กับแม่ซึ่งอุ้มเด็กน้อยผมสีทองอยู่ ก่อนจะให้พาเธอวิ่งฝ่าฝูงชน ขึ้นไปบน วอลเนีย
แล้วจึงวิ่งฝ่ากลับลงไป เพื่อไปสมทบ กับพวก ครึ่งสมิง ที่สู้อยู่กับพวกทหาร อาณานิคม

“ ตอนนี้ล่ะ มันขยับไม่ได้แล้ว อัญเชิญจันทราที่สามเลย ”
สมิงหมาป่าหนุ่มกล่าว ขณะที่ เร่งส่งพลังเวทย์ลงไปที่ศิลา ให้มากขึ้น แสงของพระจันทร์สีครามก็รุนแรงตามไปด้วย ร่างของ ทาราสควีร์ ค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆจนมันเริ่มขยับไม่ได้
ครึ่งสมิง แมวป่ากับ ครึ่งสมิงพังพอน จึง งัดเอา ศิลาจันทร์เสี้ยวแบบเดียวกันขึ้นมา และเริ่มร่ายคาถา


“ ยามใดทีนภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร….
และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ”
ทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยค
สิ้นคำศิลาก็เรืองแสง เปล่งประกายเจิดจ้า

“ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer)
สิ้นเสียงของทั้งคู่ ก็เกิดหลุมสีดำลอยเคว้งเหนือทั้งสอง ภายในมีมวลพลังงานทรงกลม
ลอยเคว้งอยู่ในความมืด ราวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นตอนกลางคืน คลื่นพลังที่รุนแรงถูกพัดออกมา
ถาโถมใส่กองเรือและ ทาราสควีร์ ร่างของมันจึงถูกคลื่นพลังตรึงเอาไว้  ก่อนที่แสงสีดำ
ซึ่งโง้งเป็นเสี้ยว จะพุ่งออกมาจากหลุมมิตินั้นอย่างไม่ขาดสาย และตวัดผ่านร่าง ของมันและกองเรือ จนพินาศสิ้น ทว่า ร่างของ ทาราสควีร์ นั้นกลับเพียงแค่กะเทาะตัวออกจากน้ำแข็งเท่านั้น   แต่แรงกระแทกก็ทำให้มันล้มลงไปในอ่าว

“ ไง จัดการได้ไหม ”
ชายที่ไปส่ง แม่ของเด็กขึ้นวอลเนียไป ได้เข้ามาถาม

“ อ้าว กาเทีย ไม่ได้ขึ้นไปด้วยกันกับ เทีย เหรอ ”
ครึ่งสมิง พังพอน กล่าวถาม



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga01ปฐมบทแห่งตำนานบทใหม่
Post by: greamon on February 08, 2009, 06:09:00 PM
“ ลอว์เรนซ์ บอกให้ชั้นมาส่ง เทีย ไปก่อนเท่านั้นเอง และตอนนี้ก็ไม่น่ามีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะ  ”
กาเทีย ชายซึ่งตามมาสมทบนั้นกล่าว

“ ไม่หรอกเจ้ามังกรยักษ์นั่น เมื่อกี้มันแค่ถูกคลื่นพลังซัดจนหมอบไปเท่านั้นมันยังไม่ตาย ”
ครึ่งสมิงหมาป่ากล่าว ซึ่งไม่นานนัก เจ้ามังกรทาราสควีร์ ก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ และเริ่มอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกันฝูงผู้อพยพก็ได้ ขึ้นวอลเนียไปหมดแล้ว

“ พวกเจ้าน่ะรีบขึ้นมาเร็ว ”
นายทหารฝ่ายเมอริเซียที่ยังเหลือ อยู่ตะโกนเรียกให้พวกเขาขึ้นมา

“ ไม่ต้อง รีบออกตัวไปเลยพวกเราจะอยู่สกัดมันให้ ”
สิ้นคำของ กาเทีย นายทหารก็ไม่รีรอที่จะให้ออกตัวจากท่าอีกแล้วเพราะ ทาราสควีร์ กำลังจะพุ่งเข้ามาทำลาย วอลเนีย
แต่ทว่า แสงสีคราม ก็ถูกยิงลงมาแช่ร่างของมันอีกครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ดึงความสนใจเท่านั้น เพราะอำนาจของจันทราเริ่มอ่อนลงจาก การที่ พลังของ ทาราสควีร์ รุนแรงขึ้น ส่งผลให้หมู่เมฆก่อตัวหนาขึ้นจนบดบังอำนาจรัศมีของ จันทราไป

“ แย่แล้ว เพราะเครื่องควบคุมที่อยู่กับกองเรือ พังไปทำให้ตอนนี้มันหลุดจากการควบคุมแล้ว ”
นายทหาร ฝ่ายอาณานิคม อุทานขณะที่พยายามจะหนี แต่ก็ถูก คลื่นลมพายุที่โหมกระหน่ำกวาดลงทะเลไป
ในขณะที่ เจ้ามังกร ค่อยๆคืบคลานขึ้นสู่พื้นทราย และตรงรี่เข้าสู่สนามรบ เพื่อจะอาละวาด ตาม สัญชาติญาณ

“ แย่แล้ว มันกำลังจะไปที่สนามรบ ถ้าเราไม่หยุดมันไว้ล่ะก็.. ”
ครึ่งสมิงแมวป่า กล่าว

“ สายไปแล้วล่ะ นีน่า พวกลอว์เรนซ์ กำลัง ปะทะกับ นิลคาบาลนอร์ แล้วที่นั่น เจ้ามังกรนั่นก็หลุดการควบคุม จากพวก อาณานิคม ดิสอาปจูร่า ไปแล้วด้วย  ”
ครึ่งสมิง พังพอนกล่าว ขึ้นขณะที่สายตาของเขามอง ตรงไปยังสนามรบ ดวงตาของเขานั้นราวต้องมนต์สะกดอยู่นี่คือ มนต์ตาทิพย์ที่ทำให้มองเห็นสภาพจากที่ไกลได้

“ หมายความว่า เราล้มเหลวตั้งแต่ตอนที่ ใช้มือสังหารตะวันเที่ยงคืนจัดการกับมันไม่ได้ แล้วสินะ ริคุ ”
ครึ่งสมิงหมาป่า กล่าวขึ้นขณะที่มอง เจ้ามังกร ลับหายไปจากสายตาท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

“ แล้วการออกมา ของพวกเราจะมีความหมายอะไรล่ะ สรุปนี่ต้องเป็นไปตามคำทำนายหมดเลยงั้นเหรอ ”
ครึ่งสมิงแมวป่านาม นีน่า กล่าวอย่างหมดหวัง พร้อมกับคุกเข่าลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ คำทำนายวันดับสูญของ เมอริเซีย สองมังกรร้าย จะต่อสู้กันพลังของมันจะบัลดาลให้เกิดภัยพิบัติ จนผืนแผ่นดินย่อยยับ ด้วยน้ำมือของ เหล่ามนุษย์ผู้โลภหลง ในอำนาจ คิดจะควบคุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าตน  ”
ครึ่งสมิงพังพอน ริคุ กล่าวขึ้นขณะที่ ย้อนนึกไปถึงคำทำนายที่พวกเขารับรู้มา

“ และเพราะรู้แบบนั้น พวกเราถึงได้ออกจาก มิติมังกร มาก็เพื่อหยุดยั้งมัน แม้จะไม่มีพลังของ
อัศวินทาลิวิลย่าแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายผลลัพธ์มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ”
ครึ่งสมิงหมาป่า ลากูน่า กล่าว พวกเขาทั้งหมดได้แต่ยืนมอง ความล่มสลายของ เมอริเซียที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
ขณะที่ ยานเต่าบินยักษ์ วอลเนียค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นสู่ท้องนภาท่ามกลางสายฝนที่ซัดกระหน่ำ

………………….
…………………..

ที่ ใจกลางสนามรบ บัดนี้ไม่มีทหารของอาณานิคมใด เหลืออยู่อีกแล้ว นอกจากทัพของเมอริเซีย และทัพมังกร
ที่ลอว์เรนซ์นำมา ด้วยผลการทำลายล้างอย่างไม่เลือกฝั่งของ นิลคาบาลนอร์ที่หลุดการควบคุม
รังสีความแห้งแล้งที่แผ่ออกจากร่างของมัน ทำให้ ผืนแผ่นดินลุกเป็นไฟ

บัดนี้ที่ เข้าปะทะกับเจ้ามังกรร้าย มีเพียง สองมังกรศาสตรา กับ ดีวายดราก้อน และมังกรดำ เทียแมต(Tiamat)
และเพราะสถานที่ปะทะนั้นใกล้กับเขตของฟูดินัน ทำให้ มังกรสองหัวผู้พิทักษ์แห่งเขาคีรีบันดาไพทอน( Python, the Guardian Dragon)  ซึ่งรับรู้ถึงจิตสังหาร และความอันตรายของ มังกรนิลคาบาลนอร์ ได้ออกมาร่วมกับเหล่าพลพรรค

มังกร เพื่อต่อกรกับมัน ไม่เว้นแม้แต่ มังกรมารัคผู้พิทักษ์ (Marag, Yggdrasill,s Guardian) มหาพฤกษา อิกดราซิล (Yggdrasill) ซึ่งออกมาปกป้องมหาพฤกษา จากอันตรายที่จะเกิดจากาการปะทะกันของเหล่ามังกรและนิลคาบาลนอร์
ทว่าแม้จะเกิดการศึกยิ่งใหญ่และภัยพินาศมากมายเพียงนี้ เหล่าทวยเทพกลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยพวกเขาเลยแม้แต่น้อย


“ อึก…ที่นี่คงจะต้านเอาไว้ได้อีกไม่นานแล้ว ฝ่าบาทพระองค์รีบ อพยพทุกคนไปเถิด กระหม่อมกับกองทัพมังกรจะสกัดมันไว้เอง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวเมื่อเห็นท่าจะไม่ดี แม้ ซิกมันต์ จะไม่เห็นด้วยที่จะทิ้งให้ เด็กหนุ่มเพียงสอง อยู่คุมทัพมังกรเข้าต่อกรกับ มัน แต่พระองค์ก็ไม่มีทางเลือก ชีวิตของทหารทุกคนต้องไม่สูญเปล่าไปกับการศึกที่พวกเขา

ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปได้ พระองค์จึงตัดสินพระทัย สั่งถอย ล่าไปในทันที ทว่า ยังไม่ทันที่ จะไปได้ไกล
กองทหารทั้งหมดรวมไปถึงตัว พระองค์ต่างถูกหางของ ทาราสควีร์ กวาด รวบจมลงไปในบ่อโคลนตมใต้ฐานของมัน
ก่อนจะถูกขยี้เละหายไปทั้งกอง   ทิ้งไว้เพียงคราบเลือกที่ปนขึ้นมากับน้ำโคลน

บัดนี้ มังกรร้ายแห่งตำนานทั้งสองได้ มาปะทะกันแล้ว แม้จะมีเหล่ามังกรทรงอำนาจแต่ ทว่าอำนาจของมังกร
ทั้งสองนั้นรุนแรงกว่าพวกมันจะทานเอาไว้ได้ และทันทีที่ การปะทะเริ่มขึ้นอำนาจดลบัลดาลภัยพิบัติ
ของพวกมันก็เกิดชนกันและกลายเป็นพลังทำลายที่มหาศาล ผืนแผ่นดินแตกแยกออก และ
ลอยขึ้นสู่ฟ้า

“ ม..ไม่น่าเชื่อ ”
“ เป็นได้ถึงขั้นนี้เชียว ”
เสียงของ พวก ลากูน่า ที่ตาม มาสมทบกับ ลอว์เรนซ์ ดังขึ้น ความวินาศสันตะโรที่เกิดขึ้นยาก จะจินตนาการได้
ยิ่งมาเห็นด้วยตาพวกเขาก็แทบไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วนอกจาก ความสิ้นหวังแล้วไม่เหลือสิ่งใดอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกแล้ว ความพ่ายแพ้ต่อชะตากรรม ที่ลิขิตให้เมอริเซียถูกทำลายนั้นไม่อาจแก้ไขได้อีกต่อไปแล้ว


“ พวกเจ้ารีบไปซะ สงครามนี้ข้าจะยุติมันลงเดี๋ยวนี้ด้วยตัวข้าเอง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่ เรียกให้มังกรศาสตราทั้งสองกลับคืนเป็นดาบ

“ พูดอะไรของนายน่ะลอว์เรนซ์ จะให้พวกเราทิ้งนายแล้วหนีไปงั้นเหรอ ”
ครึ่งสมิงหมาป่าที่อยู่กับเขา เจนัส กล่าวอย่างไม่ยอมความซึ่งรวมไปถึงเพื่อนๆของเขาที่อยู่ ณ ตรงนี้ด้วย

“ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้าหรอกนะ แต่ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง เมอริเซีย ที่พวกเรารักก็จะไม่เหลืออีก
ถึงอยากให้พวกเจ้าหนีไป เพื่อที่ซักวันจะได้กลับมาปลดปล่อยเมอริเซีย ให้เป็นอิสระ  ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวโดยพยายามจะยัดเยียด เหตุผลเพื่อให้พวกเขายอมรับ

“ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ล่ะ นายน่ะมี เทียอยู่นะ แล้ว เรกกะ ก็ยังเล็กอยู่เลย นายจะทิ้งพวกเขาไปงั้นเหรอ ”
นีน่า กล่าวเพื่อย้ำเตือนให้เขานึกถึงชีวิตลูกและภรรยา

“ ฝากพวกเขาด้วยก็แล้วกัน ข้าเชื่อใจพวกเจ้า ตลอดมาและจากนี้ตลอดไป ข้าก็จะขอเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องทำได้
ตอนนี้และที่นี่ มันคือสมรภูมิสุดท้ายของข้า ท่านดีวายดราก้อน โปรดช่วยพาพวกเขาหนีไปที ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ดีวายดราก้อนก็เข้ามาขวางเหล่าเพื่อนๆของเขาเอาไว้ ไม่ให้ตามไป

“ ลอว์เรนซ์ ถึงเจ้าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของข้า แต่ข้าก็เลี้ยงดูเจ้าเหมือนลูกแท้ๆ ข้าภูมิใจที่เจ้ายอมรับข้าเป็นพ่อของเจ้า ”
ดีวายดราก้อนกล่าวภาษามนุษย์ ออกมาเพื่อสื่อสารกับลูกบุญธรรมของตนเป็นครั้งสุดท้าย

“ ครับผมเองก็เช่นกัน ลาก่อน ”
สิ้นคำของลอว์เรนซ์ ดีวายดราก้อนก็รวบตัวพวก เจนัส หนีไปโดยทิ้งเสียงร้องเรียกชื่อของเขา ที่เหล่าเพื่อนๆส่งมา

“ ลอว์เรนซ์ นายพูดเองไม่ใช่รึไงว่าต่อให้เป็น ลิขิตฟ้าก็จะก้าวข้ามมันไปน่ะ ”
เสียงสุดท้ายของ เจนัส ที่ส่งมาถึงนั้นทำให้เขาย้อนหวนนึกถึงคำพูดที่เขาเคยกล่าว ไว้เมื่อสมัยยังเด็กกับเพื่อนๆทุกคน

“ จริงด้วยสินะแต่ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ชั้นทำไม่ใช่เพราะเดินตามชะตาลิขิต หากคำทำนายบอกว่าเมอริเซียจะล่มสลายในวันนี้ ชั้นก็จะฝืนดวงชะตา ทำให้มันไม่ล่มสลายลงซะ ”
ลอว์เรนซ์ รำพันกับตนก่อนจะปักดาบทั้งสองเล่มลงพื้น ต่อหน้าการต่อสู้ของ สองมังกรร้าย

“ จงฟังแม้วันนี้ร่างเราจะเหลือเพียง ทุลีเถ้า แต่วิญญาณของ เรา จะดำรงสืบไปยังลูกหลานและซักวัน ลูกหลานของเราจะมาทวงเอาแผ่นดินผืนนี้คืน …..ซักวัน ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ ดาบทั้งสองเล่มที่เขาปักลงไปก็แผ่คลื่นพลังออกมา ก่อนจะขยายตัวไปทั่วทั้งเมอริเซีย
และกลายเป็นเขตอาคม ที่ครอบคลุม ผืนทวีปนี้ไป ทุกสรรพสิ่งภายในเขตอาคม นั้นหยุดนิ่งลงราวกับว่าเวลา
นั้นหยุดลง

………………….
………………………

ด้านวอลเนีย ที่ออกตัวนำผู้อพยพ หนีออกจากทวีปไป ก็ได้มุ่งหน้าตรงสู่ เขตเกาะ วาร็อค ที่เคยตั้งถิ่นฐานไว้อยู่

เสียงคร่ำครวญของเหล่า ผู้อพยพที่ต้อง พรากจากลูกหลานและบุคคลอันเป็นที่รักนั้น ดังระงม ตลอดทาง
ความสูญเสียในครั้งนี้ยิ่งใหญ่ จนราวกับฉีกกระชากหัวใจของ ชาวเมอริเซียไปจนสิ้นทั้ง เกียรติ ศักดิ์ศรี อำนาจ
 ความมั่งคั่ง ทุกอย่างถูกแย่งชิงไปหมดและจบลงที่พวกเขาต้องสูญเสีย ผืนแผ่นดินของตนไป

ทว่าเพียงเท่านั้นชาวเมอริเซีย ยังคงไม่หลุดจากห้วงแห่งความทรมาน เหมือนสวรรค์จงใจ
นี่คือผลกรรมที่พวกเขา
ก่อไว้หรือไร เมื่อ กองทัพของ ศัตรูต่างออกมาตั้ง ค่ายเพื่อรอรับ การมาของ เมืองวอลเนีย ไม่นาน
กระสุนปืนใหญ่ ก็ถูกกระหน่ำยิง ใส่ วอลเนีย จนร่วงลงสู่ผิวน้ำ

พร้อมๆกับที่ ทหารจาก ทุกอาณานิคม รุมกันขึ้นไปบน วอลเนีย เพื่อจะแย่งตัวเชลยศึก
และยึดเอาเทคโนโลยี เมืองบิน อย่างวอลเนีย ไป

“ อย่าให้พวกมันได้เมืองนี้ไปจับเชลยศึกของศัตรูมาให้หมด พวกที่ขัดขืนฆ่าทิ้งซะไม่ต้องปราณี ”
คำสั่งที่ดังขึ้นจากทุกอาณานิคม ราวกับนัดแนะกันไว้ก่อน ได้ดังขึ้น ชาวเมอริเซีย ก็ต้องตกอยู่ในห้วง
แห่งความทุกข์ระทม การนองเลือดเหล่าประชาชนสตรี และ เด็ก ไม่ว่าจะมังกร สมิง หรือ มนุษย์

ก็ตามที ไม่มีการปราณีแก่ผู้ขัดขืน คมดาบตัดผ่าทุกส่วนของร่าง โลหิตที่ไหลอาบย้อมลงบนพื้นดิน  และวิหารในตัวเมือง  กับฐานเต่าบินที่ค่อยๆจมลงสู่ท้องทะเล

“ ขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรลูกฉันเลย อ๊าาา ”
ยังไม่ทันที่ เทีย จะได้รับคำตอบ เธอก็ถูก ทหารใจเหี้ยมตวัดคมดาบผ่าร่างจนตายคาคมดาบ

“ หม่าม้า..หม่าม้า ลุกขึ้นมาสิ หม่าม้า ฮือๆๆ ”
เด็กน้อย ร้องไห้น้ำตาคลอเบ้าขณะที่ เขย่าร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่

“ เฮ้ยไอ้หนู ขวางหู ขวางตาข้า ตายซะเถอะ ย้าก ”
สิ้นคำคมดาบของทหารใจเหี้ยม ก็เงื้อขึ้นหมายจะตัดศีรษะของเด็กน้อยในคราเดียว
เด็กน้อยหลับตาปี๋ด้วยความกลัว พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรดลงพื้น


“ อ็าคคคคคคคคคคคค ”
เพียงเสียงเดียวที่บาดลึกเข้าไปถึงโสตประสาท พร้อมกับโลหิต ที่สาดกระเซ็นสู่ร่างของเด็กน้อย
เมื่อเด็กน้อยค่อยๆลืมตาขึ้น สภาพโดยรอบได้เปลี่ยนไป เหล่าทหารทั้งหมดต่างจ้องมาที่เขาเป็นทางเดียวกัน

เมื่อเด็กน้อยมองขึ้นไปเหนือหัวของเขา ร่างของทหารใจเหี้ยมได้ถูก คมดาบเสียบร่าง ยกลอยขึ้นอยู่เหนือเขา
โดยที่รอบตัวเด็กน้อย มีอัศวินครึ่งมังกร หกตนซึ่งแต่ละตนก็มีสีแตกต่างกันไปตามธาตุสังกัด

“ พวกมนุษย์ไร้ค่าทั้งหลาย บังอาจเอา วาจา การกระทำอันต่ำช้ามาแสดงต่อหน้า อวตารแห่ง อัศวินผู้ถูกเลือกเช่นนี้หรือ พวกเจ้าไม่สมควรมีชีวิตรอด ไม่สมควรอยู่ต่อในฐานะมนุษย์อีกต่อไป จงตายซะ Great of Dragon(อำนาจแห่งมังกร) ”
สิ้นคำ ก็เกิดมวลแสงพลังงานธาตุต่างๆขึ้นและก่อรูปเป็นมังกร ก่อนที่มังกรพลังงาน ทั้ง 6 จะถูกปลดปล่อยอกมาโดย อัศวินครึ่งมังกร เพียงพริบตา กองเรือ นับแสนของ ทุกอาณานิคม ต่างย่อยยับ เหล่าทหาร ที่บุกรุกเข้ามา ถูกฆ่าสังหาร

ไม่เหลือด้วยน้ำมือของอัศวินมังกร ทั้ง 6 ตน การสังหารอันเหี้ยมโหด ที่เหล่าอัศวินมังกรแสดงแก่สายตาของเด็กน้อยนั้น ช่างเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมกว่าที่พวกมัน ทำนัก จนเมื่อไม่เหลือใครในบริเวณรอบๆนอกจาก เขากับ อัศวินมังกรทั้งหก

“ นายน้อย บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ที่ท่านจะได้รับพลังตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเตรียมใจด้วย ”
อัศวินมังกรกายสีขาวซึ่งสังกัด ธาตุแห่งแสงได้เอ่ยกล่าว ก่อนจะหงายคมดาบลง เช่นเดียวกันกับอัศวินมังกรตนอื่นๆ
ที่หงายคมดาบลงโดยหมายจะปักมันลงบนร่างของเขา  ในวินาทีนี้ เด็กน้อยคิดว่าตนคงไม่รอดแน่แล้ว ก่อนที่คมดาบ
ทั้ง 6 เล่มจะทะลวงลงไปยังร่างของเขา

“ จากนี้ไปเราคือพลังของท่านนายน้อย ”
สิ้นคำเหล่าอัศวินมังกร ก็สลายกลายเป็นแสงและก่อรวมตัวกันขึ้นกลายเป็นศิลา ขนาดเล็ก ลอยอยู่ต่อหน้าของเด็กน้อยที่เลือดโทรมกาย แม้จิตใจหลุดลอยไปแล้ว แต่ราวกับมีอำนาจบางอย่างทำให้เขายังรับรู้กับสิ่งที่เกิดกับตัวเขา

ทั้งความเจ็บปวดความหวาดกลัว และทันทีเมื่อ ศิลานั้นค่อย ทะลวงลงไปในตาซ้ายของเขา ความเจ็บปวดอย่างที่สุดเท่าที่จะมีใครเคยได้ลิ้มลอง ก็ได้ถ่ายทอดแก่เด็กน้อยซึ่งมีวัยเพียง  4 ปีเท่านั้นทันที ที่ ศิลาฝังตัวลึกลงไปในดวงตา

แม้ แก้วตาจะสมานกลับดังเดิมก็ตามแต่ทว่าตาข้างนั้นก็มองไม่เห็นอีกแล้ว
ดาบที่ปักทะลุร่างของเขาได้ซึมซับเข้าไปในร่างพร้อมๆกับสมานบาดแผลให้  ก่อนที่เด็กน้อยจะฟุบตัวหมดสติไป

“ นายน้อยขอ ท่านจงหลับให้สบาย พวกข้าจะพานายน้อยไปสู่ช่วงเวลาแห่งการชำระ เทอร่า นี้เอง ”
เสียงของอัศวินมังกร นั้นยังคงก้องอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเด็กน้อย ก่อนที่ร่างของเขาจะอาบด้วยแสงและหายไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย

…………………..
……………………..

200 กว่าปีต่อมา

“ จะไปแล้วเหรอ ”
“ ครับวันนี้ กิจกรรมตอนเช้า เลยต้องไปก่อนเวลา น่ะครับ ”
“ เหรองั้นวันนี้อย่ากลับค่ำนักล่ะ ”
“ ครับ ”
เสียงสนทนาที่ดังขึ้นหลังประตูไม้ ที่ค่อยๆเปิดออก

“ อ้าวมารอนานแล้วเหรอ ”
“ ถ้าไม่รีบไปจะสายเอานา เรกกะ ”
…………….
………………..

“ ถึงเวลาแล้วสินะ ที่พวกเราจะเริ่มภารกิจแรกกัน ”
“ การเข้าแทรกแซงเพื่อขจัดความขัดแย้ง ที่เรียกว่าสงครามนั่นน่ะ ”
“ Empyrean Adjust พวกเราจะขจัดสงครามให้หมดไปจากโลกใบนี้ซะ ”

……………….
……………………..

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga
แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานถึง 200 ปีแต่สงครามก็ยังคงดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ เหล่าชาวเมอริเซีย ที่สูญเสียแผ่นดินเกิด
ต้องจมอยู่กับความอัปยศ นานนับศตวรรษ ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังคงไม่ได้รับบทเรียน จากการศึกในครั้งนั้น
ยังคงสร้างความขัดแย้งขึ้นเรื่อยมา ทว่า

“ พวกเราคือผู้นำสารแห่งสวรรค์มาสู่ ผืนพิภพ Empyrean Adjust และจากนี้ไปพวกเราจะเข้าทำการแทรกแซงความขัดแย้งทั้งหมดในโลกนี้ และสงบมันลงด้วยกำลังอาวุธของ เหล่า Valkyrier ทั้ง 12 พวกเราจะพิพากษาโลกใบนี้ ”

“ ว่ายังไงนะพึ่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไปได้แค่ สามชั่วโมง ทาง ดิสอาปจูร่า สั่งยกเลิกแล้วงั้นเรอะ  ”
“ สงครามความขัดแย้งทางศาสนา ที่สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งทวีป เลาดิเชีย ตอนนี้ประกาศสงบศึกกันแล้วครับ ”
“ เห็นว่ากองทัพอันเกรียงไกร ถูกโค่นล้มด้วยนักรบของพวกที่อ้างว่าเป็น Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust  แค่สี่คนเข้าล้มล้างทั้งกองทัพในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีครับ ”
“ นี่พวกมันคิดจะขจัดความขัดแย้งทั้งโลกจริงๆอย่างนั้นน่ะเหรอ Empyrean Adjust ”

ท่ามกลางไฟสงครามที่ ต่อเนื่องมาอย่างยาวนานกลับปรากฏเหล่า นักรบแห่งสรวงสวรรค์ เข้ากำราบ จนปราชัย

สมรภูมิเปลี่ยนไปแล้ว ด้วยคำสาบานต่อคมดาบแห่งฟ้าสูง ขอปฏิญาณ จากหัวใจ
จะขอขจัดสงครามให้สิ้นไปจาก เทอร่า ใบนี้ แม้ชีวี จะหาไม่ก็ตาม Saga 03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
………………………………………..

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ภาพทั้งหมดจาก Database เจ้าค่ะ

ปิโยะ ปิโยะ อิอิ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga02 ผู้สืบทอด
Post by: greamon on February 09, 2009, 06:13:47 PM
Saga 03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม

หลังมหาสงครามแห่ง เทอร่า ประชาคมโลกจึงตระหนักได้ในที่สุดว่า การทำสงครามนั้นรังแต่จะ
สร้างให้เกิดพินาศย่อยยับ จึงได้ทำสนธิสัญญา สงบศึกแต่กระนั้นก็ยังมีผู้ที่ต่อต้านการทำสนธิสัญญา

และต้องการให้สงครามดำรงอยู่ต่อไป พวกพ่อค้าที่หากินกับสงคราม แน่นอนหากไร้ซึ่งสงคราม
ทหารรับจ้างก็หมดความหมาย อาวุธร้ายๆต่างที่ หลายองค์กรผลิตเพื่อจะขายในราคาสูงกับประเทศที่ต้อง

ล้มล้างอริชาติ ก็จะต้องพังพินาศ ดังนั้นแม้ สนธิสัญญาจะเกิดขึ้นมาและมีการบังคับใช้แล้ว แต่
บางประเทศอาณานิคม ของทวีปส่วนใหญ่นั้นยังคง ทำสงครามกันเองในประเทศและข้ามประเทศ

ไปจนถึงทำสงคราม ข้ามทวีป ก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ขยายวงกว้างขึ้นเพราะ ประชาคมโลกที่ทำการ
ควบคุมขอบเขตของสงคราม ไม่ให้รุกล้ำเข้ามาถึงแดนของตนได้ สงครามที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพราะความขัดแย้งทาง

การเมือง แม้แต่ ศาสนา เผ่าพันธุ์ การแก่งแย่งทรัพยากร และ พื้นที่  ไปจนถึงข้อพิพาทอีก นานับประการ
ที่ไม่ได้กล่าวถึง จึงยังไม่อาจพูดได้ว่า เทอร่า ปลอดจากสงครามแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้คนทั่ว เทอร่า ลืมหายไป

นั่นคือ ประชาชนชาว เมอริเซีย ที่ต้องสูญเสีย แผ่นดินบ้านเกิดจนไร้ที่อยู่ หนำซ้ำยังถูกเหยียดหยามและกดขี่
ให้ไม่มีสิทธิ ต่างๆต้องเป็นเบี้ยล่างรับใช้ เยี่ยงสัตว์แรงงาน แต่ก็มีบางประเทศที่เล็งเห็นถึงปัญหา

สิทธิของชาวเมอริเซีย ที่ได้รับอย่างไม่เที่ยงธรรม จึงทำให้บางประเทศนั้นเปิดเสรี และออกกฎหมาย
คุ้มครองชาวเมอริเซีย ที่ยากไร้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีการปิดกั้นไม่ให้พวกเขาได้เชิดหน้าชูตา
เช่น ชาวเมอริเซีย ไม่สามารถเข้ารับราชการได้  นอกจากนี้หากเกิด เหตุการณ์ไม่สงบภายในบ้านเมือง ชาวเมอริเซียคือพวกแรกที่จะต้องออกไปรบ แต่มีอยู่ประเทศหนึ่งเปิดเสรีภาพ โดยไม่แบ่งแยก พวกเขาคือ สหราชอาณาจักร

โลกอส(Logos) ซึ่งมีนกพิราบสีขาว เป็นตัวแทนแห่งสันติภาพ สาเหตุที่ประเทศนี้สามารถเปิดเสรีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างไม่
แบ่งแยกได้นั้น เพราะ โลกอสมีกำลังและอำนาจพลที่เหนือล้ำกว่าทุกอาณานิคม อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่า

ใครๆ แต่ทั้งหมดนั้น ก็ยืนอยู่บนฐานของอุดมการณ์ที่ว่า  “เราจะไม่รุกรานใคร และ จะไม่ยอมให้ใครมารุกรานเรา”
ดังนั้น โลกอส จึงเป็นดั่งอาณาจักรในตำนาน ที่ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไร้ซึ่งความขัดแย้ง อีกทั้ง ราชอาณาจักร

ยังปกครองโดยยึดเอาศาสนา เป็นหลักในการเปิดกว้างเพื่อช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์ ตามหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า แต่เพราะเหตุนี้เองทำให้ โลกอส ตกเป็นเป้าของประชาคมโลก ที่โหยหาการกดขี่ และเอารัดเอาเปรียบ ด้วยแรงงาน

ชาวเมอริเซียนั้น เป็นอะไรที่ไม่มีกฎหมายโลก คุ้มครองเพราะทวีปของพวกเขาแตกสลายและไม่มีกลุ่มตัวแทน
ที่ร่วมลงนามสนธิสัญญา อีกทั้งยังถูกลงชื่อว่าเป็นกลุ่มสาบสูญ ไร้ซึ่งตัวตน ทำให้ง่ายต่อการทำมาเป็นแรงงานที่ไม่ต้องปราณี และทำการทดลอง ที่ผิดศีลธรรมกับพวกเขาได้

และมาถึงตรงนี้เวลาได้ล่วงเลยมา กว่า 200 ปี ท่ามกลางความข่มขื่นที่ชาวเมอริเซียได้รับ ซึ่งทุกอาณานิคม นั้นเล็งเห็นว่าซักวัน พวกเขาอาจลุกฮือขึ้นเพื่อทำการปฏิวัติ นอกจาก โลกอส แล้ว การกระทำทารุณกรรม กับชาวเมอริเซีย จึงมีให้พบได้ไปทั่ว จากการกระทำที่โง่เขลาของพวกเขา บัดนี้ได้แสดงให้สวรรค์เห็นแล้วว่า พวกเขาไร้ซึ่ง ศรัทธา ที่จะอยู่ร่วมโลกกัน ดำรัสแห่งการชำระล้าง เทอร่า ที่เตรียมการไว้เมื่อกว่า 2  ศตวรรษ ที่แล้วจึงเริ่มขึ้น

……………….
……………………..


โรงเรียน St. Mugnagus
เป็นโรงเรียน ที่ทางโบถส์ St. magnus ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนสหภายในประเทศอันสุขสงบ
จากภัยสงครามอย่างโลกอส นี้ ซึ่งที่นี้เน้นหลักการสอนให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยก ลูกหลานชาวเมอริเซีย

ที่เข้าเรียนที่นี่จะเยอะเป็นพิเศษ และด้วยกฎหมายคุ้มครองสิทธิของทุกคนอย่างเท่าเทียม จึงไม่มีการเหยียด ชนชั้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะพระมหากรุณา ของเจ้าหญิง มาเรียลูส (Marialust) ผู้มีศักดิ์เป็น เอนกิ(Enki) ซึ่งมีศักดิ์

เทียบเท่าผู้สำเร็จราชการปกครองแคว้นนี้อย่างเป็นเอกเทศ  พระองค์ทรงมีพระเมตตา ทรงห่วงใยราษฎร ทั่วหล้าโดยไม่แบ่งแยก ชาวเมอริเซีย ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์ถึงกับพูดเป็น เสียงเดียวว่าพระองค์คือ
เจ้าหญิงอลาน่า(Alana)ที่อวตารลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์ อีกครา

………….
………………..

“ คนต่อไป เรกกะ(Recca) เธอช่วยอ่านบทคัดย่อที่สามของหน้านี้ทีนะ ”
เสียงของอาจารย์ ดังขึ้นพร้อม กับเด็กหนุ่มผมสีทองผิวสีขาวนวล สวมเครื่องแบบเสื้อเชิ้ต สีขาวและทับด้วย
สูทสีฟ้าอ่อน อันเป็นเครื่องแบบของโรงเรียน ได้ยืนขึ้นขณะที่ยกเล่มหนังสือปกอ่อน สีฟ้าซึ่งมีตรา นกพิราบขาว

แห่งสันติภาพ  ประทับอยู่ที่หน้าปก ตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นี้ แม้จะดูปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ทว่าเมื่อจ้องมองให้ ลึกลงไป
จะพบว่ามี ก้อนตะกอนอะไรบางอย่างฝังลึกอยู่ในแก้วตา ทำให้ตาดวงนั้นไม่สามารถมองเห็นได้

“ หลังจากการเข้ารับราชการ องค์หญิง มาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส ให้เปิดประเทศ โลกอส เป็นเสรี
ไม่ขึ้นกับใคร และดำรงอยู่บนรากฐานแห่งการอยู่ร่วมกัน… ”
เรกกะ อ่านบทความที่เขียนอยู่ในหนังสือ อย่างช้าๆและชัดให้ทั้งห้องฟัง ก่อนที่จะนั่งลง พร้อมกับที่ อาจารย์ผู้สอนจะเรียกคนถัดไปขึ้นยืนอ่าน

“ อ…เอ่อ ตรงบทคัดย่อที่ ห้า อ..เอ่อ อยู่ตรงไหนนะ อยู่ไหน อ..เอ่อ องค์หญิงมาเรียลูส พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส.. ”
เสียงอำอึ้งตะกุกตะกัก ของนักเรียนคนต่อมาที่ถูกสั่งให้ยืนขึ้นอ่านดังขึ้นจากด้านหลังเขา

“ เฟนท์(Feint) ที่เธออ่านน่ะมันบทคัดย่อที่สาม เพื่อนๆเขาอ่านผ่านไปแล้ว ของเธอ ต้องขึ้นต้นเรื่องพระราชกรณีกิจของพระองค์ต่างหาก ”
อาจารย์ผู้สอน กล่าวเสียงหน่ายๆกับอาการตื่นผวา ของ นักเรียนคนนี้ ที่เป็นเอาเสียทุกครั้งในทุกชั่วโมงเรียน
เด็กหนุ่มเผ่าครึ่งสมิงสายพันธุ์ หมาป่า ผมสีดำ และมีหูเยี่ยงสุนัขป่าสีดำ ผู้นี้มักเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง

บ่อยครั้งการกระทำของเขา จึงทำให้ ทุกคนหน่ายไปพอๆกัน แม้แต่อาจารย์ผู้สอนเองก็รับไม่ค่อยได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผลการสอบทุกครั้ง เขาจะได้คะแนน ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

“ เฮ้อ เจ้า เฟนท์ เป็นอีแบบนี้ทุกทีสิน่า ”
เรกกะ ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย กับชั่วโมงเรียนที่แสนน่าเบื่อนี้ เขาทอดสายตามองออกไปข้างนอก
เหม่อมอง ท้องฟ้าอันสดใส ที่มีเมฆลอยเอื่อยเฉื่อย นี่ก็เป็นอีกวันที่แสนสงบ ภายในรั้วโรงเรียน ของประเทศซึ่งห่างไกลจากสงคราม
 
ครู่ต่อมาเสียงกริ่งหมดชั่วโมงก็ดังขึ้นทำให้เขาสะดุ้ง กลับจากภวังค์


“ งั้นวันนี้พอแค่นี้นะนักเรียน ”
อาจารย์ผู้สอนกล่าวขณะที่ กลับไปยังโต๊ะเพื่อเก็บอุปกรณ์การสอนและหนังสือ ลงกระเป๋าหนัง

“ ทั้งหมดตรง…เคารพ ”
เสียงสั่งการของ นักเรียนหญิง ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องดังขึ้นพร้อมกับที่นักเรียนทั้งห้องลุกจากโต๊ะและ
ก้มลงทำความเคารพ

“ ขอบคุณ ครับ/ค่ะ ”
สิ้นเสียง นักเรียนทั้งห้องก็พากันเก็บของ ออกจากลิ้นชักโต๊ะ ลงกระเป๋าสะพาย และทยอยกันออกจากห้อง
ไป โดยยังมีบางส่วนนั่งสนทนากันอยู่ในห้องบ้าง

“ เรารีบกลับกันเถอะ เฟนท์  ”
เรกกะ กล่าวขึ้นขณะที่เดินมาหา เฟนท์ ที่โต๊ะ ซึ่งกำลังเก็บหนังสือและสมุดลงกระเป๋า

“ เรกกะ วันนี้ นายไปก่อนเถอะ พี่ ซาน (San) กับชั้น มีธุระต้องไปทำน่ะ ”
เฟนท์ ตอบ พร้อมกับสะพายเป้ขึ้นหลัง

“ อะไรกันนายก็ด้วยเหรอ วันนี้ เจ้า ไรด์(Ryad) เองก็บอกว่าติดธุระเหมือนกัน ว่าจะไปซื้อ ฟิคเกอร์
ไพทอน(Python Figure) กับการ์ด Rat Dragoranger ชุดใหม่ที่พึ่งวางขายวันนี้ด้วยกันซะหน่อย เฮ้อ เอาเถอะ
ไปคนเดียวก็ได้ พรุ่งนี้เจอกันนะ  ”
เรกกะ บ่น อุบอิบ อย่างไม่สบอารมณ์ ที่เพื่อนๆของเขาพากันติดธุระหมด จนเขาต้องไปซื้อของคนเดียว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/42.jpg)

“ อ..อื้อ ไว้วันหลังชั้นจะชวน ไรด์ ไปด้วยละกันนะ ”
เฟนท์ กล่าว ขณะที่ เรกกะ เดินออกไปหลังจากโบกมือลา
ก่อนที่เขาจะเดินเลี้ยวออกไปอีกทาง ขณะที่เดินเหม่อลอยไปนั้น เขาก็ไปชนเข้ากับนักเรียน คนหนึ่ง

“ หวา..ข..ขอโทษด้วย ผมไม่ทันระวังเอง ขอโทษด้วย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ โค้งขอโทษขอโพย ปะหลกๆ

“ หาเฮ้ยแกมัน ไอ้ครึ่งสมิงขี้แหย ห้อง A นี่หว่าเฮ้ยเอาไงพวกเรา ตื้บมันเลยมะ มันมาชนข้าอ่ะ ”
นักเรียนที่ เฟนท์ เผลอไปชนเข้านั้น ตัวใหญ่กว่าเขา นัก นอกจากนี้ยังมี เพื่อนกลุ่มนักเรียนเกเร ล้อมกรอบ
เขาอยู่อีกหลายคน

“ เอาซี้ ลูกพี่กำลังคันไม้คันมือ อยู่เลย ”
เด็กเกเร คนหนึ่งในกลุ่มกล่าว ขึ้นขณะหักนิ้ว ตัวเองไปมา

“ นี่หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกเธอน่ะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับทันทีที่ พวกเด็กเกเร หันไปมองเจ้าของเสียง ต่างก็พากันหน้าซีด

“ แว้ก ยัยกรรมการคุมความประพฤติจอมเฮี้ยบนี่ หนีเร็ว ”
สิ้นคำของ หัวโจก ทั้งกลุ่มก็เผ่นแนบไปในทันที

“ เฟนท์ ไม่เป็นไรนะ ฮึ่มเด็กพวกนี้ เรียนก็ไม่เรียน ยังทำตัวเป็นอันธพาลอีกนะ ”
เจ้าของเสียง ซึ่งเป็น ครึ่งสมิงแมวป่าผมสีทอง บ่นอย่างหัวเสีย ไล่หลังกลุ่มเด็กเกเร พวกนั้นไป

“ พี่ ซาน คร้าบ..ผม…ผม..ซิก..ซิก..แง~~~ ”
สิ้นคำพูดที่แสนจะสะอื้น น้ำตาก็ไหลอาบแก้มของ เด็กหนุ่มจน พี่สาวต้องโอบกอดเพื่อปลอบใจน้องชายของตน

“ โอ๋ๆๆ..ขวัญเอ๋ยขวัญมาน้า…อย่าร้องตรงนี้สิจ้ะ เฟนท์  พี่อยู่นี่แล้ว โอ๋ๆๆ ”
ซาน ต้องปลอบอยู่นาน กว่า เฟนท์จะยอมหยุดร้อง

ปิ๊บๆๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นจาก กระเป๋าเสื้อของ เธอ ก่อนที่เธอจะคว้ามันขึ้นมา สิ่งที่ส่งเสียงนั้นเป็น อุปกรณ์
คล้ายกล่องยาวขนาดเล็ก ซึ่งมีปุ่มสั่งการ เหมือนกับเป็นเครื่องควบคุม ที่ตรงกลางกล่องมีจอแก้ว
ซึ่งแสดงค่าต่างๆ เอาไว้ เธอกดปุ่มหนึ่งเพื่อให้เสียงหยุด ก่อนที่ หน้าจอจะฉายภาพขึ้นมา มันเป็นข้อความ
ที่ส่งมาจากที่ไหนซักแห่ง

“ การรัฐประหาร ที่ ดิสอาปจูร่ากับสงคราม ศาสนาที่ สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งเลาดิเชีย เหรอ  ”
ซาน เอ่ยขึ้น หลังจากที่อ่านข้อความจากเครื่องนั้น

“ เฟนท์ หยุดร้องเถอะ มีภารกิจเข้ามาแล้ว ”
เธอกล่าวกับน้องชาย ซึ่งทันทีที่ ได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็หยุดสะอื้นทันที ก่อนจะเอาแขนเสื้อปาดคราบน้ำตา
สายตาหลังจากที่ปาดคราบน้ำตาไปนั้นเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ดูมุ่งมั่งและเข้มแข็งกว่าปกติ

“ งั้นเรารีบไปกันครับพี่ ”
สิ้นคำของ เฟนท์ ทั้งสอง ก็ออกวิ่งไปตามทางเดินในอาคารเรียน


…………………..
……………………….
………………………….

สูงจากพื้นโลกจนถึงชั้นบรรยากาศ เหนือ ทวีป ดิสอาปจูร่า  เรือบินสีขาวลำใหญ่ กำลังว่ายอยู่
ท้องนภาซึ่งมีความกดอากาศต่ำ ตัวยานมีสีขาว หัวเรือมีรูปปั้นเทวทูต ประดับ และหางเสือเรือ มีรูปร่างเป็นปีกมีถึงสี่หางเสือ
เรือบินลำนี้ คือ Sky Cruiser ที่ได้รับการดัดแปลงให้ปล่อย ละออง อนุภาคสีเขียว
อันแปลกประหลาดซึ่งมีผลช่วยห่อหุ้มมันเอาไว้ไม่ให้ตกลงไป   

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n020/6.jpg)

“ การชาร์จ ประจุ อิอ้อน(Ion) เสร็จสมบรูณ์แล้วค่ะ   ”
เสียงของพนักงานสาวซึ่งคุมเครื่องควบคุม ยานอยู่ภายในห้องควบคุม ที่กว้างพอจะจุ คนได้เป็นสิบ
นอกจาก แผงควบคุมที่อยู่ที่กับ กระจกหน้าของ ยานบิน และที่ข้างผนังห้องยังมี แผงควบคุมซึ่งตั้งแยกเอา

ไว้พร้อมกับเก้าอี้มีพนัก อีกฝั่งละสองตัว ภายในห้องนอกจากพนักงานสาวผมสีเขียวสด ในชุดเครื่องแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวมีกระดุมและกระโปรงสั้น สีน้ำเงิน ที่นั่งจิ้มแป้นควบคุม อยู่ด้านหน้าหนึ่งคนแล้วก็ยังมี พนักงานชายอีกสองคน


ซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวแขนเสื้อยาวสีเทา และคลุมทับด้วยเสื้อกั๊ก สีฟ้าอีกชั้น กางเกงยีนสีน้ำเงินอ่อน คนหนึ่งมีผมสีดำคุมแผงวงจร ด้านข้างฝั่งซ้าย ส่วนอีกคนผมสี บลอนด์ คุมแผงอยู่ข้างๆกับ พนักงานหญิง และที่กลางห้องมีเก้าอี้สำหรับผู้บัญชาการตั้งอยู่ ซึ่งผู้นั่งอยู่บนนั้นเป็น หญิงสาววัยแรกรุ่น ที่อายุมากกว่า พนักงานทุกคนในห้องเพียง
สองสามปีเท่านั้น เธอสวมเครื่องแบบ เช่นเดียวกับพนักงานหญิงทุกคน


“ แล้วทาง Valkyrier  ”
หญิงผู้บัญชาการ กล่าวถาม

“ เตรียมพร้อมอยู่ที่ ห้องส่งตัวแล้วครับ ”
พนักงานชาย ที่คุมแผงอยู่ข้าง พนักงานหญิงกล่าวตอบ

“ ดีล่ะถ้างั้นก็เริ่ม ภารกิจ แรกของเรากันเลย ”
ผู้บัญชาการหญิง กล่าวน้ำเสียงรื่นเริง

……………….
………………….

ทวีป ดิสอาปจูร่า

“ เราจะไม่ยอม ให้รัฐบาลกดขี่อีกต่อไปแล้ว พวกเราจงจับปืนลุกขึ้นสู้ล้มล้างพวกโกงกินซะ ”
เสียงกู่ร้อง ของบรรดาประชาชน ที่เข้าต่อกรกับ ทหารของรัฐบาล ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ปะปนไปกับ เสียงปืน ขณะที่ การโค่นล้มได้รุดคืบหน้าไปนั้นเอง

ก็มีเพลิงบรรลัยกรร พุ่งเข้าหาฝูงผู้ทำการปฏิวัติ จนถูกไฟคลอกตายไปเสียส่วนหนึ่ง
พร้อมกับ เสียงคำรามอันกึกก้อง ที่ดังขึ้นมา ร่างสีแดงฉานซึ่งปล่อยไอร้อนระอุ ออกมาจากร่าง
มันมี 6 กรงเล็บ และร่างกายมหึมา มังกรหกกรงเล็บพิฆาต เฟอร์มาโคร(Fermacro, The Six Claws Dragon)
กว่า 10 ตัว ซึ่งมีทหารระดับแม่ทัพมังกร(Dragoon General) ซึ่งสวมเครื่องเกราะที่ประกอบด้วย
เสื้อเกราะ มารูค (Malooke, the Armour of Dragoon)โล่ เทอมารูค (Turmalooke, the Shield of Dragoon) และดาบ ฟอลควารูค (Falqualooke, the Sword of Dragoon) ทุกนาย จะควบคุม เฟอร์มาโคร คนละตัว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n005/48.jpg)

นอกจากนั้นด้านหลัง ปราการที่เกิดจากมังกรยักษ์ทั้ง 10 ยังมี เฟอร์มาครอส จ้าวมังกร อัคคีผลาญ (Fermacross, the Flame Dragon Lord)ซึ่งเป็นรูปแบบที่พัฒนาแล้วของ เฟอร์มาโคร อีกหนึ่งตัวคอยบงการ ทัพหน้าทั้ง 10 ตัว ซึ่งผู้ควบคุมมันนั้น เป็นผู้นำของ
กองทัพมังกรเพลิง อันทรง อานุภาพ  แห่งอาณานิคม ดิสอาปจูร่า อันยิ่งใหญ่ที่ขึ้นชื่อด้านการพัฒนาและ
ฝึกฝนมังกรอัคคีที่มีพลังทำลาย รุนแรงที่สุดในบรรดามังกรสงครามทั้งปวง

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/45.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n018/37.jpg)

“ มีคำสั่งลงมาจากเบื้องบนแล้ว ให้ย่างสดพวก กบฏ ซะ ”
สิ้นคำของผู้นำทัพ มังกรเฟอร์มาโครทั้ง 10 ก็อ้าปากพ่น เพลิง อัคคีอันร้อนแรงออกมาเพื่อหมายจะเผาร่าง
ของเหล่าผู้ปฏิวัติ ให้ม้วยสิ้น

“ Protection ”
เสียงทุ้มแหลมกังวานดังขึ้นก่อนที่ คลื่นเปลว อัคคี จะกระจายตัวกลืนกินทั้งคณะเข้าไป ผู้นำทัพมังกร
ซึ่งคุม เฟอร์มาครอส ฉีกยิ้มด้วยความลำพองในชัยชนะของตน ทว่าทันที ที่ เพลิงอัคคีดับมอดลง

พวกเขาก็ต้องตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่เพลิงอัคคีนั้น เผาไปคือ เกราะพลังงานสีน้ำตาลดิน ขนาดใหญ่
ที่ถูกกางกั้นขนาบไว้ระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้ที่สร้างมันขึ้น คือเด็กหนุ่ม ผมดำ ซึ่งสวมเสื้อเกราะสีดำ
ที่มือสวมสนับเหล็กซึ่งมี พลอยประดับสีฟ้าใสราวกับน้ำทะเลฝังอยู่ทั้งสองข้าง 
ซึ่งเกราะพลังงานนั้น ถูกสร้างออกมาจาก พลอยเหล่านั้นน่ะเอง

(http://images.temppic.com/09-02-2009/images_vertis/1234163245_0.95999700.jpg)



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga02 ผู้สืบทอด
Post by: greamon on February 09, 2009, 06:14:03 PM
“ ที่เหลือพี่จัดการต่อเอง ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่ เด็กสาวผมสีทองอีกคนตกลงมาจากฟ้า ก่อนจะลงมายืนข้างๆเด็กหนุ่ม
ในมือของเธอ มีปืนพกกระบอกสีเทาตัดดำ สองกระบอก เธอสวมชุดซึ่งประกอบด้วยชุดเกราะเพียงบางส่วน
ที่เหลือเป็นเพียงชุด วันพีช สีชมพู ธรรมดาๆเท่านั้น เธอหันปากกระบอกไปยังฝูง มังกร
ในขณะที่ เหล่าแม่ทัพมังกรต่างพากัน หัวเราะด้วยความขบขัน

“ ฮ่าๆๆๆ นี่สาวน้อย เธอคิดจะใช้ไอ้นั่นมาสู้กับ ทัพมังกรอันเกรียงไกรของเราน่ะรึ กลับบ้านไปซะไป๊ ”
“ เป็นเด็กเป็นเล็ก อาวุธไม่ใช่ของเล่นซักหน่อย ฮ่าๆๆ ”

เสียงดูถูกเหยียดหยาม ดังขึ้นไม่หยุด ขณะที่เหล่าแม่ทัพมังกรต่างปักใจเชื่อว่า ชุดเกราะเกล็ดมังกรที่
เป็นเครื่องแบบของตน ไม่มีทางถูกกระสุนปืนธรรมดาเจาะเอาได้ง่ายๆ และมังกรของตนคงจะขยี้หนูน้อย
อย่างเธอได้สบายๆ ทว่า

“ Seraphic Pestol ”
เสียงทุ้มแหลงกังวานขึ้นจากตัวปืนของเธอก่อนที่ จะเกิดมวลแสงล่องลอยขึ้นในอากาศรอบๆตัวเธอนับ ร้อยลูก
และทันทีที่ เธอเหนี่ยวไก มวลแสงเหล่านั้นกลับกลายเป็นกระสุนแสงสีเขียว พุ่งตรงไป ด้วยที่เหล่า

ทัพมังกรนั้นประมาท ในความสามารถของเธอจึงไม่ทัน จะระวัง กระสุนแสง ทั้งร้อยที่ถูกยิงออกมาราวกับพายุ
ได้กวาดล้างทั้ง มังกรและทหารจนราบ พนาสูญ ในพริบตา ทิ้งไว้เพียงซากความเสียหาย
ที่เกินคณานับ กว่าที่ปืนพกสองกระบอก ธรรมดาๆ จะทำได้

“ เสียใจด้วยนะ ที่ปืนของฉันมันไม่ได้ยิงลูกกระสุน แต่มันเป็นประจุ อิออน น่ะ  ”
เธอกล่าวเสียงเฉียบขณะที่ลดปืนลง

“ พวกเธอมาช่วยงั้นสินะ ดีล่ะงั้นพวกเราตรงไปยึดทำเนียบเลย ”
ผู้นำฝ่ายปฏิวัติ กล่าวน้ำเสียงฮึกเหิม ทว่าก่อนที่จะได้ทัน เคลื่อนเท้าออกไป กระสุนแสงก็พุ่งระเบิดพื้นตรง
หน้าพวกเขาเสียจนเกิดเป็นหลุม ขนาดใหญ่ ขณะที่เหล่าผู้ปฏิวัติทั้งคณะ ต้องล้มเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัว

“ พวกเราไม่ได้มาช่วยฝ่ายไหนทั้งนั้น แต่เรามาเพื่อขจัดความขัดแย้ง จงสั่งให้หยุดการปฏิวัติ และ
การใช้ความรุนแรงซะ หากฝ่ายไหนทำกระทำการรุนแรงก่อนเราจะไม่ปล่อยไว้ ”
เด็กสาว กล่าวเสียงเฉียบ ก่อนที่ ผู้นำคณะปฏิวัติ จะทันสังเกตว่า ทั้งสองมีหูและหางเยี่ยง สัตว์ป่า
โดยคนน้อง เป็นหมาป่า ส่วนคนพี่ เป็นแมวป่า

“ พ…พวกเธอเป็นใครกัน ”
ผู้นำคณะปฏิวัติกล่าวถาม น้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างหวั่นๆ
ขณะที่สองพี่น้อง เดินหันหลังจากไป

“ พวกเราคือ Valkyrier นักรบเทวทูต แห่ง Empyrean Adjust(ผู้แทนจากฟากฟ้า) สังกัดทีม Celestial Saber(คมดาบเบื้องฟ้าสูง) ”
สองพี่น้องตอบขึ้นพร้อมกัน ขณะที่เดินหายลับเข้าไป ในหมอกควันที่เกิดจากแรงระเบิด ที่ซัดลงพื้นเมื่อครู่

“ Empyrean Adjust งั้นเหรอ…. ”
เสียงสุดท้ายที่หลุดลอยออกมาของผู้นำคณะปฏิวัติดังไล่หลังไป ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว

…………….

ขณะเดียวกัน ที่ สหราชอาณาจักร ซีรา  ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้ารกร้าง ในทวีป เลาดิเชีย
สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งนี้ ปกครองอยู่ในระบอบ ศาสนจักร ทว่าเมื่อกว่าร้อยปี ที่แล้ว ได้เกิดเหตุพิพาท จนเกิดการ
แบ่งแยกทางศาสนา ขึ้นเป็นสองฝ่ายและสงครามศาสนา ก็เริ่มขึ้นผู้คนถูกหลอกให้เชื่อในคำสอนที่ผิด และเข้าต่อสู้กัน

ด้วยแรง ศรัทธา ที่มีอย่างล้นเหลือ จึงนำมาซึ่งการนองเลือด อย่างเหี้ยมโหดที่สุดเพราะต่างก็เชื่ออย่างมุ่งมั่นว่า
สิ่งที่ตนทำนั้นถูกแล้ว ควรแล้ว

“ จงสละชีวิต เพื่อพระองค์แล้วจะได้ไปยังสวรรค์ ”
“ จงเป็นแรงพลังแก่พระองค์เพื่อโค่นล้างพวกคนบาปให้สิ้นไป ”
“ เราจะสละชีพเพื่อพระองค์ จะใช้ค้อนเหล็กแห่งแห่งคุณธรรมพิพากษาพวกนอกรีต ”

ด้วยคำสอนจอมปลอม ที่ยั่วยุให้มนุษย์ทำร้ายกันเอง นั้นสงครามจึงดำเนินมาอย่างช้านาน
อยู่หลายปีโดยที่ไม่มีฝ่ายใดยอมซึ่งกันและกัน แม้แต่ เด็กๆเองก็ยังต้องจับอาวุธขึ้นสู้รบเยี่ยงทหารทั่วไป

ต้องสละตนสังเวยเป็นระเบิดพลีชีพเพื่อสังหารศัตรู ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยความสมัครใจของเหล่าเด็กๆที่ถูกหลอก
ใช้ด้วยคำพูดอันสวยหรูของพวกผู้หวังผลประโยชน์ในสงคราม และอำนาจทางการเมือง ทำให้ประชาชนตาดำๆ
ต้องตกเป็นเครื่องมือ เพื่อประโยชน์ส่วนตนของพวกนักการเมือง ที่เห็นแก่ได้

เด็กชายทุกคนเมื่ออยู่ในวัยเรียนรู้ก็จะถูกสอนให้ยึดมั่นในคำสอน และจากนั้นเมื่อพร้อมจะต่อสู้ก็จะถูกฝึกให้เป็นทหาร ซึ่งกองทัพหลักของทั้งสองฝ่ายนั้น แม้แต่เด็กอายุเพียง 10 ปีก็ต้องจับอาวุธขึ้นสู้ อย่างไม่กลัวตายแล้ว

ท่ามกลางการปะทะยังคงมีอย่างต่อเนื่องนั้น โดยบังคับบัญชาของนายทหารชั้นสูง
ที่จะคอยเคี่ยวเข็ญ ให้เหล่านักรบเยาวชน เหล่านี้ ออกไปสู้รบ

“ จงรุกไปข้างหน้าทวงเอาแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ที่พระองค์มอบให้แก่เราคืนมา ”
“ จงทำลายพวกคนบาปเหล่านั้นให้สิ้น ”
เสียงประกาศที่ดังกึกก้องในสนามรบเพื่อปลุกใจเหล่าทหารเยาวชน
ให้สู้อย่างไม่กลัวตายดังอยู่เนืองๆตลอดเวลา

“ Reflexion ”
เสียงทุ้มแหลมกังวานดังขึ้นที่กลางสนามรบก่อนที่จะเกิดกำแพงใสปรากฏขึ้นขั้นกลางสนามรบ
กระสุนและอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายยิงเข้าใส่กัน นั้นเมื่อกระทบกับกำแพงก็สะท้อนกลับไปหาฝ่ายตนเอง
ทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดยิง กันเพื่อไม่ให้ทำร้ายกันเอง ท่ามกลางฝุ่น ควันที่ฝุ้งกระจาย นั้นเงาของเด็กหนุ่มสองคน ซึ่ง นั่งอยู่บนกำแพงใส นั้นได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน

“ เรียกหา พระเจ้าอยู่ใช่ไหม พวกเรานี่แหล่ะ ผู้แทนจากพระองค์ พวกเรานำสารจากพระองค์มามอบแก่พวกเจ้าแล้ว
ในฐานะ Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust สังกัดแห่งทีม Celestial Saber และสารจากพระองค์คือจง
หยุดสู้รบกันซะมิฉะนั้น เราจะลงทัณฑ์  พวกเจ้าในนามของพระองค์  ”

เสียงนั้นดังกึกก้อง ไปทั่วเหล่านักรบเยาวชน ต่างพากันทิ้งอาวุธ ลงด้วยเชื่อว่าพวกเขาคือ เทวทูต จากสวรรค์ จริงๆ
จากการได้เห็นถึงอำนาจที่ถูกสำแดงออกมาของพวกเขาทั้งสอง

“ อ..อะไรกันอย่าไปเชื่อที่พวกมันพูด นี่เป็นกล ลวงของพวกคนบาป ”
นายทหารที่ คอยบงการทัพนักรบเยาวชน ของทั้งสองฝ่ายกล่าวขึ้นก่อนจะต้องชะงักไป
เมื่อ มีบุคคลสองคน ถูกโยนลงมายังฝั่งของแต่ละฝ่าย ซึ่งบุคคลเหล่านั้น สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทั้ง
สนามรบเป็นอันมาก

“ ท..ท่านมหาสังฆราช ซาเอล ที่14 แห่งจักรวรรดิ ลาเดีย ”
“ แล้วก็ท่าน มหาสังฆราช มาเวล ที่13 แห่งจักรวรรดิ มาอิล ”
เสียงของ ทหารแต่ละฝ่ายต่างเรียกชื่อผู้ปกครองจักรวรรดิ ของตนด้วยความตกตะลึงเมื่อ
ผู้ปกครองจักรวรรดิ ของตน ได้มาอยู่กลางสนามรบ

“ เอ้าจะยิงก็ยิงมาเลย แต่สองคนนี้โดนลูกหลงไปด้วยสงครามก็จบอยู่ดี เอ้าไงพวกเจ้าทั้งสองคนจะให้พวกเราเจี๋ยนเอง หรือจะพวกตัวเองเจี๋ยนเอา ”
เสียงของนักรบแห่ง Empyrean Adjust ดังขึ้นโดยที่ฝุ่นควันที่คละคลุ้งนั้นยังคงปกปิดร่างของพวกเขาไว้

“ หรืออีกทางหนึ่ง สงบศึกซะ ศาสนาจอมปลอมของพวกแกน่ะ ไม่มีใครที่ไหนใน เทอร่า ยอมรับหรอก…. ”

………………………
……………………………..

“ แผนต่อไปกระจายแถลงการณ์ของเราออกไปให้สาธารณะชนรับรู้ ”
ผู้บัญชาการสาวสั่งลูกเรือทั้งหมดที่อยู่ในห้องควบคุมของ Sky Cruiser

“ รับทราบ ”
เสียงตอบรับคำสั่งจากลูกเรือทั้งหมดดังขึ้น ก่อนแผนการขั้นถัดไปจะเริ่ม

………………..
………………………..

ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์ (Barsingsei)  ประเทศ โลกอส

ตลาดร้านค้า ซึ่งตั้งอยู่บนสะพานไม้ ที่ต่อทอดยาวออกไปในอ่าว ซึ่งนี่เป็นเมืองท่า ที่มีเรือสินค้า
มาเทียบมากมายที่สุดในเขต ทวีป อาริมาเทีย ซึ่งแต่เดิมโลกอส เป็นประเทศที่ไม่มีพื้นที่ติดกับทะเล
หากแต่ชายฝั่งทะเลนั้น อยู่ไกลออกจากชายแดนไปเล็กน้อย ด้วยพระปรีชาของ องค์หญิง มาเรียลูส

ที่ทรงให้ทำการขุดคลองกว้าง ต่อไปยังอ่าวทะเล จากนั้นทรงพัฒนา ต่อให้กลายเป็น เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดใน อาริมาเทีย
เนื่องจากอาณาเขต ไม่ติดทะเลเกินไปจนยากแก่การขยายพื้นที่ ซึ่งระยะเวลาในการดำเนิน พระราชกรณีกิจ ของ

พระองค์นั้นใช้เวลาเพียงช่วงสั้นๆก็สัมฤทธิ์ผล ได้เพราะเมื่อครั้งที่พระองค์ เสด็จมายัง ประเทศนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้นำความหวังมาให้แก่ ประเทศ ที่ยากไร้ ซึ่งมีเพียง พื้นดิน ที่รกร้าง และมังกรร้ายอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนมากจะเป็น เชลยศึกที่หนีจากสงคราม มา เมื่อครั้งเสด็จมาเยือนเป็นครั้งแรก พระองค์ก็ได้ทรงวางแผน พัฒนาให้ประเทศนี้ เป็นที่ตั้งถิ่นฐานแก่ผู้ลี้ภัยสงคราม ซึ่งจากอุดมการณ์นี้ของพระองค์เอง ทำให้ผู้อพยพลี้ภัย

มานั้น ยอมให้ความช่วยเหลือแก่พระองค์ เนื่องด้วย อาริมาเทีย นั้นเป็นทวีป ที่มีการศึกษาวิจัย ทางมังกรศาสตร์
เป็นอันดับต้นของโลกอยู่แล้ว อีกทั้งในบรรดาผู้ลี้ภัย ยังมีส่วนมากเคยเป็น พลนักรบมังกร ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทวีป


เมอริเซีย ซึ่งมีวิธีการกำราบและสยบ มังกรร้ายให้อยู่ใต้บัญชา ได้อย่างหลากหลายเพราะเมอริเซีย ต้องเผชิญกับสงครามมาแทบนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งผสานเข้ากับวิทยาการของ อาริมาเทีย จึงทำให้การ ควบคุมเหล่ามังกรร้าย เพื่อมา

ช่วยงาน พัฒนา ประเทศ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย การขุดลอกคลองเพื่อสร้างท่าเรือนั้น จึงมีกำลังอันมหาศาลของ มังกรเข้าช่วย ทำให้งานเสร็จได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำมังกรไปเป็นแรงงานในการพัฒนา ประเทศ จนในที่สุด โลกอส กลายเป็น ประเทศที่ มนุษย์ กับ มังกร จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันจากประเทศ ทุรกันดาร กลับถูกดลบัลดาลให้กลายเป็น

ประเทศที่มีวิทยาการ ล้ำหน้าที่สุดไปเลยทีเดียว ทำให้เสียงตอบรับของ เหล่าประชาชนที่มีต่อ องค์หญิง มาเรียลูส
นั้นยิ่งทวีมากขึ้น

และจากการที่เป็นเมืองท่าที่ยิ่งใหญ่ ทำให้มีสินค้ามากมายจากทุกนานา ประเทศมาลงที่นี่
 จนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าไปในที่สุด

บรรดาร้านค้า ที่ตั้งแผงลอยไว้บน สะพานนั้น มีมากมาย เสียจนแทบจะพูดได้เลยว่า นี่คือตลาดการค้า
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน

“ เฮ้อ อุตส่าห์ ถ่อมาจนถึง บาร์ซิงเซย์ แท้ๆ แต่ดันหมดไปก่อนซะได้นี่ ฟิคเกอร์ไพทอน กับการ์ด Rat Dragoranger ที่วางขายชุดแรก ที่ซื้อครบชุดจะมีแถม อัลตร้าแรร์ สุดหายากที่ผลิต ออกมาแค่ 1000 ใบแท้ๆ   ”
เรกกะ บ่นอย่างเซ็งๆที่ ตนมาซื้อของเล่นสะสมไม่ทัน นั่งหน้าบูดอยู่บนม้านั่ง ในสวนสาธารณะที่

อยู่ ห่างจาก ท่าเรือไม่มากนัก ด้านหลังเขานั้น มีอาคารบ้านเรือน ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ประกอบกิจการการค้า
แทบทั้งสิ้น  ซึ่งอาคารที่อยู่ถัดจากสวนสาธารณะนั้น มีจอ ภาพขนาดใหญ่ ตั้งเอาไว้ บนอาคาร เพื่อโฆษณาสินค้า
ต่างๆ


“ สวัสดีเหล่ามวลมนุษย์ในเทอร่า ทุกท่าน…. ”
เสียงที่ดังกึกก้องขึ้นจากทุกๆแห่งใน บริเวณนั้น เสียงทั้งหมดดังขึ้นจาก เครื่องรับสัญญาณภาพและเสียง ที่มีไว้เพื่อรับชมความบันเทิง ซึ่งมีตั้งอยู่เกือบจะทุกร้านค้า และกระทั่ง จอโฆษณาขนาดใหญ่ของอาคาร ที่อยู่ด้านหลัง เรกกะ

เองก็เช่นกัน ทุกจอภาพ ฉายภาพเดียวกันและส่งเสียงเดียวกันออกอากาศไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่แค่ใน
เขตของเมืองเท่านั้นแต่ บัดนี้ทั่วโลกกำลัง ออกอากาศแถลงการณ์นี้
 
“ กระผมคือ อดีตผู้ปกครองอาณาจักรซาโลม แห่งเมอริเซีย ที่ล่มสลายไปเมื่อนานมาแล้ว….. ”
เสียงกล่าวสุนทรพจน์ ของชายผมหยิกหยักศกสีน้ำตาล เขาสวมอาภรณ์สีขาวแต่งตัวคล้ายกับนักบวช
แน่นอน สำหรับชาวเมอริเซีย ที่มีบรรพบุรุษเป็น ชาวซาโลม คงจะจำเขาได้เป็นแน่ เขาคือ กษัตริย์แห่งจักรวรรดิเพลิง
อิสฮาน นั่นเอง

“ บัดนี้ทุกๆท่านคงได้ประจักษ์กับสิ่งที่ เกิดขึ้นไปแล้ว สงครามที่ทำให้ประเทศแผ่นดินเกิดของ กระผม
และชาวเมอริเซีย ต้องล่มสลายและย่อยยับไป นั้น จนถึงบัดนี้ พวกท่านก็ยังเมินเฉย ต่อผลที่จะเกิดขึ้นจากการ
ทำสงคราม ยังคงสร้างความขัดแย้งไปเรื่อย ด้วยเหตุนี้กระผมจึงก่อตั้งองค์กรติดอาวุธ เอกชนขึ้นมา
อุดมการณ์ของพวกเรามีเพียงหนึ่งเดียว………..  ”

เสียงกล่าวสุนทรพจน์  ที่ดังกึกก้องขึ้นทั่ว ทั้ง เทอร่า เพื่อที่จะให้มวลมนุษย์ทั้งหมด
ได้รับรู้ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

“ พวกเราคือผู้นำสารแห่งสวรรค์มาสู่ ผืนพิภพ Empyrean Adjust และจากนี้ไปพวกเราจะเข้าทำการแทรกแซงความขัดแย้งทั้งหมดใน เทอร่า นี้ และสงบมันลงด้วยกำลังอาวุธของ เหล่า Valkyrier ทั้ง 12 พวกเราจะพิพากษา
 เทอร่า นี้ในนามของพระผู้เป็นเจ้า…. ”
สิ้นเสียง นั้นการออกอากาศทั้งหมดก็ได้หยุดลงและกลับคืนสู่สภาวะปกติ รายการบันเทิง ข่าวสาร สาระ
ที่ถูกแทรกแซงไปได้กลับมาออกอากาศเช่นเดิม

“ ขจัดสงครามด้วยสงครามงั้นเหรอ…. ”
เรกกะ เปรยขึ้น สายตายังคงจดจ่อ อยู่ที่จอภาพ ซึ่งการแถลงการณ์ณ์ได้ยุติไปแล้ว ทว่าเสียง
นั้นยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา

………………….
………………………….

หลังจากการ แถลงการณ์ของ Empyrean Adjust  ที่ราวกับจะเป็นคำเตือนก่อนเวลาแห่งการสิ้นสุดจะมาถึง
ได้สร้างความตื่นตระหนกขึ้นทั่วทั้ง เทอร่า สำนักข่าวต่างๆทั่ว เทอร่า ต้องทำงานกันเป็นประวิง
หลังจากที่ ข่าวการแทรกแซงของ เหล่า Valkyrier ได้ถูกออกอากาศ และรับทราบกันอย่างทั่วถึง
ในเวลาต่อมา


“ ว่ายังไงนะพึ่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไปได้แค่ สามชั่วโมง ทาง ดิสอาปจูร่า สั่งยกเลิกแล้วงั้นเรอะ  ”
“ สงครามความขัดแย้งทางศาสนา ที่สหราชอาณาจักร ซีรา แห่งทวีป เลาดิเชีย ตอนนี้ประกาศสงบศึกกันแล้วครับ ”
“ เห็นว่ากองทัพอันเกรียงไกร ถูกโค่นล้มด้วยนักรบของพวกที่อ้างว่าเป็น Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust  แค่สี่คนเข้าล้มล้างทั้งกองทัพในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีครับ ”
“ นี่พวกมันคิดจะขจัดความขัดแย้งทั้งโลกจริงๆอย่างนั้นน่ะเหรอ Empyrean Adjust ”

เสียงโหวกเหวก โวยวายของ บรรดาสื่อทั้งหลายที่ดังอึกทึกไปทั่วนั้น คือเครื่องยืนยันอย่างดี ว่าบัดนี้ โลกได้เปลี่ยไปแล้ว
……………
………………….

“ หลังจากสงครามใน เมอริเซีย ยุติลง ตราทั้ง 7 ก็ถูกแกะออกเรื่อยมา จนถึงตราที่ 6 แล้ว ”
เสียงหนึ่ง ดังขึ้นภายในห้องซึ่งเต็มไปด้วยจอภาพ ที่ฉายความสับสนอลหม่าน ทั่วทั้ง เทอร่า ไว้
ที่กลางห้อง มีเด็กหนุ่มกับ เด็กสาว ยืนมองความสับสนอลหม่านเหล่านั้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจากจอภาพเหล่านั้นให้ความสว่าง


“ ค่ะ เริ่มจากตราที่ 1 สงครามในเมอริเซีย ยุติลง ปรากฏม้าสีขาว ผู้ขี่มันถือธนูและได้รับ มงกุฎ เขาขี่ม้าออกไปด้วยท่าทางแห่งชัยชนะ เมอริเซีย ยุติสงคราม ชัยชนะของเหล่ามวลมนุษย์ที่สามารถลามือจากสงครามได้  ”
เด็กสาวกล่าวตอบ ทันทีที่เธอกล่าวจบเด็กชายก็ยื่นมือ ออกไป ในมือของเด็กชายมีเหรียญอยู่ 7 เหรียญ เขาทิ้งมันลงไปหนึ่งเหรียญ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n022/16.jpg)

“ จากนั้นตราที่ 2 ก็ถูกแกะออก แล้วม้าสีแดงสดกับผู้ขี่ ก็นำสันติออกจาก แผ่นดินเขาได้รับดาบใหญ่เล่มหนึ่ง ”
เด็กชายกล่าว  ด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนจะทิ้งเหรียญลงไปอีกหนึ่งเหรียญ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n022/17.jpg)

“ สันติสูญสิ้น ทั้ง เทอร่า ทำสงครามกัน อย่างยิ่งใหญ่ เท่ากับความยิ่งใหญ่ของดาบที่ เขาได้รับ จากนั้นตราที่ 3 ก็ถูกแกะออก มีม้าสีดำออกมา พร้อมกับความวิบัติทางเศรษฐกิจ ข้าวสารีทะนานละ 1 เดนาริอัน ข้าวบาร์ลี ทะนาน ต่อ 1 เดนาริอัน แต่น้ำมัน และน้ำองุ่น ไม่ได้รับผลกระทบ ”
หลังจากสิ้นคำของเด็กสาว เด็กชายก็กล่าวต่อท้ายให้ในทันที

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n022/18.jpg)

“ ข้าวยากหมากแพงเกิดจากสงคราม แต่สิ่งที่ชโลม ใจเหล่ามนุษย์ให้มุ่งมั่นทำสงครามต่อไปคือ บาป อันเป็นนิรัน
น้ำมัน คือเชื้อไฟแห่งสงคราม และน้ำองุ่น คือบาปที่มนุษย์ไม่อาจละทิ้ง ”
สิ้นคำของเด็กชาย เหรียญที่ สามก็ถูกทิ้งลงจากมือ

“ แล้วตราที่ 4 ก็ถูกแกะออก ม้าสีเขียวแกมเหลืองออกมาผู้ขี่มัน มีชื่อว่าความตายและนำแดนคนตายติดตามมาด้วย
เทอร่า 1 ใน 4 ถูกทำลายด้วยความอดอยากและโรคระบาด สัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน ค่ะ ”
เด็กสาวต่อคำในทันทีที่เหรียญตกถึงพื้น

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n022/19.jpg)


“ ผลจากสงคราม เมอริเซีย ต้องย่อย ยับและสิ้นสลาย เทอร่าสูญเสีย แผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ไปเสีย 1 จาก 7 แต่ดินแดนอื่นก็ได้รับความเสียหาย จนบัดนี้ เทอร่า สูญเสียแล้วทั้งสิ้น 1 ใน 4 สินะ ”
สิ้นคำเด็กชาย เหรียญที่ สี่ก็ถูกทิ้งลง

“ ค่ะและตราที่ 5 ก็ถูกแกะออก คนที่ตายเพราะความศรัทธาในพระเจ้าได้รับ
การกำชับให้รอจนกว่าผู้ตายเพราะความเชื่อจะมีครบจำนวนก่อน การพิพากษา  ”
เด็กสาว รับคำต่ออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเหรียญที่ ห้า ถูกทิ้งลงจากมือของเด็กชาย


“ สงครามยังคงดำเนินต่อไปอยู่เรื่อยมาแม้ จะทำสัญญาสงบศึกแต่ชาวเมอริเซีย ผู้บริสุทธิ์ กลับถูกลืมเลือน เพราะไม่มี
ผู้นำที่จะเข้าร่วมประชุมสัญญา การพิพากษาสิทธิธรรม แก่ชาวเมอริเซีย จึงไม่เกิด และแล้ว ตราที่ 6 พึ่งจะถูกแกะออกไป ในวันนี้  ”
สิ้นคำของเด็กชาย เหรียญ ที่หก ก็ถูกทิ้งลงไป


“ ตราที่ 6 ครั้นเมื่อแกะแล้วไซร้ เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดวงอาทิตย์มืดดำ ลงดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด ดวงดาวบนฟ้าตกลงบนพื้นดิน บรรดามนุษย์ซ่อนตัว ”
เมื่อเด็กสาวกล่าวจบ เด็กชายก็ชักมือกลับ โดยเหลือเหรียญในมือไว้เพียงเหรียญ
เดียวซึ่งคือเหรียญ สุดท้ายเหรียญที่ 7

“ แผ่นดินไหวคือความสั่นสะเทือนที่ เทอร่า ได้รับจากการแทรกแซงของเรา  ดวงอาทิตย์ดำมืด อันบ่งบอกถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึง พระจันทร์สีเลือด หมายถึงสันติจะได้มาด้วยสงคราม ดวงดาวที่ตกลงไปคือ พวกเรา ผู้นำสารจากพระผู้เป็นเจ้า Empyrean Adjust และจากนี้ไป คือลำนา แห่งตราที่ 7 ซึ่งกำลังจะถูกแกะออกในไม่ช้า และการนั้นพวกมนุษย์ที่ สร้างสงครามก็จะพากันหัวหด ไม่กล้าก่อสงคราม หรือ ตราที่ 7 จะถูกแกะออกก่อนกัน เธอคิดว่าไงล่ะ
 ฮายาเตะ(Hayatei) ”
เด็กชายหันไปมองหน้าเด็กสาว ซึ่งสีหน้าของเธอนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิด เด็กชาย เอาเหรียญ ที่ เจ็ดขึ้นมาตั้งบน นิ้ว ก่อนจะดีดมันขึ้นไป เหรียญนั้นหมุนควงอยู่กลางอากาศ จนขึ้นไปสูงสุดก่อนจะค่อยๆร่วง
ลงมา


“ ภารกิจของพวกเรา คือการสยบสงครามและเพื่อการนั้น God Send (ของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า) ทั้ง 12 ที่เหล่า Valkyrie เคยปกปักษ์รักษาจะต้องถูกรวบรวม เพื่อแกะตราที่ 7 ออก จากนั้นลำนำแห่งการชำระก็จะเดินหน้าต่อไป ”
เด็กสาวกล่าวจบ เหรียญก็ตกถึงพื้นพอดี ซึ่งเหรียญไม่ได้คว่ำหน้าใดไว้หากแต่ ยืนตั้ง อยู่บนพื้นโดยไม่มีที่ท่าว่า จะเอนเอียงล้มไปทางใด ราวกับจะบอกว่ายังไม่ถึงเวลาแห่งการตัดสิน 


…………………
โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

หลังการแทรกแซงของ Empyrean Adjust โลกก็เริ่มเปลี่ยนแปลง และแล้ว อันตรายก็คืบคลานเข้ามายังประเทศ
ซึ่งห่างไกลสงคราม

“ องค์หญิง ไม่ควรจะเสด็จออกมาตามลำพังอย่างนี้นะเพคะ องค์หญิง”

“ เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าหากออกมากันแค่เราสองคนเจ้าไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับเราและให้เรียกชื่อเราตามปกติก็พอ อีกอย่างหากเราออกมาโดยมีขบวนเสด็จด้วย มันจะทำให้ประชาชนแตกตื่น และเราก็จะไม่ได้เห็นความเป็นอยู่และวิถีชีวิต จริงของพวกเขาน่ะสิ เราแค่ะอยากจะรู้ว่าประชาชนของเรา อยู่ดีเป็นสุขหรือไม่โดยไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าเรา ”

“ แต่ตอนนี้ บ้านเมืองกำลังอยู่ในความระสับระส่ายนะ เพคะ เพราะ Empyrean Adjust ทำให้บรรดานานาประเทศตั้งข้อสงสัยมาที่ โลกอส ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สุดอยู่ในขณะนี้ อาจจะมีพวกที่ไม่ยอมฟังเหตุผลแล้ว ก็เข้ามาก่อการจลาจลได้ทุกเมื่อนะเพคะ ”

การแทรกแซง ของเหล่าเทวทูต นำมาซึ่งความไม่สงบ การก่อการร้าย ที่เกิดขึ้นทำให้สิ่งที่สวรรค์เตรียมการมา กว่า ศตวรรษได้เริ่มตื่นขึ้น

“ จงถ่างหูและฟังให้ดีๆ บัดนี้องค์ชายเสด็จแล้ว….  ”
อัศวิน ผู้แข็งแกร่งซึ่งจิตไม่สมประกอบหรือไร ลำนำบทถัดไปคือสิ่งใด Next Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
…………………………………
มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ปิโยม่อน เปลี่ยนร่างเบิทดราม่อน ค่า


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Post by: cocka-c on February 10, 2009, 03:24:53 AM
Quote
มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

ปิโยะ ปิโยะ อิอิ

Quote
ปิโยม่อน เปลี่ยนร่างเบิทดราม่อน ค่า

เย้ย พี่รินคร้าบ อยู่ๆเอาต้นฉบับ เจ้านัท มันมาลงเลยเหรอ นั่นพวกผมยังไม่ได้ตรวจกรองกันเลยน้า
 อะไรหลุดออกไปบ้างเนี่ย แว้กๆๆๆ ตายๆๆ ตูลืมตัวหลุดไปแล้ว   เอ่อ 555+ คือต้อง เย้ย ปิโยม่อน
อยู่ๆเอา ต้นฉบับของเกรม่อนคุง มาลงแบบนี้เลยเหรอ ต้นฉบับน่ะยังไม่ได้ตรวจรอบสองเลยน้า ฮ่ะ
แล้วเจ้า เกรม่อนคุง ไม่ได้บอกเหยอว่าอย่าพึ่งลงง่ะ ::010:: ::008:: ::009::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Post by: greamon on February 18, 2009, 02:33:21 AM
เย้ย ไหงนิยายเรามันมาจ่อหลาอยู่บนบอร์ดเนี่ย ยังไม่ถึงกำหนดลงนี่
มาได้ไงอ่ะ กะอีแค่หายไปติวสอบมาสองสามอาทิตย์ เผลอแพลบเดียว ล่อไป 3ตอนแล้วเรอะ
เง้อออ  อีแบบนี้ ชัว ปิโยม่อนนนน(พี่ริน)
แว้กกกกก

วันนี้เค้าไปงานเลี้ยงกันหมดนิหว่า เวรจะเฉ่งกะใครล่ะเนี่ย

เจ้าการุรุม่อนทะม้ายทะไม ไม่ดูแลให้มันดีกว่านี้ ::019::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Post by: ginn on February 22, 2009, 01:52:52 AM
มาอัพนิยายได้แล้วโว้ยยย


จาก ผุ้ช่วยในเงามืด

Ready..... Fist on!!!!!


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Post by: cocka-c on February 22, 2009, 02:48:57 AM
- -

มาทำไรเจ้าเทนโทม่อน

กะลังเคลียๆกะปิโยม่อนอยู่ (ในอีกความหมายคือเจ้าเกรม่อนกำลังโดน ปิโยม่อนเร่งปั่นงานอยู่  ::010::)


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Post by: greamon on February 24, 2009, 04:36:59 PM
Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!

กว่าหลายร้อยปีมาแล้ว นิยามแห่งอัศวินมังกรได้เริ่มขึ้นนับแต่ อัศวินมังกรคนแรกแห่งเมอริเซีย และเป็นคนแรกของเทอร่า แต่หามีใครรู้นามที่แท้จริงของเขาไม่ เขา คืออัศวินมังกร แท้คนแรกที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกร ในบรรดาภารกิจนับร้อย

ของเขา นั้นทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษแห่งตำนาน จนเป็นที่เรียกขานกันในนาม ทาลิวิลย่า (Thaliwilya)
ภายหลังได้เกิดคำทำนายว่า อัศวินมังกรแท้ซึ่งเป็นผู้รับใช้ ทาลิวิลย่า จะจุติลงมาโดยแบ่งตามธาตุแห่งธรรมชาติ
………….
หลังสงคราม สี่อาณาจักร(4 Kingdom)ภายในทวีปเมอริเซีย ผ่านไป 12 ปี เด็กหนุ่มแห่งตระกูลซาราเบลด
ซึ่งว่ากันว่าสืบเชื้อสายมาจาก อัศวินทาลิวิลย่า โดยนามที่แท้จริงของ ทาลิวิลย่า มีเพียง ตระกูลซาราเบลดเท่านั้น

ที่รู้ และในลูกหลานรุ่นที่ 20 เด็กหนุ่ม ผู้นี้ก็ได้ถูกตั้งชื่อตาม ชื่อจริงของ ทาลิวิลย่า เพราะเชื่อว่าเขาคือร่างอวตารของ
ทาลิวิลย่า ที่กลับมาเกิดในตระกูลเพื่อช่วยให้ เทอร่า พ้นจากภัยพิบัติ
………………
10ปี หลังจากการปรากฏตัวขึ้นของ อวตารแห่งทาลิวิลย่า ในช่วงเวลาแห่งมหาสงครามเทอร่า เขากลับหายตัวไป
และกลับมายับยั้งสถานการณ์ในตอนที่ทุกอย่างสายเกินแก้แล้ว บัดนี้ห้วงเวลาใน เมอริเซีย  ได้หยุดชะงักลง
และปิดกั้นออกจากโลกภายนอก เป็นเวลากว่า สองร้อยปีหลังจากมหาสงคราม เทอร่า
…………………..
………………………
………………………

แรท เรนจาาาาา (Rat Rangar)  แรท เรนจาาาาา  พวกเรามาเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้ ~~~~~ แรทโตะเซนไทน์~~~~(Rato Sentai) Rat Dragoranger  แต่น  แต้น ([~~ ]แปลว่าให้ลากเสียง)

“ เจ้ามังกรหมาบ้าวอลคาวี่(Walkawee, the Dragon of Madness) เวลาของแกมันหมดลงแล้ว เตรียมใจไว้เถอะ ”
น้ำเสียงฮึกเหิมและหาญกล้า ซึ่งส่งดังออกมาจากร่างของเจ้าหนูขนขาวปลอด ตัวจ้อยยืนชี้นิ้วลงมาจากเชิงผา
ใต้เชิงผานั้น มังกรดำ วอลคาวี่ มันมีเกล็ดนิลแกร่งประดุจเหล็กกล้า ปากของมันเต็มไปด้วยเขี้ยวและคราบน้ำลาย

ที่ไหลยืด ออกมาจากปากของมันเหมือนสุนัขบ้า  ด้านหลังของมันมีฝูงหนูนับร้อย ถูกกักตัวเอาไว้ พวกมันทุกตัวล้วนสั่นด้วยความกลัว เอาแต่ร้องวิงวอนขอชีวิต

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/66.jpg)

“ แกเจ้า ไชน์นิ่งแรท(Shining Rat)ตัวแกนั้นยังเยาว์วัยนัก ช่างกล้าจริงที่กล่าวโอหังแบบนี้ แต่ดูถ้าแกคงจะอายุสั้นแล้วล่ะเพราะต้องมาอยู่ในท้องข้านี่ไง ย้ากกก  ”
สิ้นคำ วอลคาวี่ ก็พุ่งทะยานขึ้นไปด้วยปีกของมัน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n007/8.jpg)

“ บังอาจนักเจ้านั่นล่ะที่ไม่รู้ต่ำสูงเราคือองชายลำดับที่1 แห่งอาณาจักรRat Mania ไชน์ไนท์(Shin Knight) เจ้าบังอาจมากดขี่ข่มเหงประชาชนของเรา เจ้าจะต้องถูกลงโทษเดี๋ยวนี้ล่ะ….ในนามของมังกรขอพลังจงอยู่กับตัวเราด้วยเถิด ”
สิ้นคำของเจ้าหนู ก็พลันเกิดแสงสว่างเจิดจ้าส่องประกายออกมาจากร่างของมัน แสงทำให้ วอลคาวี่ ตาพร่าไปชั่วขณะ
ทันทีที่ มันลืมตาขึ้น เจ้าหนูก็ได้สวมชุดเกราะซึ่่งมีส่วนหมวกเหมือนกับหัวมังกร เกราะหลังมีปีกเหล็กยื่นออกมาและ

ประกบด้วยโล่ข้างอัน ลักษณะของปีกและโล่ที่รวมกันนั้นราวกับปีกของมังกร  แต่นั่นกลับไม่สามาร
ข่มขวัญ วอลคาวี่ มังกรร้าย ได้เลย

“ ชิชะ..เจ้าหนูแกนี่มีดีใช่ย่อยนะ แต่ที่แน่ๆข้าย่อยแกได้ไม่ยากหรอกมาอยู่ในท้องข้าซะดีๆ ”
วอลคาวี่ กล่าวจบมันอ้าปากกว้างพุ่งตรงเข้าไปหมายจะกลืนกิน เจ้าหนูในคำเดียว ทว่าเจ้าหนูกลับมีทีท่าสงบ
ไม่ถอย หนีแต่กลับประสานมือเข้าไว้ด้วยกันที่หน้าอก พร้อมกับหลับตาลงภาวนา

“ ศาสตราแห่งธาตุ ข้าเลือกแสงสว่าง เจ้าจงมาเป็นคมหอกทวนพิชิตให้ข้าขจัด อริให้สิ้นไป Little Lance ”
สิ้นคำของ เจ้าหนูก็เกิดมวลแสงขึ้นที่มือของมัน ก่อนที่เจ้าหนูจะวาดมือ ออกจากกัน มวลแสงนั้นได้
กลายเป็นทวนจิ่ว สีขาวสะท้อนแสงเป็นประกาย เจ้าหนูยกทวน ตั้งรับการโจมตี

“ นี่แกคิดรึว่า ไม้จิ้มฟันกระจิ๋วหลิว นั่นจะทำอันตรายข้าได้  ”
วอลคาวี่ สบถก่อนจะเพิ่มความเร็วในการพุ่งเข้าไป

“ ด้วยอำนาจแห่งแสงข้าขออัญเชิญ จิตวิญญาณอันสูงส่งแห่งสรรพสัตว์มา
จงรับไป Great of Rat (ความยิ่งใหญ่แห่งหนู) ”
สิ้นคำของเจ้าหนู ทวนจิ๋วของมันก็เรืองแสงขึ้นก่อนที่ จะแทงออกไป ประกายแสงที่คมทวนได้รวมตัวกันออกไป
ก่อรูปเป็น แสงพลังคล้ายหนู มวลพลังงานรูปหนูได้พุ่งเข้าไป กระแทกเจ้า วอลคาวี่ จนลุกไหม้และสลายไป

“ ขอ อำนาจจงอยู่หนูตลอดไปจงเรียกเราว่า อัศวินมังกรน้อยไชน์นิ่งแรท(Shining Rat, the Little Dragoon) ”
เจ้าหนูกล่าวพร้อมกับยก ทวน ขึ้นอย่างมีชัย ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของประชากรหนูที่
ได้รับการปลดปล่อย

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/25.jpg)

โปรดติดตามตอนต่อไปในอาทิตย์หน้านะครับ จงสู้ต่อไป อัศวินมังกรน้อย
 แรทโตะ แรทโตะ แรทโตะเซนไทน์ Rat Dragorager แต่น แต้น

กริ้ก …

สิ้นเสียงภาพทั้งหมดก็หายวับไปจากจอ เครื่องรับสัญญาณ ด้วยนิ้วของ เรกกะ ที่จิ้มไปยังปุ่มเปิดปิดของเครื่องรับ
ด้วยสีหน้าบานใจ

“ วันนี้ Rat Dragoranger ก็สนุกอีกตามเคย อาวล่ะ วันนี้หนังสือพิมพ์มีอะไรให้อ่านมั่งน้าา ”
เรกกะ กล่าวอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่คว้าเอาหนังสือพิมพ์ ซึ่งวางอยู่บนเครื่องรับสัญญาณลงมาเปิดอ่าน

“ อะไรเนี่ยมีแต่ข่าวการแทรกแซงของ Empyrean Adjust ทั้งนั้นเลยนี่มันก็ 4 สัปดาห์มาแล้วนะ หือ..นี่มัน ”
เรกกะ กล่าวลอยชายไปเรื่อยก่อนจะชะงักไปเมื่อหันไป เจอบทความหนึ่งในหน้าหนังสือ

ตัวจริงของ นักรบเทวทูต Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust เป็นเด็กอายุประมาณ 15-16 ปี
และสองในสี่นั้น คาดว่าเป็นครึ่งคนครึ่งสมิง……………

ข้อความในหนังสือถูกอ่านผ่านสายตาของ เรกกะ อย่างรวดเร็ว

“ 15-16 เหรอก็พอๆกับเราเลยนี่นาแถมยังมีพวกครึ่งสมิงอีก เฮ้อเอาเถอะยังไงซะก็ไม่เกี่ยวกับเรา…เอ็ะ เดี๋ยวก่อนสิ
วันที่เริ่มต้นการแทรกแซงนั่น คือวันที่ ไรด์ กับเจ้า เฟนท์ ติดธุระนี่นะหรือว่าพวกนั้นจะเป็น…เอ้อเรานี่ถ้าจะเป็นเอามากแฮะ ไม่มีทางซะล่ะ อย่างเจ้า เฟนท์ ปวกเปียกขนาดนั้นไปรบไม่ได้หรอก แล้วเจ้า ไรด์ ถึงจะบ้า วิชา นินจา ก็เหอะ แต่มันใช้ได้จริงซะที่ไหนเล่า ”
เรกกะ กล่าวกับตัวเองไปเรื่อย ขณะที่คิดว่าความสงสัยของเขานั้นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี
…………….
ขณะเดียวกัน

“ ตลอด 4 สัปดาห์ ที่เราเริ่มทำการแทรกแซงมาเนี่ย ดูเหมือนจะลดความขัดแย้งลงไปได้ ถึง 10% แล้วนะ ”
เสียงของหญิงสาวผู้ทำหน้าที่ผู้บัญชาการ เหล่า Valkyrier ดังขึ้นในที่ประชุมยาน ซึ่ง ประกอบด้วยตัวเธอ และพนักงาน ชายสองคน กับหญิง อีกคน นอกจากนี้ ก็ยังมีเด็กหนุ่มสาวอีก สี่ คนโดยเป็นชายสาม หญิงหนึ่ง
 
ซึ่งสองในสี่นั้น
คือ เฟนท์ กับ ซาน ที่ไม่ได้สวมชุดเกราะเหมือนตอนที่เข้าทำการแทรกแซง หากแต่สวมเครื่องแบบของ
ทางองค์กรแทน

“ แต่ว่า กระแสต่อต้านพวกเราก็เพิ่มขึ้นมาเหมือนกันนะ แล้วยิ่งตอนนี้ นานา ประเทศ เองก็พุ่งความสงสัยไปที่ โลกอสกันด้วย แบบนี้มันจะไม่ทำให้แต่ละประเทศเกิดความระแวงกันเองเหรอครับคุณ เอลิซ่า(Aliza) ”
เฟนท์ กล่าวถามขึ้นอย่างกังวล เพราะจากการแทรกแซงของพวกเขา อาจทำให้ โลกอส ตกเป็นเป้าจู่โจม
จากนานาประเทศ และหากเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเขา นั่นเองที่จะก่อสงครามขึ้นแทนที่จะขจัดมันไป

“ อะไรกันไม่เอาน่า เฟนท์ ไม่เห็นต้องกังวลเลย เพราะถ้าเกิด โลกอส ถูกโจมตีขึ้นมา
จริงก็เท่ากับว่าเกิดความขัดแย้งและสงคราม เนอะ เอมิล(Emil) ”
เด็กหนุ่มผมสีแดงที่เป็น Valkyrier เช่นเดียวกับเขา กล่าวพร้อมกับ แถไปให้ ครึ่งสมิงหมาป่า ขนสีเงิน
ที่ยืนอยู่ข้างๆตอบซึ่งเขาเองก็เป็น  Valkyrier ที่เข้าทำการแทรกแซงพร้อมกับพวก เฟนท์ เช่นกัน

“ อืม…ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็จะต้องเข้าแทรกแซงในฐานะของ Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust หน่วยทีมสังกัด Celestial Saber ที่มีหน้าที่หลักคือการแทรกแซงสงคราม และความขัดแย้งทางการ รบเป็นหลัก ”
ครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงิน ตอบเสียงเรียบ

“ ไรด์ (Ryad) เอมิล (Emil)…น..นั่นสินะ จริงด้วย ถ้าเกิดสงครามพวกเราก็ต้องเข้าแทรกแซง
เพื่อขจัดสงครามให้หมดไป ”
เฟนท์ มองหน้าเพื่อก่อนจะพูดออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ

“ ว่าแต่ทำไมพวกสื่อถึงได้มีข้อมูลเกี่ยวกับหน้าตารูปพรรณ สัณฐานของเรา ล่ะคะ แบบนี้มันจะไม่ทำให้ความลับเรื่องที่พวกเรานักเรียนของ St.Magnus ถูกสงสัยเอาเหรอคะ ถึงจะมีเผ่าพันธุ์ ครึ่งสมิงอยู่ทั่วไปให้เห็นก็เถอะ
แต่จำนวนก็น้อยจนแทบจะนับได้เลยนะ ถ้าเกิดการตรวจค้นขึ้นมาความจะแตกเอาได้ง่ายๆนะคะ ”
ซาน เริ่มยกประเด็นปัญหาขึ้นมาบ้าง

“ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ รู้สึกว่า ฮูกีนมูนีน(*) จะปล่อยข่าวออกไปเองตามแผนการน่ะค่ะ  ”
พนักงานสาวผมสีเขียวสด ในชุดเครื่องแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวมีกระดุมและกระโปรงสั้น สีน้ำเงิน
ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เอลิซ่า รายงานขึ้น

[ฮูกีนมูนีน(Hugin&Mugin)เป็นชื่อของ อีกา ที่เกาะอยู่บนไหล่ของโอดีน(Odin)
 มันทั้งสองได้รับหน้าที่คอยสอดส่องโลกเป็นหูเป็นตาแทน โอดีน ]

“ อืม  ก็อย่าง ลูลู่(Lulu) บอกนั่นล่ะ มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ เพราะถ้าทั่ว เทอร่า ได้รู้ว่ากองทัพทรงอำนาจอันเกรียงไกรของประเทศตัวเอง ดันมาแพ้เด็กหนุ่มสาวแค่ไม่กี่คน ก็จะทำให้อำนาจและความน่าเชื่อถือของกองทัพลดลง

และในที่สุด ก็จะเกิดกระแสต่อต้านกองทัพมากขึ้นหากกองทัพคิดจะเพิ่ม ประสิทธิภาพอาวุธของตัวเองมาสู้กับเรา
ที่ส่งเด็กแค่ สี่คนลงมาก็หยุดสงครามอันยาวนานที่แม้แต่ มหากองทัพซึ่งมีอาวุธทรงพลังยังยับยั้งไม่ได้… ”

พนักงานชายซึ่งมีผมสีดำสวมเสื้อยืดสีขาวแขนเสื้อยาวสีเทา และคลุมทับด้วยเสื้อกั๊ก
สีฟ้าอีกชั้น กางเกงยีนสีน้ำเงินอ่อน หันมาตอบให้แทน พนักงานสาวที่ชื่อ ลูลู่

“ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ถ้าเกิดความแตกขึ้นมาเท่ากับสวัสดิ์ภาพ ของฉันกับน้องชาย
แล้วก็เพื่อนๆนับว่าอยู่ในขั้นวิกฤติเลยนะ ”
ซาน กล่าวอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย



“ เอาน่า อย่างที่ ลูลู่ กับ อีลูมีเซ่(Elumeese) บอกไปถึงจะเสี่ยงไปหน่อยก็เถอะ แต่นี่ก็เป็นข้อสรุปของ ฮูกีนมูนีน
แล้วเราก็ต้องถือเป็นเอกฉันท์ อีกอย่าง การคาดการณ์ของสุดยอดสมองกลอย่าง ฮูกีนมูนีน น่ะไม่ผิดพลาดง่ายๆหรอก
ถ้าเกิดข่าวของพวกเธอรั่วออกมาจริง เดี๋ยว ฮูกีนมูนีน ก็จะทำการบิดเบือนข่าวสารเอง เพราะหน้าที่หลักของมันก็คือการ รวบรวมข่าวสารและประมวลผลกับมอบภารกิจ ให้กับพวกเราอยู่แล้ว ”
พนักงานชายอีกคนผมสี บลอนด์ แต่งชุดแบบเดียวกับ อีลูมีเซ่ กล่าวขึ้นมา

“ เอาเถอะนะอย่างไงก็ตาม การแทรกแซงของวันนี้ก็จบลงแล้ว พวกเธอกลับไปพักเถอะ
 พรุ่งนี้โรงเรียนเปิดไม่ใช่เหรอ ”
เอลิซ่า กล่าวก่อนจะปิดการประชุมของ Celestial Saber ถึงตรงนี้ก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างดีกันแล้วว่า
รูปแบบขององค์กร Empyrean Adjust นั้นจะแบ่งทำงานกันเป็นทีมๆ และเข้าไปทำการแทรกแซงความขัดแย้ง
 
ตาม ภารกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากสุดยอดสมองกล ฮูกีนมูนีน ซึ่งจากรูปแบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า Empyrean Adjust
มีขุมกำลังและอำนาจ มากกว่าที่เราเห็นในตอนนี้ นอกจาก ทีม Celestial Saber ก็อาจจะมีทีมอื่นๆใน Empyrean Adjust

ที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลส่งให้แก่ ฮูกีนมูนีน เพื่อทำการประมวลผลและส่งมอบภารกิจ แก่ทีมต่างๆเพื่อให้เหล่า Valkyrier ออกปฏิบัติการ และเหล่านักรบ เทวทูต Valkyrier นั้นก็มาจาก

เหล่า Valkyrie เทวทูตที่ได้มีหน้าที่พิทักษ์
ของที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้ บางทีความเกี่ยวกับพลังของพวกเขานั้นอาจเกี่ยวข้องกับ
ตำนานของเหล่า Valkyrie ในสมัยโบราณก็เป็นได้…

…………………..
…………………………….

ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์

ท่ามกลางฝูงชนที่แห่แหนกันมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในตลาดท่าเรือที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดใน เทอร่า
เมืองท่าของ โลกอส บาร์ซิงเซย์ ในวันนี้ก็ยังคงมีผู้คนคับคั่งเช่นเคย




“ องค์หญิง ไม่ควรจะเสด็จออกมาตามลำพังอย่างนี้นะเพคะ องค์หญิง”
หญิงสาว วัย 17 เธอมีผมยาวสลวยสีเขียวสดแต่งตัวเหมือนพวกนักเดินทาง เร่ร่อน
สวมผ้าคลุมสีเทาผืนเก่าๆ คลุมทับตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอร้องเรียกตะโกน หญิงสาวที่เดินนำหน้า
เธออยู่ ขณะที่เธอพยายามแหวกฝ่าฝูงชนเพื่อไปให้ถึงตัวหญิงคนนั้น

“ เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าหากออกมากันแค่เราสองคนเจ้าไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ กับเราและให้เรียกชื่อเราตามปกติก็พอ อีกอย่างหากเราออกมาโดยมีขบวนเสด็จด้วย มันจะทำให้ประชาชนแตกตื่น และเราก็จะไม่ได้
เห็นความเป็นอยู่และวิถีชีวิต จริงของพวกเขาน่ะสิ เราแค่อยากจะรู้ว่าประชาชนของเรา อยู่ดีเป็นสุขหรือไม่โดยไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าเรา ”
หญิงที่ถูกเรียก หันกลับกล่าวใส่หน้าหญิงผู้เรียกเธอ เช่นกันเธอแต่งตัวแบบนักเดินทางเร่ร่อนเหมือนกับหญิงผู้นั้น


“ แต่ตอนนี้ บ้านเมืองกำลังอยู่ในความระสับระส่ายนะ เพคะ เพราะ Empyrean Adjust ทำให้บรรดานานาประเทศตั้งข้อสงสัยมาที่ โลกอส ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สุดอยู่ในขณะนี้
อาจจะมีพวกที่ไม่ยอมฟังเหตุผลแล้ว ก็เข้ามาก่อการจลาจลได้ทุกเมื่อนะเพคะ ”

หญิงคนแรกกล่าว แสดงสีหน้ากระวนกระวาย หันซ้ายทีขวาที ด้วยความระแวง
ทว่าจู่ๆ หญิงคนที่สอง ก็เข้าไปกระซิบใกล้หูของเธอ

“ ก็นั่นล่ะ เราถึงต้องออกมาโดยไม่มีทหารองครักษ์ หากตอนนี้เราตกเป็นเป้าโจมตี แล้ว หากทาง Empyrean Adjust
ไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวเพื่อมาช่วยเหลือเรา บรรดาประเทศอื่นๆ ก็จะยอมรับว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Empyrean Adjust ไงล่ะ ”
หญิงสาวกระซิบ ทำให้เธอ ตาเบิกกว้างกับความคิดของ คนที่เธอเรียกว่าองค์หญิง

“ แต่องค์หญิงเพคะ แบบนั้นมันบ้าชัดๆเลยนะเพคะ ถึงความสำเร็จจะสูง แต่ไม่เสี่ยงดกินไปหรือคะ หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ ...ยังไงซะ หม่อนฉัน เองก็ไม่ขอเสนอให้พระองค์ใช้วิธีนี้แน่ค่ะเพคะ ”
เธอ กล่าวไม่ยอมท่าเดียวกับความคิดของ นาง


“ อะแฮ่ม..เฟรเซีย(Fleasia) ราชาศัพท์จ้ะ ”
องค์หญิง กระแอ่มไอ พร้อมกับเตือนให้เธอเลิกใช้ราชาศัพท์เสียที


“ ข..ขอ อภัยค่ะ องค์..เอ้ย ท่าน มาเรียลูส ”
หญิงสาวกล่าวพร้อม ชะงักไปก่อนกล่าวต่อเพราะเธอเกือบจะลืมตัวเรียกนางว่าองค์หญิงอีกแล้ว


“ ดีมากจ้ะ เฟรเซีย  อีกอย่างที่เราบอกไปเมื่อครู่ เราพูดเล่นน่ะ ฮิๆ ”
เธอกล่าว เสียงใส ขณะที่ เฟรเซีย เหงื่อตกด้วยความเหนื่อยใจ แต่จริงๆแล้วเธอกลับรู้สึกโล่งใจที่ เจ้าหญิง มาเรียลูซ ไม่ได้คิดกระทำการบ้าบิ่นอย่างที่ทรงตรัสไว้


“ แหม เฟรเซ๊ย นี่ล่ะก็นะ เราออกมาโดยไม่ให้ใครรู้แล้ว จะมีใครที่ไหนเล่ามาก่อการได้ ในเมื่อไม่รู้ว่าเรา ออกมา
อีอย่าง เราจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก เพราะเราหรอกนะ เฟรเซีย ถึงเจ้าจะเป็น

ทหารองค์รักษ์ของเราก็ตาม แต่เจ้าก็ยังเป็นเพื่อนเรา เหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นนี่ไม่ใช่ในวัง
ไม่ต้องเรียกท่านก็ได้ เรียก มาเรีย เฉยๆเหมือนเมื่อก่อนก็ได้จ้ะ ”

เจ้าหญิงกล่าวกับ เฟรเซีย ด้วยถ้อยเรียบง่ายเยี่ยง สามัญชนทั่วไป ทำให้ เธอเริ่มจะย้อนระลึก
ไปเมื่อ สมัยยังเป็นเพื่อนเล่น กับ องค์หญิง ขึ้นมา เธอยิ้มน้อยๆด้วยความอิ่มเอม ก่อนจะก้าวเท้าตามเจ้าหญิง ไป


ทั้งสอง ออกเดินไปตามท้องตลาดท่าเรือ ที่เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง เพื่อ ดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาขน
 ที่ตนดูแลอยู่ แต่การเยี่ยมชมนั้นก็ออกจะไปทางเดินเที่ยว ธรรมดาๆซะมากกว่า เจ้าหญิงทรงเที่ยวเล่น


อย่างสนุกสนาน ราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ด้วยเพราะ พระราชกรณียกิจ ที่มากมาย และหนักหนากว่า
วัยของพระองค์นั้น แต่พระองค์ก็ยังทรงแบกรับมันไว้ เพื่อทำให้ โลกอส ประเทศ หัวเมืองในถิ่น ทุรกันดารนี้
กลายเป็นมหานครแห่งตำนานที่แสนสงบสุข




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Post by: greamon on February 24, 2009, 04:37:19 PM
จึงทำให้พระองค์ไม่มีเวลา เป็นของพระองค์เสียเลย เมื่อได้ปลดปล่อยจาก ภาระหน้าที่ การงานพระองค์จึงอยากผ่อนคลายให้เต็มที่ ก่อนที่จะกลับไปดำรงงานของพระองค์ต่อ  ซึ่ง เฟรเซีย องครักษ์สาว ซึ่งเคยเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าหญิง
ตั้งแต่เด็ก นั้นเข้าใจความรู้สึกของ พระองค์ ยิ่งกว่าใครๆ การที่ พระองค์ ถูก พระมหาจักรพรรดิ แห่ง ราชอาณาจักร


บริทเทเนอร์ (Britanir) ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครอง ราชอาณาจักรทั้งหมด ในทวีป เลาดิเชีย เนรเทศมายัง เมืองขึ้นที่แห้งแล้งกันดาร นี้เพราะ พระจักรพรรดิ ทรงมีความคิดว่า สันติ คือความอ่อนแอ ประเทศจะมั่นคงเกรียงไกรได้นั้น เกิดจากการ


สู้รบและสร้างความขัดแย้งกัน สู้รบกันจนเหลือผู้ชนะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เพียงผู้เดียว ปกครอง อำนาจทั้งหมด  ซึ่งเป็นที่มาของความแข็งแกร่งทางการ รบ ของอาณาจักร บริทเทเนอร์  ดังนั้นการสืบทอดบังลังค์ ของ บริทเทเนอร์


ซึ่งครอง ประเทศ ต่างๆในเลาดิเชีย ไว้เกือบทั้งหมด  บวกกับ นโยบายที่การสู้รบกันคือความแข็งแกร่งและมั่นคงของประเทศ สิทธิ์ในการสืบทอดบังลังค์จะถูกยกให้แก่ ราชวงค์ ที่เข้ารับสืบทอด เพียงคนเดียว นั่นคือ พี่น้องในราชวงค์ต้องมาห้ำหั่นกันเอง เพื่อ ชิงสิทธิในการ ครองราชย์   แน่นอน เจ้าหญิง มาเรียลูส ทรงไม่พอพระทัยในมี่จะต้อง สู้รบ

เพื่อชิงบังลังค์ พระจักรพรรดิ จึง เนรเทศ พระองค์ มายังแดน อันทุรกันดารนี้ และได้ลงชื่อของเจ้าหญิงว่า ได้สิ้นพระชนม์ ลงแล้ว  ดังนั้น ตัวพระองค์จึงเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว เจ้าหญิง กับ เฟรเซีย จึงได้ ย้ายมา ยัง ประเทศอันทุรกันดาร นี้ และเปลี่ยนแปลงมันเป็น โลกอส และปกครองอย่างเป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นกับใครทั้งสิ้น

และสิ่งหนึ่งที่เป็นแรงผลักให้พระองค์ สร้าง โลกอส ขึ้นมาด้วยฐานแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเท่าเทียมกัน นั้น เพราะ เฟรเซีย เองก็เป็นลูกหลาน ชาวเมอริเซีย ที่ บริทเทเนอร์ นั้น ถือเรื่องการเป็นเชื้อสาย ชาวบริทเทเนอร์
อย่างมาก หากใครไม่ได้มีสายเลือด ชาว บริทเทเนอร์ แล้วก็จะถูก ปฏิบัติ เยี่ยงทาสรับใช้ เป็นดั่งชีวิตที่ไร้ค่า

การเหยียดชนชั้นใน บริทเทเนอร์ นั้นนับเป็น โพระราชโองการ หนึ่งของ พระจักรพรรดิ เช่นกัน
เพราะทรงเห็นว่า ประเทศที่ ขึ้นตรงต่อ บริทเทนเนอร์ นั้น อ่อนแอ จึงถูก บริทเทเนอร์ ยึดครอง
คนอ่อนแอ ต้องรับใช้ผู้แข็งแกร่ง หากใครคิดต่อต้าน ก็จะถือเป็นกบฏ และถูกกำจัดทันที

ชาวเมอริเซีย ที่ หลงเข้าไปอยู่ใน บริทเทเนอร์ เองก็เช่นกัน ถูกกดขี่ ข่มเหง อย่างรุนแรง
และแม้ บริทเทเนอร์ จะถูกมองว่า เหี้ยมโหด แต่ก็ไม่มี อำนาจไหนกล้าที่จะต่อกรด้วย

เพราะ บริทเทเนอร์ มีศักยภาพทางการรบที่สูงส่ง ทั้ง จักรกลสังหาร ชุดเกราะ ที่อาศัยเทคโนโลยี
สร้างขึ้นทำให้ทหารกลายเป็นสุดยอด นักรบได้ ซึ่งเรียกว่า เกเซอร์(Gazor) และ

 จักรกลขนาดใหญ่ เกเซอร์ อาเมอร์ (Gazor Armor) มีเพียง โลกอสเท่านั้น ที่แข็งข้อต่ออำนาจ ของ บริทเทเนอร์
และสามารถ เอาตัวรอดจากการโจมตีของ บริทเทเนอร์ มาได้ ตลอดรอดฝั่งเพียงประเทศเดียว

ที่จริงแล้ว นอกจาก เจ้าหญิง มาเรียลูส แล้ว พี่ชายของ เจ้าหญิง เจ้าชาย ลูเทเซีย (Lutacia) เองก็ ทรงต่อต้าน
พระจักรพรรดิ ผู้เป็นพระบิดา ของทั้งสองพระองค์ ทว่า เจ้าชายก็หาได้ ตาม เจ้าหญิงมาเรียลูส ออกจาก

บริทเทเนอร์มาไม่ หากแต่ จะเปลี่ยนแปลง บริทเทเนอร์ จากภายใน ซึ่งในเวลา นี้ เจ้าชาย ลูเทเซีย เอง ก็ได้เข้าร่วม กลุ่มกบฏ
เพื่อโค่นล้ม อาณาจักรลง  นี่คือ เบื้องหลัง ของ เจ้าหญิงมาเรียลูส เปี่ยมพระเมตตา
..................
............................


“ ผู้ว่าจ้าง ต้องการให้เราจัดการ กับ องค์หญิง มาเรียลูส แห่ง โลกอส งั้นเรอะ……เท่าไหร่”

“ เห็นว่า จะจ่ายให้ไม่อั้นเลย ถ้าทำสำเร็จ มัดจำนี่มาก็ ล้านเดนาริอัน แล้ว ”

“ หึๆๆ ดี พวกสายมันแจ้งมาแล้วว่า วันนี้ เหยื่อของเรา ออกมากับองครักษ์ กันแค่สองคน กินนิ่มอยู่แล้ว ”

“ งั้นก็ได้เวลา ให้โลกได้ประจักษ์ ถึงความยิ่งใหญ่ของ มาราดัน(Maradan) แล้วสินะ ”

“ ส่งพวก เทอเรี่ยน ออกไปก็พอเรายังไม่ต้องรีบทำตัวให้เป็นจุดเด่นนัก อีกอย่างได้ยินว่าพวก Empyrean Adjust อะไรนั่นกำลังก่อการ กันอยู่ถึงเราจะเป็นคนจัดการ กับ เจ้าหญิงไป ทั่ว เทอร่า ก็จะต้องคิดว่า
 พวกมันเป็นคนทำแน่ๆ
เป็นการยิงนัดเดียวได้นกสองตัวเลย ค่าจ้างงามๆ แล้วก็จัดการก้างขวางคออย่างเจ้าหญิงไปด้วย
แถมไม่มีใครสงสัยอีก ”
บทสนทนา ท่ามกลางความมืดมิดดังขึ้น อย่างไม่คาดสายก่อนจะเงียบไป
...................
...........................

ที่ บาร์ซิงเซย์

เมื่อไม่กี่ ชั่วโมงก่อนนี้ ยังคงเต็มไปด้วย ผู้คนคับคั่ง และเสียงครึกครื้น
ในการซื้อขายต่อรองราคา บัดนี้ ตลาดท่าเรือ อันงดงาม กลับเต็มไปด้วย ควันและแก๊ส พิษ
และซากศพของผู้เคราะห์ร้าย เกลื่อนไปตามท้องตลาด แผงร้านค้า เสียหาย

สูงขึ้นไปยังท้องฟ้าใกล้กับชั้นบรรยากาศ ยานเรือเหาะของ Empyrean Adjust หน่วยทีม Celestial Saber
 กำลัง ลอยตัวเพื่อตรวจสภาพการณ์ ด้านล่าง

“ ก่อการร้ายงั้นเหรอ ”
เอลิซ่า อุทานขึ้นทันทีที่ได้อ่านข้อมูล ที่ ฮูกีนมูนีน ส่งมาขึ้นจอในห้องบังคับการของ ยาน

“ งั้นจะมัว รอ อะไรอยู่ล่ะ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ ”
ไรด์ กล่าว ขึ้นขณะที่เตรียมจะออกไปทว่า เอลิซ่า ก็เรียกให้พวกเขาหยุดเสียก่อน


“ เดี๋ยวถ้าเราออกไปตอนนี้ ทั้งเทอร่า จะคิดว่าองค์กร ของเรา ขึ้นตรงกับ โลกอส เอาได้นะ
ถ้าเป็นยังงั้นล่ะก็ การแทรกแซงก็จะไม่มีความหมาย เพราะ ประเทศอื่นๆจะพากันเชื่อว่า เราเป็นขุมอำนาจของ ชาติใดชาติหนึ่งเท่านั้น ”
เอลิซ่า เสนาธิการ ของยานกล่าวอธิบายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากพวกเขา
ลงไปทำการแทรกแซงตอนนี้ แม้ ไรด์ และคนอื่นๆจะไม่พอใจนัก แต่ก็ต้องยอมตามยอมเพราะ
สิ่ง ที่ เอลิซ่า คาดการณ์ไว้นั้น ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน พวกเขาจึงต้องกัดฟันทน
นิ่งดูต่อไป

“ แล้วเราจะทำยังไงดีคะ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ก็เท่ากับว่า เราเพิกเฉยต่ออุดมการณ์ อยู่ดีนี่คะ ”
ลูลู่ พนักงานสาว หันมาถามจาก ที่นั่งหน้า แป้นควบคุม

“ จริงอยู่ สถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เราต้องทำการแทรกแซง แต่ว่าในกรณีนี้
 ไม่ใช่ความขัดแย้งที่เกิดจาก กองกำลังที่มีสังกัดฝ่ายเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เป็นพวกผู้ก่อการร้าย ถ้าเราจะเข้าทำการแทรกแซงก็ต้องทำให้ เทอร่า ได้รับรู้เสียก่อนว่า นี่ความขัดแย้งระหว่าง ฝ่ายใดกับฝ่ายใด  ”
เอลิซ่า กล่าวขณะที่พยายามหาวิธี ที่จะเข้าไปทำการแทรกแซง

“ งั้น เราลอง ไปเก็บ ข้อมูลเพิ่มส่งไปให้ ฮูกีนมูนีน ก่อนไหมเพื่อช่วยในการตัดสินใจกับหาทาง แทรกแซง น่ะ ”
อีลูมีเซ่ พนักงานชายซึ่งคุมแผงวงจรฝั่งซ้าย ออกความเห็น

“ ก็ดีเหมือนกันนะ...ถ้างั้นให้ อัลบัส(Albus) ลดระดับลง 20 แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า ช้าๆจากนั้นใช้ กล้อง
ถ่ายเก็บข้อมูล ส่งไปยังเครือข่ายเลย ”
เอลิซ่า สั่งการจบ ยาน อัลบัส ก็ออกตัวจากชั้นบรรยากศลงมา

...................
..........................

เบื้องล่าง ตลาดท่าเรือ ที่ยับเยินจากการบุกโจมตี โดยไม่ทันตั้งตัวโดยฝูง เทอเรี่ยนปีกคำสาป(Cursed Wing Therion)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/s007/3.jpg)

พวกมันเป็นเทอเรี่ยน กายสีดำขนาดและน้ำหนักตัวของพวกมันนั้น เทียบได้กับ ม้าศึก 2-3ตัวเลยทีเดียว

พวกมันบุกเข้ามาจู่โจม จากฝั่งทะเล บินเข้ามาเป็นฝูง พ่นควันพิษ ลงมาตลบอบอวลไปทั่วทั้งตลาด คร่าชีวิต ผู้คนไปมากมาย จนตลาดแทบจะกลายสภาพเป็นสุสานไป ทว่า แม้ควันจะตลบไปทั่วก็ตาม ผู้คนบางส่วนใน ตลาดก็ยังคงรอดมาได้บ้าง โดยหลบซ่อนใน เรือสินค้า หรือ ลังสินค้าต่างๆ ทว่า เทอเรี่ยน เหล่านั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในตลาด โดยจะฆ่าทุกคนที่มันพบ

“ น...นี่มันอะไรกัน ทำไมเทอเรี่ยนเหล่านี้ถึงได้.... ”
เจ้าหญิงมาเรียลูส ตรัสด้วยความสลด พระทัย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้คนที่ยังพูดคุยกันอยู่จนถึงเมื่อครู่เพียงแค่พริบตา
พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะพูดหรือรับรู้อะไรได้อีกแล้ว กลายเป็นเพียงซากศพ ที่ไร้ซึ่งวิญญาณ

เจ้าหญิง กับ เฟรเซีย ขณะนี้ หลบซ่อนอยู่ในเรือสินค้าที่เทียบท่าอยู่ใกล้ๆ ในตอนที่ เฟรเซีย สังเกตเห็น
เงาของเหล่า เทอเรี่ยน ที่บินใกล้เข้ามา จึงฉุดตัว เจ้าหญิง เข้ามาหลบได้ทัน ส่วนเจ้าของเรือ กับลูกเรือนั้น สูดเอาควันพิษเข้าไปจนถึงแก่ชีวิต ทั้งลำเรือ

“ องค์หญิง ทรงตั้งสติก่อนเถิดเพคะ ตอนนี้เราต้องหาทางหนีออกไปจากที่นี่ก่อน ”
เฟรเซีย กล่าวขณะที่แง้ม ประตูเพื่อดูว่า ควันพิษจางหายไปหรือไม่
ซึ่งตอนนี้ ควันพิษ ภายนอกนั้นถูกลมทะเลพัด หายจางไปเกือบหมดแล้ว

จนแทบไม่มีอันตรายใดๆ เฟรเซีย จึงเปิดประตูออก และจูงมือ เจ้าหญิงออกมา
เธอกระชับ ดาบสั้นที่พกมา ไว้ด้วยมือซ้ายก่อน จะพา เจ้าหญิง เดินเลาะไปตามกาบเรือ

เพื่อไปยังบันได ลงเรือ ทันทีที่ทั้งสองลงถึงพื้นตลาด ก็มี เทอเรี่ยน สองตัว เดินเข้ามาใกล้ในบริเวณนั้นพอดี เฟรเซีย จึงออกตัวมาบังเจ้าหญิงไว้ พร้อมกับชักดาบออกมาจากฝัก

เทอเรี่ยน  ทั้งสองตัวบุกเข้ามา พร้อมๆกัน แม้ตัวแรกเธอจะ สกัดการโจมตี ของมันได้ แต่ตัวที่สองก็พุ่งตรงไป
หาเจ้าหญิง เสียแล้ว แม้ เฟรเซีย จะรีบพุ่งตัวกลับมาแต่ก็ไม่อาจทันการ

“ แว้กกกก หลบไป! หลบไป! ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นพร้อมกับวินาทีนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ สไลด์ กระดานไม้ซึ่งติดล้อเอาไว้ พุ่ง เข้าไปชนร่างของ เจ้าเทอเรี่ยน จน ตกน้ำลงไป ทันทีที่เห็นว่า เจ้าหญิงปลอดภัยแล้ว เฟรเซ๊ย จึงไม่รอช้าตวัดคมดาบ
ซัดเจ้าเทอเรี่ยน ที่ไล่หลังมาตกทะเลไปอีกตัว

“ ขอบใจที่มาช่วยนะ แหมถ้าไม่ได้เธอล่ะก็ไม่รู้ว่า อง..เอ้ย มาเรีย จะเป็นอะไรไปรึเปล่า ต้องขอบใจจริงๆ ”
เฟรเซีย กล่าวขอบคุณพร้อมกับ จูงมือของ เด็กหนุ่มดึงตัวเขาลุกขึ้น จากพื้น เด็กหนุ่มคนนี้ อายุพอๆกับพวกเธอ
จนน่าจะอยู่ในวัยเดียวกัน เขามีผมสีทอง และแต่งกายแบบธรรมดาบ้านๆทั่วไป

“ ขอบใจที่ช่วย ฉันไว้นะ ฉันมาเรีย ส่วนข้างๆนี่ เฟรเซีย แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ   ”
เจ้าหญิง ถามโดยปรับวาจาคำพูดให้ดูเป็นคนธรรมดาสามัญ จนไม่อาจแยกออกได้ว่าเธอเป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์

“ เอ่อ..ผม เรกกะ ครับยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ผมว่าเรารีบหนีจากเจ้าพวกนั้นดีกว่านะครับ  ”
เรกกะ แนะนำตัวเอง ก่อนจะชี้ไปยัง ฝูง เทอเรี่ยน กว่า สิบตัวที่วิ่งไล่หลังเขามาเป็นแถบๆ
โดยที่ไม่ต้องกล่าวอะไรต่อ พวกเขาทั้งสาม ต่างรีบแจ้นกันหน้าตื่น โดยมีฝูงเทอเรี่ยนไล่หลังมากว่า สิบตัว
วิ่งทะลวง ตลาดจนเละเป็นแถบ

จนเมื่อวิ่งมาถึง  สุดสะพานเรือ เบื้องหน้าพวกเขาคือ ท้องทะเล ที่มีคลื่นเชี่ยวกราด ด้านหลังคือ กองทัพ เทอเรี่ยน
ที่หิวกระหาย ไล่ประชิดติดเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกเขาไม่สามารถถอยไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

พริบตาที่พวกมันพ่น ควันพิษ ออกมาหมอกพิษ ได้ทำให้ เจ้าหญิงกับ เฟรเซีย หมดสติไปในทันที
และหากปล่อยเอาไว้ พวกเธอคงจะตายในไม่ช้า ขณะที่ เรกกะ ยังคงพยายาม ฝืนกลั้นหายใจเอาไว้

“ ท..ทำไงดี นี่เราจะต้องมาตายอยู่ที่นี่ น่ะเหรอ...ทั้งๆที่แค่จะมาซื้อของเท่านั้น แต่ตอนนี้เรากำลังจะตายงั้นเหรอ ”
เรกกะ คิด ทันใดนั้น ในหัวก็เกิดมีภาพแทรก ขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ ที่ร่างของเขา ในวัยเด็ก ถูกคมดาบ
6 เล่ม ทะลวงร่างลงมา ความรู้สึกทรมาน ราวกับกำลังจะตายลงในไม่ช้า ได้ ผลันแวบขึ้นมา โดยที่เขาเองก็ไม่
รู้ว่าภาพที่เห็นนั้นคืออะไร

“ Great of Dragoon ”(อำนาจแห่งมังกร)
เสียงหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น ก่อนที่หมอกพิษ จะถูก คลื่นลมพัดหายไป
พร้อมๆกับ แสงพลังงานส่องสว่างสุกสกาว พุ่งตรงเป็นเส้นยาวออกไป ที่หัวลำแสง มี

ลักษณะคล้าย มังกร ลำแสงได้พุ่ง ทะลวงกองทัพ เทอเรี่ยน จนบางส่วนกระเด็น ตกทะเลไป
พร้อมกับ การปรากฏตัวขึ้น ของอัศวินครึ่งคนครึ่งมังกร หรือเรียกว่าอัศวินแท้จริง

อัศวินมังกรตนนี้เป็นนักรบหญิง เกล็ดสีแดงรอบกายเรียงตัวราวกับชุดเกราะ มือขวาของ นาง
กระชับ หอก ที่มีด้ามเป็นเกล็ดมังกรสีแดงเลือดหมู มือซ้ายติดโล่ เกล็ดมังกร สีแดงเลือดหมู เช่นกัน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/46.jpg)

“ ทันเวลาพอดีเลย มาธิอัส ว่าแต่คนๆนั้นอยู่ไหนล่ะ ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวขึ้นลอย โดยไม่ทราบว่าคุยอยู่กับใครแต่ดูเหมือนว่า จะมีใครบางคนติดต่อกับเธออยู่

“ เหรอ...คนนี้สินะ ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวจบก็หันมา หา เรกกะ ซึ่งเรกกะ ก็ได้แต่ส่งสายตา งงๆ ให้เธอเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ทัพ เทอเรี่ยน เองก็เริ่มจัดทัพกันใหม่ โดยมีพวกมันที่เหลืออยู่มาหนุนเพิ่ม

“ แย่ล่ะสิ คงไม่มีเวลามาอธิบายแล้วล่ะ เรกกะ เธอรีบใส่นี่ ซะ ”
อัศวินมังกรสาวกล่าวทันทีที่ เห็นว่าทัพ เทอเรี่ยน กำลังจะบุกอีกครั้ง
จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง จับข้อมือของ เรกกะ ขึ้นพร้อมกับ จัดแจง ใส่สาย รัดข้อมือ ที่ตรงกลางสายมี
อุปกรณ์ลักษณะคล้ายจานเล็กๆ ติดอยู่

“ เอ้าทีนี้ ก็อย่าชักช้า รีบแปลงร่างเข้าสิ ”
อัศวินมังกรหญิง กล่าวห้วนๆ ทว่า เรกกะ เองยังสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่ดี
ทว่าเวลาก็ไม่คอยท่า เพราะเหล่า เทอเรี่ยน ชุดแรกได้บุกเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
อัศวินมังกรสาว จึงออกไปรับมือ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga03 เทวทูตผู้ขจัดสงคราม
Post by: greamon on February 24, 2009, 04:37:29 PM
“ มัวทำอะไรอยู่เล่า ขืนชักช้าอยู่แบบนี้ก็ได้ตายกันหมดหรอก ฉันต้านให้ไว้ได้ไม่นานนะ ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวขณะที่ ควงหอกในมือป้องกันเป็นประวิง แต่แม้เธอจะเร่งรัดเขาอย่างไร
ก็ตาม เขาก็ไม่เข้าใจที่เธอพูดอยู่ดี จนในที่สุด อัศวินมังกรสาวก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ ถูกชนจนกระเด็นไปกอง

กับพื้น ในชั่วพริบตาที่ทุกอย่างกำลังจะเลวร้ายลง ชั่ววูบนั้น ใต้จานเล็กๆที่สายคาดก็ แทงเข็มลงไปในข้อมือของ เรกกะ
พร้อมกับที่ดวงตาซ้ายที่มองไม่เห็น ของเขานั้นรูม่านตา ได้เรืองแสงสีขาว ออกมา

“ อย่าเข้ามานะ..ว้ายย ”
อัศวินมังกรสาวร้องเสียงหลงขณะที่ พวก เทอเรี่ยน กำลังจะเข้ามา ขย้ำเธอ
ทว่า เทอเรี่ยนเหล่านั้น กลับถูกปัด จนกระเด็นออกไปไกลจากตัวเธอ

“ รังแกสุภาพสตรีนี่ไม่ใช่วิสัยที่ดีเลยนะเจ้าพวกเดรัชฉาน ”
เรกกะ ที่เข้ามาปัด เหล่า เทอเรี่ยนออกไป กล่าวเสียงขึงขึ้นมา ท่าทางกับวาจานั้นราวกับ
เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ทว่า ขณะนั้น เทอเรี่ยน ทั้งหมดก็ได้ พ่นไอพิษ สวนออกมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ความหนาแน่น
มากกว่าครั้งก่อนๆหาก ปล่อยเอาไว้นาน ทั้งเจ้าหญิง เฟรเซีย เรกกะ และอัศวินมังกรสาว จะต้องตายในไม่ช้าแน่

“ มัวทำอะไรอยู่เล่ารีบแปลงร่างเข้าซะสิ..อุบ ..แค่กๆเร็วๆเข้า ”
อัศวินมังกรสาวกล่าวได้ไม่ทันขาดคำ นางก็สำลักควันที่คละคลุ้ง อย่างกระอักกระอ่วน

“ ยัย บ๊องเอ็ย เธอลืมให้ โซลการ์ด (Soul Card) เค้านะ ไม่มี โซลการ์ด ก็แปลงร่างไม่ได้หรอก ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของนาง ซึ่งนั่นทำให้นาง ฉุกคิดได้ก่อน จะส่งตลับไพ่ สีดำสนิทซึ่งติดกับสายคาดเอว ที่ตัวกล่องมี หน้าจอ ซึ่งขึ้นเลข 99 ไว้ เธอยื่นมันให้แก่ เรกกะ

“ ใช้มันซะ.. ”
อัศวินมังกรสาวกล่าว ก่อนที่จะฟุบลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เรกกะ รับเอาตลับนั้นมาคาดเอวไว้
ก่อนจะเปิดฝาตลับออกด้านข้างและหยิบ ไพ่ใบหนึ่งออกมาจากตลับ ทันทีที่ ไพ่ในตลับลดลง ตัวเลขบนหน้า

จอตลับไพ่ ก็ลดลงเป็น 98 ไพ่ที่ดึงออกมานั้น มีหลังไพ่สีดำ หน้าไพ่สีขาว
ทันทีที่มันอยู่ในมือของ เรกกะ ซักครู่ ก็ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งแสงขึ้นบนหน้าไพ่

“ ก็ไม่ค่อยรู้อะไรล่ะเอียดนักหรอกนะ แต่เราจะลองทำดูละกัน ”
เรกกะ กล่าวเสียงเรียบ สายตานั้นดูเหม่อลอย และเมินเฉย ขณะที่เอา ไพ่ไปบังจานที่สายคาด
ผลันจานส่องแสง ขึ้นผ่านไพ่ ไปตราสัญลักษณ์แห่งธาตุแสงที่ ปรากฏอยู่บนไพ่ ครั้นเมื่อได้รับแสง
จากจานจ่ายพลังงาน ก็เปล่งประกายเจิดจ้า

“ Luminar Form ”
เสียงดังขึ้นจากตัวจานที่สายคาด ก่อนที่ เรกกะ จะปล่อยมือจากไพ่ แต่ทว่าไพ่ก็ยังคงลอยค้างอยู่
เหนือจานนั้น มีอะไรบางอย่างชักจูงให้เขา อยากกด มือลงไปบนไพ่ ให้ลงไปยังจานจ่ายพลังงาน
และทันทีที่เขากดมันลงไป

“ Regeneration ”
 เสียงดังขึ้นจากสายคาดอีกครั้ง ในวินาทีนั้นเอง เซลล์ทั่วทั้งร่างของ เรกกะ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
รหัสพันธุกรรมภายในร่างได้ถูก เรียบเรียงขึ้นใหม่ อยู่ภายใน ผิวหนังของ เขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวสดราวกับ

ขนหงส์ รูปร่างลักษณะของเขาค่อยๆแปรเปลี่ยนไป จนในที่สุดเมื่อแสงจางลง ร่างของ เรกกะ ก็กลายเป็นอัศวินมังกร
กายสีขาวทอประกายรัศมี ราวกับแสงรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ปีกสีขาวนั้นสะบัด พลิ้วไหวราวกับผืนผ้าคลุมของเจ้าชาย
คลื่นพลังที่ปล่อยออกมาจากร่างของ มันได้พัดหอบเอาควันพิษออกไปจนหมด

“ จงถ่างหูและฟังให้ดีๆ บัดนี้องค์ชายเสด็จแล้ว จงขานนามเรา ทาลูคัส(Thalucus, Arimathea’s Dragoon of Thaliwilya)  ”
อัศวินมังกร เรกกะ ประกาศนามของตนขณะที่ เทอเรี่ยน ทั้งหลายไม่ได้รอช้า บุกเข้ามาประชิดใส่ ไม่ยั้ง
ทว่า ทาลูคัส ก็หลบหลีก และปัดมือผลักเจ้า เทอเรี่ยน ล้มพับไปหลายตัว ด้วยท่วงท่าสง่างาม ประดุจวิหกร่ายรำ
ก็มิปาน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/1.jpg)

“  เฮ้อ กว่าจะแปลงร่างได้ ว่าแต่อีตานี่ ทำไมท่าเยอะจัง สู้ไปหลบไปยังกะเต้นรำอยู่นั่นล่ะ  ”
อัศวินมังกรสาว กล่าวอย่างเหนื่อยหอบ ขณะที่เห็น ทาลูคัส สู้กับเหล่าเทอเรี่ยน

“ Lux et Dragos ”
สิ้นคำ ทาลูคัส ก็สร้าง มวลแสงสีขาวขึ้นในอุ้งมือทั้งสองข้าง ขณะที่ หนุนตัวหลบหลีกการจู่โจมของ เทอเรี่ยน
ไปพร้อมกับ ประกบมวลแสงทั้งสองอันเข้าด้วยกัน ก่อนจะวาดมือ ออกราวมวลแสงที่รวมกันก็ได้ก่อรูปตามทางที่มือ

วาดออกไป ก่อนจะกลายเป็นดาบยาวสีขาว ทั้งเล่ม ที่แกนดาบมี ศิลาสีทองฝังอยู่
 ทันทีที่สร้างดาบสำเร็จ ทาลูคัส ก็แกว่งดาบตวัดร่ายรำกระบรวนท่าอีกครั้ง จนต้อนเหล่า เทอเรี่ยน ไปรวมๆ
กันไว้แล้ว ถอยห่างออก  ก่อนจะดีดนิ้ว ขึ้นหนึ่งครั้ง ไพ่ ที่ใช้ตอนแปลงร่างก็ปรากฏขึ้นมาบนมือ

ก่อนที่จะปรากฏ รูปของลูกมังกรแสงพาลานัลคาร์(Palanalcar, Alimathe’s Baby Dragon) ขึ้นบนไพ่
พร้อมกับที่ ลูกมังกรตัวเป็นๆได้บินลงมาจากฟ้า ทันทีที่ ทาลูคัส ชี้ไพ่ไปที่ร่างของ พาลานัลคาร์

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/7.jpg)

ร่างของมันก็เปล่งแสงและเริ่ม วิวัฒนาการ เปลี่ยนเป็น พาลานัลคาเลี่ยน(Palanalcarion, Arimathe’s Light Dragon)
มังกรแสงร่างเต็มวัย ทาลูคัส ขึ้นไปขี่บนหลังของมันก่อนที่ จะให้มันออกบินขึ้นไป

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/13.jpg)

“ ได้เวลากวาดทิ้งเสียทีนะ ”
สิ้นคำ ไพ่ในมือ ก็ถูกนำไปจ่อบริเวณศิลาทองคำที่อยู่ตรงแกนดาบ ไพ่ได้สลายกลายเป็นอณูแสงซึมซับเข้าไปใน ศิลา
ทันทีที่ ทาลูคัส แตะนิ้วลงไปที่ศิลา แล้วลากมันไปตามคม ก็เกิดสาบอาบคมดาบไปเป็นทาง

“ Full Charge Great of Dragon ”
เสียงดังขึ้นจากตัวดาบทันทีที่ นิ้วของ ทาลูคัส  สะบัดออกจากตัวดาบ และแสงอาบคมดาบทั้งเล่ม

“ จะปิดฉากล่ะนะไม่ขอคำตอบใดๆทั้งนั้น ”
สิ้นคำ ทาลูคัส ก็ควงดาบในมือโยนขึ้นไปเหนือหัว ผลันดาบได้ เปล่งแสงออกมา และกลายเป็น
ลำแสงพลังงานรูปมังกร บินฉวัดเฉวียน ไปมาเหนือหัวของ ทาลูคัส โดยที่ การเคลื่อนไหวของมันสอดคล้องกับการวาดมือของ ทาลูคัส ทันทีที่  ทาลูคัส วาดมือเป็นวง ขึ้นเหนือ หัวเสร็จ ก็กระโดขึ้นจากหลังของ พาลานัลคาเลี่ยน

ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ลำแสงมังกรพลังงาน ได้บินครบรอบและพุ่งกลับมายัง ตำแหน่งที่ ทาลูคัส เล็งไว้
ทันทีที่ ทาลูคัส หมุนตัวกลางอากกาศ ยันขาถีบลงไป ลำแสงมังกรพลังงาน ก็ถูก กดทิศทางลงไปตามทิศที่
ทาลูคัส ถีบพุ่งลงไป  พร้อมๆกับที่ พาลานัลคาเลี่ยน เริ่ม สะสม ประจุพลังงานไว้ในปากของมันที่อ้าขึ้น

เมื่อ ทาลูคัส ถีบลำพลังงานลงไปถึงพื้นที่พวก เทอเรี่ยน กระจุกกันอยู่ ก่อนที่จะเตะกวาด จนพวกมันกระเด็นออกไป
เข้ารัศมี การยิงของ พาลานัลคาเลี่ยน พริบตานั้น เพลิงแสงสว่าง Shining Flame ของ พาลานัลคาเลี่ยน ก็พุ่งลงมา
ผลาญร่างของพวกมันจนสลายเป็น ทุรีเถ้า

................

ยาน อัลบัส 

“ พวกเทอเรี่ยน หายไปหมดแล้วครับ ไม่มีสัญญาณของพวกมันเหลือเลย ”
อีลูมีเซ่ พนักงานชายที่คุมแผงวงจรฝั่งซ้ายของห้องบังคับการ รายงานขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

“ ที่บริเวณท่าเรือ พบสัญญาณพลังมหาศาล ค่ะ  ”
ลูลู่ พนักงานหญิง กล่าวขึ้นทันทีที่เห็นรายงานจากจอประมวลผล

“ นี่มัน.... ”
พนักงาน ชายที่คุมแผงวงจรฝั่งขวา อุทานขึ้น

“ มีอะไรเหรอ เอียน(Eian)  ”
เอลิซ่า หันไปถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ทุกคนเองก็พลอย หันมาสนใจกับท่าทีของ เอียน

“ สัญญาณพลังแบบนี้มันเหมือนกันมากเลย ถึงจะไม่ใช่แบบเดียวกันก็เถอะ พลังงานเมื่อครู่ คือ ประจุอิออน แถมยังมีความเข้มข้นมากเลย อย่างกับว่า... ”
เอียน กล่าวได้ไป ซักพักก็หยุดไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

“ อย่างกับว่า เทพเจ้ามาอยู่ตรงนั้นเลยใช่ไหมครับ เพราะประจุ อิออน ก็คือพลังงานของ เทพเจ้า การที่สามารถปลดปล่อย อิออน ได้ขนาดนั้น ก็มีเพียงเทพเจ้า ตัวจริงเท่านั้น ”
เอมิล ครึ่งสมิงหมาป่าขนสีฟ้า กล่าวเสียงเรียบ

“ อ้ะ จับภาพได้แล้วค่ะ ”
ลูลู่ กล่าวขึ้นเมื่อ สามารถจับภาพสถานที่เกิดเหตุได้

“ เอาขึ้นจอเลย ”
ไม่ต้องคิดอะไรใดๆอีกต่อไป เอลิซ่ารีบสั่งการให้นำภาพขึ้นจอ เพื่อไขข้อกระจ่าง
ภาพที่เห็นตรงหน้านั้น ทำให้พวกเขาทุกคนต้องนิ่งอึ้ง ราวกับต้องมนต์สะกด

“ อัศวินมังกรแท้ งั้นรึเนี่ย ”
เอลิซ่า เปรยเสียงเรียบ เมื่อภาพที่ฉายขึ้นมาบนจอ คือ ภาพของ อัศวินมังกรกายสีขาว
บริสุทธิ์ กำลังยืน มองเปลวเพลิงที่ เผาผลาญพวก เทอเรี่ยน เคียงคู่ไปกับ อัศวินมังกรแท้หญิงอีกหนึ่ง

.......................
................................
ณ เรือ สินค้ำลำหนึ่งที่ลอยอยู่ในอ่าว ไกลจากฝั่ง บาร์ซิงเซย์ ไปไม่น้อย

“ ว่าไงนะ เทอเรี่ยนที่ส่งไปหมดนั่น โดนกวาดเกลี้ยงหมดงั้นรึ ”
ชายสวมผ้าคลุมสีดำตั้งหัวจรดเท้า ตะคอกเสียง ขึ้นอย่างไม่พอใจ

“ เห็นว่ามีก้างมาขวาง ตอนจะจัดการเจ้าหญิงได้อยู่แล้ว รู้สึกจะไม่ใช่พวก Empyrean Adjust ซะด้วยสิ ”
ชายสวมผ้าคลุมอีกคนกล่าว เสียงแหบแห้ง

“ ชิ..ใครกันนะ อยากจะรู้มันซะจริงๆ ”
ชายคนแรกได้แต่สบถด้วยความ ขุ่นเคือง กับแผนการที่ ล้มเหลวของพวกตน

.......................
...........................
ณ ที่ใดซักแห่งที่ มีซึ่งจอภาพนับไม่ถ้วนรายล้อมอยู่รอบห้อง เด็กหนุ่มกับ เด็กสาว ที่คอยจ้องมองดู
ทุกอย่างบน เทอร่า ซึ่งฉายอยู่บนจอ แน่นอนรวมไปถึง การปรากฏตัวของ อัศวินมังกร ปริศนาตนนั้นด้วย

“ นี่มันนอกบทนี่...ได้ไงกัน คำทำนายไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับ มันเลยนี่ ฮายาเตะ
 เชื่อมต่อกับ ฮูกีนมูนีน ดูซิว่ามีข้อมูลไหม ”
เด็กชายสั่งเสียงขึง

“ รับทราบ..ทำการเชื่อมต่อ ”
สิ้นคำของเด็กหญิง แววตาของเธอก็เรืองแสง อยู่ชั่วครู่ก่อนจะดับไป

“ ไม่มีข้อมูลอยู่ใน ฮูกีนมูนีน เลยค่ะตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ มีข้อมูล ที่น่าสนใจส่งเข้ามาจากทีม Magnus Mephisto(อสูรทรงอำนาจ) ค่ะ ”
เด็กหญิงกล่าว เสียงเรียบ

“ เชอะ เรื่อง อัศวินมังกรนั่นเอาไว้ก่อน ข้อมูลที่เข้ามาล่ะ ”
เด็กชาย สบถอย่างหัวเสียกับการปรากฏตัวของ อัศวินมังกรปริศนา ตนนี้ที่เข้ามาทำหน้าที่แทรกแซงแทนพวกเขา

“ ราชอาณาจักร บริทเทเนอร์ กำลังสะสมกองกำลัง เพื่อที่จะโค่นทำลายเรา และยึดอาณานิคม จาก โลกอส ค่ะ ”
เด็กหญิง กล่าว เด็กชายที่ได้ยินรายงานนั้น ก็นิ่งไปซักครู่ ก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์

“ หึๆๆ..ไม่ว่าหน้าไหน ก็อยากจะลองดีกับเรางั้นสินะ ให้ Celestial Saber ไปทำการแทรกแซง ภารกิจคือ โค่น จักรพรรดิ บริทเทเนอร์ ทิ้งซะ ล้มล้างจักรวรรดิ ที่มีแต่การทำลายล้างสร้างความขัดแย้งนั้นไปซะ ”
เด็กชาย กล่าว

“ ค่ะจะส่งคำสั่งไปที่ ฮูกีนมูนีน เพื่อให้เริ่มการประมวลผลภารกิจเลยนะคะ ”
เด็กสาวกล่าวจบก็เดิน ออกจาห้องไปทิ้งเด็กชายให้ยืนมอง ความเป็นไปของเทอร่า

“ ลบมันไปให้หมด แล้วเปลี่ยนมันซะ เทอร่าอยู่ในอุ้งมือของเราแล้ว จากนี้ นี่ล่ะ เทอร่าจะต้องเปลี่ยนไป ”
เด็กชายกล่าว จบก็ดีดเหรียญ ขึ้นไปจอภาพทั้งห้องก็ดับลงทุกอย่างหวนกลับสู่ความมืดอีกครั้ง

...............
โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga
แม้จะได้รับการเตือน ถึงหลายครั้งหลายครา แล้ว เทอร่า ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงยังคงโหยหา แต่การสู้รบสร้างความขัดแย้งอยู่เรื่อยไป

“ เราคือ ลูเทเซีย อดีต เจ้าชายลำดับที่ 3 แห่ง บริทเทเนอร์ ”

“ อยากให้ Empyrean Adjust เข้าแทรกแซงงั้นเหรอ ”

แผนการที่จะชักนำเหล่าเทวทูต มายังดินแดน แห่งการสู้รบ

“ เอาล่ะนับแต่นี้ไป นายคือ อัศวินมงักร ทาลิวิลย่า แห่งอาริเมเทีย นะ ”

การแต่งตั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว ชะตาของเทอร่าจะเป็นเช่นไร Next Saga 05 แทรกแซง Britenir 1

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: General Charles on February 24, 2009, 11:06:58 PM
มาให้รู้ว่าติดตามอยู่นะ  ::001::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: greamon on February 25, 2009, 03:11:18 AM
Quote
มาให้รู้ว่าติดตามอยู่นะ 

ok อันนี้ทราบกันครับ ยังดีกว่าเงียบๆ

ตอนนี้ตกลงกับ พี่ปิโยม่อนเรียบร้อย ละหลังจากที่ติด คณะ it ที่เกษตรศรีราชาแล้ว
ก็ไม่มีผลอันใดที่ข้าน้อยต้องไปกระเสือกกระสน อ่านให้มันหูดับตับไหม้อีก( ::008:: นี่ต้องไปอยู่ไกลขนาดนี้เลยรึเนี่ย)

ดังนั้นด้วยอำนาจและโองการบังคับสูงสุดแห่ง ดิจิตอลเวิล ข้าน้อยจึงตัดสินใจ(แกมบังคับ)
ให้ฤกษเปิดตัว Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ปุ้งๆๆปัง ปุ้งปัง (จุดพลุฉลองพิธีเปิดงาน  ::010::)



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: boy on February 25, 2009, 11:09:12 AM
โอ๊ว!สนุกจัง  รอตอนต่อไปอยู่


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: ginn on February 27, 2009, 03:26:52 AM
หนุกงับ

ปล.จะเพิ่มเนื้อเรื่องคิ_ะ หรือ ดีเ_ท ดี


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: greamon on February 27, 2009, 10:29:40 PM
Quote
หนุกงับ

ปล.จะเพิ่มเนื้อเรื่องคิ_ะ หรือ ดีเ_ท ดี

อย่ามาเนียน จะไปไรเดอร์คิกก็ไป๊ ตกลงเอามันหมดแหล่ะทั้ง2เรื่อง เอ้ยไม่ช่ายยย
ยังไงเราก็ยังคงวิถีแห่ง 00 อยู่เฟ้ย 5555+


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: boy on February 28, 2009, 10:42:35 AM
หวังว่า summer นี้คงมีตอนมาให้อ่านสนุกๆ เยอะๆนะ  ::003::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: ~daMn [o]R ~DarN on February 28, 2009, 06:40:50 PM
ขอโทดนะคับก็คือสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งคือ ตัวธาตุดินตัวนั้นอะคับ มันมีด้วยหรอ ::010::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: boy on February 28, 2009, 10:13:58 PM
ขอโทดนะคับก็คือสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งคือ ตัวธาตุดินตัวนั้นอะคับ มันมีด้วยหรอ ::010::

ตัวประกอบเนื้อเรื่องครับ   ::001::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: greamon on March 01, 2009, 02:28:01 AM
Quote
Quote
ขอโทดนะคับก็คือสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งคือ ตัวธาตุดินตัวนั้นอะคับ มันมีด้วยหรอ

ตัวประกอบเนื้อเรื่องครับ   

อ่าคุณ boy พูดถูกแล้วครับ สำหรับผู้ที่เพิ่มเริ่มอ่านนิยาย ของผม เป็นครั้งแรกก็คงจะไม่ทราบกัน งั้นผมจะอธิบาย
ให้ละกันนะครับ เนื่องจากว่า ในนิยายนี้มันเป็น fic ซึ่งมีตัวละครที่ไม่มีในนิยาย เยอะอยู่เหมือนกันไอ้การที่จะให้ไปนั่งจำ จากบทเขียนมันก็คงจะได้ไม่ครบถ้วน กระผมกับลูกทีมก็เลยทำการตัดต่อภาพ มาอ้างอิงเพื่อประกอบนิยาย
เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ

เดี๋ยวยังมีอีกเยอะ ไม่เชื่อลองถามคุณ Boy ดูสิภาคแรกน่ะมีอยู่กี่ใบยังจำกันไม่ค่อยไหวเลยใช่ไหมครับเหอๆๆๆ

ว่าแต่ไหงมีคนมาขุดกระทู้ภาคแรกขึ้นมาได้หว่า พอดีเลยใครสงสัยเนื้อเรื่องช่วง Saga 01-02 ก็ไปอ่านเอาจากภาคแรกได้ครับ
แต่ถ้าขี้เกียจอ่านก็มะ เปนไรเพราะเดี๋ยวกลางๆเรื่องของภาคนี้ก็จะมีอธิบายแทรกแบบย่อๆไปให้
อีกอย่างเนื้อเรื่องภาคที่แล้วไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคนี้นักหรอกครับ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: cocka-c on March 01, 2009, 02:40:57 AM
แง้เจ้าเกรม่อน ยังจะมีหน้ามาระรื่นอีก อาทิตย์นี้จะลงsaga 05 ทันไหมเนี่ย เจอสอบ A-net เข้าไปที
เสียเวลาไปสองวันเต็มๆ แถมวันจันทร์ยังต้องไปซ่อมฟิสิกส์ ทั้งห้องอีก โอยจะทันไหมเนี่ย

เอ้อ ว่าแต่จำนวนการ์ดสำหรับแปลงร่าง 100 ใบเนี่ยจำนวนตอนเท่าที่มีหลังจากนี้ใช่มะ เช่นใช้ตอนละใบ
ก็เท่ากับว่าเรื่องนี้มีทั้งหมด 104 บทชิมิ เหอๆๆ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: greamon on March 02, 2009, 06:28:22 PM
Saga 05 แทรกแซง Britanir 1


 ราชอาณาจักร บริทเทเนอร์ ตอนเหนือของ ทวีปเลาดิเชีย

“ ถึงท่าจอดยาน ที่13 Gazor รูนโกเลม(Ruin Golem) Gazor เมทัลริก้า ดราก้อน (Metallica Dragon) ออกประจำการสู่สนามรบที่ B  62 ได้ ขอย้ำ ประจำการที่สนามรบ B 62 ”

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/129.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n002/6.jpg)

“ ถึงท่าจอดยาน ที่ 23 Gazor Armor เอกซ์เพอริเมนท์ซีโร่ (Experiment Zero) ออกประจำการ สนามรบที่ B 62 ได้ ขอย้ำ ประจำการที่สนามรบ B62 ขณะนี้ เหตุการณ์ฉุกเฉิน ระดับ Giga SSS (กิก้าทริปเปิลเอส = ระดับการระวังขั้นสูงพิเศษสูงสุด ) Empyrean Adjust เข้าทำการโจมตี ชายแดน สนามรบ B 62 ขอให้ทุกหน่วย ออกประจำการ ให้กองยาน Gazor Armor เอกซ์เพอริเมนท์ เป็นทัพหลัง ขอย้ำอีกครั้ง… ”

เสียงประกาศ ที่ดังกึกก้องไปทั่ว ลานจอท่าอากาศยาน กองกำลังป้องกัน บริทเทเนอร์  เหล่าหุ่นรบ ที่มีขนาดตั้งแต่
รถศึกหุ้มเกราะสองคัน ที่เรียกว่า Gazor ไปจนถึง หุ่นรบขนาดมหึมา อย่าง Gazor Armor ที่มีขนาด พอๆกับ 

ภูเขาครึ่งลูก อย่าง เอกซ์เพอริเมนท์ซีโร่  ที่ติดตั้งอาวุธทำลายล้างพลังสูง แม้แต่บนฟ้าขณะนี้ กองทัพ Gazor เมทัลริก้า ดราก้อน หุ่นรบรูปร่างมังกร นับร้อยลำ กำลังพุ่งตรงไปยัง สนามรบชายแดนที่ถูกเรียกว่า B 62 โดยมี กองทัพ Gazor และGazor Armor อีกนับหมื่น ยกตามไปเป็นพรวน นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงมหาอำนาจ หนึ่งของเทอร่า

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/81.jpg)

ราชอาณาจักรบริทเทเนอร์  ราชอาณาจักร ซึ่งมีกองทัพเกรียงไกรที่สุดใน เทอร่า ซึ่งปกครองโดย
องค์จักรพรรดิ แห่งบริทเทเนอร์  เนโปลเลียน(Neporian) ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีอำนาจสูงสุดเหนือ ประเทศทั้งหมดใน ทวีปเลาดิเชีย   ด้วยคำประกาศที่ว่า

 “ เราชาว บริทเทเนอร์ ไม่เชื่อในสันติที่พระเจ้ามอบให้ หากแต่การทำสงครามสร้างความขัดแย้ง นั้นต่างหากที่จะชี้นำเราสู่ยุคสมัยใหม่ พระองค์หาได้ให้สองมือนี้ไว้ผูกไมตรีหากแต่มีไว้เพื่อ ห้ำหั่นทำสงครามกัน สันติเป็นของคนอ่อนแอ สงคราม คือดาบแห่งชัยชนะของมวลมนุษยชาติ บริทเทเนอร์จงเจริญ ”

อันว่าราชอาณาจักรตั้งอยู่บนฐานแห่งความขัดแย้งไร้ซึ่งสันติ แต่หากปกครองกันด้วยกฎแห่งความเข้มแข็ง
ประเทศจึงเข้มแข็งและไร้ผู้ต่อต้าน  บัดนี้มันกำลังจะถูกพิพากษา
………………
…………………..
Empyrean Adjust

 “ ด้วยคำสาบานต่อคมดาบแห่งฟ้าสูง เราจะเป็นดาบแห่งพระวจนาตถ์ของพระเจ้า จักขจัดให้สิ้นซึ่งสงคราม Celestial Saber ”

…………………………….

สนามรบ B 62

ณ เขตชายแดนที่แปรเปลี่ยนเป็นสนามรบไปในที่สุดนี้ บัดนี้เต็มไปด้วยควันดินระเบิด และซากเครื่องจักร
ไปจนถึงร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหาร แห่งบริทเทเนอร์ โดยที่วังวนแห่งการรบพุ่งกันนั้น
มีศูนย์กลาง อยู่เหนือสนามรบ ซึ่งมีละอองแสงสีเขียว ลอยอยู่คละคลุ้งเป็นจุดๆ ถึงสี่จุด
ซึ่งจุดเหล่านั้น ก็คือ เหล่า Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust ที่แหวกว่ายไปท่ามกลาง หมอกควันแห่งสงครามนี้


“ อะไรกันมีทัพเสริมมาอีกแล้วเหรอ ”
ซาน บ่นอย่างไม่พอใจ เมื่อทอดสายตาไปเห็น ภาพกองทัพหุ่นรบที่กำลังเคลื่อนพล มาทางพวกเขา
ตอนนี้เธอสวมชุดรบดังเช่นครั้งก่อนที่ไปเข้าแทรกแซง ที่ดิสอาปจูร่า ที่รองเท้าของเธอมีปีกเล็กๆยื่นออกมา

แรงกระพือของมันทำให้เกิด ละอองอนุภาค สีเขียวใส ที่เรียกว่า ประจุ อิออน ซึ่งเป็นพลังงานที่เหล่าเทพหรือเทวดา
จะปลดปล่อยออกมาเพื่อแสดงฤทธานุภาพ ประจุอิออน ที่เกิดจากปีกนั้นห่อหุ้มตัวเธอ เอาไว้ทำให้เธอลอยตัวอยู่กลาง

อากาศ และยังเป็นเกราะป้องกันมลภาวะและ อันตราย จากกระสุนและอาวุธของ ศัตรูที่โจมตีเข้ามา ได้ระดับหนึ่งด้วย
เช่นกัน น้องชายและเพื่อนๆ Valkyrier ของเธอเองต่างก็มีเกราะ ประจุ อิออน ห่อหุ้มร่างไว้

(http://images.temppic.com/02-03-2009/images_vertis/1235978313_0.50611200.jpg)

“ หนอย จะแทรกแซง บริทเทเนอร์ เนี่ยมันยังเร็วเกินไปอยู่ดี แฮะ ”
ไรด์ สบถเขาสวมชุดรบเป็นเครื่องเกราะแบบ นินจา สีดำ มือซ้ายติดโล่ปลอกแขนสีดำตัดลายทองและฟ้า
ส่วนมือซ้ายถือดาวกระจายขนาดใหญ่ ควงปัดป้องลำแสง ที่ยิงออกมาจากเหล่า Gazor ที่ยังเหลืออยู่ด้านล่าง

(http://images.temppic.com/02-03-2009/images_vertis/1235978311_0.72584000.jpg)

ทว่าทันทีที่ทัพหนุนของ บริทเทเนอร์ มาถึง ลำแสงและกระสุน ทั้งหลายก็สาดกระหน่ำมาที่พวกเขา
จนต้องเร่ง อนุภาคออกมาสร้างเกราะป้องกัน ให้หนาขึ้น แต่ก็แทบจะทานเอาไว้ไม่อยู่

ครั้นเมื่อ Gazor Armor เอกเพอริเมนท์ซีโร่ เริ่มประกอบ ชิ้นส่วนของตัวเองเพื่อตั้งปืนลำกล้อง
สำหรับสะสมพลังงาน สิ้นสุดการรวบรวมพลังงาน ลำแสงทำลายล้างพลังสูง ก็ถูกยิงออกจากลำกล้องของ
 เอกเพอริเมนท์ซีโร่นับร้อย ในสนามรบ โดยเป้านั้นพุ่งมายังที่พวกเขา

“ Mirror Guard ”
สิ้นเสียงจากหอกจักรกลอันเป็นอาวุธของ เอมิล ก็เกิด กำแพงใสแบบเดียวกับตอนที่เข้าทำการ แทรกแซง
อาณาจักรซีราห์ ขึ้นมาล้อมกรอบป้องกันพวกเขา เอาไว้ทันทีที่ลำแสงกระทบกับกำแพง การโจมตีทั้งหมดทั้งมวลที่

ฝ่ายโน้นยิงส่งมาก็สะท้อนกลับไป ทำลายกันเองจนย่อยยับพินาศสิ้น แต่ถึงกระนั้น การโจมตีของ บริทเทเนอร์ก็ยังไม่ได้อ่อน กำลังลงจนพวกเขาต้องตกเป็นฝ่ายรับ อยู่ร่ำไป

(http://images.temppic.com/02-03-2009/images_vertis/1235986590_0.50995500.jpg)


“ ช่วยไม่ได้แล้วทุกคนถอยกันมาก่อน ”
เสียงของ เอลิซ่าที่ติดต่อเข้ามา จากยานดังขึ้นเพื่อสั่งให้พวกเขาทั้ง 4 ถอยกลับมาตั้งหลัก
ทว่าก่อนที่จะได้ทันถอยตามคำสั่ง ก็มี หุ่นรบ Gazor ตัวหนึ่งทะยานขึ้นมามันเป็น ผู้พิทักษ์เหล็กกล้าทมิฬ
ดารค์สตีลการ์เดี้ยน(Dark Steel Guardian) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายอัศวิน อาวุธของมันคือดาบสะพายขนาดยักษ์สองเล่ม

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n023/63.jpg)

“ คุรูรูกิ สึซาคุ(Kururugi Suzaku) Lancelot เริ่มทำการกำจัดเป้าหมาย  ”
เสียงดังขึ้นจากตัวหุ่นนั้น ก่อนที่มันจะชักดาบเอายักษ์ทั้งสองเล่มออกมากวัดแกว่ง
อย่างคล่องแคล่ว ไล่ต้อนเหล่า Valkyrier ทั้งสี่จนกระจัดกระจายไปคนละทาง


“ แยกกันก่อน แล้วค่อยรวมตัวกันอีกที ”
เอมิล ตะโกน ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะตัดสินแยกหลบหนีเข้าไปในกลุ่มควัน
และหนีหายไป พร้อมกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่เริ่มทำการแทรกแซงมา

“ ยืนยันเป้าหมายหลบหนีการทำลายไปได้ จะให้ตามไปหรือไม่ ”
เสียงรายงานของนักบินที่ บังคับ ดาร์ค สตีล การ์เดี้ยน ซึ่งถูกเรียกว่า Gazor Lancelot
ดังขึ้นใน Cocpit (ห้องบังคับในหุ่นหรือยาน) ก่อนที่จะมีการตอบกลับมาจากต้นสาย

“ ไม่ต้องตามไป รีบกลับมาก่อนเถอะ พลังงานของ Lancelot จะหมดแล้ว ”
เสียงดังขึ้นจากเครื่องส่งสัญญาณ ก่อนที่นักบินจะรับคำ และหักลำ Lancelot บินตรงกลับไปยังฐาน

…………………..
…………………………

ห่างออกไปจาก ทวีปเลาดิเชีย เหนือน่านฟ้า วัตถุบางอย่างกำบินแหวกว่ายผ่านหมู่เมฆไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นยานเหาะขนาดใหญ่ ที่มีปีกยานประกอบด้วยกระจกสีใส ราวกับปีกของแมลง

หัวยานเป็นทรงเรียวแหลม คล้ายหัวมังกรใต้ท้องยานมีกรงเล็บจักรกลยื่นออกมา
นอกจากนี้ยังมีลำกล้องของปืนลำแสงขนาดใหญ่ติดตั้งเอาไว้ด้วย มันคือมังกรจักรกลเทียม
ไซเบอร์ทิก้า ดราก้อน(Cyberlica dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/32.jpg)

ภายในห้องควบคุมของยาน ไซเบอร์ทิก้า ดราก้อน นี้
เป็นห้องกระจกซึ่งสะท้อนภาพฉายภายนอกของยาน เอาไว้นอกจากนี้ก็ยังมีแผงควบคุม
และระบบวงจรตั้งเรียงราย อยู่บริเวณ ส่วนหน้าของห้องควบคุม โดยที่แผงควบคุมมีชายหนุ่ม
คอยดูแลระบบต่างๆในยาน  ชายผู้นี้มีผมสีแดงสด แต่งกายด้วยเสื้อเอี้ยมสีน้ำตาล

“ จะเข้าไปล่ะนะ ”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลังบานประตูห้อง ก่อนที่บานประตู จแยกเปิดออก เพื่อให้เจ้าของเสียงเดินเข้ามา

อัศวินมังกรสาว ได้พา เรกกะ ที่กลับคืนร่างจากการเป็น ทาลูคัส แล้วเข้ามาในห้อง ก่อนที่ประตูจะปิดลงอีกครั้ง
พร้อมกับที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งคุมแผงวงจรอยู่นั้น หมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่หันกลับมาหาพวกเขา


“ ยินดีที่ได้พบนะ เรกกะ ผม มาธิอัส ไบรทิส (Mathias Blythe) ส่วนเธอคนนั้น R2 (อาร์ทู) ”
 มาธิอัส กล่าวแนะนำตัวเอง ก่อนจะชี้ไปยังตัวอัศวินมังกรสาว ซึ่งเธอกำลังทำการคืนร่างกลับเป็นมนุษย์
เธอ มีผมสั้นสีน้ำตาลแดง แววตากลมโตสีฟ้า ตัดกับใบหน้าอันผุดผ่อง ของสาวน้อย ซึ่งเธอมีอายุไล่เลี่ยกับ เขา
และ มาธิอัส

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/51.jpg)

“ ด…เดี๋ยวซี่..ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย งง ไปหมดแล้วน้าาา ”
เรกกะ ครวญด้วยความสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขา จนราวกับว่าเขาฝันไปทว่านี่คือความจริง


“ อืมมม…ถึงจะบอกให้อธิบายตอนนี้อ่ะนะ ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีอ่ะ งั้นเอางี้นายลองถามตัวนายเองดูสิ ”
มาธิอัส กล่าวย้อนกลับมาทำให้ เขา สับสนในเนื้อความที่ มาธิอัส กล่าวมา เขาเกาหัวขบคิดด้วยความมึนงง
ก่อนที่จะมีบางอย่างเกิดขึ้น


“ ไม่เห็นจะต้องรู้ให้มันยุ่งยากเลยนี่…... ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากจิตใต้สำนึกของเขา

“ น….นั่นใครกันน่ะ…อุบ ”
เรกกะ ถามขึ้นโดยที่ยังไม่ทันจะได้คำตอบ ร่างของเขาก็รู้สึกวาบหวิว ราวกับถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง
ก่อนจะรู้สึกว่า ร่างกายหนักขึ้นเล็กน้อย ราวกับมีอีกคนอยู่ในร่างของเขา


“ น..นี่มันอะไรกันเนี่ย ”
เรกกะ กล่าวทว่า เขาก็ต้องประหลาด ใจอีกครั้งเมื่อคำพูดที่เขากล่าวออกไปนั้น
ไม่ได้ดังออกจากปากของเขาไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับก้องอยู่ในหัว
ครั้นเมื่อจะทำอะไรก็ไม่สามารถควบคุมร่างของตัวเองได้
แต่ตัวเขายังคงรับรู้ได้ถึงสภาพภายนอกรอบตัวของเขา




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: greamon on March 02, 2009, 06:29:38 PM
“ เอาล่ะ…..เลิกพูดเรื่องน่าเบื่อแล้ว ไปเตรียมสำรับอาหารกับข้าว มาเลี้ยงเราได้แล้ว อย่าให้รอเลย ”
ร่างของ เรกกะ กล่าวออกไปโดยที่ตัวเขาไม่ได้ตั้งใจกล่าวออกไปเลยแม้แต่น้อย และน้ำเสียงนั้นก็ไม่ใช่ของเขาด้วย
แต่เป็นน้ำเสียงเดียวกับตอนที่ เขาได้ยินครั้งเมื่อเปลี่ยนร่างเป็น ทาลูคัส  แน่นอน บัดนี้ ดวงตาซ้ายรูม่านตา
ได้ทอแสงสีขาวขึ้นมาอีกครั้ง และราวกับเขาไม่เป็นตัวของตัวเองราวกับถูกอะไรบางอย่างสิงร่างอยู่

“ โอ้ไม่น่าเชื่อแหะที่แท้ เกิดการทับซ้อนกันของจิตใจและบุคลิคอีกหนึ่งอย่างงั้นเองเหรอเนี่ย อืม…น่าสนใจแหะ
ที่แล้วมาไม่เคยได้ยินเลยว่าจะเป็นแบบนี้ สงสัยเพราะตอนส่งถ่ายอำนาจคงจะทำได้ไม่สมบรูณ์ล่ะ มั้ง จิตของพวกอัศวินก็เลยยังติดอยู่ข้างใน เอ แต่แบบนี้ก็ดีนะ จะได้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะเลย ”
มาธิอัส กล่าววินิจฉัยอย่างไม่หยุดปากกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร่างของ เรกกะ

“ พอเลยเราไม่ได้ขอคำตอบซะหน่อย ร่ายมาซะยาวเชียว พอแล้วอาหารไม่ต้องแล้ว ตอนนี้เราอยากจะพักมากกว่า
ฝากที่เหลือด้วยละกันนะ เรกกะ … ”
สิ้นเสียงของตัวตนนั้น เรกกะ ก็กลับมาคุมร่างของเขาได้อีกครั้ง

“ น..นี่มันอะไรกันเนี่ย เมื่อกี้เหมือนถูกวิญญาณสิงอยู่เลย จะขยับร่างกายยังไงมันก็ไม่ไป ”
เรกกะ กล่าวพลางมองดูมือไม้ที่สั่นเทาด้วยความกังวล


“ เหรอ..เป็นงี้เองเหรอ มิน่าล่ะตอนสู้ ก็ถึงว่าทำไมมันแปลกๆ ไม่เห็นเหมือนกับเป็นตัวนายเลย ”
R2 กล่าวขณะที่สำรวจใบหน้าของเขา อย่างถี่ถ้วน ด้วยความอยากรู้จน เขาต้องหลบหน้าด้วยความเขินอาย


“ ค…คืออย่าจ้องกันแบบนี้สิ…มันเขินๆน่ะ ”
เรกกะ กล่าวเสียงอ่อยขณะที่ R2 ยิ้มหัวเราะร่าด้วยความขบขันกับท่าทีของเขา


“ เอ้อจริงสิ นี่ก็ใกล้เวลาให้อาหารพวกลูกมังกรแล้วล่ะ เรกกะ จะไปด้วยกันไหม ”
มาธิอัส ออกปากชวนเขา ถึงแม้จะยัง งงๆ อยู่แต่ เรกกะ ก็ตัดสินใจตามทั้งสองไปก่อน
มาธิอัส เดินนำพวกเขาออกจากห้องลง ไปตามบันได ลึกลงไปชั้นล่างของยาน จากนั้นก็ลัดเลาะไปตามระเบียง
จนมาถึงสะพาน กลางยื่นเข้าไปในบ่อ ที่สูงไม่มากนัก พวกเขาเดินลงบันไดสะพานลึกลงไปในบ่อ

เมื่อลงมาถึงพื้นบ่อ เรกกะ ก็ทำตาโตด้วยความตกตะลึง เมื่อเบื้องหน้านั้น มีเหล่าลูกมังกร(Baby Dragon)
หกตัวซึ่งแบ่งเป็นธาตุสังกัดละตัว โดยหนึ่งในนั้น มีพาลานัลคา ตัวเดียวกับที่ลงไปช่วยเขาสู้ตอนที่เปลี่ยนเป็น ทาลูคัส


“ นี่เป็นมังกร ที่ฉันเพาะเลี้ยงขึ้นมา เพื่อเป็นตัวช่วยในการต่อสู้ของนาย แล้วก็ทราบไว้อย่างก็ดีนะ… ”
มาธิอัส กล่าวไปก่อนจะชะงักอยู่ชั่วครู่ เพื่อปรับน้ำเสียงในการพูด


“ เอาล่ะนับแต่นี้ไป นายคือ อัศวิน มังกร ทาลิวิลย่า แห่งอาริเมเทีย นะ ”
มาธิอัส กล่าวคำพูดนั้นยิ่งทำให้ เรกกะ งงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
 มาพร้อมกับคำถามอีกมากมายที่ไม่ถามออกมาได้หมด แต่ครั้นเมื่อจะถาม ทั้งสองก็จะตอบปัดๆไป
ราวกับไม่อยากจะตอบคำถามของเขา ขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังเดินกลับขึ้นไปยังห้องควบคุม
มาธิอัส ก็ถามคำถมหนึ่งกับเขา


“ แล้วจากนี้ไป เรกกะ จะเอายังไงต่อคิดจะทำอะไรไว้บ้างรึยัง ”
มาธิอัส ถามขึ้นทว่า อยู่ก็ถามแบบนี้ขึ้นมา เรกกะ เองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร
จึงคิดจะย้อนถามกลับไป

“ เอ่อ…คือว่า ถ้าถามว่าจะทำอะไรต่อไปน่ะเหรอก็คือ…ตอนนี้ชั้นยังสับสนอยู่เลย ถ้ายังไงจะ
ช่วยบอกอะไรหน่อยได้ไหมว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
เรกกะ ถามย้อนกลับไป ด้วยความหวังว่าจะได้คำตอบกลับมาซักเล็กน้อยก็ยังดี

“ เฮ้อพูดไปมันก็ยากอ่ะนะ งั้นเอางี้ลองเป็นแรงกระตุ้นแบบนี้ดูหน่อยเป็นไง เผื่อจะนึกอะไรออกบ้าง อย่างเช่นว่า ตอนนี้ที่โรงเรียน เรกกะ คบอยู่กับเพื่อน 2 คนที่เป็นครึ่งสมิงใช่ไหม.. ”
มาธิอัส ไม่ตอบแต่กลับย้อนถามเขามาดื้อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมที่จะตอบอะไรเขาเลย
จึงต้องยอมจำยอมที่จะเก็บความรู้สึกอัดอั้นนี้ไว้ ก่อนจะข่มมันลงไปแล้วตอบคำถามของอีกฝ่าย
แม้จะสงสัยอยู่ดีว่าทำไม พวกเขาสิงคนถึงรู้เรื่องของเขาดีนักทั้งที่พึ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

“ อืม..ก็ ไรด์ กับ เฟนท์ น่ะว่าแต่แล้วมันมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ”
เรกกะ ย้อนถามกลับไปอีก

“ ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอกแค่ จะบอกว่า 2 คนนั้นน่ะ เป็น Valkyrier ของ Empyrean Adjust ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลยจริงๆเห็นไหมล่ะ ”
มาธิอัส กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ขณะที่นิ้วจิ้มไปที่แผงวงจร ภาพการแทรกแซง ของพวก เฟนท์ ที่บริทเทเนอร์
โดยดึงภาพใบหน้า ของเหล่า Valkyrier ทั้งสี่ให้เห็นชัดๆ ซึ่ง เรกกะ ที่เป็นเพื่อนเรียนกันมานานนม ก็จำได้อย่างชัดแจ้งทันที ที่เห็นใบหน้าของเหล่า Valkyrier

“ รู้อยู่แล้วล่ะว่านายคิดอะไรอยู่เพราะงั้น ถึงได้เตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว ”
R2 กล่าวพร้อมกับยกเอาชุดเครื่องแบบสีดำ ยื่นให้ โดยที่ เรกกะ นั้นยังคงเหม่อมอง
ความเป็นจริงที่ไม่อยากเชื่อที่ฉายอยู่ตรงหน้า  ยิ่งไปกว่านั้น ภาพการเพี่ยงพล้ำต่อการศึกของพวกเขา ยังเป็นแรงกระตุ้น
ให้ เรกกะ อยากจะพิสูจน์ให้เห็นกับตา เขาหันไป มาธิอัส ก่อนจะกล่าวคำขอร้องออกมา…………..

…………………….

ราชอาณาจักร บริทเทเนอร์ เมืองหลวง บาบิโลน

แม้จะกล่าวว่านี่คือเมืองหลวงของราชอาณาจักรที่เกรียงไกรที่สุดแล้วก็ตามทว่า มันกลับเป็นดินแดน ที่มีแต่การแบ่งชนชั้น และเหยียบย่ำกันไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบจักสิ้น ซึ่งแตกต่างจาก โลกอส โดยสิ้นเชิง
แน่นอน ชาวเมอริเซียที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นได้แค่แรงงาน ทาสที่ไร้ค่า ถูกใช้อย่างทารุณ และถูกทิ้งขว้างราวกับสิ่งของ
แต่นั่นก็ไม่ต่างไปจากเหล่าประชาชนที่ไม่ใช่ชาว บริทเทเนอร์ ซึ่งถูกยึดประเทศรัฐของตัวเองไป และกลายเป็นเบี้ยล่างรับใช้ ชาว บริทเทเนอร์


ดังนั้น ในตัวเมืองเช่นนี้ตามตรอกซอกซอย จึงจะพบคนจรจัด ไร้ที่อยู่ที่ไป เกลื่อนไปทั่ว
แต่ทว่ากลุ่มคนเหล่านี้แหล่ะที่จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการ ก่อ การปฏิวัติ….

“ แฮ่กๆๆ ”
เสียงหอบ ที่ดังขึ้นตามมากับเสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกทหารของ บริทเทเนอร์ ไล่ตามจับตัว เขาวิ่งหนีหักหลบไปตามซอกมุมต่างๆของซอย ไปเรื่อยๆจนเมื่อมาถึงทางตัน เสียงฝีเท้าของ
ทหารเริ่มใกล้เข้ามาทีละน้อยๆ เด็กหนุ่มได้แต่กัดฟันรอรับชะตากรรมเท่านั้น ทว่า….

“ ล้อมเข้าไปเลยมันหมดทางหนีแล้ว ”
เสียงของ บรรดาทหารดังขึ้น ขณะที่ กรูกันเข้ามาในตรอกตันแห่งนี้ ทว่าสิ่งที่ได้พบนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า
เด็กหนุ่มคนนั้นหายไปแล้ว ท่ามกลางความงุนงง ของเหล่าบรรดาทหาร ลึกลงไปใต้เท้าของพวกเขา

ซึ่งเป็นทางน้ำใต้ดินของเมืองที่แห้งและถูกทิ้งร้างมานานแล้ว เด็กหนุ่มสองคน กำลังเดินไปทางน้ำที่ทอดยาวไปไม่รู้จบ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 04 องค์ชายเสด็จแล้ว!
Post by: greamon on March 02, 2009, 06:29:49 PM
“ เมื่อครู่ขอบใจมากนะ ที่ช่วยเราไว้ ไม่อย่างนั้นเราคงถูกจับไปแล้ว นายเองก็เป็นชาวเมอริเซีย เหรอ ”
เด็กหนุ่มที่ถูกช่วยไว้ กล่าวกับเด็กหนุ่มครึ่งสมิงที่ช่วยตนหนีลงมาในทางน้ำใต้ดินนี้ ผ่านทางท่อน้ำทิ้ง
ที่ซอกมุมตึก
“ ก็นะ…แต่ดูๆไปแล้วนายเป็นชาว บริทเทเนอร์ นี่แล้วทำไมถึงถูกตามล่าล่ะ ”
ครึ่งสมิงหนุ่มถามกลับ

“ หึ..ไม่รู้เหรอเนี่ย นายคงไม่ใช่คนแถวนี้สินะ อย่างว่าล่ะ ไม่มีใครแถวนี้ที่ไม่รู้จักเรา ”
เด็กหนุ่ม ตอบก่อนจะสูดลมหายใจลึก

“ เราคือ ลูเทเซีย อดีต เจ้าชายลำดับที่ 3 แห่ง บริทเทเนอร์ ”
เด็กหนุ่มกล่าว ซึ่งคำพูดของเขาทำให้ครึ่งสมิงหนุ่ม ตกใจอยู่ไม่น้อย

“ นายเป็นถึงเจ้าชายเลยงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงถูกตามล่าล่ะ ”
ครึ่งสมิงหนุ่มถามด้วยความสงสัย

“ ยังบอกไม่หมดเลย เราเป็นแค่อดีตเท่านั้นล่ะตอนนี้ ฐานะของเราก็เป็นแค่กบฏ คนหนึ่ง ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่เดินไปเรื่อยๆ พวกเขาก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันไปเรื่อยๆจนกระทั่ง

“ อยากให้ Empyrean Adjust เข้าแทรกแซงงั้นเหรอ ”
ครึ่งสมิงหนุ่ม อุทานขึ้นเมื่อได้ยินความคิดของ ลูเทเซีย

“ ใช่แล้วล่ะ จากการแทรกแซงเมื่อวันก่อนน่ะ ทำให้เรารู้ได้เลยว่า ขุมอำนาจของพวกเขาแกร่งไม่ใช่ย่อย
แต่ว่าการบุกแบบซึ่งๆหน้านั่นน่ะ ใช้กับ บริทเทเนอร์ไม่ได้หรอก เพราะ บริทเทเนอร์เต็มไป

ด้วยผู้นำที่เชี่ยวชาญยุทศาสตร์การรบ มากมายอีกทั้งเพราะราชวงศ์ตีกันเองเพื่อแย่งชิง บัลลังค์ แต่ก็ปฏิบัติอยู่
ในกติกาของชาติ บ้านเมือง ถ้าคิดจะใช้กำลังอย่างเดียวพิชิต บริทเทเนอร์ไม่ได้หรอกแต่กลับกันถ้าตอนนี้สามารถ

ติดต่อกับพวกเขาได้ล่ะก็ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้น กลุ่มกบฏก็เลยวางแผนจะ เข้าตีจุดยุทธศาสตร์
ของบริทเทเนอร์ จากนั้นก็ให้ ทาง Empyrean Adjust เข้ามาหนุนตามด้วยอีกที แต่มันก็มีความเสี่ยงไม่น้อยล่ะ
เพราะถ้าพวกเขาไม่มา หรือเห็นว่ามันเป็นควาขัดแย้งก็อาจโจมตีใส่ทั้งสองฝ่ายด้วยกันเลยก็ได้ ”

ลูเทเซีย กล่าวอธิบายถึงแผนการของกลุ่มก่อการกบฏที่ตัวเขาเป็นผู้นำ

“ งั้นเหรอ…นี่ถ้ายังไงขอชั้นร่วมกับกลุ่มกบฏด้วยได้ไหม ”
ครึ่งสมิงหนุ่มถาม

“ หึ..ได้อยู่แล้ว ถือว่าตอบแทนที่ช่วยเราเอาไว้ นายเข้าร่วมได้เลย ”
ลูเทเซีย กล่าวจบก็ออกเดินนำทางเขาไปยังที่กบดาน โดยที่ระหว่างการเดินทางนั้น ครึ่งสมิงหนุ่ม
ก็หาจังหวะที่ ลูเทเซีย ละสายตาคว้าเอาอุปกรณ์ สื่อสารขึ้นมา

“ ถึง Albus จาก Crisisor-001 นี่ เฟนท์ รายงาน จากนี้ไปจะแจ้งข้อมูลกำหนดการณ์ของกลุ่มปฏิวัติให้ทราบ… ”
เด็กหนุ่มกล่าวใส่เครื่องมือสื่อสาร ที่บนหน้าจอของเครื่องมี สัญลักษณ์ ตราของ Empyrean Adjust ฉายอยู่บนจอ

…………..
…………………

“ ตอนนี้ ทาง Celestial Saber กำลังแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มของพวกผู้ต่อต้าน บริทเทเนอร์ ค่ะ
ถ้ายังไงจะให้ ทีม Mugnus Mephisto  ตามไปช่วยเหลือเลยไหมคะ ”
เด็กสาวรายงาน แก่เด็กชายที่ ยืนจ้องจอภาพนับร้อยในห้องที่มืดมิด เขาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์
ขึ้นมาเล็กน้อย

“ ส่งไปตามกำหนดการณ์เดิมนั่นล่ะ เพราะชั้นเองก็ไม่คิดอยู่แล้วว่ากำลังของ Valkyrier แค่สี่คนจะทำภารกิจนี้สำเร็จหรอกนะ ถ้าคิดจะหักดาบก็ต้องหักให้สะบั้น  ”
เด็กชายตอบกลับ

“ ค่ะงั้นจะใส่คำสั่งลงไปที่ ฮูกีนมูนีน เพื่อแจงให้พวกเขาทราบนะคะ ”
เด็กหญิงกล่าวรวบความก่อนจะหันกลับออกไปทว่าเด็กชาย ก็เรียกเธอเอาไว้ก่อน

“ นี่ ฮายาเตะ เธฮคิดไหมว่ามนุษย์เนี่ยช่างบกพร่องเสียจริงๆ ”
เด็กชายกล่าว เสียงระรื่น

“ ก็เพราะเหตุนั้น ผู้ก่อตั้ง องค์กรถึงได้สร้างพวกเราขึ้นมาไม่ใช่หรือคะ เพื่อให้ช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นมีช่วงเวลาที่สั้นยิ่งนัก จึงไม่อาจดูแลรักษาความสงบให้เป็นนิรันด์ได้ ”
ฮายาเตะ กล่าวเสียงเรียบอย่างไร้ความรู้สึกราวกับเป็นหุ่นเชิดดังเช่นทุกครั้งไป

“ ผิดแล้ว ฮายาเตะ ไม่ใช่มนุษย์หรอกที่จะชักนำเทอร่า แต่เป็นพวกเราต่างหากที่จะชักจูงมนุษยชาติและชักนำเทอร่านี้
 อานิม่า (Anima) อย่างพวกเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนั้นต่างหาก เพื่อให้เป็นผู้ปกครองเหนือทุกสิ่ง ”
เด็กชายกล่าว จบก็ปิดตาไปซักครู่ก่อนที่จะลืมตาขึ้นแวว ตาของเขาส่องประกายเจิดจรัสราวกับไม่ใช่มนุษย์
ก่อนที่แสงจากดวงตานั้นจะทำให้จอภาพทั้งห้อง เปลี่ยนไปฉายภาพเดียวกันทั้งหมด ตัวอักขระแปลกประหลาด
ได้ปรากฏขึ้นบนจอทุกจอ

“ เพื่อการเตรียมการที่จะรับมือกับ โลกิ (Loki) เทพแห่งความตาย โอดิน(Odin) ถึงได้รวบรวมเหล่านักรบจาก
วีรชนต่างๆของมนุษย์ มาเป็น ทหารศึก ในมหาสงคราม…. ”
ฮายาเตะ กล่าวเสียงเรียบเฉย โดยไม่หันกลับไปมอง

“ ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะ ทันทีที่ตราที่ 7 ถูกแกะออก แรคนารอค (Ragnarok)ก็จะเริ่มขึ้นทันที ถึงตอนนั้นจะไม่มี เฟนเรีย (Fenrir) ที่ไหนมาสังหารเราได้ เพราะ อานิม่า อย่างพวกเราคือผู้ที่จะพิชิตทั้งหมด ไม่ว่าจะมนุษย์ เทพ หรือ ปีศาจ หากจะสร้างความขัดแย้งพวกมันก็จะต้องถูกลบไป ”
เด็กชายกล่าวอย่างเยือกเย็นที่สุด

“ โครโน่(Chrono) คุณคิดว่า อานิม่า อย่างพวกเราคืออะไรกันแน่คะ ”
ฮายาเตะ ย้อนถามขึ้น

“ ไม่เห็นจะต้องถามเลยนี่ ฮายาเตะ เธอเองก็รู้ พวกเรามีชีวิตที่ยืนยาวแข็งแกร่ง รอบรู้ และสูงส่ง พวกเราคือชนเผ่าที่สูงยิ่งกว่า มนุษย์และเทพ ยังไงล่ะนั่นล่ะคือเหตุผลที่ เหล่าสภามังกรนภากาศ สร้างพวกเราและก่อตั้ง Empyrean Adjust ขึ้นเพื่อให้พวกเรา ปกครองทุกสิ่งแทน พระเจ้า ”
โครโน่  กล่าวขณะที่ ฮายาเตะ เดินออกจากห้องไปทิ้งให้โครโน่อยู่กับความนึกคิดที่ทะเยอทะยานนั้น
โดยที่ในใจแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็รู้ว่าสิ่งที่ โครโน่ กล่าวมานั้นคือความจริง พวกเธอไม่ใช่ทั้งมนุษย์ เทพ ปีศาจ หรือ อะไรทั้งนั้น  หากเป็นยิ่งกว่า พวกเธอคือ อานิม่า ชนเผ่าที่ถูกกำหนดให้ขึ้นปกครอง ทุกสรรพสิ่ง

……………………

โปรดติดตามตอนต่อไป


Next Saga

“ เริ่มการแทรกแซงได้ ”
คำประกาศ สู่สนามรบ อันยิ่งใหญ่ ขณะที่โฉมหน้าประวัติศาสตร์กำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ Dragoon จงเรียกขานเราเช่นนั้น ”
บุรุษปริศนาผู้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง ประวัติศาสตร์ที่เดินไปตามทางของ อานิม่า ซึ่งกำลังจะแปรเปลี่ยน

“ อาวุธ มหาประลัย เมเมนโต้ โมรี่ (Memento Mori) พร้อมใช้งาน ”

“ จงหายไปด้วยสายฟ้าแห่งพระเจ้าเถอะ ”

สุดยอดแห่งอาวุธสงคราม

“ สึซาคุ ถอยไปซะ ถ้าไม่เปลี่ยนมันตอนนี้ก็จะไม่มีอะไรให้เปลี่ยนได้อีก ”

เสียงครวญที่ส่งไม่ถึงกัน

“ Crisiser-005 Crimson&Keen of Feodora เข้าทำการแทรกแซง ”
อำนาจทำลายล้างสูงสุด

ความขัดแย้งกำลังจะถึงจุดแตกหัก Saga 06 แทรกแซง Britanir 2

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง

โอวถ้าตอนนี้อ่านแล้วจะงง บ้างก็ขอไม่เถียงล่ะครับเพราะความนัย บวกปริศนาโผล่มาเพียบ
ชนิดว่า ยัดกันเข้าไปในหัวคงไม่หมดเลยทีเดียว แถมบทนี้ออกจะมีแต่ภาพเยอะกว่าเนื้อหาด้วยซ้ำ
เล่นเอาเหนื่อยเลยกว่าจะตั้งกระทู้เสร็จ ก็หวังว่าจะสนุกเร้าใจน่าติดตามกันต่อไปนะครับ

สำหรับการเรียก พวก ซีลที่เป็นแมชชีน ว่า Gazor นี่ก็คงต้องขออย่าให้คิดมากเพราะมันจะเรียกว่าหุ่นรบเลยก็ยังไงๆ
อยู่ แล้วก็บทพูดของสองตัวละครชายหญิง ที่โผล่มาตอนท้ายของทุกบทตั้งแต่บทที่ 3 ขึ้นไปก็ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปเข้าใจมันหรอกครับ  พวกมันไม่ใช่มนุษย์ จะสื่ออะไรมา มนุษย์อย่างเราก็ไม่เข้าใจหรอกเน้อ(อ้าวแก้ตัวข้างๆคูๆนิหว่า)

สำหรับบทหน้านี้คงเป็นอะไรที่มันน่าดูล่ะครับ เพราะแอคชั่นจะเยอะเอามากๆ ชนิดว่ารบกันมืดฟ้ามัวดิน
หาหัวหาปลายไม่ถูกเลยล่ะ อาจจะเป็นการเริ่มเรื่องที่แรงกว่า ภาคที่แล้วมา เพราะเนื้อหาค่อนข้างจะเข้มตั้งกะเริ่มเลย

ไม่ใช่ สบายๆแล้วค่อยไปเศร้าหรือ ไคล์แมกซ์เอาตอนหลังๆ เพราะนโยบายใหม่ของเราคือ ไคล์แมกซ์ กันตั้งแต่ต้นจนจบ ครับ เหอๆก็ขอให้เข้าใจกันหน่อยแต่ มิต้องห่วง เดี๋ยวมันต้องมีบทพักสบายๆบ้างล่ะ เพราะขืนแอคชั่น ตลอด
คงจืดน่าดู


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: boy on March 02, 2009, 07:48:01 PM
เหมือนเอาเนียนจากการ์ตูนดังหลายเรื่องมาเลยล่ะ  ::010::

code geass+นโปเลียน  ::010::  แล้วยังมีรูป ryad ที่คนละแบบอีก -*-

ใส่ชื่อรูปผิดรึเปล่าครับ -*-

- ryad,the valkyria of brigitte ที่เป็นธาตุลมมาซ้ำกับ
  ryad,the valkyria of joslyn  ที่เป็นธาตุน้ำ   My god  ::006::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: greamon on March 02, 2009, 08:09:19 PM
เออจริงด้วย สงสัยพิมพ์ชื่อเอมิล ผิด เดี๋ยวไปแก้ให้ ขอบคุณมากที่เตือน เกือบได้หน้าแตกแล้วไหมล่ะ

ว่าแต่ดู Code Geeas ด้วยเรอะงี้ก็หมดมุขดิ ว่าจะให้ บักลู่กะบักสุ โชว์ฟอร์มร่วมกับ ดับเบิลโอ เอ้ยไม่ช่ายย
ว่าแต่ชักจะมั่วเกินไปแว้วนะนิเรื่องนี้


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: boy on March 02, 2009, 09:29:30 PM
เออจริงด้วย สงสัยพิมพ์ชื่อเอมิล ผิด เดี๋ยวไปแก้ให้ ขอบคุณมากที่เตือน เกือบได้หน้าแตกแล้วไหมล่ะ

ว่าแต่ดู Code Geeas ด้วยเรอะงี้ก็หมดมุขดิ ว่าจะให้ บักลู่กะบักสุ โชว์ฟอร์มร่วมกับ ดับเบิลโอ เอ้ยไม่ช่ายย
ว่าแต่ชักจะมั่วเกินไปแว้วนะนิเรื่องนี้

คนเชี่ยวชาญการ์ตูนซะอย่าง  ::003::   แล้วที่ร.ร.เป็น CG club ด้วย  ::003::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: greamon on March 02, 2009, 09:44:22 PM
Quote
คนเชี่ยวชาญการ์ตูนซะอย่าง     แล้วที่ร.ร.เป็น CG club ด้วย
ข้อความโดย: greamon    

โอ้ งั้นลองคำถามแฟนพันธุ์แท้ ชื่อจริง C.C. ที่เป็นคนให้ Geeas กับ บักลู่ คืออะไรเอ่ย


(เหอๆๆคำถามโลกแตกนะนี้ เพราะน้ำยาล้างจานมันยังไม่ตอบเลย)


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: boy on March 02, 2009, 09:54:58 PM
Quote
คนเชี่ยวชาญการ์ตูนซะอย่าง     แล้วที่ร.ร.เป็น CG club ด้วย
ข้อความโดย: greamon    

โอ้ งั้นลองคำถามแฟนพันธุ์แท้ ชื่อจริง C.C. ที่เป็นคนให้ Geeas กับ บักลู่ คืออะไรเอ่ย


(เหอๆๆคำถามโลกแตกนะนี้ เพราะน้ำยาล้างจานมันยังไม่ตอบเลย)

บอกว่าเชี่ยวชาญการ์ตูน ไม่ได้บอกว่าเชี่ยวชาญเฉพาะด้านซะหน่อย  ::008::  เกิดนอกเรื่องมากกว่านี้โดนปิดบอร์ดแน่  ::008::

sunbas@hotmail.com <---- มีอะไรปรึกษาเค้าได้
 


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: greamon on March 02, 2009, 10:12:02 PM
Quote
คนเชี่ยวชาญการ์ตูนซะอย่าง     แล้วที่ร.ร.เป็น CG club ด้วย
ข้อความโดย: greamon   

โอ้ งั้นลองคำถามแฟนพันธุ์แท้ ชื่อจริง C.C. ที่เป็นคนให้ Geeas กับ บักลู่ คืออะไรเอ่ย


(เหอๆๆคำถามโลกแตกนะนี้ เพราะน้ำยาล้างจานมันยังไม่ตอบเลย)

บอกว่าเชี่ยวชาญการ์ตูน ไม่ได้บอกว่าเชี่ยวชาญเฉพาะด้านซะหน่อย    เกิดนอกเรื่องมากกว่านี้โดนปิดบอร์ดแน่

โฮ่ๆๆ อันที่จริงมันก็มะมีใครตอบได้อยู่แล้วล่ะครับ เพราะ น้ำยาล้างจานมันลืมบอกชื่อหรือแกล้งปิดอ่ะเพราะดูดเสียงบักลู่ตอน เรียกชื่อจริง C.C. ว่าแต่เดี๋ยวแค่นี้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวกลายพันธุ์เป็นกระทู้ Code geeas
ว่าแต่มิต้องห่วงดอก บริทเทเนอร์อยู่ได้อีกแค่ตอนหน้า เท่านั้นเพราะแทรกแซงครั้งสุดท้าย
แล้วเปลี่ยนเป้าหมายละ

ส่วน ที่เอาชื่อ นโปเลียนมา สาเหตุเพราะคิดชื่อมะออกครับ แล้วก็ สึซาคุคุงด้วย พอดีตอนเขียน ดู CG. อยู่พอดีได้ไอเดียมาจากมันเลยปนโลด เหอๆแต่มะต้องห่วงเรายังคงสไตล์มาร์คไรเดอร์ไว้อยู่ดี เหอๆๆไม่ใช่ละ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: ginn on March 02, 2009, 11:48:59 PM
thaliquas , the yaranaika dragon  ประมาน2วันจะเอามาลง

555+


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: cocka-c on March 03, 2009, 02:55:02 AM
พอเลยพอ ทั้งเกรม่อนคุง ืั้งเทนโทม่อนเลย นี่แค่วันเดียวกะจะล่อเามันซะ 30 เรปเลยรึไง
ถึงปั้มกันถี่จนมาหน้าสองเนี่ย เดี๋ยวคนอื่นเขามาเห็นก็ คิดว่านิยายเรายาวเป็นพรืดจนไม่น่าอ่านกันพอดี
(เออแล้วมันมีตั้งกว่า 105 ตอนนี่เนอะ)

แล้วก็นะเกรม่อนคุง ไปพูดป่าวๆว่าน้ำยาล้างจาน
 ใครเค้าจะรู้ว่าหมายถึงซํนไรส์ บริษัทที่เขาทำอนิเม พวกกันดั้มกะ CG.
ล่ะ เดี๋ยวเขาก็คิดว่าแกเกรียยนไปด่าชาวบ้านไม่มีน้ำยาจะตอบร้อก

แล้วก็ ไอ้ ยาราไนก๊ง ไนก๊ะ เนี่ยไม่ต้องเลยเว้ย ฉานเกลียดสาย นั้นที่สุดดดด
ไปไกลๆตีนเลย เรื่องนี้มัน ต้องโชตะ Yaoi เฟ้ย
อ่อลืม Kemo ด้วย(เดี๋ยวจะหาว่าไม่ใช่ตำนานทาลิแท้ เพราะไม่มี เคโมะ พวกครึ่งสมิง)




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: greamon on March 08, 2009, 06:21:18 PM
Saga 06 แทรกแซง Britanir 2

หลังจากมหาสงครามแห่งเทอร่า สงครามได้ทิ้งความเสียหายไว้แก่ผืนแผ่นดิน และชีวิต มากมายนับไม่ถ้วนที่ต้องสังเวยให้กับมัน แม้เวลาได้ล่วงเลยไป กว่าสองชั่วอายุคน แต่มนุษย์กลับไม่ได้เรียนรู้ จากครั้งนั้นเลย

จนในที่สุด Empyrean Adjust องค์กรติดอาวุธเอกชน ซึ่งมีเป้าหมายในการขจัดสงครามด้วยกำลังอาวุธ ได้เริ่มก่อการ
ไม่นาน ทั่วทั้งเทอร่าก็ได้ประจักษ์ถึง การมีตัวตนของ Empyrean Adjust ทว่าไม่นาน อัศวินมังกรทาลิวิลย่า ก็ได้ปรากฏ

ตัวขึ้นท่ามกลางยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนี้ ราวกับเป็นเจตจำนงของสวรรค์ ที่ต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับมนุษย์
ทว่า ตอนนี้ เทอร่า ก็ยังไม่อาจหาข้อสรุปที่จะอยู่ร่วมกันได้ ละครชีวิตบทนี้ คงจะต้องเดินไปตามเส้นที่ อานิม่า ชนเผ่าซึ่งถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นผู้ปกครองทุกสิ่ง ขีดเอาไว้….

………………….

ยาน Albus ทีม Celestial Saber

“ แต่แบบนี้มันดีแล้วเหรอ ที่เราจะหนุนพวก กบฏ น่ะ ”
อีลูมีเซ่ กล่าวถามย้ำความแน่ใจจาก เอลิซ่า

“ ก็จะให้ทำไงได้ล่ะ ลำพังกำลังที่เรามีอยู่ก็ไม่พอจะไปรบกับทั้งกองทัพของ บริทเทเนอร์ ไหวหรอก ”
เอลิซ่า กล่าวน้ำเสียงแผ่วด้วยความไม่พอใจ ที่จะต้องคอยหนุนหลังพวกกลุ่มกบฏ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น กำลังของพวก เธอน้อยเกินกว่าจะบุกเข้ายึด ราชอาณาจักรอันเกรียงไกรเช่นนี้ได้ด้วยพลังของ Valkyrier เพียงสี่คนเท่านั้น

“ ที่จริง ก็อยากจะขอกำลังเสริมล่ะนะ แต่ว่า Celestial Saber ของเราน่ะเป็นทีมที่มี Valkyrier สำหรับภารกิจ เยอะที่สุดแล้ว  ในบรรดาทีมอื่นๆ ไอ้เรื่องที่จะไปขอกำลังเสริมน่ะ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ”
เอียน กล่าวเพื่อจะยุติ ประเด็นถกเถียงนี้ลง เพราะพวกเขาไม่ทางอื่นแล้วจริงๆ

“ คือเรื่องนั้น…เมื่อสักครู่มีการติดต่อจาก ฮูกีนมูนีน มาน่ะค่ะ ทางสำนักงาน จะให้ ทีม Magnus Mephisto มาร่วมกับเราในการแทรกแซงครั้งนี้ด้วยน่ะค่ะ ”
ลูลู่ รายงาน โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่มอนิเตอร์

“ จริงเหรอ ถ้างั้นก็สบายแล้วสิ… ”
“ ไม่หรอกค่ะ ”
อีลูมีเซ่ กล่าวยังไม่ทันจบ ลูลู่ ก็แทรกตัดขึ้นมาก่อน

“ เพราะเมื่อครู่ทาง ทีมนั้นติดต่อเข้ามาว่า คงจะมาช่วยได้ ช้าน่ะค่ะ เพราะตอนนี้พวกเขายังอยู่กันที่
 ทวีปมิสรายิมอยู่เลยค่ะ ”
ลูลู่ รายงานอีกครั้ง เหล่า บรรดา ลูกทีมจึงมีสีหน้าผิดหวังไปตามๆกัน

[มิสรายิม อยู่ทางตะวันออกของ ดิปอาจูร่า ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อยู่ฝั่งตะวันออกสุดหากให้ เมอริเซีย เป็นแกนกลางเทอร่า]

“ จากมิสรายิม มานี่มันข้าม เทอร่า เลยนะจะมาได้ไงล่ะเนี่ยต่อให้เร่งสุดๆก็ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ”
อีลูมีเซ่ บ่นอย่างผิดหวัง


“ แล้วทางกลุ่มกบฏจะเริ่มการปฏิวัติเมื่อไหร่ ”
เอลิซ่า กล่าวถาม เพื่อจะทราบจำนวนวันที่เหลือ

“ จากข้อมูลที่ เฟนท์ ให้มาอีกราวๆหก วันค่ะ  ”
ลูลู่ รายงานกลับทันที เอลิซ่า เมื่อได้รับข้อมูลก็เริ่มประมวลผลเพื่อจะหาทางออก

“ ฉิวเฉียดเลยนะนั่น ”
เอียน กล่าวหลังจากได้รับข้อมูลเรื่องวันลงมือ ในขณะที่เอลิซ่า ยังคงนั่งคิดอยู่

“ แต่ดูๆแล้วยังไงเราก็คงต้อง ทำตามแผนที่วางไว้ไปก่อน ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน
 ก็คงต้องพึ่งพลังของ ทีมสองแล้วล่ะ ”
เอลิซ่า กล่าว ซึ่งนั่นนับเป็นการตัดสินใจลง มติ ของทั้งยานอย่างเป็นเอกฉันท์

……………………
……………………….

5 วันต่อมา

ณ  St. Magnus Academy  ทวีป อาริเมเทีย โลกอส

 ในเวลานี้เป็นช่วงพักกลางวันของ โรงเรียน เสียงดังเซ่งแซ่ ครึกครื้นไปทั่ว โรงอาหารของ โรงเรียน
ทั้งบรรดา อาจารย์ และนักเรียน ต่างกำลังใช้เวลาในช่วงพักตามปกติ

“ วันนี้ก็ไม่มา อีกแล้วเหรอ ”
“ แย่จังเลยนา …อุตส่าห์รอโอกาสมาเพื่อ วันนั้นแท้ๆ แต่ก็ดันไม่มาซะนี่ ”
นักเรียนหญิง สองคน กำลังจับกลุ่มคุยกับเพื่อนนักเรียนหญิงอีกคน ซึ่งเธอคนนั้น เอาแต่ก้มหน้ามอง กล่องสี่เหลี่ยม
ผืนผ้า ที่ถูกห่อไว้ด้วยกระดาษหลากสี

“ น่าเสียดายเน้อออ….ไอ(Ai) อุตส่าห์ทำมาให้ เฟนท์ ทั้งที ก็ดันไม่อยู่ซะนี่ แถมท่าน เอมิล ก็ไม่อยู่อีกด้วย ”
เพื่อนนักเรียนที่บ่นในตอนแรก กล่าวด้วยความเสียดาย

“ นั่นสิ แต่ว่านะขนาดผ่านมาตั้ง สองวันแล้ว ไอ ยังจะเก็บไว้ให้อีกเหรอ ของฉันนะว่าจะเอาไปให้ท่าน เอมิล ซะหน่อยแต่พอรู้ว่าไม่มา ก็เลยกินไปแล้วล่ะ พวกนักเรียนคนอื่นๆที่ชอบ ท่าน เอมิล ก็เสียดายกันน่าดูเลยล่ะ ”
เพื่อนนักเรียนอีกคน ที่กล่าวบ่นด้วยในช่วงแรก กล่าว เธอเป็น นักเรียนหญิงร่างท้วม ส่วนอีกคนที่บ่นก่อนนั้น เป็น นักเรียนหญิงร่างผอมบาง ใบหน้าเรียวแหลม ส่วนเพื่อนนักเรียนคนสุดท้าย ที่นั่งฟังพวกเธอสองคนบ่นนั้น

เธอเป็น นักเรียนหญิง ชาวเมอริเซีย ชื่อ ไอ เธอมีเชื้อชาติของ ฟีเลเซีย จึงมีลักษณะเด่นดังเช่นหญิงชาว ฟีเลเซีย ทั่วไป
นั่นคือผิวสีขาวนวล ผมสีทองยาวสลวย  และกริยาท่าทางสมเป็นกุลสตรี ตรงที่ค่อนข้างจะเก็บอาการ
ไม่แสดงออกให้ใครเห็นง่ายๆ

“ นี่จะว่าไปแล้ว นอกจาก เฟนท์ กับ ท่าน เอมิล แล้ว ยังมี อีตา เรกกะ กับ อีตา ไรด์ นั่นก็ไม่มาเหมือนกันนะ หยุดเรียนไปด้วยกันดื้อๆเลย ”
นักเรียนร่างท้วมกล่าว ขณะที่แกะห่อ ขนมไปพลาง

“ ที่จริง รุ่นพี่ ซาน เองก็ไม่มาเหมือนกันนา ฉันลองไปถามอาจารย์ ที่ห้องปกครองมาแล้วล่ะ เห็นว่าหยุดไปพร้อมกับ
สี่คนนั่นเลย แต่ก็มีใบลาส่งมาอยู่แล้วอาจารย์ก็เลยไม่ได้สนใจน่ะ  ”
นักเรียนหญิงร่างผอมบางกล่าว สำทับ

“ พวกเค้าคงหยุดไปเที่ยวกัน….ล่ะมั้ง ”
ไอ กล่าวเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจ แต่คำตอบของเธอนั้นทำให้ สองสาวเพื่อนเกลอของเธอ
ถึงกับนิ่งตะลึงในความนึกคิดของเธอ

“ นี่ ไอ แบบ นั้นจริงๆน่ะ  ”
“ แต่ว่าก็แบบนี้ล่ะนะถึงสมกับเป็น ไอ น่ะ ”
 เพื่อนสาวทั้งสอง กล่าวด้วยสีหน้าหน่ายๆกับความเปิ่นของ ไอ ทำเอาเธอหน้าแดงด้วยความเขิน
ก่อนจะละสายตากลับไปยัง กล่องของที่วางอยู่หน้าเธอ


“ จะว่าไปแล้ว ช็อคโกแลต นั่น ไอ ตั้งใจทำมากเลยนี่ ”
“ ถ้า เฟนท์ กลับมาเร็วๆก่อนมันจะเสียก็ดีสิ เน้อ ”
สองสาวกล่าว ซึ่งไอก็ยิ้มน้อยๆตอบ

“ เฟนท์ ตอนนี้เธอ ไปอยู่ไหนกันนะ ”
ไอ คิดด้วยความรู้สึกเป็นกังวล ราวกับมี ลางที่จะสื่อว่าเธอจะไม่ได้พบ คนที่เฝ้ารอ

………………..
…………………..( ถ้าตรงนี้เขียนให้ เฟนท์ ตาย พี่ไม่ยอมจริงๆนะ)
 (โธ่พี่ครับ ก็แค่บรรยายความรู้สึกยังไม่ใช่ลางจริงๆซักหน่อย)
………………………….


สุดทางในซอยที่มืดสลัว ทีเพียงแสงแดดที่ผ่านผนังผุๆของตึกด้านหลัง ลอดลงมาเท่านั้น

“ ที่นี่เหรอ ”
ซาน กล่าวขึ้นในที่ประชุม ขณะนี้ พวกเขาเหล่า Valkyrier ทั้ง 4 ของ Celestial Saber กำลังประชุมลับกันโดยทุกคนสวมเสื้อคลุมเพื่อปิดบังตัวตน

“ ตอนนี้ผมถอนตัว ออกมาแล้วล่ะไม่มีใครตามมาแน่นอน ”
เฟนท์ กล่าวเสียงแหบจากการที่เขาต้องอยู่อย่างยากลำบากมาเกือบสัปดาห์ภายในฐานของกลุ่มกบฏ
หลังจากที่พวกเขาล้มเหลวในการแทรกแซงครั้งก่อน จึงต้องแยกกันหลบหนีกระจัดกระจายไป
แต่ตอนนี้พวกเขากลับมารวมกันแล้ว เพื่อแผนการในวันรุ่งขึ้น

“ แล้วมีข้อมูลของ กลุ่มกบฏบ้างรึเปล่า ”
เอมิล รีบซัก เฟนท์ ทันที

“ ก..ก็มีมาบ้างล่ะ นอกจากวันปฏิวัติแล้วก็ยังมีข้อมูลของพวก ผู้นำกลุ่มและอาวุธที่จะใช้กับจำนวนคนด้วยน่ะ ”
เฟนท์ กล่าวตะกุกตะกัก ขณะที่หยิบเอาเศษกระดาษซึ่งบันทึกข้อมูลที่เขารวบรวมมาได้
ยื่นให้ทั้งสาม ดู

“ หืมม..นี่มันในกลุ่มก่อการกบฏ มีพวกเชื้อพระวงศ์ ร่วมด้วยงั้นเหรอ ”
ไรด์ กล่าวด้วยความแปลกใจ

“ ก็แสดงว่า พวกราชวงศ์เองก็ไม่ได้เห็นดีกันหมดสินะ ”
ซาน กล่าวสำทับบ้าง

“ อืม..ถ้าดูจากอาวุธที่มีอยู่ก็มีความเป็นไปได้ ว่าทางราชวงศ์เองก็สนับสนุนกลุ่มกบฏอยู่ด้วยเหมือนกัน ”
เอมิล กล่าวขณะที่พวกเขาทั้งสามคน ยกเว้น เฟนท์ ไล่กวาดสายตา อ่านรายชื่อผู้นำกลุ่มลงมาจนถึง
ชื่อของคนๆหนึ่งเข้า


“ นี่เจ้าชายลำดับที่ 3 ลูเทเซีย ก็เข้าร่วมด้วยงั้นเหรอ ”
ทั้งสามคน กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ กับผู้เข้าร่วมกบฏในครั้งนี้

“ อืม เจ้าชายเป็นคนพาผมเข้ากลุ่มไปเอง ทำให้ได้ข้อมูลจากเจ้าชาย เยอะมากเลยแต่.. ”
เฟนท์ กล่าวมาถึงตรงนี้ ก็หยุดคิดไปชั่วขณะ

“แต่ทำไมเค้าถึงให้ข้อมูลโดยไม่สงสัยกับคนแปลกหน้าอย่างนายเลย งั้นสินะ  ”
เอมิล กล่าวตัดความก่อนจะคว้าเอาเศษกระดาษมาจากมือของ ไรด์

“ จริงด้วยสิ ทั้งที่เค้าควรจะสงสัยนายว่าเป็นสายหรือเปล่าด้วยซ้ำ ”
ไรด์ กล่าวขณะที่ เอมิล กรอกข้อมูลจากกระดาษลงไปในอุปกรณ์สื่อสารและส่งข้อมูลนั้นไปยังยาน Albus


“ ว่าแต่ เฟนท์ น้องถอนตัวออกมาวิธีไหนเหรอ พวกนั้นไม่น่าปล่อยมาง่ายๆนี่ ”
ซาน กล่าวถามด้วยความสงสัย ขณะที่รับเศษกระดาษ มาจาก เอมิล  ก่อนจะชักเอาปืน ของเธอ ออกมา
พร้อมกับเหนี่ยวไก ยิงมวลประจุ อิออน เผาเศษกระดาษนั้นทิ้งไป

“ คือเรื่องนั้น ผมทำให้พวกเขาคิดว่าผมตายไปแล้ว น่ะครับ เมื่อวานเย็นตอนที่ บุกเข้าไปยึดคลังอาวุธ
ของศัตรู ระหว่างที่กำลังหลบหนี ผมทำทีเป็นถูกยิง ให้โดน ซากอาคารถล่มลงมาทับ แล้วกาง อิออน บาเรีย
หนี ออกมา อีกที ”
เฟนท์ กล่าวทว่าทันทีที่ กล่าวจบเค้าก็ฟุบลงไปทันที ทำเอาทั้งสามคน ตกใจไปด้วย ซานรีบเข้ามารับร่างของเขาไว้ทันที

“ เฟนท์ เป็นอะไรไ ปน่ะ เฟนท์”
ซาน กล่าวอย่างใจหายที่อยู่ๆน้องชายของเธอก็ฟุบลงไปดื้อๆ
เอมิล เอาหลังมือแตะหน้าผากของ เฟนท์ พบว่ามันร้อนมากนเขาต้องเผลอสะดุ้งเอามือ ออก
ในทันที

“ ตัวร้อนมากเลยเกือบ  40 องศา ได้มั้ง ”
เอมิล กล่าวทำเอา ไรด์ กับ ซาน ใจเสียไปพร้อมๆกัน

“ สงสัย การแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มกบฏมันคงจะหนักเกินไป ปกติเจ้า เฟนท์ เองก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ”
ไรด์ กล่าวสำทับ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ ถ้ายังไงเรารีบกลับขึ้น ยานก่อนเถอะปล่อยไว้แบบนี้ถ้าจะไม่ดีแน่ ”
ซาน กล่าวขณะที่อุ้มร่างของ น้องชายขึ้น

“ เรียกให้แล้วล่ะอีกเดี่ยวก็คงมาแล้ว ”
เอมิล กล่าวหลังจากที่ แจ้งตำแหน่งให้ ยาน Albus มารับพวกเขา

…………….
……………….

ฐาน กลุ่มกบฏ

“ หึๆๆ ชั้นรู้มาแต่แรกแล้วว่า นายเป็น Valkyrier เพราะงั้นชั้นถึงได้ให้ข้อมูลนายไปไงล่ะ ด้วยพลังแฝงของราชวงศ์
ฉันสามารถอ่านใจของ นายได้ทะลุปรุโปร่ง  ”
ลูเทเซีย หัวเราะอย่างมีชัย ต่อแผนการที่สำเร็จของเขา

“ ศึกในวันพรุ่งนี้เราก็จะมี Empyrean Adjust เป็นตัวหมากให้ใช้อีก ต้องขอบคุณนายจริงๆนั่นล่ะ เฟนท์ นีโอเวล
Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust เท่านี้ที่เหลือก็แค่ทำตามแผนต่อไปเท่านั้น ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่แผนการของเขาเป็นไปตามที่หวังแล้ว เพราะบัดนี้ Empyrean Adjust กำลังจะร่วมบุกไปพร้อมๆกับกองกำลังของเขา

……………………

“ หึๆๆ เป็นมนุษย์ที่อวดดีใช่เล่นเลยน้าาา..เจ้าชายลูเทเซีย เนี่ย ”
โครโน่ กล่าวขึ้นหลังจากที่ได้จับตาดู ความเคลื่อนไหวของ ลูเทเซีย
ผ่านทางจอภาพทั้ง หมดที่เรียงรายอยู่ในห้องท่ามกลางความมืดมิด

โดยที่นั่งรับประทานอาหาร ซึ่งจัดเตรียมไว้บนโต๊ะไปอย่างเย็นใจ

“ พลังแฝงของราชวงศ์ แห่งบริทเทเนอร์ ที่จะมีกันในเฉพาะเชื้อพระวงศ์เท่านั้น มันคือ Genesis ”
ฮายาเตะ กล่าวขณะที่ ใช้ส้อมปักเนื้อย่างซอสชิ้นใหญ่บนจาน ก่อนจะเอามีดค่อยๆ หั่นมันเป็นชิ้นเล็กๆ
ขณะที่ คนรับใช้กำลังเข็นรถอาหาร เข้ามาในห้องและจอดใกล้ๆกับโต๊ะ
ของทั้งสอง

“ ของหวานสำหรับวันนี้คือ เค้กน้ำหวาน อิคดราซิล (Yggdrasil) ซึ่งใช้น้ำหวานที่กลั่นจากน้ำเลี้ยงของต้น อิคดราซิล
ทำครีม และเครื่องดื่ม ก็มีกาแฟสมุนไพรอิคดราซิล ที่ใช้ใบสีเงินของต้นอิคดราซิล ต้มพร้อมกับเมล็ดกาแฟ ค่ะ ”
คนรับใช้กล่าวจบก็เปิดฝาชีเหล็กที่ครอบจานออก เค้กก้อนโต ซึ่งมีหน้าครีมสีน้ำตาลเหมือนเนื้อไม้ ตกแต่งด้วยหน้าด้วยผลไม้หลายชนิด อย่างสวยงาม โดยมีใบสีเงินของ มหาพฤกษา อิคดราซิล รองฐานเค้กไว้ คนรับใช้ตัดแบ่งออกมา

เป็นสองชิ้นย่อย แบ่งใส่จาน และวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะ ยกเอาถ้วยแก้วที่วางอยู่ในรถเข็น
ขึ้นมาและรินกาแฟสมุนไพร อิคดราซิล จากกาน้ำ แล้วจึงเสิร์ฟแก่ทั้งสอง ก่อนจะเก็บ

จานอาหารที่ทานเสร็จก่อนแล้วกลับใส่รถเข็น อีกคันที่จอดอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจึงเข็นรถคัน
นั้นออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/77.jpg)

“ อาหารที่มาจากสิ่งที่สูงส่งย่อมเหมาะกับผู้ที่สูงส่ง อานิม่า เช่นพวกเราไม่ควรทานสิ่งต่ำต้อยเยี่ยงมนุษย์ ”
โครโน่ กล่าวลากเสียงขณะที่ ตวัดส้อมขึ้นจาก โต๊ะและจับมันตัดชิ้นเค้ก ออกมาและจิ้มมันขึ้นทานด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ โครโน่ ดิฉันว่าเราอย่าดูถูก มนุษย์มากไปกว่านี้อีกเลย เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคนสร้างพวก.. ”
ฮายาเตะ กล่าวได้แค่นั้น ส้อมที่อยู่ในมือเธอ ก็ถูกปัดหล่นจากมือเธอ แรงปัดนั้นทำให้มือเธอชา ไปชั่วขณะ
โครโน่ เป็นคน ปัดมือเธอเองด้วยสีหน้า ไม่พอใจ

“ ถ้าขืนเธอพูดเรื่องนั้นอีก ครั้งต่อไป จะเป็นหน้าของเธอ ”
โครโน่ กล่าวเสียงห้วน ทำเอา ฮายาเตะ ถึงกับหน้าซ๊ดด้วยความผวา ที่ไม่เคยเห็น โครโน่ กระทำรุนแรงเช่นนี้กับเธอมาก่อน 

“ ขออภัยค่ะ ที่ดิฉันเสียมารยาท ”
ฮายาเตะ กล่าวก้มหน้านิ่ง ขณะที่ โครโน่ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ

“ เอาเถอะ..แค่เข้าใจก็ดีแล้ว เดี๋ยวจะให้ Maid เอาส้อมมาเปลี่ยนให้ ”
โครโน่ กล่าวจบก็สั่นกระดิ่งมือที่อยู่บนโต๊ะเพื่อเรียกให้ คนรับใช้ มาเอาส้อมที่เขาปัดตก ไปเปลี่ยน
เป็นอันใหม่ให้ ฮายาเตะ

…………………
……………………….

ยาน Albus

บานประตู เหล็กที่เรียงรายไปตามทาง ยาวหลังบานประตูห้องหนึ่ง ภายในห้องมีเตียงคนไข้
ตั้งเรียงรายชิดติดกำแพงอยู่ 5 ตัว ขนาดของห้องกลางๆไม่กว้างมาก ผนังสีขาวดูสบายตา
นอกจากเตียงคนไข้แล้ว ภายในยังมี อุปกรณ์เครื่องมือ พยาบาลอย่างครบครัน

บนเตียงที่สามซึ่งตั้งอยู่กลางแถว ร่างของ เฟนท์ กำลังรับการตรวจด้วย หุ่นพยาบาล อัตโนมัติ
ซึ่งมีรูปร่าง คล้ายแมงมุม และมีดวงตาโตหนึ่งดวง เล็กหนึ่งดวง มันคือ Delta-D ที่ถูกดัดแปลง

เพื่อให้ทำงานพยาบาลได้นั่นเอง แสงสำหรับตรวจสอบร่างกายถูกฉายออกจากดวงตาของมัน
อาบลงไปบนร่าง ของเฟนท์ ทันทีที่ การตรวจสอบเสร็จสิ้น เจ้าหุ่นยนต์ ก็ยกกรงเล็บของมันขึ้น

และเริ่ม ถอดเสื้อคลุมที่คลุมร่างของ เฟนท์ ออก ทันทีที่เสื้อคลุมถูกถอดออก เสื้อผ้าภายใต้เสื้อคลุมนั้น
เปื้อนไปด้วยเลือด ที่เกือบจะแห้งแล้วแต่ก็ยังคงมีเลือดไหลอาบออกมาอยู่เรื่อยๆ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: greamon on March 08, 2009, 06:21:43 PM
“ นี่มัน อะไรกัน ”
ซาน กล่าวอย่างหวาดวิตก เมื่อเห็นสภาพน้องชายของเธอ
ขณะที่เจ้าหุ่นเริ่มทำการ ถอดเสื้อของ เฟนท์ ออกเพื่อตรวจหาบาดแผล ซึ่งทันที

ที่เสื้อถูกถอดออก ปากแผลที่ไหล่ซ้ายซึ่งเปิดกว้างและลึก ก็ทำให้ บรรดาลูกเรือ
 ที่มาดูอาการของเขา อดผวาไปด้วยไม่ได้

“ ที่ปากแผลมีหัวกระสุนฝังอยู่ จะทำการเอาออกเดี๋ยวนี้ ”
เสียงของเจ้า หุ่นยนต์ ดังขึ้นก่อนที่ เล็บใหญ่ของมัน จะเปิดแยกออก ใบมีดและคีม ถูกนำออกมาด้วยมือกลจากภายในเล็บของมัน ก่อนที่จะเริ่มผ่า เอาหัวกระสุนซึ่งฝัง อยู่ที่ ไหล่ซ้าย ออก

“ ขืนเป็นแบบนี้ คงให้ เฟนท์ ออกปฏิบัติการพรุ่งนี้ด้วยไม่ได้ แล้วล่ะ ”
เอมิล กล่าวพลางขบคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น ในการแทรกแซงที่จะมาถึงพรุ่งนี้
พวกเขาเสียกำลัง รบลงไปส่วนหนึ่งเสียแล้ว

“ แย่ล่ะสิ แทรกแซงคราวก่อน ยังรุกไม่ขึ้นเลยซักนิด แถมยังโดน Gazor ดาบคู่นั่นเล่นงานอีก
 ถ้ารอบนี้เจ้า Gazor นั่นมาด้วยล่ะก็ ลำบากแน่เลย ”
อีลูมีเซ่ กล่าวย้อนถึงผลการแทรกแซงเมื่อครั้งที่แล้ว ซึ่งพวกเขาถูก Gazor ดาร์คสตีลการ์เดี้ยน
 เพียงตัวเดียว
เล่นงานจนต้องถอยหนี


“ Gazor ตัวนั้นเป็นรุ่น ดาร์คสตีลการ์เดี้ยน รู้สึกจะชื่อ DSG-XII Lancelot เนี่ยแหล่ะ เป็น Gazor ที่สูง
ประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นอื่นๆใน บริทเทเนอร์ เสียอีก รู้สึก Pilot ของเครื่องนั่นจะเป็น…เอเป็นใครนะ ”
เอียน กล่าวก่อนจะหยุดนึกไปเพราะจำเนื้อความไม่ได้

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n023/63.jpg)

“ คุรูรูกิ สึซาคุ Pilot ระดับ S อดีต องครักษ์ของเจ้าชายลำดับที่ 3 ลูเทเซีย แต่ตอนนี้รู้สึกจะไปเป็นองครักษ์ให้กับ
เจ้าหญิงลำดับที่ 2 โฟเนเรีย(Phoneria) แทนน่ะค่ะ ”
ลูลู่ เข้ามาตอบให้แทน เอียนที่กล่าวค้างไว้จนถึงเมื่อครู่ ซึ่งเธอ พึ่งเข้ามาได้เมื่อซักครู่ที่ เอียน
 พึ่งกล่าวจบไป

“ เออนี่..มาพอดีเลย ลูลู่ ได้ข้อมูลของเจ้าชาย ลูเทเซีย มาบ้างไหม  ”
เอลิซ่า กล่าวถาม อย่างไม่ทันที่ จะตั้งตัว

“ ค..ค่ะ ข้อมูลจาก ฮูกีนมูนีน ที่ลองไปค้นมา เจ้าชายลูเทเซีย เป็นพี่น้อง กับ เจ้าหญิง มาเรียลูส ค่ะ
แต่ชื่อของ เจ้าหญิงมาเรียลูส ถูกบัญญัติว่าตายแล้วใน บริทเทเนอร์ สาเหตุมาจากปัญหาเรื่องการสืบ บัลลัง ก็เลยโดนเนรเทศให้ไปปกครอง เมืองขึ้น อาดิลอน(Ardilon) หรืออดีต โลกอส แล้วก็ข้อมูลที่ได้เพิ่มมาอีก

คือ ราชองครักษ์ คุรูรูกิ สึซาคุ เป็นชาวเมอริเซีย  ค่ะแต่ได้รับยศการแต่งตั้ง เป็นชาวบริทเทเนอร์ ด้วยกรณีพิเศษ
จึงได้ขึ้นเป็นราชองครักษ์ และจากข้อมูล เค้าเป็นคนสนิทของ เจ้าชาย ลูเทเซีย ด้วยค่ะ ”

ลูลู่ รายงานอย่างไม่หยุดพักจนเมื่อพูดจบ เธอก็ถึงกับหอบแฮ่กๆ

“ สมแล้วที่เป็น ฮูกีนมูนีน ขนาดข้อมูลที่แทบจะหายสาบสูญก็ยังมีเก็บไว้ครบครันจริงๆ  ”
อีลูมีเซ่ กล่าวสำทับให้กับความเหนือชั้นของ ฮูกีนมูนีน สุดยอดสมองกลที่เป็นเหมือนอาวุธ
หลักทางด้านข้อมูลข่าวสาร ที่ทรงอำนาจของ Empyrean Adjust กันเลยทีเดียว

“ นี่บางที ตัวแปรสำคัญในการต่อกรกับ Lancelot เครื่องนั้น อาจเป็น เจ้าชาย ลูเทเซีย ก็ได้ล่ะมั้ง ”
เอลิซ่า กล่าวขณะที่พวกเขาทุกคนได้แต่กังวลกับ การแทรกแซงในวันรุ่งขึ้น

………………………..
………………………….
………………………………..

วันต่อมา

ท่ามกลางสนามรบที่ สับสนวุ่นวาย ภายใต้การปะทะ ของ กองทัพแห่งบริทเทเนอร์ กับกลุ่มกบฏ
ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายบุกเข้าใส่กันอย่าง รุนแรงชนิดไม่ยอมกันทั้งหุ่นรบ Gazor และ Gazor  Armor
ต่างถูกนำมาใช้ในการรบครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งสองฝ่าย โดยฝ่าย บริทเทเนอร์ นั้นมีเหล่า
Gazor  เมทัลริก้าดราก้อน (Metallica Dragon)  รูนโกเลม (Rune Golem) และ Gazor Armor เอกซ์เพอริเมนท์ซีโร่ (Experiment Zero) เหมือนตอนที่รบกับ พวก Empyrean Adjust แต่ด้านฝ่าย กบฏกลับมีเพียง
Gazor เมทัลริก้าดราก้อน แค่ไม่กี่ลำ กับ รูนโกเลม เท่านั้นที่ใช้เป็นกำลังรบหลัก


ฝ่ายกลุ่มกบฏนั้นก็ตกเป็นฝ่ายเสีย เปรียบอย่างเห็นได้ชัด เพราะแม้จะมี Gazor และ Gazor Armor อยู่เป็นจำนวนมากก็ตามแต่ประสิทธิภาพ กับจำนวนก็ยังน้อยกว่า กองกำลังของ บริทเทเนอร์   ยิ่งไปกว่านั้น
ทัพหน้าของ บริทเทเนอร์ที่รุกไล่ จนกลุ่มกบฏไม่อาจรุกไปข้างหน้าได้ ก็ค่อยๆถูกกองหลังของข้าศึกล้อมเอาไว้

 
“ ชิ…จัดทัพ รุกมาข้างหน้ากดดันศัตรูแล้วค่อยๆอ้อมมาเสริมงั้นหรือ แผนศึกแบบนี้ โฟเนเรีย สินะ ”
ลูเทเซีย สบถอยู่ภายใน Cocpit ของ เมทัลริก้าดราก้อน (Metallica Dragon) ขณะที่บังคับให้มันบิน
หลบกระสุนและลำแสงขึ้นไปด้านบนเพื่อดูสภาพสนามรบ


“ ปีกขวาให้ รูนโกเลม (Rune Golem) แหวกทางพวกทหารราบออกไป ส่วนปีกซ้าย ให้พลยิงปืนใหญ่
ยิงสอยพวก เมทัลริก้าดราก้อน ส่วนกองหลังคอยยิงสกัด เปิดทางเอาไว้อย่าให้มันล้อมเราได้ ”
ลูเทเซีย ออกคำสั่งผ่าน เครื่องส่งสัญญาณใน ห้องบังคับขณะที่ตนก็หักเลี้ยวเครื่องบินตรง
ไปยังทัพข้าศึก

“ หนอย โฟเนเรีย คอยก่อนเถอะแค่กำจัดเธอได้ ชั้นก็ชนะแล้ว  ”
ลูเทเซีย คิดขณะที่บินดิ่ง เข้าไปในทัพของศัตรู อย่างไม่เกรงกลัว
และมั่นใจว่า จะไม่มีใครทำร้ายตนได้แน่ ซึ่งทันทีนั้น ลำแสงพลังงาน แรงสูง
จาก เอกซ์เพอริเมนท์ซีโร่ ก็พุ่งตรงมาที่ยาน เมทัลริก้าดราก้อน ของเขา


“ Mirror Guard ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นก่อนที่ จะเกิดกระจกใสขึ้นป้อง เมทัลริก้า จากลำแสงพลังงานและสะท้อนลำแสงนั้นกลับไป
ทันทีที่ลำแสงสะท้อนกลับไปทัพของ บริทเทเนอร์ ก็แตกกระจายกันในทันที เพราะลำแสงพลังงานย้อนกลับไป

ทำลายพวกเขาเสียเอง  ซึ่งเรื่องที่จะเกิดขึ้นนี้ ลูเทเซีย ได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ความช่วยเหลือเมื่อครู่มาจาก เอมิล
Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust ทีม Celestial Saber

“ Light Lance Shuriken ”
สิ้นเสียง ที่ดังขึ้นจาก ดาวกระจายขนาดใหญ่ที่ ไรด์ ถืออยู่ มันก็ส่องแสงขึ้นก่อนที่ ไรด์ จะขว้างมันออกไป
ดาวกระจายหมุนควง ลงพัดทำลาย Gazor รูนโกเลม ของข้าศึกจน ราบเรียบไปเป็นแถบ
ก่อนจะย้อนกลับมา หยุดที่มือของ ไรด์ อีกครั้ง

“ Seraphic Pistol ”
สิ้นเสียง กระสุนแสงนับร้อยก็พุ่งดิ่งลงกวาดล้างทัพของศัตรูภายใต้การควบคุมของ ซาน
ที่คองยิงกระสุนแสงจากปืนคู่ของเธอ เพื่อจัดการกับ พวก เมทัลริก้าดราก้อน ที่บินเข้ามาโจมตี
เครื่องของ ลูเทเซีย


“ คิดแล้วเชียวพวก Empyrean Adjust รู้ว่าเครื่องของเราคือเครื่องไหน ดีล่ะ เท่านี้ ก็ฝากที่เหลือด้วยก็แล้วกัน
ชั้นต้องรีบไปจัดการกับ โฟเนเรีย  ”
ลูเทเซีย คิด พร้อมกับบังคับเครื่องให้บินลงไปยังฐานที่ผู้บัญชาการทัพ คอยบงการ อยู่
โดยเตรียมที่จะยิงถล่ม ฝังผู้บัญชาการของข้าศึกไปพร้อมกับ ฐานที่มั่น

…………………
…………………..

“ มี เมทัลริก้าดราก้อน เครื่องตรงมาทางนี้ครับ ”
นายทหารรักษาการณ์ เข้ามารายงานภายในกระโจม ซึ่งตั้งอยู่บนฐานที่มั่น ของเขตสนามรบ
ซึ่ง โฟเนเรีย องค์หญิงลำดับที่ 2 แห่ง บริทเทเนอร์ ทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้


“ หึๆๆ ลูเทเซีย สินะ สึซาคุ ออกไปจัดการ ”
โฟเนเรียออกคำสั่ง ซึ่ง องครักษ์ ประจำตำแหน่งของเธอ เป็นเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียว กับ ลูเทเซีย
เขามีผมเรียบตรง สีน้ำตาลแดง สวมเครื่องแบบ ทหารราชองครักษ์

“ รับทราบกระหม่อนจะออกไป เด็ดหัว ผู้บุกรุกเอง ”
สึซาคุ กล่าว ทว่าน้ำเสียงคำพูดกับการกระทำนั้น ค่อนข้างจะขัดกับท่าทางของเจ้าตัว
เพราะดูแข็งๆราวกับเป็นหุ่นเชิด ดวงตาของ เด็กหนุ่มก็ไร้ซึ่งแวว ราวกับต้องมนต์สะกด

“ เป็นคนที่ต้องใช้ พลังของ Genesis มากกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย สมแล้วที่เป็นคนสนิทของ ลูเทเซีย น้องของเรา
อุตส่าห์ไปเกลี้ยกล่อม ให้มาเป็นองครักษ์ ของฉันดีๆ ก็ไม่เอาต้องให้ใช้ Genesis ในการสะกดของฉันบังคับจนได้
แต่เอาเถอะ ยังไงก็คุ้มค่ากับการใช้งานล่ะนะ ”
โฟเนเรีย กล่าวอย่างยิ้มเยาะด้วยความมั่นใจ ต่อชัยชนะที่จะได้รับอย่างแน่นอน
เมื่อ ส่งอดีต องครักษ์ ที่เป็นคนสนิท ของ ลูเทเซีย ออกไป ด้วความมั่นใจของนาง นางเชื่อว่า
ลูเทเซียไม่มีทางที่จะ ยิง สึซาคุ ได้ลงคอ แต่นางที่ควบคุม สึซาคุ อยู่จะสามารถปลิดชีพเขาได้อย่างแน่นอน

……………………..
……………………………….

“ เริ่มการแทรกแซงได้ ”
สิ้นคำสั่งจาก เอลิซ่า ที่ส่งมายังเหล่า Valkyrier ก่อนที่พวกเขาทั้งสาม จะเริ่มแยกกันไปทำลายขุมกำลัง
หลักของ ศัตรู ตามแผนโดยปล่อยหน้าที่ ตรึงกำลังให้พวกกลุ่มกบฏจัดการไป
ทว่าถึงอย่างนั้น กำลังของ ศัตรูก็ยังเยอะกว่าอยู่มาก ทำให้ภารกิจเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ทางด้าน ลูเทเซีย ที่บินตรงไปยัง ฐานที่มั่นที่ โฟเนเรีย อยู่ ซึ่งอยู่อีกไม่ไกล
ก็ต้องชะงัก ก่อนจะ หักลำเบี่ยงหลบ คมดาบของ Lancelot ที่พุ่งเข้ามา
ได้ทันอย่างฉิวเฉียด

“ Lancelot สึซาคุ งั้นเหรอ ”
 ลูเทเซีย อุทานด้วยความไม่อยากเชื่อที่ อดีตองครักษ์คนสนิท ของเขาจะหันคมดาบเข้าหาเขาได้อย่างง่าย
ได้เพียงนี้

“ สึซาคุ นั่นนายใช่ไหมตอบชั้นสิ สึซาคุ ”
ลูเทเซ๊ย พยายามจะเรียกให้ สึซาคุ ตอบรับเขาทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมานั้น
กลับเป็นคมดาบที่ ฟาดใส่ เครื่องของเขาจนร่วงลงสู่พื้นดินแทน

………….
………………..


ภายในท้องพระโรง ของพระราชวังแห่ง บริทเทเนอร์ มหาจักรพรรดิ เนโปลเรลียน ทรงดำเนินการ
ที่จะสั่งยิง อาวุธทำลายล้างขั้นสูงสุด อยู่โดยที่ ทางทหารที่เตรียมการต่างก็ เร่งทำงานกันมือเป็นประวิง

เพื่อให้ เสาสูงที่ตั้งอยู่ใจกลางสวนหน้าพระราชวัง ซึ่งสูงเสียดฟ้า เหนือเสามี ฐานลำกล้องปืน ขนาดใหญ่ติดตั้งเอาไว้
กำลังเริ่มทำการ สะสมพลังงาน

“ อีก 30 นาที จะพร้อมยิง พะย่ะค่ะ ”
แม่ทัพที่รับผิดชอบการดำเนินการ เข้ามารายงาน ให้ จักรพรรดิ เนโปลเลียน ทราบถึงความพร้อม ของ
สุดยอดอาวุธที่กำลังจะพุ่งเป้าไปยังสนามรบ ที่อยู่ห่างไกลออกไป อีกหลายลี้

“ ด้วยความทรงจำมรณะ เมเมนโต้โมรี่ ข้าจะกวาดล้างพวกกบฏให้หมดไปจากแผ่นดินกันเลยทีเดียว
แล้วทีนี้หลังการทดสอบกับ พวกนี้แล้วต่อไปก็ พวก Empyrean Adjust แล้วก็เทอร่า ทั้งหมดจะต้องยอมสยบแทบเท้าข้า ”
 จักรพรรดิเนโปลเลียน ตรัสเป็นการใหญ่ยิ่งคิดขึ้นเป็นเจ้าชีวิต ปกครองทั่วหล้าด้วยอำนาจที่จะทำลายล้างทุกสิ่ง

…………….
………………….

หลังจากที่ เครื่องของ ลูเทเซีย ถูก Lancelot ฟันจนร่วงลงไป สึซาคุ ก็นำมันลงจอด สู่พื้น
ก่อนจะเปิด Cocpit เพื่อ ออกมาดูว่า ลูเทเซีย ตายแน่แล้วหรือไม่โดยกระชับปืนพกไว้ในมือ
ซึ่งตรงนี้ พวกเขาได้ออกห่างมาจากสมรภูมิ มาไม่ไกลนัก โดยบริเวณนี้เป็น เชิงหิน ที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้

“ สึซาคุ เป็นนายจริงๆด้วย ”
เสียงของ ลูเทเซียดังขึ้น ทันทีที่ สึซาคุ หันปืนไปยังทิศที่เสียงดังมา
ลูเทเซีย ถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อ อดีตองครักษ์และเพื่อนสนิท ที่สุดแต่วัยเยาว์ นั้นกลับหันปากกระบอกปืนมาทางเขา อย่างเรียบเฉย ครั้นเมื่อเค้า จะเดิน เข้าไปหา สึซาคุ ก็ทำท่าจะเหนี่ยวไกในทันที ทำให้ ลูเทเซียต้องชะงักไป

“ นี่เป็นคำสั่งของท่าน โฟเนเรีย ให้จัดการกับนายซะ ”
สึซาคุ กล่าวทว่าคำพูดกับน้ำเสียงนั้น ผิดแปลกไปจากที่ ลูเทเซีย เคยรู้จักมาก่อน แต้ถึงกระนั้น ตัว ลูเทเซีย
เองก็ไม่ปฏิเสธว่าที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขานี้เป็น สึซาคุ ตัวจริง




“ สึซาคุ ถอยไปซะ ถ้าไม่เปลี่ยนมันตอนนี้ก็จะไม่มีอะไรให้เปลี่ยนได้อีก ”
ลูเทเซีย ยังคงพยายามจะเกลี้ยกล่อม สึซาคุ ต่อไป ด้วยความหวังว่าสาย สัมพันธ์ ของตนกับ สึซาคุ
นั้น เป็นของจริงไม่ได้แฝงสิ่งอื่นใด จะช่วยให้เข้าใจซึ่งกันและกัน ทว่า สึซาคุ กลับ

เตรียมจะเหนี่ยวไก  ปืนอยู่รอมร่อ แล้ว ลูเทเซีย จึงตัดสินใจในเสี้ยววินาที จ้องไปที่ดวงตาของ สึซาคุ
เพียงชั่วเสี้ยววินาที ที่ความนึกคิดของ สึซาคุ ได้ไหลเข้ามาในหัวของเขา ทั้งเป้าหมาย การกระทำ ไปจนถึงเรื่องที่

ตอนนี้เขาถูก โฟเนเรีย บงการอยู่ด้วย Genesis ลูเทเซีย ก้มตัวหลบกระสุนก่อนจะพุ่งเข้าไปรวบตัว สึซาคุ จนล้มลง
ไปทั้งคู่  ก่อนที่เค้าจะบังคับ ให้ สึซาคุ มองไปที่ตาซ้ายของเขาอย่างชัดๆ  เพื่อให้ Genesis ของเค้าทำงาน

“ พลังของ Genesis ที่สองของชั้นจงลบล้างมนต์สะกดของ Genesis นั่นซะ ”
ลูเทเซีย กล่าวจบ ดวงตาของเขาก็เฉิดฉายแสง ออกมาเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ สึซาคุ จะสลบไป
ทางด้านของ โฟเนเรีย เมื่อขาดการควบคุมกับ สึซาคุ ก็เป็นอันมืดสนิทกับสถานการณ์ในตอนนี้
เพราะไม่สามารถรับรู้อะไรจากด้านของ สึซาคุ ได้เลย

“ ขอโทษด้วยนะที่ต้องทิ้งนายไว้ที่นี่ แต่ชั้นไม่อยากให้นายพลอยโดนหางเลขไปด้วย เพราะถ้าพลาดขึ้นมาชั้นเองก็คง….. Lancelot นี่ชั้นขอไปก่อนล่ะ โชคดีเราคงจะได้พบกันอีก”
ลูเทเซีย รำพันกับร่างที่หมดสติของ สึซาคุ ซึ่งถูกนำไปนอนหลบอยู่ใต้ เชิงหิน ก่อนที่ตัวเขาจะขึ้นไปขับ Lancelot แทน
และออกมุ่งหน้าตรงไปยังฐานที่มั่นของ โฟเนเรีย

“ คอยก่อนเถอะ โฟเนเรีย… กล้าทำกับ สึซาคุ ได้ขนาดนี้ เธอจะต้องเป็นคนแรกที่ถูกจัดการ ต่อจากนั้นก็ท่านพ่อ ”
ลูเทเซีย คิดอย่างกราดเกรี้ยว ขณะที่ มุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วย Lancelot

………………
…………………….

“ ชิ…ถึงจะมีกำลังเสริมจากพวกกลุ่มกบฏก็เถอะ แต่จำนวนของฝ่ายนั้นไม่ลดลงเลย ”
ไรด์ สบถ ขณะที่โยกตัวบินหลบการโจมตีจากข้าศึก ก่อนจะขว้าง ชูริเคน(ดาวกระจายอันใหญ่ที่ไรด์ถือนั้นจากนี้ไปจะเรียกชูริเคนละกันนะ) สวนออกไป

“ Apollo Coffin ”
สิ้นเสียงจากปืนคู่ที่ ซาน ถืออยู่มันก็เริ่มสร้างมวลแสงขึ้นมารวมกันเพื่อสะสมพลังงาน จนกลายเป็นลูกพลังงานสีเขียวลูกใหญ่ ทันทีที่เธอยิงมันลงไปยังเบื้องล่าง ลูกพลังงานก็กระจายตัวออก เป็นกระสุนแสงลูกเล็กกระจายวนไปมา
ก่อนจะเกิดระเบิดอย่างยิ่งใหญ่ จนกินพื้นที่ไป 1 ใน 10 ของสนามรบ

แต่ก็แลกมาด้วย การเสียประจุพลังงานอิออน
ไปเป็นจำนวนมากทีเดียว และเธอคงจะใช้อีกไม่ได้ไปซักพัก เพราะเกราะ อิออน ที่เธอกางไว้
ก็เริ่มออกอาการไหวๆวูบๆ เหมือนกับจะคงรูปเอาไว้ไม่ได้ จน เอมิล ต้องสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเธอไว้จากกระสุน


“ ซานพักอยู่นี่ก่อนนะ จนกว่า Crisiser จะชาร์จประจุเสร็จห้ามออกจากเกราะนี้เด็ดขาด ”
เอมิล สั่งเธอก่อนจะ พุ่งกลับลงไปยังด้านล่าง เข้าไปในวงล้อมของศัตรู

“ พร้อมจะดูโชว์อันงดงาม แห่งเกฮาน่า รึยังทุกท่าน ”
สิ้นคำของ เอมิล เขาก็ควง ทวนหอกขึ้นเหนือหัว

“ Gahana Spear ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นจาก หอกที่ควง พร้อมกับที่คมหอก สร้างประจุอิออน รวมกันไว้ที่คมและขยายตัวออก
จนกลายเป็น คมหอกพลังงานที่ยาวขึ้น รัศมีการควงจึงมีระยะและพลังทำลายมากพอจะกวัดแกว่งทำลาย รูนโกเลม
ในบริเวณนั้น จนต้องกระจายถอยหนีออกมา และทันทีที่หยุดควง เอมิล ก็กระชับหอกลงพุ่งเข้าไปแทง


ทะลวง รูนโกเลม กระแทกต่อกันไปเป็นทอดๆจน รูนโกเลม ไปกองกันพร้อมกับเป็นการแหวกที่ให้เปิดกว้างออก
ทันทีที่ รูนโกเลม ตัวอื่นพยายามจะระดมโจมตี เข้ามาที่ว่างที่เกิดขึ้นจากการ กระแทกพวกมัน ออกไปก็ถูกวางไว้ด้วยกำแพงใส ที่สะท้อนการโจมตีได้ ของ เอมิล เพียงพริบตา กองทัพ รูนโกเลม ก็ยิงทำลายกันเองจน พินาศ

ขณะเดียวกัน เอกเพอริเมนท์ซีโร่ ตัวหนึ่ง กำลังเล็งโจมตีไปที่ ซาน ซ฿่งมีเพียงเกราะที่ เอมิล กางไว้ให้
แต่มันก็อ่อน แรงอยู่เต็มที แล้วหากรับการโจมตีของ เอกเพอริเมนท์ซีโร่ เข้าไปคงจะแตกสลายเป็นแน่
ซึ่ง ไม่ทันที่ ซาน จะขยับหนีออกมา ลำแสงพลังงานแรงสูงก็ใกล้เข้ามาเสียแล้ว

“ Reflexion ”
เสียงดังขึ้นจาก โล่ที่มือซ้ายของ ไรด์ ขณะที่เขาพุ่งเข้ามารับการโจมตี แทน ลำแสงกระแทกเข้ากับ
เกราะพลังงานอนุภาคสีเขียว ที่โล่สร้างขึ้น ก่อนจะเบนออก และสลายไป ทว่าแรงกระแทก ก็ทำให้แขนซ้ายของ ไรด์
ถึงกับหักจนยกไม่ขึ้น

ทว่า เอกเพอริเมนท์ซีโร่ อีกเครื่องก็กำลังยิงมาทางนี้ ซึ่ง เอมิล ไม่อาจที่จะเข้าไปช่วยได้ทัน
ขณะที่ลำแสงกำลังจะพุ่งเข้าทำลายร่าง ของ ไรด์ และ ซาน ให้แหลกสลายไปนั้น

“ Protection ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่ ลำแสงจะทันเข้าถึงตัวของ ทั้งสองเกราะพลังงานสีน้ำตาลดิน ถูกสร้างขึ้น
คุ้มกันพวกเขาไว้

“ Carnalian Gauntlet ”
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกตัวอีกที คนที่ไม่สมควรจะมาอยู่ในสนามรบก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

“ เฟนท์ ”
ทั้ง ซาน ไรด์ เอมิล ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อได้เห็น เฟนท์ที่เข้ามาปกป้องทั้งสองเอาไว้
แน่นอนสภาพร่างกายของ เฟนท์ ก็ยังคงร่อแร่ อยู่แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังฝืน สนับมือ ได้สร้าง
กรงเล็บพลังงานขึ้นที่หัวสนับ ก่อนที่ เฟนท์ จะรวบรวมแรงทั้งหมด ทุบกำปั้นทั้งสองลง
สู่พื้นดิน จนเกิดแรงสั่นสะเทือน ไปทั่วทั้งสนามรบ

“ Geo Driver ”
สิ้นเสียงจาก สนับมือทั้งสองของ เฟนท์ ก็เกิดคลื่นหินทะลวงพื้นดินจนแยกออกเป็นทางโดยมีหอกหินอัคนี
พุ่งทะลวงขึ้นมาไปตามแรงที่พุ่งสะเทือนไปข้างหน้า คลื่นหิน กระแทกทำลาย เอกเพอริเมทน์ซีโร่ ที่จัดกำลังไว้

ด้านหลังลงทั้งหมด เพราะการโจมตี ของ เฟนท์ นั้นใช้พื้นดินเป็นสื่อกลางจึงไม่อาจที่จะสกัดเอาไว้ได้
อาวุธหนักอย่าง Gazor Armor เอกเพอริเมนท์ซีโร่ จึงถูกทำลายลงทั้งหมด ทว่านั่นก็แรงเฮือกสุดท้าย ที่ เฟนท์ เหลืออยู่

หลังจากการเค้นแรงออกมาจนหมด เฟนท์ ก็ล้มทรุดลงในทันที ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูที่ยังเหลืออยู่
แน่นอน บัดนี้ เหล่า Valkyrier ได้ใช้ทั้งแรงและพลังไปจนหมด และตกอยู่ภายในวงล้อมของศัตรู
พวกเขาไม่เหลือหนทางจะต่อกรกับ กองทัพ Gazor จำนวนมหาศาลและลำกล้องปืนที่เล็งมาจากทหารฝ่ายข้าศึก
นับหมื่น นี้ได้เลย

ทว่าเมื่อกองกำลังจู่โจมหลัก ของอีกฝ่ายถูกทำลายไปเช่นนี้ กองทัพของกลุ่มกบฏก็สามารถตีทะลวง
ขึ้นมาช่วยพวกเขาได้ทันเวลาพอดี

………………….
…………………………

“ สกัด Lancelot ตัวนั้นไว้เร็วเข้า….อ็าคคค ”
สิ้นเสียง Gazor รูนโกเลม ก็ถูกคมดาบของ Lancelot ผ่าทำลายจนระเบิดไป

“ โฟเนเรีย อยู่ไหนออกมานะ….โฟเนเรีย ”
เสียงของ ลูเทเซีย กล่าวก้องออกมาจาก Lancelot เครื่องนั้นขณะที่ค่อยๆทำลาย Gazor รูนโกเลม องครักษ์
ลงไปทีละตัวจนหมด โดยวิ่งบุกเข้าไปจนถึงสวนน้ำแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังที่มั่น
ภายในสวนน้ำนี้ ถูกโอบล้อมด้วย กำแพงน้ำตกที่สร้างขึ้น อย่างวิจิตรตระกานตา

ผนังกำแพงมีธารน้ำตกใส ไหลลงมารอบด้าน ไหลลงสู่ สระน้ำ อันยิ่งใหญ่งดงาม ซึ่งขนาดของสระนั้นพอๆกับ
ทะเลสาบขนาดย่อมๆเลยทีเดียว นอกจากนี้ ด้านบนของกำแพงน้ำตก ยังมีเครื่องพ่นน้ำติดตั้งไว้ทำให้บริเวณรอบๆนี้

เปียกชื้นไปด้วยละอองน้ำ ร่างของ Lancelot ที่ถูกละอองน้ำกระทบ ก็มีควันระเหยออกมา จากความร้อนสะสม
เมื่อถูกน้ำทำให้เครื่องเย็นลง จนไอน้ำระเหยออกจากร่างราวกับหมอก ก่อนที่หมอกนี้จะค่อยๆกระจายฟุ้งไปรอบๆ

สวนน้ำนี้ ที่ใจกลางสวน ซึ่งเป็นทางยื่นจากทางเข้า ไปจนถึงกลางสระซึ่งขุด ล้อม ทางเส้นนี้ไว้
ละอองน้ำที่ไหลมากับน้ำตกเริ่มทำให้สภาพการมองรอบด้าน ของ ลูเทเซีย ที่อยู่ใน Lancelot มืดบอดลง


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: greamon on March 08, 2009, 06:21:54 PM
 
“ หมอกพวกนี้มัน..อะไรกัน ”
สิ้นคำก็เกิดแรงสะเทือนขึ้น Lancelot ถูกลอบยิงโจมตี จากด้านไหนนั้นตัว ลูเทเซีย เองก็ไม่อาจรับรู้ เพราะตอนนี้
 
“ ไง ลูเทเซีย น้องรักของพี่ ชอบไหมล่ะสวนวารีแห่ง โฟเนเรีย นี่น่ะ ”
เสียง ของ โฟเนเรีย ดังแว่ว ขึ้นมาท่ามกลางทะเลหมอกที่บดบังจนไม่รู้ว่า ตรงไหนพื้นตรงไหนสระ

“ หนอย…นี่เป็นแผนของ เธองั้นสินะ อยู่ไหนน่ะ โฟเนเรีย ออกมาสิ ”
ลูเทเซีย กระแทก เสียงด้วยความหงุดหงิด ขณะที่คุมให้ Lancelot หันไปรอบๆเพื่อมองหาร่างของอีกฝ่าย

“ แหมชอบใช่ไหมล่า…หึๆๆ เดี๋ยวพี่จะทำให้มันเป็นสุสานที่งดงามแด่น้องเอง ”
เสียงของ โฟเนเรีย ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ Lancelot จะถูกอะไรบางอย่างยิง
จนต้องถอยครูด เท้าข้างหนึ่งของเครื่อง จมลงไปทำให้ ลูเทเซีย ฉุกคิดได้ว่าตอนนี้เขาถูกต้อนให้ลง

ไปในสระเสียแล้ว หากถอยอีเพียงก้าวเดียวข้างหลังนี่ก็คือสระน้ำ หรือไม่แน่ว่าข้างหน้านี่ก็อาจเป็นสระน้ำด้วย เพราะ
เขาอาจจะจมอยู่ตรงข้างทางไม่ใช่ใจกลางสระ ตอนนี้เพราะหมอกละอองน้ำทำให้เขาหลงทิศเสียแล้ว


“ เชอะ..นี่มันกะให้เรามาสู้ในที่ๆมันได้เปรียบกว่าตั้งแต่แรกแล้วงั้นสิ ตอนนี้จะหนีไปไหนก็ไม่ได้แล้ว ข้างหน้านี่จะเป็นสระด้วยรึเปล่าเราก็ยังไม่รู้  แต่เท่าที่ดูแล้ว สระนี่คงไม่ลึกเท่าไหร่ เพราะขาข้างที่ตกลงไปยืนถึง..ต้องรีบหาตัวให้เจออยู่ไหนกันนะ ”
ลูเทเซีย คิดขณะนั้นก็มีเสียง ซู่ๆๆ เหมือนอะไรบางอย่างแหวกน้ำมาจากด้านหลังก่อนที่มันจะค่อย
แผ่วเบาลง แต่ครู่ต่อมา ก็มีเสียงคลื่น ดังขึ้นมาเรื่อยๆ เพียงพริบตา Lancelot ก็ถูกคลื่นน้ำพัดลงไปในสระในที่สุด
แต่ความลึกของสระก็ไม่มากเท่าไหร่นัก เพราะน้ำสูงถึงแค่ต้นขาของ Lancelot เท่านั้น


“ ชิ..โดนต้อนลงมาในน้ำซะแล้ว…แต่ว่าทั้งที่เราเองก็มองไม่เห็น แล้วทำไมฝ่ายนั้นถึงยังยิงมาได้อีกล่ะ
จะบอกว่าฝ่ายนั้น ยิงมาจากข้างบนก็ไม่น่าใช่ หรือว่า…ในน้ำ ”
ลูเทเซีย คิดได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงเหมือนกับมีอะไรบางอย่างแหวกน้ำเข้ามา ใกล้ อย่างรวดเร็ว
ลูเทเซีย จึง บังคับให้ Lancelot ชักดาบคู่ออกมา สกัดการพุ่งเข้ามาชนของอีกฝ่ายได้สำเร็จ

“ เอาล่ะขอดูชัดๆหน่อยเถอะ ว่าเป็นตัวอะไรกัน…นี่มัน ”
ลูเทเซีย อุทานเมื่อสิ่งที่ ปลายดาบทั้งสองของเขาจับไว้ได้นั้น กลับเป็น หัวธนูขนาดใหญ่อันหนึ่งเท่านั้น

“ เอา Hydro Cannon ไปกินอีกซักลูกหน่อยไหม ลูเทเซีย ”
เสียงของ โฟเนเรีย ดังขึ้นพร้อมกับ ที่น้ำซึ่งถูกแรงอัดสูงดีดออกมาจากหัวธนูนั้น พุ่งเข้าใส่ร่าง
ของ Lancelot จนกระเด็น แม้จะเป็นน้ำแต่ เมื่อบีบอัดออกมาด้วยแรงอัดสูง มันก็มีพลังทำลายมากพอๆกับ
ปืนใหญ่กระบอกหนึ่งเลยทีเดียว ผลจากการโจมตีเมื่อครู่ทำให้ เกราะของ Lancelot เสียหายไปเป็นแถบ

“ นี่คือ Annedisonge Marine Artillery เป็นป้อมปืนเคลื่อนที่ ที่เราเอาวิทยาการมาจาก แอนดิซอง เมื่อหลายร้อยปีก่อน มาพัฒนาเป็น Gazor ที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่า Lancelot เครื่องนั้นน่ะ ถึงจะเป็นวิทยาการชั้นยอดของ โซปราโน่
(Soprano)ก็เถอะ แต่ท่าเทียบกับทางนี้แล้ว ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ และอีกอย่าง Lancelot เป็น Gazor ที่เน้นการรุกประชิด แต่ AMA(ขอย่อเอานะครับมันยาว) เน้นการยิงระยะไกล และควบคุมคลื่นน้ำได้ ถ้าเข้ามาใกล้ก็จะถูก คลื่นพัดออกไป แต่ถ้าออกห่างก็ต้องถูกปืนแรงดันน้ำ ยิงจนแหลกอยู่ดีแหล่ะ ฮ่าๆๆ ”
โฟเนเรีย กล่าวอย่างมีชัยขณะที่บังคับให้ AMA ดำลงไปใต้สระ อีกครั้ง

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/50.jpg)

“ หึๆๆ ”
เสียงหัวเราะของ ลูเทเซีย ดังขึ้นทำให้ เธอสงสัยว่าเขาหัวเราะอะไร
จึงหักลำขึ้นสู่ผิวน้ำโดยรักษาระยะห่างไว้

“ หัวเราะอะไรของแก เสียสติไปแล้วรึไง ”
โฟเนเรีย ถามด้วยความร้อนรนกับความฝังใจในเสียงหัวเราะเมื่อครู่

“ เธอเนี่ยน้า เอาแต่พล่ามมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ โฟเนเรีย ไอ้นิสัย กดดันอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
ขนาดการศึกเธอก็ยังเลือกใช้วิธี ที่มันได้ผลแค่ช่วงสั้นเท่านั้นเอง เพราะถ้าปล่อยไว้นาน แผนมันก็จะล่มไปเองอยู่ดีนั่นล่ะถึงชั้นไม่ต้องทำอะไรเลยก็เถอะ ”
ลูเทเซีย กล่าวถากถางใส่ยั่วยุให้นางเสียจุดยืนของตัวเอง

“ อย่าปากดีไปหน่อยเลย จะตายอยู่แล้วยังจะ..หนอยฉันจะยิงให้ดิ้นไปเลยคอยดู Hydro Cannon ยิงเต็มพิกัด ”
โฟเนเรีย กล่าวอย่างฉุนจัดก่อนจะเริ่มให้ AMA ดูดน้ำขึ้นมาสะสมในเครื่องเพื่อเตรียมยิงเต็มกำลัง

“ อะอ้า…แพ้ผมซะแล้วนะครับท่านพี่ จำได้ว่าใต้นี้เนี่ยมันกลวงใช่ไหม ”
ลูเทเซีย กล่าวจบก็ทะลวงดาบทั้งสองลงไปยังพื้นสระจนแตกทลาย น้ำในสระค่อยๆไหลลงดินไปจน
แห้งเหือด ไปหมดทั้งสระ AMA ที่ใช้ระบบเคลื่อนตัวในน้ำ เมื่อสระแห้งก็เสียหลักในการทรงตัวจนล้มลง

กระสุนแรงอัดน้ำที่สะสมไว้ ก็ยิงทะลวงพื้น สระจนแตกส่วนตัวเครื่องก็เจอแรงสะท้อนของ
กระสุนน้ำ ทำให้เกิดความเสียหาย และเริ่มลัดวงจร ก่อนจะระเบิดไปในที่สุดพร้อมกับปิดฉาก ชีวิตของโฟเนเรีย

“ ปลาหมอตายเพราะปาก แท้ๆ ”  (อืม…ตรงสำนวนจริงๆ)
ลูเทเซีย กล่าวก่อนจะ งัดดาบขึ้นมาเก็บ และออกมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวังหลัก

“ ตอนนี้ที่สนามรบเป็นไงบ้างนะ ช่างเถอะยังไงซะ สภาวะสงครามแบบนี้พวกทหารรักษาวัง
ก็คงมีไม่มาก…ว่าแต่นั่นมันเสาอะไรน่ะ ”
ลูเทเซีย คิดขณะที่ขับ Lancelot มุ่งตรงไป เขาก็ไปเห็นเสาที่ทอดสูงขึ้นไป เหนือเมฆ
กับประจุพลังงานที่ ไหลทอดขึ้นไปตามเสา วินาทีนั้น เขาก็เริ่ม ฉุกคิดขึ้นมาได้

“ น…นี่รึว่า โฟเนเรีย เป็นแค่ตัวล่อ ที่จริงแล้วเป้าหมายคือนั่นงั้นหรอกรึ ”
ลูเทเซีย ค ิดก่อนที่จะเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น

“ ขอให้ทันทีเถอะ ”
ลูเทเซีย คิดภาวนาอยู่ในใจขณะที่ยังคงเร่งรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตรงไปยัง เสานั่น

……………………
…………………………

“ อาวุธ มหาประลัย เมเมนโต้ โมรี่ (Memento Mori) พร้อมใช้งาน ”
เสียงขานตอบของ เหล่าบรรดาทหารภายในท้องพระโรงซึ่งเป็น ศูนย์บัญชาการใหญ่ของสุดยอดอาวุธ
ที่จะสั่งการขึ้นไปยังเสาสูงเสียดฟ้านั่น

“ เริ่มนับถอยหลังการยิงในอีก 5 วินาที ”
แม่ทัพผู้รับผิดชอบการควบคุมสั่ง ก่อนที่จะเริ่มการนับถอยหลัง

“ 5 ”
“ จงหายไปด้วยสายฟ้าแห่งพระเจ้าเถอะ ”
จักรพรรดิ เนโปลเลียน ทรงตรัสอย่างมีชัย ต่อความพินาศ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“ 4 ”
“ ขอให้ทันทีเถอะ ขอร้องล่ะ ”
เสียงภาวนาของ ลูเทเซีย ที่ดังก้องอยู่ใน Cocpit ของ Lancelot ซึ่งกำลังจะเข้าใกล้ เสาสูงเข้าไปทุกที

“ 3 ”

“ ดีล่ะถ้าเป็นแบบนี้พวกเราโค่น บริทเทเนอร์ได้แน่ ”
เสียงโห่ร้องอย่างมีชัย ของบรรดา กลุ่มกบฏที่ดัง ก้องทั่วสนามรบ

“ 2 ”

“ Luminar From ”
เสียงทุ้มแหลมที่ดังขึ้น เหนือสนามรบ เสียงอันดังแผ่วที่ดังไปไม่ถึงเหล่านักรบเบื้องล่าง

“ 1 ”
“ Regeneration ”
สิ้นเสียงทุกๆอย่างก็กำลังจะดำเนิน ไปตามชะตาที่ลิขิตไว้

.
..

“ เมเมนโต้โมรี่ ยิงได้ ”
สิ้นเสียง สั่งการของ แม่ทัพในท้องพระโรง มวลพลังงานที่ สะสมไว้บนเสาสูง
ก็ยิงลำแสงพุ่งทะยานตรงไปยังสนามรบ


“ เสร็จกันไม่ทันรึเนี่ย…โฟเนเรีย เป็นแค่ตัวล่อ ที่จริงกำลังหลักคือเสาอาวุธวงโคจร เมเมนโต้โมรี่ ที่ตั้งค้ำฟ้าแห่ง บริทเทเนอร์นี่มานานนับร้อยปีแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะซ่อมแซมมันได้สมบูรณ์แล้ว ”
ลูเทเซีย รำพึงขณะที่ มองสายลำแสงที่กำลังจะไปล้างบาง สนามรบ

สนามรบ

“ นั่นมัน อะไรน่ะ มีอะไรกำลังมุ่งมาทางนี้นะ ”
เสียงพูดคุยดังขึ้นเซ่งแซ่ ทั้งกองกำลังฝ่ายกบฏและ ฝ่าย บริทเทเนอร์ เองต่างก็หยุดทำการรบกันไปชั่วครู่
เพื่อหยุดดู แสงหายนะที่กำลังจะมาถึง ไม่ทันที่ใคร จะได้คาดคิด ลำแสงเพชฌฆาต ก็ได้พรากชีวิต ของบรรดา ทหารทั้งสองฝ่าย ไปเสียแล้ว ทว่า การยิงจู่โจมยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อลำแสงสามารถลากยาวต่อมาได้ ทุกทิศที่ลำแสงนั้น ทะลวงผ่านไป จะไม่เหลือแม้แต่ เถ้าทุรี

“ นั่นมันอะไรกันน่ะ ”
เสียงของ บันดาลูกเรือในยาน Albus ดังขึ้นเป็นเสียงเดียวกันยกเว้น เอลิซ่า

“ เฟนท์ ทุกๆคนกลับขึ้นมาเร็ว ”
เอลิซ่า ตะโกนขึ้นทันที ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจจะกลับขึ้นไปหรือหนีได้ เพราะลำแสงได้ใกล้เข้ามาหาพวกเขาเสียแล้ว

“ Full Charge Great of Dragon ”
ทว่าก่อนที่ลำแสงจะพรากทุกๆอย่างไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นราวกับเป็นเสียง
แห่งความหวัง ลำแสงรูปมังกรได้พุ่งทะยานเข้าชนกับ ลำแสงมหาประลัย จนแตกสลายไปด้วยกันทั้งคู่

ท่ามกลางละอองแสง ที่เกิดจากการปะทะกันของสองลำแสง ร่างของอัศวินมังกรกายสีขาว
ราวพญาหงส์ ก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ในสนามรบ
ทาลูคัส อัศวินมังกรแห่งทาลิวิลย่า ซึ่งก็คือ เรกกะ ที่แปลงร่างมานั่นเอง
เขาได้เข้ามาปกป้อง เพื่อนทั้ง 4 ของตนเอาไว้ด้วยตัวเอง
 
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/1.jpg)

“ น..นี่นายเป็นใครกัน ”
เฟนท์ ถามขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนล้า แต่เพราะทั้งคู่อยู่ใกล้กันชนิดจับต้องกันได้ เรกกะ จึงได้ยินเสียงของ เฟนท์
ทาลูคัส จึงคืนร่าง ของตนทว่าร่างที่ปรากฏออกมานั้นกลับไม่ใช่ เรกกะ ที่เฟนท์ รู้จัก หากแต่เป็น
ชายในชุดดำ สวมหน้ากาก ปกปิดตัวเอง อย่างลึกลับ



“ Dragoon จงเรียกขานเราเช่นนั้น ”
ชายผู้นั้นกล่าวก่อนที่ อัศวินมังกรสาว จะลงมาพาตัวเขาบินหายลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทิ้งไว้เพียงไพ่ ที่มีตราแห่งแสงสว่าง ใบเดียวเอาไว้บนสนามรบแห่งนี้ ก่อนที่มันจะค่อยๆสลายไป

ทว่าการศึกก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อทัพเสริมชุดใหญ่ ของ บริทเทเนอร์ ได้ตรงมายังสนามรบ
ซึ่งอุดมไปด้วย เอกซ์เพอริเมนท์ซีโร่ และ รูนโกเลม กับ เมทัลริก้าดราก้อนอีกเรือนแสน
กำลังมุ่งตรงมาทางนี้

(http://images.temppic.com/08-03-2009/images_vertis/1236496391_0.28206600.jpg)

“ Crisiser-005 Crimson&Keen of Feodora เข้าทำการแทรกแซง ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ทัพของ ศัตรู จะทันมาถึงก็มี อาวุธบินลักษณะประหลาด สี่อัน
พุ่งตรงเข้าไป ก่อนที่มันจะกางออก และยิงกระสุน ประจุ อิออน ออกมาพวกมันบินวนยิงก่อกวน รูปทัพจนรวน
Gazor มากมายของทัพศัตรู ถูก อาวุธบินประหลาด ยิงทำลายไปไม่น้อย

(http://images.temppic.com/08-03-2009/images_vertis/1236496393_0.05679800.jpg)

“ Arrow Blast ”
สิ้นเสียง ก็มีลูกศรพลังงานประจุอิออน พุ่งตรงไปยังใจกลางหมู่ทัพของ ศัตรู ลูกศรก็พลันระเบิด
เป็นวงกว้างเสียจน ทัพของ ศัตรูเสียหายไปเกือบหมด ที่เหลือเพียงส่วนน้อยครั้นจะถอย หนี
ก็ถูก อะไรบางอย่างที่รวดเร็วเสียจนมองตามไม่ทัน พุ่งเข้าตัดทำลายจนระเบิดไปเครื่องแล้วเครื่องเล่า

“ ขั้นต่อไปกวาดล้างคลังสรรพาวุธ ของเป้าหมาย เตรียมใช้ รูปแบบพิชิต ”
เสียงของสาวน้อยคนหนึ่งซึ่งเธอมีประจุอิออน ห่อหุ้มเอาไว้ บ่งบอกความเป็น Valkyrier
เช่นกันกับ นักรบอีกสองคนที่ ตามขึ้นมาสมทบกับเธอด้วย

“ Extream Charge ”
เสียงดังขึ้นจากเหล่า อาวุธบิน ทั้งสี่ ที่ย้อนกลับมาหาเธอ ก่อนที่จะจัดรูปขบวนโดย
อาวุธบินสีเขียวจะเรียง เป็นสามเหลี่ยมกลับหัว ส่วนสีแดง จะอยู่ด้านหลังวงล้อมสามเหลี่ยมอีกที
ก่อนที่จะเริ่มสะสม ประจุอิออน เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทันทีที่สาวน้อยผู้นั้น สะบัดพัดในมือ
คลื่นลำแสง อิออน ที่มีพลังทำลายล้างและรัศมีทำลายสูงยิ่งกว่า ลำแสงมหาประลัยที่ยิงมาเมื่อครู่ก็ถูกยิงออกมา
 
คลื่นลำแสงพลังแรงสูงได้กวาดล้างโรง สรรพาวุธ คลังอาวุธ และ หุ่นรบอาวุธยุโทปกรณ์
ต่างๆไปพร้อมกัน จนหมดสิ้นทั้ง บริทเทเนอร์ กองกำลังอาวุธหลักของ บริทเทเนอร์ถูกทำลายลงแล้ว แม้จะมีกองกำลังอื่นเหลืออยู่ แต่อาวุธหลักก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลืออำนาจที่จะเอาไปรุกรานใครได้อีกต่อไป

(http://images.temppic.com/08-03-2009/images_vertis/1236496395_0.43993000.jpg)

การสู้รบอันยาวนาน ในสมรภูมิ แห่งนี้ได้จบลงท่ามกลางเศษซากความเสียหายอย่างยิ่งใหญ่
ละอองอนุภาค สีเขียว ยังคงกระจายฟุ้ง ไปทั่ว ทั้งราชอาณาจักรอันเกรียงไกรแห่งนี้ ที่จะได้ประจักษ์
ถึงผลของสงคราม
……………
…………………..

“ เชอะ…..ถึงโรงเก็บอาวุธ จะถูกทำลายหมดแต่เราก็ยังมี อาวุธมหาประลัยอยู่เตรียมยิงระลอกที่สองได้…อ ”
มหาจักรพรรดิ เนโปลเลียน ตรัสได้ไม่ทันขาดคำ หน้าจอแสดงสถานภาพต่างๆของอาวุธมหาประลัย
ก็ได้ขึ้นภาพของ เจ้าชายลูเทเซีย

“ มันจบลงแล้ว ท่านพ่อ จะไม่มีระลอกไหนอีกต่อไปแล้ว ลาก่อนมันหมดยุคของท่านแล้ว ”
สิ้นคำการติดต่อก็ขาดหายไปเอาเสียกลางคัน พร้อมกับ เสาเมเมนโต้โมรี่ ที่กำลังจะเอนโค่นลงมา

ที่ฐานเสา เมเมนโต้โมรี่ ลูเทเซีย กำลังสะสมพลังงานลงในดาบคู่ของ Lancelot เพื่อที่จะโค่นเสา
อาวุธมหาประลัยนี่ทิ้ง

“ จบกันซะที Overload Power ”
สิ้นเสียง ลูเทเซีย ก็บังคับให้ Lancelot กระแทกดาบคู่ลงไปยังลำต้นเสาจนขาดสะบั้น
ตัวเสาขนาดใหญ่ที่ค่อยๆเอนเข้าหาพระราชวังซึ่งทิศที่ล้มมานั้นตรงห้องท้องพระโรงพอดิบพอดี

เสาได้ผ่ากลางพระราชวังพร้อมกับระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ชนิดไม่ต้องมีคำว่าลอบปลงพระชนม์
ทั้งจักรพรรดิ ทั้งบัลลัง ทั้งพระราชวัง ก็สลายหายไปในชั่วพริบตา ปิดฉากจักรวรรดิ บริทเทเนอร์
ลงอย่างสมบรูณ์


“ จากนี้ไปนี่ล่ะ มาเรีย พี่จะทำให้บริทเทเนอร์ เปลี่ยนไปจากนี้ไปนี่ล่ะ ”
ลูเทเซีย คิดขณะที่เปิด  Cocpit ของ Lancelot ออกเพื่อมองดู จักรวรรดิอันโหดเหี้ยม พังทลายลงไป
ใต้ดวงตะวันคล้อยดิน

………….
……………..

“ จากนี้ไป บริทเทเนอร์ จะยกเลิกระบบจักรวรรดิ และเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย
เราจะยกเลิกการกดขี่การแบ่งแยกชนชั้น ทั้งหมด ทุกคนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกัน การปกครองจะดำรง
อยู่บนฐานแห่งการอยู่ร่วมกัน จากนี้ไปเงินทุนที่ใช้ลงไปกับการสงครามจะถูกนำมาพัฒนาประเทศ
แทนและเราจะทำการผูกพันธมิตรกับโลกอส แน่นอน จากนี้ไป ฐานแห่งสังคมของประเทศเราคือ เราจะไม่รุกรานใครและจะไม่ยอมให้ใครมารุกรานเรา และไม่ทำสงครามร่วมกับอาณานิคม ใดๆทั้งนั้น จากนี้ไป บริทเทเนอร์ กับ โลกอส คือพี่น้องกัน…. ”

เสียงกล่าวสุนทรพจน์ ของกษัตริย์ องค์ใหม่แห่งบริทเทเนอร์ ลูเทเซีย วีร์ บริทเทเนอร์(Lutacia V Britanir)
ได้ประกาศก้องไปทั่วผืนแผ่นดิน ใหม่แห่ง บริทเทเนอร์ ภายหลังจากการปฏิวัติ บัดนี้ เทอร่า ได้เปลี่ยนไปและกำลังจะเปลี่ยนในอีกไม่ช้า

……………….
………………………

“ ลูเทเซีย จากนี้ไปจะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะต้องเข้าแทรกแซง ที่นั่นอีกไหม หึๆๆเรื่องก็คืออยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่ที่จริงแล้วยังไงซะ มันก็ต้องหายไปอยู่ดีนั่นล่ะรวมทั้ง เทอร่า นี่ด้วย ”
โครโน่ กล่าวเสียงเรียบอย่างลำพองใจขณะที่มองดูความเป็นไปของ เทอร่า ผ่านทางจอภาพภายในห้อง
เดิมๆของพวกเขา

“ หมายความว่านี่ยังไม่ใช่ เทอร่า ที่ถูกต้องอีกหรือ ”
ฮายาเตะ แย้งขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ ผิดแล้ว ฮายาเตะ เทอร่า ที่ถูกต้องน่ะ ก็คือ เทอร่า ที่จะเกิดขึ้นโดยมีเราเป็นผู้สร้างและผู้ปกครองต่างหาก…หึๆๆ ”
โครโน่ กล่าวจบก็หัวเราะด้วยความลำพอง ก่อนที่จะดีดเหรียญในมือขึ้นไปทันทีที่ เหรียญตกถึงพื้น
มันก็ยังคงตั้งตรงไม่เอนเอียงไปทางใดอยู่ดี แต่ทว่าไม่นานมันก็เริ่มเสียหลักและล้มลง
ราวกับจะบอกว่า เวลาที่เป็นอยู่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นคงแล้ว และคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน

……………….
……………………….

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ คือว่า สุดสัปดาห์นี้ ป…ป..ไปเด…เดท…เอ้ยดูหนังกับฉันทีได้มั้ย ”
คำขอแบบที่ไม่ทันตั้งตัว


“ แล้วนี่ก็เลยจะแอบตามไปว่างั้น ”

แผนการที่เดาออกสุดจะง่ายปานจะกลืนกิน

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอก มาแล้ว ”

“ เอาล่ะถึงเวลาชั้นออกโรงซักที เส้นมันยึดไปหมดแล้วรู้ไหมแล้วก็จำไว้เลยถ้าชั้นออกมาเมื่อไหร่มันจะต้องไคล์แมกซ์กันตั้งแต่ต้นจนจบเลย ”

อัศวินมังกร ผู้ร้อนแรง จะเร่าร้อนตั้งแต่ต้นจนถึงจบกันเลยทีเดียว  Saga 07   โอเร ซันโจว มันแปลว่า พระเอก มาแล้ว


มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง


แล้วเจอกัน วันอาทิตย์หน้าไม่ก็ พุทธนี้นะขอร้าบบบ บาย……เอ้ยไม่ใช่ล่ะ
ยังไม่ทันคุยกัน ก็จะไปซะแหล่ว บทนี้เรามีเซอไพร์แถมท้ายตอน กันนิดหน่อย
อันที่จริงโดน พี่ปิโยม่อน กับ เจ้าการุรุม่อน บังคับมา(อีกแล้วตูนี่เป็นเบ๊ ชาวบ้านเขาตลอดเลยT_T)

แต่ก่อนอื่นมา สครีม ตอนนี้กันก่อนดีกว่า บทนี้เนี่ยรู้สึกว่ามันจะยาวไปหน่อยแต่อย่างว่า
ก็มันรบกันวุ่นเลยนี่เนอะ ตอนช่วงต้นๆบท จะรู้สึกว่าเรื่องมันอืดมันช้าดูแล้วมันงงๆ
ก็ขอให้ทนอ่านกันซักนิด เพราะคิดว่าตอนท้ายๆบทช่วงจุดแตกหักน่าจะมัน กันแล้ว

ว่าแต่รู้สึกชอบจังกะไอ้ที่ ลูเทเซีย พูดว่า ปลาหมอดายเพราะปากเนี่ย มันตายเพราะปากจริงๆ
ไม่ใช่แค่ปากมาก แต่ ปากจุกพื้นระเบิดตายซะงั้น เหอๆเข้ากั๊นเข้ากัน

แล้วก็ไอ้อาวุธ มหาประลัยนั่น มันมีบทแค่มาให้ พี่ทาลิ เราโชว์พาวเท่านั้นรึ โอ้ว มันเกรียนดีแท้
แต่ที่แน่ๆ ตอนหน้าเห็น ชื่อตอนก็คงจะเดาออกกันแล้ว ว่า ทาลิตัวใหม่กำลังจะมา รู้สึกนิสัยไอ้ตัวนี้มันจะเกรียนดีจริงๆ
แฮะ เป็นยังไงคงต้องรอดูกันตอนหน้า ส่วนทาลิที่จะมาเป็นธาตุอะไร…ลองไปเดากันเองนะ อะหุๆ

ช่วงแถมท้าย(ที่โดนบังคับมา)
เนื่องด้วยช่วงนี้นิยายเรามันค่อนข้างจะว่างมาก เลยอยากให้มีอะไรมาเล่นกันสนุกๆแถมๆกันหน่อย
เพราะเนื้อเรื่องยังไม่ค่อยข้น(นี่ขนาดยังไม่ค่อยมันล่อตายไปบานเบอะแอคชั่นมันหยดส์ซะจนคนดูเค้านึกว่าจะอวสานแล้วนะเนี่ย) ก็เลยมีคำถามเกี่ยวกับภาพสนุกๆมาให้ไขมาให้ขบกัน

ภาพพลังเคโมะ โชตะข้างล่างนี่ หมาป่าคู่นี้เค้ามีความสัมพันธ์กันยังไงลองเดากันดูซิ

(http://images.temppic.com/08-03-2009/images_vertis/1236496389_0.37098400.jpg)

ปล. ตอบถูกไม่มีรางวัลให้นะจ้ะ แต่ถ้าตอบถูกกันแล้วจะเดาได้ว่าทำไมต้องมีช่วงแถมท้ายเพราะมันมากับหีบแห่งความลับใบใหญ่ ที่ต้องช่วยกันไขขอรับ พี่เค้าว่ามาเงี้ยไม่รู้เหมือนกันมันคืออะไร สงสัยจะส่งของขวัญให้มั้ง งงๆ
กะพี่เขาเหมือนกัน ถ้ายังไงคงต้อง ซาโยนาระกันตรงนี้ล่ะขอรับไปล่ะ นินๆ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Post by: boy on March 08, 2009, 07:22:08 PM
-*-  กลัวซีรี่ย์นี้จะถูกกล่าวหาว่าดัดแปลงลิขสิทธิ์จัง  ::010::

ความสัมพันธ์ของคำถามเดาว่า......................พี่น้อง -*-


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Post by: greamon on March 08, 2009, 07:53:12 PM
Quote
-*-  กลัวซีรี่ย์นี้จะถูกกล่าวหาว่าดัดแปลงลิขสิทธิ์จัง

อะแหม อย่าคิดมากน่า ยังไงตอนหน้าก็กลับมาเปนทาลิวิลย่า แล้วล่ะเน้อ 2 บทนี้ต้องขอนอกเรื่องหน่อยล่ะ เพราะไอ้เราก็หาประเทศที่มันจะมีบทบาทลำบากๆอยู่ด้วยอะหุ(อีกอย่างคนน้อยไม่มีทางรั่วอยู่แล้วหึๆ)

Quote
ความสัมพันธ์ของคำถามเดาว่า......................พี่น้อง -*-
อันนี้ยังตอบให้มะได้ว่าถูกหรือไม่เพราะพี่ปิโย เค้ายังมะเฉลย
ก็ต้องคอยดูไปเรื่อยๆจนกว่าคำใบ้จะแปะหมดอ่ะน้า ส่วน สาเหตุที่เอามาถามน่ะรึหึๆอันนี้ก็มะยู้ พี่เค้าใช้มา ::008::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 05 แทรกแซง Britanir 1
Post by: boy on March 10, 2009, 07:33:11 PM
พอเลยพอ ทั้งเกรม่อนคุง ืั้งเทนโทม่อนเลย นี่แค่วันเดียวกะจะล่อเามันซะ 30 เรปเลยรึไง
ถึงปั้มกันถี่จนมาหน้าสองเนี่ย เดี๋ยวคนอื่นเขามาเห็นก็ คิดว่านิยายเรายาวเป็นพรืดจนไม่น่าอ่านกันพอดี
(เออแล้วมันมีตั้งกว่า 105 ตอนนี่เนอะ)

แล้วก็นะเกรม่อนคุง ไปพูดป่าวๆว่าน้ำยาล้างจาน
 ใครเค้าจะรู้ว่าหมายถึงซํนไรส์ บริษัทที่เขาทำอนิเม พวกกันดั้มกะ CG.
ล่ะ เดี๋ยวเขาก็คิดว่าแกเกรียยนไปด่าชาวบ้านไม่มีน้ำยาจะตอบร้อก

แล้วก็ ไอ้ ยาราไนก๊ง ไนก๊ะ เนี่ยไม่ต้องเลยเว้ย ฉานเกลียดสาย นั้นที่สุดดดด
ไปไกลๆตีนเลย เรื่องนี้มัน ต้องโชตะ Yaoi เฟ้ย
อ่อลืม Kemo ด้วย(เดี๋ยวจะหาว่าไม่ใช่ตำนานทาลิแท้ เพราะไม่มี เคโมะ พวกครึ่งสมิง)




มันคืออะไรเหรอครับ------>ไอ้ยาราไนก๊ง ไนก๊ะ  ::010::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Post by: greamon on March 10, 2009, 07:35:19 PM
Quote
มันคืออะไรเหรอครับ------>ไอ้ยาราไนก๊ง ไนก๊ะ 

มันเป็นความเสื่อมที่....จะอธิบายไงดีเหอๆ เอาเป็นว่าอย่ารู้เลยดีกว่าขอรับ เป็นสายการ์ตูนที่ควรออกห่างให้มากๆเข้าไว้


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Post by: boy on March 10, 2009, 07:43:20 PM
Quote
มันคืออะไรเหรอครับ------>ไอ้ยาราไนก๊ง ไนก๊ะ 

มันเป็นความเสื่อมที่....จะอธิบายไงดีเหอๆ เอาเป็นว่าอย่ารู้เลยดีกว่าขอรับ เป็นสายการ์ตูนที่ควรออกห่างให้มากๆเข้าไว้

มันช่าง.................................อัXXXสิ้นดี  ::010:: 

งานแบบนี้พวกดดจินถนัดนักแล  ::010::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Post by: greamon on March 11, 2009, 06:33:44 PM
Saga 07   โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอก มาแล้ว


จากครั้งที่แล้ว ด้วยการเข้าแทรกแซงของ Empyrean Adjust ได้ทำให้โฉมหน้าของ เทอร่า บิดผันไปมาก
เมื่อ ราชอาณาจักร บริทเทเนอร์ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครอง และผู้ปกครอง ทั้งหมด
ทำให้ธุรกิจ การค้าอาวุธ ต้องเสียสมดุลไปเมื่อ ลูกค้ารายใหญ่อย่าง บริทเทเนอร์ เลิกที่จะทำสงครามและปฏิเสธ

ที่จะนำเข้าอาวุธสงครามจากองค์กร ต่างๆทั้งหมด ส่งผลกระทบให้องค์กรผลิตอาวุธหลายราย
ต้องปิดกิจการของตนไป ซึ่งนั่นยังส่งผลกระทบต่อ ความขัดแย้งทั่วโลกด้วย
เมื่อไม่มีอาวุธก็ไม่อาจทำสงครามกันได้ และด้วยความเกรงในอำนาจ ของ Empyrean Adjust ที่สามารถ

ทำลายระบบ จักรวรรดิ และขุมอำนาจของ บริทเทเนอร์ ลงได้ด้วยกำลังเพียง น้อยนิด ก็ไม่มีประเทศใดที่
กล้าแข็งข้อคิดสร้างความขัดแย้ง เพราะได้เห็น ตัวอย่างของ บริทเทเนอร์ มาแล้ว ทว่าบัดนี้ Empyrean Adjust กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับ เบื้องหลังของ เทอร่า กลุ่มผู้ชักใยให้เกิดสงครามและความขัดแย้ง แน่นอนพวกองค์กรก่อการร้าย

ที่หากินกับสงคราม เมื่อเกิดเหตุการณ์ เช่นนี้ พวกมันย่อมไม่อาจอยู่เฉยให้ตัวเองล่มสลายไปได้ง่ายๆ
ในเมื่อไม่มีใครคิดจะใช้อาวุธของ พวกมันทำสงคราม พวกมันเองก็จะเป็นคนใช้อาวุธสร้างความขัดแย้ง ยุยงให้ทำสงครามกันขึ้นมาอยู่ดี ซึ่งในตอนนี้ เหตุการณ์ ที่ว่ากำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า


………………
…………………….

หอคอยแห่งนภา Sky Pillar

หอคอยสูงซึ่งตั้งอยู่บน เกาะที่ไม่มีในแผนที่กลางมหาสมุทร อันเวิ้งว้าง หอคอยแห่งนี้สูง
ขึ้นไปจนถึงชั้นบรรยากาศ  จนราวกับว่ามันคอยค้ำจุนไม่ให้ท้องฟ้าตกลงมา
รอบๆหอคอยมีหมอกปกคลุมหนาจัดจนทำให้มันถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

“ จากการแทรกแซง ครั้งล่าสุดที่ บริทเทเนอร์ ทำให้ความขัดแย้งลดลงไปกว่า 60 % แล้ว  ”

“ แต่ว่ากลับเกิดการก่อการร้าย จลาจลวางระเบิด เพิ่มขึ้นถึง 40 % แทน ”

“ มันก็แน่อยู่แล้ว ก็พวกมันขายอาวุธให้ใครไม่ได้ก็เลยคิดจะสร้างความขัดแย้งขึ้นมาเองน่ะสิ ”

“ แล้วพวก อานิม่า ยังไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเลยรึไง ”

“ แต่ตาม มติในที่ประชุมครั้งก่อนเรา ตกลงกันแล้วนี่ ว่าจะจับตาดูอย่างเดียวไม่เข้าไปพัวพันด้วย ”

“ ถ้ายังงั้นแล้ว สภามังกรนภากาศ นี่จะมีไว้ทำไมล่ะ ”

“ แต่ตามข้อตกลงแล้วเราจะไม่เข้าไปยุ่งกับ เทอร่า อีก ดังนั้นเราจึงควรปล่อยให้ พวกเขาจัดการกันเอง ”

“ เช่นนั้นแล้ว เรื่องนี้ก็ขอให้จบแต่เพียงเท่านี้ หัวข้อต่อไปก็เรื่องของ เมอริเซีย ”

“ จนถึงตอนนี้ กำแพงนั่นก็เริ่มที่จะอ่อนแรงลงแล้ว ”

“ เป็นไปได้ไหมว่า ข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้น ”

“ ตอนนี้ทางเรายังรวบรวมข้อมูลมาไม่ได้เลย  ”

“ ถ้าเช่นนั้น ก็ขอเลื่อนการประชุมในหัวข้อนี้ออกไปจนกว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม….. ”

เสียงประชุมที่ดังขึ้นจากภายใน หอคอยแห่งนภา ดังขึ้นเป็นทอดๆก่อนที่เสียงจะถูก กลืนหายไปกับสายลมที่กรรโชกรอบๆหอคอยแห่งนี้


…………………….
………………………….


St. Magnus Academy

ช่วงพักกลางวันเช่นนี้ ก็เป็นวันธรรมดาๆอีกวันของ  โรงเรียน St. Magnus แห่งโลกอส
โรงเรียนนี้เปิดเป็น สห มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยเป็นโรงเรียนพระราชทาน จากเจ้าหญิง มาเรียลูส

เป็นโรงเรียนแห่งแรก ใน โลกอส นี้ตัวโรงเรียนจึงมีขนาดใหญ่ และมีนักเรียนจำนวนมาก
ทว่าที่เข้าเรียนนั้นก็ใช่ว่าจะมีแต่มนุษย์ แต่เผ่าพันธุ์ สมิง ครึ่งสมิง โคบลอด(Koblod) ไปจนถึง ภูต(Fairy)
ก็เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้เช่นกัน 
 

“ คือว่า สุดสัปดาห์นี้ ป…ป..ไปเด…เดท…เอ้ยดูหนังกับฉันทีได้มั้ย ”
ไอ นักเรียนหญิง เชื้อสายฟีเลเซีย กล่าวตะกุกตะกักใบหน้าร้อนผ่าวจนแดงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่มือของเธอ สั่นสะท้าน ไปด้วยความประหม่า

“ ว้าย…ไม่ได้นะ ไอ ถ้าขืนไป อ้ำๆ อึ้งๆแบบนี้ ต่อหน้า เฟนท์ ล่ะก็ มีหวังคุยกันไม่รู้เรื่องพอดี ”
เพื่อนนักเรียนหญิงร่างท้วมของเธอกล่าว ด้วยสีหน้าไม่พอใจในความตื่นเต้นของ ไอ ที่พยายามจะชวน คนที่ตนชอบ
ไปเที่ยวแต่ก็ประหม่าซะจนไม่กล้า


“ ต..แต่ว่า มิมิ(MiMi) ถ้าเกิดเค้าปฏิเสธขึ้นมาล่ะฉันจะทำยังไงดี… ”
ไอ กล่าวด้วยความสับสนกับเพื่อนร่างท้วมของเธอ

“ ถ้าถูกเค้าปฏิเสธมาจากนี้ไปก็อาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกก็ได้…จะพูดแบบนี้ใช่ไหม หล้า ”
เพื่อนสาวอีกคนของเธอที่ร่างผอมบาง กล่าวซึ่งก็ตรงกับที่เธอคิดจะพูดออกไปพอดี

“ อะไรกัน…ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้เรอะ ถ้ามัวแต่คิดจะจ้องกันอยู่แบบนี้ระวัง จะโดนคนอื่นงาบไปก่อนนะ ”
เพื่อนสาวร่างผอม กล่าวหยอก

“ เอ๊…. อ…อะไรกัน โคเว็ท(Covet) ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ต..แต่  ”
ไอ ยังคงกล่าวตะกุกตะกัก ทำให้เพื่อร่างผอมบางโคเว็ท ต้องถอนหายใจ

“ แหมฉันล้อเล่นหรอกน่า แต่ว่านะถึง เฟนท์ จะไม่เนื้อหอมเท่า  เอมิล ก็เถอะ(ท่านเอมิล ยังดูเท่ห์กว่าด้วย) แต่ถ้า
เรื่องหน้าตาล่ะก็ฝ่ายนั้น เขาเองก็ดูไม่เลวน้า แถมถ้าจะจีบ ยังไม่ค่อยมีคู่แข่งด้วย แล้วนิสัยอย่าง เฟนท์ น่ะคุมง่ายจะตาย ถ้าไม่ระวังไว้ จะโดนแย่งไปเอาง่ายๆได้นา ”
โคเว็ท อธิบายซะจน ไอ ที่ฟังบทสนทนาของเธอ อดคิดไปไกลไม่ไหว

“ อีกอย่างนา…เพราะคราวก่อน ช็อคโกแลตที่ ไอ จะให้ในวัน วาเลนไทน์ เฟนท์ ก็กลับมาไม่ทัน
รับซะด้วย ช็อคโกแลต มันก็เสียหมดแล้ว ถ้ารอบนี้ไม่รีบชวนล่ะก็เดี๋ยวเค้าหายไปอีกจะทำยังไงเล่า ”

มิมิ เพื่อสาวร่างท้วม กล่าวจบถึงจะสังเกตว่า ไอ ไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลย เพราะสายตาของไอ
จ้องไปที่ด้านหลังเธอ ตลอด เมื่อหันกลับไปถึงได้รู้สาเหตุ เฟนท์ กับ ไรด์ กำลังขนกองหนังสือ
เป็นพะเนินเทินทะ  เดินเลาะมาตามระเบียงทางเดิน ตรงมาทีหน้าห้องเรียนที่พวกเธอจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่

[เทศกาลวาเลนไทน์ ในเทอร่า นั้น สืบทอดประเพณีมาจาก เมืองทีนวาแลน ที่อยู่ทางตอนเหนือของ ทวีป คาดาร่า]

“ เฮ้อ การบ้านหมดนี่ของทั้งสัปดาห์ที่แล้วเลยเหรอเนี่ย คืนนี้ คงต้องทำยันสว่างเลย ”
เฟนท์ บ่นด้วยความท้อใจ

“ เอาน่าก็เราหยุดไปตั้งขนาดนั้น มันช่วยไม่ได้นี่นา ”
ไรด์ กล่าวไปหัวเราะไปอย่างทุกข์ร้อนอะไร
ขณะที่ทั้งสอง แบก กองการบ้าน เดินเลาะไปตามระเบียง


“ อ้ะ..นั่นไงเจ้าบ่าวมาแล้วเป็นโอกาสเลย เข้าไปชวนซะเลยสิ ”
โคเว็ท กล่าวเสียงใสก่อนจะผลักหลัง ไอ ให้เข้าไปทัก

“ เอ๋…จ..จ….เจ้าบ่าวเหรอ ไม่ใช่นะ..ว้ายย ”
ไอ ที่จะหันมาปฏิเสธ ก็ไม่ทันตั้งตัวถูกยันออกไปซะก่อน เลยสะดุดเท้าตัวเอง ขณะที่ เฟนท์ กับไรด์ เดิน
เข้ามาแล้ว ก็เลยชนเข้าจังเบ้อ จนกองหนังสือสมุดการบ้าน ของ ทั้งสองกระเด็นขึ้นกลางอากาศแล้วก็ล้มพะเนิน
ทับ ทั้งกลุ่มสามสาวและสองหนุ่ม ลงไปจมใต้กอง หนังสือ ท่ามกลางสายตาของ นักเรียนคนอื่นที่
มองด้วยความตะลึง

“ ข…ขอโทษค่ะ คือฉันไม่ทัน ร.. ”
ไอ ที่กล่าวขอโทษไปขณะกำลังจะลุกขึ้น แต่ก็ต้องชะงักไป เมื่อตอนนี้เธอล้มคร่อมอยู่บน ตัวของ เฟนท์
ที่กำลังโอดโอย เพราะแรงกระแทก

“ ม..ไม่เป็นไร…ห ”
เฟนท์ ที่กล่าวได้ ไม่ทันจบก็ต้องชะงักเมื่อเห็น ไอ คร่อมอยู่บนตัวเขา
ทั้งคู้หน้าแดงด้วยความเขินอาย ก่อนจะรีบแยกออกห่างกันทันที ทั้งคู่ต่างหันไปกันคนละทิศ พยายามไม่มองหน้าอีกฝ่าย ด้วยหัวใจที่เต้นระทึก จากเหตุการณ์เมื่อครู่

“ โอยยย…แขนช้านนน ”
ไรด์ ครวญเสียงหลงขึ้นมาทำให้ทั้งคู่ลืมตัวหันไปมอง ไรด์ ซึ่งแขนซ้ายเข้าเฝือกอยู่ โดนกองหนังสือ ล้มทับ
แขนซะจนโยก ทำเอา มิมิ กับ โคเว็ท ต้องเข้ามาช่วยพยุง

“ ตายแล้วๆ ไรด์ ไปห้องพยาบาลกันดีกว่าน้า ”
สองสาวกล่าวขึ้นพร้อมกัน แต่จากน้ำเสียงและท่าทางนั้น ดูจะไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“ เฟนท์ ฝากเก็บที่เหลือด้วยนะ..อ้อก ”
ไรด์ กล่าวก่อนจะสลบไป เพราะความเจ็บ ขณะที่ สองสาวอุ้มปีก ไรด์ ออกมาจากวง
ทิ้งให้ 1 คน กับอีก 1 ตัวอยู่กันตามลำพัง ซึ่งที่จริงนี่เป็นแผนที่จะลากเอา ไรด์ ออกมาเพื่อให้ทั้งสอง
ได้อยู่กันตามลำพัง แต่แรกแล้ว

“ หว้า กระจายไปหมดเลยอะไรหายบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ ”
เฟนท์ บ่นขณะที่ ไล่เก็บ กองหนังสือที่กระจัดกระจายทั้งของเค้าและของ ไรด์ ออกมาแยกกองกัน

“ ฉ…ฉันช่วยนะ ”
ไอ กล่าวเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะช่วยแยกหนังสือสมุด มาเรียงซ้อนเป็นชั้น
แล้วจึงช่วย เฟนท์ ขนเข้าไปที่โต๊ะในห้อง

“ ขอบใจที่ช่วยนะ..เห้อ ไม่รู้ว่า ไรด์ เป็นอะไรมากรึเปล่า ”
เฟนท์ กล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะถอนหายใจหันไปมองทางประตูแล้วบ่นขึ้นมา
ไอ ที่มองหน้า เฟนท์ อยู่ซักครู่ก็รวบรวมความกล้าตัดสินใจชวน เค้าออกเดท ในทันที

โดยหารู้ไม่ว่า เรกกะ แอบ มองทั้งสองอยู่ห่างๆ
………………..
………………….

“ แล้วนี่ก็เลยจะแอบตามไปว่าง้าน ”
มาธิอัส แกล้งกล่าวเสียงสูง  เมื่อรู้ถึงเรื่องที่ เรกกะ นำมาเล่า

“ น่านะ…ชั้นเองคบกับหมอนั่นมานานแล้ว ยังไม่เคยเห็นจะมีใครมาชอบมาชวนหมอนั่นออก เดท
ก็เลยอยากรู้น่ะว่าจะเป็น ยังไง แล้วก็อีกอย่างถือเป็นการ สืบข้อมูลของ Empyrean Adjust ได้อีกด้วยไง ”
เรกกะ กล่าวขอร้อง กับ มาธิอัส ภายในยาน ไซเบอลิก้าดราก้อน ซึ่ง R2 ก็เข้ามาพอดี

“ แต่ไหงฉันฟังแล้วเหมือนเหตุกับผล มันจะไม่มีมูลนา  ”
R2 กล่าวดักคอ เรกกะ จนเขาถึงกับต้องสะดุดไป

“ แหมก็มันแค่รู้สึกเป็นห่วงนี่นา ตั้งแต่รู้หมอนั่นเป็น Valkyrier ก็เลยอยากจะรู้จักในตัวหมอนั้นขึ้นมาอีกหน่อยน่ะ…
แต่สรุปแล้วก็คือไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย งั้นชั้นไปก่อนนะ ”
เรกกะ กล่าวอย่างเสียดายก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู

“ เดี๋ยวยังไม่มีใครบอกห้ามนายเลยซักคนนะ ”
มาธิอัส กล่าวทันทีที่คำพูดนั้นดังขึ้น เรกกะ ถึงกับหูพึ่ง พุ่งดิ่งกลับ
คว้าหมับมือของ มาธิอัส มาลูบโลมเอาใจ เหมือนแมวไม่ผิดเพี้ยน

“ เอ้อไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ รู้สึกมันเสียวๆยังไงไม่รู้สิ ” (ตกลงนี่มันเสื่อมใช่มะเนี่ยเจ้าเรกกะ)
มาธิอัส กล่าวทุลักทุเล กับท่าทางของ เรกกะ

“ หึ…สอดเรื่องชาวบ้านแบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะ งานนี้เราไม่ยุ่งด้วยล่ะ ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้นในหัวของ เรกกะ

“ ช่างนายสิ ไม่อยากออกไม่ต้องออก เพราะไงๆก็ไม่ต้องพึ่งนายอยู่แล้ว ”
เรกกะ โต้กลับไปในใจ

(http://images.temppic.com/11-03-2009/images_vertis/1236756326_0.42413100.jpg)

……………………
……………………………..

ห้องประชุมสภากลาง ความมั่นคงสูงสุดแห่งโลกอส

ภายในห้องโถงนี้ประกอบด้วย โต๊ะ ประชุมโต๊ะใหญ่ ซึ่งมีที่นั่ง อยู่ประมาณ 10 ที่นั่ง ตั้งอยู่บนเวทีกลางห้อง
และ รอบๆห้องนั้นเป็น ที่นั่งแบบขั้นบันได ไล่เรียงขึ้นไปจนถึงชั้นบน มีประตูทางเข้า สี่ทิศ
ภายในห้อง ประชุมเต็มไปด้วย คณะกรรมการ และ แกนนำ ของ โลกอส กับ บริทเทเนอร์

ที่โต๊ะประชุมกลาง นั้น กษัตริย์ ลูเทเซีย  กับ เจ้า มาเรียลูส กำลังเจรจา เพื่อผูกพันธไมตรีของสองประเทศแก่กัน
จนเมื่อการเจรจา เป็นไปด้วยดีและเสร็จเรียบร้อย คณะกรรมการ ทั้งหมดก็ออกจากห้องไปพร้อมกับแกนนำ

ส่วน เจ้าหญิง มาเรียลูส กับ กษัตริย์ ลูเทเซีย ได้ให้ราชองครักษ์ คนอื่นออกไป เหลือไว้แต่เพียง เอกองครักษ์เท่านั้น
ซึ่งก็คือ สึซาคุ กับ เฟรเซีย

“ เราไม่เจอกันนานมากเลยนะ มาเรีย ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะ ที่จ้องไปที่ดวงตา ของ มาเรียลูส เพื่อที่ใช้ Genesis อ่านใจของเธอ ทว่า Genesis ของเขา
ก็ไม่อาจอ่านใจ ของเธอได้

“ ท่านพี่คะ เรามาเจรจากันเพื่อสันตินะคะ อย่าได้คิดทำเช่นนั้นอีก Genesis ของ หนูคือการป้องกันอำนาจ Genesis
ของคนอื่นและ สามารถยกเลิก Genesis ของคนอื่นได้เหมือนกับท่านพี่น่ะแหล่ะค่ะ ”
มาเรียลูส กล่าวเสียงเฉียบ

“ แหม..มาเรีย อย่าโกรธซี่พี่แค่แหย่เล่นเท่านั้นเอง ”
ลูเทเซีย กล่าวเคลือบแคลงกับเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจนัก

“ แล้วเมื่อไหร่พี่จะให้ สึซาคุ ตื่นซะทีคะ สภาพแบบนั้นน่ะ ดูก็รู้แล้วว่า ถูกท่านพี่ โฟเนเรีย ควบคุมมา
แต่พลังในการยกเลิก Genesis ของท่านพี่ ไม่อาจช่วย สึซาคุ ได้ใช่ไหมคะ ถึงได้พาเค้ามาด้วยน่ะ ”
มาเรียลูส กล่าวซึ่ง ลูเทเซีย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทึ่งในความนึกคิดของ น้องสาวตน

“ น่าแปลกใจจริงๆมาเรีย น้องเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ”
“ ท่านพี่เองก็เหมือนกัน…เปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคนเลย ”
ลูเทเซีย กล่าวได้ทันไร มาเรียลูส ก็แทรกขึ้นทันที

“ ท่านพี่ โฟเนเรีย กับท่านพ่อ สิ้นพระชนม์ แล้วสิน่ะคะ ”
มาเรียลูส กล่าวเสียง เย็นพยายามข่มความรู้สึกของตัวเองเอาไว้

“ มันก็แน่อยู่แล้ว ถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลง บริทเทเนอร์ สองคนนั่น ก็ต้องถูกกำจัดไป… ”
“ พอทีเถอะค่ะ ”
ลูเทเซีย กล่าวได้ไม่ทันขาดคำ มาเรียลูส ก็กระแทกตัวขึ้นตะคอกใส่ ด้วยอารมณ์ที่เกินจะข่มเอาไว้
จน เฟรเซีย ต้องเข้ามาปรามและขอให้เธอใจเย็นลง

“ เมื่อครู่นี้ขออภัยด้วยค่ะ ทีหนูเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ที่จริงแล้วทั้งที่หนูเองก็รู้อยู่ว่า สึซาคุ ถูกสะกด ด้วย Genesis แล้วทำไมหนูถึงยังไม่คลายสะกดให้ตั้งแต่ตอนที่พบกัน น่ะไม่ใช่ว่าหนูทำไม่ได้ หรอกนะคะ แต่ถ้าจะให้ สึซาคุ ที่
เหมือนกับจะหลับไปนานตลอดหลายปีที่คอยรับใช้ ท่านพี่ โฟเนเรีย มารู้ถึงท่านพี่ที่เปลี่ยนไป แบบนี้มัน.. ”

มาเรียลูส กล่าวพลางกัดฟันข่มความรู้สึกที่อัอแน่นอยู่ในอกเอาไว้ จนกระทั่งน้ำตาไหลรินออกมา
ได้ทำให้ ลูเทเซีย เข้าใจถึงความรู้สึกของ น้องสาวตนเองขึ้นมา ตลอดหลายปีที่แยกกันอยู่

พวกเค้าทั้งสอง ต่างต้องประสบอะไรมาบ้างก็สุดจะคาดเดา การที่ทั้งสองจะเปลี่ยนไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหาก
แต่ความทรงจำนั้นก็ช่างโหดร้าย  เพราะมันไม่อาจทำให้เราลืมตัวตนที่เขาเคยเป็นได้และทำให้ไม่อาจยอมรับในตัวตนที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ได้ด้วย


“ มาเรีย พี่ขอโทษด้วย แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ บริทเทเนอร์ก็จะไม่มีอีกต่อไป  Empyrean Adjust ที่มีอำนาจทำลายล้างขนาดนั้น ถ้าพี่ไม่หยุดไว้แล้วให้ความร่วมมือกับพวกเขา ก็จะไม่มี บริทเทเนอร์ ในตอนนี้  ”
ลูเทเซีย กล่าวจบ มาเรียลูส ก็ไม่อาจข่มน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
ท่ามกลางความเงียบสงัดที่มีเพียงเสียง ร่ำไห้ของ หญิงสาว ผู้ชอกช้ำจากชะตาชีวิตที่บิดโผ

……………..
…………………

“ นี่งานรอบนี้ใหญ่กว่าคราวที่แล้วมากเลยนะ ”
เสียงของชายในชุดคลุม ดังขึ้นภายในห้อง รับรองแห่งหนึ่ง
เขาจ้องไปที่ชายสวมชุดคลุมสีดำ ใส่หมวกเบเล่ย์ สีดำตัดลายขาว มือทั้งสอง กุมขมับอยู่ที่ หัวไม้เท้า
หันหน้าเข้าหาหน้าต่าง โดยยืนหันหลังให้ชายชุดคลุมที่เข้ามารายงาน

“ จะให้จัดการ กับ กษัตริย์องค์ใหม่ แห่ง บริทเทเนอร์ กับ เจ้าหญิง ไปพร้อมๆกันในวันส่ง กษัตริย์ลูเทเซีย
กลับใช่ไหม ”
ชายที่หน้าไปทางหน้าต่างตอบ

“ ใช่เพราะวันนั้น เป้าหมายจะมาอยู่กันพร้อมหน้า เป็นโอกาสเหมาะที่ เราจะแก้ตัวเรื่องงานที่เราพลาดในครั้งที่แล้วนะ เชอร์โนบิอาส(Chernobias, the Dark Sorcerer) ”
ชายชุดคลุมกล่าวก่อนที่ เชอร์โนบิอาส จะหันกลับมา ใบหน้าของ เขาสวมทับด้วยหน้ากากสีดำ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/s007/1.jpg)

“ ยังไงซะคราวนี้ เจ้า อัศวินมังกรนั่นจะต้องโผล่มาอีกแน่ ครั้งนี้ข้าจะลงไปจัดการเอง ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวก่อนจะเดิน ออกจากห้องไป

…………………..
………………………..

ยาน Albus

“ เรื่องคราวก่อน ทางเราไม่คิดว่าทำเกินไปหรอกนะคะ…อีกอย่างพวกคุณเองที่เป็นทีมแทรกแซง ก็ไม่มีสิทธิจะพูดแบบนั้นด้วย ที่พวกเราทีม รวบรวมข้อมูลต้องมาช่วยเหลือ พวกคุณก็เลยทำให้ ต้องเปิดตัวความสามารถของ Crisiser 005 ออกมาก่อนเวลาอันควรด้วย…. ”
หญิงสาวซึ่งเป็น Valkyrier ที่ใช้อาวุธบินยิงกวาดล้างขุมอำนาจ ของ บริทเทเนอร์ กล่าวบ่นอย่างไม่พอใจ
ในการทำงาน ของทีม Celestial Saber ผ่านทางจอสื่อสารภายในห้องบังคับการ


“ แต่เรืองนั้นน่ะ ฮูกีนมูนีน ก็ออกคำสั่งให้พวกเธอมาเองนี่ ทางเราไม่ได้ขอร้องซักหน่อย ”
อีลูมีเซ่ สวนกลับไปด้วยความขุ่นเคืองที่โดน อีกทีมดูถูก

“ นั่นก็เพราะ ฮูกีนมูนีน ประเมินแล้วว่า พวกคุณนั้นไร้ศักยภาพในการทำงานน่ะสิถึงได้ออกคำสั่งมาแบบนั้น  ”
เธอสวนกลับ อีลูมีเซ่ ซะจนพูดไม่ออก ได้แต่ทำหน้าขึงขัง

“ เรื่องที่พวกเราล้มเหลวไม่ขอปฏิเสธหรอกนะแต่ หลีเม่ย(Rymei) ที่ให้พวกเรา หยุดทำการแทรกแซงชั่วคราวนี่หมายความว่ายังไง ”
เอลิซ่า กล่าวตัดบทขึ้นมาทำให้ หลีเม่ย หันมาสนใจ


“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ หลังจากที่ดิฉันรายงาน เรื่องที่เกิดขึ้นที่ บริทเทเนอร์ แล้ว ฮูกีนมูนีน ก็มีคำสั่งให้ หยุดการแทรกแซงชั่วคราวน่ะค่ะ เพราะว่าต้องการให้เวลากับการจับตาดู เทอร่า อีกซักหน่อย ”
หลีเม่ย กล่าวเสียงเย็น ซึ่ง เอลิซ่า ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทีของเธอ

“ อ้อแล้ว ก็ขอเตือนอะไรไว้หน่อยนะคะ ข้อมูลนี้ทางเรายังไม่ได้ป้อน เข้าไปที่ ฮูกีนมูนีน
หรอกค่ะ ตอนนี้พวกเรากำลังตกเป็นเป้าของพวก กลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก แล้วก็ตอนนี้
เองก็ได้ข่าวว่า กลุ่มมาราดัน กำลังหมายตาอยู่ที่ โลกอส  รายละเอียดฉันเองก็รู้ไม่มากซะด้วย ลาล่ะค่ะ ”
สิ้นคำ เธอก็ตัดการติดต่อไปในทันทีทิ้งไว้เพียง ข้อมูล ของกลุ่มก่อการร้ายเท่านั้น

“ กำลังหมายตามาที่ โลกอส งั้นเหรอ พวกมันต้องการอะไรกันแน่นะ ”
เอียน กล่าวถามขึ้นอย่าง งงๆ

“ ความต้องการของพวก ก่อการร้ายนี่ก็คือการขายอาวุธ สงครามให้กับประเทศที่ต้องการทำสงครามนี่นา แล้วทำไม
ถึงได้หมายตา โลกอส ที่ต่อต้านการทำสงครามน้า ”
ลูลู่ เปรยขึ้นอย่าง งงๆเช่นกัน ทว่ามีเพียง เอลิซ่า เท่านั้นที่นั่งคิดอยู่เงียบๆก่อนจะ ฉุกคิดขึ้นได้

“  ลูลู่ ช่วยเช็ค กำหนดการ สำคัญภายในประเทศ ของ โลกอส ให้ทีนะเอาช่วงประมาณตั้งแต่ต้นสัปดาห์ถัดไปน่ะ ”
เอลิซ่า กล่าวอย่างร้อนรน จนทำให้ทุกคนสงสัย แต่ ลูลู่ ก็จัดการทำตามที่เธอสั่ง จนได้ข้อมูล
ที่ต้องการ

“ มีกำหนดการ พิธีส่งกษัตริย์ลูเทเซีย กลับสู่ประเทศ โดย เจ้าหญิง มาเรียลูส พระองค์จะเสด็จ
ไปส่งด้วยตัวเอง ในวัน Ignis ที่ 4 ของเดือน Andrew ที่ท่าอากาศยานหลักค่ะ ”
ลูลู่ รายงานจบ เอลิซ่า ก็ถึงกับหน้าซีดไปในทันที


“ อย่างนี้นี่เอง ที่พวกมันหมายตาเอาไว้ ถ้าเกิด ผู้นำของสองประเทศ มหาอำนาจถูกปองร้ายขึ้นมา
ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้ง และที่จะตามมาก็คือ…สงครามครั้งใหญ่ ”
เอลิซ่า กล่าวขึ้นมาการวิเคราะห์ ของเธอทำให้ลูกเรือทั้งยานได้ตระหนักแล้วถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น


………………
…………………….
…………………………



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Post by: greamon on March 11, 2009, 06:34:10 PM
ภายในห้องบังคับการ ที่มีลักษณะเหมือนกับของ ยาน Albus

“ ทำไมถึงบอกข้อมูลให้พวกเขาไปล่ะคะ ”
หญิงสาวผมสีทองยาวสลวย มีปอยผมสองปอย ยื่นแถวหน้าผาก
กล่าวถาม หลีเม่ย ซึ่งเธอเป็น หนึ่งใน Valkyrier ที่เข้าร่วมแทรกแซง กับ หลีเม่ย ในวันนั้น

“ ผิง(Ping) เธอเองก็รู้อยู่แล้ว ทีมของเราไม่มีสิทธิ แทรกแซงเองตามใจชอบ ”
หลีเม่ย กล่าวตอบยังไม่ทันจบ ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับที่ชายผมสีฟ้าเทา เดินเข้ามาในห้อง

“ เพราะงั้นก็เลยวานให้ทางนั้น ช่วยจัดการแทนงั้นสินะ ”
ชายคนนั้นกล่าวต่อให้จนจบ

“ หลง(Long) เองเหรอ นึกว่าไปไหนมาซะอีก ”
หลีเม่ย กล่าวก่อนจะหันกลับไปที่จอมอนิเตอร์

“ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เป็นการก่อการร้าย แกก็จะต้องมาแน่ใช่ไหม Dragoon ”
หลีเม่ย คิดก่อนที่จะลำลึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนที่เข้าทำการแทรกแซง บริทเทเนอร์

“ เมื่อก่อนคุณทวดเคยบอกเอาไว้ว่า เมื่อใดที่ เทอร่า พบกับภัยพิบัติ จะปรากฏ อัศวินมังกรเทพ ออกมาปราบกลียุค
คุณทวดท่านเล่าว่าเคยเห็น มาแล้วล่ะร่างของอัศวินมังกรเทพ ที่ส่องสว่างไสว งดงามราวกับพญาหงส์
วจีอันงดงาม ที่จะขจัดซึ่งความกลัว คุณทวดท่านจำได้แค่ว่า อัศวินตนนั้นเป็นร่างอีกภาคหนึ่งของ อัศวินทาลิวิลย่า.. ”

ประโยคหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวของเธอ มันเป็นประโยคที่ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้กับเธอ ซึ่งเธฮเคยลืมมันไปนานแล้ว
จนกระทั่งได้พบ กับอัศวินมังกรกายสีขาวท่วงท่าสง่าราวพญาหงส์ ชายที่ชื่อ Dragoon ได้ปรากฏตัวต่อสายตาของเธอที่จับจ้องไปยังร่างของ อัศวินมังกรตนนั้น  ในตอนนั้นความรู้สึกของเธอ ครุกรุ่นและไม่สามารถบอกได้ว่าอะไร
ทำให้เธอเกิดความรู้สึกนั้น

“ คอยดูเถอะ ฉันจะต้องสืบหาตัวจริงของแกให้ได้… ”
หลีเม่ย คิดขณะที่จอมอนิเตอร์ นั้นแสดงแผนที่ซึ่งจุดมุ่งหมายที่ยานกำลังมุ่งหน้าไป คือโลกอส

……………..
…………………
……………………….

ย่านการค้า ใกล้ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์

แถบย่านการค้านี้ เป็นศูนย์รวมของความบันเทิง ทุกรูปแบบ ตั้งแต่โรงภาพยนตร์ โรงละคร
ห้างสรรพสินค้า  และอื่นๆอีกมากมาย

“ ยืนยันเป้าหมายมาถึงจุดนัดพบแล้ว ”
เรกกะ กล่าวใส่ หน้าปัดสายคาดข้อมือ ซึ่งเสียงของเขาถูกส่งขึ้นไปยังห้องบังคับการของ ยานไซเบอร์ลิก้าดราก้อน
ได้ในทันที

“ นี่ๆเราไม่ได้มารบซะหน่อย ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ ”
มาธิอัส กล่าวด้วยความหน่ายใจ กับความกระตือรือร้น ที่ไม่เป็นเรื่อง
ของ เรกกะ

“ ไม่ยักรู้แฮะว่าหมอนี่มีนิสัยชอบสอดเรื่องคนอื่นแบบนี้น่ะ ”
R2 กล่าวกับมาธิอัส ด้วยความทึ่งกับความสนใจของ เรกกะ

“ เปล่าหรอก นั้นน่ะไม่ใช่สายตาของคนชอบสอดหรอก ชั้นว่าเขาคงจะเป็นห่วงน่ะ ”
มาธิอัส กล่าว ขณะที่คอยจับตามอง เรกกะ ผ่านทางจอมอนิเตอร์ของ ยาน

“ เป็นห่วงเหรอ ”
R2 กล่าวอย่าง งงๆ กับคำพูดของ มาธิอัส

“ เธอคงไม่เข้าใจสินะ เรกกะ น่ะไม่เหลือใครในครอบครัวเลย ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด
พอมีคนที่สำคัญคนที่อยากปกป้องขึ้นมาก็เลย อดเป็นห่วงไม่ได้ถึงต้องตามมาดูยังไงล่ะ ก็นี่ล่ะน้า…มนุษย์ล่ะ ”
มาธิอัส กล่าว เสียงเรียบ

“ หือ… ”
R2 เปรยด้วยความผิดสังเกตในคำพูดของ มาธิอัส

“ อ…อ๋อ อย่าใส่ใจเลย ชั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหล่ะ  ”
มาธิอัส กล่าวตัดบทไปซึ่งแม้จะยังติดใจ แต่เธอก็ตัดใจไม่เซ้าซี้ต่อ

“ อ้ะ..ไอ มาแล้วล่ะ สองคนนั่นกำลังจะเดินไปแล้ว ชั้นตามไปเลยละกันนะ..เอ๋ ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นทว่าน้ำเสียงของเขาก็ทำให้ ทั้งสองแปลกใจ

“ มีอะไรเหรอ ”
เสียงของ มาธิอัส ที่ถามถึงเสียงผวา เมื่อครู่ของ เรกกะ ดังขึ้นจากหน้าปัดบนสายคาดข้อมือที่คาดอยู่ที่ข้อมือซ้าย

“ สองคนนั่น กำลังพวกถูกพวกจิ๊กโก๋ ไถอยู่ ”
เรกกะ กล่าวซึ่งขณะนี้ เฟนท์ กับ ไอ กำลังถูกพวกนักเลง ล้อมเอาไว้ซึ่งไอก็ได้แต่ตัวสั่นหลบอยู่หลัง เฟนท์
ทว่าทาง เฟนท์ เองก็หวั่นไม่แพ้กัน

“ ท…ทามงายดี ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างล่ะก็ เจ้าเฟนท์ ยิ่งขี้แย อยู่ด้วยืนปล่อยไว้ เดทล่มแน่ ”
เรกกะ กล่าวอย่างร้อนรน ขณะที่พยายามคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์

“ ย..เย็นไว้ก่อนสิ เรกกะ นี่มันใช่เรื่องของนายซะที่ไหนแล้วอีกอย่าง คนที่จะทำเดทของสองคนนั่น ล่มน่ะน่าจะเป็นนายซะเองมากกว่า  ”
เสียงของ มาธิอัส ดังขึ้นเพื่อจะเตือน สติ เรกกะ ที่ดูจะไปกันใหญ่

“ จ…จริงสิ ป…แปลงร่างไง ”
เรกกะ เปรยขึ้นพร้อมกับ คว้าเอาเข็มขัดที่ติดตลับไพ่เอาไว้ขึ้นมา

“ เฮ้ย..ไม่ได้นะ เรกกะ จะให้ความแตกรึไง ”
มาธอัส รีบปรามไว้ก่อนทันที ทว่าอยู่ๆ เสียงของ เรกกะ ก็เงียบหายไป

“ เรกกะ…เรกกะเป็นอะไรไปน่ะ เรกกะ ”
เสียงของ มาธิอัส ดังขึ้นหลายครั้งจาก หน้าปัดสายคาด

“ หนวกหูน่าแค่จัดการพวกลูกนกนั่นก็พอแล้วใช่ไหม ”
เสียงทาง เรกกะ ดังตอบกลับมา ทว่าไม่ใช่เสียง ของเรกกะ แต่เป็นเสียงที่ดูเหี้ยมเกรียม
ประดุจนับรบเถื่อน

“ ร…เรกกะ ..นี่หรือว่า …โดนร่างจิตของ ทาลิฯ สิงอีกแล้วน่ะ ”
R2 เปรยตะกุกตะกัก กับกิริยา อาการของฝ่ายนั้น

“ แบบนี้ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม แต่ไม่ใช่ ทาลูคัส แน่นอน ”
มาธิอัส เสียงเรียบอย่างไม่ทุกข์ร้อน

“ น…นี่จะดีเหรอปล่อยไว้แบบนี้น่ะ ”
R2 กล่าวเพื่อเร่งให้ มาธิอัส ทำอะไรเข้าซักอย่าง

“ ดีไม่ดี ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆหมอนั่นน่ะ เข้าไปแล้ว ”
มาธิอัส กล่าวขณะที่ชี้ไปที่ มอนิเตอร์ ซึ่ง เรกกะ ย่างสามขุม ตรงเข้าไปหากลุ่มเป้าหมาย


“ ว่าไง น้องหนูหน้าตาใช้ได้เลยนี่ เลิกสนไอ้หยองกรอดนี่แล้วมาสนุกกับพี่ดีกว่านะจ้ะคนสวย ”
นักเลงลูกพี่ ในกลุ่มกล่าวพร้อมกับกระชาก แขนของ ไอ ทว่า เธอก็ยื้อไว้แต่ก็สู้แรงไม่ไหวจึงถูกกระชกออกจากตัว เฟนท์ ส่วน เฟนท์ เมื่อจะเข้าไปช่วย ก็ถูกพวกลูกน้องมารุมเอาไว้

“ เฮ้ย ไอ้น้อง ลูกพี่เรากำลังสนุก อย่ามาแส่น่า ”
“ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็รีบกลับไปซะไป๊ ”
พวกนักเลง กล่าวข่ม เฟนท์ ซึ่งได้แต่ยืนหงอให้ พวกมันเหยียดหยาม

“ ยังจะมายืนสั่นอยู่อีก…ฮึ้ยเห็นแกแล้วอยากอัดซักเปรี้ยงว่ะ ”
นักเลงลูกน้องคนหนึ่งในกลุ่มเกิดหมันไส้ ก่อนจะยกกำปั้นขึ้น ทว่ายังไม่ทัน
จะต่อย ก็โดน เรกกะ เอาเท้ายันหน้าจนล้มผับไป

“ มารังแกคนอ่อนแอ่ แบบนี้พวกแกมันก็แค่ขี้ๆแหล่ะน่า ”
เรกกะ สบถ ใส่ขณะที่ ออกแรงกดเท้าเหยียบ ข้อมือของ นักเลงดวงชวยที่ถูก ถีบไปเมื่อครู่
จนหัก

“ เฮ้ย แกเป็นใครวะ มาทำพวกข้าได้ เดี้ยสวย ”
“ แน่นักรึไงห๊า ”
“ เดี๋ยวจะเอาให้ศพไม่สวยเลย ”
พวก นักเลง กล่าวข่มพร้อมกับรุมเข้ามาหา เรกกะ

“ เออ..กระจอกอย่างพวกแกน่ะ จะมาซักกี่คนก็ไม่พอหรอกเฟ้ย ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ ไอ กับ เฟนท์ ได้แต่ยืนตะลึงกับสถานการณ์ในตอนนี้
ซึ่งไม่นานนัก พวกนักเลงก็ลงไปนอนกองกันเป็นแถบ
เหลือแต่เพียงตัวหัวหน้าเท่านั้น

“ เห้ย..แล้วแกล่ะ…ว่าไงจะเอากะเค้าด้วยใช่ป่ะ ”
เรกกะ สบถใส่ ซึ่งเจ้านักเลงตัวหัวโจก ก็ถึงกับผวาไปในทันที

“ ย..อย่าทำผมเลยก๊าบ คุณพี่ ”
เจ้านักเลงหัวโจก ถึงกับนอบน้อมขึ้นมาทันตา

“ เอ๊าเอ้า..มาเรียกคุณพี่..คุณพี่เหรออยากโดนนักใช่ไม๊ ”
เรกกะ สบถเบียนเสียง ใส่ข่มซะจน เจ้านักเลงหัวโจก หงอไปเลยทีเดียว

“ เอ๊า ยังมาสะเหร่ออยู่อีก ปล่อย ยัยนั่นมาแล้วรีบไสหัวไปซะ ”
เรกกะ ขู่ใส่ ก่อนที่เจ้า นักเลงหัวโจกจะรีบปล่อยมือ พร้อมกับลากตัว ลูกน้องแล้วหนีหายไปทันที

“ เฮอะไอ้พวกเก่งแต่ปากนึกว่าจะแน่ ”
เรกกะ สบถก่อนจะเดินจากทั้งสองไปทิ้งไว้แต่เพียงความประหลาดใจ

“ ตะกี้…เรกกะ ไม่ใช่หรอ ”
เฟนท์ เปรยด้วยความตะลึง

“ ค..แค่คล้ายๆ…ล่ะมั้ง เรกกะ ตัวจริงเค้าคงไม่โหดขนาดนี้หรอก…มั้งนะ ”
ไอ เปรยด้วยความตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปเช่นกัน

“ น…นี่เดี๋ยวสิ..นี่นายเป็นใครกันน่ะ ทาลูคัส เหรอ ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นภายในจิตใจ ขณะที่ตัวเค้า เดิน ห่างออกมาจาก
พวก เฟนท์ ที่ยังคงตะลึงกันอยู่

“ อย่าเอาชั้นไปเหมารวมกับเจ้านกเผือกนั่นนะ ”
เสียงของจิตใจที่คุมร่างนี้อยู่ดังขึ้น

“ ตะกี้ เจ้าว่าใครเป็นนกเผือก..หือ ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้นมาบ้าง

“ นั่น ทาลูคัส เหรอ…ล…แล้วนี่ใครล่ะ  ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นอย่างร้อนรน กับผู้มาเยือนรายใหม่

“ โอย ถามอยู่นั่นแหล่ะ เข้าใจแล้วๆ เอาร่างคืนไปเลย คนเค้าอุตส่าห์ ช่วยหึ ”
สิ้นเสียง จิตนั้นก็หายไป พร้อมกับที่ เรกกะ ได้สิทธิ์ ในการคุมร่างกลับมาเป็นของตัวเอง

“ ว่าแต่ สองคนนั่นไปไหนกันแล้วนะ ”
เรกกะ กล่าวพร้อมกับหันกลับไป สองนนั่น ก็ไม่อยู่แล้ว

“ หวา..เผลอแปปเดียว ไปไหนซะแล้วเนี่ย …โธ่”
เรกกะ บ่นด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้พวกเขาคลาดกันซะแล้ว

…………..
……………….

ท่าอากาศยานหลัก แห่งโลกอส

ขบวนเสด็จ ของ ลูเทเซีย กับ มาเรียลูส ได้มาถึงโดยพร้อมกันแล้ว
และกำลังจะเริ่มพิธี อำลา โดยส่ง กษัตริย์ ลูเทเซีย กับราชองครักษ์ สึซาคุ ขึ้นเรือบิน
ขณะที่ กำลังอำลากันนั้น เจ้าหญิงมาเรียลูส ก็ตรัสบางอย่างกับ ลูเทเซีย

“ ท่านพี่คะแล้วเมื่อวานหลังจาก คลาย Genesis ให้ สึซาคุ แล้ว เป็นยังไงบ้างคะ ”
มาเรียลูส ถามถึงอาการของ ราชองครักษ์ สึซาคุ ที่เธอคลายมนต์สะกดของ Genesis ให้ไปแล้ว

“ ขอบคุณทรงเป็นห่วงกระหม่อม แต่กระหม่อมไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณพระองค์ที่ช่วกระหม่อมเอาไว้พะย่ะค่ะ ”
สึซาคุ กล่าวอย่างนอบน้อม ซึ่งเมื่อรู้ว่าเขาสบายดี เธอก็โล่งใจ

“ เฟรเซีย ขอมาสินะว่าไปแล้วตั้งแต่มาเจอกันนี่ เธอยังไม่ได้คุยกับสึซาคุ เลยนี่ไม่เจอกันนานเลยไม่ใช่เหรอ ”
ลูเทเซีย กล่าวทำเอาองครักษ์ ทั้งสองจ้องหน้ากันไม่ติด

“ อ้าวนี่ ชั้นพูดอะไรผิดไปหรือไงเนี่ย ”
ลูเทเซีย กล่าวหยอกๆซึ่งก็ทำเอา มาเรียลูส หน่ายอยู่ไม่น้อย

“ แย่แล้ว พวกผู้ก่อการร้าย มัน…อ็าคค ”
เสียงตะโกนของ ยามรักษาการณ์ คนหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างจะถูก คลื่นรังสีที่ร้อนจัดราวกับเปลวเพลิง
เผาผลาญจน น้ำระเหยแห้งออกจากร่าง กลายเป็น ศพแห้งๆไปในทันที
ก่อนที่ ฝูง เทอเรี่ยนปีกคำสาปที่เคยบุก ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์ คราวก่อน จะแห่กันเข้ามาโจมตี
โดยมี มังกรร่างยักษ์ ซึ่งกายห่อหุ้มด้วย เพลิงรังสี ที่ใช้สังหาร ยามคนเมื่อครู่ไป

บรรดา องครักษ์ และทหารรักษาการ ต่างรีบเข้ามา อารักขา สองผู้นำในทันที
Gazor รูนโกเลม ของบริทเทเนอร์ ถูกนำ ออกมาจากเรือบิน พระที่นั่ง ของ กษัตริย์ลูเทเซีย

เพื่อต่อกร กับมังกรรังสี(Radioactive Dragon) ไม่เว้นแม้แต่ ทหารจักรกล ของ โลกอส
TR-S400k ซึ่งเป็นอาวุธจักรกลขนาดเท่ามนุษย์ของ โลกอส ก็ถูกนำเข้ามาต่อกรกับ ฝูงเทอเรี่ยน
ทว่า แม้จะพอต่อกรกับ เหล่า เทอเรี่ยนได้ แต่ก็ไม่อาจทานอำนาจของ มังกรรังสีได้เลย

“ คุรูรูกิ สึซาคุ Lancelot เข้าทำลายเป้าหมาย ”
สิ้นเสียง Dark Steel Guardian ของ สึซาคุ Lancelot ก็ได้เข้าปะทะ กับ มังกรรังสี ทว่ารังสีของมันทำให้ ไม่อาจเข้าใกล้ได้เพราะอาจเป็นอันตรายกับตัวนักบิน

“ ม..ไม่ไหวหรอก สึซาคุ Lancelot ที่เน้นสู้ประชิดน่ะ ถ้าขืนเข้าใกล้ล่ะก็นายได้ละลายแน่ ”
ลูเทเซีย พยายามปราม เอาไว้ ทว่า สึซาคุ เองก็จะถอยไม่ได้ เพราะ มังกรรังสีเองก็ใกล้เข้ามาหา ลูเทเซีย กับ มาเรียลูส
เสียแล้ว

“ โคโรโรว่า เฟรเซีย (Cororowa Fleasia) Gilgamaze เข้าประจัญบาน ”
เสียง หนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่ ลำแสงถูกยิงใส่ร่างของ เจ้ามังกรร้าย จนมันต้องถอย
ห่าง เฟรเซีย ซึ่งบังคับ Gazor Cybertica Wings  ซึ่งเป็นเครื่องประจำตัวของเธอ
ได้เข้ามาช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/66.jpg)

“ นี่ สึซาคุ นึกถึงเมื่อก่อนเลยนะ ”
การติดต่อจาก เฟรเซีย ดังขึ้นภายใน Cocpit ของ Lancelot

“ ที่สู้ร่วมกันน่ะเหรอ …หึก็น่าสนุกนี่งั้นมาแข่งกัน ว่าใครจะล่มเจ้ายักษ์นั่นได้ก่อน ”
สึซาคุ ตอบกลับไปที่ เฟรเซีย ก่อนที่ทั้งคู่ จะช่วยกันถล่ม มังกรรังสี
โดย Gilgamaze คอยยิงลำแสง ออกจากปีก สกัดคลื่นรังสี ที่มันสาดมา

และยิงทะลวงให้เกราะคลื่นรังสีที่อาบร่างของมัน กระจายตัวออก เพื่อที่ Lancelot 1จะได้เข้าประชิดได้
ทันทีที่ สึซาคุ บังคับ Lancelot เข้าไปใกล้ได้สำเร็จ ดาบคู่ก็ตวัด เชือดเจ้ามังกรร้ายจนสิ้นลาย ในทีเดียว ก่อนที่มันจะระเบิดตัวเองไปเพราะ ความสมดุลของรังสีในตัวปั่นป่วน

“ สมแล้วที่เป็น Gilgamaze กับ Lancelot อันเลื่องชื่อลือชา ”
เสียงหนึ่งซึ่งเย็บเฉียบไปถึงขั้วหัวใจ ได้ดังลอยมาตามลม ที่พัดโหม อย่างรุนแรงก่อนที่จะสงบลง โดยพร้อมกัน
เหล่า เทอเรี่ยน ทั้งหลายต่างก้มลงหมอบคำนับ ราวกับสิ่งที่กำลังจะมานั้นคือเจ้าชีวิตของมัน

ในวินาทีนี้ ลูเทเซีย มาเรียลูส และคนอื่นๆต่างรับรู้ได้ทันทีที่ถึงอันตรายที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา
ควันสีดำ ได้ล่องลอยเข้ามายังลาน ที่พวกเขาอยู่ ก่อนจะกระจายตัวออก พร้อมกับการปรากฏตัวของ
จอมเวทย์ดำ เชอร์โนบิอาส

“ กวาดล้างให้หมดแล้วเอาตัวสองคนนั่นมา ”
เชอร์โนบิอาส สั่งจบฝูงเทอเรี่ยนทั้งหมดก็ อาละวาดขึนพร้อมกันและดุดันยิ่งกว่าเดิม ควันพิษถูกพ่นออกมา
จากปากของพวกมัน จนคละคลุ้งไปทั่ว ยังผลให้ ทุกคนสลบไปในทันที ทว่า เชอร์โนบิอาสกลับยืนอยู่ท่ามกลาง
ควันพิษนี้ได้โดยไม่สะทกสะท้าน ด้าน ลูเทเซีย กับ มาเรียลูส นั้น สึซาคุ ให้ Lancelot โอบทั้งสองคนขึ้นมาบนมือ
แล้วยกขึ้นเหนือกลุ่ม หมอกพิษ เพื่อมิให้ หมอกทำอันตรายทั้งสองได้

“ สึซาคุ ฝาก ท่านมาเรียลูส ด้วยนะ ”
เฟรเซีย ติดต่อไปที่  Cocpit ของ Lancelot ก่อนจะขับ Gilgamaze บุกเข้าประชิด เชอร์โนบิอาส
ทว่า ก็ถูกฝูง เทอเรี่ยนกระโจน กระแทกพร้อมกันหลายๆตัว จนทำให้เครื่องเสียหลัก ล้มลง

ขณะที่ เชอร์โนบิอาส ค่อยสาวเท้าเดินเข้าไปหา Lancelot แม้ สึซาคุ จะพยายามสู้ด้วย ดาบเพียงมือเดียว
แต่เพราะต้องคอย คุ้มกัน ทั้งสองคนที่อยู่อีกมือไว้ด้วย จึงทำให้ไม่สามารถ รุกเข้าไปจัดการกับ เชอร์โนบิอาส
ได้ เพราะต้องคอยสกัดการจู่โจมจาก พวกเทอเรี่ยนไปพลางด้วย

“ แด่เสียงครวญแห่งรัตติกาล จงนำทางทุกสรรพสิ่งดำดิ่งสู่ก้นบึ้งกลืนกิน เหลือเพียงเวลาหวนกลับคืนสู่ภิพบ
Darkness Swallow ”
เชอร์โนบิอาส ร่ายคาถาจบก็กระแทกปลายไม้เท้าลง จนเกิดความมืดแผ่ขยายวงไปบนพื้น ก่อนที่ Lancelot จะค่อยๆจมลงไปในนั้นอย่างช้าๆ โดยไม่สามารถขยับหนีออกจาก หลุมดำนั้นได้

“ ข..ขยับไม่ได้เลย ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ล่ะก็ หนอย… ”
สึซาคุ สบถกับตัวเองขณะที่ พยายามโยกคันบังคับเพื่อให้ Lancelot ขยับ ทว่าก็ไร้ผล
ได้แต่ขบกรามด้วยความเจ็บแค้นที่เสียทีให้แก่ศัตรู จึงตัดสินใจ ให้ Lancelot ยกแขนขึ้นให้สุด

 เพื่อที่จะได้
ลงไปยังกลุ่มหมอกช้าลง ส่วนมืออีกข้างนั้นถูกความมืดดูดกลืน ไปแล้วจึงไม่อาจขยับขึ้นมาได้
ครั้นจะเปิด cocpit ออก ประตูเครื่องก็ไม่ทำงานด้วยเช่นกัน


“ หึๆ ดิ้นรนเข้าไป ยังไงซะทิ้งเอาไว้อีกเดี๋ยวพวกแกก็ต้อง จมควันพิษตายหรือไม่ก็ จมหายลงไปในความมืดนี่แหล่ะ แต่จะอย่างนั้นก็ถือว่างานสำเร็จได้ด้วยดีทั้งนั้น ล่ะนะ ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวซึ่งคำพูดนั้นได้ยินไปถึง มาเรียลูส เข้า

“ นี่เมื่อกี้บอกว่าเป็นงานใช่ไหม…บอกมานะใครจ้างแกมาทั้งวันคราวนี้แล้วก็คราวที่บาร์ซิงเซย์ ”
มาเรียลูส กล่าวถาม ทว่า เชอร์โนบิอาส กลับทำเป็นไม่สน แต่เมื่อคยั้นคยอ นานเข้าเขาจึงตะคอกตอบด้วยความไม่พอใจ โดยซ่อนสีหน้าอันโกรธเคืองไว้ภายใต้หน้ากากเหล็ก สีดำทมิฬ นั่น

“ หยุดกระเซ้ากระซี้ ซะที.. ให้ตายสิผู้ว่าจ้างเป็นใคร ข้าก็ไม่รู้หรอก
เพราะข้าแค่รับงานมาตามที่จ้างแล้วก็ทำให้สำเร็จสำหรับข้าเท่านั้นก็พอแล้ว ”
 เชอร์โนบิอาส ตอบกลับไปอย่างหัวเสีย ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างขัดใจอยู่

“ เชอะ ตั้งแต่เริ่มทำการมา นี่ก็ผ่านมานานแล้วนะ เจ้านั่นมันอยู่ที่ไหนกัน…ไอ้เจ้าคนที่ขัดขวางแผนของเราคราวที่แล้วมันจะต้องมาแน่….เอาเถอะถึงยังไงซะ กว่ากองรักษาการณ์จะมาถึง งานของเราก็เสร็จแล้ว ที่เหลือก็แค่พวก Empyrean Adjust แต่เอาเถอะพวกมันไม่กล้ามาแน่ เพราะถ้ามาล่ะก็…. ”
เชอร์โนบิอาส คิดขณะที่เฝ้ารอคอยให้เป้าหมายของเขาปรากฏตัวขึ้น

…………………
………………………

“ เฟนท์ ถ้ายังไงการแทรกแซงคราวนี้อย่าให้ เอิกเกริกมากนะ เพราะคราวนี้เป็นแบบเดียวกับการก่อการร้าย
ที่บาร์ซิงเซย์ แค่ถ่วงเวลาไว้จนกว่า หน่วยความปลอดภัย จะไปถึงก็พอ ถ้าหากเข้าไปแทรกแซงตรงๆอาจทำให้
เกิดความเข้าใจผิดระหว่างเรากับโลกอสได้ ”
การติดต่อโดยตรงแบบข้อความจากยาน Albus ได้ปรากฏขึ้นบนจอ เครื่องสื่อสารของ เฟนท์ ขณธที่พวกเขาออกมาจากดูภาพยนต์เสร็จ โดยที่ ไอ ไปซื้อเครื่องดื่ม และให้เค้ารออยู่ที่ม้านั่ง ในสวนสาธารณะ

“ แล้วพี่กับคนอื่นๆจะมาด้วยไหมครับ.. ”
เฟนท์ เขียนข้อความถามกลับไป ก่อนทีข้อความตอบกลับจะส่งมาทันที

“ ไม่หรอก เฟนท์ งานนี้เธอต้องลุยคนเดียว เพราะเราจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่า เราได้ทำการแทรกแซงแล้ว
และที่ให้เธอไป เพราะเธออยู่ใกล้ที่สุด พิกัดฉันส่งไปให้แล้วนะ ”
ทันทีที่ เฟนท์ อ่านข้อความเสร็จ ก็รีบตอบกลับต่อในทันที

“ แต่ว่าตอนนี้กองรักษาการณ์ คงไปไม่ทันเวลาแน่ครับ เพราะเมื่อครู่นี้ ถนนเส้นที่จะไปสนามบิน
เกิดระเบิดขึ้น คาดว่าจะเป็นฝีมือพวกมันด้วย ตอนนี้คณะของกองรักษาการณ์เลยติดอยู่ที่นี่ หมดเลย
ถ้ายังไงจะให้จัดการไปเลยไหมครับ ”
ทันทีที่ส่งข้อความกลับไป เฟนท์ ก็รีบลุกจากม้านั่ง แล้วออกเดินไปยังตู้โทรศัพท์ ใกล้ทันที


“ ถ้างั้น ในส่วนของภารกิจให้เธอตัดสินใจตามสถานการณ์ หากเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว ให้ถอนตัวทันที ”
ข้อความตอบกลับมาจบ เฟนท์ ก็พับหน้าจอ เครื่องปิดลง ก่อนจะเปิดประตูตู้เข้าไป
และโดยส่วนใหญ่ผู้คนแห่กันไปมุงดูเหตุการณ์ที่ถนน กันหมดทำให้บริเวณนี้ปลอดคนลงไปมาก

“ เอาล่ะ… ”
เฟนท์ รำพึงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด และค่อยผ่อนออก เพื่อทำใจให้เย็นลง
ก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบเอา เหรียญเงินออกมา
พร้อมกับดึงหัวเสียบของเครื่องมือสื่อสาร ออกมาต่อเข้ากับช่องเสียบที่โทรศัพท์ตู้ พร้อมกับยกหูโทรศัพท์ขึ้น
และหยอดเหรียญลงไป  สว่นมือข้างที่ถือ เครื่องมือสื่อสารก็กดนิ้วลงไปยังปุ่มที่ด้างข้างตัวเครื่อง


“ online เข้าไปยัง Channal ของ Albus รหัส หมายเลข 001 ”
สิ้นคำเฟนท์ ก็กดปุ่มหมายเลขบนโทรศัพท์ตู้ ลงไป โดยกดเลข 001
จากนั้นจึงรอเสียงสัญญาณ

“ Get Code ”
เสียงดังขึ้นจ ากเครื่องสื่อสาร เฟนท์ จึงวางหู ก่อนจะถอดสายเสียบออกจากตู้

“ Code Slash ทำการแปลงร่าง ”
สิ้นคำของ เฟนท์ เขาจึงกดนิ้วลงไปยังปุ่มข้างเครื่องอันเดิมอีกครั้ง เส้นสายข้อมูลซึ่งเป็น
แถบสั้นยาวสลับเรียงกันไปจะไหลออกมาคล้าย เส้นบาร์โคด ที่ยาวออกมาวนไปรอบแขน จากแขน

ไปไหล จากนั้นก็วนลามไปทั้งร่าง และทันที ที่กดปุ่มอีกครั้ง เส้นบาร์โคดก็รวมตัวเขากับร่าง
ก่อนจะกลายเป็นชุดเกราะ  Valkyrier ของเขา จากนั้นจึง ออกจาก ตู้โทรศัพท์ ทันที


“ เริ่มการปล่อย อนุภาค ”
เฟนท์ กล่าวจบ พลอยที่ประดับไว้ที่สนับมือทั้งสองข้าง ก็ปล่อยละอองประจุอิออน สีเขียวออกมา ห่อหุ้มร่างของเขาไว้
ก่อนจะบินตรงหายไปในท้องฟ้า

“ โทษทีนะ แฮ่ก..แฮ่ก พอดีที่ถนนเกิดเรื่องก็เลย..มีคนไปมุงกันเยอะ…กว่าจะฝ่ามาได้ก็….เอ่อ..เฟนท์ ”
ไอ ที่กลับมาถึงพร้อมแก้วเครื่องดื่มสองแก้ว กล่าวไปหอบไป  ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทว่าเธอก็ต้องชะงักไปเมื่อเฟนท์
ไม่อยู่เสียแล้ว

……………………..
…………………………

“ นี่ มาธิอัส อยู่บนนั้นน่ะ ช่วยดูให้ทีสิว่ามีอะไรกันรึเปล่า เมื่อกี้ เกิดระเบิดขึ้นกลางถนน รถชนกันเละเทะเลย
แถม หน่วยรักษาการณ์ยังมาก่อนระเบิดจะทำงานอีก ”
เรกกะ ติดต่อกลับไปที่ ยานขณะที่ตอนนี้ตัวเขาอยู่ไม่หางจากที่เกิดเหตุนัก
สภาพถนน ครุกไปด้วยเฟลวเพลิง และซาก ยานยนต์ ล้มคว่ำกระจาย ระเนระนาด เสียงไซเรน
ดังขึ้นไม่ขาด ขณะที่ หน่วยพยาบาลขนผู้ได้รับบาดเจ็บหามขึ้นเปล เสียงตะโกนและเสียงพูดคุยดังเอะอะ
อยู่ตลอดทั้งช่วงถนน


“ เรกกะ เมื่อครู่ที่สนามบิน มีการก่อการร้าย เกิดขึ้นชั้นจะให้ฟังวิทยุนะ ”
สิ้นเสียงจาก มาธิอัส เสียงรายงานข่าวเหตุการณ์ณ์ ก็ดังขึ้นแทน

“ ขณะนี้ ที่ท่าอากาศยานหลักแห่ง โลกอส ได้เกิดการจลาจล ในขณะพิธีอำลาการ ประชุมเชื่อมสัมพันธไมตรี
กับ บริทเทเนอร์ เมื่อเวลา บ่ายของวันนี้ ระหว่างที่ ทางการกำลังส่งหน่วยปราบปราม ไปเส้นทางคมนาคมก็เกิด
ปัญหา เกิดระเบิดขึ้นที่ ถนนทางหลักเส้นที่ 35 ทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น เดี๋ยวเราจะตัดไปที่คุณ
เนน่า นะครับ ”

“ ค่ะตอนนี้ดิฉัน ผู้สื่อข่าว เนน่า ทรินิตี้ (Neana Trinity) รายงานสดจากที่เกิดเหตุค่ะ จนถึงตอนนี้
แม้จะมีการเรียกหน่วยงานการจราจรมาช่วยเคลีย เส้นทางแล้ว ก็ยังไม่สามารถ ดำเนินการได้ในทันที
เพราะมีผู้เคราะห์ร้าย ได้รับบาดเจ็บ เพิ่มขึ้นเรื่อยแล้วค่ะ …. ”

ตูมมมมมมมม!

“ ว้ายยยย…ก…เกิดระเบิดขึ้นอีกแล้วค่ะ คราวนี้ที่ตึกฝั่งซ้ายของ ถนน เกิดระเบิดขึ้นอีกแล้วค่ะ
ซากตึกถล่มลงมาปิดถนน ค่ะตอนนี้มีรานงายจำนวนผู้เคราะห์ร้าย เพิ่มขึ้นมาอีกแล้วค่ะ มีรายงานว่า ทางกองทัพยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เพราะเกิดเหตุระเบิด ขึ้นใกล้ๆกับหน่วยกองพันรักษาการณ์หลัก ตั้งแต่เมื่อคืนวาน ทาง กองการอื่นๆจึงไปรวมกันที่นั่นหมดแล้วค่ะ… ”

เสียง วิทยุดังไปเรื่อยจนกระทั่ง หลังจากเกิด เสียงระเบิดขึ้น มาธิอัส จึงรีบตัดกลับไปเพื่อจะถาม
ความเป็นอยู่ของ เรกกะ ตอนนี้




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 06 แทรกแซง Britanir 2
Post by: greamon on March 11, 2009, 06:35:08 PM
“ เรกกะ เมื่อกี้เกิดระเบิดขึ้น อีกนายเป็นอะไรรึเปล่า  ”
มาธิอัส ถามด้วยความเป็นห่วง ขณะที่รอการติดต่อ กลับ แต่เสียงรอบข้างของฝั่งนั้นก็ดัง
ซะจนไม่ได้ยิน

“ ฮ่าๆๆ นี่ล่ะไคลแมกซ์ ของจริงล่ะ ขอไปลุยก่อนน้า… ”
เสียงสุดท้ายที่ติดต่อกลับมาก่อนสายจะถูกตัดไปนั้น เป็นเสียงของอีกบุคลิคของ เรกกะ ที่พวกเขาพึ่งประสบ
ไปเมื่อ กลางวัน

“ เจ้านั่น…อีกแล้วเหรอ ”
มาธิอัส กับ R2 ร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน ทว่าเมื่อจะติดต่อกลับไป เรกกะ ก็ไม่ยอมรับสาย


“ แบบนี้ไม่ดีแน่ ส่งฉันไปที่ สนามบิน เลยคิดว่าเจ้านั่นเองก็หน้าจะไปที่นั่นด้วย ”
R2 กล่าว

“ อืม เข้าใจแล้วไปที่สะพานส่งตัวเลย เดี๋ยวจะทำการ Catapalt ไว้ให้ ”
มาธิอัส กล่าวจบ R2 ก็รีบ ออกจาห้องไปทันที ก่อนที่ เขาจะเริ่มทำการใส่คำสั่ง
ให้เตรียมการส่งตัวเธอ ออกไป

………..

ที่สะพานส่งตัว ซึ่งมีลักษณะเป็นทางเดินแคบๆ ทอดยาวออกไปถึงประตูยานซึ่งปิดอยู่
พื้นเป็นสายพาน  R2 ได้เข้ามาข้างในทางเดินก่อน จะไปยืนบนแท่นที่ ติดกับสายพาน

พร้อมกับ ประสานมือไว้ด้วยกันและเริ่ม สวดภาวนาในใจ ไม่นานก็เกิดประกายแสงรอบ
เอวของเธอ ก่อนที่ สายเข็มขัด ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ เอาไว้ที่หัวเข็มขัด จะปรากฏขึ้น
ที่เอวของเธอ ที่อุปกรณ์นั้นมีศิลามังกร สีแดงใส ติดตั้งอยู่

“ ทำการเชื่อมต่อ ดราก้อนฮอลลี่(Dragon Holly) ”
เธอกล่าวจบ ก็แตะมือทั้งสองไปยังส่วนที่ยื่นออกมาดานอุปกรณ์ ก่อนจะบีบมันเข้าไป

“ แปลงร่าง ”
เธอเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับ ปล่อยมือออกจาก คันชักที่เธอกดแล้วกางแขนออก
คันชักที่กดลงไปก็เด้งกลับที่ ก่อนที่ศิลาจะฉายเส้นแสง ออกมาซึ่งเส้นแสงนั้นค่อย ๆ

วาดเงาร่างของ อัศวินมังสาวขึ้นในอากาศ ขณะที่ดึงเงานั้นเข้ามาเรื่อยๆจนเมื่อร่างเงานั้น
ทำการร่างภาพเสร็จ เงาก็ถูกดึงไปทับซ้อนกับร่างของ เธอ พร้อมกับเปลี่ยนเธอเป็น อัศวินมังกรสาว
ตนนั้นทันที

“ Thaliliea Entry ”
เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นจากเข็มขัดก่อนที่มัน จะหายไป

“ เปิดประตูยาน เริ่มทำการ Catapalt ทาลิเลีย (Thaliliea, the Dragoon of Alimathea) ”
เสียงของ มาธิอัส ดังขึ้นจากลำโพงบนเพดานในทางเดิน ทาลิเลีย จึงงอเข่าย่อตัวลงเล็กน้อย
เพื่อเตรียมท่าสำหรับ ระบบที่กำลังจะเดินต่อ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/46.jpg)

“ Shoot ”
สิ้นคำของ มาธิอัส แท่นที่เธอเหยีบอยู่ก็ค่อยๆเลื่อนเร็วขึ้น ดีดเธออกจากยานไปอย่างรวดเร็ว
โดยที่ตัวเธอพุ่งไป ยังสนามบินด้วยความเร็วจากแรงส่ง

ขณะ ที่เธอรวบรวมสมาธิไปด้วย จึงเกิดมวลแสงสีแดงขึ้น มือของเธอทันทีกำแสงนั่น
มันก็กลายเป็นหอกเกล็ดมังกร กับ เกล็ดมังกร

……………..
…………………..

ขณะเดียวกัน Lancelot เองก็ค่อยจมลงไปจนมือที่อุ้ม ลูเทเซ๊ย กับ มาเรียลูส เริ่มจะคล้อยต่ำลงมายังกลุ่มหมอกแล้ว
ทันทีที่ สูดควันเข้า มาเรียลูส ก็เริ่มรู้สึกวิงเวียน ศรีษะและหน้ามืด ทว่า ลูเทเซีย ก็มารับตัวเธอไว้ไม่ให้หล่นลงไป

“ มาเรีย ทำใจดีๆไว้นะ มาเรีย….มาเร..อุบค่อกแค่กๆ.. ”
ลูเทเซีย เรียกและเขย่าตัวเธออยู่นานแต่เธอก็ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งตัวเขาเองก็สุดเอาหมอกพิษเข้าไปบ้างแล้ว
แต่ก็พยายามฝืนกลั้นเอาไว้

“ เจ้าหญิงเพคะ… ”
เฟรเซีย ทำได้เพียงแค่ร้องป่าวๆอยู่ใน Cocpit ของ Gilgamaze เพราะไม่สามารถ ขยับหลุดออกจาก
ฝูงเทอเรี่ยนที่ กดทับอยู่ได้ อีกทั้ง ประตู Cocpit ก็เปิดไม่ได้เช่นกัน

“ Carnalian Gauntlet ”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้น ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างพุ่ง ผ่านเข้ามาในวงล้อมหมอกพิษ และจัดการกระแทก
พวกเทอเรี่ยน ที่กด ทับร่างของ Gilgamaze ออกไปจนหมดอย่างรวดเร็ว
 ก่อนที่จะลงสู่พื้น สิ่งนั้น ถูกห่อหุ้ม เกราะทรงกลม ซึ่งเกิดจากอนุภาคสีเขียวที่ปล่อยออกมา

“ Geo Driver ”
ท่ามกลางความสับสนนั้น เสียงทุ้มกังวานขึ้นจาก เจ้าสิ่งนั้น ก่อนที่อนุภาคเกราะ จะจางลง
เผยตัวผู้มาช่วย ซึ่งก็คือเฟนท์ ตอนนี้เขารวบอนุภาคไปที่ ทนัมมือทั้งสอง ข้างก่อนจะทุบมันลงไปบนพื้น

จนเกิด คลื่นหินอัดทะลวงขึ้นมาจากพื้นพุ่งไปเป็นทาง กระแทกตัว Lancelot จนหลุดออกมาจากหลุมดำได้
ทันทีที่ ไม่มีสิ่งใดในหลุม มันก็หุบตัวหายไปในทันที ส่วน ลูเทเซีย ได้อุ้ม มาเรียลูส ขึ้น พร้อมกับ
กระโดด ขึ้นไปยังแผ่นหินที่พุ่งเข้ามาชนและ ทรงตัวยืนไปจนแผ่นหินนั้น พุ่งตัวออกจากกลุ่มหมอกพิษ

“ เชอะมีพวกตัวยุ่งเข้ามาแส่จนได้ ”
เชอร์โนบิอาส สบถ ก่อนจะหันไปร่ายเวทย์ สร้างหลุดำขึ้นที่เท้า ของ เฟนท์ ทว่าหลุมนั้นก็โดนละออง
ประจุอิออน ที่ห่อหุ้มตัวอยู่ สลายไปได้ง่ายๆ สร้างความแปลกใจแก่ เชอร์โนบิอาส ยิ่งนัก

“ อะไรกันเนี่ย เวทย์ของข้าทำไมถึงสลายไปได้…เป็นละอองเขียวๆนั่นรึ อ้อจริงสิว่าแล้วเคยเห็นที่ไหน
ที่แท้ก็พวก Empyrean Adjust นี่เอง พอดีเลยเพราะพวกแกเลยทำให้ การค้าของพวกข้าปั่นป่วนไปหมด
ขอระบายกับแกเลยก็แล้วกัน ”

เชอร์โยบิอาส กล่าวจบ ก็บุกเข้าใส่ เฟนท์ ทันที ทว่าตัว เฟนท์ เอง ก็ใช้ประจุไปมากแล้ว
จึงต้องรอการสะสมประจุใหม่อีกครั้ง ตัวเขาจึงต้องรีบถอย ออก โดยทันที
ครั้นเมื่อ เชอร์โนบิอาส จะตามไป Gilgamaze กับ Lancelot  ก็เข้ามาขวางไว้

“ เชอะคิดขวางข้า เรอะแล้วพวกเจ้าจะต้องเสียใจ  ”
สิ้นคำ เชอร์โนบิอาส ก็ฟาดคลื่น เวทย์สีดำกระแทกใส่ เครื่องทั้งสอง จนกระเด็น ออกไป
ก่อนจะเรียกให้ พวกเทอเรี่ยน มารวมกัน


“ แด่สุรเสียงแห่งเงามืด จงลั่นร้องมาสู้ผืนภิพบ Blinking Shadow  ”
สิ้นคำ ก็เกิดควันที่ดำสนิทเสียยิ่งกว่า หมอกพิษ ที่ลอยอยู่รอบ
กลบทับกองทัพ เทอเรี่ยน ของเขา ทันทีที่ หมอกสลายไปพร้อมกันกับ

หมอกพิษ พวก เทอเรี่ยน ปีกคำสาป(Cursed Wing Therion) ก็กลายสภาพเป็น
 ดูมอาร์มเทอเรี่ยน (Doom Arm Therion)  ซึ่งยืนด้วยสองขาและมีแขนที่ทรงพลัง ขนาดของพวกมันก็ขยายขึ้น
ได้ครึ่งหนึ่งของ Gazor เลยทีเดียว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/s007/3.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n018/103.jpg)

“ เล่นกับพวกมันให้สนุกล่ะ ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวจบก็ ตรงไปหา ลูเทเซ๊ย กับ มาเรียลูส โดยที่ ดูมอาร์มเทอเรี่ยน ได้เข้าไปต่กรกับ Gazor ทั้งสอง
ด้วยจำนวนที่มากมายและพลังที่มหาศาล สึซาคุ กับ เฟรเซีย จึงไม่สามารถขัดขืนได้

“ แย่ล่ะสิ….แต่ว่าเราเองก็ต้องถอยแล้ว เพราะตอนนี้ไม่มีหมอกที่มาอำพรางตัวเราแล้ว… ”
ขณะที่ เฟนท์ คิดหาวิธีเข้าไปช่วยอยู่นั้น ทาลิเลีย ก็พุ่งผ่าน เขาไปอย่างรวดเร็วดดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นเขา

“ นั่นมัน อัศวินมังกรเมื่อตอนนั้นนี่ ”
เฟนท์ คิด ทันทีที่เห็นร่างของ ทาลิเลีย เขาจึงตัดสินใจ ถอยออกมาดูห่างๆ

“ ขอร้องล่ะ พวกนายมาเพื่อช่วยสินะ ”
เฟนท์ ภาวนาในใจ ให้อัศวินมังกร มาเพื่อช่วยกู้สถานการณ์ ซึ่งก็ดูเหมือนจะตรงใจ เพราะ ทาลิเลีย
ได้เข้าไปขวางระหว่าง เชอร์โนบิอาส กับ บุคคลทั้งสอง เอาไว้

“ นี่แก อัศวินมังกรแท้งั้นเรอะ …แกเองสินะที่ไปขัดขวางข้าเมื่อคราวก่อน ”
เชอร์โนบิอาส กล่าว ด้าน เจ้าหญิง มาเรียลูส กับ เฟรเซีย เองก็พึ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก
เพราะตอนเกิดเหตุที่ท่าเรือ พวกเธอทั้งสอง สลบไปจึงไม่อาจจำได้ ส่วนเจ้าชาย ลูเทเซีย กับ สึซาคุ เองก็เช่นกัน
พวกเขาจึงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย

“ เรกกะ ยังมาไม่ถึงงั้นเหรอ… ”
ทาลิเลีย คิดขณะที่ยังคงดูเชิง อยู่กับ เชอร์โนบิอาส

“ น่าสนดีแกเองก็มีเรื่องที่ต้องชำระกับข้าด้วย หนี้คราวก่อนข้าจะเฉ่งให้หมดวันนี้แหล่ะ จงแหลกไปด้วยกันให้หมดเลย ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวจบ ก็ยก ไม้เท้าขึ้นรวมพลังเวทย์ เอาไว้หมายจะสูบให้ทั้งทาลิเลีย และที่เหลือหายไปในความมืด


“ เดี๋ยวๆ หยุดก่อนๆ ”
เสียงหนึ่งกลับดังขึ้น ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ ต้องหยุดกึกกันไปด้วยก่อนจะหันไปยังทิศของเสียง

“ เดี๋ยวๆ โทษที กว่าจะหาทางมาถึงนี่ได้ ก็เสียเวลาไปเยอะเลย อย่าพึ่งเริ่มนะ ”
เสียงดังขึ้นอีกขณะที่เจ้าของ เสียงเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ซึ่งทันทีที่ เห็นร่าง เจ้าของเสียงลางๆ ทาลิเลีย ก็
ไม่รออะไรอีกแล้ว เธอพุ่งเข้าไปรวบตัวทันที ซึ่งมาเรียลูสเองเมื่อเห็น เจ้าของเสียงอยู่ลางๆก็พอจำได้ว่า
เป็น เรกกะ แต่เธอก็ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะมันอยู่ไกลเกินไป

“ อีตาบ้าาาาาาาาา ”
ทาลิเลีย ตะโกนลากเสียงยาวมาตลอดทางพร้อมกับ เขก เรกกะ ที่ถูกจิตของทาลิฯ ครอบครองเอาไว้ เสียที
หนึ่ง

“ นี่เดินโต้งเข้าไปแบบนี้คิดได้ไงเนี่ยห๊า เกิดเค้ารู้กันขึ้นมาว่านายเป็นใครจะทำไง ”
ทาลิเลีย กล่าวเทศใส่เป็นชุดโดยไม่เปิดโอกาส ให้ เรกกะ โต้ทว่า ทางด้าน เชอร์โนบิอาส ก็ไม่รอแล้ว
เพราะได้เสกควันออกมา ทำให้ทั้งสอง สลบเพื่อจะได้เชือดเอานิ่มๆ

“ ตายแล้วทางนั้นก็ทิ้งไม่ได้ซะด้วย ”
ทาลิเลีย รีบลากตัว เรกกะ กลับไปทันที ทว่า เชอร์โนบิอาส ก็ให้พวก ดูมอาร์มเทอเรี่ยน
เข้ามาขวางไว้ ทาลิเลียจึงต้งปล่อย เรกกะ แล้วเข้าไปสู้แทน

 “ ทีนี้ก็มาทำงานให้เสร็จ ๆกันซะที เรื่องจะได้จบๆไป ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวจบก็หันมาทำกิจต่อ ยกไม้เท้าขึ้นรวมพลังเวทย์

“ แย่แล้วเจ้านั่นมันจะ… ”
“ ใครก็ได้หยุดมันที ”
สึซาคุกับ เฟรเซีย กล่าวกันตามลำดับ ทว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยก็ไม่ได้เพราะถูกพวก ดูมอาร์มหักทำลายชิ้นส่วนจนเสียหาย เกินกว่าจะสู้ต่อได้  วินาทีที่ คมดาบเวทย์สีดำกำลังจะบั่นคอทั้งคู่

“ เฮ้ยเห้ย เชือดไก่ก่อนงานจบแบบนี้ไม่ดีมั้ง ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ เชอร์โนบิอาส ถูกยันจมล้มโครมลงไป

“ หนอยนี่แก…ไอ้หนูบังอาจมาถีบข้าเรอะ  ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวครั้นจะลุกขึ้นยืนก็ปวดเอวที่โดน เรกกะ ยันไปเมื่อครู่จนเข่าอ่อนลุกไม่ขึ้น

“ ไม่ไหวๆ…แก่จนเอวไม่ดีแล้วยังทำชั่วแบบนี้ ไม่อาจลูกอายหลานบ้างเหรอห๊า ลุง ”
เรกกะ กล่าวตอกยั่วให้ เชอร์โนบิอาส โกรธ จนหัวเสีย

“ แกไอ้เด็กบ้า มาว่าข้าเป็นลุงเรอะใครเป็นลุงแก..ข้าพึ่งจะ 300 เองนะ ”
เชอร์โนบิอาส ตะคอกกลับ

“โห 300 งั้นก็รุ่นทวดแล้วสิ  ”
เรกกะ สวนทันที


“ เจ้าเด็กผี 300 สำหรับจอมเวทย์ปีศาจมัน ยังถือว่า เอ๊าะๆอยู่เฟ้ย หนอยไม่เล่นด้วยแล้ว ดูมอาร์ม ขยี้มันซะ ”
เชอร์โนบิอาส ที่ถูกยั่วจนเสียคน ก็ออกคำสั่งให้ ดูมอาร์มเทอเรี่ยนทั้งหมด เข้ามาจัดการ
ทันทีที่ พวกมันพุ่งเข้า เรกกะ ก้มหลบ ให้พวกมันชนกันเองจนล้มระเนระนาด

“ ว้อยยย…ให้มันได้งี้ซีวะ ”
เชอร์โนบิอาส ตะคอกด้วยความเหลือ อด ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความเจ็บแค้นจนลืมความปวด
ไปเสียสนิท

“ อ้าวๆลุงทวด ไม่ปวดเอว แล้วหรือจะให้นวดมะ ”
เรกกะ ยังคงพูดยั่วต่อไปไม่หยุด

“ หนอยแกกวนประสาทข้าดีนัก ตายวันนี้แกต้องตายก่อนใครเพื่อนเลย ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวก็ยกไม้เท้าขึ้นรวมพลังเวทย์อีก แต่เรกกะ ก็ปัดเอาไม้เท้า หลุดไปจากมือเขา

“ นี่อย่ามัวเล่นสิ ”
เสียงของ เรกกะ เจ้าของร่างดังขึ้นในจิตใจ

“ เออ…รู้แล้วๆจะจัดการให้จบๆเดี๋ยวนี้ล่ะ ”
เรกกะ กล่าวจบก็ยกเอาเข็มขัดติดตลับไพ่ขึ้นมาคาดเอว
ก่อนจะเปิดตลับเอาไพ่ใบหนึ่งออกมา ตัวเลขบนหน้าจอตลับก็ลดลงจาก 98 เป็น 97
เรกกะ นำไพ่ขึ้นมามองด้วย ตาซ้าย ที่ส่องแสง สีแดงอยู่ในดวงตาซึ่งแสงนั้นก็คือศิลาที่ฝังอยู่ในตาซ้ายของ
เขานั่นเอง



“ ไม่ว่ามันจะทำอะไรหยุดมันซะ ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวจบ พวก เทอเรี่ยนทั้งหมดก็ลุกขึ้นมาบุกเข้าหาเรกกะ ขณะเดียวกัน ไพ่ที่มองอยู่นั้น หน้าไพ่ ด้านสีขาว ก็ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งไฟขึ้นมา ซึ้งพอดีกับที่พวก เทอเรี่ยน พุ่งเข้ามาแล้ว เรกกะ จึงบ่ายตัวหลบ
พร้อมกับปล่อยไพ่ในมือให้ค่อยๆร่วงหล่นลง ก่อนจะสะบัดข้อมือซ้ายที่คาดสายคาดเอาไว้ ทันทีที่แสงจากหน้าปัด
สายคาด ส่องถูกไพ่  มันก็ดึงเอาไพ่ เข้ามา เรกกะ จึงหมุนตัว เบี่ยงหลบ ออกมานอกวง พวกเทอเรี่ยน

“ Blaze From ”
เสียงดังขึ้นจาก หน้าปัด ก่อนที่ เรกกะ จะง้างมือขึ้น

“ Regeneration ”
ทันทีที่ เรกกะ ทุบไพ่ลงไปบนหน้าปัด เสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเกิดแสงสว่างสีแดงวาบขึ้นมาจากหน้าปัด
และอาบร่างของ เรกกะ ไว้ในวินาที นี้ รหัสพันธุกรรมในร่างกาย ของ เรกกะ ก็ค่อยๆถูกจัดเรียงขึ้นใหม่

และทันทีที่แสงจางลง ร่างของเรกกะ ก็กลายเป็น อัศวินทาลิวิลย่า แห่งเพลิงซึ่งมีกานสแดงฉานดั่งเปลวเพลิง
ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางสายตา ของทุกฝ่ายที่จับจ้องมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ

“ คราวนี้เป็น ทาลิคนัส (Thalignus, the Arimathea’s Dragoon of Thaliwilya) เหรอ ”
ทาลิเลีย กล่าวขึ้นทันทีที่เห็นร่างใหม่ของเรกกะ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/3.jpg)

“ ทา..ทาลิคนัส นี่คือชื่อนายเหรอ ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นภายในจิตใจของ ทาลิคนัส
ทว่าดูเหมือน ตัว ทาลิคนัส เองจะไม่ยอมฟังเขาเลย กลับตั้งท่า วาดมือ ออกแสดงท่าทาง
ราวกับวีรบุรุษ

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอก มาแล้ว ”
ทาลิคนัส กล่าว ขึ้น สร้างความงุนงง แก่ทุกคนในบริเวญนั้นอย่างทันท่วงที

“ เอาล่ะถึงเวลาชั้นออกโรงซักที เส้นมันยึดไปหมดแล้วรู้ไหมแล้วก็จำไว้เลยถ้าชั้น
ออกมาเมื่อไหร่มันจะต้องไคล์แมกซ์กันตั้งแต่ต้นจนจบเลย ”
สิ้นคำ ทาลิคนัส ก็สร้างมวลแสงสีแดงขึ้นในอุ้งมือทั้งสองข้าง ก่อนจะประกบมันเข้าด้วยกัน
และวาดมือ ออกพริบตามวลแสงก็กลายเป็น ดาบเพลิง

“ ดาบอัคคี Ignis et Dragos ”
สิ้นคำทาลิคนัส ก็ไม่รออีกต่อไป บุกเข้าไป ฟันแหลกใส่ไม่ยั้งกับพวก ดูมอาร์มเทอเรี่ยนจนหมอบไปกองทุกตัวอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน

“ อะไรกันยังไม่ทันหายมันส์ เลย เฮ้ยนี่แกเล่นให้ทนๆหน่อยนะเว้ย เดี๋ยวมันจะน่าเบื่อไม่ไคล์แมกซ์กันพอดี ”
ทาลิคนัส กล่าวยั่วยุ ขณะที่ถือดาบพาดไว้บนไหล่

“ อีตานี่จะบ้าไปถึงไหนเนี่ย ”
ทาลิเลีย บ่นพลางเข้าไปร่วมวง ช่วย ทาลิคนัส ทว่า ทาลิคนัส กัลบยกมือขึ้นปรามไม่ให้เข้ามา


“ อ๊ะๆ..ไม่ต้องเลยชั้นคนเดียวพอเพราะพระเอกคือชั้น นางเอกถอยไป ”
ทาลิคนัส กล่าวพร้อมกับสะบัดมือไล่

“ หนอย นางเอกเรอะ นี่แกเห็นฉันเป็นตัวอะไรกันแน่ คอยดูเถอะเสร็จงานนี้ จะเอาให้เละเล้ย ”
ทาลิเลีย สบถพร้อมขบการมแน่นด้วยความหมันเขี้ยว ออกอาการ เคืองแบบออกนอกหน้า จนพวก สึซาคุ ที่
พึ่งออกจาก cocpit ต้องหยุดอึ้งไปตามๆกัน

“ หนอยแกเองเรอะที่เป็นอัศวินมังกร ที่มาขวางข้าน่ะ เอาสิอยากเล่นทนๆใช่ไหม งั้นข้าจะจัดให้ ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวจบ ก็ร่ายเวทย์ สร้างหลุมดำ ขนาดใหญ่ขึ้นเหนือหัว แรงดูดของมันเอาทุกสิ่งรอบๆเข้าไปเรื่อยๆ
ซากของ Lancelot และ Gilgamaze ถูกดูดเข้าไปและสลายไปในทันที โชคดีที่พวก สึซาคุ ออกมาก่อนแล้ว

“ โอ้ ต้องแบบนี้สิถึงจะเจ๋ง งั้นก็มาท่าไม้ตายเลยละกันนะ ”
ทาลิคนัส กล่าว จบก็ดีดนิ้วมือซ้ายขึ้นหนึ่งที ไพ่ที่มีสัญลักษณ์ ธาตุไฟ ก็ได้ปรากฏขึ้นก่อนที่
ลูกมังกรเพลิง นิลทินโคออน (Niltinco, the Arimathea’s Baby Dagon) ก็บินลงมาจากยาน ไซเบอริก้าดราก้อน

ทันทีที่ แสงจากไพ่ยิงส่งไปถึงร่างของมันก็เปลี่ยนเป็น
มังกรเพลิงร่างเต็มวัย นิลทินโคออน (Niltincoion, the Arimathea’s Fire Dragon)

“ ท่าไม้ตายของชั้นหมายเลข1 ”   “ Full Charge Great of Dragon ”
ทาลิคนัส กล่าวจบก็ เอาไพ่เผาลงไปในไฟที่ดาบ จากนั้เสียงทุ้มก้องก็กังวานขึ้นจากตัวดาบ
พร้อมกับเปลวเพลิงที่ ลุกพรึ่บขึ้น

“ ท่าไม้ตาย….อะไรอีกล่ะปาหี่ของแกเรอะ ”
เชอร์โนบิอาส กล่าวด้วยความสงสัย

“ ไม่ใช่ปาหี่เฟ้ย คอยดูก็แล้วกันรับประกันว่า ไคล์แมกซ์ ”
ทาลิคนัสกล่าว ขณะที่ ทุกคนมัวแต่งง กับคำพูดของ ทาลิคนัส หลุมดำก็ค่อยๆดูดแรงขึ้นเรื่อยๆ
ไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่ดาบของ ทาลินัส ก็พุ่งพล่าน ขึ้นจนกลาย เป็นมังกรเพลิง
พุ่งยาวออกมาจากด้ามดาบไปเลยทีเดียว

“ เอาไปเลยจัดให้เต็มๆ ”
ทาลิคนัส กล่าวจบก็ตวัดดาบไปทางซ้ายมังกรเพลิง ก็พุ่งเข้ากระแทกเผาร่าง ของ เชอร์โนบิอาส
จนลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง

“ อ๊าคคคค…. ”
เชอร์โนบิอาส ร้องอย่างทุกข์ระทม ด้วยความร้อนจากเปลวเพลิงที่กำลังเผาผลาญร่าง
ทว่ายังไม่ทันที่ไฟ จะได้มอดลงแม้แต่น้อยทาลิคนัส ก็ตวัดดาบกลับอีกที
มังกรเพลิงก็พุ่ง ทะลวงร่างเขาไปอีกครั้ง เปลวงเพลิงได้ครอกเพิ่มเข้าไปอีก
และทันทีที่ ทาลิคนัส ประสานมือยกด้ามดาบขึ้นเหนือหัว นิลทินโคออนที่เรียกลงมา ก็เริ่มสะสม มวลความร้อนไว้ในปาก

“ ปิดฉากล่ะนะ ”
สิ้นเสียง ทาลิคนัส ก็ฟาดดาบลง มังกรเพลิงก็พุ่งลงกระแทกร่างของ เชอร์โนบิอาส
ไปพร้อมกับที่ลมหายใจเพลิง Flame Breath  ของ นิลทินโคออน ถูกพ่นเข้ามาเสริมพลังเผาผลาญร่างของ
เชอร์โนบิอาส จนเกิดระเบิดเพราะความร้อนพุ่งทะลุจุดเดือด กันไปเลยทีเดียว

“ นี่สิไคลแมกซ์ ”
ทาลิคนัส กล่าวพร้อมกับควงดาบ ปักลงไปบนพื้น แล้วตั้งท่าแสดงชัยชนะ
โดยหารู้ไม่ว่า มีชายที่แต่งตัวปกปิดตนเอง สวมหมวก ปิดหน้าปิดตาด้วยผ้าคาดปากกับแว่นตาดำ
กำลัง จับตาดูเขา พร้อมกับนาฬิกาทรายในมือที่ทรายค่อยๆไ หลลงมาจนหมดก่อนจะเดินหายไปจากตรงนั้น


“ คนที่แปลงร่างเป็นอัศวิน มังกรนั่น หรือว่าจะเป็น… ”
เฟนท์ ที่ บินดูอยู่ห่าง รำพึงขึ้น ขณะที่ เหล่าอัศวินมังกร ทั้งสอง ได้บินหายลับไปท้องฟ้า
ปล่อยให้ หน่วย กู้ภัย และอื่นตามมาจัดการกับงานที่เหลือ

…………………
……………………..
“ เมื่อกี้ นายเรียกว่าใครเป็นนางเอกห๊า….ให้ตายสิ มารยาทแย่ชะมัด ทำไมถึงได้มีทาลิวิลย่า ที่นิสัยแย่ๆแบนี้อยู่ด้วยนะ ”
ทาลิเลีย บ่นใส่ตลอดทางที่ บินกลับไปยังยานไซเบอริก้า โดยที่ ทาลิคนัสนั้นไม่อาจโต้กลับไปได้จึงได้แต่ ฟังเธอเทศไปตลอดทาง

“ ใช่สิ นิสัยแย่จริงๆนั่นแหล่ะ ”
เสียงดังขึ้น ก่อนที่ ลำแสง จะพุ่งตัดหน้าพวกเขาไป  ก่อนที่ อาวุธบิน 3 อันจะพุ่งตรงมาและกางออก พร้อมกับ วนยิง ลำแสงใส่ ไล่ต้อนล้อมกรอบพวกเขาไว้

“ เธอ Valkyrier เมื่อตอนนั้นนี่ ”
ทาลิเลีย กล่าว เมื่อเจ้าขอเสียงปรากฏตัว พร้อมกับ พัดในมือส่องแสงสว่างสีเขียวที่เกิดจากประจุอิออนเข้าไปรวมกัน

“ จำไว้อย่างเลยนี่คือโทษฐานที่พวกแกไม่ยอมทำอะไรกันเลย หลีเม่ย คนนี้ จะขอสะสางบัญชีแค้นล่ะ ”
สิ้นคำ หลีเม่ย ก็ เหวี่ยงพัดออกไป

………………..
……………………..

ณ ห้องอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยหน้าจอซึ่งฉายภาพทุกเหตุการณ์ในเทอร่า ไว้ในทุกความเคลื่อนไหว

“ เจ้าอัศวินมังกรนั่นก็เข้ามาแทรกแซงอีกแล้วสินะ ”
โครโน่ กล่าวขึ้นเรียบๆ

“ แล้วจะปล่อยไว้หรือคะ ”
ฮายาเตะ ถาม

“ ไม่…อยู่แล้ว ยังไงก็ต้องจัดการจะช้าหรือเร็ว ก็ต้องถูกเก็บด้วยอยู่ดีเพื่อการสร้าง เทอร่าขึ้นใหม่จะให้มีอะไรมาขัดขวางไม่ได้เด็ดขาด ”
โครโน่ กล่าว ตัดบทไปก็ดีดเหรีญญในมือขึ้น และทุกอย่างก็มืดลงพร้อมกับจอภาพที่ดับไปพร้อมๆกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ เนี่ยก็ซ้อมทั้งไปบ้านผีสิง ดูหนังสยองขวัญ อะไรต่อมิอะไรก็แล้ว แต่สงสัยจะไม่ไหวล่ะ ”
“ งั้นภารกิจนี้จะให้ไปกันแค่สองคนเหรอ ”
ภารกิจที่น่ากลัว

“ คุณพ่อน่ะเป็นยังไงผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ที่รู้อย่างนึงก็คือ ท่านเป็นคนที่กล้าหาญแล้วก็เด็ดเดี่ยว
ที่สำคัญคุณพ่อมี เพื่อนมากมายเลยแต่ผมเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันเพราะมันนานแล้วล่ะ ”
“ ที่มีเหลือไว้ก็แค่นาฬิกา ทรายเก่าๆอันเดียวเท่านั้น ”
ความทรงจำ ที่เรือนลาง

“ โรงเรียนถูกจลาจลเหรอ ไอ ถูกจับเป็น ตัวประกัน ”
“ พวกเราเป็น Valkrier นะมีหน้าที่ที่สำคัญกว่าการไปช่วยคนแค่คนเดียวนะ ”
“ ไม่ต้องห่วงหรอก เฟนท์ ชั้นจะจัดการให้เอง ถ้านายมีธุระก็ทำต่อไปให้สำเร็จเถอะ ”
การตัดสินใจ

“ คนๆนั้นอีกแล้ว จะว่าไปแล้วทุกครั้งที่เราปรากฏตัวเขาจะต้องโผล่มาอยู่เรื่อย ”
“ นาฬิกาทราย นั่น ”
“ ไม่รู้เหมือนกัน แต่นาฬิกาทรายนั่น เป็นของคุณพ่อผม ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด แน่นอน ”
ปริศนาที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ติดตามได้ใน Saga 08 Double Action

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง



ดูจากตัวอย่างตอนหน้าแล้ว มันงานช้างชัดๆเลยนะเนี่ย รอบนี้จะเห็นว่า ศัพท์เกรียนๆมันเย้อเน้อ
กว่าจะเข้นมาเขียนได้แต่ละคพสุดๆกับบุคลิคนี้จริงๆ เจ้าเรกกะเถื่อนเนี่ย
ล่อซะเขียนแทบไม่ออก

ก็คงไม่มีอะไรมากนอกจากงานนี้วุ่นตายชัก ที่จริงมีโคมลอยมาว่า ลอว์เรนซ์ จะกลับมารับบทอีกด้วย
 แต่จริงแท้ไม่แน่ใจครับ
ต้องดูเอาเอง ถ้ามีคงอีกไม่นาน เพราะ ตอนโผล่มาดันมีบทแค่สองตอนแล้วหายไปเลย ว่าแต่ถ้ารอดมาได้
ก็แสดงว่าแก่เกิน ร้อยปีเลยสิเนี่ย ที่จริงว่าจะไม่ประกาศอ่ะนะ เพราะยังไม่แน่นอน
แต่ซีรี่ย์นี้จะทำแค่ 25 ตอนจบเท่านั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะพอให้ลงครบหมดหรือเปล่าเพราะ
นี่พยายามขุนให้ตัวละครมันออกมาให้หมด แต่ทำไปทำมา มันเยอะจนไม่รู้จะยัดลงฉากจบหมดไหมเนี่ย รู้ว่ากำลังจะดิ่งลงเหวเหมือนภาคแรกแล้วสิ

ช่วงแถมท้าย

ต่อจากคราวที่แล้ว รอบนี้เรามีคำใบ้มาช่วยท่าน ว่าคูหมาป่านั่นเค้าเป็นอะไรกัน
แต่ระวังจะมีคำใบ้หลอกด้วย ซึ่งภาพคราวที่แล้วก็อาจจะหลอกด้วยเหมือนกัน
ก็ต้องลองเดากันดูใครเดาแล้วเดาใหม่ได้เรื่อยๆจนกวาจะเฉลยนะ ซึ่งจะทีกันไปอีกประมาณ
4 ภาพ ซึ่งภาพเฉลยคือภาพสุดท้าย หรือคือเฉลยใน Saga ที่ 11 นั่นเองขอรับ ไปล่ะนินๆ

(http://images.temppic.com/11-03-2009/images_vertis/1236756327_0.57977700.jpg)


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: boy on March 11, 2009, 08:31:00 PM
รูปภาพดูยังไงมันก็เหมือนรูปภาพธรรมดา -*-

รู้สึกบทนี้คำพูดผิดเยอะมาก  ::010::  พิภพ  เลืองลาง  รายงานฯลฯแล้วแต่จะบรรยาย   ::010::

บทนี้คลายเครียดนิดเดียวเอง  ::008::  อยากอ่านฉากพวกนี้เพิ่มเติม   ::008::

ว่าแต่ว่าไหง thaliwilya ไฟของอาริมาเทียถึงเถื่อนอย่างเนี้ย  ::010::   ตอนแรกอ่านคิดว่าธาตุดินซะอีก

มีเรื่องนึงที่ผมอยากถาม..........ทุกครั้งที่เรกกะแปลงร่างจำเป็นต้องดึงไพ่ออกที่ละใบแล้วหายไป

ถ้าเกิดไพ่หมดก็แปลงร่างไม่ได้ใช่มั้ยครับ   ::010::

อยากอ่านตอนใหม่เร็วๆ -*-


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: cocka-c on March 11, 2009, 08:46:05 PM
Quote
รู้สึกบทนี้คำพูดผิดเยอะมาก    พิภพ  เลืองลาง  รายงานฯลฯแล้วแต่จะบรรยาย

ผิดเยอะสิไม่แปลก ถ้าไม่ผิดเลยนี่คงต้องพิจารณา พี่ปิโยม่อนเค้าใหม่ละ พอดีเค้าไม่อยู่ตรวจก็เลยลงสดไปเลยตรวจกันเองมันเลยพลาดไปเยอะ น่ะอันนี้ขอให้ทำใจไปก่อนแต่ตอนหน้าจะไม่ค่อยผิดละ



Quote
ว่าแต่ว่าไหง thaliwilya ไฟของอาริมาเทียถึงเถื่อนอย่างเนี้ย     ตอนแรกอ่านคิดว่าธาตุดินซะอีก

เหมือนเจ็เลย ตอนแรกก็นึกว่า เกรม่อนคุงจะลง ธาตุดินแบบไล่เหมือนคราวภาคที่แล้ว แต่ไหงกลายเป็นไฟ หว่า
พูดถึงความเถื่อนแล้ว เจ็ ชักจะตกหลุมรักซะแล้วสิ  ::018::


Quote
มีเรื่องนึงที่ผมอยากถาม..........ทุกครั้งที่เรกกะแปลงร่างจำเป็นต้องดึงไพ่ออกที่ละใบแล้วหายไป

แหมก็จริงอ่ะนะ ที่จริงตอนแรก ก็นึกว่า จะหมดกันตอนละใบ เลยพาลนึกไปว่า เกรม่อนคุงจะ เขียน ที เป็น 100 บทเลยรึเปล่าเนี่ย เอาเข้าจริงตกลงจะเอาแค่ 25 ตอนใช่มิ แสดงว่า การ์ดคงไม่หมดก่อนจบเรื่องแล้วล่ะ

มั้งนี่ ยังเหลืออีก ตั้ง 97 ใบ ในเรื่องก็ยังไม่เอะใจกัน เพราะมันยังเหลือให้ใช้อีกเยอะ ไม่แน่เดี๋ยวพอหมด มาธิอัส อาจ มีสำรองให้ก็ได้ หรือไม่ก็ต้อง ไปหาของมาทำเอา มั้งหุๆ อันนี้ ทั้งคณะงานเรายังไม่มีใครรู้ ยกเว้นเจ้า เกรม่อน เพราะมันเขียนบท คิดบท มันรู้คนเดียว

เอาล่ะว่า แล้ว ก็มารุ้นกัน ตอนต่อไปวันอาทิตย์ นี้ ว่า ลอว์เเรนซ์ คุง
จะหน้าด้าน แบกหน้ากลับมาร่วมวงด้วยหรือเปล่า ถ้ากลับมาอย่าลืมเอา เจนัสคุงมาด้วยนะ
เจ็ชอบของเถื่อน เหอๆ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: boy on March 12, 2009, 10:10:40 PM
ว่าแต่เรื่องนี้พวกตัวละครหลักที่ทำออกมาเป็นการ์ดนี่วาดกันเองเลยรึเปล่าครับ

ถ้าใช่ก็............วาดสวยมากๆเลยครับ  ::003::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: cocka-c on March 12, 2009, 10:27:57 PM
Quote
ว่าแต่เรื่องนี้พวกตัวละครหลักที่ทำออกมาเป็นการ์ดนี่วาดกันเองเลยรึเปล่าครับ

ถ้าใช่ก็............วาดสวยมากๆเลยครับ

สำหรับ ฉากหลังของ ตัวละครในการ์ดทำเอวนั่น ตัดมาจ้ะ แต่ส่วนของตัวละคร เอากราฟฟิคจากเกมส์มาแล้ว ตัดต่อ
บวกวาดใหม่ มันเลยใช้เวลานาน กว่าจะได้แต่ละใบอ่ะจ้ะ เนี่ย Sig ข้างล่างของ เกรม่อนคุง
ก็ว่าจะเปลี่ยนใหม่ แล้ว แต่ไม่มีเวลา ซะที ว่าแต่ ปริศนาของเจ็ กับ ปิโยม่อน คงไม่ยากไปนะจ๊ะ

แล้วก็กระทู้ ภาพการ์ดValkyrier นั่นเดี๋ยว ว่างๆจะไปอัพให้จ้ะ

ว่าแต่ตัวอย่างตอนต่อไปช่วงนี้เกรม่อน เค้าเขียนค่อนข้างคลุมเคลือเลยลืมอะไรไปเยอะเลย
เพราะงั้นเดี๋ยวจะแจงเพิ่มให้เล็กน้อย ในตอนต่อไป พวก ทาลิคนัส สู้ กับ หลีเม่ยต่อ

จากตอนที่7 ส่วนเฟนท์ นั้น ทะเลาะกับ ไอ นิดหน่อย เพราะ อยู่ๆก็หนีเธอไป(เป็นใครก็ต้องโกรธล่ะ แต่มันเรื่องเร่งด่วนนิ) จะว่า ซีรี่ย์ นี้ อายุตัวละคร ออกวัยรุ่นอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องรักๆใคร่ ก็คงจะได้เขียนเพิ่มล่ะนะจ้ะ

แต่ว่า รักมันจะสมหวังหรือไม่นี่ก็คงต้องรอดูกันต่อไป(แต่ถ้าดูจากแนวที่ เจ้าเกรม่อนเขียนในภาคที่แล้วคงต้องมีเสียเลือดกันหน่อยล่ะ ดูตัวอย่างคู่ เจนัสXนีน่า เลือดสาดกระจาย)

แล้วก็ อดีตของ Valkyrier แต่ละคนยังไม่ปรากฏชัดก็ต้องดูกันต่อไป  ประจุเขียวๆที่เรียกว่า อิออน ก็ยังไม่เฉลย แล้ว Valkyrie ทำอะไรยังไงถึงได้มอบอำนาจให้มนุษย์เป็น Valkyrier นั้นก็ยังเป็นปริศนา

รวมไปถึง ไพ่แปลงร่างของ เรกกะ หมดได้เรื่อยๆ มาธิอัส จะมีให้สำรองหรือว่าต้อง เก็บเงินไปซื้อที่สะพานเหล็ก
หรือไม่มีหมดแล้วหมดเลย
หรือจะไม่ได้รู้ว่ามันจะหมดหรือไม่ อันนี้ก็ยังคลุมเครืออีก


รู้สึกปริศนา มันเยอะๆยังไงไม่รู้นะ เปิดมา 7 ตอนไปแล้ว ปริศนา เพียบ อีกทั้งพวก มาธิอัส เป็นใครมายังไง
R2 ชื่อจริงคืออะไร ก็คงต้องรอกันต่อไปล่ะนะนั่น


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 07 โอเระ ทันโจว Up OP
Post by: greamon on March 13, 2009, 07:03:41 PM
เนื่องจาก เจ้าการุรุม่อนมันไปพูดกันไว้แล้วดังนั้น ก็เลยไม่ต้องปิดแล้วมังในเรื่องนี้ ช่วงวันสงกรานต์
นั้น จะลงตอนพิเศษของ ซีรี่ย์นี่นะ ไอ้ที่เจ้าการุรุม่อนมันไปบอกว่าของ SMN VR! นั่นมันจำผิดเน้อ

ชื่อตอยจะอุบไว้ก่อนเอาไว้ลุ้นกันไปนะขอรับ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: greamon on March 15, 2009, 06:15:05 PM
Saga 08 Double Action


“ เมื่อใดที่เกิดภัยพิบัติ เขาก็จะปรากฏตัวขึ้น เพื่อช่วยเหลือ ให้ทุกคนรอดพ้นไปได้ ”
หญิงชราคนหนึ่ง กล่าวขึ้นนางนั่ง เล่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาในอดีต ให้แก่ หลานสาว
ตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ อยู่บนม้านั่งไม้ในลานรวมของหมู่บ้าน โดยที่หลานชาย ซึ่งเป็นคนพี่
วิ่งเล่นอยู่กับเด็ก คนอื่นๆ


“ คุณยายคะ เค้าคนนั้นเป็นใครหรือคะ เป็นคุณผีเสื้อหรือว่า คุณดอกไม้คะ ”
หลานสาว ตัวน้อย ถามด้วยความไร้เดียงสา

“ ฮะๆ…ไม่ใช่หรอกจ้ะหลาน เค้าไม่ใช่คุณผีเสื้อหรือว่า คุณดอกไม้หรอกนะ แต่เค้าเป็น บุรุษผู้กอบกู้ ”
หญิงชราหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะลูบหัวหลานสาว ด้วยความเอ็นดู

“ บุหลุด..อะไรคือ บุหลุด เหรอคะ แล้วอะไรทำไมมันถึงหลุดล่ะคะ คุณยาย ”
เธอถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ กับสิ่งที่หญิงชราต้องการสื่อถึง
ซึ่งตอนนั้น พี่ชายของเธอก็เข้ามาหา

“ ยัยบ๊องเอ้ย บุรุษต่างหากไม่บุหลุดซะหน่อย วีรบุรุษ น่ะรู้จัก อ้ะเปล่า เด่อ ”
พี่ชายของเธอ กล่าวอวดว่ารู้ดีกว่าเธอ ทำให้เธอหน้าบูดใส่ พี่ชาย

“ แล้ว บุหลุด คืออะไรพี่ รู้เหรอ ”
เธอถาม พี่ชายกลับไปบ้าง ซึ่งคำถามนั้นก็ทำเอา พี่ชายเธออึ้งสะดุดไป

“ หะ ห้า ก็ต้องรู้อยู่แล้ว บุรุษ ก็คือ…เอ่อ….. ”
พี่ชายของเธอ กล่าวทำท่าอวดเบ่งว่ารู้ ก่อนจะต้องอ้ำอึ้งไปเพราะไม่รู้จะตอบเช่นไร

“ นั่นงาย พี่ ก็ไม่รู้ใช่ม้า ”
เธอ กล่าวพร้อมส่งสายตา เหยียดๆใส่พี่ชาย

“ ม…ไม่ใช่นะ พี่แค่จำไม่ได้เท่านั้นเอง…ไม่ใช่ไม่รู้นะ ”
พี่ชายเธอรีบกล่าว แก้ตัวทันควัน

“ ไม่จริง…โกหก…พี่ โกหก ”
เธอ เถียงกลับไป

“ ม…ไม่ได้โกหกซะหน่อย…พี่พูดจริงๆนะ ”
แต่พี่ชายเธอ ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับอยู่ดี ขณะที่หญิง ชราได้แต่อมยิ้มขบขัน ในความไร้เดียงสาของทั้งคู่ก่อนจะปรามทั้งสอง

“ ฮะๆๆ…เอาเถอะๆ เดี๋ยวยาย จะบอกให้เอง บุรุษ หรือวีรบุรุษ น่ะก็คือ ”
หญิงชรา กล่าวพร้อมโอบไหล่ หลานชายให้มานั่งข้างๆ ก่อนจะเล่าต่อไป

“ คนที่ไม่ได้ทำเพื่อตนเองแต่ทำเพื่อทุกคน เหมือนอย่างที่ เค้าคนนั้นทำไงล่ะจ้ะหลานๆ เมื่อก่อนผืนแผ่นดินที่ชื่อว่า
 เมอริเซีย เคยถูก รุกรานโดยพวกคนไม่ดี แต่อัศวินมังกร กายสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้น เค้ามีท่วงท่าสง่างามราวกับพญาหงส์ เขาช่วยส่องแสงแห่งความหวังให้แก่เราในยามที่เรา หลงทางในความมืด ”

หญิงชรา เล่าในขณะที่เธอเองก็นึกย้อนถึงเรื่องสมัย ก่อนตนที่เธอยังเป็นเด็ก หญิงตัวเล็กๆอายุ
ประมาณหลานสาวของเธอในตอนนี้  เธอได้ไปดูการแสดงละครกับครอบครัว ละครที่แสดงในวันนั้น
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เมอริเซีย ที่ถูกกลุ่มลูกหลานชาวเมอริเซียซึ่งเป็น คณะนักแสดง นำมาแสดงบนเวที
 

ละคร แสดง เกี่ยวกับอาณาจักร  ฟูดินัน ที่ถูกกลุ่มปีศาจสมิง รุกราน พวกมันมาเพื่อจัดการกับ
บิชอปแห่งอาณาจักร ฟีเลเซีย ที่ได้เดินทางมาพำนักในเย็นของวันนั้น ชาวบ้านจึงต้องอพยพไปโดย
แม่และเด็กจะต้องไปซ่อนตัว อยู่ใต้ร่มเงาของ มหาพฤกษา อิกดราซิล ขณะที่ชายคนอื่นๆในหมู่บ้านต้องไปรบ ท่ามกลางไฟแห่งการสู้รบที่ลุกลาม ตรงเข้ามายังกลุ่ม อพยพ ในตอนนั้น นางเองรู้สึกสิ้นหวังไปตารมละครด้วย

ทว่าในตอนนั้นนางได้เห็นแสงสว่างที่เป็นดั่งความหวัง เจิดจรัสขึ้น
 นั่น คืออัศวินมังกร ทาลูคัส ที่ปรากฏตัวขึ้นในยามนั้น
และช่วยกอบกู้วิกฤติ ภาพการแสดงในวันนั้นยังคงตราตรึงในหัวใจของนางมาจนถึงวันนี้


“ ส่องแสงได้ เค้าเป็นคุณดวงอาทิตย์ เหรอคะ หรือว่าเป็นคุณหงส์ ”
เสียงของ หลานสาวดึงเธอกลับมา แต่ก่อนที่เธอจะตอบนั้น หลานชายก็แทรกขึ้นมาซะก่อน


“ ฮึ้ย..ไม่ใช่หงส์ซะหน่อย มังกรต่างหากมังกรน่ะ ซักวันพี่ต้องเท่ห์แบบนั้นให้ได้เลย  ”
เด็กชาย กล่าวพร้อมกับยึดอก อวดเบ่งด้วยความเห่อแบบ เด็กๆ

“ ถ้าพี่เป็น บุหลุดผู้กอบกู้แล้ว พี่จะทำอาไยเหยอ ”
น้องสาว ถามเสียงใสด้วยความอยากรู้

“ แน่อยู่แล้ว พี่ก็จะปกป้อง หลีเม่ย ให้ได้เลยน่ะสิ จะไม่ให้ใครมารังแกเลยคอยดู ”
เด็กชายตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจเต็มเปี่ยม

“ จริงอ่ะ…สัญญานะ ”
น้องสาว ถามเขาเพื่อขอความแน่ใจอีกครั้ง

“ อื้ม…พี่ไม่ผิดสัญญาหรอก ”
เด็กชายตอบกลับ ด้วยความมั่นใจ ขณะที่หญิงชรา ผู้เป็นยาย ได้แต่มองหลานทั้งสองอย่างมีความสุข
กับความฝันของพวกเขา


“ บริทเทเนอร์ จงเจริญ ”
“ All Hari Nelporian ”
เสียง ดังอึกทึกเหล่านี้ คือเสียงการเดินทัพยึดอำนาจ ของ บริทเทเนอร์ ที่ขยายอาณานิคม มาจนถึง
ประเทศสุดเขตทวีปเลาดิเชีย ที่หมู่บ้าน แห่งนี้ก็ถูก ไฟสงคราม เผาผลาญเช่นกัน
ทันที ที่เสียงระเบิด ลูกสุดท้าย สงบลง บ้านเรือนต่างๆก็เหลือแต่เพียง ซากที่จมปรักในกองเพลิง

“ พี่คะ…คุณยาย…อยู่ไหนกันคะออกมาสิคะ…อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียว…หนูกลัว…ฮือ~~ ”
เด็กสาว ร้องตะโกน เรียกหา พี่ชาย และ ยาย ของเธอทว่า ก็ไร้เสียงตอบ กลับเด็กสาว เดินลัดเลาะ
กองไฟที่ค่อยๆสุมเข้ามา ออกไปและตะโกนเรียกอยู่หลายที แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ ไม่มีใครในหมู่บ้านของเธอรอด
จากสงครามเลย มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ที่รอดมาได้

“ หนูกลัว…อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียวสิ….บุหลุดผู้กอบกู้ช่วยหนูด้วย..ช่วยด้วย ”
เด็กสาว ตะโกนออกมาเพื่อเรียกร้องความหวัง เพียงหนึ่งเดียว ให้ออกมาช่วยเธอ ทว่า ทุกอย่างก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ ไม่มีสิ่งใด ช่วยเธอได้ ความจริงอันโหดร้าย ที่ได้ทำให้ เธอต้องเจ็บปวดราวกับ ถูกหักหลัง ก็ไม่ปาน


ตรงนี้ คลิกเข้าไปที่นี่ก่อน ฟังจนจบแล้วมาอ่านต่อจะรู้สึกเหมือนดูอนิเมอยู่

http://www.youtube.com/watch?v=CqKuYTTWAlM
……

“ ผู้กอบกู้ งั้นเหรอ อัศวินอะไรนั่นน่ะไม่มีอยู่แต่แรกแล้ว…เพราะสงครามที่พรากเอาทุกอย่างไปจากฉัน…คอยดูเถอะฉันจะทำให้มันหายไป ให้หมดตอนนี้ฉันมีพลังที่จะทำอย่างนั้นแล้ว ด้วยพลังของ Crisiser ฉันในฐานะ Valkyrier จะขจัดสงครามให้หมดไปให้ได้ ”
หลีเม่ย ปฏิญาณกับตัวเอง ในวันนั้น วันที่เธอได้รับ การยอมรับจาก Crisiser อันเป็นอาวุธของ เหล่า Valkyrier ที่เหล่านางฟ้า   Valkyrie ทั้ง 12 ได้ถ่ายทอดให้แก่เหล่าผู้ถูกเลือก

“ ทั้งๆที่คิดแบบนั้นแล้วแท้ๆ….แล้วทำไม แกถึงต้องมาปรากฏตัวขึ้นเอาตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างมันสายไปแล้วด้วย ”
ความคิด ที่ดังก้องอยู่ในหัวของเธอ ก่อนที่ พัดในมือของ เธอจะรวบรวมพลังงานเสร็จ

“ Ex-Charger ”
เสียงดังขึ้นจาก พัดก่อนที่เธอจะขว้างมันออกไป พัดที่ถูกขว้างออกไปนั้น หมุนควง เข้าไปหา อัศวินมังกรทั้งสอง

“ แย่แล้ว ”
ทาลิเลีย กล่าวขึ้นทว่า พวกเขาเองก็จะหลบหนีออกไป ก็ไม่ได้ เพราะ อาวุธบินทั้งสาม อัน ซึ่งทุกอันเป็น ลายสีเขียว
ทั้งหมด ได้ยิงสกัดทางหนีของพวกเขาจนหมด

“ Protection ”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้น ก่อนที่ เฟนท์ จะพุ่งเข้ามาสร้างเกราะรับการโจมตีนั้นไว้

“ นี่นาย…คนของทีม Celestial Saber งั้นเหรอ มาขวางฉันทำไม ”
หลีเม่ย กล่าวขณะที่รับ พัดที่ขว้างออกไปกลับมา

“ เห้ย..นี่พวกแกมาทำไรกันเนี่ย ”
ทาลิคนัส กล่าวพลางดีดนิ้ว เรียกไพ่ที่ใช้แปลงร่างซึ่งเคยเผาใส่ดาบเพลิง
เพื่อใช้จัดการกับ เชอร์โนบิอาส ไปแล้ว กลับมา

“ เฟนท์ ”
เสียง ของเรกกะ ดังขึ้นในหัวของ ทาลิคนัส

“ หือ…หมอนี่คือไอ้ลูกแหง่ เมื่อตอนกลางวัน น่ะเหรอ  ”
ทาลิคนัส สื่อสารกันอยู่ภายในใจ

“ อย่าเรียก งั้นสิยังไงเค้าก็เพื่อนชั้น…นา ”
เรกกะ กล่าวอยู่ภายในใจ

“ ทำไมถึงต้องจู่โจมใส่พวกเค้าด้วยล่ะ  ”
เฟนท์ กล่าวถามกลับไปขณะที่พยายามดันเกราะต้านการโจมตีจาก เหล่าอาวุธบินที่ วนยิงไปเรื่อยไม่หยุด

“ ไม่ใช่สิ่งนายควรจะรู้ ตอนนี้ถอยไปซะฉันมีเรื่องต้องจัดการกับสองตัวนั่น ”
หลีเม่ย ตะคอกก่อนจะโบกพัดในมือ เป็นสัญญาณให้อาวุธบินลายสีแดง ที่ลอยอยู่ใกล้ๆ
เธอ ออกไปข้างหน้า

“ Full Charge Great of Dragon ”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นจากตัวดาบ เพลิงของ ทาลิคนัส ก่อนที่ เปลวเพลิงจะลุกลามกลายเป็น มังกรเปลวเพลิง
ยื่นตัวออกมา จากคมดาบ

“ ท่าไม้ตายของชั้น หมายเลข 3 ”
สิ้นคำของ ทาลิคนัส ดาบมังกรเพลิงก็ถูกตวัด พุ่ง เข้าเผาทำลาย อาวุธ บิน ลายสีเขียวที่อยู่รอบๆ
แต่อาวุธบินเหล่านั้น ก็หลบการจู่โจมได้ ถึงกระนั้น ทาลิคนัส ก็ยังควบคุมมังกรเพลิงให้ ขดตัวล้อมทางหนีจนทำลายไปได้สองอัน  ส่วนอีกอันนั้น บินกลับหา หลีเม่ย

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ทาลิเลีย ก็ขว้างหอกของเธอ ออกไปหอกได้พุ่งแหวกอากาศไปก่อนจะกลายเป็น ลำแสงพลังรูปมังกร
พุ่งเจ้าหา หลีเม่ย


“ Keen Bit แยกตัว ”
หลีเม่ย ออกคำสั่ง กับ อาวุธบินลายสีเขียวที่เหลือเพียงอันเดียวก่อนที่ มันจะสร้าง ร่างแยกของ ตัวเอง เพิ่มขึ้นมา
อีกสองร่าง จนกลับมามีสามอันดังเดิม

“ Bit Protect ”
เสียงดังกังวานขึ้นจาก Keen Bit ทั้งสาม ก่อนที่มันจะเรียงแถวเป็นสามเหลี่ยม จากนั้นจึ้งสร้างกำแพงแสงสีเขียว
ขึ้นมา จากประจุอิออน รอบๆ ต้านการจู่โจมของ ทาลิเลียเอาไว้
จนเมื่อ มังกรพลังงานหมดอำนาจลง จึงกลับเป็นหอก กระเด็นปลิวกลับมา

“ เจ้าแท่ง สีเขียวนั่น มันสร้างตัวขึ้นเองได้เฉยเลย ”
ทาลิเลีย กล่าวขนาดที่ รับหอกที่กระเด็นกลับมาไว้ในมือ

“  Crimson Bit เตรียมยิง Extream Charge จงหายซะเถอะด้วยลำแสงแห่งการทำลายล้างนี้ ”
หลีเม่ย ออกคำสั่งกับ  อาวุธบิน สลายสีแดง ก่อนที่มัน จะกางออกแลยิงลำแสงสีแดงใส่ เฟนท์ ที่กางกำแพงป้องกันอยู่ จนกำแพงแตก ไปพร้อมกับ ร่างของ  เฟนท์ ที่กระเด็นอกจากรัศมีทำลายที่เธอ กะเอาไว้

“ Extream Charge ”
สิ้นเสียงที่ประสานกันขึ้นของ Bit ทั้ง 4 อัน พวกมันก็จัดทัพกันโดย ให้ Keen Bit (สีเขียว) ตั้งค่ายล้อมเป็น สามเหลี่ยมพร้อมกับกางออกทั้งสามอัน ส่วน Crimson Bit (สีแดง) นั้นไปอยู่วงล้อม โดยจัดตัวให้อยู่ตรงกลาง เหมือนที่
เคยจัดรูปแบบเพื่อยิงลำแสง ซึ่งเคย ล้างบาง บริทเทเนอร์ มาแล้วนั่นเอง
ไม่นาน Bit ทั้ง 4 ก็เริ่มสะสมพลังงาน


“ แย่แล้ว ไอ้นั่นมัน ที่ใช้ยิงตอนอยู่ที่ บริทเทเนอร์ นี่ ”
ทาลิเลีย กล่าวขึ้นด้วยความตกใจ ด้วยเพราะเธอยังจำอำนาจทำลายล้างของมันได้ดี

“ เอ๋…นี่เธอรู้จักไอ้นั่นด้วยเหรอเนี่ย ”
ทาลิคนัส ถามขึ้น ทว่าไม่ทันต้องแต่อย่างใด ทาลิเลีย ก็รีบคว้ามือ ทาลิคนัส แล้วลากบินหนี ไปอย่างเร็วที่สุดในทันที

“ ไม่ต้องถามมากได้ไหมตอนนี้หนีได้รีบหนีเถอะ ถ้าไอ้นั่นยิงมา แม้แต่ซากก็ไม่มีเหลือนะยะ ”
ทาลิเลีย สบถใส่ขณะที่พากันลากกันหนีออกมา

“ หนีไม่พ้นหรอกหน้านี่คือโทษฐานที่พวก แกไม่ยอมทำอะไรกันเลย…จงหายไปซะเถอะตอนนี้ที่ฉันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้จะไม่ให้พวกแกมาขวางแน่นอน ”
หลีเม่ย กล่าวพลางยิ้มหน้าตาระรื่น ขณะที่ มวลพลังงาน เริ่มประจุกันหนาแน่น ทว่า ก่อนที่จะได้ยิงนั้น เฟนท์ ก็พุ่งกลับขึ้นมา รวบตัว หลีเม่ย เอาไว้ทำให้สมาธิ สั่งการของเธอรวน จน Bit ทั้ง 4 เสียการควบคุมและแตกวงล้อมออกในที่สุด

“ นี่นาย จะทำอะไรน่ะออกไปจากตัวฉันนะ  ”
หลีเม่ย ตะคอกพลางบิดตัวไปมาเพื่อสะลัดให้ เฟนท์หลุดจากตัวเธอ

“ ม…ไม่ได้นะครับ ถ้ายิงอนุภาค บีบอัดลงไปตอนนี้ล่ะก็ เมืองข้างล่างทั้งเมืองจะ… ”
เฟนท์ กล่าวพลางเกาะรัดฟัดเหนี่ยว ตัวหลีเม่ย เอาไว้ จนเมื่อ อัศวินมังกร ทั้งสองหนีลับไปจากสายตาแล้ว
เธอจึง กระแทก เฟนท์ จนกระเด็นอออกไปด้วยความหงุดหงิด

“ มาขวางฉันทำไม ทั้งทีเกือบจะจัดการมันได้แล้วแท้ๆ ”
หลีเม่ย ตะคอกพลางหันมาระบายใส่ เฟนท์ แทนโดยที่ เฟนท์ ไม่ทันได้ตั้งตัว Keen ิระ ทั้งสาม ก็ระดม ยิงใส่
ทว่า เขาก็สามารถเบี่ยงตัวหลบได้หวุดหวิด ก่อนจะกาง กำแพงป้องกันอีกครั้ง

“ ห…หยุดก่อนสิครับ คุณหลีเม่ย ”
เฟนท์ พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมเธอ ทว่าก็ไม่เป็นผล เธฮยังคงระดมยิงโดยไม่ฟังเหตุผล

“ Mirage Explosion ”
สิ้นเสียง เอมิล ก็พุ่งเข้ามาพร้อมกันกับ ร่างเหมือนของเขาสามร่าง แทงหอกทำลาย Keen Bit ทั้งหมดก่อนจะ
ส่งร่างแยกไปล้อม Crimson Bit และตัวเขาเข้ามขั้นกลางระหว่างทั้งสอง


“ ไม่ดีนะครับ ถึง Keen Bit จะถูกทำลายหมดแต่หากมี Crimson Bit ที่เป็นแกนหลัก ก็จะสามารถสร้าง Keen Bit
ขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อแต่ ถ้า Crimson Bit พังไปตอนนี้ คุณคงจะเหลืออาวุธแค่ Iron Fan นั่นอันเดียวท่านั้น
ตอนเจรจาถือเป็นความคิดที่ฉลาดกว่านะ ”
เอมิล กล่าวก่อนที่ เหลีเม่ย จะยอมลดพัดเหล็กในมือลง
เค้าจึงยอมลดหอกในมือลงเช่นกัน

“ การกำจัด อัศวินมังกรนั่นเป็นหน้าที่รึเปล่าครับ…มีคำสั่งแบบนั้นเข้ามารึไม่ครับ ”
เอมิล ถามขึ้นอย่างช้าๆ

“ ไม่ ”
หลีเม่ย ตอบห้วนๆ

“ ถ้างั้นก็ไม่ต้องคุยกันยาวกว่านี้แล้ว หลีเม่ย คุณเป็น Valkyrier จะเอาความรู้สึกส่วนตัวมาพัวพัน กับงานไม่ได้นะครับ ถ้าเมื่อซักครู่ คุณยิงมันออกไป คงได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่แล้วสิ่งที่จะตามมาก็คือ สง… ”
เอมิล กล่าวจนต้องชะงักเมื่อ หลีเม่ย แทรกขึ้นมาก่อนจะทันพูดคำว่า สงคราม


“ พอที..ฉันทราบดีแล้วต้องขอ อภัยด้วยที่ดิฉัน ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่   ”
หลีเม่ย ตอบตัดบทจบ ก็หลบหน้าหนีกลับไป พร้อมกับข่มความรู้สึกของตัวเองเอาไว้

………………
………………………..



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: greamon on March 15, 2009, 06:15:32 PM
ยาน ไซเบอริก้า

“ โธ่เอ้ย ให้ตายสิทำไมถึงต้องลากชั้นหนีมาด้วยล่ะเนี่ย เสียฟอร์มหมดเลย ”

“ เสียหน้ากับเสียชีวิต อย่างไหนดีกว่ากันยะ นี่ถ้าฉันไม่ลากนายออกมาป่านนี้นายเป็น เนื้อ ย่างแล้วล่ะย่ะ ”

เสียงทะเลาะดังกันขึ้นมาก่อนที่ ประตูห้องบังคับยานจะเปิดออก พร้อมกับ ทาลิคนัส ที่คืนร่างเป็น เรกกะ
แล้ว กำลังเถียง กับ R2 อย่างรุนแรง

“ โธ่เอ้ย…ไม่สบอารมณ์เล… ”
ทาลิคนัส บ่นได้ไม่ทันจะขาดคำ อยู่ๆ เรกกะ  ก็เปลี่ยนท่าทีไป

“ เลิกบ่นกันซักทีเหอะ…เราจะนอน ”
เสียงของ เรกกะ เปลี่ยนไปพร้อมกับที่ แสงในดวงตาข้างซ้ายเปลี่ยนเป็นสีขาว


“ ทาลูคัส เหรอ ”
มาธิอัส ถามแต่ เรกกะ ที่ทาลูคัส สิงก็ไม่ยอมตอบพลางเอา เก้าอี้สองตัวมาต่อกันก่อนจะเอนตัวลงนอน
ไปทันที


“ โอย…อีตาบ้า ทาลิคนัสนั่น กวนประสาทได้ตั้งกะต้นยันจบเลย ฉันล่ะอยากจะร้องไห้ … ”
R2 บ่นต่อทันที ที่ ทาลูคัส หลับไปทว่า อยู่ๆ เรกกะ ก็ลืมตาขึ้นทันที พร้อมกับที่ ดวงตาซ้าย เรืองแสงสีน้ำตาล
ขึ้นมาแทน เค้าก็ลุกพรวด ขึ้น มาทันที

“ ได้ร้องไห้แน่..ความแข็งแกร่งของข้า แม้แต่เด็กยังต้องร้องไห้ ”
เรกกะ กล่าวเสียงทุ้มๆแปลก เหมือนไม่ใช่ตัวเขาและอีกสองบุคลิกนั่นด้วย
แถมยังทำท่าทางขึงขัง แปลกๆ

“ ห๊าาา…นี่หรือว่า ”
R2 ร้องเสียงสูง พลางทำท่าจะเป็นลม

“ อืม…แบบนี้ชัวร์ บุคลิกใหม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ”
มาธิอัส กล่าวแบบไม่ทุกข์ร้อนเพราะชินกับ เรื่องแบบนี้ซะแล้ว

“ หา…เฮ้ย แกเป็นใครเนี่ย ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้นในหัว ของเรกกะ พร้อมๆกับที่ ขาซ้าย ขยับก้าวออกไป
โดยที่ตัวเจ้าของร่างตอนนี้ ไม่ได้ต้องการ

“ โอย นี่มันแคบลงยิ่งกว่าเดิมอีกนะ…เราจะขอนอนดีๆหน่อยไม่ได้หรือไงเนี่ย ”
เสียงของ ทาลูคัสเอง ก็ดังขึ้นพร้อมกับ แขนขวาพุ่งจะเข้าไปหาเก้าอี้เพื่อ ที่จะนอน
เมื่อการกระทำของ บุคลิกทั้งสามขัดกันซะเองทำให้ร่างของ เรกกะ ขยับไปๆมาๆแบบแปลกๆ
เหมือนคนจิตไม่สมประกอบ

“ โอยพอซะทีทุกคนน่ะ ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นพร้อมกับที่ ตัวของเขาล้มก้นจ้ำเบ้ากับทันที พร้อมกับที่ ตาซ้ายหยุดเรืองแสง
 ตอนนี้เค้าได้ร่างคืนมาแล้ว

“ ไม่เป็นไรนะ ”
R2 ถามพลางช่วยพยุงเค้า ให้ลุกขึ้น

“ ตอนแรกแค่ ทาลูคัส คนเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว นี่พอมี ทาลิคนัส มาก็ยังจะมีอีกคนตามมาเหรอเนี่ย
ทำไมผมถึงได้ดวงซวยขนาดนี้ น้า ”
เรกกะ คราง อย่างหมดหวัง กับการที่ต้องมีบุคลิก เพิ่มมาอีกถึง 3  คนเมื่อนึกถึงการใช้ชีวิต ที่
เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียวตลอดไปแล้ว เค้าก็รู้สึกท้อใจไปในทันที

“ เอาน่า ยังไงคงได้แต่ทำใจเท่าล่ะนะ ”
มาธิอัส กล่าว

“ เออนี่ ว่าจะถามตั้งนาน แล้วล่ะ…ไอ้ที่ห้อยคออยู่นั่นน่ะมัน… ”
R2 กล่าวถามพลางชี้ไปที่ นาฬิกาทรายขนาดเล็กซึ่งมีรอยไหม้ อยู่บ้าง ซึ่ง เรกกะ แขวนมันเอาไว้
โดยที่ไม่ใครอื่นสังเกตเห็น
 
“ อ๋อนี่น่ะเหรอ มันเป็นของดูต่างหน้าน่ะ ”
เรกกะ กล่าว พลางหยิบมันขึ้นมาให้ทุกคนดูชัดๆ

“ ของดูต่างหน้า…ของใครเหรอ ”
R2 กล่าวถามด้วยความอยากรู้ เรกกะ ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าว

“ ของคุณพ่อผมเอง…ก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่ อาริมาเทีย นี่เราเคยอยู่กันที่ไหนซักแห่งมาก่อน ที่นั่นมีมังกรอาศํยอยู่เต็มไปหมดเลย แต่มันคือที่ไหนผมก็จำไม่ค่อยได้หรอก เพราะครอบครัวของ พี่สาวที่ผมอยู่ด้วยตอนนี้เค้าเก็บผมมา ”
เรกกะ กล่าวเสียงอ่อย

“อุ้ย..ข..ขอโทษนะพอดีฉันไม่…  ”
R2 กล่าวขอโทษทันทีเมื่อเห็นว่าเธอถามแทงใจดำ ทว่า เรกกะ ก็ส่ายหน้าอย่างไม่รังเกียจ

“ ไม่เป็นไรผมชินซะแล้วล่ะ ”
เรกกะ กล่าว ขณะเดียว กัน บุคลิกทั้งสาม เองก็ฟังการสนทนา นี้อยู่ในจิตใจของเขาเช่นกัน

“ ถ้างั้น เล่าเรื่องพ่อของ นายให้ฟังหน่อยสิ ”
มาธิอัส ถามขึ้นห้วนๆ จน R2 หันไปทำหน้าตาเขียวใส่ จน มาธิอัส ต้องสะอึกไป

“ ฮะๆๆ…ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะเล่าให้ฟังก็ได้ ”
เรกกะ กล่าวไปพลางหัวเราะกับท่าทีของทั้งสองไป

“ คุณพ่อน่ะเป็นยังไงผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ที่รู้อย่าง นึงก็คือ ท่านเป็นคนที่กล้าหาญแล้วก็เด็ดเดี่ยว
ที่สำคัญคุณพ่อมีเพื่อนมากมายเลยแต่ผมเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันเพราะมันนานแล้วล่ะ ”
เรกกะ กล่าวพลางหมุน นาฬิกาทราย ขึ้นเม็ดทรายค่อยๆไหลลงมายังแก้วข้างล่าง
อย่างช้าๆ

“ แต่ก็เพราะท่านเป็นแบบนั้น สุดท้ายก็เลยท่านก็เลยยอมสละตัวเอง เพื่อช่วยให้ผมรอดมาได้
แต่ตอนนั้น มันเกิดอะไรขึ้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันรู้แต่ว่า วันนั้นมีทหาร เสียงระเบิดแล้วก็อะไรต่อ
มิอะไรเหมือนกับในสนามรบไม่มีผิดเลยก็เท่านั้นเอง ตัวเองพลัดหลงไปกับครอบครัวตอนไหนก็ยังจำไม่ได้เลย… ”

เรกกะ เล่าพลางมองดูทรายที่ค่อยๆไหลลงมา แบบสะดุดๆไหลช้าบ้างเร็วบ้าง เพราะคอขวดแก้วบิ่นไปบ้างแล้ว
เปรียบราวกับความทรงจำที่ ขาดช่วงไปของเค้า ในตอนนี้เลยก็ไม่ปาน

“ ที่มีเหลือไว้ก็แค่นาฬิกา ทรายเก่าๆอันเดียวเท่านั้น ”
เรกกะ กล่าว จบทรายก็ไหล ลงมาหมดในที่สุด ท่ามกลางวามเงียบสงัดภายในห้อง

“ นี่…เรกกะ เธอเล่าเรื่องของเธอมาแล้วทั้งที…ไม่อยากจะถามเรื่องของพวกเราบ้างแล้วเหรอ ”
R2 กล่าวถาม

“ อืม..ที่จริงผมก็อยากรู้อยู่หรอกถึงตอนแรกที่พบกับ R2 แล้ว ก็ มาธิอัส จะรู้สึกสงสัยก็เถอะ
ตอนแรกก็คิดว่าจากนี้ไป ผมจะต้องตีตัวออกห่างจากเพื่อนฝูง เพราะ ทาลูคัส รึเปล่าแล้วก็ยังมาเรื่องของ Valkyrier อีก

ผมจะมองหน้าพวก เฟนท์ ได้ในฐานะ เพื่อนเหมือนอย่างที่แล้วมาได้รึเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่ติดใจเรื่องนั้นแล้วล่ะ
เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ผมเองก็คง ต้องเสียพวกเค้าไปตอนที่อยู่ บริทเทเนอร์แล้ว ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ผมถามผมก็จะไม่เซ้าซี้ แต่ถ้าอยากจะเล่า ผมก็จะรับฟังไว้นะครับ…. ”

เรกกะ กล่าวเสียงเรียบ กับการที่ทำใจยอมรับ โชคชะตาที่บิดผันนี้ได้แล้วทั้งยานก็เงียบกันไปซักครู่

“ อ….เอ่อ คือ เรกกะ คือว่าตัวฉันน่ะที่มา เป็นอัศวินก็เพราะ… ”
“ เวลาอาหารแล้ว..เวลาอาหารแล้ว…ข้างล่างทะเลาะกันใหญ่แล้ว ”
ยังไม่ทันที่ R2 จะกล่าวจบ ก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้น พร้อมกับประตูห้องเลื่อนเปิดออก ลูกมังกรแสง
ที่ปีกมีลักษณะประหลาดกว่ามังกรแสงทั่วไป เนื่องจากมีขนาดใหญ่ กว่าลำตัว
เหมือนกับจะเป็นสายพันธุ์ วายเวิร์น(Wyvern) ก็บินเข้ามาร้องตะโกนในห้อง

“ ตายล่ะลืมซะสนิทเลย …ได้เวลาให้อาหารพวกลูกมังกรแล้วนี่นา ”
มาธิอัส อุทาน ขึ้นก่อนจะรีบ ลุกจากเก้าอี้ ออกไปที่ประตู

“ เอ่อนี่ R2 ฝากเรื่อง แมกกี้ ที่จะให้ เรกกะ ทีนะ ”
มาธิอัส หันกลับมาบอก ก่อนที่จะออกจากห้องไป

“ อ…อืม ”
R2 รับคำ ขณะที่ เรกกะ ต้องตกใจ เมื่อลูกมังกรตัวนั้น เข้ามาไซร้ เค้าอย่างเชื่องสนิท

“ นี่ๆคนนี้ใช่ป่าวที่ เจ้านายใหม่ของผมน่ะ ”
เจ้าลูกมังกร หันไปถาม  R2 ดวงตาของมัน เต้นระริกด้วยความตื่นเต้น

“ ม….มังกรพูดได้ ”
เรกกะ ร้องเสียงหลงก่อนจะ เป็นลมล้มตึงไป

“ อ้าวว้าย เรกกะ เป็นอะไรไปน่ะ เรกกะ ”
R2 เลยพลอยร้องเสียงหลงตามไปด้วยเมื่อเห็นเค้า เป็นลมล้มลงไปเอาดื้อๆ
จนครู่ต่อมา เมื่อเขาฟื้น ขึ้นมา R2 จึงต้องบอกให้เขาใจเย็นๆก่อนจะอธิบายเรื่องต่างๆให้ฟัง

“ คือลูกมังกร แสงตัวนี้ ชื่อ แมกกี้ (Maggy) นะเพราะจากนี้ไป ถ้าจะต้องแปลงร่างแบบปุบปับ
แต่ เรกกะ เองก็พกชุด ของ Dragoon ไว้ตลอดไม่ได้ด้วยใช่ไหมล่ะ ก็เพราะงั้นเลย จะให้ แมกกี้
คอยช่วยเหลือ ถือชุดเอาไปส่งให้ น่ะ ”
R2 อธิบายขณะที่ เจ้าลูกมังกร ทำตากะปริบๆ ใส่ด้วยความไร้เดียงสา

“ ผมน่ะ เป็นลูกหลานของมังกรที่ St.Magnus เคยเลี้ยงเอาไว้ ชื่อ แมกนัส ดราโกรี่ (Magnus Dragory) ที่ 7 เรียกสั้นว่า แมกซ์ ก็ได้นา  ”   (St. Magnus’ Baby Dragon)
เจ้าลูกมังกรแนะนำตัว ด้วยภาษาคนคล่องปร๋อ ส่วน เรกกะ ที่ฟังก็ทำท่าจะเป็นลมอีกครั้ง
R2 จึงต้องรีบ พยุงเอาไว้ไม่สลบไปอีก

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/34.jpg)

“ ก็อย่างที่บอกล่ะนะ เพราะมังกรตัวนี้เป็น มังกรพิเศษ ที่มหานักบุญเคยเลี้ยงเอาไว้มันเลย พูดได้น่ะจ้ะ
แล้วก็เรียกมันว่า แมกกี้ นะ ”
R2 อธิบาย ขณะที่พยุง ร่างของ เรกกะ เอาไว้ไม่ให้ล้ม

“ อาาา..ไม่เอาน้า ชื่อแมกกี้มันไม่ เท่ห์ อ่ะ เรียก แมกซ์ ไม่ได้เหรอ มันฟังดูดีกว่า อ่ะ ”
แมกกี้ แย้งด้วยความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ พลางทำหน้ามุ่ยด้วยความงอน


“ แล้วลูกมังกรตัวนี้จะให้ผมเอาไปเลี้ยงเหรอครับ…แล้วปกติมันกินอะไร เลี้ยงยากไหมครับ ”
เรกกะ ถามด้วยความกังวล

“ อ๋อ เลี้ยงง่าย อยู่แล้ว ไม่เหมือนมังกรแสงที่ต้องเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติหรอก เพราะมันไม่โตไปกว่านี้แล้วล่ะ
ทุกรุ่นพอตาย จะกลายเป็นไข่แล้ว พอเกิดมาก็บอกว่าตัวเองเป็นรุ่นที่เท่านี้เท่านั้น แต่จะรุ่นไหนก็
ปากมากพอๆกันเลย ส่วนเรื่องการกิน ก็เลี้ยงแบบ เลี้ยงหมาเอาก็ได้ ที่ดีกว่า คือเป็นเพื่อนคุย ช่วยจ่ายตลาดได้แล้วก็อีกสารพัดเลย ”
เสียงของ มาธิอัส ดังขึ้นขณะที่ เขาเปิดประตู ห้องเพื่อเข้ามา หลังจากลงไปให้อาหารลูกมังกรที่คอกเลี้ยงของยานเสร็จ

“ แล้วที่บ้าน เรกกะ ห้ามเลี้ยงสัตว์เหรอ ”
R2 ถามด้วยความเป็นห่วง

“ เปล่า หรอกครับที่จริงก็เคย เลี้ยง หมาเอาไว้ตัวหนึ่ง แต่มันตายไปเมื่อไม่นานนี้เอง พี่เค้าก็อยากได้สัตว์เลี้ยง มาเป็นเพื่อนเล่นใหม่อยู่พอดี แต่ไม่รู้ว่าถ้าเป็นมังกรจะไหวรึเปล่าน่ะสิครับ ”
เรกกะ กล่าว ขณะที่ อุ้ม แมกกี้ ซึ่งยัง งอแง อยู่บ้างขึ้นมากอด

“ เอ่อจริงสิ..เรื่องที่ฉันบอกค้างเอาไว้ ที่ฉันเป็นอัศวิน… ”

“ จริงสิ แล้ว เฟนท์ กับ ไอ เป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย ลืมไปเลย ”
R2 กล่าวยังไม่ทันไปไหนได้ เรกกะ ก็ดันนึกเรื่องทีลืมกันไปสนิทออก

“ R2 ช่วยพาผมไปส่งข้างล่างหน่อยสิ ”
เรกกะ หันไปขอร้องให้เธอช่วยแปลง่รางแล้วพาเค้ากลับลงไป

“ ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก …พอดีเลยล่ะ เรกกะ นายลองใช้ดูสักครั้งสิ รับรองว่าถูกใจแน่ ”
มาธิอัส กล่าวพลางยิ้มแบบมีเลศนัย

…………………..
……………………………

ทางเดินช่องดีดตัว ออกนอกยาน

“ น…นี่เอาจริงเหรอ ”
เรกกะ กล่าวเสียงสั่น ขณะที่ สองมือ จับขาของ แมกกี้ ที่บินอยู่เอาไว้ ยืนบนพื้นขอบทาง
ด้านหน้า เป็นท้องฟ้าที่สูงขึ้นมาจากพื้นหลายกิโลฯ

“ ได้อยู่แล้วน่า ยังไงซะก็ฝึก บินไว้ให้ชินซะก่อน หลักการก็คล้ายๆกับเครื่องร่อนล่ะนะ ”
มาธิอัส กล่าวขณะที่ เรกกะ ยังไม่ค่อยจะเชื่อว่า เจ้าแมกกี้ จะแบกร่างของเขาบินลงไปไหว

“ ถ้างั้นขอให้โชคดีนะ ”
มาธิอัส กล่าวจบก็ยัน หลัง เรกกะ จนร่วงลงไป ขณะที่ เสียงร้องอย่างผวาของ เรกกะ
ดังห้วนขึ้นมากับสายลมกรรโชกที่พัดอยู่บนชั้นบรรยากาศนี้

“ ว้ากกกก…จะตกแล้ว ”
เรกกะ ร้องเสียงหลง ขณะที่ ค่อยๆร่วงลงไปยังรวดเร็ว ก่อนที่จะค่อยๆผ่อนความเร็วในการตกลง
ไปจนกลายเป็นการ ร่อนลงในที่สุด แมกกี้ สามารถแบกเค้าไปได้จริงๆ ด้วยปีกที่มีขนาดใหญ่กว่าลูกมังกรทั่วไปและ
เพราะเป็นมังกรพิเศษจึงมีเรี่ยวแรง มากกว่า ลูกมังกรทั่วไปด้วย

“ นี่เรากำลังร่อนลงจริงๆใช่ไหมเนี่ย… ”
เรกกะ กล่าว ขณะที่มองพื้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทัศนียภาพที่ มองจากเบื้องสูงและสัมผัสกับ
สภาพแวดล้อมได้โดยตรงแบบนี้ น้อยคนนักจะมีโอกาส ได้สัมผัสความรู้สึกที่ราวกับเป็นอิสระ

เหมือนดั่ง นกที่โบยบินในเวหา เพราะถึงแม้เค้าจะแปลงร่าง แต่จิตสำนึกในตอนนั้นก็ไม่ใช่เขา
ต่อให้บินอยู่ก็ไม่รู้สึก

“ นี่ แมกกี้ ขออะไรอย่างสิ ”
เรกกะ กล่าวกับ ลูกมังกร ก่อนที่ มันจะก้มหัวลงมามอง

“ มีอะไรเหรอ เรกกะ ”
แมกกี้ กล่าวอย่างสนิทสนม ทำให้ เรกกะ รู้สึกชอบเจ้ามังกรตัวนี้มากยิ่งขึ้น ที่มันเรียกชื่อเค้า
อย่างสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อน เขาจึงยิ้มตอบกลับไปก่อนจะพูดเรื่องที่จะขอร้อง

“ นายช่วยแบกชั้นแทนทีได้ไหม เอาเล็บเกี่ยวที่ หลังเสื้อชั้น แล้วพาบินทีนะ….ชั้นน่ะอยากจะลองบิน
บนท้องฟ้าแบบนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ ”
เรกกะ กล่าวดวงตาเต้นระริก ด้วยความตื่นเต้น ซึ่งเจ้าลูกมังกรก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะ กระชากขาออกจากมือของเรกกะ แล้วบินโฉบมาเกาะไหล่เอาขาเกี่ยวรั้งเอวของ เรกกะ ไว้ และพาเหาะเหินไปอย่างอิสระ

“ ขอบใจนะ แมกกี้ ”
เรกกะ กล่าวขอบคุณ ขณะที่บินไปในท้องฟ้า ความรู้สึกในตอนนี้ ราวกับว่าตัวเขาได้กลายเป็นนก ที่โบยบินอยู่ในท้องฟ้า อย่างมีอิสระ และค่อยๆร่อนลงไป  ยังสวนสาธารณะ ขณะที่ มองหาจากท้องฟ้านั้น
ก็เห็น เฟนท์ ที่ยืนคอตก อยู่ที่ม้านั่งที่ เคยสัญญาว่าจะรอ ไอ อยู่ที่นั่น


“ เฟนท์ กลับมาช้าไปงั้นเหรอ…หรือว่า ไอ จะโดนลูกหลงตอนเกิดเหตุที่ ถนนไปด้วยน่ะ ”
เรกกะ คิด ก่อนจะให้ แมกกี้ พาบินไป ที่ถนนกลางซึ่งเคยเกิดเหตุ ระเบิดกลางสี่แยก
ทว่าไม่ว่าจะมองหาอย่างไร ก็ไม่พบร่องรอยที่ว่า ไอ จะโดนลูกหลงไปได้ เรกกะ จึงถอดใจแล้ว บินกลับไปบ้านในที่สุด


“ ขอโทษนะชั้นมีธุระด่วนเข้ามาต้องไปจัดการ ”
ข้อความที่ปรากฏขึ้น บนจอโทรศัพท์ พกพา ธรรมดาที่ เฟนท์ มีติดตัวอยู่ นอกเหนือจาก เครื่อง Crisis terminal ที่ใช้แปลงร่าง ข้อความที่เขาส่งไปให้ ไอ  ก่อนที่ จะออกไป จัดการกับ กลุ่มก่อการร้าย เฟนท์ จ้องมอง
ข้อความตอบกลับ ที่เขาได้รับกลับมา

“ จะรอนะ ฉันมีเรื่องที่ต้องพูดกับเธอให้ได้วันนี้เลย ”
ข้อความที่ตอบกลับจาก ไอ นั้นทำให้เค้า รีบกลับมาเร็วที่สุดหลังจากที่ ไกล่เกลี่ยกันที่ ยาน Albus เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ปิ้บๆๆๆ

เสียง ดังจากเครื่องโทรศัพท์ พกพา ก่อนที่ เฟนท์ จะกดรับสาย

“ ครับ….พี่เหรอฮะ….ครับกำลังจะกลับแล้วครับ…แล้วเจอกันครับพี่ ”
เฟนท์ คุยอยู่ด้วยซักพัก ก็วางสาย ก่อนจะเก็บทั้งสองเครื่อง แล้วเดิน ละ ออกไปจากสวน ขณะที่
 ตะวัน คล้อยดินไปแล้ว
ทว่า เสียง หวอของ ไซเรน ก็ยังคงดังอยู่เนืองๆ

……………………
…………………………….

ร้านเค้ก Happy Material

ร้านเค้กร้านนี้ ตั้งอยู่ริมถนน ที่เงียบเชียบ ซึ่งมีผู้คนผ่านไปมาน้อยในเวลากลางคืน แต่ตัวร้านก็ยังเปิดบริการถึง
ช่วง 2 ทุ่ม การตกแต่งภายในร้านนั้น เป็นแบบ เรียบง่าย ผนังห้อง เป็นลาย หิมะที่ให้ความรู้เย็น
สบาย  ภายในร้านจะมี ตู้กระจกที่จัดวางเค้ก แสดงให้ลูกค้าเลือก บนเคาเตอร์ที่อยู่ข้างๆตู้
ก็จะมีเครื่องทำ กาแฟ และ ตู้แสดงเครื่องดื่มต่างๆ วางอยู่
“ กลับมาแล้วครับ พี่…. ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้น ก่อนทีประตูร้านจะเปิด ออก เรกกะ ที่อุ้ม เจ้าแมกกี้ เข้ามาในร้านก็เดินตรงมาที่
เคาเตอร์ ซึ่ง พี่สาวของเค้ากำลังง่วน อยู่กับการบดเมล็ดกาแฟ ก่อนจะวางมือเพื่อหันมาทักทาย น้องชายของตน

“ กลับมาแล้วเหรอจ้ะ เรกกะ อ้าว…นี่พาลูกมังกรมาด้วย ของใครหรือจ้ะ ”
 พี่สาวของเค้า กล่าวต้อนรับกลับก่อนจะ สังเกตเห็น แมกกี้เธอจึงรีบ ออกมาจากหลัง เคาเตอร์
เข้ามา ประคบประงม เจ้าแมกกี้

“ คือ เพื่อนเค้าให้มา น่ะครับ…เลี้ยงไว้ได้ไหมครับพี่…เจ้าตัวนี้ เลี้ยงง่ายไม่ยากหรอกครับ ”
เรกกะ พยายามหาเหตุผลเพื่อ จะขอให้พี่ ของเขาอนุญาต

“ นะครับ..นะครับ…ผมไม่เรื่องมากหรอกจะ ให้ช่วยงานก็ ได้นะครับ ”
แมกกี้ ส่งเสียง ออกมา ทำเอา เรกกะ แทบจะหัวใจหยุดเต้นเอาเสียตรงนั้นดื้อๆ
โดยกลัวว่าพี่ของเขาจะตกใจทว่า…

“ ว้าว พูดได้ด้วย นี่ๆ..เรกกะ เลี้ยงไว้ไหมอ่า ”
พี่สาวของเขาดันถามกลับมาแบบนี้ และยังไม่ตกใจที่เจ้า แมกกี้ พูดได้แถมยังทำเป็น
กระดี๋กระด๋า จนไปๆมาๆ กลายเป็นว่าเค้าเป็น ฝ่ายถูกขอให้รับเลี้ยงไว้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ ง….งั้นก็เลี้ยงได้สินะครับ  ”
เรกกะกล่าว โดยสับสนว่า จะพูดเหมือนเค้าเป็นคนถูกขอหรือเป็นคนขอดี

“ นี่มันชื่ออะไรเหรอ ”
พี่สาวของเขาหันมาถาม

“ แมกกี้ ครับ ”
เรกกะ รีบตอบก่อนที่ เจ้าแมกกี้ จะพูดอะไรแปลกๆออกมาอีก

“ แมกกี้ เหรอ น่ารักจังเลย นี่หิวแล้วรึยางงง ”
พี่สาวของ เรกกะ แกล้งกล่าวยานคาง หยอกใส่เจ้า แมกกี้

“ นั่นพี่สาวเหรอน่ารักจังเลย….อยากมีพี่สาวบ้างจัง ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตใจ ทว่าเสียงนั้น เรกกะ เองก็ไม่คุ้นเอาซะเลย


“ นี่เมื่อกี้ ใครพูดเหรอ ทาลูคัส ทาลิคนัส หรือ อ…เอ่อ คนใหม่ น่ะ ”
เรกกะ หันหลังหลบหน้าพี่ สาว ไปกระซิบถามกับ บุคลิกอีกสามของตน

“ ไม่ใช่เราอยู่แล้ว ”
“ เฮ้ย..ไม่ใช่ชั้นนะเว้ย ”
“ ข้าเองก็ไม่ได้พูดเหมือนกัน ”
เสียงของบุคลิกทั้งสาม ตอบกลับมาอย่างทันท่วงที

“ นี่ เรกกะ ดูสิ..ดูสิ มันอ่านออกเขียนได้ คำนวณได้ด้วยล่ะเหมือนคนเลย ”
พี่สาวของเขา เรียกให้ไปดูความสามารถของ เจ้าแมกกี้ ขณะที่ เธอให้มันลองคิด
โจทย์ที่เธอตั้งให้ มันทำ และเจ้าแมกกี้ ก็เอาเล็บ จุ่มลงไปที่น้ำหมึกก่อนจะเขียน ตัวเลข
ตอบโจทย์ลงไปได้อย่างถูกต้อง

“ ผมสามารถช่วยจ่ายตลาดให้ได้ ด้วยนะฮับ ”
เจ้าแมกกี้ รีบออกตัวเสนอความสามารถ ของตนทันที ซึ่งพี่สาวของ เรกกะ ก็พลอย
คุยกับมันเพลินจนลืมเวลาปิดร้านไปเสียสนิท กว่าจะรู้ตัวก็ดึกมากเสียแล้ว

………………
…………………………

วันต่อมา

St. Magnus Academy

นักเรียนที่มาถึงโรงเรียนในช่วงเช้าบ้างก็จับกลุ่มคุยกันในห้องบ้าง ทำการบ้านบ้าง
ขณะที่รอเวลาเข้าเรียน

“ อ้าวมาแล้วเหรอ ไอ…มานี่สิ ”
โคเว็ท เพื่อนสาวร่างผอม ของ ไอ กล่าวทักทายเมื่อเห็น ไอ เดินเข้าห้องมา
พร้อมกับโบกมือเรียกให้มานั่ง ล้อมวงคุยกัน
“ จ…จ้ะ ”
ไอ ตอบก่อนจะเดินตรงเข้าไป ทว่า เฟนท์ ก็เดิน อ้อมหลังเธอไป เธอคิดจะหันไปทักทาย
ทว่าเธอก็ชะงักไป ขณะเดียวกัน ฝ่าย เฟนท์ เองก็ไม่กล้าสบตา เธอด้วย เพื่อนๆที่เห็นท่าทีของทั้งสองก็เกิดสงสัยและอยากรู้ขึ้นมา

“ นี่ๆ ไอ เป็นอะไร ไปน่ะ เมื่อวานทะเลาะกันมาเหรอ ”
มิมิ เพื่อนสาวร่าง ท้วมที่นั่งอยู่กับ โคเว็ท ถามขึ้น ทว่า ไอ ก็ยังคงเงียบไม่ตอบแต่อย่างใด
ขณะที่ ชักเก้าอี้ออกจากโต๊ะ เพื่อจะนั่ง

“ นี่หรือเพราะที่เมื่อวานต้องมาช่วย กันหาหนังสือรายงานเลยทำให้เธอ ทะเลาะกับเขาเหรอ ”
โคเว็ท ถามขึ้น

“ ตายแล้ว …ถ..ถ้างั้นฉันขอโทษน้า ถ้าฉันไม่ทำหนังสือรายงานหายล่ะก็…ไอ ก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้
ฉันขอโทษจริงๆนะ ”
มิมิ เมื่อได้ยิน โคเว็ท พูดแบบนั้น ก็รีบขอโทษขอโพย ไอ เป็นการใหญ่ ที่เมื่อวาน หลังจากที่ ไอ ส่ง ข้อความกลับไปว่าจะรอ แต่แล้ว มิมิ ก็โทรมาขอร้องให้เธอไปช่วยกันหา หนังสือรายงานที่เธอ ลืมไว้ที่ห้อง ไอ ก็เลยปลีกตัว มาช่วยจน

ลืมเวลา ครั้นเมื่อกลับไปที่สวนสาธารณะ มันก็ดึกมากแล้ว เธอพยายามมองหา เฟนท์ ซึ่งอันที่จริง เธอ มา
หลังจากที่ เฟนท์ กลับไปแล้วไม่นาน แต่เมื่อไม่พบเธอก็คิดว่า เขาคงกลับไปแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้เธอ
ไม่กล้าที่จะพบหน้า เฟนท์ อีกด้วยเพราะรู้สึกผิด ที่ให้ เฟนท์ เป็นฝ่ายรอตัวเธอ เสียนาน


“ นี่..หรือเพราะที่เมื่อวานไปมีเรื่องกับ หลีเม่ย เลยทำให้กลับไปไม่ทัน น่ะ ถ้า ”
ไรด์ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทว่า เฟนท์ ก็ส่ายหน้า ปฏิเสธ

“ ไม่หรอก ชั้นผิดที่ไปสายเอง… ”
เฟนท์ โทษตัวเองที่ไปถึงช้ากว่า ซึ่งอันที่จริง แล้วหลังเขา กลับไป ได้ไม่นาน ไอ ก็พึ่งจะมาถึง
หลังจาก ช่วยเพื่อนของ เธอหาหนังสอรายงานจนเจอ

…………………..
……………………………



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: greamon on March 15, 2009, 06:15:54 PM
ยาน Albus

“ นี่น่ะเหรอ ภารกิจต่อไปที่เราต้องเข้า แทรกแซงน่ะ ”
เอลิซ่า เปรย หลังจากที่ดู ภาพบันทึกภารกิจเสร็จไป

“ น่ากลัวจังเลย จะให้พวกเค้า ไปจริงๆเหรอคะ ภารกิจนี้ น่ะ มันเกี่ยวกับสงคราม ตรงไหนกันคะ ”
ลูลู่ กล่าว พลางสั่นเป็นลูกนก เมื่อได้อ่านรายละเอียด ภารกิจ กับ
ภาพบันทึกที่ดูจบไปพร้อมกับ เอลิซ่า เอียน และ อีลูมีเซ่

“ นั่นสิ ขืนส่งพวก ไรด์ ลงไปแจม แบบนั้น จะหัวหายเอานา ”
อีลูมีเซ่ กล่าวพลางขัดแขนตัวเองไปมา ด้วยความกลัวจนขนลุกซู่

“ ใครว่าไม่เกี่ยวกับ สงครามล่ะ ถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ พวก องค์กรก่อการร้ายมัน
ก็จะขายอาวุธชีวภาพนี่ได้กันพอดี ถึงตอนนั้นความเสียหายมันจะยิ่งกว่าที่แล้วๆมาซะอีกนะ ”
เอียน แย้งขึ้นมาให้สอง หนุ่มสาว ลูกเรือยาน เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของภารกิจ

“ แต่ฉันเองก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะ ว่าภารกิจนี้มันอันตรายเกินกว่าที่จะให้พวกเค้าไปเสี่ยงจริงๆ
เพราะถ้าพลาดขึ้นมา ล่ะก็ ”
เอลิซ่า กล่าว ขึ้นมา ทว่าขณะนั้น หลีเม่ย ก็ติดต่อเข้ามาทันที

“ ถ้ากำลังเป็นห่วง เรื่องภารกิจ ในตอนนี้อยู่ ล่ะก็ ขอให้เลิกกังวล เถอะค่ะ ทางเราเองก็มีคำสั่งให้ไปจัดการกับ ภารกิจ นี้ด้วย ที่จริง ทีมอื่นก็ด้วย แต่ ว่าพวกเค้าก็คงจะมากันไม่ได้ล่ะค่ะเพราะ ดูเหมือน God Send ชิ้นต่อไปจะปรากฏขึ้น

มาแล้ว พวกเค้าก็เลยต้องไปจัดการ ดังนั้น ภารกิจ นี้จะมีแค่พวกเราสองทีมเท่านั้น ที่จะร่วมทำภารกิจ
ทีมของเรา ได้รับหน้าที่ให้คุมเชิงอยู่ด้านนอกส่วนหน้าที่ ค้นหาและช่วยเหลือ ผู้รอดชีวิตนั้นให้เป็นหน้าที่
 ของพวกคุณค่ะ  ”

หลีเม่ย กล่าวก่อนจะตัดการติดต่อไป

“ แต่ถึงยังไง ภารกิจในคราวนี้ ฉันก็ไม่คิดจะบังคับพวกเค้าหรอกนะ ถ้าถึงที่สุดแล้วไม่มีใครอาสาจะไปล่ะก็ ฉันจะเป็นคนรายงานให้เปลี่ยนภารกิจ นี้ไปให้ทีมอื่นแทน เรื่องทั้งหมดฉันจะรับผิดชอบเองคนเดียวทั้งหมด เพราะยังไงซะฉันเองก็เห็นด้วยแล้วว่า ภารกิจนี้มันอันตรายเกินไป ”

เอลิซ่า กล่าวถึงการตัดสินใจ ของเธอ ให้กับลูกเรือทุกคน ทว่า ในตอนนั้น เองประตูห้อง บังคับการก็เปิดออก
พร้อมกับ ที่ เอมิล และ ไรด์ ได้เดินเข้ามา

“ ไม่จำเป็นหรอก เรื่องนั้น น่ะ  เพราะยังไง สำหรับพวกเรา ไม่มีคำว่าอันตราย สำหรับการปฏิบัติภารกิจ
อีกแล้ว ชีวิต ของพวกเรา แขวนอยู่บนเส้นด้ายมาตั้งแต่วันที่ ปฏิญาณต่อ Valkyrie และรับมอบ Crisiser มาแล้ว
ต่อให้ต้องสละชีวิต พวกเราก็ต้องทำ เพื่อให้ภารกิจ สำเร็จ ”

เอมิล ยืนยัน อย่างหนักแน่นในอุดมการณ์ ของพวกเขา เหล่า Valkyrier

“ ต..แต่ว่า เอมิล ยังไงซะภารกิจนี้มันก็… ”
เอลิซ่า กล่าวยังไม่ทันจบ ไรด์ ก็แกล้ง กระแอมไอ ออกมาทำให้เธอหยุดไป

“ แหม..อย่าห่วงไปเลยครับ คุณ เอลิซ่า ยังไงซะ พวกเรา ก็เป็น Valkyrier นะครับ ไม่มี
อะไรที่จะจัดการกับเราได้หรอก และอีกอย่าง พวก เค้าเองก็กำลังพยายามกันอยู่ด้วย.. ”
ไรด์ กล่าวก่อนจะชู ตั๋ว ในมือขึ้นมาให้ทุกคนดู

“ ตั๋ว เข้า บ้านผีสิงเหรอ ”
ลูลู่ เปรยเสียงสูง ด้วยความงุนงง กับสิ่งที่ ไรด์ ต้องการจะสื่อ

“ นี่ทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ เนี่ย ”
อีลูมีเซ่ กล่าว ด้วยสีหน้า อึกอึ้ง เล็กน้อย

“ พวกเธอ…ขอบใจนะ ”
เอลิซ่า กล่าวขึ้นก่อนจะปาดคราบน้ำตาแห่งความซาบซึ้งที่เล็ดออกมา ออกจากใบหน้า
ท่ามกลางสีหน้า ยิ้มแย้ม ของ ทุกคนที่ต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

……………….
………………………

สวนสนุก Yupy Land

ณ ตอนนี้ ก็เป็น เวลาเย็นมากแล้ว ผู้ที่มาเที่ยว จึงมีจำนวนน้อยลงไปอย่างถนัดตา
 ทว่า เสียงกรีดร้องด้วย ความหวาดผวา ก็ยังคงดังออกมาจาก อาคารโบราณหลังใหญ่
ซึ่งถูกตกแต่งให้ดูมีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้าง

ซึ่งป้ายตรงทางเข้าอาคารเขียนว่า คฤหาสน์สยองขวัญ
 ทางเดินภายใน อาคาร นั้นมืดสลัว และเต็มไปด้วย ข้าวของต่างๆที่เก่าคร่ำครึ
ซึ่งใช้สำหรับ สร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัว

“ ข..ข้างหน้า ดู…ม…เหมือนจะมีอะไรออกมาเลยนะ…ท…ทำไงดี ”
ซาน กล่าวเสียง สั่น ขณะที่เดินกอดกันกลมกับ เฟนท์ น้องชายตน ลัดเลาะเดินไปตามทาง
เดินแคบๆมืดๆแห่งนี้ โดยที่มีเสียง กรีดร้องอย่างโหยหวน ดังขึ้นจากลำโพง ที่ถูกซ่อนไว้
เป็นระยะๆ

“ ผ…ผมกลัว… ”
เฟนท์ กล่าวเสียงสั่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ประสาททั่วทั้งร่าง นั้นตื่นตัว อยู่ตลอดเวลา
ไม่นานนักเมื่อทั้งคู่เดิน ประตูไม้ผุๆที่ข้างฝาผนังไป ก็มีเสียงหมาป่าหอนดัง ขึ้นจากลำโพง
ทำเอาทั้งสอง เสียวสันหลังวาบ

“ แฮ่ ”
เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับ ที่ประตูไม้พุ เทื่อครู่ถูกพังออกมา พร้อมกับสมิงหมาป่า โผล่ออกมา
ขู่คำราม

“ แว้ก…ผมกลัว คร้าบ…อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวนะคร้าบ ”
“ ร…เราเผ่นกันเถอะ เฟนท์ ”
เฟนท์ ร้องเสียงหลง พอๆกับพี่สาวของตน ก่อนจะพากัน วิ่งแจ้น ออกไปจากตรงนั้น
ทิ้งให้ พนักงานสมิงหมาป่า ที่แต่งหน้าหลอกลูกค้า ยืนงง

“ สองคนนั่นเป็น สมิงเหมือนกันไม่ใช่ เรอะ แล้วจะกลัวทำไมหว่า แถมทำไมมันกลับตาลปัตรกันล่ะเนี่ย ”
พนักงานสมิงหมาป่า กล่าวด้วยสีหน้างงๆ ที่แทนที่ ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายโผเข้าหาฝ่ายชายแต่ดันกลายเป็นว่า
เหมือนคู่รักคู่อื่นที่เข้ามาเล่นในนี้ และยังสงสัยว่า ทำไมต้องกลัวด้วยทั้งที่ เป็นสายพันธุ์เดียวกันด้วยซ้ำ

“ ช่องที่ 11 คู่ต่อไปจะมาแล้วรีบเตรียมตัวเร็ว ”
เสียงดังขึ้นจากลำโพงด้านหลัง ช่องประตูที่ เขาพังออกมา

“ ครับๆ ”
พนักงานสมิงหมาป่า กล่าวตอบก่อน จะย้ายตัวเข้าไปเบียดในช่องแล้ว ดึงบาน ประตูขึ้นมาบัง
ไว้อีกครั้งเพื่อเตรียมหลอกคู่ต่อไป

………..

“ แฮ่ก ๆๆ เฮ่อ..น่ากลัวเป็นบ้า เลย ”
ซาน กล่าวอย่างเหนื่อยหอบ หลังจากที่ ออกมาจาก บ้านผีสิงได้ ก็พากันมานั่งหมดแรงบน
ม้านั่งข้าง ตู้ขายเครื่องดื่ม

“ เอ่อ พี่ จะเอาน้ำอะไรไหมครับ ”
เฟนท์ ถามขณะที่หยอดเหรียญ ลงไปในตู้

“ อ๋อ เอาน้ำมะนาวให้พี่สักกระป๋องก็แล้วกัน…เฮ่อ ”
ซาน กล่าวพลางถอนหายใจ ที่ได้พัก หลังจากตื่นเต้น มาตลอด
เฟนท์ หลังจากที่รับกระป๋อง เครื่องดื่มจากตู้ขาย เรียบร้อยก็ ยื่นกระป๋องน้ำมะนาวให้แก่ เธอ และ
ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอ ก่อนจะเปิด กระป๋องน้ำดื่มกันเข้าไปอึกใหญ่

“ ว่าแต่น่ากลัวสุดๆเลยนะครับพี่ ขนาดสมิงที่ออกมาตอนสุดท้ายนั่น ยังทำเอาเราเผ่นแนบได้เลย ”
เฟนท์ กล่าวย้อนความขึ้นมา

“ ก็นั่นสินะ ฝ่ายนั้นเค้าก็คง งงกันล่ะว่าทำไมเราถึงกลัวได้ขนาดนั้น ”
ซาน กล่าวขึ้นก่อนที่พวกเขาทั้งสอง จะหัวเราะกันอย่างมีความสุข


“ นี่ ไอ นั่น เฟนท์ ไม่ใช่เหรอ ”
มิมิ กล่าว พลางชี้นิ้วไปที่ ม้านั่ง ที่ เฟนท์ กับ ซาน นั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน

“ หาจริงด้วยๆ อ๊ะกำลังนั่งอยู่กับรุ่นพี่ผู้หญิง ด้วยนี่ ”
โคเว็ท กล่าวขึ้น ประโยคนี้ทำให้ ไอ ที่พยายาม เมินหน้าหนี ต้องหันกลับไปมองทันที

“ นี่ เฟนท์ เค้าชอบคนที่อายุมากกว่าเหรอแถมดูๆไปแล้ว คนๆนั้นก็สวยซะด้วยสิ ”
มิมิ กล่าวขึ้นลอยๆ ทว่าคำพูดนั้น ก็พลางทำให้ ไอ คิดเลยเถิดเข้าไปอีก เมื่อภาพของ คนที่เธอ แอบมีใจให้ นั้นกำลัง ก้อร้อก้อติก อยู่กับหญิงอื่น ในเวลานั้น ราวว่าในใจได้เกิดช่องว่างที่เติมไม่เต็ม ผุดขึ้นมา ราวกับจะดูดกลืนทุกสิ่งภายในใจเธอให้หายไปสิ้น

“ ทำไมกัน..กับเราวันที่ไปดูหนังด้วยกัน เค้ากลับดูไม่สนุกสนาน ขนาดนี้เลย… ”
ไอ คิดทว่า แม้ตัวเธอในตอนนี้จะพยายามปฏิเสธก็ตามแต่ เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่า
ช่องว่างในใจตอนนี้ คือ ความริษยาที่ไม่อาจทำให้มันหายไปได้
เธอข่ม ความรู้สึกเอาไว้ ก่อนจะ เดิน ออกห่างไป

“ อ้าว นี่ ไอ จะไม่ไปหาเหรอ ”
มิมิ หันมาถาม

“ ไม่หรอก…ไม่จำเป็นอีกแล้วล่ะ ”
ไอ กล่าวเสียงแผ่ว ขณะที่ก้าวเดินออกห่าง ไปโดยไม่ให้ใครได้เห็น หยาดน้ำตา
ที่ไหลรินอาบแก้มของเธอ

…………………..
………………………….

บ่ายของ วันต่อมา อันเป็นเวลาเลิกเรียน ของ St. Magnus Academy

“ แล้ว สรุปว่า พวกเธอสองคนก็ ยังไม่หายกลัวผีอยู่ดีสินะ ”
ไรด์ กล่าวพลางเหล่ตาใส่ทั้งคู่ พวกเขามารวมตัวกันที่ ด้านหลังอาคารเรียน ซึ่งเป็นที่ลับตา

“ เนี่ย ก็ซ้อมทั้งไปบ้านผีสิง ดูหนังสยองขวัญ อะไรต่อมิอะไรก็แล้ว แต่สงสัยจะไม่ไหวล่ะ ”
ซาน แก้ตัวน้ำขุ่นๆ โดยไม่มีข้อโต้แย้ง แต่อย่างใด นอกจากเธอกับน้องชายไม่อาจแก้อาการ
กลัวผีได้

“ งั้น ภารกิจนี้จะให้ไปกันแค่สองคนเหรอ ”
เอมิล ถามขึ้นมาบ้าง

“ อ…เอ่อ ม…ไม่เป็นไร ชั้น กับ พี่จะเข้าร่วมด้วย แน่นอน ถึงจะกลัวอยู่หน่อยๆก็เถอะ ”
เฟนท์ กล่าวพลางไม่ชนนิ้วไปพลางด้วยความไม่แน่ใจ

“ เฮ้..ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนก็ได้นา ”
ไรด์ กล่าว

“ อืม…ถ้าไม่ไหวก็ถอนตัวก็ได้ เพราะไม่งั้นจะเป็นตัวถ่วงซะเปล่าๆ ”
เอมิล เสริม ทว่า ทั้งสอง ก็ไม่ยอมยืนยันที่จะขอตามไปอยู่ดี

“ ถ…ถึงยังไงซะ ให้พวกนายไปกันแค่ สองคน น่ะ…ไม่ไหวหรอก ยังไงซะพวกชั้นก็จะไปด้วย ”
เฟนท์ กล่าวก่อนจะเน้น ประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ อย่างที่ เฟนท์ บอกไปนั่นล่ะ เราเป็นทีมเดียวกันนี่ ถ้าพวกเราร่วมมือกันล่ะก็ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ”
ซาน กล่าวพลางยื่นมืออกไปกลางวง ก่อนที่ ทั้งสามจะยิ้มออกมา ด้วยความเข้าใจ พร้อมกับ ส่งมือไปประสานกันไว้

“ ด้วยคมดาบแห่งเบื้องฟ้าสูง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเรา… ”
“ ขอสาบานจะต้องขจัด.. ”
“ …สงคราม.. ”
“ ….ให้หมดไป… ”

ทั้งสี่ค่อยๆกล่าวขึ้นมาทีละประโยค ก่อนจะโยนมือที่ประสานกันออก ด้วย ความมั่นใจที่ถูกอัดแน่น
อย่างเต็มเปี่ยม

………………..
……………………

Soprano อาณาจักรแห่งการดนตรี และวจีศิลป์

บัดนี้ ประเทศอันงดงาม ที่เป็นที่เลื่องชื่อลือชา ด้านการดนตรี ซึ่งจะบรรเลงขับขานทำนองอันไพเราะ
ขับกล่อมอยู่แทบจะตลอดเวลา บัดนี้กลับเงียบสงัดราวกับ ไร้ซึ่งชีวิตชีวา

สภาพเมืองภายในประเทศก็ กลายเป็น ซากปรัก และ เริ่มมีการ กั้นบริเวณ ปิดล้อมอาณาเขต
กัน ทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจาก ขีปนาวุธ ไม่ทราบจำนวนพุ่งเข้า ชนเมืองแห่งหนึ่งใน โซปราโน่

และสิ่งที่ตามกันออกมาก็ คือเชื้อไวรัส ที่จะทำลายระบบ ประสาททำให้ สิ่งมีชีวิต ที่สูด ดม มันเข้าไป
 มีสภาพไม่ต่างกับ ซากศพเดินได้ หรือ ผีดิบ(Zombie)นั่นเอง และเมื่อมันทำร้าย สิ่งมีชีวิต อื่นที่ไม่ได้รับเชื้อ
หากโดนกัดเชื้อก็จะแพร่เข้าสู่ร่างกายได้ทันที และจะกลายเป็นเหมือนพวกมันในทันที

“ Seraphic Pistol ”
สิ้นเสียง กระสุนประจุ อิออน ก็ถูกระดม ยิงกราดใส่กลุ่ม ผีดิบ ที่ค่อยคืบคลานเข้ามา
จนราบเรียบ  ทว่า ขณะที่ ซาน กำลังจะลดปืนลง ก็มี ผีดิบ อีกตัวกระโจน ออกมาจาก
ซากตึกข้าง พร้อมกัน นับสิบ

“ ว้ายยย ”
ซาน กรีดร้อง ด้วยความหวาดผวา พลางเร่งเกราะอนุภาค อิออน สุดแรงจนสีเกราะเข้ม ขึ้นมาก
ด้วยความหนาแน่น ของอนุภาค ซึ่งทันทีที่ พวก ผีดิบสัมผัส ถูก เกราะ ร่างเนื้อของพวกมันก็ถูก
อนุภาคสลาย จนเหลือเพียงกระดูก ล้มกองระเนระนาด เท่านั้น เมื่อภายนอกเกราะดูจะสงบลง
ซานจึงลดการเร่งอนุภาคลง

“ เฮ่อ….ว่าแต่ทำไมถึงกลายเป็นกระดูกไปหมดเลยล่ะ หรือเพราะว่า เกราะอนุภาคเมื่อกี้มัน….อ๊ะ ”
ซาน รำพึงกับตัวเองได้ไม่นาน ก็ต้องผวาอีกรอบ เพราะพวก ผีดิบที่ล้อมเธออยู่นั้น
ได้ออกจากที่ซ่อน กระโจนเข้าใส่ เธอเมื่อเห็นว่า อนุภาคของเกราะ มีความเข้มข้น ลดลง

ทว่า แม้จะมีเกราะ เพียงเบาบาง แต่เพียงแค่พวกมันสัมผัสถูก อนุภาคที่ ปล่อยอกมา
ร่างเนื้อก็จะสลายและ เหลือแต่เพียกระดูก ราวกับถูก อนุภาคเผาผลาญ จนสลายไป

บ้าง บางตัวที่ยังมีสภาพร่างดีอยู่ ไม่ได้มีอวัยวะ เล็ดหลุด หรืออยู่ในสภาพของ ซากศพ
เมื่อถูก ประจุ สัมผัส บริเวณ แผลที่ถูกถ่ายเชื้อ ก็จะมีสภาพ เหมือนกับถูกไฟเผา
ก่อนที่ อาการแบบ ผีดิบ จะหายไป

“ นี่…คุณไม่เป็นไรนะคะ ”
ซาน เข้าเขย่า ตัวชายที่หายจากอาการ ผีดิบ จากการที่สัมผัสถูก อนุภาค อิออน
ซักครู่เมื่อเขารู้สึกตัว ก็พบว่า ชายคนนี้กลับเป็น คนธรรมดาดังเดิมแล้ว
ไม่รอช้า ซาน จึงรีบติดต่อ ไปยัง ยานแม่ ทันทีด้วย เครื่อง Crisis Terminal

“ นี่ Crisiser 002 Serephic Symphony ซาน นีโอเวล ขอแจ้งผลการปฏิบัติบางส่วน ค่ะ ”
ซาน รายงานไปขณะที่ กางอาณาเขตเกราะให้ ครอบคลุม ร่างของ ผู้รอดชีวิตที่เธอช่วยจากอากากรผีดิบ
 มาได้ ให้เข้ามาใน อาณาเขต เกราะของเธอ

“ พวก ผีดิบ ที่ถูกประจุ อิออน มีบางส่วนหายจากอาการ ด้วยใช่ไหม ”
เสียง ของ เอลิซ่า ดังตอบกลับมาจาก เครื่อง

“ ทำไมถึงรู้ล่ะคะ ”
ซาน ถามด้วยความแปลกใจ

“ เมื่อครู่ เฟนท์ กับคนอื่นๆรายงานเข้ามาแล้ว ก็เลยว่าจะมีการเปลี่ยนแผนภารกิจ
 ให้พาผู้รอดชีวิตที่เธอช่วยได้ ออกมาจากบริเวณ แล้ว ไปร่วมกันสกัด
ไม่ให้พวกผีดิบ ออกจากบริเวณ ปิดกั้นแทน เพราะตอนนี้พวกมันเริ่ม
ที่จะหนีออกมาเพราะการแทรกแซงของพวกเราแล้ว ”

สิ้นคำสั่ง เอลิซ่า ซาน ก็รีบพาทุกคน หนีออกจากบริเวณ ในทันที
โดยระหว่างทางที่ออกนั้น ก็สามารถช่วยเหลือคนเพิ่มมาได้เรื่อยๆ ทำให้กลุ่ม
ของเธอ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆแต่ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลืออกมาได้หมด

โดยด้านหน้า มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ ของ รัฐซึ่งมาทำการปฏิบัติการช่วย เหลือผู้คนในเขตบริเวณ ปิดกั้นตั้งแต่
ก่อนที่ Empyrean Adjust จะเข้ามาแทรกแซง ทำให้ตอนนี้ ทาง โซปราโน่ เมื่อเห็นว่า เหล่า Valkyrier
สามารถช่วยพวกเค้าได้ จึงให้ความร่วมมือ อย่างเต็มที่ โดยไม่เกี่ยงว่า พวกเค้าเองก็เป็น องค์กรก่อการร้าย
ที่เคยใช้กำลัง สงบสงครามด้วยการคร่าชีวิต ผู้คนไปมากมาย ก็ตามที

ยาน Albus

“ อืมไม่นึกเลยนะว่า อนุภาค อิออน จะมีความสามารถในการรักษา เชื้อไวรัส ได้ด้วย ”
เอียน กล่าว พลางใส่คำสั่งลงไปในแผงควบคุมเพื่อเตรียมการตามแผนที่
เอลิซ่า วางไว้

“ เข้าใจแล้วนะคะ ทันทีที่ ทางเราพร้อม ให้ทำการกระจายอนุภาค ลงไปในเมืองเลย ”
เอลิซ่า กล่าวกับ หลีเม่ย ที่ติดต่อเข้ามาขณะที่ ด้าน นอก ตัวยานนั้น
หลีเม่ย กำลัง รวบรวม ประจุ ที่ปล่อย ออกมาจาก ยาน Albus ที่กำลังบินอยู่เหนือ น่าน ฟ้าของ เขตปิดกั้น

“ ต้องขอโทษด้วย ที่ทางทีมเรา มีฉันมาแค่คนเดียวแบบนี้ เพราะ ยาน Niger ของทีมเรา เป็น เรือดำน้ำ
ก็เลยขึ้นมาไม่ได้ จนกว่าจะซ่อม ระบบ เตาพลังงาน ที่พังเพราะใช้บินไปที่ บริทเทเนอร์  ตลอดทางยาวนั่น
เลยต้องทิ้ง ผิง กับ หลง ไว้ที่ ยานน่ะค่ะ ”
หลีเม่ย กล่าว ขออภัย ที่ทีมของ ตนไม่สามารถช่วยอะไรได้เท่าที่ควร

“ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาขอโทษกันแล้วนา ทางเธอน่ะ เอาเวลาไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเถอะ ”
อีลูมีเซ่ กล่าวโดยไม่หันขึ้นไปมอง ที่มอนิเตอร์ เพราะกำลังง่วนอยู่กับการ
แผงควบคุม เพื่อใส่คำสั่งลงไป ให้ยานส่วน ลูลู่ นั้น ยังคงต้องทำงานมือเป็นประวิง
กับผล สภาพของ ยานและการปรับ สมดุลพลังงาน  ของยาน

“ ตอนนี้ ซาน ไปสมทบ กำลังป้องกัน ทางทิศ เหนือ แล้วค่ะ ”
ลูลู่ รายงานจากการติดต่อที่ ซาน ส่งเข้ามาขึ้นทันที

“ แย่ล่ะสิ ดูเหมือน พวก ผีดิบมันจะแห่กันออกมายิ่งกว่าเดิมแล้วนะ ขืนปล่อยให้หลุดออกปได้ซักตัวล่ะก็ ”
เอียน เปรยขึ้น ทว่าไม่นาน อยู่ก็มีสัญญาณเตือนดังขึ้น ก่อนที่ ลูลู่ จะส่งภาพสัญญาณที่เรดาห์จับไว้ได้ขึ้นจอ
มอนิเตอร์ ใหญ่ ขีปนาวุธอีกนับสิบกำลังจะพุ่งเข้ามา ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเท่านั้น

“ นั่นมันหรือว่า ”
เอลิซ่า เปรย โดยไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า

“ ใช่จริงๆด้วย ขีปนาวุธนั่นเป็น ขีปนาวุธ ไวรัส แบบเดียวกับที่ยิงเข้ามา ที่นี่ ”
อีลูมีเซ่ รายงานผลวิเคราะห์ ที่ได้จาก เครื่อง

“ เป้าหมายล่ะ ”
เอลิซ่า หันไปถาม ลูลู่ ที่เป็น ฝ่ายคำนวณของยาน

“ ค…ค่ะเป้าหมายคือบริเวณ รอบนอกเขต ปิดกั้นค่ะ ความเสียหายที่ได้ จะเอาขึ้นจอเลยนะคะ ”
ลูลู่ รายงายก่อนจะส่งภาพขึ้น จอรัศมีความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดจากการที่ขีปนาวุธลง
ได้ครอบคลุมอาณาบริเวณ เกือบ หมดทั้งประเทศ อีกทั้งหากประชากร โซปราโน่ กลายเป็น

 ผีดิบกันหมด ก็จะยังส่งผลให้ ประชากรผีดิบ กระจายกันออกไปแพร่ เชื้อจนลามไปทั้งทวีป
และอาจไปได้ ทั้งเทอร่า

“ นี่มันคิดจะทำให้ คนกลายเป็นผีดิบ หมดเลยรึไงกัน ”
เอียน สบถพลางขบฟันด้วยความโกรธ

“ สั่งการลงไปให้ ไรด์ กับ ซานเข้าไปสกัด อย่าให้ ขีปนาวุธ ลงไปยังเป้าหมายได้แล้วก็อย่าทำให้ ขีปนาวุธ ระเบิดเด็ด ขาด ให้ ตัดเอาหัวเชื้อออก และเก็บกลับมาอย่าให้ ตกหล่น ”
เอลิซ่า รีบสั่งการเพื่อแข่งกับเวลาในทันที

“ นี่แสดงว่า พวกมันจับตาดูพวกเราอยู่สินะ คิดจะทำให้เราเสียความเชื่อถือ ด้วยการทำให้ภารกิจของเรา
ล้มเหลว งั้นสิ แสดงว่า เป้าหมายของพวกมันก็คือพวกเรา ”
เอลิซ่า คิดขณะที่พยายามหาทางจัดการกับสถานการณ์ในขณะนี้

“ ถึงจะทำแบบนั้นได้ ก็เถอะ แต่จำนวนขีปนาวุธ ขนาดนี้ แค่สอง คนคงไม่ไหวแน่
จะทำลายเลยก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเชื้อก็จะแพร่ กระจายลงไปเจือปนกับอากาศ แต่เป้าของ ขีปนาวุธ ก็

ครอบคลุม จนเกินกว่า จะแยกตามไปสกัดได้ทัน จากวิถียิง ที่พวกมันยิงล้อมมาจากทุกทิศ ได้แบบนี้
แสดงว่าฐานกำลังของ พวกมัน จะต้องอยู่กระจายกันไม่ไกล ในรอบบริเวณนี้ หรือจะเป็นพวกมาราดัน…  ”

เอลิซ่า พยายามวิเคราะห์ เป้าหมายของ กลุ่มก่อการร้าย ที่สร้างสถานการณ์นี้ขึ้น
พร้อมกับคิดหาทางออกแต่ไม่ว่าจะใช้วิธี ใด พวกเค้าก็ไม่สามารถ จัดการกับ ขีปนาวุธทั้งหมด
ได้อยู่ดี

……………..
……………………….

St. Magnus Academy

บัดนี้ รอบบริเวณด้าน นอกของโรงเรียน ถูกล้อมไว้ด้วย หน่วยพิทักษ์สันติราษฎร
ที่กำลังจับกลุ่ม กลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่ลอบเข้าไปจับ อาจารย์และนักเรียน ในโรงเรียน
 เป็นตัวประกัน ซึ่งเหตุการณ์ เหล่านี้เกิดขึ้น หลังจากที่ พวก เฟนท์ ออกไปได้ ไม่นาน

โดย มูลเหตุของการก่อการร้าย คือความไม่พอใจในการเจรจาที่ โลกอส  จับมือ
กับ บริทเทเนอร์ ที่เคยเป็น ศัตรูกันมาก่อน แต่หากมองต่างมุมแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้
ถูก พวกองค์กร ก่อการร้าย ขนาดใหญ่ที่หากินกับสงคราม ว่าจ้างมาทั้งนั้น

ในขณะนี้ กลุ่มนักเรียน ที่สามารถ อพยพออกมาได้ ก็ยืนมุงอยู่ด้านนอก ด้วยความระทึก
ทางหน่วยงานก็กำลัง ต่อรองกับ คนร้ายอยู่ ทว่าก็มีการขู่กลับมาว่า จะมีการเชือดตัวประกันหากตำรวจ
ไม่ยอมทำตาม ข้อเสนอของคนร้าย ตำรวจรักษาการ จึงได้แต่ประวิงเวลาเอาไว้

“ ตายแล้วๆทำไงดีล่ะ ไอ ต้องถูกจับไปด้วยแน่เลย ”
โคเว็ท ร้องโวยวายขึ้นด้วยความกังวล นั่นเลยทำให้ มิมิ ต้อง ปรามให้ เธอใจเย็น ลง

“ ใจเย็นๆไว้ โคเว็ท ไอ จะต้องไม่เป็นอะไร เชื่อสิ ไอ เค้าดูแลตวเงได้อยู่แล้ว ”
มิมิ กล่าวพลางยื่น ผ้าเช็ดหน้าให้ เธอ สั่งน้ำมูกที่ไหลเยิ้มออกมา

“ แต่ยังไง มันก็อดกลุ้มไม่ได้นี่ ”
โคเว็ท ร้องออกมา อีกรอบ จน มิมิ ต้องนั่ง ปลอบเธอเป็นการใหญ่


…………..

ห้องสมุด

ภายในห้องที่เต็มไปด้วย ตู้และชั้นวางหนังสือ มากมาย กลุ่มนักเรียน และอาจารย์ บรรณารักษ์
ในห้องถูกจับ ให้นั่งรวมกลุ่มกัน โดยมีหนึ่งในคนร้าย ที่คลุมหน้าด้วย ถุงผ้าสีดำ เจาะรูที่ตา
ถือปืนคุมเชิงอยู่ ส่วนคนร้าย อีกคนคุย โทรศัพท์ ต่อรองกับ ตำรวจ

“ ฮึ้ยย นี่พวกมันจะยื้อไปถึงไหนกัน ”
คนร้ายสบถ พร้อมกระแทก หูโทรศัพท์ ลงกับโต๊ะ ด้วยความโมโห

“ สงสัยต้องเชือดไก่ให้ลิงดูน่ะล่ะมั้ง มันถึงจะ กระตือรือร้น ขึ้นมาบ้าง ”
คนร้ายที่คุม ตัวประกัน อยู่ กล่าว พลางชักคันรั้งปืน ทำเอา อาจารย์ และนักเรียน
ตกอยู่ในความกลัว

“ อึ๋ย ทำไงดีอ่ะ ”
เรกกะ ที่เป็นหนึ่งในตัวประกันคิด ขณะที่พยายาม หาทางออก

“ ทำไมเราต้อง ทำตามพวกมันด้วยล่ะ เราเป็น เจ้าชายนะ เราต้องเป็นคนสั่งสิ ”
เสียงทาลูคัส ดังขึ้น ในจิตใจ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจนัก

“ เฮ้ย เห้ย อย่างนี้มันต้องลุยกันหน่อยแล้ว ม้าง เรกกะ ว่างไเอาให้ ไคลแมกซ์ กันตั้งแต่ต้นจนจบเลย
ดีไหม ”
ไม่นาน ทาลิคนัส ก็เอาบ้าง

“ กึ๋ย อย่าดีกว่าน้า ชั้นกลัว อ่ะ พวกมันมีปืนด้วยนา ”
เรกกะ กระซิบ ตอบโดยพยายามให้เสียงเบาที่สุด

“ เอาน่า ให้ชั้นจัดการเองเถอะ ”
ทาลิคนัส แย้ง อาสาออกตัวจะช่วย

“ อ…อืม ก็ได้ งั้นช่วยหน่อย นะทาลิคนัส ”
เรกกะ กระซิบ ขณะที่ ไอ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เค้าก็หันมามองด้วยความสงสัย

“ นี่เรกกะ เธอ พูดกับใครอยู่เหรอ ”
ไอ กระซิบ ทว่า อยู่ๆ เรกกะ ก็ลุกขึ้น ยืนทำเอาทุกคนหันมาเป็นทางเดียวกัน

“ หา…ไอ้หนูแกยืนทำไมน่ะห๊ ะนั่งลงไป เดี๋ยวยิงไส้แตกซะเลย ”
คนร้ายที่ถือ ปืนยกปืนขึ้นขู่ บรรดา อาจารย์ และนักเรียน ต่างรีบก้ม
หัวลงและกรีดร้องด้วยความ กลัว จนคนร้าย อีกคน ต้องตะคอกให้เงียบ

“ เฮ้ย แกน่ะปัญหามากใช่ไหม….มานี่ ”
คนร้ายที่ตะคอกเสียงไปเมื่อครู่สั่ง ก่อนที่เรกกะ
จะเดิน เข้าไป และคนร้าย ที่ถือปืน จะเดินตามไปสมทบ ท่ามกลางความระทึกของ กลุ่มตัวประกัน

“ พอดีเลยข้ากำลังอยากเอาตัวประกันไปเชือดซะหน่อยเอาแกเลยแล้วกัน ”
คนร้าย สบถใส่ เรกกะ เองก็ยัง ยืนนิ่ง รอจนเมื่อคนร้ายอีกคนถือปืนเข้ามาใกล้

“ โอเระ ทันโจว …”
เรกกะ กล่าวพร้อมรีบคว้า กระบอกปืนแล้ว ออกแรกบีบจนปากกระบอกปืนแหลก
คามือ ทำเอาคนร้ายอ้าปากค้างด้วย ความตะลึง ในความทรงพลังซึ่งอันที่จริงเป็นผลจากการที่ถูก ทาลิคนัส สิงนั่นเอง

“ มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว ”
เรกกะ กล่าวจบก็ กระชาก ปืนวาดกวาด จนคนร้าย ต้องถอยออกห่าง
ก่อนที่ เรกกะ จะตั้งท่า วาดมือโชว์ออฟ เหมือนทุกๆครั้ง

“ เอาล่ะนะ ทีนี้เราก็มาเริ่ม ไคลแมกซ์ กันเลยเถอะนะ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ”
เรกกะ ที่ถูก ทาลิคนัส สิง หักนิ้วไปมาด้วยความสะใจที่จะได้ลงมือในไม่ช้า

“ งี้ก็ความแตกหมดสิ ”
เรกกะ ที่ตอนนี้อยู่ในจิตใจ กล่าวน้ำเสียง หน่ายๆ
ขณะที่ เรกกะ ทาลิคนัส เดินเข้ากอด คอสองคนร้าย ที่จะพึ่งจะชะตาขาดเพราะดันมา
จับ เรกกะ เป็นตัวประกัน ซะนี่

“ คนที่ไปช่วยเรากับ เฟนท์ ในวันนั้นคือ เรกกะ จริงๆด้วยน่ะสิ ”
ไอ คิด ทว่าไม่ทันไร หนึ่งในคนร้าย ที่กำลังถูก เรกกะ อัดอยู่ก็หนีหุดออกมา พร้อมทั้งชักมีดออก
มาและ จับ ไอ เป็นตัวประกันโดยเอามีดจ่อที่ คอเธอ พลางล็อคตัว ออกห่าง

“ ย..อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นชั้นเชือดจริงๆนะ ”
คนร้าย กล่าวอย่างร้อนรน ขณะที่ ลากตัว ออกเพื่อจะหนีออกนอกห้อง

“ อ้าว เฮ้ย เล่นโกงกันนี่หว่า แน่จริงอย่าจับตัวประกันเซ่ ”
เรกกะ ทาลิคนัส สบถ พลางทิ้งตัว แสลมแบบท่านักมวยปล้ำใส่ร่าง คนร้ายอีกคนที่โดนอัดจนนอน อ่วม อรทัย
จนฟุบสลบไป ด้านคนร้าย ที่จับ ไอไป ก็รีบ ลากตัว ไอ หนีออกไปจากห้องทันที

“ ซวยแล้ว ”
“ นี่ขอเวลา เดี๋ยวสิ ทาลิคนัส ”
ทาลิคนัส สบถขึ้นทว่า เรกกะ ก็ปรามเอาไว้ก่อน

“ หาทำไมล่ะ…ถ้าไม่รีบตามไป ”
“ เถอะน่า..ขอร้องล่ะ ”
เรกกะ พยายามวิงวอน จนในที่สุด ทาลิคนัส ก็ยอม และถอยทางให้ เรกกะ

“ ขอบใจนะ ”
เรกกะ กล่าวพลางหยิบ เอาโทรศัพท์พกพา ขึ้นมา และโทรไปที่เครื่อง ของ เฟนท์

………………
………………….



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: greamon on March 15, 2009, 06:16:29 PM
โซปราโน่


“ โรงเรียนถูกจลาจลเหรอ ไอ ถูกจับเป็น ตัวประกัน ”
เฟนท์ กล่าวด้วยความตะลึง ขณะที่ ซัดหน้า ผีดิบ ที่พยายามจะออกมาจากบริเวณ กระเด็น ไปชนตัวอื่นๆจนล้มกองลงไปตามกัน ด้วยหมัดขวาตรงเพียงหมัดเดียว ส่วน มือซ้าย ก็ถือโทรศัพท์ คุยไปพลาง

ขณะที่บทสนทนานี้ ก็ถูกส่งไปยัง ลูกทีมทุกคน ที่เข้าร่วมภารกิจ นี้อยู่ด้วย เพราะการ สวมใส่ Crisiser
ทำให้ระบบ สัญญาณ เชื่อมถึงกันไปในตัว เมื่อ เรกกะ คุยกับ เฟนท์ จึงเหมือนกับ คุย
อยู่ด้วยกันกับทุกคนเลยทีเดียว

“ ชิ พวกที่ไม่พอใจ ในการประชุมเจรจา พันธมิตร โลกอส กับ บริทเทเนอร์สินะ
 ดันมาลงมือตอนพวกเราไม่อยู่ซะได้ ”
ไรด์ สบถขึ้น ขณะที่ ช่วยกับ ซานตัดเอา หัวเชื้อ ไวรัส ซึ่งอยู่ปลาย ขีปนาวุธ ที่พุ่งด้วยความเร็วสูง
ออก

“ คุณ เอลิซ่า ครับ ”
“ ไม่ได้นะ เฟนท์ ”
ด้วยความ ขาดสติทันทีที่ จะติดต่อกับ เอลิซ่า เพื่อขอตัวกลับ ไปจัดการเรื่องที่ โรงเรียน
เอมิล ที่ยืนอยู่ด้วย กันข้างๆก็แทรกขึ้นมา

“ ต…แต่…อ..ไอ น่ะ ”
เฟนท์ กล่าว อึกอัก ในเวลานี้ เขารู้ดีว่าไม่สมควรจะทำแบบนี้ เพราะตอนนี้ชีวิต คนอีกจำนวนมาก ก็รอความช่วยเหลือ
อยู่ที่นี่ การที่จะทิ้งพวกเขา ไปด้วยเรื่องส่วนตัวนั้นเป็นสิ่งไม่สมควร

“ พวกเราเป็น Valkrier นะมีหน้าที่ที่สำคัญกว่าการไปช่วยคนแค่คนเดียวนะ ”
เอมิล กล่าวเตือนสติ คำพูดของเอมิล นั้นถูกทุกอย่าง แต่ตัว เค้า เองก็ทิ้ง ไอ ไปไม่ได้
ยิ่งที่เมื่อวานเค้า ผิดสัญญากับไอ ที่ไปสาย ก็ อาจจะเป็นโอกาสที่จะคืนดีด้วย
ก็ตามที

“ ชีวิต ของคน อีกนับล้านฝากไว้กับพวกเรานะ นายจะทิ้งพวกเค้าไปงั้นเหรอ เฟนท์ ”
เอมิล ตะคอกใส่ เพื่อย้ำให้เขา คิดถึงความเหมาะสม

“ ไม่ต้องห่วงหรอก เฟนท์ ชั้นจะจัดการให้เอง ถ้านายมีธุระก็ทำต่อไปให้สำเร็จเถอะ ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้น จาก โทรศัพท์ พกพา เฟนท์ ที่ได้ยินแบบนั้ ก็ได้แต่ข่มความอดสูเอาไว้
ในใจ พลางกัดฟัน ตอบกลับไปทั้งน้ำตา

“ ฝากด้วยนะ…แล้วชั้นจะรีบกลับไป ”
เฟนท์ ตอบก่อนจะ วางสาย และเก็บ มือถือลงไป

“ นายทำถูกต้องแล้วล่ะ…เฟนท์ สำหรับพวกเรา ที่เป็น  Valkyrier ต้องเลือกที่จะช่วยส่วนมาก เอาไว้ก่อน นี่ก็ถือเป็นการเสียสละ อย่างหนึ่งในฐานะของ  Valkyrier ด้วย ”
ไรด์ กล่าว ก่อนที่ จะรวม อนุภาคลงไปใน ชูริเคน ของตน

“ Cross Rising ”
เสียงดังขึ้นจาก ชูริเคน ก่อนที่ ไรด์ จะขว้างมันออกไป ชูริเคน ที่รวมประจุ เอาไว้ ก็หมุนควง
เป็นวง กังหัน ก่อนจะยกตั้งขึ้น ขวางกั้น เส้นทาง ของ ขีปนาวุธ ที่ใกล้ เข้ามา
หัวเชื้อ ของ ขีปนาวุธ ค่อยๆถูกอนุภาคบีบอัด เผาผลาญไปเรื่อยๆจนละลาย เชื้อที่อยู่ข้างใน ก็ถูก อนุภาค อิออน
ความเข้มสูง เผาทำลายจนตายหมด เช่นกัน ขีปนาวุธ ในส่วนของทิศนี้ ถูกทำลายลงหมดแล้ว

“ …เพราะงั้น เรารีบมาทำให้มันจบๆลงไป…แล้วก็กลับไปช่วย ทุกคนกันเถอะเนอะ..เฟนท์ ”
ซาน กล่าวขณะที่ ดึงแว่นพิเษ ลงมาสวม ซึ่งแว่นนั้น สามารถช่วยควบคุมทิศของ ลูกกระสุน ประจุ
ให้เข้าตามเป้าได้ ทันทีที่ กระสุนลำแสงถูกรัวออกมา ลำแสงทั้งหมดก็พุ่ง

ตัดทำลายเอาหัวเชื้อ ออกมา ก่อนที่เธอจะเข้าไปรับ กระเปาะหัวเชื้อทั้งหมดที่หลุดออกมา พร้อมกับยิงกวาด ทำลาย
ขีปนาวุธไร้หัวเชื้อทั้งหมดทิ้ง

“ …ใช่แล้วเรา มาทำให้มันจบลงไปเถอะ…. ”
เอมิล กล่าว พลางสะสม ประจุพลังงาน ไว้ที่หอก ก่อนจะปักคมหอกลงไปในดิน

“ Mirror Guard ”
เสียง ทุ้มกังวานดังขึ้นจาก หอก ของ เอมิล ก่อนที่จะเกิดกำแพงใส ขึ้นปิดล้อมทั้งอาณาเขต ที่ปิดกั้นไว้ เอาไว้
เฟนท์ ที่ตอนนี้พยายามทำใจ รับกับ สถานการณ์ ที่บีบคั้นนี้ได้แล้ว จึงเริ่มสะสม ประจุ อนุภาคลงในอุ้งมือ
ทั้งสองข้าง

“ Geo Driver ”(ขับเคลื่อนพสุธา)
สิ้นเสียงที่กังวานขึ้นจาก สนับมือทั้งสองข้าง เฟนท์ ก็อัด มวลอนุภาคนั้นลงไปยังพื้น
เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นราวกับ แผ่นดิน ไหวก่อนที่ พื้นที่ปิดล้อมทั้งที่อยู่ในกำแพงกั้น ที่

เอมิล สร้างขึ้น จะถูก ช้นหินข้างล่าง ยกสูงขึ้น จนอยู่ ระดับ เดียวกับ ยาน Albus ที่ลดระดับ
บินอยู่ใต้ชั้นบรรยากาศ ลงมาเพื่อให้ หลีเม่ย ใช้ประจุพลังงาน จาก ยาน ซึ่งตอนนี้ พื้นที่เป้าหมายได้
ขึ้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จึงไม่ต้องมีการคำนวณ ระยะ อะไรแต่อย่างใดอีก ต่อไป

“ ตอนนี้แหล่ะยิงเลย ไม่ต้องคำนวณ หรือคิดอะไรอีกแล้ว ”
คำสั่งที่ เอลิซ่า สั่งออกไปนั้น ทำเอา ลูลู่ ช็อคไปทันที ทั้งที่เธอพยายามคำนวณระยะยิงอยู่จนถึงเมื่อครู่
ที่ทำมานั้น ก็สูญเปล่าไป ทำเอา อีลูมีเซ่ กับ เอียน อดหัวเราะไม่ได้


“ Crisiser 005 Crimson & Keen หว่อง หลีเม่ย (Wong Rymei)  ทำการกระจายอนุภาค ”
สิ้นเสียง ของหลีเม่ย  Bit ทั้งสี่ ก็ตั้ง ทัพเป็น ลำกล้อง แบบ ที่ใช้ยิง Extream Charge
ทันที ด้านในเขตปิดกั้น พวก ผีดิบ พากันเคาะทุบกำแพง ที่ เอมิล สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้น

เพื่อที่จะหนีออกไป ไม่นานนัก เอมิล ก็ปลด กำแพงออกแต่พวกมันก็หาได้มีตัวใดออกไป
แพร่เชื้อได้อีก เพราะถูกพายุอนุภาค อิออน ล้างบางจนสลายกลายเป็นเถ้า คนที่ยังกลับเป็นมนุษย์ได้ก็
หายจากอาการ ผีดิบ ไปตามๆกัน ในทันที ปิดฉากเมืองสยองสั่นประสาทไปแบบถาวร

“ แย่แล้ว ค่ะ ขีปนาวุธที่ยังไม่ถูก ทำลายบางส่วนกำลัง จะถึงเป้าหมายแล้ว ”
ลูลู่ รายงานขึ้น ทว่าในตอนนี้ ก็ไม่มีใครมี พลังงานเหลือพอจะไป หยุดอีกแล้ว ด้าน ซาน กับไรด์ เอง
ก็ใช้ประจุ ไปจนหมด ยาน Albus ก็เสีย อนุภาคไปกับการกระจาย อนุภาค เมื่อครู่พร้อมๆกับหลีเม่ย

 ด้าน เฟนท์ กับ เอมิล หลังจากใช้พลังในตอนท้ายแล้วนั้น ก็ไม่เหลือประจุพอจะใช้
ทำลาย ขีปนาวุธที่อยู่ไกลออกไปได้  ทว่า ก่อนที่ ขีปนาวุธ จะได้ทันเคลื่อนตัวเข้า

มา ในเขตแผ่นดิน ก็มีบางอย่างพุ่งขึ้นมาจาก ทะเล วัตถุขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้นมานั้น
ทำให้เกิด คลื่น พัดเอาขีปนาวุธ ที่อยู่ใกล้กับระดับ น้ำถูก คลื่นพัดจน หยุดการ

พุ่ง และลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ก่อนที่ จะมี ลำแสงอนุภาค อิออน ยิง ออกมาจากวัตถุนั้น
 ทำลายขีปนาวุธ ซึ่ง ความเข้มข้น ของ อนุภาค ที่ลำแสงยิงออกมานั้น มากพอที่จะ สลายเชื้อไวรัสไปได้

โดย ไม่ตกค้างอย่างแน่นอน ลำแสง อิออน ที่ยิงออกมาจากวัตถุนั้น ยังคงยิงทำลาย
 ขีปนาวุธไปเรื่อยๆจนหมดในที่สุด ก่อนที่ น้ำจะไหลลงจากวัตถุ

นั้นพร้อมกับละออง น้ำที่กระเซ็นขึ้นปนกับ ควันระเบิดในอากาศ
 ได้จางลง  วัตถุนั้นเป็น เรือดำน้ำ  แอนดิซอง (Annedisonge Submarine) ขนาดใหญ่ที่ได้รับการ
ติดตั้ง เตาพลังงาน อิออน เพื่อลอยตัว ขึ้นเหนือน้ำ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/71.jpg)

“ ทันเวลา พอดีเลยนะ ”
เอลิซ่า กล่าวด้วยความโล่งอก ในตอนนี้ พวกเขาทำภารกิจ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

…………………
…………………….
………………………….

ด้าน St. Magnus Academy

พวกตัวประกัน นักเรียนและอาจารย์ ที่หนีรอดออกมาได้ กลับถูกกลุ่มกำลังของ พวกโจรก่อการร้าย
ล้อมดักเอาไว้ที่สนาม

“ พวกแก นั่งลงแล้วอย่าตุกติกนะ ไม่อย่างนั้น เรายิงจะจริงๆ ”
หนึ่งในคนร้าย ตะคอกขึ้น ทำเอา เหล่าตัวประกัน ผวาไปตามๆกัน พากัน นั่งลงอย่างสงบๆ
สูงขึ้นไป บนชั้น สองของอาคาร เรกกะ ที่วิ่งไล่ตาม คนร้ายที่ จับตัว ไอ ไปก็ต้องหยุดเมื่อเห็นว่า คนอื่นๆกำลัง
ล้อมอยู่ที่สนาม

“ อ..เอาไงดีล่ะ ”
เรกกะ รำพึงด้วยความร้อนรน พลางหอบไปด้วยวามเหนื่อยล้าจากการวิ่งไล่

“ เอามาให้แล้ว…เอามาให้แล้ว ”
เสียงร้องแหลม แบบที่ไม่ใช่เสียงคนดังขึ้น ก่อนที่ แมกกี้ จะบินเข้ามาหาพร้อมเอาชุดของ Dragoon
ที่หิ้วใส่ถุงกระดาษ มาด้วย

“ เรกกะ ได้ยินนะ ตอนนี้ เรารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว นายทำตามแผนนะ ใส่ชุด Dragoon
ที่เอาไปให้ซะแล้วเริ่มแผนเลย ”
เสียงของ มาธิอัส ดังขึ้นจากหน้าปัด สายคาดที่ข้อมือซ้าย เรกกะ รับคำก่อนจะ เริ่ม สวมชุด

………


“ พร้อมนะ แมกกี้ ”
เรกกะ ที่ใส่ชุด Dragoon เรียบร้อยแล้ว บอกให้ แมกกี้ ที่เกาะอยู่บนหลังเค้าเตรียมพร้อมขณะที่
ตัวเค้าปีนขึ้นไป บนราวกั้นระเบียงทางเดิน

“ พร้อมเสมอ…พร้อมเสมอ ”
แมกกี้ ตอบพลางกระพือปีก ผับๆ

“ ถ้างั้นก็ไปกันเลย ”
เรกกะ กล่าว พลางเอามือขวา เปิดตลับที่คาดอยู่เอว ขวาออก แล้วหยิบเอาไพ่ในนั้นออกมาใบหนึ่ง
ตัวเลขบนหน้าจอก็ลดลงจาก 97 เป็น 96

“ เอาล่ะทีนี้ใครจะไปดีล่ะ ”
เรกกะ ถามกับ บุคลิกในจิตใจ

“ ของมันแน่อยู่แล้วก็ต้องช… ”
ทาลิคนัส กล่าวได้ไม่ทันขาดคำ ทาลูคัส ก็แทรกขึ้นมาทันที

“ เราจะออกไปเอง จะขอยืดเส้นยืดสายซะหน่อย ”
สิ้นเสียง ทาลูคัส ดวงตาซ้าย ของ เรกกะ ก็ส่องแสงสีขาวอยู่ในแววตา ผ่านช่องตาซ้ายของ หน้ากาก
ที่สวมเอาไว้ ก่อนที่จะทะยานตัวลงมาจากอาคาร พร้อมกับที่ แมกกี้ สยายปีก และพาบิน ตรงไปยัง กลุ่ม
โจร

“ นั่นอะไรน่ะ ”
“ ไม่ต้องสน ยิงมันเลย ”
สิ้นเสียงกลุ่มคนร้าย ก็ยิงกระสุนสาดใส่ ทว่า แมกกี้ ก็พาบินหลบได้อย่างคล่องแคล่ว
ก่อนที่ เรกกะ ในคราบ Dragoon จะลงมาถึงพื้นได้อย่าง งดงาม

“ จงเรียกขานเราว่า Dragoon ”  
เรกกะ ทาลูคัส กล่าวก่อนจะยกไพ่ขึ้นส่องกับตาซ้าย ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น
ที่คนร้ายคนหนึ่ง ลั่นไกปืนโดยเล็งที่หัวใจ ไพ่ที่สัญลักษณ์ธาตุแห่งแสง

ปรากฏขึ้นแล้วก็ถูกปล่อยลง ไพ่ที่ค่อยๆหมุนควงลงไป จนถึงระดับเดียวกับหัวใจ
กระสุนก็กระแทกไพ่ สะท้อนเบี่ยงออกไป ก่อนที่ เรกกะ ทาลูคัส จะยกหน้าปัดขึ้น

มาส่องกับไพ่ที่ กระเด็น วกกลับขึ้นมาไพ่ก็ถูกแสงที่หน้าปัด ดูดเข้ามา

“ Luminar Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นเสียง จากหน้าปัด ไพ่ก็ถูก เรกกะ ทุบกระแทกลงไปบนหน้าปัดก่อนที่ จะเกิดแสงสว่าง
อาบร่างของ เค้าและเปลี่ยนร่างกลายเป็น ทาลูคัส

“ จงถ่างหูแล้วฟังให้ดีๆ บัดนี้องค์ชายเสด็จแล้ว จงขานนามเรา ทาลูคัส  ”
ทาลูคัส กล่าวพลางสร้างมวล แสงขึ้นในอุ้งมือ ก่อนจะประกบมันเข้าด้วยกัน
และสร้าง ดาบประจำตัวขึ้นมา

“ Lux et Dragos ”
เสียงทุ้มกังวาน ดังขึ้นจาก ดาบที่พึ่งสร้างเสร็จ ท่ามกลางความตกตะลึงของทั้งฝ่ายตัวประกัน และ
ฝ่ายคนร้าย  ขณะเดียวกัน ห่างออกไปไม่ไกลเท่าใด ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกในรั้วโรงเรียน  ชายแต่งตัวปิดหน้าปิดตา
ก็ออกมาจับเวลาด้วยนาฬิกาทรายในมือ อีกซึ่งเป็นคนๆเดียว กับที่โผล่ที่ ท่าอากาศยาน

“ ย…ยิงมันไม่ต้องสนแล้วยิงให้หมดไปเลย ”
ผู้นำในหมู่คนร้าย สั่งการด้วยความหวาดผวา พลางลั่นไก ใส่ไปพร้อมๆกับ ผู้ร่วมก่อการ


“ แย่ล่ะสิ กระสุนพวกนั้น ”
ทาลูคัส คิดขณะที่ ปัดกระสุน ที่มุ่งมาทางตน ทว่า กระสุนที่ออกนอกวิธี ไปยังกลุ่มตัวประกันนั้น
เค้าไม่อาจสกัดไว้ได้หมด

“ White Stream ”
แมกกี้ เปล่งเสียงขึ้น ขณะที่พ่น คลื่นแสงออกจากปาก พัดทำลายกระสุนทั้งหมด ก่อนจะบินโฉบกลับขึ้นไป
โดยไม่ให้ใครเห็นอีก

“ ทันเวลาพอดีเลย แมกกี้ ขอบใจนะ ”
เรกกะ คิดด้วยความโล่งใจ

“ นี่ไม่ใช่เวลามามัวใจเย็นแล้ว…รีบจัดการให้จบๆไปเถอะ ”
ทาลูคัส กระซิบ พลางดีดนิ้ว เรียกเอาไพ่ที่ ใช้แปลงร่างให้ขึ้นมาอยู่บนมือพร้อมกับเข้าไปไล่ฟันให้กลุ่มคนร้าย
กระจายตัวถอยหนีไป

“ อ๊ะ..ไม่ได้นะพวกเค้าเป็นคนธรรมดา…แค่ทำลายอาวุธก็พอ ”
เรกกะ กล่าวปราม ทาลูคัส ไว้ก่อนที่ ทาลูคัส จะ วางไพ่ลงไปบนศิลาที่ด้ามดาบ

“ เข้าใจแล้ว เรกกะ วางใจเถอะ ”   “ Full Charge Great of Dragon ”
ทาลูคัส กล่าวพลางกดนิ้วลงยังศิลาที่ดูดซับ ไพ่เข้าไปจนเรืองแสงแล้ว ก่อนลากนิ้วไปตามคมดาบ
โดยที่มีแสงจากศิลา ไหลตามไปจนอาบไปทั้งคม ทาลูคัส ก็ควงดาบในมือ ก่อนจะโยนมันขึ้นไป

หลังจากนั้นจึงกระโดดตามไป และเตะเท้าขึ้นสูงกลางอากาศ พร้อมกับที่ ดาบได้ควงตกลงมา
ก็ฟาดเท้า ลงยังดาบที่ควงอยู่ บังเกิดกลายเป็น ลำแสงมังกรพลังงาน ที่แปลงมาจากดาบ สถิต ที่เท้า

 ของ ทาลูคัส ก่อนที่ จะพุ่งเข้าไปเตะปัด ทำลายอาวุธ จนหมด มังกรพลังงานจึงสลายกลับเป็นดาบดังเดิม
ทาลูคัส จึงเตะดาบให้ควงขึ้น ก่อนรับกลับมาอยู่ในมือ ด้วยท่าทาง งดงามหมดจด เหนือคำบรรยาย

“เฮ้ย นี่ชั้นยังไม่ได้ออกโรงเลยนะ   ”
ทาลิคนัส บ่นขึ้นด้วยอย่างไม่พอใจ

“ อ๊าาาาาาาาาา ”
เสียง กรีดร้องดังขึ้นจากอาคารเรียนที่ ไอ ถูกจับตัวไป

“ แย่แล้ว…ต้องรีบไปช่วย ไอ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นในใจ


“ อะฮ้า นี่ล่ะไคลแมกซ์ กำลังดี เลยคราวนี้ตาชั้นมั่งล่ะ ”
ทาลิคนัส กล่าวด้วยความ กระตือรือร้น


“ เอาเถอะ เราเบื่อแล้วล่ะ…ที่เหลือฝากเจ้าด้วยละกัน ”
ว่าแล้ว ทาลูคัส ก็ออกจาก การสิงกลับไปพักอยู่ในจิตใจของ เรกกะ ก่อนที่ ทาลิคนัส จะเข้าสิงแทน
ขณะที่ กลุ่มตัวประกันแห่กันวิ่งออกไปเมื่อ ไร้อาวุธ ตำรวจที่คอยท่าอยู่ข้างนอกก็บุกเข้ามาช่วยตัวประกัน
ทั้งหมดทันที ทำให้คนร้าย ต้องวิ่งหนีกันจ้าระหวั่น


“ มันต้องอย่าง งี้สิ ”
ทาลิคนัส กล่าวขึ้นในร่างของ ทาลูคัส ท่ามกลางความสับสนของผู้คนรอบๆ
ก่อนจะเดินออกจากฝูงชน แล้วดีดนิ้ว เรียกไพ่ ที่ใช้แปลง เป็น ทาลูคัส ขึ้นมา

พร้อมกับ สลายมันไป ร่างของ ทาลูคัส จึงแตกสลายลง เหลือแต่เพียงร่างของ เรกกะ
ที่สวมชุด Dragoon แทน จากนั้น ทาลิคนัส ก็ไม่รอช้าแต่อย่างใด รีบเปิด ตลับแล้วดึงไพ่ออกมา

 ตัวเลขบนหน้าจอตลับ จึงลดลงจาก 96 เป็น 95 แทนตอนนี้ดวงตาซ้าย ของ เรกกะ ส่องแสง
สีแดงอยู่ภายในแววตาแทน สีขาว ของ ทาลูคัส  เมื่อ เอาไพ่ขึ้นมาจ้อง จึงปรากฏสัญลักษณ์ไฟ
ขึ้นบนหน้าไพ่ แล้วจึงนำไปวางที่ หน้าปัดสายคาดข้อมือ พร้อมกับทุบไพ่ลงไปทันทีโดยไม่รีรอ

“ Blaze Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นเสียง แสงสีแดง ก็วาบขึ้นจากหน้าปัด อาบร่างของ เรกกะ และ
เปลี่ยนให้กลายเป็น ทาลิคนัส แทน

“ เอาล่ะทีนี้ก็มาไคลแมกซ์กันเลย ”
ทาลิคนัส กล่าวด้วยความกระชุ่มกระชวย ก่อนจะบินขึ้นไปยัง ชั้นที่ได้ยิน เสียง พลางไล่ไปที
ละห้องจนมาหยุดที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งมี น้ำไหล เจิงนองออกมา ทาลิคนัส จึงพุ่งเข้าไปในห้องนั้นทันที

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า ….เอ๋ ”
ทาลิคนัส เข้ามาพร้อมกับกล่าวประโยค ประจำทว่าก็ต้องชะงักไป เมื่อ คนร้ายที่จับตัว ไอ มา
กำลังถูก อัศวินในชุดเกราะสีฟ้า  ซึ่งถือดาบสองปลายไว้ในมือไล่ต้อนแทน ในมือ ซ้ายของ อัศวินคนนั้น

มีเหรียญสีฟ้าใส อยู่เหรียญหนึ่ง ที่เข็มขัด มีร่องตรง หัวเข็มขัดซึ่งติด
อุปกรณ์ หน้าตาประหลาดเอาไว้ อีกทั้งด้านข้างเอว ซ้ายยังมีกล่องตลับ สีดำ ติดกับเข็มขัดเอาไว้ด้วย

ซึ่งฝาครอบตลับ นั้นมีลายที่ดู คล้ายกับ นางเงือก ประทับไว้
 ที่เท้าซ้ายของ อัศวิน มีน้ำไหล เจิง ออกมาตลอดเวลา

“ แก…เป็นใครน่ะ ”
ทาลิคนัส ถามขึ้นด้วยความสับสน อัศวิน หันมามองเขาอยู่ซักพักก่อนจะ นำเอาเหรียญไปติดที่ร่อง ตรงหัวเข็มขัด

“ Charge Rider Water Blade ”
เสียงแหลมทุ้มกังวานดังขึ้นจาก ตัวเข็มขัด ก่อนที่จะเกิดคลื่นวงแสง สีฟ้ากระจายตัวออกรอบๆ
เหมือนรัศมี คลื่น พร้อมกับที่ ใบดาบได้รับคลื่นนั่น ก็เปลี่ยนเป็น สีฟ้าเข้ม อัศวิน ไม่รอช้า
ควงดาบยกขึ้น แทงลงไปยังร่างของ คนร้าย

“ หา….อ้าวเฮ้ย …ทำไมทำงี้ล่ะ”
ทาลิคนัส อุทานขึ้นด้วยความตกตะลึงกับการกระทำของ อัศวิน

“ เดี๋ยวก่อนดูที่ตัวคนร้ายสิ ”
เรกกะ ที่อยู่ในจิตใจ แย้งขึ้น ก่อนที่ ทาลิคนัส จะหันกลับไปมองที่ตัวคนร้าย
ร่างของ คนร้าย ค่อยๆบิดเบี้ยวไปก่อนที่จะกลายเป็น ปีศาจที่มีรูปร่างคล้ายงู
แต่มีหลายหาง ทาลิคนัส ได้แต่ยืนมองตาค้าง กับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนี้

“ Fuzen Akuma มีแต่พวกชั้นต่ำหรือนี่ ”
อัศวิน กล่าวเอาเท้าเหยียบร่างของ เจ้าปิศาจเอาไว้ก่อนจะถอด คมดาบออกมา
ร่างของ ปีศาจตนนั้น จึงได้สลายไป

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n021/34.jpg)

“ น…นี่แกเป็นใครกันแน่เนี่ย ”
ทาลิคนัส ถามขึ้นด้วยอยากรู้ ที่ในตอนนี้สับสนไปหมดแล้ว

“ จริงสิ แล้ว ไอ ล่ะ ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นจึงทำให้ เค้าและบุคลิกอื่นๆ ฉุกคิดขึ้น

“ เฮ้ยนี่ แกน่ะ เห็นเด็กผู้ที่ถูกจับมาด้วยรึเปล่า ”
ทาลิคนัส กล่าวพลางก้าว ดุ่มๆเข้าไป แตะตัวอีกฝ่าย ทว่าก็ถูก อัศวิน ปัดมือ ออกอย่างรุนแรง

“ อย่ามาถูกตัวข้านะ…อัศวินเฟินกอลโลเอี่ยนแห่งราชวงศ์(Royal Firngolloion Rider) อย่างข้า
มีหน้าที่อันสูงศักดิ์ ในการกำราบ อาคูม่า(Akuma) อัศวินมังกรเทพเช่นท่าน ควรทำตัวและกริยาให้
เทียบเท่ากับศักดิ์ของท่านหน่อยเถอะ ”

อัศวิน กล่าวทว่า น้ำเสียงนั้นเป็นที่คุ้นเคยสำหรับ เรกกะ ยิ่งนัก

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/52.jpg)

“ น…นี่หรือว่า เธอคือ… ”
เสียงของเรกกะ ดังขึ้นในจิตใจ ก่อนที่ อัศวิน จะปลด เข็มขัดอุปกรณ์ ออกชุดเกราะจึงแตกสลายไป
พร้อมกับ เข็มขัด โดยทิ้งไว้เพียง ร่างที่ไร้สติของ ไอ ที่ล้มฟุบลงเท่านั้น


“ หา…นี่มันยังไงกันเนี่ย ชั้น งงไปหมดแล้วนะ ”
ทาลิคนัส บ่นขึ้นด้วยความไม่พอใจ

“ นี่ขอร่างคืนก่อนนะ ทาลิคนัส ”
เรกกะ กล่าวซึ่งแม้จะไม่พอใจนักแต่ ทาลิคนัส ก็ตัดใจยอมให้

“ เชอะ..เลยแปลงร่างเสียเที่ยวเลย ”
ทาลิคนัส สบถพลาง คืนร่างให้กับ เรกกะ ซึ่งเรกกะ ทันทีที่ ได้ร่างคืน ก็
ดีดนิ้ว เรียกไพ่ที่ใช้แปลงร่างขึ้นมา แล้วสลายมันทิ้ง ร่างของ ทาลิคนัส ในตอนนี้จึง
แตกสลายออก ก่อนที่ตัวเค้า จะถอดเอาชุด Dragoon ออก และเข้าไปดูอาการของ ไอ

“ มารับคืนแล้ว…มารับคืนแล้ว ”
แมกกี้ บินเข้ามาพร้อมกับ กวาดเอาชุด Dragoon กลับแล้วจึงบินออกไป
ทิ้งให้ เรกกะ อยู่กับ ไอ กันตามลำพัง

“ ไอ…ได้ยินผมไหม..ไอ  ”
เรกกะ เรียกพลางเขย่าร่างของเธอเพื่อให้เธอรู้สึกตัว จนเมื่อเธอลืมตาขึ้นเขาจึงสามารถโล่งใจได้

“ เรกกะ…นี่มัน…ทำไมฉันถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ…จำได้ว่าถูกพาออกมาจากห้องสมุดแล้วก็… ”
ไอ กล่าวก่อนจะหยุดกุมขมับ พลางส่ายหัวไปมา

“ จำไม่ได้..เลยเหรอ ”
เรกกะ เปรย ขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ ไม่…จำไม่ได้เลย…หลังจากนั้นจำอะไรไม่ได้อีกเลย ”
ไอ กล่าวพลางกุมขมับ ด้วยความปวดหัว โดยพยายามที่จะนึกให้ออก แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่อาจจำเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้เลย

“ ชิ บัดซบ พวกตำรวจ ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่ คนร้าย ที่หนีการตามล่า คนหนึ่งจะ วิ่งเข้ามาพร้อม มีด ทันทีที่ เห็น ทั้งสอง
ก็ไม่รีรอ กระชาก ไอ ไปเป็นตัวประกันทันที ทำให้ เรกกะ ลง มืออะไรไม่ได้อีก


“ อย่าเข้ามานะ…ขืนเข้ามาชั้นเชือดแม่นี่จริงๆด้วย ”
คนร้ายขู่พลางลากตัวเธอออกไปจากห้อง และขู่ ตำรวจที่ไล่หลังกันมา ก่อนจะลาก ตัว ไอ หนีตามไปด้วย

…………….
……………….




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 07 โอเระ ทันโจว
Post by: greamon on March 15, 2009, 06:16:41 PM
“ ปล่อยนะ ”
ไอ ขอร้อง ทั้งน้ำตาด้วยความหวาดกลัว ขณะที่ คนร้าย หันไปมองรอบๆ เพื่อดูว่า มีไม่มีใครตามมาทันแล้ว

“ เงียบซะ นังหนู   ”
คนร้าย ตะคอกใส่ ทำให้เธอผวาจนตัวสั่น

“ ช่วยด้วย….ใครก็ได้ช่วยที ”
ไอ คิดในใจของเธอนั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ที่ถาโถม เข้ามาอย่างไม่หยุด
ราวกับ ถูกทิ้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในความมืด


“ ปล่อยเธอ ซะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ เธอคุ้นเคยมันทั้ง อบอุ่นและเข้มแข็ง ราวกับจะช่วยมอบแสงและความกล้า
ให้แก่หัวใจที่เต็มไปด้วยความกลัวและความมืดนี้ เธอค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น คนที่กล่าวประโยคเมื่อครู่ขึ้นมาก็ คือ
เฟนท์ ที่มายืนขวางคนร้ายเอาไว้

“ แก…หลีกไปไม่งั้น สาวน้อยคนนี้ไม่รอดแน่ ”
คนร้าย ขู่ พลางเอามีด จ่อที่ต้นคอของเธอ ทำให้ เฟนท์ ต้องสะดุดไป

“ เฟนท์ หนีไปไม่ต้องสนฉัน…หนีไป ”
ไอ ร้องออกไปโดยที่ในใจ นั้นพยายามข่มความรู้สึกที่อยากจะให้ เฟนท์ ช่วยเธอไว้
แต่เธอก็คิดว่า เฟนท์ คงจะสู้ไม่ไหวเพื่อที่จะปกป้อง เค้า เธอจึงตัดสินใจที่จะสละตัวเอง

แต่ทว่า เฟนท์ ก็ไม่หนีหรือ พูดอะไร แต่เขากลับจ้องมาที่ดวงตาของเธอ ด้วยแววตา
ที่ไม่เหมือนทุกครั้ง แต่เธอบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เฟนท์ กระซิบขึ้นเบาๆโดยที่เธอพยายาม
อ่านปากของ เขา

“ เชื่อ….ในตัวฉันสิ ”
ไอ เปรยขึ้นตามที่อ่านได้ ขณะที่คนร้าย ลากตัวเธอ เดินเข้าไปหา เฟนท์ เพื่อที่จะผ่านไป
ชั่วพริบตานั้น เฟนท์ ก็พุ่งเข้ากระชาก แขนคนร้ายออกจากตัว ไอ ก่อนจะหันเอา ตัวเข้าปกป้อง เธอไว้

จากคมมีดของคนร้าย คมมีดได้ปักลึกลงไปที่ แขนขวาซึ่ง เฟนท์ ยกขึ้นมากันเอาไว้
คนร้าย ตกใจจนปล่อยมือจากมีด ก่อนที่ เฟนท์ จะหันกลับมา โดยเอาตัวบัง ไอ ไว้พร้อมกับดึงเอามีดที่

ปักแขนอยู่ออกมาหัก ทิ้งด้วยมือเปล่าตามพลังสมิงที่มีอยู่ในสายเลือด พร้อมกับส่งสายตา ที่ดุดัน ออกไป
ทำเอาคนร้าย หวาดผวากันไปเลยทีเดียว ทว่า ครั้นเมื่อคนร้าย จะหนีกลุ่มเพื่อนๆในห้องของ เฟนท์

ที่เข้ามาช่วยกันตามหาคนร้าย เพื่อจะช่วย เพื่อน ก็ได้มาดักรอ ที่ด้านหน้าระเบียงทางเดินแล้ว
ด้านหลัง ก็มีตำรวจ กับ เรกกะ ที่วิ่งไล่ตามกันมาล้อมเอาไว้ ตนร้ายจึงยอมจำนนในที่สุด

“ ไม่เจ็บอะไรตรงไหนนะ ”
เฟนท์ หันมาถามเธอ ด้วยความเป็นห่วงในเวลานี้ ใจของเธอเต้นระทึก ราวกับจะระเบิดเอาเสียให้ได้
เมื่อได้ใกล้ชิดกับ เฟนท์ ในระยะนี้แถมยังเป็นในมาดที่ ดูกล้าหาญและเป็นที่พึ่งได้กว่าที่เคยเป็น

ทำให้เธอทำตัวไม่ถูก กันทีเดียวท่ามกลางสายตาของ เพื่อนๆที่จ้องมองมาด้วย
ความระริก ระรี้ 

“ อ…เอ่อ แล้วแขนเธอล่ะ ”
ไอ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน พลางย้ายตาไปที่แขนซึ่งเลือดไหลอาบออกมา
เพื่อเลียงที่ตัวเธอจะได้ไม่ต้อง ใจเต้นโครมครามเพราะมองหน้า เฟนท์ แต่เมื่อเธอเห็น
 
เลือดก็ดันพาลจะเป็นลมเอา ทำให้ เฟนท์ ต้องรับร่างของ เธอ
เอาไว้ก่อนจะล้ม นั่นยิ่งทำให้ เฟนท์ ใกล้ตัวเธอเข้าไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“ ม…ไม่เป็นไรนะ…ปวดหัวรึเปล่า ร..หรือว่าไม่สบาย ”
เฟนท์ รีบถามด้วยความตกใจที่อยู่ๆเธอก็จะเป็นลมเอา ด้าน ไอ ก็รีบส่ายหน้า ปฏิเสธทันที
พลางจะดันตัวออกห่าง

“ เฟนท์ เป็นอะไรรึเปล่า ”
เสียง ดังขึ้นพร้อมกับที่ ซาน วิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา หาทั้งสอง

“ อ๊ะ..ผู้หญิงคนนั้น ”
ไอ คิดพลางรีบถอยออกจากตัว เฟนท์ โดยอัตโนมัติ ในขณะที่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าจะถอยออกมาทำไม

“ ตายแล้ว แผลใหญ่ขนาดนี้เชียว…รีบไปทำแผลก่อนเถอะ..เจ็บไหมนี่ ”
ซาน กล่าวพลางช่วยพยุงตัวน้องชาย ขึ้นทันที ทว่า โคเว็ท กับ มิมิ สองเพื่อนสาวของ ไอ ก็เข้ามาขวาง
พลางทำตาขวางใส่เธอ ซึ่ง ซานเองก็ไม่เข้าใจว่า สองคนนี้ต้องการอะไร โคเว็ท ที่เห็น สองพี่น้องยืนงง
ก็เลยเดินอ้อม ไปลากตัว ไอ มาร่วมวงด้วย


“ นี่เธอน่ะ มาแย่งของคนอื่นเค้าไม่ละอายบ้างรึไง ไอ เค้าเป็นฝ่ายมาก่อนนะ ”
โคเว็ท กล่าวพลางชี้หน้าด่าซาน เป็นการใหญ่

“ ใช่ๆ อายุมากกว่าแท้ๆ คิดจะเลี้ยงต้อยรึไง ”
มิมิ เสริมบ้าง โดยที่สอง พี่น้องก็ได้แต่งง กับคำพูดของ ทั้งสอง

“ ม…ไม่เอาน่า มิมิ….โคเว็ท ”
ไอ กล่าวปรามเพื่อนๆ ก่อนจะออกตัวขอโทษแทน ทั้งสองคน

“ ขอโทษด้วยนะ ที่จริงฉันเองก็รู้ว่า มันเป็นสิทธิ์ ของ เฟนท์ เธอจะเลือกใครมันก็เป็นเรื่องที่เธอตัดสินใจเอง ฉันไม่มีสิทธิ ที่จะไปบังคับ เธอ แต่ว่าฉัน ก็อยากจะให้เธอรับรู้ไว้ว่า….อ..เอ่อ ”
ไอ กล่าวอึกอักเหมือนจะร้องไห้ อยู่ซักครู่ เพื่อนสาวก็ลากเธอ กลับมาก่อนจะออกตัว อีกครั้ง

“ ไอ ไม่เห็นต้องไปขอโทษ คนแบบนี้ ยังไงเธอยอมไม่ได้นะ ”
มิมิ กล่าว ในขณะที่ โคเว็ท เห็นถ้าไม่ดี เลยชิง ด่าไปก่อนอีกรอบ ไม่ให้ ฝ่ายนั้น
ได้โต้ตอบ

“ นี่ เฟนท์ กะอีแค่ ที่ ไอ กลับไปหานายช้าหน่อย นายก็เปลี่ยนไปหาคนอื่นซะแล้วเหรอ
 ไม่นึกเลยว่า นายจะเป็นคนแบบนี้ ” 
โคเว็ท ด่าไปเรื่อยไม่หยุด ขณะที่เป็นการเพิ่ม ความงุนงงให้แก่ สองพี่น้องไปยิ่งกว่าเดิม

“ เดี๋ยวๆ…นีมันเรื่องอะไรกันเนี่ย ฉันงง ไปหมดแล้วนะ ”
ซาน แย้งขึ้นมาซะก่อนที่เธอจะไม่ได้พูดอีก

“ อ้าวยังจะมาทำไก๋ ไม่รู้เรื่องเราเห็นนะที่พวกเธอสองคนไปเดทกันที่สวนสนุกวันนั้นน่ะ ”
มิมิ กล่าว

“ ใช่…แถมจู๋จี๋กันซะหวานแหวอีก ยังจะมีอะไรมาแก้ตัวอีกไหม  ”
โคเว็ท เสริมกลับไป ต่อหน้าเพื่อนฝูง ที่มารุมล้อม มุงดูการโต้เถียงของพวกเขา

“ สวนสนุก …เดท…อ๋อ…อุบ…หุๆฮะๆๆ ”
 ซาน เปรยขึ้นเล็กน้อยก่อน จะอดกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
เช่นกัน กับ เฟนท์ ที่ปล่อย ฮาออกไปนานแล้ว ตั้งแต่ที่เพิ่งจะรู้ว่า ทั้งสองคน
พูดถึงเรื่องไหนกัน

“ ฉันเนี่ยนะ ไปเดท กับน้องชาย…ฮะๆๆ ไม่รู้เลยนะเนี่ย นี่เราสองคนเหมือนคู่รักขนาดนั้นเลยเหรอ ”
ซานกล่าวไปพลางหัวเราะไปพลาง ด้วยความขบขัน

“ เอ๋….น้องชาย ”
สามสาว ร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน  ขณะที่ ซาน แกล้งทุบหลังน้องชายที่เอาแต่หัวเราะให้อธิบายเรื่องราว

“ ฮะๆๆๆ…แปบนะ ฮะๆๆ…เฮ่อ..คือนี่ น่ะพี่สาวแท้ๆผมเอง พี่ซาน น่ะผมยังไม่เคยแนะนำให้รู้จักสินะ ”
เฟนท์ กล่าวพลางกลั้นหัวเราะไปด้วย โดยที่ สามสาวได้ แต่ยืนหน้าแตก ด้วยความเข้าใจผิด ท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ไปตามๆกัน ของเพื่อนร่วมห้องที่มามุงดู

“ สรุปแล้ว พวกเธอไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่เป็นพี่น้องกันเหรอ ”
มิมิ ถามขึ้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซึ่ง สองพี่น้องก็พยักหน้ารับ

“ หวาย…ตายแล้ว ร..เราต้องขอโทษ ด้วยจริงๆ พวกเราไม่รู้ว่าความจริงเป็นแบบนี้
 ยกโทษให้พวกเราด้วยนะคะ ”
มิมิ กับ โคเว็ท รีบขอโทษ เป็นการใหญ่

“ ฮะๆๆ…ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ตอนนี้ รีบพา เฟนท์ ไปทำแผลเถอะ เดี๋ยวเลือดจะไหลหมดตัว ซะก่อน ”
ซาน กล่าว ซึ่ง เฟนท์ ที่พึ่งรู้สึกตัว ถึงความเจ็บ ก่อนที่จะหันไปดู หยดเลือดที่เจิงนอง
อยู่ที่เท้า ไม่ทันไร ก็ชิงเป็นลมไปเลยทันที ทำเอา ทุกคนหวาดเสียวไปตามๆกัน ก่อนจะพากัน หามไปห้องพยาบาล

“ เฮ้อ …เจ้า เฟนท์ เอ้ย จะรอดไหมเนี่ย ”
ไรด์ กล่าว พลางเข้ามาตบไหล่ เรกกะ ที่ยืนมอง กลุ่มนักเรียน ที่ตามกันไปที่ห้องพยาบาล
เดินลับตาไป

“ อ้าวไง ไรด์  เอมิล ก็ด้วยเหรอ ”
เรกกะ หันไปทักทาย ซึ่งเอมิล ก็เดินตามหลัง ไรด์ มาติดๆ

“ นี่ พรุ่งนี้เป็นวัน หยุดใช่มะงั้นพรุ่งนี้เราไปเดินดู โมเดลที่ออกวางใหม่ กันมะรู้สึกว่า จะมีชุดกองกำลังนินจาดำ
พิทักษ์ มิโกะ แห่งราชวงศ์ ออกใหม่ด้วยล่ะ ”
ไรด์ กล่าวอย่างลิงโลด ขณะที่ กอดคอ ลากตัว เรกกะ เดินตามไปห้องพยาบาล โดยมี เอมิล เดินตามหลังไป

“ ราชวงศ์….จริงสิ…. ”
เรกกะ ฉุกคิดขึ้นมาถึงเรื่องที่ ไอ เปลี่ยนเป็น อัศวินปริศนานั่น แวบนั้นสายตาของ เค้าก็สังเกตเห็น
ชายที่สวมหมวก แต่งตัวปกปิดตนเองอย่างมิดชิด กำลังเก็บ นาฬิกา ทรายและเดิน ออกไปจากสวน ข้างระเบียงทางเดิน
นี่ไม่ไกลนัก

“ อ๊ะ…นี่ เดี๋ยว ชั้นตามไปนะ พวกนายไปกันก่อน เถอะ ชั้นมีอะไรบางอย่างต้องไปทำก่อน ”
เรกกะ กล่าว พลางยกแขน ไรด์ ที่กอดคอ เขาไว้ออก ก่อนจะวิ่ง ลงจากระเบียง ไปยังสวน

“ แล้วรีบตามมานะ ”
ไรด์ ตะโกนไล่หลังไป ก่อนจะเดินไปกับ เอมิล แทน

“ ถ้า…คิดจะมากอดคอชั้นแทนล่ะก็ ชั้นหักแขนนายจริงๆนะ ”
เอมิล ขู่ ทันทีที่เห็น ไรด์ ยกแขนขึ้นจะมาคล้องคอเขา ทำเอาไรด์ หยุดกึกพลางหัวเราะไป
ด้วยความขบขัน กับความ โอเวอร์ ของ เอมิล


……………
…………………..

“ คนๆนั้นอีกแล้ว จะว่าไปแล้วทุกครั้งที่เราปรากฏตัวเขาจะต้องโผล่มาอยู่เรื่อย ”
เรกกะ เปรย ขณะที่วิ่งมาจนถึงจุดที่ ชายคนนั้น เดินออกไป แต่เค้าก็หายตัวไปแล้ว

“ นาฬิกาทราย นั่น ”
เรกกะ เปรยขึ้น พลางขบฟัน กรอดด้วยความเจ็บใจ

“ นาฬิกา ทรายอะไรทำไมเหรอ ”
เสียง ของมาธิอัส ดังขึ้นมาจากหน้าปัด สายคาด

“ ไม่รู้เหมือนกัน แต่นาฬิกาทรายนั่น เป็นของคุณพ่อผม ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด แน่นอน ”
เรกกะ กล่าวตอบกลับไป พลางเดินกลับไปที่ระเบียงเพื่อจะ ไปห้องพยาบาล

“ ตอนที่เรา อยู่ที่บาร์ซิงเซย์นั่นก็ด้วย ชายคนนั้นเป็นใครกัน ”
เรกกะ คิดพลางนึกทบทวนไปถึงเรื่อง ก่อนที่เขาจะสามารถแปลงร่างเป็นทาลิวิลย่าได้
ในวันนั้นก่อนที่ เค้า จะถูกพวก เทอเรี่ยน ไล่กวดเอา เขาบังเอิญ ไปเห็น นาฬิกา ทรายซึ่งคล้ายกับของที่

เขามีอยู่มาก ก็เลยคิดจะเข้าไปเก็บ ทว่า ชายลึกลับคนนั้น ก็เข้ามา เก็บไปซะก่อน
ก่อนที่  ฝูง เทอเรี่ยน จะแห่กันมา ไล่เขาจนต้องหนีออกจากตรงนั้นและคาดกับชายคนนั้น

“ นี่หรือว่า… ”
เรกกะ รำพึง ขึ้นกับตัวเอง

“ นี่คราวหน้าถ้า แปลงร่างสู้อีกชั้นมีเรื่องจะขอร้องนะ… ”
เรกกะ กล่าวกับ บุคลิก ทั้งหลายของตน


………………..
……………………

ท่ามกลางความมืดมิด ก่อนที่จะมีแสงเล็ดลอดเข้ามา ภาพเพดานห้อง ได้ปรากฏขึ้นแก่สายตา
ตอนนี้ เฟนท์ นอนอยู่บนเตียงคนไข้ แขนขวา ได้รับการทำแผลและ พันด้วยผ้าพันแผลเป็นที่

เรียบร้อยแล้วครั้นเมื่อเขาจะลุกขึ้นก็ ก็รู้สึกว่ามี อะไรบางอย่าง อยู่ข้างๆครั้นเมื่อหันไป
ก็พบว่า ไอ นั่น เองที่ฟุบนอน อยู่ข้างๆ

“ ฮ้าว…อ๊ะ..น..นี่ชั้นทำให้ตื่นรึเปล่า ขอโทษนะ ”
ไอ อ้าปากหาว หวอดได้ไม่ทันไรก็รีบขอโทษขอโพย ทันที แต่ เฟนท์ ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ เอ่อคือ…ช่วยฟังที่จะพูด.. ”
ทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน ทำให้ทั้งคู่สะดุด ไป

“ ช..เชิญ ก่อนเลย ”
“ ม..ไม่เป็นไร เธอ ก่อนก็ได้ ”
เฟนท์ ยกให้ ไอ กล่าวก่อนทว่า ไอ เองก็ปฏิเสธให้ทั้งคู่ต่างโยนกันไปโยนกันมา
จนสุดท้าย ไอ ก็ตัดสินใจเป็น ฝ่ายเริ่ม

“ คือเรื่องเมือวันนั้น…ฉันขอโทษนะ….ที่ฉันกลับไปสาย น่ะทั้งที่บอกว่าจะรอแท้ๆ แต่เพราะฉันไปช่วย
พวก มิมิ หารายงานที่ลืมไว้อยู่ก็เลยมาสาย ขอโทษด้วยนะ ”
ไอ กล่าว พลางก้มหัวขอโทษ

“ ม..ไม่เป็นไรหรอก ผมเองก็อยากจะขอโทษเหมือนกัน ที่ทิ้งให้ ไอ รอ ผมซะนานขนาดนั้น แต่พอกลับมาถึง
ตอนดึก ก็ไม่พบ ไอ ซะแล้ว ผมก็เลยนึกว่า จะโกรธ ผมแล้วก็กลับไปแล้ว ”
เฟนท์ กล่าวเสียงแผ่ว

“ ง..งั้นเราต่างก็ไม่ได้ให้ใครรอใครกันเลยน่ะสิ ”
ไอ กล่าวก่อนที่ พวกเขาทั้งคู่จะหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ที่มัวแต่กังวลแต่สรุปคือทั้งคู่ต่างก็มาสาย
และคิดไปเองว่าทำให้อีกฝ่ายต้องรอ

“ จริงสิ …แล้วเรื่องที่ ไอ จะบอกผมล่ะ ”
หลังจากที่หายข้องใจกันแล้ว เฟนท์ ก็เริ่มซักถึงเรื่องที่ ไอ ส่งข้อความมาในวันนั้น

“ เอ๋… ”
ไอเปรยอย่าง งงๆ

“ ก็ที่เขียนไว้ในข้อความไง ว่ามีเรื่องที่อยากจะบอกผมในวันนั้นให้ได้ ถึงได้รอผมอยู่ไม่ใช้เหรอ ”
เฟนท์ กล่าวพลางเปิด โทรศัพท์ แสดงข้อความที่เธอส่งมาให้ดู ซึ่งไอทันทีที่ จำถึงข้อความนั้นได้ก็
หน้าแดงขึ้นมาทันที

“ อ…เอ่อ คือเรื่องนั้น ”
ไอ กล่าว อึกอักด้วยความตื่นเต้น

“ ทำไม..หรือว่าบอกไม่ได้เหรอ... ”
เฟนท์ ถามด้วยความสงสัย ซึ่งเธอเองก็ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ว่าเรื่องที่เธอจะพูดนั้น เธอก็ไม่กล้า
ที่จะบอกกับเขา

“ ท…ทำไงดีต…แต่ว่า ตอนนี้เราเองก็อยู่กันตามลำพังแล้ว นี่ก็เป็น
โอกาสแล้วด้วย..บอกไปเลยดีกว่า..แต่ว่า..ถ้าเกิดเขาไม่ชอบเราล่ะ ”
ไอ คิดทบทวนอยู่หลายรอบ ก่อนจะทำใจเย็น และรวบรวมความกล้าออกมา

“ ขึ…คือ…ครือ…ว…ว่า…ฉ…ฉัน…ร…ร ”
ไอ พยายามที่จะเปล่งเสียงออกมาแต่ความตื่นเต้นก็กลบเสียงเธอไปจนหมด

“ เอ่อ คือพูดตะกุกตะกักแบบนั้น ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ ”
เฟนท์ กล่าวซึ่งก็ทำเอาฝ่าย สาวหน้าแดงด้วยความเขินไปในทันที

“ ถ้ามันพูดยากก็ไม่ต้องฝืนก็ได้ครับ ผมไม่ซักมากหรอก ”
เฟนท์ กล่าวแสดงน้ำใจซึ่งในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ จะกล่าวออกไปให้ได้

“ คือว่า เฟนท์ ฉันน่ะ… ”
ไอ กล่าวได้ซักครู่ก็ต้อง ชะงักไปเพราะอยู่ๆก็มีเสียง เอะอะ โวยวายอยู่ที่ ประตูห้อง

“ แว้ก อย่าดันสิ…เหวอ ”
“ อย่าล้มนะ…อย่าล้ม ”
“ ว้ายยย ”
เสียง ตะโกนเอะอะ ซุบซิบ กันดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะถูกผลักเข้ามา พร้อมกับ เพื่อนร่วม ชันทุกคนที่ล้มกองกันมาเป็นทิวแถว 

“ น..นี่ มาแอบฟังกันหมดเลยเหรอ ”
ไอ อุทานขึ้นด้วยความตกใจ

“ ไอ แล้ว เรื่องที่จะพูดน่ะคืออะไรเหรอ… ”
เฟนท์ กล่าวถามอีกครั้ง แต่เธอก็ ส่ายหน้า ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรก่อนจะหัน
อายม้วนต้วน

“ โธ่ อีกนิดเดียวแท้ๆอ่า ”
เสียงบ่น เสียดายของ เพื่อนดังระงม ขณะที่เฟนท์ ได้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่อย่าง งงๆ

“ คงต้องหาโอกาสใหม่แล้วล่ะ ”
ไอ คิด ขณะที่ตอนนี้เธอต้องรอต่อไปจนกว่าจะหาโอกาส พูดความในใจของเธอ ออกไปให้ได้

……………….
…………………….

“ ความรักเหรอ…หึๆน่าจะใช้ได้แหะ ”
โครโน่ เปรยขึ้น ขณะที่ดู เหตุการณ์ต่างๆผ่านทางจอภาพ

“ คุณคงไม่คิดจะเข้าไปยุ่งหรอกนะคะ โครโน่ ”
ฮายาเตะแย้งขึ้นทันที ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ ไม่มีทาง…ยังไงๆ ก็ต้องจัดการ อยู่ดี ถือเป็นการฆ่าเวลาที่ดีเลยล่ะ ”
โครโน่ กล่าวพลางลุกขึ้นตั้งเหรียญไว้บนนิ้วมือ

“ โครโน่ ดิฉันขอเตือนนะคะ อย่าคิดที่จะสร้าง ความบาดหมางขึ้นเลย ไม่อย่างนั้น ซักวันมันอาจกลายเป็น
เฟนเรีย ที่จะมาขัดขวางเรา… ”
ฮายาเตะ พยายามที่จะตักเตือน ทว่า โครโน่น ก็ดีดเหรียญขึ้นไป
โดย ไม่สนใจใยดี ต่อเสียงเตือนของ เธอ

“ ไม่มีทางอยู่แล้ว ฮายาเตะ เรื่องก็คือ เราไม่ใช่ โอดีน ที่จะต้องเกรงกลัวเฟนเรีย แต่เราเป็นผู้ที่คุมทุกอย่างเพราะงั้น แม้แต่เฟนเรีย นั่นก็ด้วย เจ้าลูกหมาที่กำลังมีความรัก มันช่างน่าจับแกล้งซะนี่ ”
โครโน่ กล่าวพร้อมกับทันทีที่ เหรียญ ลงถึงพื้น ไฟหน้าจอ ทุกตัวก็ดับลง

…………….
………………….

“ จะเดินหมากไหนต่อไปดีล่ะ ”
ลูเทเซีย กล่าวขึ้น ขณะที่เล่นหมากรุกอยู่กับ เด็กน้อยคนหนึ่ง
ก่อนที่ไม่นาน เค้าจะถูกดักทางและ เป็นฝ่ายปราชัยในเกมส์ หมากรุก

“ นี่ชักเบื่อแล้วล่ะ เมื่อไหร่ เรโค่ กับ อิชิกิ จะกลับมาซะทีนะ ”
เด็กหนุ่ม กล่าวพลางหยิบตัวหมากรุกม้า มาเคาะเป็นจังหวะ

“ แหม สองคนนั้นอีกเดี๋ยวก็คงมานั่นล่ะ ว่าแต่จะเล่นอีกสักเกมส์ดีไหมล่ะหือ เซโร่  ”
ลูเทเซีย กล่าวกับเด็กหนุ่ม ซึ่งเด็กคนนั้น มีผมสีฟ้า และดวงสีฟ้า

“ ก็เอาสิ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่ายังไง ซะ ประสบการณ์ กว่า ร้อยปี ที่ชั้นมีเนี่ย นายเอาชนะไม่ได้ง่ายๆหรอก ”
เซโร่ ตอบพลาง เป่าลมใส่ตัวหมากรุกก่อนที่มันจะถูกแช่เป็นน้ำแข็งไป

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ ถึงเวลาที่เราควรจะจัดการกับ มาราดัน กันอย่างจริงจังแล้วนะ ”

“ มีการส่งผ่านข้อมูล เกี่ยวกับการก่อการและสถาที่ตั้งของพวกมาราดัน เข้ามาใน Open Channel จากทุกประเทศ
เลยค่ะ ตอนนี้ มีข้อมูล ที่ส่งเข้ามาเรื่อยๆอย่างไม่หยุดเลยด้วย ”

“ แปลว่า เทอร่า กำลังจะบอกให้เราเคลื่อนไหวอย่างนั้นหรือ ”

“ ก็นั่นล่ะตอนนี้มันคือสิ่งยืนยันถึงการที่ เทอร่า เริ่มจะรวมเข้าด้วยกันแล้ว ”

การเปิดศึกกับ มาราดัน อย่างเต็มที่ ด้วยการเคลื่อนไหวของ เทอร่า ที่บอกให้พวกเค้าเริ่มเคลื่อนไหว


“ ได้ร้องไห้แน่..ความแข็งแกร่งของข้า แม้แต่เด็กยังต้องร้องไห้ ”

“ จงหลั่งน้ำตาให้กับ วิถีแห่งลูกผู้ชายซะเถอะ ”

การจุติครั้งที่สาม

“ เค้าคนนั้นต้องใช่ ลอว์เรนซ์ คุณพ่อของผมแน่ๆ ถึงจะเห็นแค่แวบเดียวก็เถอะ ”

“ งั้นแล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะไม่เข้าใจเลย…ลูกของตัวเองแท้ๆ ”

“ ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้แต่ซักวันผมจะต้องพบและพูดกับคุณพ่อ ให้ได้เลย ”

“ แต่ชั้นว่า อย่าดีกว่า ”

“ นาย…เป็นใครน่ะ ”

“ หึ..ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ ชั้นนี่แหล่ะ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ”

บุคคลที่ปรากฏขึ้นพร้อมอ้างตัวว่าเป็น ลอว์เรนซ์ เค้าคือใคร ติดตามได้ใน Saga 09 จงหลั่งน้ำตาให้วิถีแห่งลูกผู้ชาย

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง



แหม คราวนี้ ก็ได้สนุกกันเลยล่ะนะครับ ต่อจากผมที่ต้องพิมพ์อย่างสนุกมือ ต่อไปก็ตาท่านผู้อ่านทุกท่านอ่านกันให้สนุกตาล่ะ บานเบอะยังกะ สองบทติดแบบนี้ สมชื่อตอน Double Action จริงๆ  (- -*)

ก็ทำกันมาแบบไม่ต้องให้ลุ้นเลยล่ะนะ ว่าคู่รักประจำซีรี่ย์นี้ จะคืนดีกันได้ไหม แต่ดูจาก นิสัยของ นายเอกกับนางเอก นี่สงสัยกว่าจะคืบหน้าไปกันจนถึงขั้น ดูดดื่มนี่คงอีกนานแหง แซะแถมมีแวว จะบอดเอาซะอีกเพราะตัวประกอบที่

ปกติมีหน้าที่ แค่มาพูดปิดท้าย ก็ดันจะแกล้งซะด้วย แถมรอบนี้ไม่ได้ปิดท้าย เพราะลูเทเซีย ไปนั่งเล่นหมากรุกกะ เซโร่
ซะงั้น ว่าแต่แล้วมันใครกันล่ะนี่ เซโร่ หลายคนอาจจะคิดแบบนี้ แต่คิดว่า บางท่านคงจะรู้กันไปแล้วล่ะเน้อ

และสุดท้ายคือ บทนี้มันวอนหัวหลุดไงๆก็ไม่รู้สิ ก่อการร้ายจับตัวประกัน เป็นครูกะนักเรียน ยังกะ ทรีโอภาคใต้
ประเทศสารขันท์ ยังไงยังงั้น แถมยังมี Bio Hazard มาให้พวก Valkyrier ยิงเป่า กันสนุกมืออีก

ว่าแต่ตอนหน้า มีทาลิฯมาอีกตัวละ จะเป็นตัวไหนหนอ และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้เลย ลอว์เรนซ์
ตกลงนายจะหน้าด้านกลับมาเล่นด้วยใช่มั้ย

ลอว์เรนซ์ :ของมันแน่อยู่แล้ว ที่สำคัญอย่าลืมทำตัวชั้น เวอร์กราฟฟิคด้วย จะได้มิวสิก
แบบเดียวกะเจ้าพวก นั้นบ้าง

อ่อจริงสิ เกือบ ลืมบทนี้มันมีของแถม ที่จริงๆม่รู้นะว่าทราบหรือยังแต่ผมแปะไว้ที่ หน้าแรกแล้ว
เรื่องเพลง Op นิยายมีพวก เรกกะ และคณะ ในชุดนักเรียน ของ เซนท์แมกนัส ครบคนเลย

เห็นมีคนรีเควสมา ว่าอยากจะเห็นพวก เฟนท์ ในชุดนักเรียนบ้าง ไอ้เราจะให้ เรกกะ แต่งคนเดียวมันก็ยังไงอยู่
เลยอดตาหลับขับตานอน ทำกันทั้งคืน ผลที่ได้ Op ของนิยายเราเสร็จแล้วจ้า (แต่ตอนนี้มีแค่ภาพเดียวแปะอยู่แล้วมีเพลงเท่านั้น เดี๋ยว ED กะเพลงแทรกตอนสู้จะเอาภาพที่ทำไว้มาใส่ให้เยอะกว่านี้ T_T)

เอาล่ะว่าแล้วก็นอกเรื่องกันมาเยอะแล้ว มาพบกับช่วงแถมท้ายอีกรอบ
สำหรับภาพนี้คิดว่าน่าจะกระจ่างขึ้นกับความสัมพันธ์ของคู่นี้ (แต่ไมผมไม่กระจ่างซักทีก็ไม่รุ
ไม่เข้าใจ พี่กับเจ้าการุรุม่อนเลย เอหรือผมไม่มี เซ้นท์ เองหว่า) แล้วพบกันวันพุธนะจ้า
ไปล่ะนินๆ

(http://images.temppic.com/15-03-2009/images_vertis/1237101241_0.10827200.jpg)



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 08 Double Action
Post by: cocka-c on March 15, 2009, 06:29:59 PM
Quote
บทนี้คลายเครียดนิดเดียวเอง    อยากอ่านฉากพวกนี้เพิ่มเติม 


จำคำพูดเมื่อบทที่แล้วได้ม้ายยยยยยยยยยยยย
แล้วกันเจ้า เกรม่อน เลยของขึ้น พิมพ์ ระเบิดเถิดเทิงเมามัน
ซะขนาดนี้ ปกติ จะมีตกใน word ประมาณ 50-60หน้า ต่อ 1บท แต่ว่า
บทนี้มันล่อเข้าไป เกือบ 90หน้า แน่ะ รู้สึก เมื่อคืนพอโยนงาน ให้ ปิโยม่อน ตรวจต่อ เจ๊ เลยโดน
ลาก ช่วยตรวจต้นฉบับ ด้วยเล่นเอาตาค้างจนถึงเที่ยงคืน เลย ::007::
 ::008:: 


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 08 Double Action
Post by: boy on March 15, 2009, 08:30:10 PM
Quote
บทนี้คลายเครียดนิดเดียวเอง    อยากอ่านฉากพวกนี้เพิ่มเติม 


จำคำพูดเมื่อบทที่แล้วได้ม้ายยยยยยยยยยยยย
แล้วกันเจ้า เกรม่อน เลยของขึ้น พิมพ์ ระเบิดเถิดเทิงเมามัน
ซะขนาดนี้ ปกติ จะมีตกใน word ประมาณ 50-60หน้า ต่อ 1บท แต่ว่า
บทนี้มันล่อเข้าไป เกือบ 90หน้า แน่ะ รู้สึก เมื่อคืนพอโยนงาน ให้ ปิโยม่อน ตรวจต่อ เจ๊ เลยโดน
ลาก ช่วยตรวจต้นฉบับ ด้วยเล่นเอาตาค้างจนถึงเที่ยงคืน เลย ::007::
 ::008:: 

 :P .....................อยากเห็นหน้าไอ 

ตอนต่อไปธาตุดินหรือลมหว่า  ::010::   ในที่สุดลอเรนซ์กลับมา the return อีกแล้วววววววววววววววววววววววววว  ::007::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 08 และ Music Video
Post by: greamon on March 16, 2009, 08:51:16 PM
อัพ ตัว มิวสิก ประกอบ นิยาย ไว้ที่หน้าแรกเรียบร้อย
เพิ่มอีกสอง เพลง เพลงตอนสู้ กับ เพลง ปิดตอน

รอบนี้ สองเพลงนี้มีภาพเพิ่มไปด้วย ไม่ได้มี แค่ภาพเดียว เหมือน เพลง OP ละ
ส่วนของ เพลงEd นั้นจะเป็นสตอรี่ เรื่องราวที่ พวก Valkyrier ของ Celestial Saber

ไปพักกันที่เกาะลับเดี๋ยวจะมีปรากฏในบทถัดๆไป ซึ่งส่วนของ Ed นี้บางภาพเป็นการบอกใบ้
ว่าแต่ละคนจะลงเอยยังไงด้วยนะเออ แต่ดูๆไปแล้วรู้สึกว่า เพลง Ed ภาพ มันเซอวิสไปหน่อยไหมนี่

ส่วนของ เครดิต เพลง คุณ Osoraraji เจ้าของ คลิป เค้า แอดไว้ที่ Youtube แล้ว
คงไม่ต้องเอามใส่หรอกเนอะ ดูแ้ล้ว เป็นไงบอกด้วยนะ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 08 และ Music Video
Post by: greamon on March 18, 2009, 07:29:23 PM
Saga 09 จงหลั่งน้ำตาให้วิถีแห่งลูกผู้ชาย


อิคดราซิล อาริมาเทีย (Yggdrasill)
[อ้างอิงจากเนื้อเรื่องชุด Dragon Regen อิคดราซิล มีประจำอยู่ในแต่ละทวีป 7 ทวีปจึงมีทั้งหมด 7 ต้นด้วยกัน]

ใต้ร่มเงา แห่งมหาพฤกษา อิคดราซิล ประจำ ทวีป อาริมาเทีย นี้เป็นผืนป่าดงดิบ ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ
พื้นที่ส่วนใหญ่ จึงยังมีปริศนาและดูลึกลับ ทว่าสาเหตุแม้ เวลาจะล่วงเลยมานาน จนวิทยาการพัฒนาถึง

ขั้นสูงเช่นในเวลานี้แล้ว ผืนป่านี้ก็ยังคงไม่ได้รับการสำรวจ นั่นเพราะ มังกรพิทักษ์ มหาพฤกษา อาร์เกอเทลียว
(Argurthlaew) ได้กีดกัน ผู้บุกรุก ออกจากผืนป่า บริเวณรอบๆ มหาพฤกษา ด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โต

บวกกับอำนาจ ที่มันได้รับจาก มหาพฤกษา ทำให้ไม่อาจมีสิ่งใดบุกรุกเข้าไปได้ นี่จึงนับว่าเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ที่มิอาจบุกรุกเข้าไปด้วย วิทยาการอันก้าวหล้ำได้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงวันนี้

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/37.jpg)

“ ท่าไม้ตายของชั้น หมายเลข 2 ”    “ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ทาลิคนัส หลังจากที่ ไพ่ถูกไฟจากดาบอัคคี เผาผลาญ ไปเปลวเพลิงที่ดาบก็ลุกโชน เป็นมังกรเพลิง พุ่งทะทานออกมาขณะที่มังกรเพลิงอาริมาเทีย นิทินโคออน ที่ถูกเรียกมาจาก ยาน ไซเบอริก้า กำลังพา ทาลิคนัส ที่ขี่อยู่ บนหลัง
ของมัน พุ่งเข้าไปประชิดตัว อาร์เกอเทลียว โดยบินหลบก้อนหินยักษ์ กับ กิ่งไม้ ที่พุ่งขึ้นมาตรงดิ่งลง หาเจ้ามังกรยักษ์อาร์เกอเทลียว ซึ่ง มีเกล็ดแข็งดั่งศิลา ตามร่างกายมีกิ่งไม้งอก ออกมาและสามารถยืดได้

นิทินโคออน พุ่งเข้าไปอ้าปากกัดที่ต้นคอ ของ อาร์เกอเทลียว ซะจมเขี้ยว ทว่าด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของมัน
จึงรู้สึกคันๆเท่านั้น ทว่านั่นยังไม่จบ นิทินโคออน ได้พ่นไฟออกมาในระยะที่เขี้ยวจมอยู่ใต้ผิวหนัง

จึงทำให้มันยึดร่างทานแรงสะท้อนที่ มันพ่นไฟ ออกไปได้อันเป็นกระบวนท่า Feral Fang ที่เป็น
ท่าจู่โจม อีกหนึ่งของ นิทินโคออน เมื่อเปลวเพลิง ลามไปบนร่างของ อาร์เกอเทลียวมัน ก็เริ่มที่

ส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง ทว่า ทาลิคนัส ก็สะบัดด้ามดาบฟันลง มังกรเปลวเพลิง ที่ลุกโชนจากดาบก็พุ่ง
ทะลวงร่าง ของมันจน ลุกไหม้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะซ้ำอีกรอบด้วยการสะบัดด้ามดาบกลับเพื่อให้มังกรเปลวเพลิงพุ่ง

ผลาญร่างของ มันยิ่งขึ้นก่อนจะยกด้ามดาบชูขึ้นเหนือหัว และตวัดลง มังกรเปลวเพลิง จึงพุ่งลงมากระแทก
ร่างของ อาร์เกอเทลียว เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับที่ นิทินโคออน ถอนเขี้ยวออก และพาบิน หนีออกห่างร่าง
อันใหญ่โตของมันที่ลุกเป็นไฟ และกำลังจะล้มโค่นลงมา

“ หะฮ้า สำเร็จเป็นไงเจ๋งเลย..เจ๋งเลยใช่มั้ย ห๊า ไอ้ตะกวดสลัดผักยักษ์ อยากซ่าดีนักนี่
เลยจับย่างเป็นบาบีคิว เนื้อไปซะเลย ”
ทาลิคนัส ร้องเฮโล อย่างมีชัย ขณะที่ร่างของ อาร์เกอเทลียว ซึ่งมีคุณสมบัติ เป็นเหมือนไม้ นั้นกำลังค่อยลุกไหม้
และส่งเสียงปะทุแตกออกมาเหมือนไม้ที่ถูกไฟเผา ควันไฟที่ลอยขึ้นจากร่างของ

อาเกอเทลียว ได้ลอยขึ้นไปยังใบของมหาพฤกษา ไม่ทันไร ใบสีเงินของ มหาพฤกษา
ก็คายน้ำโปรยปรายออกมาราวกับสายฝน กระหน่ำลงมาใต้ร่มเงา ที่อาเกอเทลียว ล้มอยู่ไม่นาน

 เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ก็ดับลง พร้อมกับ ร่างของ อาเกอเทลียว เเมื่อได้รับน้ำจากมหาพฤกษา ก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจนสมบูรณ์ในที่สุด

“ อะไรกันเนี่ย ”
ทาลิคนัส สบถอย่างเสียอารมณ์ เมื่อน้ำจากมหาพฤกษาได้ เทลงมาจนคมดาบอัคคี ถูกน้ำทิพย์
จาก มหาพฤกษา รดดับ ไปทั้งคมเหลือเพียงด้ามดาบ เท่านั้นซ้ำร้ายอุณหภูมิร่างกาย ของ นิทินโคออน

ซึ่งเป็นมังกรเพลิง ก็ลดต่ำลงจนทำให้มันหมดแรง และกลับคืนร่าง เป็นลูกมังกร นิทินโค
ไป ทาลิคนัส ที่ขี่อยู่เลยเสียหลักเซเกือบตกลงมากระแทกพื้น หากไม่สยาปีกของตนขึ้นบิน
แล้วช่วยรับเจ้าลูกมังกรที่อ่อน แรงไว้แทน

“ หนอย…พลังของชั้นหายไปหมดเลยนะเฟ้ย เจ้าไม้จิ้มฟันยักษ์นี่….เลิกพ่นน้ำซะที… ”
ทาลิคนัส ตะหวาดใส่ มหาพฤกษาหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“ ไม้จิ้มฟันยักษ์เนี่ยนะ…แล้วที่สำคัญไปบ่นกับต้นไม้มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ ทาลิคนัส ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นในจิตใจ

“ เชอะ ชั้นรู้อยู่แล้วน่าไม่ต้องมาพูดเลย…เย้ย ”
ทาลิคนัส สบถตอบกลับไป ทว่าก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อ อาร์เกอเทลียว ลุกขึ้นมา
ยืนจ้องเขม็งใส่

“ ย…..อย่าเข้ามานะ…เจ้ยย ”
ทาลิคนัส กล่าวรนๆพลางยกด้ามดาบที่ไม่มีคมดาบอัคคีแล้ว ขึ้นชูใส่ ก่อนจะต้องร้องเสียงหลง
เพราะพึ่งจะนึกได้ว่าเหลือแต่ด้าม ทว่า อาร์เกอเทลียว ก็หาได้ทำอันตรายใดๆ กลับถอยไปแบบ
ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ อ้าว…ช…เหย ไหงถอยไปง่ายๆล่ะ ”
ทาลิคนัส กล่าวอย่าง งงๆพลางลดมือลง

“ เอาเถอะเค้าเลิก อาละวาด แล้วเราก็กลับกันเถอะ ”
เรกกะ กล่าวขึ้น

“ แหมยังไม่หายสะใจเลย..อารมณ์ค้างนะเนี่ยตั้งกะเมื่อวานละจะลุยก็ไม่ได้ลุย…อึ๋ยแต่เอาเถอะเราเองก็ถอยดีกว่า ”
ทาลิคนัส บ่นไม่เลิก ก่อนที่จะบ่นเสร็จ ก็เผอิญ แกว่งดาบในมือด้วยความชินเคยตามปกติ
 จึงได้สังเกตอีกรอบว่าตัวเอง

ก็ไม่เหลือแรงจะไปฟัดกับเค้าแล้วเหมือนกัน
เลยเปลี่ยนท่าทีกับคำพูดเอาในตอนท้าย พลางบินกลับไปแต่โดยดี
พร้อมกับอุ้มร่างของ นิทินโค ที่อ่อนแรงปวกเปียกกลับ ไป
ทว่าก่อนที่จะทันหันกลับไปเพื่อบินออกจาก ร่มเงาของ มหาพฤกษา นั้น

“ อ๊ะนั่น…ข้างล่างที่โคนต้นไม้ตรงชายป่า ”
เรกกะ ร้องขึ้น ในจิตใจของ ทาลิคนัส ก่อนที่ ทาลิคนัส จะหันลงไป
ชายซึ่งแต่งตัวปกปิด ตนเองซึ่งจะโผล่ออกมา ทุกครั้งที่ เรกกะ เปลี่ยนร่างเป็น อัศวินมังกร
กำลัง ยืนมองทรายในนาฬกา ทรายไหลลงมาจนหมด ก่อนที่เค้าจะเดินหลบเข้าไปในเงาไม้ของป่า

“ เดี๋ยวซี่จะรีบไปไหน ”
เสียงดังออกมาจากความมืดมิดในป่า ก่อนที่ทาลิคนัส จะเดินเข้ามาดักหน้า
ชายคนนั้นที่หลบสายตาพวกเขาเข้ามาในป่า

“ พอดี เรกกะ มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยน่ะอยู่คุยซักพักได้ไหม ”
ทาลิคนัส กล่าวพลางเดินไปขวางทางไว้ให้เต็มจนไม่มีทางจะเดินต่อ
ทว่า ชายผู้นั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ

“ อ้าวนี่..จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ”
ทาลิคนัส ถามโดยข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ เพราะเริ่มมีน้ำโห กับท่าทีของอีกฝ่าย
แต่ฝ่ายนั้นก็ยังคงนิ่งเงียบ จนกระทั่งครู่ต่อมา หมอกฝนที่เกิดจากการคายน้ำของ

มหาพฤกษา ก็เริ่มลงจัดอย่างรวดเร็ว
บดบังร่างของทั้งสองฝ่ายจนไม่มีใครมองเห็นใคร และทันทีที่ หมอกโดนลมพัดจนจางลง ชายผู้นั้นก็ได้หายไปแล้ว

“ อ้าว…เฮ้ย หายไปแล้วตั้งกะเมื่อไหร่เนี่ย ”
ทาลิคนัส กล่าวพลางทำตาค้างด้วยความตกตะลึง ก่อนที่จะวิ่ง เข้าไปยังจุดที่ชายผู้นั้นหายไปแต่เมื่อมองหาไปรอบๆก็ไม่เจอร่องรอย ของเค้าอีกเลย

“ พลาดจนได้…ไว้คราวหน้าละกัน ทาลิคนัส ตอนนี้กลับยานก่อนเถอะ ”
เรกกะ กล่าว ก่อนที่จะหันไปมองดูรอบๆอีกครั้งเพื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้ว ทาลิคนัส จึงยอมกลับขึ้นไป
เพราะ นิทินโค เองก็เริ่มจะอ่อนแรงเกินกว่าจะทิ้งไว้นาน
ขณะที่ ชายผู้นั้น ได้แอบมองพวกเค้า อยู่หลังเงาต้นไม้ ในป่าที่มืดมิด ก่อนจะหันเดินจากไป
ในความมืดของป่า


……………………….ขึ้นเพลง Op…………………..

(http://images.temppic.com/16-03-2009/images_vertis/1237190099_0.84711400.jpg) (http://www.youtube.com/v/if1LEkvWODc&hl=en&fs=1[/url)

……………………………………………………….




ยานไซเบอริก้า

“ มันแปลกมาก…แปลกจริงๆ ”
มาธิอัส รำพึง ขณะที่จ้องมอง จอมอนิเตอร์ ตรงหน้าซึ่งแสดงแผนที่ของ ทวีป อาริมาเทีย
โดยบนแผนที่มีจุดวงกลมสีแดง วงเอาไว้อยู่หลายวง ขณะที่ เรกกะ พึ่งเดินเข้ามาในห้อง
พร้อมกับผ้าขนหนูคลุมหัวและชุดที่เปลี่ยนใหม่ จากการที่เปียกเพราะโดนฝนที่
เกิดจาก มหาพฤกษา คายน้ำลงมา

“ นี่มันตัวที่ สิบ ของวันนี้แล้วนะ ทำไมอยู่ๆมังกรทั่วอาริมาเทีย มันถึงได้คลั่งกันแบบนี้ล่ะ ทาลูคัส เองก็ลงไปไล่ปราบตั้ง 5 ครั้งแล้ว จัดการไปได้ 9 ตัว ก็เหนื่อยจนต้องให้ ทาลิคนัส ทำแทนแถมที่สู้เมื่อกี้ ก็เลยทำนิทินโค ต้องพักฟื้นคงจะไม่พร้อมลงไปใช้ท่าเผด็จศึกแล้วล่ะ ”
เรกกะ บ่นใส่ พลางโยนผ้าขนหนูไปที่เก้าอี้ใกล้ๆ พร้อมยกเข็มขัด ตลับที่ใส่ไพ่เอาไว้ขึ้นมา ตัวเลขบนหน้าจอ จากเดิมที่เคยบอกจำนวนไพ่ที่มีอยู่ 95 ใบ กลับลดหวบลงไปทีเดียวจนเหลือเพียง 89 ใบแทน

“ เรื่องคราวนี้เลย ทำให้เสียไพ่ ไปเยอะเลยนะ…ว่าแต่คงมีสำรองใช่ไหม มาธิอัส ”
R2 ที่นั่งอ่านหนังสือ อยู่ถามขึ้น

“ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ…แต่ดูเหมือน สาเหตุที่ทำให้พวกมังกรคลั่งกันน่ะตอนนี้ชั้นรู้สาเหตุแล้วล่ะ ”
มาธิอัส กล่าวพลางโบกมือให้ทุกคนมาดูที่ มอนิเตอร์ เมื่อ เรกกะ กับ R2 เดินมาดูด้วยแล้ว
เค้าจึงกดนิ้ลงบนแป้น ควบคุมภาพบนจอมอนิเตอร์ ที่แสดงแผนที่ อาริมาเทีย และจุดสีแดงก็ถูก ทับด้วย
แผ่นวงกลมสีแดงใสอีกที

“ จุดสีแดงหลายๆจุดนั่นคือ ที่ๆมังกร อาละวาด เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันจะอาละวาดเฉพาะในรัศมี
ที่วงไว้นี้เท่านั้น พอชั้นลองตรวจสอบดูก็พบว่า มันมีคลื่นพลังงานที่ไม่สมดุล กระจายออกมาโดยบริเวณศูนย์กลางที่เป็นจุดกำเนิด จะมีความเข้มข้นที่สุด ก็อยู่ลึกลงไปกว่า 100 เมตรซะด้วย สถานที่ก็คือ  ”

มาธิอัส อธิบายให้ทั้งคู่ฟังก่อนจะ กดปุ่มบนแป้นควบคุมอีกครั้ง ภาพก็ถูกดึงเข้าไปที่ จุดศูนย์กลาง
ซึ่ง คร่อมอยู่ในอ่าว ของ โลกอส ซึ่งเป็นหาดเปิดให้คนเข้ามาพักผ่อน แบบเสรี

“ จุดที่คลื่นแรงที่สุดก็คือ บริเวณ แนวหินโสโครกห่างจากอ่าวไปประมาณ 500 เมตรคิดว่าแถวนี้น่าจะมีอะไรอยู่บ้างล่ะ  ”
มาธิอัส กล่าว

“ แล้วทำไมเราถึงไม่รู้สึกถึงคลื่นอะไรนั่นเลยล่ะ ทั้งที่พวกมังกรคลุ้มคลั่งกันจะแย่เพราะคลื่นเนี่ย แต่กลับไม่มีใครรู้สึกเลย ”
เรกกะ ถามด้วยความสงสัย

“ คลื่นพลังงานที่ไม่สมดุลนี้น่ะ มันเหมือนกับเปล่งออกมาจากวัตถุ ที่ธาตุของมันไม่คงที่ว่าจะเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงหรือว่าความมืด คลื่นพวกนี้น่ะจะมีพลังกระตุ้นที่อ่อนมาก แต่ว่ามังกรน่ะเป็นสัตว์ที่ไวต่อสิ่งเร้า ทำให้พวกมันรู้สึกได้ถึงคลื่นนี้ ก็เลยเกิดอาละวาดขึ้นน่ะสิ  ”

มาธิอัส อธิบาย ขณะที่ เรกกะ พยายามจะตีความให้ออกเพราะไม่เข้าใจความหมายของ มาธิอัส
R2 เห็นดงนั้นก็เลย อธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆ

“ สรุปง่ายๆก็คือ พวกมังกรน่ะ ไวต่อคลื่นพวกนี้มาก และคลื่นที่ไม่สมดุลนี้ก็เหมือนกับจะทำให้พวก
รู้ครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนกับถูกกระตุ้นให้รู้สึกหงุดหงิดน่ะ ”
R2 กล่าวจน เรกกะ เข้าใจในที่สุด
“ อืมม…จะว่าไปวันนี้ ทาลูคัส เองก็ดูหงุดหงิดๆกว่าทุกครั้ง แถม ทาลิคนัส ก็หัวเสียเกินกว่าทุกครั้งเลยด้วย
ตั้งแต่กลับมาดูเหมือนทั้ง สองคนจะเพลียมากก็เลย หลับไปแล้วล่ะ ”
เรกกะ กล่าวพลางนึกถึงตอนที่แปลงร่างเป็น ทาลูคัส กับ ทาลิคนัส ซึ่งทั้งสอง
ต่างก็สู้แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงกว่าทุกครั้ง

“ เจ้าบ้า ทาลิคนัส ยังพอว่า แต่นี่กระทั่ง ทาลูคัส ก็เป็นไปด้วยแบบนี้ สงสัยจะไม่ดีแล้วล่ะ ”
R2 กล่าวพลางหันไปมอง เรกกะ ซึ่งประเดี๋ยวต่อมา ทาลิคนัส ก็เข้ามาสิง เรกกะ แทนอย่างที่เธอคาดเอาไว้

“ ทำไมทีกะเจ้า นกเผือก ยังว่าแปลกแต่กับชั้นถึงไม่เห็นหัวเล่า…อ๋อย ”
ทาลิคนัส ตะหวาดขึ้น ก่อนที่จะล้มฟุบลงไปดื้อๆ เรกกะ จึงกลับมาคุมร่างของตัวเองอีกครั้ง

“ ไม่น่าเชื่อเลย แฮะขนาด เจ้าบ้า ทาลิคนัส ยังอ่อนปวกเปียกได้ขนาดนี้ มันไม่ธรรมดาแล้วนะ มาธิอัส ”
R2 กล่าวด้วยความตกตะลึง พลางหันไปค้อนใส่ มาธิอัส ทว่า มาธิอัส กลับเอาแต่นั่ง อมพะนำ อยู่
ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

“ เป็นไปไม่ได้มั้ง…นี่หรือว่าพวกมันคิดจะสร้างไอ้นั่นขึ้นมาจริงๆน่ะ ”
มาธิอัส รำพึงกับตัวเอง ขณะที่ เรกกะ กับ R2 จ้องมาที่เค้า ด้วยความสงสัย

“ ไอ้นั่นที่ว่าน่ะมันอะไรเหรอ ”
R2 ถามขึ้น มาธิอัส ก็ถึงกับตกใจสะดุ้ง เฮือกไปทันที

“ อ…เอ่อมันไม่ใช่อะไรที่สำคัญนักหรอก..ช..ชั้นก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ”
มาธิอัส ออกปากแก้ทันควัน ก่อนจะลุก จากเก้าอี้ แหวกทางทั้งสองคนออก แล้วเดินไปเปิดประตู
อย่างเร่งรีบ ก่อนจะหันกลับมาพูดทิ้งท้าย

“ เดี๋ยวชั้นจะไปดูอาการ นิทินโค หน่อยนะ ”
มาธิอัส กล่าวจบก็ตะบี้ตะบัน ออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของ ทั้งสอง
แต่อย่างใด

“ อะไรของเค้านะ ”
R2 บ่นอุบอิบ พลางมองประตูห้องที่ค่อยๆปิดลง

…………………………………
…………………………………….

ณ เกาะที่ไม่ปรากฏในแผนที่

เกาะแห่งนี้ถูกพรางตาด้วย แสงสีรุ้งซึ่งเกิดจากเครื่องยนต์ที่อยู่ใน รูปปั้นปลาวาฬขนาดยักษ์ ที่ตั้งอยู่
บนเกาะแห่งนี้ แสงรุ้งที่เห็นนี้ ถูกแปลงมาจาก อนุภาค อิออน ซึ่งทำให้เกิดคุณสมบัติในการหักเห

แสงจึงทำให้ภายนอกไม่สามารถ มองเข้ามาได้ นี่จึงเป็นระบบ พลางตาด้วยแสงอย่างสมบรูณ์
นอกจากนี้บนเกาะนี้ยังห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบรูณ์ มีทั้งป่าเขตร้อน

น้ำตกและธารน้ำ ผาหินที่ยื่นเข้าไปในทะเล และหาดทรายซึ่งเม็ดทรายนั้นเล็กละเอียด
และขาวสะอาด นุ่มราวกับก้อนเมฆบนสวรรค์ ก็มิปาน ที่เกาะนี้มี บังกะโลหลังใหญ่
ตั้งหลบอยู่ชายป่า ใกล้กับหาดทราย

“ ที่จริงแล้วหลังจากรายงานเรื่องที่ โซปราโน่ ไปแล้วฉันคิดว่า…. ”
เอลิซา กล่าวกับสมาชิก ทุกคนบนยาน Albus ที่พักผ่อนกันอยู่ใน ห้อง โถงใหญ่
ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก และการตกแต่งที่โอ่โถง จากระเบียงหน้าต่างเมื่อ

มองออกไป จะเห็นหาดทรายสีขาวตัดกับทะเลและท้องฟ้าสีครามที่ อยู่ห่างออกไป
ไม่มากนัก


“ เหตุขีปนาวุธ ชีวภาพนั่นน่ะเหรอ ให้ตายสินึกถึงมันทีไหร่ยังชวนขนหัวลุกไม่หาย ”
อีลูมีเซ่ กล่าวพลางแกล้งทำตัวสั่นๆ ให้รู้ว่ากลัว ทำเอา ซาน และ ไรด์ อดที่จะหัวเราะไม่ได้

 “ อีลูมีเซ่ เธอแค่นั่งจิ้มแป้นอยู่บนยานเท่านั้นเองนะ ผู้กล้าตัวจริงน่ะ อยู่นี่ต่างหากเนอะ เฟนท์ ”
ลูลู่ กล่าว ขณะที่วางมือจากหน้าจอ คอมพิวเตอร์พกพา พลางกระชากตัว เฟนท์ ที่นั่งโซฟาอยู่ข้างเธอ
มากอด ยั่วให้ อีลูมีเซ่ อิจฉาเล่น ซึ่งก็ได้ผลทีเดียว เพราะ อีลูมีเซ่ ถึงกับหน้าควันออกหูเลย
ด้าน เฟนท์ เองที่อยู่ๆก็ถูกคว้ามากอดแบบนี้ ก็ถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอายไปด้วย

“ อ…เอ่อ คุณ ลูลู่ ถ้ายังไงปล่อยผมเถอะครับ แบบนี้มันจะ… ”
เฟนท์ กล่าวอึกอักขณะที่พยายามแกะวงแขนของ เธอ ออก


“ แหมทำไมล่ะ เฟนท์ ถ้าบอกว่า ฉันชอบ เฟนท์ ล่ะหืม ”
ลูลู่ กล่าวหยอกๆ แต่ก็ทำเอา อีลูมีเซ่ ที่ได้ยิน เข่าอ่อนด้วยความชอกช้ำเหมือนหัวใจสลาย
ขณะที่ เฟนท์ เองถึงกับลุกลี้ลุกลน ขึ้นมาพลางรีบแกะมือเธอ ออกแล้ว ถอยไปจนสุด เก้าอี้

“ ม….มันไม่ดีมั้งครับ พวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันนะคร้าบบบ ”
เฟนท์ กล่าวพลางออกมือ สกัดไม่ให้ ลูลู่ เข้ามาใกล้

“ อุบ…ฮะๆๆ ล้อเล่นน่า ล้อเล่น แหมทำเป็นคิดจริงจังไปได้ ”
ลูลู่ กล่าวไปหัวเราะไป พลางโบกมือเป็นนัย ว่าแค่หยอกเล่น เท่านั้น เฟนท์ จึงสงบใจลงได้
ส่วน อีลูมีเซ่ ก็ถึงกับกระโดด เหยงๆด้วยความดีใจ

“ แหม…แต่พอ เฟนท์ บอกว่าเห็นฉันเป็นแค่ เพื่อร่วมงานเนี่ย
 มันรู้สึกเสียดายยังไงไม่รู้สิ…เฟนท์ไม่ชอบฉันตรงไหนเหรอ ”
ลูลู่ กล่าวหยอกอีกครั้ง เพื่อจะแกล้ง อีลูมีเซ่ แต่ก็ทำเอา เฟนท์ อึ้งไปด้วย

“ ค……คือว่าไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบ เอ้ย ไม่ใช่ๆ ยังไงๆซะ ผมกับ คุณ ลูลู่ ก็เอ่อ…
หวา ยังไงๆผมก็คบกับคุณลูลู่ไม่ได้หรอก ขอโทษด้วยนะคร้าบ ”
เฟนท์ กล่าวลุกลี้ลุกลน พลางส่ายหน้าปฏิเสธ เป็นการใหญ่
ด้าน อีลูมีเซ่ เองก็ถึงกับจ้อง เฟนท์ ตาเขม็ง ทำเอา สมาชิกคนอื่นๆ หัวเราะไปตามๆกัน



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 08 และ Music Video
Post by: greamon on March 18, 2009, 07:30:01 PM
“ ฮะๆๆ…ไม่มีประโยชน์หรอก ลูลู่ เจ้า เฟนท์ น่ะนะ
คบกับเพื่อนสาวที่ โรงเรียนอยู่ เฟนท์ เค้าไม่กล้าปลีกตัวหรอก ฮะๆๆ ”
ไรด์ แกล้งหยอกไปบ้าง ทำเอา ลูลู่ เฟนท์ และ อีลูมีเซ่ มีปฏิกิริยา ตามไปด้วย

“ ม...ไม่ใช่นะ…ชั้นกับ ไอ เราแค่…เอ่อ…แค่…เอ่อ จะยังไงก็ช่างเถอะ ชั้นไม่ได้คบ
ใครอยู่ซะหน่อย อย่ามาพูดเอาเองสิ ”
เฟนท์ แก้ตัว ลนซะจนเป็นกระต่ายตื่นตูม

“ นี่ เฟนท์ มีคนที่ชอบอยู่แล้วเหรอเนี่ย แหมเด็กคนนั้น คงน่ารักเลยสินะเนี่ย…ถึงทำให้ เฟนท์ ชอบได้ ”
ลูลู่ กล่าวหยอกไปบ้าง ทำเอา เฟนท์ ถึงกับเครียดหนัก ปฏิเสธ เป็นพลันวัล

“ ว่าแต่แล้ว วันก่อนหลังจากทำแผลแล้ว อยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องพยาบาล
 ไม่ได้ทำอะไรกันต่อแน่เหรอ…. ”
เสียงลากยาว ของ ซาน ดังขึ้นทำเอา ทุกคนพลอยอยากรู้ถึงเหตุการณ์ในส่วนนี้

“ ม…ไม่มีจริงๆนะครับ พี่ วันนั้ ไอ เค้าแค่ มาเฝ้าจนผมฟื้นเท่านั้นเอง..แค่นั้นจริงๆ ”
เฟนท์ พยายามแก้ตัว เหมือนเดิม

“ แน่ใจน้า…ไม่ใช่ว่า ระหว่างหลับอยู่โดนเค้ารักหลับไปหรอกนะ ”
ซาน กล่าวหยอกน้องชายของ ตนอย่างสนุกปากด้าน เฟนท์ เองก็ยังคงปฏิเสธไปเรื่อย
ขณะที่กำลัง หยอกกันไปกันมาอย่างสนุกนั้นเอง เอลิซ่า ที่กล่าวค้างไว้ ก็เริ่มจะเหลืออด ที่ไม่มีใครฟัง
เธอเลย

“ นี่จะเลิกเล่น แล้วช่วยฟังที่ฉันพูดหน่อยได้ไหมมมมมม ”
เอลิซ่า ตะหวาด ขึ้นทำเอาทุกคนเงียบกริบ ก่อนที่เธอจะกระแอ่มไอ เพื่อปรับเสียง

“ เอาล่ะตะกี้ถึงไหนแล้วเนี่ย ”
เอลิซ่า กล่าวพลางนึกทบทวน ถึงเรื่องที่พูดค้างเอาไว้เมื่อครู่

“ ก็หลังจากรายงาน ไปที่ ฮุกีนมูนีน แล้วยังไงต่อเหรอ ”
เอียน ทวนให้ ก่อนที่เธอ จะเริ่มเล่าต่อจากนั้น

“ ก็นะ จากเมื่อกี้ที่ฉันบอกไปน่ะ ตอนนี้ ฮูกีนมูนีน กำลัง ประมวลผลอยู่ ซึ่งจากที่คิดแล้ว ฉันว่า… ”
เอลิซ่า กล่าวพลางส่งสายตา ให้ ลูลู่ ทำในสิ่งที่เธอ ทำอยู่ก่อนจะเริ่มหยอก เฟนท์ ลูลู่
รีบป้อนคำสั่งใส่ คอมฯพกพา ก่อนที่จะหันหน้าจอมา ให้ทุกคนในห้องดู

“ ถึงเวลาที่เราควรจะจัดการกับ มาราดัน กันอย่างจริงจังแล้วนะ ”
เอลิซ่า กล่าวจบ ก็เดินเข้าไปหา ลูลู่ เพื่อจะดู ข้อมูลที่ ลูลู่ นำขึ้นมาแสดง

“ มีการส่งผ่านข้อมูล เกี่ยวกับการก่อการและสถานที่ตั้งของพวกมาราดัน
 เข้ามาใน Open Channel จากทุกประเทศ
เลยค่ะ ตอนนี้ มีข้อมูล ที่ส่งเข้ามาเรื่อยๆอย่างไม่หยุดเลยด้วย ”
ลูลู่ กล่าวขณะที่ จอเครื่อง นั้นมีกรอบข่าวสารเข้ามาขาดสาย อย่างต่อเนื่อง
 ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ มาราดัน

“ แปลว่า เทอร่า กำลังจะบอกให้เราเคลื่อนไหวอย่างนั้นหรือ ”
เอียน เปร เมื่อได้เห็น ข้อมูลที่เข้ามา ในเครือข่ายเรื่อยๆ

“ ก็นั่นล่ะตอนนี้มันคือสิ่งยืนยันถึงการที่ เทอร่า เริ่มจะรวมเข้าด้วยกันแล้ว ”
อีลูมีเซ่ กล่าวขึ้นด้วยภาคภูมิใจ ที่ในที่สุดผลงานอันเกิดจากการแทรกแซง นับครั้งไม่ถ้วนของพวก
เค้าก็เริ่มส่งผลให้เห็นบ้างแล้ว

“ เมื่อกี้มีการยืนยัน เข้ามาจาก ฮูกีนมูนีน มีคำสั่งให้ออกปฏิบัติการได้แล้ว เป้าหมายคือทำลาย มาราดัน ”
เอมิล กล่าวขณะที่เดิน เข้ามาในห้อง

“ งั้นพอดีเลย แอกซ์เซล กับ อิออนเซเบอร์ ก็เสร็จสมบรูณ์แล้ว จะได้เป็นการทดสอบไปในตัวเลย ”
เอียน กล่าวขึ้นอย่างรื่นเริง ที่ผลงานของตนจะได้ ออกใช้งานแล้ว

“ งั้นสถานที่ เป้าหมายล่ะ ”
เอลิซ่า หันไปถาม เอมิล

“ แนวโขดหินโสโครก ใกล้อ่าว โลกอส ”
เอมิล กล่าวพลางยื่น เอกสารรายละเอียดภารกิจให้ เธอที่เป็น เสนาธิการยาน

…………………
………………………..

ยาน ไซเบอริก้า

“ จะไปที่ แนวโขดหินโสโครก นั่นเหรอ ”
R2 กล่าวถาม เรกกะ เพื่อขอความแน่ใจ ซึ่งเค้า ก็พยักหน้ารับ
ว่าจะไปให้ได้

“ ยังไงก็ต้องไปดูหน่อยล่ะ เพราะจะปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ซะด้วย
ตอนนี้ แม้แต่แมกกี้เอง ก็พลอยอ่อนแรงไปด้วย  ”
เรกกะ กล่าวพลางชายตามองไปที่ แมกกี้ ซึ่งนอนซม อยู่บนเก้าอี้
ขณะที่ มาธิอัส พึ่งจะเข้ามา

“ ให้ตายสิ ตอนนี้ พวกลูกมังกรที่อยู่ข้าง ล่างพากันฟุบหมดเลยดูเหมือน คลื่นพลังมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ ”
มาธิอัส กล่าวขณะที่ตรงเข้าไปนั่งหน้าจอมอนิเตอร์ ก่อนจะลงมือ ขับยานเพื่อจะไปยังจุดหมาย

“ นี่ถ้าไปถึงแล้วจะทำยังไงล่ะ สองบุคลิกนั่นก็ยังไม่ฟื้นเลยไม่ใช่เหรอ
คนที่ออกไปได้ก็มีแค่ R2 ที่เป็น ทาลิเลีย เท่านั้นเอง ”
มาธิอัส ถามพลางป้อนพิกัดเป้าหมายก่อนจะให้ เครื่องควบคุมยานไปยังที่หมายเองอัตโนมัติ

“ ก็ไม่รู้สิ…แต่ยังไงก็ต้องไปก่อนล่ะ ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ตอนนี้ ในใจของเขา กำลังเรียกหา ทาลิคนัส กับ ทาลูคัส
ทว่าก็ไม่มีการตอบกลับ

“ เออ นี่จริงสิ แล้วบุคลิกที่โผล่ออกมาวันนั้นล่ะ ”
R2 กล่าวขึ้นทันทีที่ ฉุกคิดได้ ทว่าเรกกะ กลับส่ายหน้าตอบ

“ ไม่ไหวลองเรียกดูแล้ว แต่ไม่ตอบมาเลย สงสัยจะอ่อนแรงเหมือนกับ พวก ทาลิคนัส ด้วย ”
เรกกะ กล่าวอย่างหมดหวัง เพราะไม่ว่าเค้าจะพยายามเรียกอย่างไรก็ไม่มี เสียงตอบกลับมาแม้แต่
น้อย

…………….
……………………..

ภายในห้องทดลองของ กลุ่ม มาราดัน ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือ วิจัยต่างๆ ในสถานที่แห่งหนึ่ง
ตอนนี้กำลังเกิดเหตุบางอย่าง จึงทำให้ สมาชิก กลุ่มมาราดัน ถึงกับวิ่งทำงานกันวุ่นวาย

“ ลดอุณหภูมิ ลงเอาให้ถึงจุดเยือกแข็งเลย ”
“คลื่นพลังงาน เข้มข้นมากเลยค่ะ เกือบถึงจุดวิกฤติแล้ว   ”
“ เปิดเครื่องสร้างคลื่นหน่วงกลับ เร่งกำลังเต็มที่ ทำให้มันสงบให้ได้ ”
“ ไม่ไหวครับ เครื่องทำความเย็น ร้อนเกินกว่า จะทำงานได้แล้ว ”

เสียงดังโหวกดหวกขึ้น ขณะที่ ห้องกระจกขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางห้องนั้น อบอวลไปด้วยไอเย็น
บานกระจกกำลังร้าว ทีละน้อยๆ

“ ทำไมกันนะ ตัวอย่างทดลองที่ A73 ถึงได้… ”
ชายในชุดคลุมซึ่งเป็นคนสั่งการเปรยขึ้นอย่างหัวเสีย

“ เพราะเชอร์โนบิอาส ตายไปเลยทำให้คาถาสะกดคลายออกงั้นเหรอ ”
ชายชุดคลุม คิด ซึ้งเค้าคนนี้คือรองหัวหน้าองค์กร มาราดัน ที่นำโดยเชอร์โนบิอาส
ทว่าเมื่อ เชอร์โนบิอาส ตายลงเค้าจึงขึ้นมาเป็นผู้นำแทน

“ ท่านครับ จากหน่วยสังเกตการณ์ รายงานเข้ามาว่ามียานลำหนึ่งบินเข้ามามันปล่อย ละอองอนุภาคแบบที่พวก Valkyrier ของ Empyrean Adjust มีออกมาด้วยครับ ”
ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารายงาน

“ หนอยพวก Empyrean Adjust ทำไมต้องมาเอาตอนนี้ด้วย….ให้สาขา อื่นที่อยู่รอบๆทั้งหมด ส่งกำลังเข้ามาที่นี่
อย่าให้พวกมัน บุกเข้ามาได้  ”
ชายชุดคลุมกล่าว อย่างหัวเสีย

“ ต….แต่ว่า ตอนนี้ สาขาอื่นเองก็ ถูกพวก Empyrean Adjust กลุ่มอื่น บุกทำลายจนย่อยยับ
หมดทุกแห่งแล้วนะครับที่เหลือ อยู่ก็คือสาขา ใหญ่ของเรานี่ล่ะครับ ”
ลูกน้องรายงานจบก็ไม่ทันจะได้ทำอะไรกันต่อ ก็เกิดแรงสะเทือนขึ้น ทำเอาเค้าและสมาชิกคนอื่นๆ
พาล้มระเนระนาด เครื่องไม้เครื่องมือ หกกระจายเต็มพื้น

“ หนอย ไอ้พวก Empyrean Adjust ”
ชายชุดคลุมกล่าวพลางกระชาก ผ้าคลุมออกใบหน้าที่เหยี่ยวย่น และ ร่างกายที่เป็นสีดำ
ซึ่งปล่อย ไอควันสีดำ จากมนต์ดำที่ปล่อยออกมารอบๆกายทำให้ เกิดดวงวิญญาณร้ายสามดวงลอยออกมา
รอบๆตัวเขา

“ อากริปป้า (Agrippa, the Dreadful One)ผู้รับตำแหน่งหัวหน้าคนใหม่แห่งมาราดันคนนี้ล่ะจะจัดการพวกมันเอง ”
ิากริปป้า กล่าวจบ ก็ลุกเดินออกจากห้องไปทันที  พร้อมกับที่บันดาลูกน้องบางส่วนได้กลายร่างเป็น
กริมเทอเรี่ยน(Grim Therion) เดินตามหลังเค้าออกไป

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/s007/2.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/s007/4.jpg)
……………
……………….

“ Seraphic Pistol ”
สิ้นเสียง กระสุนลำแสง นับสิบก็ถูกสาด ลงมายังแนวโขดหิน ที่โผล่พ้นน้ำนี้ ขณะที่ บรรดา สมาชิก
ของ มาราดัน ที่ขนอาวุธกันออกมา สวนกลับ พากันถูกกระสุนลำแสงซัดจมทะเลไป

“ แอกซ์เซล นี่มันสะดวกดีเหมือนกันนะ ”
ไรด์ กล่าวขณะที่ ขว้างชูริเคน ออกไปสอย  Gazor แมนเทริก้าดราก้อน ที่ทาสีดำ ร่วงลงไปทีละตัวๆ
ขณะที่เค้า ซ้อนหลังยานยนต์ซึ่งมีลักษณะคล้าย จักรยานยนต์ ทว่ามันสามารถบินบนฟ้าได้

โดยการใช้ประจุอิออน ที่ปล่อยจาก เตาพลังงานซึ่งติดตั้งอยู่ในเครื่อง
โดย ไรด์ ซ้อนหลัง เอมิล ส่วน ซานก็ให้ เฟนท์ ขับและเธอซ็อนหลังเพื่อคอยยิงสนับสนุน ไปแทนคนที่ไม่มีอาวุธซัด

ระยะไกล ก็ให้พวกเค้าขับ ยานยนต์ แอกเซล เอกซ์เซเรราเตอร์(Axel Accelerator)ที่ดัดแปลงด้วยการ ติดตั้งเตาพลังงานอิออน ลงไปซึ่งติดอาวุธ เสริม เพื่อให้ เอมิล และ เฟนท์ ที่ไม่มีอาวุธยิง ได้ใช้จู่โจมแทน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/s001/71.jpg)

ทันทีที่ ลงถึงพื้น เอมิล กับ เฟนท์ ก็ลงจาก แอกเซล และให้ ซาน กับ ไรด์  ขับกันไป
ส่วนพวกตนก็บุกลงไปยัง ทางลงสู่ ฐานของ มาราดัน ตามแนวโขดหิน

โดย ให้ ซาน กับ ไรด์ ยิงคุ้มกันอยู่ด้านนอกขณะที่ พวกเค้าสองคนลงไปทำลายแกนกลางของฐาน
ทว่าไม่ทันไรหลังจากที่ เฟนท์ กับ เอมิล ลงไป ก็มีลำแสงสีดำ พุ่งระเบิดขึ้นมาจากทางเข้าพร้อมกับที่
 เฟนท์ และ เอมิล สะบักสะบอมออกมา

“ จะกระตุกหนวดเสืองั้นเรอะ ให้มันน้อยๆหน่อย ไอ้องค์กรไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างพวกแกมัน
คนละชั้นกันกับพวกข้าเฟ้ย ”
เสียงของ อากริปป้า ดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าตัว และ กริมเทอเรี่ยน นับสิบ
จะเดินออกมาจากกลุ่มควันฟุ้งกระจาย

“ หนอย.. ”
ไรด์ ขบฟันด้วยความแค้นใจก่อนจะ ขับ แอกซ์เซล พุ่งเข้าไปพร้อมเล็งยิง
ลำแสง ประจุอิออน จากอาวุธ ของ แอกซ์เซล   ใส่  อากริปป้า ทว่ากระสุนทั้งหมด
ก็ถูกกลุ่มก้อนวิญญาณร้าย

ที่เกิดขึ้นจาก มนต์ดำของ อากริปป้า เข้ามารับการโจมตีแทน ก่อนที่ อากริปป้า จะยิงลำแสง
เวทมนต์สีดำ ออกมาและกวาดลำแสง ไปจนทั่ว ทำให้ระเบิดขึ้นทั้ง แนวโขดหิน
แอกซ์เซล ที่พวกเค้า ขับมาก็ล้มเกย ระเนระนาด และ ถูกเศษหินที่ระเบิดออกมา

พร้อมๆกันทับจนเสียหาย โชคยังดีที่ Valkyrier ทั้งสี่กางเกราะคุ้มกันเอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็ต้องประจักษ์
ถึงอำนาจ ของอีกฝ่าย

“ แย่ล่ะสิ ถ้าเราลงไปจัดการที่แกนกลางฐานมันไม่ได้ การโจมตีของพวกเราก็ไม่ รุนแรงพอจะทำลายลงไปถึงฐาน
ที่อยู่ลึกลงไปของพวกมันได้ด้วย ”
เอมิล สบถ ขณะที่ เอาแขนเสื้อเช็ดคราบเลือดที่ปากออก

“ หมอนี่ถ้าจะเล่นด้วยไม่ได้จริงๆแหะ เอาเป็นว่า พร้อมกันเมื่อไหร่… ”
ไรด์ กล่าวขณะที่ กระชับ ชูริเคน ในมือ

“ ก็ให้ใช้ท่าพิฆาตของทุกคน.. ”
ซาน กล่าวพลางยกมือในปืนทั้งสองกระบอกขึ้น ก่อนที่ อนุภาครอบๆที่ปล่อยออกมาจะเริ่มรวมกัน
เป็นก้อนกระสุนรอบๆตัวเธอ


“ กระหน่ำไปพร้อมกันเลย ”
เฟนท์ กล่าวจบ ทุกคนก็ สะสม อนุภาคจนสมบรูณ์

“ Cross Rising ”
สิ้นเสียง ชูริเคน ของ ไรด์ ก็เรืองแสงด้วยอนุภาคที่ บีบรวมตัวกันเข้ามา ก่อนที่
เค้าจะควงมัน เป็นลักษณะกากบาท ซึ่งยังผลให้เกิดคลื่นแสง พุ่งออกไปเป็นลักษณะนั้น

“ Apollo Coffin ”
สิ้นเสียงกระสุนประจุทั้งหมดของ ซาน ก็หมุนวนไปรอบๆเป็นวงกลม ทันทีที่เธอเหนี่ยวไก
กระสุนทั้งหมดก็พุ่งกระแทกพื้นที่รอบๆ ตัวเธอก่อนจะเกิดเป็นวงแหวน เพลิงพุ่งกระจายตัวออกจากจุดวง
แหวนที่ล้อมตัวเธอไว้ออกไปนับสิบ

“ Geo Driver ”
สิ้นเสียง ประจุ อิออน ที่รวบรวมมาไว้ที่ สนับมือของ เฟนท์ ก็ถูกทุบลงไปที่พื้นหิน
เกิดแรงสะเทือนพร้อมกับ แนวหินแยกตัวออกและมีหินงอก พุ่งออกไปเป็นทาง

“ Mirage Explosion ”
สิ้นเสียง อนุภาคทั้งหมดรอบๆตัวของเอมิล ก็จับกลุ่มรวมตัวกันเกิดเป็นร่างแยกของ เอมิล นับสิบ
พุ่งออกไปจู่โจม

การโจมตีทั้งหมดของ Valkyrier ได้พุ่งเป้าไปที่ อากริปป้า ทว่า

“ เหล่าดวงวิญญาณที่สถิตในปฐพีทั้งหลายเอ๋ย จงลุกขึ้นมาเป็น ศาสตราเพื่อสังหารเป็นโล่เพื่อพิทักษ์คุ้มครองข้า Shadow Servant (เงารับใช้) ”
สิ้นคำร่ายเวทย์ อากริปป้า ก็เรียก ดวงวิญญาณออกมาด้วยมนต์ดำและให้พวกมันเข้าสิง กริมเทอเรี่ยน
ร่างของ กริมเทอเรี่ยนที่ถูกสิงก็เปลี่ยนเป็นสีดำเฉกเช่นเงา พวกมันเข้าไปรับการโจมตี แทน อากริปป้า


การโจมตี ที่รุนแรงที่สุดของ เหล่า Valkyrier ไม่อาจเข้าไปถึงตัว อากริปป้า ได้และในท้ายที่สุดแม้ว่า
การโจมตีของพวกเขา จะทำลายพวก กริมเทอเรี่ยนไปได้หมด ทว่าพวกมันก็กลับ ฟื้นคืนชีพ
ขึ้นมาจากเศษซากสีดำ

“ พวกเจ้าไม่มีวันทำอะไร อันเดดเทอเรี่ยน (Undead Therion) พวกนี้ได้หรอก ถึงทำลายไปพวกมันก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเรื่อยๆ แม้พลังของพวกแกจะเป็นพลังของ เทพก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่พลังที่บริสุทธิ์ไม่มีทางทำอันตรายวิญญาณร้ายนี่ได้หรอก ฮ่าๆๆๆ ”
อากริปป้า กล่าวอย่างมีชัย ขณะที่ เฟนท์ และพรรคพวก นั้นได้ใช้พลังไปจนหมดสิ้น จึงได้แต่
กางเกราะคุ้มกันรับการโจมตีของ กริมเทอเรี่ยนที่กลายเป็นอันเดด เทอเรี่ยน

“ เปลวเพลิงแห่งชีวิตเปลวจิตแห่งความหวัง ข้าแต่ Mar ผู้พิทักษ์ แห่งสุริยาห์ โปรดมอบ เพลิงแห่งปัญญา
ขจัดเงามืดแห่งความเขลาด้วยเถิด ”
เสียงดังขึ้น ก่อนที่ละออง สีแดงจะถูกโปรยลงมาละออง ได้ทำให้ร่างของ พวก อันเดด เทอเรี่ยน ค่อยไหม้สลายไป
และไม่กลับฟื้นคืนชีพ อีก

“ นี่มันวิชาคาถาแบบนี้มัน…ไม่น่าเชื่อใครกัน..ใครเป็นคนร่ายเวทย์เมื่อกี้ออกมานะ ”
อากริปป้า กล่าวด้วยความตกตะลึง กับสิ่งที่เกิดขึ้นพลางมองหา ผู้ที่โปรยละอองนั้นลงมา

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียง หอกซึ่งหุ้มด้วยมังกรพลังงานก็พุ่งลงมา เล่นงาน อากริปป้า ทว่า เค้าก็กันเอาไว้ด้วย กำแพงวิญญาณร้ายที่สร้างขึ้นมา ไม่นาน ทาลิเลีย ซึ่งแบก เรกกะ ที่สวมชุด Dragoon อยู่ ด้วยมือซ้าย ก็ลงมายังเบื้องล่าง

“ Dragoon ”
Valkyrier ทั้งสี่ร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน กับการปรากฏตัวขึ้นของ  เรกกะ และ ทาลิเลีย

“ นี่แก เมื่อกี้ใครเป็นคนร่ายคาถานั่นบอกมาเดี๋ยวนี้นะ…คาถานั่นน่ะมัน... ”
อากริปป้า กล่าวถามอย่างออกนอกหน้า ก่อนที่ ทาลิเลีย
จะหันไปมอง

“ ฉันเองล่ะใช่ คาถารูน(Rune) ร่ายด้วยการวิงวอน เทพ ที่ต่างจาก เทพที่สากลโลกกำหนด ทำไมถึงทำได้น่ะเหรอ
เรื่องนั้นไปคิดต่อเอาเองในนรกเถอะ ”
สิ้นเสียง ของ ทาลิเลีย หอกที่พุ่งปักพื้นหินอยู่ ก็ลุกโชนขึ้นด้วยมังกรพลังงาน อีกครั้ง
ก่อนที่พื้น ที่รอบๆนั้นจะระเบิดอย่างรุนแรง จนพื้นหินแตกร้าว และรับน้ำหนักของ อากริปป้า ไม่ไหว
จึงพังทลายลง พร้อมกับที่ ทาลิเลีย ดึงหอกออกมาและแทงมันลงไปบนร่างของ
อากริปป้า พร้อมทั้ง กดให้จมลงไปทะเล ปลิดชีพหัวหน้า องค์กร มาราดัน ไปในที่สุด

“ เรียบร้อยทีนี้ก็… ”
ทาลิเลีย กล่าวทว่า ยังไม่ทันไรก็เกิดแรงสะเทือนขึ้นไปทั่วทั้งโขดหิน
ก่อน ที่แนวหินจะแตกและแยกตัวออกจากกัน

ที่ด้านล่างในฐานทัพของ มาราดัน ห้องกระจกที่ ร้างอยู่ได้ระเบิดออก พร้อมกับ
ไอเย็นที่อยู่ภายในได้ลอยขึ้นสู่ พื้นผิว จนทำให้ อุณหภูมิรอบๆลดลง

ขณะที่ เหล่า Valkyrier และ พวกเรกกะ กำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก็มีบางสิ่งพุ่งขึ้นมาจาก ห้องกระจกที่ระเบิด ไปแล้วขึ้นมาปรากฏเบื้องหน้าพวกเขา

 ไอเย็นรอบๆเริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็วทันทีที่ สิ่งนั้นปรากฏขึ้นมา
พร้อมกับที่ตัวทาลิเลีย เริ่มรู้สึก ถึงแรงกดดันของบางสิ่ง ที่ทำให้ตัวเธฮเหมือนกับถูกบีบอัด จนในที่สุดเธอ
ก็ล้มลง อย่างอ่อนแรง

“ ก็าซซซซซซซ ”
เสียงคำราม ดังขึ้นท่ามกลางสายตาตกตะลึง ของ ทุกคนที่อยู่บนโขดหิน

“ นั่นมันอะไรกันน่ะ ”
อีลูมีเซ่ อุทานขึ้นเมื่อเห็นเจ้าสิ่งนั้น จากมอนิเตอร์ของยาน Albus

“ นี่คือสิ่งที่ มาราดัน กำลังทดลองอยู่งั้นเหรอ ”
เอลิซ่า เปรยด้วยความตกตะลึง กับสิ่งที่ปรากฏขึ้น
มังกรขนาดใหญ่ ซึ่งร่างของมัน มีพลังงานของธาตุทั้งหก รวมอยู่ในตัวเดียว

“ เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย พวกมันได้ทฤษฎี การสร้างเจ้าสิ่งนั้นไป…มังกรหกธาตุ อาแมนคริส(Amankris) ”
มาธิอัส รำพึงขณะที่มองจอมอนิเตอร์ซึ่งฉายภาพ มังกรยักษ์ ที่ยืนอยู่เหนือแนวโขดหิน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p004/73.jpg)

“ เจ้านี่เองเหรอ ตัวการที่ทำให้เกิดคลื่นพลังงานที่ไม่สมดุล ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon กล่าวขึ้นพลางมองร่างอันใหญ่โต ของอ อาแมนคริส ด้วยความตกตะลึง



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe : Crisis Valkyrie Saga 08 และ Music Video
Post by: greamon on March 18, 2009, 07:30:26 PM
“ ก็าซซซซซซซ ”
เสียงคำรามของ อาแมนคริส ดังกึกก้องกัมปนาท ปานฟ้าร้อง ก่อนที่คลื่นพลังงานที่แผ่ออกจากร่างของมันจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้เกิดแรงกดอัด บีบ ออกไปจนแนวหิน ระเบิด ถล่มทลายจมลงสู่ก้นทะเล

เอมิล ไรด์ และ ซาน ทั้งสามรีบ ทยอย กันลอยตัวออกจาก แนวหิน ด้วยอนุภาคที่เริ่มจะสะสมกลับมาจน
ใช้งานได้ในระดับหนึ่ง ทว่าก่อนที่ เฟนท์ จะออกจาก แนวหิน เค้าก็เห็นว่า Dragoon พยายามพยุงร่างของ ทาลิเลีย
ขึ้น ด้วยเหตุว่า ทาลิเลีย อ่อนแรงเกินกว่าจะบิน จึงทำให้ พวกเค้าไม่สามารถ ออกจาก แนวโขดหินได้

“ ทำไงดีเราเองก็แปลงร่างไม่ได้ซะด้วย ”
เรกกะ เปรยขณะที่พยุงร่างของ ทาลิเลีย เดินหนี แนวหินที่พังทลายไล่มาเรื่อยๆ

“ เรกกะ จับมือชั้นไว้เร็ว ”
เฟนท์ เข้าเรียกขณะที่ ลอยเข้ามาหาพลางส่งมือให้ เรกกะ ไม่มีทางเลือกจึงคว้ามือ เฟนท์ เอาไว้
ก่อนที่ เฟนท์ จะแบกร่างของ ทั้งสอง ออกจากแนวโขดหินที่ทลาย ย่อยยับไปพร้อมกับฐานทัพ ของ มาราดัน

ขณะที่ตอนนี้ อาแมนคริส ก็ยังคงอาละวาด อยู่คลื่นพลังของมัน ทำให้เกิดกระแสลมผันผวนจนเกิดเป็นพายุหมุน
ลงทะเล ขึ้นมาหลายลูก ท่ามกลาง กระแสลมและคลื่นที่ปั่นป่วนนี้ ทำให้ ยานของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้ไม่ได้
พวกเค้าจึงถูกทิ้งให้เผชิญกับ มังกรหกธาตุ ที่คลุ้มคลั่งนี้

“ นี่ เรกกะ ทำไมไม่แปลงร่างล่ะ พวกชั้นเองใช้ ประจุ ไปเยอะแล้ว คงไม่เหลือ พลังจะไปสู้กับมันแล้ว ตอนนี้มีแค่นายเท่านั้นนะที่จะช่วยพวกเราได้ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ จูงพาพวกเขาหลบฝ่า พายุ และคลื่น ที่กระหน่ำซัดเข้ามา

“ เฟนท์ นี่นายรู้ งั้นเหรอ ว่าเป็นชั้นน่ะ ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ นี่ไม่ใช่เวลามาถามเรื่องนั้นนะ รีบแปลงร่างเป็น อัศวินมังกร ซะเร็วชั้นเองก็จะแบกพวกนายไม่ไหวแล้ว ”
 เฟนท์ กล่าวอย่างยากลำบาก ขณะที่พาพวกเค้าขึ้นห่างจาก กระแสคลื่น

“ ไม่ได้หรอก ตอนนี้ทั้ง ทาลิคนัส กับ ทาลูคัส ก็ไม่มีใครสู้ได้เลย ชั้นแปลงร่างไม่ได้หรอก ”
เรกกะ กล่าวขณะนั้นเอง อยู่ๆ อาแมนคริส ที่กำลังคลุ้มคลั่ง ก็พุ่งเข้ามาหาพวกเค้า
ก่อนจะ สะบัดปีกสร้างลมพายุหอบเอาพวกเค้าตกทะเลไป คลื่นทะเลที่พัดกระหน่ำในเวลานี้ทำให้ พวกเค้า
ถูกพัดจมลงไปใต้น้ำ อย่างง่ายดาย

“ เฟนท์ ”
ซาน ร้องเสียงหลงขึ้นทันทีที่ เห็นว่า น้องชายของ เธอจมลงไปใต้ทะเล ทว่าครู่ต่อมา
เฟนท์ เรกกะ และ ทาลิเลีย ก็ลอยขึ้นมาจากน้ำได้ด้วย กำแพงพลังงานสีน้ำตาลใส ที่เฟนท์ สร้างขึ้น
แทนพื้นยกลอยขึ้นมาเหนือคลื่น

“ โอย ..นี่เจ้าบ้า ทาลิคนัส นายมัวทำอะไรอยู่ ”
ทาลิเลีย สบถพลางสำลักน้ำไปด้วย

“ ไม่ไหวทาลิคนัส กับ ทาลูคัสยัง ไม่ฟื้นเลย ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ ยันตัวลุกขึ้นยืน พร้อมกับที่ พวกซาน บินลงมาที่ยืนที่กำแพงพลังงานนี้ด้วย

“ เฟนท์ ไม่เป็นไรนะ ”
ซาน กล่าวพลางเข้าไปช่วยพยุงตัวน้องชายที่เนื้อตัวเปียกปอน ลุกขึ้นยืน

“ นี่นายทำไมไม่แปลงร่างแล้วบินเองล่ะ เกือบทำ เพื่อนชั้นจมน้ำตายแล้วนะ ”
ไรด์ สบถใส่ เรกกะ ด้วยความไม่พอใจ

“ นี่ไม่มีเวลามาเถียงกันเรื่องนั้นแล้วนะ เจ้ามังกรนั่นกำลังจะมาแล้ว ”
เอมิล แย้งขึ้น ขณะที่ อาแมนคริส พ่นเปลวเพลิงสีขาวออกมา

“ Mirror Guard ”
สิ้นเสียง กำแพงแก้วก็ถูฏสร้างขึ้นจาก หอกของ เอมิล และป้องกัน เปลวเพลิงของ อาแมนคริส ไว้แต่ ก็ต้านเกือบจะไม่อยู่ทันทีที่ต้านไว้ได้จนสำเร็จ พลังงานอันน้อยนิดที่มีเหลืออยู่ก็เกือบจะหมดในทันที ทว่า อาแมนคริส ก็ยังไม่หยุดอาละวาด

“ ขอโทษนะ เรกกะ พอดีหลับนานไปหน่อย ตอนนี้เจ้านก เผือก มันยังไม่ไหว เดี๋ยวชั้นจัดการเอง ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้น ในจิตใจของ เรกกะ

“ อ๊ะ พอดีเลย ทาลิคนัส ..อ... ”
ยังไม่ทันที่ เรกกะ จะพูดจบ ทาลิคนัส ก็เข้าสิงทันที
ขณะนั้นเอง ชายซึ่งปกปิดตัวเอง ก็ได้ออกมา ยืนจับเวลาด้วย นาฬิกาทราย อยู่บนโขดหินที่เหลือรอดจากการทำลาย ท่ามกลางพายุและคลื่นที่กระหน่ำซัดนี้

“ แต่ถึงจะแปลงร่างแล้วก็เถอะนะ แต่พลังกดดัน ของ มังกรนั่น ก็จะทำให้นาย… ”
เรกกะ แย้งขึ้นในจิตใจ ขณะที่ ทาลิคนัส ไม่ฟังแต่ประการใด จัดแจงเปิด ตลับไพ่ออกและหยิบไพ่ออกมา ตัวเลขบนจอตลับไพ่ก็ลดลงจาก 89 เป็น 88 ก่อนที่ จะนำขึ้นมาส่องที่ดวงตาซ้ายซึ่งเรืองแสงสีแดงอยู่
แล้วจึงนำไปวางที่หน้าปัดก่อนจะทุบมันลงไป

“ Blaze Form ” “ Regeneration ”
เสียงดังขึ้นไล่กันมาจาก หน้าปัดก่อนที่ ร่างของ เรกกะ จะเปลี่ยนเป็น  ทาลิคนัส

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว ”
ทาลิคนัส กล่าวประโยค ประจำตัวพางวาดมือ แต่ก็ไม่มีใครสนใจกับกริยาของ ทาลิคนัส เพราะต่างก็กังวลกับการโจมตีที่จะมาถึงในไม่ช้า

“ Ignis et Dragos ”
สิ้นเสียง ดาบอัคคีก็ถูกสร้างขึ้นก่อนที่ ทาลิคนัส จะพุ่งเข้าไปฟันใส่ อาแมนคริส แบบไม่ยั้ง

“ ฮ่าๆๆ…เป็นไงๆ..ซ่าส์ดีนักเหรอเจ้าตะกวด หกสี ...เห้อ...เอาไปกิน..เอาไปกินนี่ ”
ทาลิคนัส กล่าวย้ำใส่อารมณ์เต็มที่ ขณะที่ร่ายดาบไปเป็นชุดกระหน่ำซะจน อาแมนคริส ต้องถอยร่นไป

“ เอาล่ะได้เวลาโชว์ ท่าไม้ตายกันแล้ว..อุบ ”
ทาลิคนัส กล่าวก่อนจะยกนิ้วขึ้นเพื่อดีด เรียกไพ่แต่ก็ไม่ทันไร
ร่างกายก็เกิดรู้สึกถูกบีบอัด ขึ้นในทันที

“ ชิ รู้สึกไม่มีแรงเลย สงสัยเพราะตะกี้จะ ไคลแมกซ์ ไปหน่อยก็เลยไม่รู้สึก แต่ตอนนี้มันไม่แรงเหลือแล้วนะเนี่ย ”
ทาลิคนัส กล่าวอย่างอ่อนระโรยขณะที่ ดาบอัคคี ก็พลอยสลายไปด้วย ก่อนจะถูก อาแมนคริส ที่ชิงพุ่งขึ้นมา ตบซัดกลับลงไป  กำแพงพลังงาน ของ เฟนท์ก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่างเดิม

“ แม้แต่นายก็ไม่ไหวเหรอ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ควบคุมให้เกราะ ถอยห่างออกเพื่อพาทุกคนหนีจาก การตามล่าของอาแมนคริส

“ เจ็บใจนัก...นี่เราทำอะไรไม่ได้เลยรึไงนี่ ”
ไรด์ สบถ ด้วยความเจ็บใจที่ พวกตนพ่ายให้แก่ อาแมนคริส อย่างหมดรูป

“ หนอยนี่ฉันคนนี้แพ้หรือเนี่ย..ฮึ้ยอยากจะร้องไห้ ”
ทาลิคนัส ในร่างเรกกะ สบถพลางทุบกำปั้นลงกับ กำแพงพลังงาน
ทว่าครู่ต่อมา การสิงร่างก็ถูกชิงไป เป็นของ บุคลิกอื่นทันที

“ ได้ร้องไห้แน่..ความแข็งแกร่งของข้า แม้แต่เด็กยังต้องร้องไห้ ”
เรกกะ กล่าวเสียงทุ้มๆ เหมือนกับไม่ใช่เสียงของเขา และดวงตาซ้ายก็เรืองแสงสีน้ำตาลเข้มออกมาแทนอยู่ภายใต้หน้ากาก ของ Dragoon

“ อะไรน่ะ… ”
เฟนท์ และพรรคพวกพากัน มองด้วยความประหลาดใจกับท่าทีที่อยู่ๆก็เปลี่ยนไปแบบปุบปับของ Dragoon

“ เอ๋....นี่นายเองเหรอ..ทำไมถึงพึ่งมาล่ะ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นในจิตใจ

“ เจ้าหมอนี่น่ะเอาแต่หลับมาตั้งแต่ เมื่อวานแล้ว ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นซักที
จนเมื่อกี้พอได้ยินคำว่าร้องไห้เท่านั้นล่ะก็พุ่งพรวดออกมาเลย ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้นบ้าง

“ นี่…ทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนไปยังกะคนล่ะคนเลยล่ะเนี่ย ”
ซาน กล่าวถามด้วยความสงสัย

“ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ..ตอนนี้พวกเจ้า ช่วยเข้าไปขวางไว้ไม่ให้เจ้ายักษ์นั่นเข้ามาก่อนได้ไหม..ขอร้องล่ะ ”
บุคลิกใหม่ กล่าวกับเหล่า Valkyrier ที่ยัง งงๆ อยู่กับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี้

“ แล้วทำไมเราต้องทำตามที่แกบอกด้วยล่ะ ที่สำคัญไอ้ท่าที ปุบปับๆ ตั้งกะเมื่อกี้แล้วแกเป็นอะไรของแกน่ะ ”
ไรด์ สบถ ทว่า

“ ไม่มีเวลามาบ่นแล้วล่ะ เจ้านั่นมันจะมาแล้ว ตอนนี้ทำตามที่เค้าบอกก่อนเถอะ ”
เอมิล กล่าวพลาง ชักเอาแท่งด้ามดามขึ้นมา ก่อนที่ เฟนท์ ไรด์ และซซาน จะทำตาม
ทันที่ ด้ามดาบถูก ละออง อนุภาคที่มีเหลืออยู่น้อยนิด ในตอนนี้ คมดาบก็ถูกสร้างขึ้น
จากด้ามดาบ และ หุ้มคมไว้ด้วย อนุภาค อิออน

“ ฝากด้วยล่ะ..ความหวังตอนนี้ขึ้นนอยู่กับนายแล้ว ”
เอมิล กล่าว ก่อนที่จะนำเหล่า Valkyrier ออกไป สกัด อาแมนคริส ไว้

เรกกะ จึงเปิดตลับไพ่ออกและหยิบไพ่ออกมา ทำให้ตัวเลขบนหน้าจอตลับไพ่ลดลง เป็น 87 แล้ว
เมื่อ เรกกะ เอาไพ่ ขึ้นมามองด้วยแสงในตาซ้าย สัญลักษณ์ธาตุแห่งดินก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่จะนำเอาไปวางที่หน้าปัด
“ Quake Form ”
เสียงดังขึ้นจาก หน้าปัดสายคาด ก่อนที่ เรกกะ จะทุบไพ่ลงไปที่หน้าปัด

“ Regeneration ”
สิ้นเสียง ก็เกิดแสงสีน้ำตาลส่องวาบออกมาจาก หน้าปัดสายคาด ก่อนที่ร่างของ เรกกะ
จะถูกปกคลุมด้วยหิน และแตกออก มาพร้อมกับการปรากฏร่างของ อัศวินมังกร ร่างสีน้ำตาล

แข็งราวหินผา ที่ไหล่มีหินงอกอันคมกริบงอก ออกมาทั้งสองข้างเศษหินที่แตกออก จากร่าง
นั้น เมื่อร่วงหล่นลงสู่ทะเล ก็กลับขยายตัวออกเป็น ผืนหินศิลา ที่มีหินงอกขึ้นเต็มไปหมดทาง

“ Solum et Dragos ”
สิ้นเสียงของ อัศวินมังกรตนนั้น มวลแสงสีน้ำตาลก็ถูกสร้างขึ้นในอุ้งมือทั้งสองข้างก่อน ที่เค้า จะบีบมัน
จนแตกกระเจิง มวลแสงก็ได้รวมตัวเข้ากลายเป็นดาบ และโล่

“ จงหลั่งน้ำตาให้กับ วิถีแห่งลูกผู้ชายซะเถอะ ”
อัศวินมังกร กล่าวประกาศพลางตั้งท่ายื่นดาบออกไปข้างหน้า

“ ค..คราวนี้ เป็น ทาโซรอส (Thasolos, the Arimathea’s Dragoon of Thaliwilya) เหรอ ”
ทาลิเลีย กล่าว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/2.jpg)

“ ชื่อของนายคือ ทาโซรอส เหรอ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นในจิตใจ

“ นั่นแล้วแต่เจ้าจะเรียก ”
ทาโซรอส ตอบก่อนจะ กระโดดลงไปที่ พื้นหินที่สร้างขึ้น ทันทีพื้นหินที่เกิดขึ้นก็ทอดตัวยาวออกไปยัง
ทางที่อาแมนคริส กำลัง ปะทะ อยู่กับ Valkyrier ซึ่งต่างใช้ อิออน เซเบอร์ เข้าฟาดฟัน ทว่าก็ไม่อาจทำ
อะไร อาแมนคริส ได้

“ พวกเจ้าถอยไป ข้าจะปิดฉากมันเดี๋ยวนี้ล่ะ ”
ทาโซรอส ประกาศก้อง ขณะที่แผ่นหินที่ตนยืนอยู่ทอดตัวพุ่งทะยานขึ้น ไป
สู่ศึก กลางเวหา เฟนท์ และพวกที่เห็น ก็พากันหลีกทางให้ ทาโซรอส เข้าไป

ทันทีท่เข้าใกล้ร่างของ อาแมนคริส พลังกดดัน จากธาตุที่สมดุลของ มันก็ส่งแรงกระเทือนมาจน
เรกกะ รับรู้ได้ถึงแรงสะเทือน

“ ม...ไม่เป็นไรแน่เหรอ ทาโซรอส แรงสะเทือนนี่มันแรงมากเลยนะ ”
เรกกะ ในจิตใจกล่าวขึ้น

“ นั่นสิ จะเวียนหัวตายอยู่แล้ว ”
ทาลูคัส บ่นขึ้นเช่นกันเมื่อแรงสะเทือนที่ตอนที่ทำให้ทั้งร่างของ ทาโซรอส สั่นสะท้าน

“ โอย อยากจะอ้วก นี่แกไม่รู้สึกอะไรบ้างรึไงเนี่ย ”
ทาลิคนัส กล่าวอย่างกระอักกระอ่วน ขณะที่ ทาโซรอส พุ่งเข้าไปจวนจะถึงอยู่ในอีกไม่กี่อึดใจ

“ รู้สึกสิ...แต่ลูกผู้ชายน่ะเค้าไม่พูดมากกันหรอก ”
ทาโซรอส กล่าวพลางเร่งความเร็วการทอดตัวของ แผ่นหิน ให้เร็วขึ้น จนแผ่นหินพุ่งเข้าไปชนร่างของ อาแมนคริส
เสียเต็มแรง จนมันเสียหลักเซถลาไป

“ ฮึ้ย....ย่าห์ ”
ทาโซรอส เปล่งเสียงพลาง สวิงดาบฟันอย่างหนักหน่วง กระหน่ำใส่ อาแมนคริส ไปเรื่อยๆก่อนที่จะให้ แผ่นหิน พุ่งชนจน ร่างของ อาแมนคริส กระเด็นออกไป แล้วจึงดีดนิ้วมือ เพื่อเรียกให้ไพ่ที่ใช้แปลงร่างออกมา
ก่อนจะนำเอาไพ่ กดลงบนลูกแก้วสีน้ำตาลบนคมดาบ

“ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ไพ่ก็ถูกกลืนลงไปในลูกแก้วก่อนที่มันจะเรืองแสง ไม่นานคมดาบก็เริ่มเปล่งแสงสีน้ตาลอ่อนออกมาบ้าง
ทาโซรอส จึงเคลื่อนแผ่นหินพุ่งเข้าไปชนใส่ร่างของ อาแมนคริส อย่างจังอีกครั้ง

ก่อนจะหนุมตัวควงดาบ สวิงฟันกระหน่ำลงไปพร้อมกับกระโดดขึ้นจาก แผ่นหินไปพร้อมๆกับการสวิง
คมดาบกระหน่ำลงไปยังร่างของ อาแมนคริส เสียสองครั้ง อย่างหนักหน่วงและรุนแรงชนิดที่ว่า ทุกครั้งที่ ดาบกระทบ

เกิด ประกายแสงแลบออกมากับเสียง ระเบิดดังตามๆมา จนในที่สุดเมื่อ ทาโซรอส พุ่งขึ้นจนสูงสุดแล้ว จึงหยุด
สวิงและยกดาบขึ้นจับด้วยสองมือ ก่อนจะพุ่งลงมาในขณะที่ แสงซึ่งเปล่งออกจากคมดาบได้แปลเปลี่ยนเป็นมังกร

พลังงาน สถิตอยู่นะคมดาบ จนดูราวกับว่า เค้าลากเอาหัวมังกรพลังงานพุ่งลงมา ก่อนจะจามผ่าร่างของ อาแมนคริส
ตั้งแต่หัวจรด เท้า  ลงไป จนกระแทกลงสู่พื้นน้ำ แรงระเบิดทำให้เกิดน้ำแตกกระเซ้นขึ้นเป็นละออง บดบังไปรอบๆ

“ ขวานอัสนีบาต ด้วยอำนาจแห่งมังกร ”
ทาโซรอส เปล่งเสียงประกาศก้าวหลังจากที่พึ่งจะลงคมดาบ ใส่ไปเสร็จก็ลงมายืนบนแผ่นหินที่ทอดตัวลงมารับร่างของ มันไว้ทว่า อาแมนคริส ก็ยังคงอยู่แต่มันก็ได้ดำลึกลงไปใต้ทะเล และหายลับไป พร้อมกับ คลื่นพลังงานรบกวนได้จางหายไปด้วย

“ จะพูดชื่อท่าไม้ตายทำไมไม่ประกาศก่อนจะใช้ท่าเล่า ”
ทาลิคนัส บ่นขึ้น

“ เอ๋..ยังงั้น เหรอเอ้อช่างมันเถอะนะ..ตอนนี้..คร่อกก zzZZ ”
ยังไม่ทันที่จะกล่าวต่อไป ทาโซรอส ก็สัปหงกไปทั้งท่ายืน ขณะที่ละออง น้ำยังคงล่องลอย
อยู่จนทำให้มองไม่เห็นอะไร ทาลิเลีย ก็โฉบ เข้ามาพาตัว ทาโซรอส ขึ้นไปยังยาน
ไซเบอริก้า ที่บินลงมารับ ก่อนจะออกบินจากไป ทิ้งให้เหล่า  Valkyrier จัดการกับส่วนที่เหลือต่อไป

.......................
...........................

วันต่อมา


“ แล้วตอนนี้ ทาโซรอส ก็เลยยังหลับอยู่งั้นเหรอ ”
R2 ที่กลับคืนร่างแล้ว ถามขึ้นขณะที่เดินไปกับ เรกกะ สองคนบนท้องถนน

“ ก็นะตั้งแต่ตอนที่สู้เสร็จแล้วล่ะ...รู้สึกว่าจะขี้เซาเอามากๆเลยด้วย ”
เรกกะ เล่าให้เธอฟังถึงสิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัว ทาโซรอส ซึ่งหลังจากเมื่อวาน พวกเค้าก็พยายามติดต่อกับ ทาโซรอส แล้วแต่ก็ไม่ได้ผล ทาโซรอส ก็ยังคงเอาแต่หลับอยู่เหมือนเดิม

“ เออ นี่เรกกะ เห็นบอกกับพวก ทาลิคนัส ไว้ไม่ใช่เหรอว่าจะ เข้าไปหา คนคนนั้นที่เข้ามาจับตาดูตอนที่ เธอสู้น่ะ
ตกลงเค้าเป็นใครเหรอ ”
R2 หันมาเปลี่ยนเรื่องถามบ้าง

“ เรื่องนั้น ล่ะก็วันนั้นที่ป่า นั่น ถึงจะแค่แวบเดียว แล้วเค้าจะหนีไปก็ตามแต่ผมมั่นใจได้เลย… ”
เรกกะ กล่าวพลาง กำนาฬิกาทรายในมือแน่น

“ เค้าคนนั้นต้องใช่ ลอว์เรนซ์ คุณพ่อของผมแน่ๆ ถึงจะเห็นแค่แวบเดียวก็เถอะ ”
เรกกะ กล่าวขึ้นแวว ตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ ขณะที่ R2 มอง
เค้าด้วยความรู้สึกชื่นชมนิสัย ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆของ เรกกะ

“ งั้นแล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะไม่เข้าใจเลย…ลูกของตัวเองแท้ๆ ”
R2 บ่นขึ้นมาบ้างทันที อย่างไม่เข้าใจ

“ ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้แต่ซักวันผมจะต้องพบและพูดกับคุณพ่อ ให้ได้เลย ”
เรกกะ กล่าวยืนยันในจุดหมายอย่างมั่นใจ ทว่าขณะที่พวกเค้าเดินใกล้เข้าไป
 ยังตรอกซอย ข้างหน้า

“ แต่ชั้นว่า อย่าดีกว่า ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมเจ้าของเสียง ที่เดินออกมา กับ มังกรประหลาดๆ มันมีปีกเหมือนปีกแมลงและมี
ขนาดตัวที่เล็กกว่าลูกมังกรด้วยซ้ำ เจ้าของเสียงเป็น เด็กหนุ่มผมสีทอง
สวมเสื้อสีแดงคอปกเสื้อประดับด้วยขนมิ้นสีขาว

“ นาย…เป็นใครน่ะ ”
เรกกะ ถามขึ้นขณะที่เค้ากับ R2 จ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นซึ่ง อายุดูจะมากกว่าพวกเค้าปีหนึ่ง

“ หึ..ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ ชั้นนี่แหล่ะ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ”
เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าว พลางยกนิ้วขึ้นชี้เข้ามาที่ตัวเอง

“ หา.. ”
เรกกะ และ R2 ต่างร้องเสียงหลงกับการปรากฏตัวของ เด็กหนุ่มผู้อ้าวตัวว่า เป็น ลอว์เรนซ์ เรื่อง
ราวจะเป็นเช่นไร.............

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ ฮะๆๆ..หมอนั่นทำหน้าตกใจใหญ่เลย ”
“ ไปแกล้งแบบนั้นไม่ดีนะ ลอว์เรนซ์  ”
“ เอาน่าอุตส่าห์มาถึงอนาคตทั้งที ขอเที่ยวให้มันสนุกหน่อยเถอะ..เสียดายพวก เจนัส ไม่ได้มาด้วยเนี่ยสิ ”

ลอว์เรนซ์ ผู้นี้เค้าคือใคร

“ ไม่มีทาง ยังไงหมอนั่นก็ไม่มีทางเป็น พ่อของ เรกกะ ได้หรอกคนพรรค์นั้นน่ะ ”
“ ต..แต่ว่า เค้าเองก็ดูคล้ายผมมากเลยนะ ”
“ ไม่ได้นะ จะยอมรับกันง่ายๆเลยเหรอ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอกหมอนั่นจะต้องมีแผนแน่ๆ ”

ตัวจริงหรือตัวปลอม เชื่อหรือไม่เชื่อ

“ พร้อมนะ ยูปี้..ไปลุยด้วยกันเถอะ ไฟร์(Fire) กันเถอะ ”

“ Ready Fire ” “ Fist on ”

“ ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าชั้นคนนี้ล่ะ เก่งระดับเทพอย่าบอกใครเลย ”

เรื่องราวทั้งหมดที่เริ่มจะซับซ้อนขึ้น ลอว์เรนซ์ที่ ปรากฏตัวขึ้นมาคือใคร Next Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง




ต้องขออภัยด้วยที่ บทนี้ยังไม่ได้ ลงภาพของ ไอ และ ลอว์เรนซ์ โฉมใหม่ เนื่องจาก ยังคิดความสามารถการ์ดไม่ออก แต่ภาพเสร็จหมดแล้ว ดังนั้นการ์ดประกอบของตัวละครเหล่านี้จะออกโชว์ ในSaga10นะขอรับ

แต่ก่อนอื่นมาสครีมบทนี้กันหน่อย ซึ่งในบทนี้อาจจะค่อนข้างสั้น เนื่องจาก พิมพ์ไม่ทัน มัวแต่เล่น Gundam Seed Destiny เพลิน ลืมบทนิยายตัวเองเลย มันก็เลยออกมาแบบนี้ ก็ทนๆไปก่อนละกันเน้อ
ว่าแต่ เพลง Op ยังไม่ได้แก้เลย แต่เข้าไปดูแล้วเป็นไงกันมั่งงิ ตอนนี้ช่างมันก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือ ทำไม
ลอว์เรนซ์ ถึงมานี่ได้หว่า อันนี้คงต้องไปดูกันตอนหน้า สงสัยจังว่า ทำไม๊ทำไมคำพูดของ ลอว์เรนซ์มันแปล่งๆหว่า มีแวว จะได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ด้วยป่ะเนี่ย


ช่วงแถมท้าย วันนี้ภาพสุดท้ายก่อนจะเฉลย กันในวันอาทิตย์นี้
ทั้งที่จริงๆแล้ว ต้องเฉลยกัน Saga 11 แท้ทำไมมา Saga10 แทนน่ะเหรอคำตอบ คือ ผมพิทพ์ผิดแล้วลืมแก้ง่ะ
งั้นภาพวันนี้ นะขอรับ นินๆ

(http://images.temppic.com/18-03-2009/images_vertis/1237364872_0.92239600.jpg)




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga 09จงหลั่งน้ำตาให้วิถีลูกผู้ชาย
Post by: boy on March 19, 2009, 09:54:43 PM
ว้าว~ซิกฯใหม่ใส่ลิงค์  หุๆ ::020::

ดูไฮเทคจังเลยครับ  ::011::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga 09จงหลั่งน้ำตาให้วิถีลูกผู้ชาย
Post by: ginn on March 23, 2009, 02:23:50 AM
อัพได้แล้ว คนอ่านรออยู่


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga 09จงหลั่งน้ำตาให้วิถีลูกผู้ชาย
Post by: greamon on March 24, 2009, 01:44:42 PM
Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....

ความเดิม………..

หลังจากการแทรกแซงของ Empyrean Adjust ที่ เรกกะ ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ได้นำไปสู่การต่อสุดครั้งสุดท้ายกับ
กลุ่มมาราดัน องค์กรก่อการร้าย ที่เคยทำให้ เมอริเซีย ต้องวอดวายไปด้วย วิทยาการที่พวกมันขายให้แก่ อาณานิคม

อื่น ที่เข้ามาทำสงครามในเมอริเซีย  เมื่อ 200 กว่าปีก่อน  ตอนนี้กลุ่ม มาราดัน ก็ได้แตกสลายและ สาบสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์แล้ว จากเหตุการณ์ ในครั้งนี้ทำให้การก่อการร้ายลดลงไป อย่างมาก สถานการณ์ของเทอร่า

เริ่มคืบหน้าเข้าสู่ความสงบไปทุกขณะ ทว่า มังกรทรงอำนาจซึ่งมีพลังอันมหาศาล ที่กลุ่ม มาราดัน
ทำการวิจัย อาแมนคริส ได้หลุดออกมา และแม้ ทาโซรอส จะจัดการกับมันได้แต่มันก็ได้หนีหายไป

ต่อมาไม่นานเด็กหนุ่ม ผู้ซึ่งอ้างตัวว่า เป็น  ลอว์เรนซ์  ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า เรกกะ เรื่องราวจะเป็นเช่นไร
…………………………
Op
………………………

“ เมื่อกี้นายบอกว่า นายคือ ลอว์เรนซ์ ………….อย่างนั้นเหรอ ”
เรกกะ ถามขึ้นอีกครั้งเพื่อขอความมั่นใจ

(http://images.temppic.com/24-03-2009/images_vertis/1237858194_0.13862900.jpg)

“ ไม่เห็นต้องถาม….ชั้นนี่ล่ะ ลอว์เรนซ์ ตัวจริงเสียงจริงเลย ”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางชี้ไปที่ตน ขณะที่ มังกรตัวจิ๋ว ซึ่งบินอยู่ข้างๆนั้น ก็มีขนาด เล็กกว่า ลูกมังกรทั่วไป
เล็กน้อย มันมีปีกใสเหมือนปีกแมลง กระพือสลับไปมาอย่างรวดเร็ว  เจ้ามังกรนี้แท้จริงก็คือ ภูตมังกร (Fairy Dragon)
ที่จะอาศัยอยู่ในมิติ ของภูตเท่านั้น เหตุที่มันมาอยู่กับเค้านั้น จึงเป็นเรื่องที่แปลกยิ่ง

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n017/40.jpg)

“ ไม่จริงหรอก..นายน่ะไม่ใช่ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด หรอก…บอกมานะนายเป็นใครกันแน่ ”
R2 แย้งขึ้นพลางดึงตัว เรกกะ มาหลบข้างหลังเธอ เพื่อความปลอดภัยเนื่องจากไม่ไว้ใจอีกฝ่าย

“ ทำไมล่ะก็ชั้นนี่ล่ะ ลอว์เรนซ์ จะเป็นใครไปได้อีกเล่า…เห็นอยู่ทนโท่ หน้าเจ้าหมอนั่นก็คล้ายหน้าชั้นจะตายไป ”
ลอว์เรนซ์ แย้งพลางส่งสายตาหงุดหงิด กับท่าทางของ R2 ที่ทำเหมือนกับเขา
เป็นคนไม่ดี

“ นี่…นาย…หรือว่า ”
R2 เปรยขึ้นพลางคิดทบทวนเรื่องทั้งหมด และทำท่าเหมือนจะเข้าใจ

“ เข้าใจที่ชั้นพูดแล้วใช่ไหมล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวด้วยความโล่งใจ ที่เธอเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดไป

“ นายแค่ชื่อ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด เฉยๆ ใช่ป่ะ ไม่ใช่คนที่เราพูดถึงอยู่หรอกเนอะ ”
R2 กล่าวตอบอย่างมั่นใจ ทว่า ลอว์เรนซ์ กลับตีหน้าเบ้ ใส่ เป็นเชิงว่าเข้าใจผิดกันไปใหญ่

“ จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ แล้วชั้นบอกว่าชั้นนี่แหล่ะ คือคนที่พวกเธอพูดถึงอยู่
 ชั้นนี่ ล่ะ ลอว์เรนซ์ พ่อของเจ้าหมอนี่ในอนาคตน่ะ ”
ลอว์เรนซ์ ตะหวาด พลางชี้ไม้ชี้มือไปที่ เรกกะ ที่ยังยืนเอ๋อ อยู่ข้างหลัง R2

“ โกหกน่า นายเนี่ยนะจะเป็น พ่อของ เรกกะ จะบ้ารึไงเล่า พ่อของเรกกะ น่ะเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว แล้วถ้าเกิดว่าเค้ารอดมาได้ล่ะก็ ป่านนี้ก็คงแก่ตายไม่ก็อายุเป็นร้อยปีแล้ว ที่สำคัญตระกูล ซาราเบลด ในเมอริเซียก็ล่มสลายไปหมดแล้วด้วย ”
R2 โต้กลับไป ทว่าเนื้อความที่เธอพูดมานั้น ถึงกับทำเอา เรกกะ หน้าถอดสีไปในทันที

“ อ…R2 ทำไมถึงบอกว่า พ่อผมอายุเกินเป็นร้อยปีล่ะ… ”
เรกกะ กล่าวขัดขึ้นมาระหว่างการโต้เถียงทำเอาทั้งสอง ถึงกับหยุดการโต้แย้งไปทันที

“ อ…คือว่า  ”
R2 กล่าวตะกุกตะกัก โดยในหัวคิดหาทางอธิบาย กับ เรกกะ 

“ ถึงผมจะบอกว่า ท่านพ่อของผมตายไปแล้ว ..แต่ผมไม่เคยบอกเลยนะครับว่า ผมเคยอยู่ที่เมอริเซีย…ไม่เคยบอกเลยด้วยว่าผมสูญเสียท่านไปเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ…แล้วทำไม.. ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียงอึกอักๆ อยู่ในลำคอด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ สุมอยู่ในอก

“ ม…ไม่ใช่นะ เรกกะ คือว่า..ฉัน..ฉัน ”
R2 กล่าวอย่างร้อนรน พลางโบกไม้โบกมือให้ เรกกะ กลับเข้ามาหาเธอ ก่อน เพราะ เค้าค่อยๆถอยห่าง
ออกจาก เธอไปเรื่อยๆ

“ รู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม ว่าผม…ไม่ใช่คนในยุคนี้ ”
เรกกะ กล่าวตะกุกตะกัก ขณะที่ R2 ก็รน ใจเต้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยายามหาข้อแก้ต่างมาอธิบาย

“ คือว่า…เรกกะ ..พวกเราไม่ได้.. ”
R2 พยายามจะเกลี้ยกล่อม เท่าที่จะทำได้แต่ไม่ว่าอย่างไร เรกกะ ก็ไม่ยอมฟังเธอเลย

“ อะไรกัน..ยังไม่ได้บอกเหรอ…เรื่องที่ เทีย ย้อนกลับมาน่ะแล้วก็หน้าที่ที่ต้องทำด้วย..ปกป้องกาลเวลาไง.. ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวด้วยความสงสัย

“ นี่มันหมายความว่ายังไง..R2 …แล้วก็มาธิอัส ทั้งสองคน น่ะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วสินะ…แล้วทำไม
เรื่องที่ยังไม่ได้บอกนี่มันอะไรกัน ”
เรกกะ ตะคอกพลางหันไปมองหน้า ลอว์เรนซ์ ที R2 ที ก่อนจะควักเอา เข็มขัดติดตลับไพ่
 กับแกะสายคาดที่ มือ ออก

“ ผมเองก็เคยพูดอยู่หรอกว่า จะรอให้ทั้งสอง คนพร้อมที่จะเล่าให้ผมฟัง…แต่ตอนนี้ มันเกินไป ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แต่คนอื่นๆกลับรู้เรื่องของผม ดีกว่าตัวผมซะอีก…สำหรับ R2 แล้ว ผมเป็นแค่หมากตัวหนึ่งใช่ไหม ” 
เรกกะ ตะคอกใส่ จนทั้ง ลอว์เรนซ์ และ R2 ต้องนิ่งอึ้งโต้ไม่ออกกันไป

“ ผมจะไม่สู้อีก…จนกว่าจะมีใครช่วยบอกเหตุผลที่ผมต้องสู้ ให้ผมได้รู้ก่อน ”
เรกกะ สบถจบก็วาง อุปกรณ์ สำหรับการแปลงร่างลง  ก่อนจะวิ่งหนีไป

“ ด..เดี๋ยวสิ เรกกะ กลับมาก่อน มันไม่ใช่นะ… ”
R2 ตะโกนเรียกพลาง ก้มลงเก็บอุปกรณ์ ที่ เรกกะ วางทิ้งไว้ขึ้นมา

“ ไม่รีบตามไป เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวเย้ยหยัน ทำให้ R2 หันมาทำตาเขียวปัดใส่ ก่อนจะออกวิ่งหอบเอา อุปกรณ์ ตาม เรกกะ ไป
ทิ้งให้ ลอว์เรนซ์ ยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่เบื้องหลัง

“ ฮะๆๆ..หมอนั่นทำหน้าตกใจใหญ่เลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางหัวเราะขบขันด้วยความสะใจอย่างที่สุด

“ ไปแกล้งแบบนั้นไม่ดีนะ ลอว์เรนซ์  ”
มังกรภูต ของเค้ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ

“ อะไรกัน…นี่นายเห็นใจหมอนั่นรึไง ก็รู้ๆกันอยู่นี่ว่ายังไงสุดท้ายก็ต้อง….. ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวก่อนจะเงียบไป เอาเสียดื้อๆ

“ แหม..ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็น่าจะผูกมิตรกันไว้ก่อนดีกว่านาาา…เพราะงั้นเราไปขอโทษเค้ากันเถอะ ”
มังกรภูต ของเค้ากล่าวพลางเข้าไปยันหลังให้ ตามไปขอโทษ แต่ ลอว์เรนซ์ ก็ขัดขืนไม่ยอมไปแต่โดยดี

“ ไม่เอาน่า ยูปี้(Yupy) ไม่เห็นจะต้องไปขอโทษเลยอีกอย่างแค่ชั้นมาถึงนี่แล้ว จะหมอนั่นหรือยัยนั่น
ก็ไม่ต้องออกโรงทั้งนั้นน่ะ เพราะชั้นคนนี้คนเดียวก็เหลือแหล่แล้ว ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางยืดตัวอวดโอ้ ใส่ ยูปี้ ภูตมังกรของเขา

“ แหมแต่ถึงยังงั้นเถอะ…เราไปขอโทฦษด้วยกันเถอะนะ ลอว์เรนซ์ ”
ยูปี้ กล่าวโดยยังไม่เลิกล้มความพยายาม พร้อมบินเข้าไปประชิดตัว ลอว์เรนซ์
ทว่า ลอว์เรนซ์ ก็ยกมือขึ้นจับตัว มันไว้พลางยกตัวมันขึ้นไว้เหนือหัวเพื่อบังแดด
แทนร่ม ก่อนจะออกเดิน

“ บังแดดให้ทีล่ะรู้สึกแถวนี้แดดจะแรงจริงๆ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางเดินไปตามท้องถนน โดยตึงร่างของ ยูปี้ บังแดดเอาไว้

“ ไม่เอาน่าไม่เห็นต้องเขินเลย…ไปขอโทษเค้ากันนะ ลอว์เรนซ์ ”
ยูปี้ ยังคงไม่ล้มเลิกความพยายาม ทำเอา ลอว์เรนซ์  อมพนำด้วยความหงุดหงิด

“ เอาน่าอุตส่าห์มาถึงอนาคตทั้งที ขอเที่ยวให้มันสนุกหน่อยเถอะ..เสียดายพวก เจนัส ไม่ได้มาด้วยเนี่ยสิ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวตัดบทจบ ก็ออกเดินไปโดยสนใจการขัดขืนของ ยูปี้

.....................................
....................................................

บริทเทเนอร์

ภายในท้องประโรง อันโอ่โถง ของพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ หลังจากที่ ราชวังเดิม ถล่มไปเพราะการโค่น ของ เสาอาวุธมหาประลัย เมเมนโต้โมรี่  ภายในท้องพระโรงมีโต๊ะประชุม ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลาง ห้อง

ที่หัวโต๊ะนั้น ลูเทเซีย กำลังนั่งเท้าคางรอคอย ใครบางคนอยู่ ถัดมาข้างๆ เด็กหนุ่มผมสีฟ้าผู้มีลม
หายใจน้ำแข็ง นามว่า เซโร่ ซึ่งเคยเล่นหมากรุกอยู่กับ ลูเทเซีย ก่อนหน้านี้ ก็ฟุบหน้าอยู่บน
โต๊ะด้วยกิริยาท่าทาง สงบเสงี่ยม ก่อนที่ประตูท้องพระโรงจะเปิดออก


เด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีผมสีน้ำตาล สวมเสื้อเชิ้ต สีแดง ขนาดตัวสูงกว่า เด็กสาวอีกคนที่มี ผมยาวสลวย
เธอสวมชุดราตรีสีดำ และกระโปรงที่เรียงเป็นชั้นๆ  การมาขของทั้งสองทำให้ เซโร่ และ ลูเทเซีย มีปฏิกิริยา
ขึ้น

“ มาช้านะ อิชิกิ(Ichigi)...เรโค่ (Raico) ”
ลูเทเซีย กล่าวพลางลดมือที่เท้าคางไว้ลง กับโต๊ะ ขณธที่ เซโร่ เงยหน้า ขึ้นมองสองผู้มาใหม่
(http://image.ohozaa.com/ip/ichigilimited.jpg)

(http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms2008831171248.jpg)

“ อิชิกิ มาเล่นด้วยกันหน่อยสิ ชั้นเบื่อมากเลย เล่นกับลูเทเซีย ไม่เห็นหนุกเลย ”
เซโร่ กล่าวพลางลากกระดานหมากรุค ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ มา

(http://image.ohozaa.com/ix/zerolimited.jpg)

“ เรื่องนั้นไว้ก่อนละกันนะ เซโร่ ตอนนี้เรามีเรื่องที่สำคัญกว่า ”
เด็กหนุ่มที่ ชื่อ อิชิกิ กล่าวพลางเดินเข้ามา ชักเก้าอี้ ออกก่อนจะนั่งลง เช่นกัน กับ เด็กสาว ที่ชื่อ เรโค่

“ แล้ว การเจรจา เป็น ยังไงบ้าง มาเรีย คัดค้านอะไรรึเปล่า ”
ลูเทเซีย กล่าวเสียงเรียบ ขณธที่ ตอนนี้ทุกคน รวมทั้ง เซโร่ ต่างก็เปลี่ยนทีท่า อยู่ในอาการสำรวม
และดูจริงจังขึ้น

“ ไม่เลย..การเจรจาเป็นไปด้วยดี เพราะ มาเรียลูส เองก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่าไม่ช้าหรือเร็ว
 การปะทะ ครั้งใหญ่ก็จะเริ่มขึ้น ”
เรโค่ กล่าวเสียงเรียบ พลางหันไปมอง ลูเทเซีย

“ ตอนนี้ทางฝ่ายนั้น ก็รับเอา วิทยาการที่เราเอาไปส่งแล้วด้วย คาดว่าอีก
ไม่นาน Moblie Gazor  ก็คงจะเสร็จทันก่อนที่ เจ้านั่นจะปรากฏขึ้น ”
อิชิกิ กล่าวพลาง เอาสมุดรายงาน ขึ้นมาเปิดบนโต๊ะ

“ นี่ Moblie Gazor นั่นจะเอาชนะมันได้จริงๆน่ะเหรอ ”
เซโร่ แย้ง ขึ้นมากลางที่ประชุม ทำเอา ทุกคนหันค้อนมามอง

“ ทำไมล่ะ เซโร่ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ ”
ลูเทเซีย กล่าวถามโดย ใช้ภาษาที่เป็นกันเอง อย่างไม่ถือตัวว่า ตนเป็น กษัตริย์

“ อาวุธที่ต่อต้าน เทพเกิดมาเพื่อทำลายสวรรค์ และนำกาลพิบัติมาสู่ห้วงเวลา ชั้นไม่คิดหรอกนะว่า Moblie Gazor
จะเอามันอยู่น่ะ ถ้าคำทำนายเป็นจริง การกระทำของ พวกเราก็แค่เป็นการดิ้นรน
 ให้ยืดชีวิตออกไปได้อีกหน่อยเท่านั้น ”
เซโร่ กล่าวจบลรรยากาศภายในห้องก็เริ่มตึงเครียด

“ Iris ที่ส่งไปให้ โลกอส น่ะ ตกลงว่าจะให้ เฟรเซีย เป็คนขับสินะ แล้วทางเราก็... ”
ลูเทเซีย กล่าวตัดขึ้นมาทำลายความเงียบภายในที่ประชุม

“ Calibur ก็จะให้ สึซาคุ ขับสินะ..แต่ว่ามันจะดีเหรอ คู่ต่อสู้ ของ Iris กับ Calibur น่ะ ”
เรโค่ กล่าวถาม ลูเทเซีย

“ ก็มันช่วยไม่ได้นี่ คนที่จะขับ Calibur ได้เหมาะสมที่สุดก็ขึ้นหมอนั่น ไม่อย่างนั้น เราคงต่อกร กับมันไม่ได้หรอก ”
ลูเทเซีย กล่าวพลางปิดตาลงเพื่อทบทวนสิ่งที่ตนคิดว่าควรแล้วหรือไม่

“ เอวาเกเลี่ยน (Evageline) อาวุธทำลายล้างที่สร้างโดยปีศาจ...ถ้า โซดอม(Zodom) ทำสำเร็จเมื่อไหร่.. ”
ลูเทเซีย เปรยขึ้ยน้ำเสียงหมดหวัง อยู่ลึกๆ

........................
...................................

สวนสาธารณะ ใกล้เขตตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์

“ เรกกะ รอเดี๋ยว กลับมาก่อน ”
R2 ตะโกน พลางวิ่งไล่หลัง เรกกะ ที่หนีเข้ามา ในเขตสวนสาธารณะ
ก่อนที่เค้าจะหยุดวิ่ง จน R2 ตามมาได้ทัน

“ ย..ยอม..แฮ่กๆ..หยุดซะที ”
R2 กล่าวไปหอบไปพลาง  ขณะที่ เรกกะหันกลับมา

“ ตอนนี้ เรื่องที่คุณรู้ว่าผมเป็นใครแต่ก็ไม่ยอมบอก...ช่วยตอบผมที ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้...ทำไมพวกคุณถึงไม่พูดอะไรบ้างเลย ”
เรกกะ กล่าวถามด้วยความน้อยใจ


“ เรกกะ คือว่าที่จริงแล้ว....ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากจะบอกเธอหรอกนะ แต่... ”
R2 กล่าวก่อนจะเงียบไป โดยที่ในใจนั้น กำลังตัดสินใจว่าควรที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ เรกกะ รู้ดีหรือไม่

“ ตอบผมไม่ได้...งั้นสินะ ถ้างั้นผมจะไปถามเอา จาก ลอว์เรนซ์ เองก็ได้ เพราะยังไงซะถ้าเค้าเป็น พ่อผมจริง เค้าก็คงจะยอมบอกทุกอย่างกับผมอยู่แล้ว ”
เรกกะ กล่าว พลางเดิน สวนทาง เธอกลับไป แต่ เธอก็คว้าแขนเค้าไว้ ก่อน

“ ไม่มีทาง ยังไงหมอนั่นก็ไม่มีทางเป็น พ่อของ เรกกะ ได้หรอกคนพรรค์นั้นน่ะ ”
R2 กล่าวทว่า เรกกะ กลับปัดมือของเธอ ออกอย่างไร้เยื้อใย

“ อย่างพวกคุณที่คิดจะใช้ผมให้สู้ แล้วก็สู้ไปโดย ไม่ยอมพูดอะไรบ้างเลยอย่างที่แล้วมาจะให้ผมเชื่องั้นเหรอ ถึงตอน
แรกที่ผมสู้เพราะเลือกที่จะ ช่วยพวก เฟนท์ ก็เถอะ แต่ตอนนี้ นอกจากเหตุผลพวกนั้นแล้ว.. ”
เรกกะ กล่าวออกไปด้วยจิตใจที่สับสนกับ อารมณ์ที่ครุกรุ่น อยู่ภายใน ทำให้เค้าไม่อาจเรียบเรียงคำพูดออกมาได้อยบ่างมีสติ

“ ถ้าจะบอกเชื่อพวกฉันไม่ได้ แล้วทำไม เรกกะ ถึงยอมไปเชื่อคนแปลกหน้าที่
ไหนก็ไม่รู้ที่มาบอกว่าตัวเองเป็นพ่อ ล่ะ  ”
R2 แย้งขึ้นทำให้ เรกกะ ที่นิ่งไปถึงกับ สะอึกไปทันที

“ ต..แต่ว่า เค้าเองก็ดูคล้ายผมมากเลยนะ ”
เรกกะ กล่าวโดยพยายามอ้างเหตุผลขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผล
ที่เค้าทำแบบนี้ได้นอกจากตัวเค้าอารมณ์เสียที่ R2 และ มาธิอัส รู้เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเค้าเอง ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
แต่ทั้งสองคนก็ยังปิดเขาไว้

“ ไม่ได้นะ จะยอมรับกันง่ายๆเลยเหรอ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อหรอกหมอนั่นจะต้องมีแผนแน่ๆ ”
R2 แย้งกลับ แต่ทว่าในตอนนี้ เรกกะ ไม่อาจตัดใจรับฟังคำพูดของ เธอได้ เพราะทิฐิขิองตนในตอนนี้

“ ผมว่า เราอย่าเจอกันอีกเลยจะดีกว่า ... ”
เรกกะ กล่าวเรียบๆ พลางเดิน สวนออกไหป ทิ้งให้ R2 ยืนเจ็บปวดกับคำพูดที่ บาดลึกลงไปในใจ ความสัมพันธ์
นั้นดังถูกคมมีดที่เรียกว่าคำพูด ตัดขาดสะบั้นในบัดนั้น

............................
...............................

ร้านเค้ก Happy Material

“ อ้าวกลับมาแล้วเหรอจ้ะ เรกกะ พี่พึ่งให้ แมกกี้ ออก ไปจ่ายตลาดเอง ”
พี่สาวของ เรกกะ กล่าวขณะที่ เรกกะ เดินเข้ามา

“ เอ่อ..ทำไมพี่ถึงแต่งตัวแบบนั้นล่ะเล่น คอสเพลย์เหรอ ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียง แหยๆ เมื่อเห็นการแต่งตัวของพี่ สาว
ที่แต่งตัวโดยเอาปีก มาประดับไว้ที่หลัง

(http://images.temppic.com/24-03-2009/images_vertis/1237863303_0.05907400.jpg)

“ อ๋อนี่น่ะเหรอ…พอดีเล่นกับ แมกกี้ แล้วพี่ยังไม่ได้เก็บเลยน่ะจ้ะ….ว่าแต่วันนี้
ไปเจออะไรมารึเปล่า ทำหน้าบูดแบบนั้น โชคดีจะไม่มาหานะ ”
พี่สาวกล่าว พลางถอดปีกที่ติดอยู่ออกไปเก็บที่หลังร้าน  ก่อนจะเดินออกมาพร้อม
แก้วน้ำ และกาน้ำชา เธอวางแก้วลงแล้วจึงรินน้ำชาใส่ แก้ว ก่อนจะส่งให้ เรกกะ

“ เอ้าดื่มสิจ้ะ วันนี้แดดร้อนมากๆ ชาจะช่วยให้เย็นขึ้นนะ ”
พี่สาวของเค้ากล่าวขณะที่ เรกกะ รับมาก่อนจะ ยกดื่มอึกๆ หมดแก้วอย่างรวดเร็ว
ด้วยเพราะเค้านั้น ต้องวิ่งหนี R2 อยู่นาน ทำให้รู้สึกคอแห้งเป็นผง

“ แหมค่อยๆดื่มก็ได้ เดี๋ยวก็สำลักหรอก ”
พี่สาวของ เค้ากล่าว พลางเติมน้ำลงไปในแก้วอีกครั้ง

“ คือ…พี่ครับ เรื่องสมัยก่อนของผมน่ะ… ”
เรกกะ กล่าวเสียงอ่อย ขณะที่ เอามือทั้งสองข้างประคบกับ แก้วน้ำที่เกาะอยู่ข้างแก้ว
ช่วยทำให้มือเย็นลงไปจนถึงจิตใจ ซึ่งในตอนนี้ เค้ากำลังพยายามจะปรับอารมณ์ของตน

“ ทำไมจู่ๆ..ถึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะจ้ะ…มีอะไรไม่สบายหรือเปล่า ทะเลาะกับเพื่อนมาเหรอ ”
พี่สาวของเค้า ถามเมื่อเห็นสีหน้าที่ ห่อเหี่ยวของ เรกกะ ก่อนที่ เค้าจะถอนหายใจ
ออก และเริ่มอธิบาย

“ พี่ครับ..ทำไมทั้งที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆแต่กลับมีเรื่องปิดบังกันไว้ ทำให้ไม่ไว้ใจกันระแวงกันเอง..แบนี้แล้วทำไมถึงยังต้องปิดบังกันอีกทั้งที่มันรังแต่จะทำให้ เจ็บปวดเปล่าๆ ”
เรกกะ กล่าวเสียงเซื่องซึม ด้วยความสับสนที่มีอยู่เต็มอก
พี่สาวของเค้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เอามือลูบหัวน้องชาย ของตนอย่างเอ็นดู

“ แล้ว เรกกะ คิดว่า ถ้าต่างคนต่างก็รู้เรื่องของอีกคนหมดทุกเรื่อง มันจะไม่ทำให้เจ็บปวดบ้างเหรอ ”
พี่สาวกล่าวเสียงเรียบ ขณะที่ เรกกะ คอยตั้งใจฟังสิ่งที่พี่ของเค้าพยายามจะสื่อ

“ ถ้าเป็นเรื่องที่อยากปิดบัง ก็แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องที่จะทำให้เจ็บช้ำ จนอาจมองหน้าไม่ติดกันอีกก็เป็นได้…เพราะยังงั้นเค้าถึงไม่อยากให้เรารู้…ถ้าลองคิดแบบนี้ดู เรกกะ ก็น่าจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไม
เพื่อนถึงต้องปิดบังกัน…ถึงจะมีเรื่องที่ไม่สามารถบอกกันได้ แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป
หรือ หายไปสักหน่อย และเมื่อถึงเวลาที่เค้าพร้อมจะบอก เราก็ควรจะรับฟังและยอมรับฟังในเหตุผลของเค้าด้วย ”

พี่สาวของ เค้ากล่าวพลางก้มลงหลังตู้กระจก และ หยิบเอาเค้กขึ้นมา สองชิ้น จัดใส่จานแล้ววางบน
โต๊ะ ที่เรกกะ นั่งอยู่

“ อย่างเค้กสองชิ้นนี้ ไส้ข้างในเป็นคนละไส้กัน แต่ว่ามันก็มาจากเค้กชิ้นเดียวกัน…แม้ภายในจะเก็บงำเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ แต่ถึงรู้ว่าต่างกันก็ยังรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้..เมื่อผ่าออกมาดูนั่นก็คือ เวลาที่เราควรจะต้องยอมรับและเชื่อใจซึ่งกันและกัน ”
พี่สาวของ เค้ากล่าว พลางเอาส้อม ผ่าชิ้นเค้กทั้งสอง ที่กลางชั้นของ เค้กทั้งสองชิ้นที่ตัมาจากชิ้นใหญ่นั้น
เป็นคนไส้ กัน

“ เข้าใจแล้วครับ…ถึงจะมีบางเรื่องที่บอกกันไม่ได้ แต่ถึงยังงั้นเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันได้ ”
เรกกะ กล่าวด้วยความเข้าใจ ตอนนี้เค้าทำใจที่จะยอมรับว่าตัวเค้าเองที่ผิด ที่ไปลง
กับ R2 และคนอื่นๆ ด้วยความริษยาที่ผุดขึ้นชั่วขณะ จากการที่เห็นคนอื่นรู้เรื่องของตนดีไปหมด
ในขณะที่ตัวเค้า ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย

“ งั้นผมไปก่อนนะครับ ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะลุกจากโต๊ะ แล้วเดินออกจากร้านไปอย่างรีบเร่งทันที

“ แล้วทำไงกับเค้กดีล่ะ นึกว่าจะกินก่อนออกไปซะอีก… ”
พี่สาวเปรยขึ้นด้วยความเสียดาย ทว่า ประตูร้านก็ถูกผลักออก พร้อมกับที่ลูกมังกร แมกกี้
บินเข้าพร้อมหอบถุงใส่ของ เข้ามาหอบใหญ่

“ อ้ะมาพอดีเลย..มากินเค้ก ด้วยกันสิ แมกกี้ ”
พี่สาวกล่าว ก่อนที่เจ้าลูกมังกร จะรีบวางของลงแล้ว บินไปนั่งที่
โต๊ะทันที ก่อนจะเริ่มกินเค้กอย่าง เอร็ดอร่อย

………………………….
………………………………….




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga 09จงหลั่งน้ำตาให้วิถีลูกผู้ชาย
Post by: greamon on March 24, 2009, 01:45:07 PM
“ เฮ้อ…วันนี้อุตส่าชวน เฟรเซีย แอบหนีออกมา เที่ยวนอกวังบ้างแท้ๆ แต่ช่วยไม่ได้นี่เนอะ ก็ต้องไปลองเครื่องใหม่นี่ ”
เจ้าหญิง มาเรียลูส ทรงเปรยขึ้นด้วยความท้อพระทัย และวันนี้ เจ้าหญิงก็ทรงออก มาเที่ยวข้างนอกโดยการปกปิดตนเองอีกเช่นเคย เจ้าหญิง ทรงเดินไปตามทางที่ตัดในสวนสาธารณะ ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเดินไปชน ใครเข้าโดยบังเอิญ

“ ว้าย..ข..ขอโทษด้วยค่ะฉันเดินไม่ระวังเอง ”
“ ม..ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็รีบเกินไปเลยไม่ทันหลบคุณ ”
เสียงกล่าวขออภัยของทั้งสองฝ่ายดังสลับกันไป ก่อนที่ทั้งสอง จะมองหน้าซึ่งกันและกัน

“ อ้ะเธอ…คนที่เจอที่ท่าเรือนี่ เรกกะ ใช่ไหม ”
“ อ้ะคุณ ที่ท่าเรือตอนนั้น คุณมาเรีย ”
ทั้งสองอุทาน ซึ่งกันและกัน ที่มาเจอกันโดยบังเอิญ ทว่า เรกกะ นั้นยังไม่รู้
ว่าเธอคือ เจ้าหญิง มาเรียลูส เพราะ เมื่อครั้งก่อน เจ้าหญิงทรงปกปิดฐานะเอาไว้


“ หลังจากเหตุที่ท่าเรือนั่น ฉันก็ไม่เจอเธออีกเลย ยังนึกไปว่าตัวเองฝันไปแน่ะ ”
มาเรีย กล่าวพลางขยับหมวกปีกกว้าง ที่สวมอยู่เพื่อให้บังหน้าของเธอ ให้มองเห็นไม่ชัดจะได้ไม่มีใครจับได้ว่าเธอคือ เจ้าหญิง

“ อ..เอ่อ คือว่าผมเองตอนนั้นก็ ”
เรกกะ กล่าวโดยพยายามหาเหตุผลอื่นมาอธิบาย เรื่องในวันนั้นที่เค้า แปลงเป็น ทาลูคัส ครั้งแรก
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรกันต่อ  ก็เกิดแผ่นดินไหว ขึ้นอย่างรุนแรง ทำเอาทุกคนในระแวกนั้น ล้มกลิ้งระเนระนาด

อาคารบ้านเรือนบางหลังถึงกับถล่มลง เรกกะ กับ มาเรีย ทั้งกอดต่างยึดกอดร่างของ อีกฝ่ายไว้ซึ่งกันและกันเพื่อ
ไม่ให้ กระเด็นไปตามแรงสะเทือน จนในที่สุดเมื่อ แผ่นดินหยุดไหวตัว พื้นถนน ก็เกิดระเบิดขึ้นก่อนที่

ต้นเหตุของเรื่องจะโผล่ขึ้นมา จากรูขนาดใหญ่ที่พื้นซึ่งระเบิดไปเมื่อครู่ มังกรเกล็ดสีน้ำตาล ลำตัวยาวได้
โผล่หัวของมันพ้นขึ้นมาบนพื้นถนน และคำรมอย่างกึกก้อง ผู้คนเริ่มแตกตื่นและวิ่งหนีกันจ้าระหวั่น
ทว่า ไม่ทันไรก็มีอีกตัวโผล่ขึ้นมาจากพื้น  ดักหน้า ฝูงชนก่อนจะขย้ำ ฝูงชนบางส่วน ไป

“ นี่มันเกิดอะไรขึ้น…พวกมันมาจากไหน ”
มาเรีย รู้สึกใจหายไปทันที หลังจากที่กล่าวจบ  ไม่นานมันก็โผล่พ้นดินขึ้นมา มังกรนั่นมิได้มีสองตัวอย่างที่เข้าใจหากแต่ มันเป็นตัวเดียวกันแต่มีสองหัว หัวทั้งสองของมันส่ายฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว

ขณะ ที่ส่ายไปขากรรไกรอันคมกริบของมัน ก็กัดแทะสิ่งรอบไปด้วย  ร่างของมันทันที ที่พ้นขึ้นมาบนถนน
ก็เกิด พายุทรายพัด กระหน่ำในทันที  มันคือมังกรแห่งความสะพรึง ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายผู้คนเชื่อกันว่า
มันคือต้นเหตุแห่งพายุทราย เอซซาไลซ (Essalisse, the Dread Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/16.jpg)

“ นี่มัน มังกรที่คลุ้มคลั่งเพราะคลื่น รบกวนของมังกรยักษ์ในตอนนั้นเหรอ ”
เรกกะ คิดพลางเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง เพื่อที่จะหยิบเอาเข็มตลับไพ่ออกมาตามความเคยชิน

“ จริงสิ เราเอา ดราก้อนเบรส (Dragon Brace) กับตลับโซลการ์ด คืนให้ไปแล้วนี่ ”
เรกกะ คิดตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะใช้ต่อกรกับมันได้เลย และเมื่อพายุทรายใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว
เรกกะ จึงจูงมือเธอแล้วพากันหนี ออกจากสวนสาธารณะ ก่อนที่พายุทรายจะกลืนสวน ทั้งสวนเข้าไป

…………………..
…………………………

โรงเก็บอาวุธ รบที่ 42 โลกอส

ภายในโกดังขนาดใหญ่ ที่มี หุ่นรบ Gazor แมนเทริก้าดราก้อน จำนวน สี่ถึงห้าเครื่องเก็บซ่อมบำรุงอยู่
นอกจากนี้มีอยู่สองตัวที่กำลังทำการปรับปรุงและเติมพลังงาน  มันเป็นหุ่นรบที่มี ขนาดแค่ครึ่งเดียวของ
Gazor ทั่วๆไป มันมีคานสองอันยื่นออกมาตรงไหล่ทั้งสองข้าง ส่วนหัวของมันกลมเกลียวเรียบ
ยืนด้วยสี่ขาและแต่ล่ะขานั้นเป็นทรงเรียวแหลมคล้ายแมงมุม

“ เข้าใจแล้วจะเอา Iris ออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ”
เฟรเซีย ที่อยู่ในชุดนักบิน กล่าวกับ นายทหารที่เข้ามารายงาน สภาพภายในโกดังตอนนี้ วุ่นวายและสับสน
ทุกคนต่างเร่งรีบทำงานของตนอย่างเร็วที่สุด เพราะประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินเมื่อครู่

“ การปรับแต่ง Iris ตอนนี้แค่เกือบสมบรูณ์เท่านั้น ระบบควบคุม P2 ยังไม่สมบูรณ์เยทำให้
แค่เคลื่อนไหวแบบง่ายๆเท่านั้น ”
นายช่างเทคนิค ที่นั่งอยู่หน้าจอตรงระเบียง ที่ยื่นออกไป หันมาตะโกนกับ เธอขณะที่กำลังเตรียมตัวขึ้นไปบน
Gazor ที่พึ่งปรับแต่งเสร็จ

“ แค่นั้นก็พอแล้ว ”
เฟรเซีย กล่าวปัดพลางปีนเข้าไปใน ห้องบังคับ

“ เริ่มเดินระบบ Moblie Gazor ถอดตัวยึดออก เริ่มเดินระบบพลังงานหลัก เดินระบบ ควบคุม P2 ”
เฟรเซีย กล่าวใส่ลงไปในลำโพงของห้องคนขับ ก่อนที่ สะพานยึดเกาะกับตัวหุ่นจะปลดออก
พร้อมเปิดประตูโกดัง 

“ เดินระบบปฏิบัติการ ”
เฟรเซีย กล่าวจบหน้าจอเล็กๆบน แผงควบคุมก็ ขึ้นตัวอักษรขึ้นมาว่า

General System
Unit Twin Drive
Navigator System-On
Device Link - Ok
Ampare Power
Moblie Gazor XII Iris Omicon-O Mode

ทันทีที่ตัวอักษรไล่จนสุดแล้ว หน้าจอรอบผนังห้องบังคับ ก็ฉายภาพภายนอกออกมา

“  เฟรเซีย โคโรโรว่า Moblie Gazor Iris Omicon – O และ P2 ออกตัว ”
สิ้นคำของ เฟรเซีย หุ่นรบทั้งสองตัวก็ออก ตัวทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้าด้วยไอพ่น

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n018/99.jpg)

………………..
………………………….

“ หือ…นั่นมัน ”
ลอว์เรนซ์ เปรยขึ้นขณะที่ เดินผ่านไปยังละแวก ใกล้ๆที่เกิดเหตุ การจู่โจมของ มังกร เอซซาไลซ
เมื่อเห็นฝูงคนจำนวนมาก พากันแห่หนีอย่างไม่คิดชีวิต และเมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 Gazor แมนเทริก้าดราก้อนหลายตัว บินมุ่งตรงไปยังทิศที่เกิดเหตุ
เห็นดังนั้น ลอว์เรนซ์ ก็ไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจาก วิ่งฝ่า ฝูงชนเพื่อไปยังที่เกิดเหตุทันที

“ จะไปไหนน่ะ ลอว์เรนซ์ รอด้วยซี่ ”
ยูปี้ มังกรภูตของ เขาตะโกน พลางบินหลบผู้คน ไปมาเพื่อตาม ลอว์เรนซ์ ไป

“ เจ้าบ้า…รีบมาเร็ว เกิดเรื่องแล้ว ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ก็เอื้อมมือไปคว้าเอาตัว ยูปี้ มากอดไว้แล้วพาวิ่ง ฝ่าออกไป

………………..
………………………..

ไม่ไกลจาก ที่เกิดเหตุอีกแห่งนั้นเอง R2 กำลังวิ่งตรงไปยังสวนสาธารณะ ที่ถูกกลนด้วยพายุทรายนั้น

“ ทำการเชื่อมต่อ ดราก้อนฮอลลี่ ”
สิ้นเสียง ของ R2 เข็ดขัที่ ฝังศิลามังกร ไว้ ก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่เธอจะกด คันชักด้านข้างหัวเข็มลงไป
และปล่อยมือ ออก

“ แปลงร่าง ”
สิ้นคำ ก็เกิดเส้นลำแสงพุ่งออกมาจาก ศิลาในหัวเข็มขัด และวาดกรอบร่างขึ้นในอากาศ จนกลายเป็น
กรอบเงาของ อัศวินมังกรทาลิเลีย ก่อนที่จะดึงเอากรอบนั้นเข้ามาซ้อนทับกับร่าง
และเปลี่ยนให้ตัวเธอกลายเป็น ทาลิเลีย ก่อนที่จะทะยาน ขึ้นไป

………………..
……………………

“ ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว..เตรียมการเคลียร์ พื้นที่ ”
เฟรเซีย ติดต่อเข้าไปยัง Gazor แมนเทริก้าดราก้อนทุกเครื่องให้เตรียมรวมพล เพื่อลงไป
ยังพื้นที่ใกล้ๆ เพราะพายุทรายรุนแรงมากจนทำให้ บินเข้าไปไม่ได้

“ มีมังกรตัวหนึ่งกำลังมาทางนี้ครับ มันตัวใหญ่มาก…อ๊าคคคคค…ซ่าาา ”
เสียงติดต่อเข้ามา จากเครื่องอื่นดังขึ้นจาก วิทยุในห้องบังคับของ Iris

“ หมายเลข 7 เป็นอะไรไปหมายเลข 7 ”
เธอเรียก กลับไปแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่นานนัก สัญญาณเครื่องที่แสดงบนจอเรดาห์ ในห้องบังคับ
ก็ค่อยๆหายไปทีละจุดๆ จนในที่สุดเหลือเพียงเครื่องของเธอกับทหาร ที่อยู่กับเธออีกสองนาย

“ นี่มันอะไรกันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ”
เฟรเซีย สบถได้ไม่ทันไร สาเหตุที่เธอกำลังถามถึงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
มันเป็นมังกร ที่มีปีกคล้ายกับขอนไม้และมีรากพืชพันแข้งพันขา อยู่รอบ ขนาดของมันใหญ่โต
จนน่าตกใจ มันใหญ่ยิ่งกว่า Gazor ได้ถึงสามเท่า

“ อัลทาวาริย่า(Altavariya, the Custodian Dragon) มังกรที่ถูกเลี้ยงดูโดยเทพบารามัน แต่ว่ามันไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้นี่
ถิ่นถานเดิมของมันคือ ฟูดินัน ในเมอริเซีย ที่ล่มสลายไปแล้วนี่นา ”
เฟรเซีย คิดเมื่อได้เห็นร่างของ อัลทาวาริย่า มังกรที่ถูกเลี้ยงโดย ดูโดยองค์เทพบารามัน เมื่อครั้นสมัยอดีตกาล
ที่ ฟูดินัน มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและจะกินแต่ พืชและรากไม้เท่านั้น เฟรเซีย ที่เป็นลูกหลานชาว ฟูดินัน
ย่อมรู้จักเป็นอย่างดี ทว่าเธอเองก็แปลกใจไม่น้อย ที่มันมาอยู่ต่อหน้า

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/13.jpg)

“ จะทำยังไงดีครับ หัวหน้าจะให้ยิง…อ๊าคคค ”
ยังไม่ทันที่ทหารทั้งสองจะสอบถามจบ ด้วยซ้ำ อัลทาวาริย่า ก็กระหน่ำปีกทั้งสองของมันขยี้ ใส่
Gazor แมนเทริก้าดราก้อน จนจมดินไป แหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี

“ ท..ทำไมกันปกติ อัลทาวาริย่า รักสงบนี่และจะไม่ทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล แล้วทำไมกัน ”
เฟรเซ๊ย คิด ทว่าเธอก็ต้อง เลิกไป เพรา อัลทาวาริย่า ได้กระแทก ปีกของ มันลงมา ซึ่งเธอก็
บังคับ โอมิคร่อนโอ(Omicron - O) ซึ่งเป็น Moblie Gazor ของเธอทั้งสองเครื่องหลบได้อย่างหวุดหวิด

ก่อนจะระดมยิง พร้อมกันทั้งสองเครื่อง ทว่าลำแสง ก็ไม่อาจเจาะเกล็ด ของ อัลทาวาริย่า ไปได้
และเธอก็ต้อง บังคับให้ ทั้งสอง เครื่อง หลบการโจมตีของ มันอย่างสุดกำลังอีกครั้ง เมื่อมันโจมตีมาอีก

“ คลั่งแบบ นี้เอาไม่อยู่แน่..แถมระบบ ควบคุม เครื่อง P2 เองก็สะดวกมากด้วย..ช่วยไม่ได้ประกอบร่างเลยแล้วกัน ”
เฟรเซีย สบถพลางควบคุมคันบังคับ ให้ถอยฉากออกมาจาก อัลทาวาริย่า โดยอาศัย ความเชื่องช้าของมัน
ประวิงเวลาเอาไว้ ขณะที่ไล่ กดปุ่นดันคันโยก ต่างๆของเครื่อง

“ Iris เดินระบบประกอบร่างเปลี่ยนจาก  Gazor Armor เป็น Gazor เดี๋ยวนี้ ”
สิ้นคำ ของ เฟรเซีย โอมิคร่อนโอ อีกเครื่องที่ควบคุมด้วยระบบ คอมฯ ก็เข้ามาหาเครื่องของเธอ
ก่อนที่ทั้งสองเครื่อง จะแยกส่วนออกและประกอบเข้าด้วยกัน เป็น ไซเบอร์ทิก้าวิงค์(Cybertica Wings)
ที่มี คานปีกอีกสองอัน ของ โอมิคร่อนโอ ติดประกอบหลังมาด้วย

พร้อมกันหน้าจอที่เคยแสดงรายละเอียดตอนเดินเครื่อง ก็เปลี่ยนข้อมูลใหม่ไปด้วย

General System
Unit Only Drive
Navigator System-On
Device all Green
Ampare Power
Moblie Gazor XII Iris Cybertica Wing Mode

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/66.jpg)

ทันทีที่ รายละเอียด ขึ้นจอครบถ้วนทั้งหมด ดวงตาของ Iris ก็ส่องแสงวาบออกมา
ราวกับมีชีวิต ก่อนจะชักเอาใบมีดปีกล่างที่เหน็บไว้ ออกมา และเข้าประจัญบาน

กับ อัลทาวาริย่า ซึ่งความเร็วในการเคลื่อนไหวและการจู่โจมนั้น รวดเร็วผิดกับ
Gilgamaze เครื่องก่อนของเธอ ลิบลับ

“ สุดยอดเลย หาความคาดเคลื่อนในการเชื่อมต่อสั่งการไม่ได้เลย
 ยังกับว่า Gazor มีชีวิตขึ้นมายังไงยังงั้น…ดีล่ะ ”
เฟรเซีย อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจกับความสามารถของ เครื่อง ก่อนที่เธอจะรุกใส่เต็มที่

โดยฟันใบมีดลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง และเคลื่อนหลบการโต้กลับของ อัลทาวาริย่า ได้
อย่าง ง่ายดาย ก่อนที่ จะบังคับ Iris ให้ถอย ออกมาพร้อมกับเก็บใบมีดทั้งสอง ข้างก่อนจะชักเอา

คานปีกของ โอมิคร่อนโอ ที่ติดมา ออกมาโดยจับที่ด้ามจับตรงกลาง ทันทีที่ กดสวิตซ์
ที่ด้ามจับ คานปีกทั้งสองอันก็ส่องแสงขึ้น ก่อนที่ จะเหวี่ยงมันออกไปเหมือนบูมเมอแรง

ทั้งสองอัน คานปีกทั้งสองที่เหวี่ยวออกไป พุ่งถลาเข้าไปตัดปีก ทั้งสองข้างของ อัลทาวาริย่า
ที่ใช้ป้องกันจนขาดสะบั้น แสดงถึงความคมของ คานปีกทั้งสอง ก่อนที่เฟรเซีย

จะขับ Iris พุ่งเข้าไปชนจน มันล้มสลบไปในที่สุด พร้อมกับ เก็บ คานปีกทั้งสองอันที่ วกกลับมา
อีกครั้ง

“ สุดยอดเลย..นี่น่ะเหรอพลังของ Iris น่ะ ”
เฟรเซีย กล่าวด้วยความลิงโลด ในศักยภาพของ Gazor ตัวใหม่ที่เธอมานี้
ก่อนจะเหลือบไปมอง หน้าปัดพลังงาน และต้องตาค้างเมื่อ แถบสีที่แสดงจำนวนพลังงาน
นั้น ลดจนเกือบหมด

“ ตายล่ะ พลังงานเหลือแค่นี้ก็ไปต่อไม่ได้น่ะสิ ไหงเปลืองพลังงานแบบนี้ล่ะ หรือเพราะรวมร่าง
เลยต้องเปลืองพลังงาน เพิ่มเป็นสองเท่า ..อ๊า อย่าหมดนะ ”
เฟรเซีย บ่นพลางทุบหน้าปัด เป็นการใหญ่ ขณะที่ แถบสีกำลังจะลดลงจนหมด และทันทีที่ แถบสีลดลงหมด
สีร่างของ Iris ก็ซีดจางไปด้วย

“ แล้วจะทำไงดีล่ะทีนี้…ดูเหมือนว่ายังพอเดินได้อยู่ ที่หมดไปนี่คงพลังงานอาวุธสินะ กับ
 ไอพ่นสินะแต่จะเอาไงดีล่ะ ขืนเดินดุ่มเข้าไปทั้งอย่างนี้ ล่ะก็ ”
เฟรเซีย คิดตัดสินใจ ไม่ถูกกับสถานการณ์ในตอนนี้

………………….
…………………………..

ขณะเดียวกัน ทาลิเลีย ก็ได้บิน ฝ่าพายุทรายเข้าไปเพื่อหาต้นตอ ของเหตุการณ์ นี้
ไม่ทันไร เธอก็เห็น เรกกะ กับ มาเรีย ที่กำลัง เดินฝ่าอยู่ในพายุ ไกลออกไป

เธอรีบบินเข้าไปหาทันที ทว่าแรงลมก็แรงเกินกว่าที่เธอจะบินต้านไปไหว
จึงต้องลงเดินเท้า ไปอย่างช้าๆแทน
 
………….

“ อดทน หน่อยนะครับอีกไม่นานเราคงจะหลุด ออกไปได้แล้ว ”
เรกกะ กล่าวให้กำลังใจกับ มาเรีย ที่เริ่มล้า แต่ไม่ว่าพวกเค้าจะพยายาม อย่างไรก็
ไม่สามารถพ้นออกจากอาณาเขต พายุทรายนี้ได้ เพราะ วงกว้างของ พายุทรายได้ขยาย
ออกไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“ ทาลิคนัส…ทาลูคัส ทาโซรอส ใครก็ได้ตอบที ตอนนี้ชั้นต้องการพวกนายนะ ”
เรกกะ กล่าวอยู่ภายในใจ เพื่อจะขอความช่วยเหลือ จากบุคลิก ทั้งหลาย
ทว่า ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่น้อย

“ แล้วกัน เพราะไม่มี ดราก้อนเบรส ก็เลยสื่อสารกันไม่ได้เหรอ  ”
เรกกะ คิด ขณะที่พยุง มาเรีย เดินฝ่า กระแสลมไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ไม่มี อะไร จะช่วยพวกเขาได้เลย มีเพียงแต่ต้องฝ่า พายุทะเลทรายนี้ออกไปด้วยกำลังของ ตนเอง

จนแล้วจนรอดไม่นาน มาเรีย ก็หมดแรงล้มลงในที่สุด เรกกะ จึงต้องประคองตัวเธอเข้าไปหลบลม
ทราย ที่มุมตึก แห่งหนึ่ง ซึ่งก็ยังคงมีทรายที่ถูกพัดมา สุมเรื่อยๆ แต่ความแรงลมก็ถูกตัวตึกบังเอาไว้

“ เรกกะ.. ”
เสียงเรียกชื่อเค้า แว่วมากับสายลม ในทีแรกเค้านึกว่าตนหูฝาดไปเอง ทว่าไม่นาน
เสียงเรียกชื่อของ เค้าก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ ทาลิเลีย ซึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยทราย
เพราะเดินฝ่ามาจนถึงนี่จะปรากฏตัวขึ้น

“ R2 ”
เรกกะ กล่าวด้วยความยินดี ที่ได้พบเธออีกครั้ง

“ คือว่า เรื่องที่ผมพูไปตอนนั้น…ผมขอโทษนะครับ ”
เรกกะ กล่าวพลางก้มหัวขอโทษ ทำให้ R2 รู้สึกแปลกใจจนพูดไม่ออก

“ ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะผมใช้อารมณ์ เป็นใหญ่เลยไม่ทันได้คิด เพราะผมเอาแต่คิดถึงตัวเอง
ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ยกโทษให้ผมด้วยเถอะนะครับ ”
เรกกะ กล่าวขอร้องออกมาจากหัวใจ พลางสบตา ของเธอไปด้วย

“ อะไรกัน เรกกะ ไม่เห็นต้องมาขอโทษ เลยฉันซะอีกที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ..เพราะพอมาคิดดูดีๆแล้ว
การที่อยู่ๆก็ลากตัว เรกกะ มาแล้วก็บังคับให้สู้แล้วสู้ โดยที่ไม่ถามความเห็นหรือบอก

เหตุผลอะไรให้เรกกะเลยน่ะ มันไม่ยุติธรรมเลย แต่ว่าจากนี้ไปฉันจะ
เล่าให้ฟังเท่าที่จะเล่าได้เลย ขอร้องล่ะ เรกกะ กลับมาสู้ร่วมกับฉันอีกทีได้ไหม ”

R2 กล่าวขอร้องกลับ พลางยื่น สายคาด ดราก้อน เบรสกับเข็มขัดตลับไพ่ที่ใส่ โซลการ์ด

“ ไม่จำเป็นหรอก…จะเล่าให้ฟังเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าพร้อมแล้ว ผมก็จะรับฟังเองเชื่อสิ..เพราะยังไงเราก็เพื่อน
กันนี่..เนอะ ”
เรกกะ กล่าวพลางรับ เอาอุปกรณ์ มาจาก เธอ ซึ่ง R2 ในร่างทาลิเลีย ก็รับคำด้วยความยินดี
ที่ เรกกะ ยอมที่จะช่วยเธออีกครั้ง

“ ส่วนคุณ มาเรีย คงจะทิ้งเอาไว้ที่นี่ไม่ได้แน่ ถ้ายังไงคุณ R2 ช่วยพาเค้าไปส่ง ที่ปลอดภัยที ส่วนที่นี่ผมจะจัดการเอง ”
 เรกกะ กล่าวขณะที่ คาดเข็มขัด ตลับไพ่เข้ากับเอว

“ อื้ม..แล้วฉันจะรีบมานะ ”
ทาลิเลีย กล่าวจบก็ อุ้มร่างของ มาเรีย และออกบินไปเพื่อพาเธอไปส่งในที่ปลอดภัย
ก่อนที่ เรกกะ จะคาดดราก้อนเบรส ลงไป ที่ข้อมือ ซ้ายโดยให้หน้าปัด ตรงกับรอยแผลเป็นเดิม

ทันทีที่ คล้องสายคาดเสร็จ เข็ม ที่ด้านหลัง หน้าปัดก็แทงทะลุแผลเก่าลงไปอีกครั้ง
จน เรกกะ ต้องกัดฟันฝืนเจ็บเอาไว้

“ พร้อมไหม ทาลิคนัส ”
เรกกะ กล่าวขึ้น ขณะที่ เปิดตลับไพ่ออกและหยิบเอาไพ่ออกมาใบหนึ่ง ตัวเลขบนหน้าจอตลับ ก็ลดลงเหลือ86
ในทันที

“ พร้อมจนไม่รู้จะพร้อมยังไงอยู่แล้ว มาเลย เรกกะ ”
สิ้นเสียงของ ทาลิคนัส ดวงตาซ้าย ของ เรกกะ ก็ส่องแสงสีแดง
ขึ้นก่อนที่เค้าจะนำไพ่ไปส่อง กับดวงตาและปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งไฟขึ้นมา

“ Blaze Form ” “ Regeneration ”
เสียงดังขึ้นซ้อนกันทันทีที่ เรกกะ นำไพ่วางบนหน้าปัดแล้วทุบมันลง ก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว ”
ทาลิคนัส กล่าวประโยคประจำตัว พลางวาดมือ ออกเพื่อวางท่า ก่อนจะบิน ขึ้นไปท่ามกลางพายุทราย
มุ่งตรงไปที่ใจกลาง ของการเกิด พายุทรายอันไร้ขอบเขตนี้ ทันที่ฝ่าไปจนถึงใจกลาง เอซซาไลซ
ซึ่งกำลัง อาละวาด อยู่ใจกลาง พายุทรายนี้

“ ได้เวลา ไคลแมกซ์แล้ว ฮ่าๆ ”
ทาลิคนัส กล่าวอย่าง ลิงโลด ขณะพุ่งถลาลงไป กระหน่ำฟันไม่ยั้งด้วยดาบเพลิง ใส่ต้นคอ เอซซาไลซ
จนหัวหนึ่งของ มันขาดสะบั้นไป ไม่นาน พายุทรายจึงสงบลง ก่อนที่ เอซาไลซ จะงอกหัว

ของมันขึ้นมาใหม่จาก ส่วนที่ขาด ซึ่งมีทรายไหลออกมาแทน เลือด โดยการดูดทรายเข้าไปที่ใต้ฐานของมัน
และซากหัวเก่าของ มันได้สลายกลายเป็นทรายไป



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga 09จงหลั่งน้ำตาให้วิถีลูกผู้ชาย
Post by: greamon on March 24, 2009, 01:45:18 PM
“ โอ้โฮเหะ นี่แกมังกรหรือจิ้งจกเนี่ย งอกใหม่เฉยเลย ”
ทาลิคนัส บ่นอุบอิบด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเข้าไปฟันใส่แบบ ไม่ยั้งเต็มที่ เพราะไม่มี พายุทรายมา
ต้านแรงบินอีกแล้ว และครั้งนี้ดาบเพลิง สามารถ บั่นคอของ เอซซาไลซ

ทั้งสองข้างลงพร้อมกันได้สำเร็จ ทว่าไม่ทันไร มันก็งอกขึ้นมาใหม่ โดยการดูดทรายเข้ามา
ด้วยการที่มีทรายอยู่มากมาย นี้ ทำให้มันสามารถคืนชีพได้เรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด

“ โอย ฟันเท่าไหร่ ก็ไม่ตายซักที ”
ทาลิคนัส เปรยด้วยความอ่อนล้า หลังจากที่ออก ท่ามากเกินไป

“ งั้นให้ข้าจัดการเองละกัน ”
เสียงของ ทาโซรอส ดังขึ้นก่อนที่ ทาลิคนัส จะกลับคืนร่างเดิมเป็น เรกกะ ไปแบบไม่ต้องรอ
พร้อมดวงตาซ้ายเปลี่ยนเป็นสีเหลือง  ก่อนที่จะหยิบ ไพ่ออกมาและทำการแปลงร่าง
ซึ่งไพ่ก็ลดจำนวนลง ไปอีกจนเหลือ 85 ใบ

“ Quake Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นสียง  เรกกะ ก็เปลี่ยนเป็นทาโซรอส ในที่สุด  ก่อนะจเสกมวลแสงขึ้นมาและเปลี่ยนมันเป็นดาบกับโล่
ประจำตัว

“ ความแข็งแกร่งของข้า แม้แต่เด็กยังต้องร่ำไห้ ”
ทาโซรอส กล่าวก่อนจะใช้อำนาจยกพื้น ดินให้ทะลวงใส่ร่างของ เอซซาไลซ
จนเป็นรูโหว่ ทว่าเอซซาไลท์ ก็สามารถ ฟื้นคืส่วนที่เสียหายไปด้วยการดูด ทรายกลับมาสร้างร่างใหม่

“ ไม่ไหวจริงๆหรือเนี่ย ”
ทาโซรอส เปรยขึ้นด้วยความผิดหวัง

“ งั้นเราจะจัดการเอง ”
ไม่ทันไร ทาลูคัส ก็เข้าควบคุมร่าง ก่อนจะคืนร่างกลับเป็น เรกกะ พร้อมดวงตาซ้ายเปลี่ยนเป็นสีขาว

“ Luminar Form ” “ Regeneration ”
สิ้นเสียง เรกกะ ก็เปลียนร่างเป็นทาลูคัส พร้อมกับไพ่ที่ลดลงไปอีกใบ จนเหลือเพียง 84 ใบ

“ องค์ชายเสด็จแล้ว จงดูการร่ายรำอันสง่างามของเราเสีย…ไม่ขอฟังคำตอบใดๆทั้งนั้นเพราะนี่คือ ประกาศิต ”
ทาลูคัส กล่าวพลางรวมมวลแสง สร้างดาบ Lux et Dragos ขึ้น ก่อนเขาไปร่ายดาบเป็นชุดกระบรวน
ใส่ ทว่าก็เช่นทุกครั้งไป ไม่ว่าฟันไปเท่าไหร่ เอซซาไลซ ก็สามารถคืนชีพขึ้นใหม่ได้

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียง มังกรพลังงาน ที่มีหอกเป็นแกนพลังงาน
ก็พุ่งลงมาทะรวงร่างของ เอซาไลซ จนแตกกระเจิงเป็นทรายไป ทว่ามันก็ยังรวมตัวกลับ
มาได้เหมือนเดิม

“ เจ้านี่ท่าจะตึงมือเราจริงๆ แหะ ”
ทาลิเลีย กล่าว พลางถอนหอก ที่ขว้างมา ออกจากพื้น

“ ให้ช่วยมั้ย ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ ทั้งสองจะหันกลับไป ลอว์เรนซ์ ที่สภาพสะบักสะบอม
และโทรมสุดๆ เสื้อผ้าเปื้อนเปรอะไปด้วยทราย กำลังเดินโซซัด โซเซ
เข้ามา

“ เจ้า ยาจกคนนี้เป็นใครกัน ”
ทาลูคัส กล่าวติติง ใส่

“ เมื่อกี้แกว่า ใครเป็นยาจก ห๊า ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางควงกำปั้นจะเข้าไปซัด ทลูคัส แต่ ก็ถูก ยูปี้ ที่บินตามมาที หลังดึงคอเสื้อไว้

“ จ..ใจเย็นน่า ลอว์เรนซ์  ”
ยูปี้ กล่าวพลางออกแรงยื้อ กับ ลอว์เรนซ์ ที่ขึ้นเต็มที่ กับการดูถูก จาก ทาลูคัส

“ นี่นายฝ่าเข้ามาในนี้ทำไมเนี่ย ถอยไปซะดีกว่าคนที่ทำอะไรไม่ได้อย่างนาย เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวหรอก ”
ทาลิเลีย กล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด ที่อยู่ๆ ลอว์เรนซ์ ก็สะเออะไม่เข้าเรื่อง โผล่
หน้ามาทั้งที่ ทำอะไรไม่ได้

“ คนที่ทำอะไรไม่ได้เหรอ..หึ ชั้นว่านั่นน่ะ น่าจะเป็นคำพูดของ ชั้นมากกว่า คอยดูให้ดีเถอะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าว พลาง ปัดทรายออกจากเสื้อ ก่อนจะเดินสวนทั้งสอง ออกไปยืนหน้า เอซซาไลซ
ขณะที่ ทั้งสอง พยายามจะห้ามด้วยความเป็นห่วงว่าจะได้รับอันตรายนั้น เอง

ยูปี้ ก็บินโแบเข้าหา ลอว์เรนซ์ ก่อนจะเปลี่ยนร่างตัวเอง เป็น การ์ดซึ่งมีรูป ศิลามังกร
บนเชิงตะเกียงมังกร แสดงอยู่แทน

“ Empress Card เรียกใช้ดราก้อนฮอลลี่ ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ ไพ่ก็กลายเป็น สนับมือ ที่กล่องตลับติดเอาไว้ เค้านำมันมาสวม ทันที
ก่อนจะหยิบเอาไพ่ 6 ใบที่อยุ่ในกระเป๋า ขึ้นมาเลือก
ซึ่งทั้งหกใบเป็น ตราสัญลักษณ์ ธาตุทั้งหก แสง ไฟ ดิน น้ำ ลม ความมืด

“ งั้นวันนี้ให้ ไฟร์(Fire)ลุย ก็ละกัน ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางหยิบเอาไพ่ ใบที่เป็นสัญลักษณ์ ไฟขึ้นมาจากทั้งหมดและเก็บที่เหลือกลับลงไป


“ พร้อมนะ ยูปี้..ไปลุยด้วยกันเถอะ ไฟร์(Fire)”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางใส่ไพ่เข้าไปใน กล่องตลับ ที่สนับมือ

“ Ready Fire ” “ Fist on ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ หน้าจอของ กล่องตลับ ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุไปขึ้น และทันที
ที่กดไพ่ลงไปจนสุด เสียง ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเกิดวงเวทย์ สีแดงเพลิงขึ้นที่

สนับมือ ทันทีที่ ลอว์เรนซ์ ชนกำปั้นอีกมือ เข้าไปที่วงเวทย์  ก็เกิดแสงเจิดแจ้งขึ้นมาจาก สนับมือ
ก่อนที่ จะปรากฏ กำแพงแสงที่มีลักษณะเหมือนไพ่ขึ้นในอากาศ ซึ่งมีขนาดพอๆกับตัวของคน

เกิดขึ้นสามใบล้อมรอบตัวเขาเป็น แนวสามเหลี่ยม ก่อนจะประกบเข้าหาด้วยกัน
และทำให้ แสงเจิดจ้านั้นหายไป ร่างของ ลอว์เรนซ์ ก็กลับเปลี่ยน อัศวินมังกร

ที่มีเกล็ดสีแดง  มือขวา กุมท้ายด้ามกระบี่คมสีแดงฉานซึ่งปักอยู่กับพื้น มือซ้ายติดโล่เกร็ดมังกร แบบเดียวกับ
ทาลิเลีย

“ ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าชั้นคนนี้ล่ะ เก่งระดับเทพอย่าบอกใครเลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางย้ายมือซ้ายไปกุมด้ามกระบี่ ก่อนจะหมุนมันขึ้นมา
กระชับในมือ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของ ทาลูคัส กับ ทาลิเลีย

“ นี่ นายเป็น อัศวินทาลิวิลย่า แห่งเมอริเซีย งั้นเหรอ แล้วก็นั่นมัน ทาลิคนัส ”
ทาลิเลีย เปรยด้วยสายตาตกตะลึง (Thalignus, the Dragoon of  Thaliwilya)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/25.jpg)

“ อะไรกัน..นี่มีเจ้าบ้าเพิ่ม มาอีกคนแล้วงั้นเหรอ ”
ทาลูคัส กล่าวติงอย่างไม่สบอารมณ์

“ เฮ้ย เจ้านกเผือก แกว่าใครบ้าห๊า ”
เสียงแย้งของ ทาลิคนัส ดังก้องขึ้นในหัวทันที

“ เปล่า...นั่นไม่ใช่ ทาลิคนัส ของ อาริมาเทีย แต่เป็นของ เมอริเซีย อัศวิน ทาลิวิลย่า ของเมอริเซีย ที่เคยปรากฏตัวขึ้น เมื่อ 200 กว่าปีก่อน แต่ว่าทำไมล่ะ..ทำไมหมอนั่นถึงได้.. ”
ทาลิเลีย กล่าวรนๆอย่างสับสน

“ ก็ถึงได้บอกไงว่า ชั้นนี่ล่ะ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ตัวจริงเสียงจริงล่ะ
คอยดูฝีมือของรุ่นพี่เอาไว้ให้ดีรุ่นน้องทั้งหลาย ”
ลอว์เรนซ์ หันมากล่าววาจาโอ้อวด ก่อนจะวาดมือในอากาศออก ก็เกิดมวลแสงขึ้นสามมวลก่อน
จะเปลี่ยนมันเป็นไพ่ สามใบ ซึ่งแต่ล่ะใบมีหน้าไพ่ต่างกันไป

“ เดี๋ยวสิ ใครเป็นรุ่นน้องนาย ฉันยังไม่ได้บอกว่านายเป็นตัวจริงเลยนะ ”
ทาลิเลีย ตะคอกสวนแต่ ลอว์เรนซ์ ก็ไม่สนใจฟัง พลางเก็บ ไพ่ทั้งสามมาก่อนที่
เปลวเพลิง จะพุ่งออกมาจากหัวไหล่ทั้งสอง และเปลี่ยนรูปเป็น ปีกเพลิง
พร้อมกับทะยานขึ้นไป ต่อกรกับ เอซซาไลซ

“ ริคุ(Riku) เคยบอกไว้ จะทำอาหารให้อร่อย ก็ใช้ไฟให้พอเหมาะ งั้นวันนี้จะใช้ไฟแรงกว่าปกติเลยนะ  ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลาง ชูไพ่ หนึ่งในสามใบขึ้น ซึ่งหน้าไพ่เป็น รูปวงกลม ที่มีเส้นขีดผ่าขวางลงมา
ก่อนจะเอาไพ่ ไปครูดกับคมดาบ เสียหนึ่งครั้ง

“ Slash(สแลช) ”
เสียงก้องกังวานขึ้นจากดาบทันที ก่อนที่ คมดาบจะลุกโชนด้วย เปลวเพลิงทั้งคม

(http://images.temppic.com/24-03-2009/images_vertis/1237861543_0.31697900.jpg)

“ Ignis et Dragos ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ เค้าก็ฟันดาบลงไปผ่ากลางร่างของ เอซซาไลซ
ทว่าทันที่มันจะคืน ชีพร่างของ มันก็กลับลุกด้วยเปลวเพลิง อย่างที่ไม่ควรจะเป็น

“ ได้ไงกัน ร่างของเจ้านั่นเป็น ทรายมหาศาลเลยนะ ไม่น่าจะลุกไหม้ได้นี่
ขนาดไฟของ เจ้าบื้อ ทาลิคนัส ยังเผามันไม่ได้เลย ”
ทาลิเลีย อุทานด้วยความตกตะลึง ขณะที่ ทาลูคัส คืนร่างกลับเป็น เรกกะ ที่ ทาลิคนัส สิงแทน พร้อมกับ หยิบออกมาอีกใบและเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส อีกครั้ง ไพ่จึงลดลงไปอีกเป็น 83 ใบ

“ ไฟร์ เคยบอกไว้ เปลวเพลิงแห่งคุณธรรมจะ ลุกไหม้ด้วยเพลิงชีวิต
ที่เปี่ยมด้วยความถูกต้อง ดังนั้นต่อให้กระแสต้านแรงเพียงใด เปลวเพลิงที่แท้จริงก็จะเผาผลาญ
 อติธรรมจนวอดวาย ”

ลอว์เรนซ์ กล่าว พลาง ชูไพ่ อีกใบขึ้นหน้าไพ่ เป็น สี่เหลี่ยม ที่มีเส้นตีตัดกัน เป็นตารางสี่ช่อง

“ ฮู้ยยย...พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง..แล้วตกลงไอ้ไฟที่ว่านั่น มันเผาอะไรกันแน่ ”
ทาลิคนัส กล่าวเอียน กับคำพูดวกไปวนมาของ ลอว์เรนซ์ ขณะที่ ลอว์เรนซ์ นำเอาไพ่ ไปครูดกับ
ดาบอีกครั้ง

“ Blast (บลาสซ์) ”
เสียงดังขึ้นจากดาบอีกครั้ง พร้อมคมดาบที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง สีฟ้าแทน

(http://images.temppic.com/24-03-2009/images_vertis/1237861543_0.91744700.jpg)

“ Ignis et Dragos ”
สิ้นคำ ลอว์เรนซ์ ก็แทงคมดาบออกไป พร้อมกับที่ เปลวเพลิงสีฟ้าได้พุ่งเข้าไป เผาไหม้ที่ฐานร่างของ เอซซาไลซ
ซึ่งกำลังดูดทรายเข้าไป ฟื้นสภาพ ไฟสีฟ้า ได้ทำให้เม็ดทรายไหม้ กลายเป็นเถ้าไปหมด ทำให้ เอซาไลซ

ไม่สามารถ ดูดเอาทรายรอบๆ ที่ถูกไฟสีฟ้า เผาล้อมรอบร่างของ มันไว้ได้
โดยที่ตัวมันยังคงลุกด้วย เปลวเพลิงจากคมดาบในตอนแรกอยู่

“ ลากูน่า(Laguna) เคยบอกไว้ เรื่องไหนขัดใจเรานัก ก็ไม่ต้องสนยำๆชัดๆไปเดี๋ยวก็อร่อยเหาะ ”
ลอว์เรนซ์ ยังคงพล่ามไปสู้ไปอย่างสนุกปาก ที่ทำให้ ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส ยืนเก้อ อย่าง งงๆ
ก่อน ชูไพ่ใบที่สาม ขึ้นหน้าไพ่เป็นรูป ห้าเหลี่ยม

“ วันนี้จะแถมให้อีกหน่อย..เพราะนีน่า(Nina) เคยบอกไว้ ต้องใจดีกับลูกค้าแล้วผลตอบแทนจะสูง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ไม่พูดพล่ำทำเพลง จัดการ รูดไพ่ ลงกับคมดาบอีกครั้ง

“ Energy(เอเนอร์จี้) ”
สิ้นเสียงจากตัวดาบ ก็มีผนังแสง เกิดขึ้นและค่อยๆเพิ่มจำนวนแยกกันออกมาเป็น 6 แผ่น ก่อนที่ มังกร
ร่างเต็มวัย ของเมอริเซีย หกตัวจะออกมาจากผนังแสงมากันพร้อมหน้า ได้แก่

(http://images.temppic.com/24-03-2009/images_vertis/1237861544_0.22523600.jpg)

นิลเฮอเรี่ยน (Nilhirion, the Earth Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/11.jpg)
นิทินโคออน (Niltincoion, the Fire Dragon)(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/12.jpg)
 เฟินกอลโลออน (Firngolloion, the Water Dragon)  (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/13.jpg)

ดิมมินูวเลี่ยน (Dimminuialion, the Wind Dragon)(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/14.jpg)
พาลานัลคาเลี่ยน(Palanalcarion, the Light Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/10.jpg)
นอฟโฮทิออน (Novhothion, the Dark Dragon)(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/15.jpg)

“ มากันพร้อมแล้วสินะ ไฟร์ เอิธ วิน ไลท์ ดาร์ค อควา (Fire Earth Wind Light Dark Aqua)  ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวเรียกบรรดามังกรทั้งหลายที่เรียกออกมาอย่างสนิทสนม ต่อสายตา ที่งงเป็นไก่ตาแตกของ
ทาลิเลีย และ ทาลิคนัส

“ ที่นี่เหรอ อนาคตสุดยอดไปเลย  ”
พาลานัลคาเลี่ยน ชื่อ ไลท์ กล่าวพลางวาดสายตาไปรอบๆ
เพื่อชมทิวทัศน์ ของ สวนสาธารณะที่ เละไปด้วยทรายนี้

“ สองคนนั่นใครอ่ะ ”
ดิมมินูวเลี่ยน ชื่อ วิน หันไปถามพลางชี้ไปที่ ทาลิคนัส กับ ทาลิเลีย

“ พี่สาวสวยดีนะ ”
นิทินโคอออน ชื่อ ไฟร์ กล่าวหยอก ใส่ ทาลิเลีย

“ ว้าว เอซซาไลซ ตัวเป็นๆเลย ”
นิลเฮอเลี่ยน ชื่อ เอิธ อุทานพลางทำตาโต ใส่ เอซซาไลซ ที่ยังคงดิ้นทุรนทุรายกับ ไฟที่ยังคงเผาร่างของมันอยู่

“ หว้า แย่จังมีแต่ทรายเต็มไปหมด รู้สึกหวิวๆ ยังไงไม่รู้สิ ”
เฟินร์กอลโลเอี่ยน ชื่อ อควา บ่นด้วยความเสียดาย

“ เอ้า เงียบๆได้แล้ว นี่เรากำลัง สู้อยู่นะ ”
นอฟโฮทิออน ชื่อ ดาร์ค กล่าวเสียงเรียบ ด้วยท่าทีหน่ายๆ

บรรดา มังกร ทั้งหก ต่างพูดคุยวิพากวิจารณ์ แลกประเด็น กันอย่างสนุกปาก โดยไม่สน ปฏิกิริยา ที่ ทาลิคนัส กับ
ทาลิเลีย ซึ่งอ้าปากตา ค้างด้วยความ ตกตะลึง ซ้ำแล้วซ้ำอีก (รวมทั้งคนเขียนด้วย งานหนักอีกแว้ว)

“ น...น...นี่มัน..อะไรกันเนี่ย ”
ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส เปรยขึ้นพร้อมกัน ขณะที่ ลอว์เรนซ์ ได้แต่ยืนอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ กับท่าที
ประหลาดใจของทั้งสองไว้

“ อุบ..ฮะๆ..เอาล่ะๆ ทุกคน พอเถอะ เดี๋ยวจะทำ เจ้าบ้านเค้า ช็อกตายไปซะก่อน เตรียมตัวได้แล้ว
จะทริปเปิลคอมโบล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าว ก่อนที่จะ ชูไพ่ที่ใช้ไปทั้งสามใบขึ้นมา พร้อมกับที่ บรรดา มังกรทั้งหมด ต่างจัดวางตำแหน่งของ
ตนกันทันที ก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะรูดไพ่ทั้งสาม ใบไปทีละใบ

“ Slash ”  “ Blast ”   “ Energy ”   “ Tripple Combo ”
ทันทีที่ไพ่ถูกรูดกับคมดาบ ก็เกิดเสียงประจำไพ่แต่ละใบดังกังวานจากตัวดาบ
จนเมื่อครบทั้งสวามใบ เสียงสุดท้ายก็ดังขึ้นก่อนที่

บรรดามังกร ทั้งหมด ที่ลอว์เรนซ์ เรียกออกมาจะพากัน เข้าไปโจมตี ด้วยท่าถนัดของตน
กระหน่ำใส่ไม่หยุด

“ ได้เวลา เชคเมท ปิดเกมส์แล้ว ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ บรรดามังกรทั้งหมดก็รวมพลังทั้งหมดไว้เต็มที่ พร้อมๆกับที่เค้า ยกดาบขึ้นกระชับ
เป็น สัญญาณ คลื่นพลังแต่ละธาตุของ บรรดามังกรที่ถูกเรียกมา ก็กระหน่ำเข้าใส่ เอซซาไลซ เป็น
 พายุเลยทีเดียว

ก่อนจะจบลงที่ ลอว์เรนซ์ ตวัดดาบ สร้าง ลำแสงมังกรพลังงาน พุ่งเข้าไปชนร่างของ เอซซาไลท์ จน
แตกสลายกลายเป็นละออง ก่อนจะโยน ไพ่เปล่าที่ เสกขึ้นมาออกไป ซึ่งไพ่นั้น ก็ดูดเอาละอองแสงของ เอซซาไลซ
เข้ามาเก็บก่อนจะขึ้นรูปของมันบนหน้าไพ่

“ ได้ตั๋วมาแล้วเท่านี้ก็ส่งมันกลับไปที่เวลาเดิมก็จบ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบได้ไม่นาน ก็มีเรื่องแปลกใจ มาให้ ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส ที่ตอนนี้
ได้แต่ยืนนิ่ง จากการพบกับเรื่องตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่เท่านั้น อยู่ๆก็เกิด หลุมมิติขึ้นในอากาศ

ก่อนที่ ยานรูปร่างคล้ายหงส์ซึ่งมีปีกโลหะ หกปีกจะบิน ออกมาจากหลุมมิติ มันคือ คอสมิกแสวน
(Cosmic Swan) ยานที่ท่องไปในกาลเวลา

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/88.jpg)

“ พอดีเลย เอา อัลทาวาริย่า ที่เก็บมาด้วยระหว่างทางส่งกลับไปด้วยเลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางกลับ ร่างคืนเป็น มนุษย์ พร้อมกับที่ ยูปี้ ก็กลับมาด้วย
ก่อนจะล้วงเอาไพ่ อีกใบที่ ผนึก อัลทาวาริย่า ที่เฟรเซีย เป็นคนล้มมัน

ออกมา ซึ่งเค้าได้ไปเจอมันระหว่างทางที่เดินมา ก่อนที่ คอสมิกแสวน จะ
ฉายแสงลงมา และดูดเอา ไพ่สองใบกลับขึ้นพร้อมกับทะลุมิติหายไปในกาลเวลา

“ อ้อจริงสิ เกือบลืม เจนัส(Genus) เคยบอกเอาไว้สู้เสร็จจะให้เท่ห์มัน ต้องตั้งท่า แล้วพูด..Good Job ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลาง ยืดอก ยกนิ้วโป้งเต๊ะท่า โชว์

“ อ้ะ..ไม่ใช่ๆ ท่าทางต้องให้มัน พึ่งผายกว่านี้หน่อย ”
ไลท์ แย้ง ขึ้น

“ แบบนี้เหรอ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางตั้งท่าใหม่

“ ไม่ใช่สิ ต้องให้สง่าผ่าเผยกว่านี้ ”
ไฟร์ กล่าวพลางเข้ามาจัดท่าจัดทาง ให้ ลอว์เรนซ์

“ เฮ้อ..ปัญญาอ่อนสิ้นดีเจ้าพวกนี้ ”
ดาร์ค เปรยอย่างหน่ายพลางลูบหน้าเพื่อดึงสติ
ขณะที่ ทาลิเลีย กับ ทาลิคนัส คืนร่างกลับเป็น มนุษย์

“ โอย..เรกกะ ฉันว่าวันนี้ กลับไปนอนกันดีกว่า หัวใจเต้นจนจะหยุดอยู่แล้ว ”
R2 กล่าวสีหน้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

“ นั่นสิครับ ผมเองก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาแล้วด้วย ”
เรกกะ กล่าวหน้าซีดด้วยความขยาด

“ นี่ลอว์เรนซ์ ตกลงคืนดีกันแล้วใช่มะ  ”
ยูปี้ ที่พอได้โอกาส ก็ชิงถาม เรื่องคืนดี กับ เรกกะ ทันที

“ ไม่ใช่ๆ มันต้องกางขา ออกอีกหน่อยต่างหาก ”
“ แบบนี้เหรอ ”

ทว่า ลอว์เรนซ์ ก็ไม่ได้ฟังที่พูดไปซักนิดยังคง นั่งจับวงเล่นอยู่กับ บรรดาเพื่อนๆมังกรทั้งหก
อย่างสนุกสนาน จนลืม เรกกะ กับ R2 ไปแล้ว

“ นี่พอซักทีได้ม้ายยยยยยยยยย ”
เรกกะ R2 และ ยูปี้ ตะโกน สุดเสียงเพื่อเรียกความสนใจ ท่ามกลางอาทิตย์ อัสดงของสวนสาธารณะที่
.ค่อยๆฟื้นกลับคืนเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมๆกับความเสียหายต่างๆและผู้คนที่ เสียชีวิต ได้ย้อนคืนมา
ราวกับปารฏิหารย์

.................
.......................

“ God  Send ชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้นแล้วงั้นสินะ ”
โครโน่ กล่าว พลางจ้องมอง จอภาพที่ฉายภาพ หุบเขาแห่งหนึ่ง ตาไม่กระพริบ

“ ค่ะ วงแหวนแห่งการเวลา Circle of Time ที่จอสลิน (Josslyn) Valkyrie
ประจำยศ Valkyrier เอมิล รูลเวลล์เป็นผู้พิทักษ์  ”
ฮายาเตะ รายงานสำทับเพิ่มไป

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n005/129.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n004/8.jpg)

“ แต่ก็ดันมามีปัญหาตรงที่หุบเขากาลเวลา มีเจ้านั่นคอยพิทักษ์อยู่ อาวุธแห่งทวยเทพ โกรอท.. ”
โครโน่ กล่าวยังไม่ทันจบ ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับเงาของ คนสองคนทอดเข้ามา

“ มากันครบแล้วสินะ ..ดี หน้าสุดท้ายของประวัติศาสตร์กำลังจะเริ่มในไม่ช้านี้แล้ว จะให้ Valkyrier
 ทั้งหมดบุกไปที่หุบเขาแห่งการเวลา God Send ที่สำคัญชิ้นสุดท้ายจะต้องเป็นของพวกเรา และในตอนนั้น
แรคนารอค จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อนั้นกุญแจแห่ง อามาเกดโดน จะปรากฏ โอดีน ก็จะได้ขยับแข้งขยับขาซะที ”

โครโน่ เปรยจบก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่หน้าจอ ทั้งหมด ขึ้นตัวอักขระประหลาด ขึ้นมานับไม่ถ้วน

(http://images.temppic.com/24-03-2009/images_vertis/1237858193_0.46295600.jpg)

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ เอ๋ ทำข้าวกล่องเหรอ ”
“ ใช่แล้ว งานโรงเรียนคราวนี้ ไอ เธอจะต้องทำข้าวกล่องให้ เฟนท์ เพื่อมัดใจเค้า ขอเรียกแผนนี้ว่าปฏิบัติการ
ข้าวกล่องคว้าหัวใจ เจ้าค่า ”
“ ทำเป็นพูดไป แล้วใครจะสอน ไอ ทำได้ยะ ก็รู้อยู่ว่า ไอ น่ะนอกจากของหวานแล้ว ทำอะไรไม่เป็นเลย ”

“ นายเป็นใครเนี่ย ”

“ ใครงั้นเหรอ...ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยชั้นน่ะ เรื่องทำอาหาร ไม่เป็นรองใครเลย ”


“ ริคุ เคยบอกไว้ อาหารที่อร่อย มาจากเครื่องปรุงที่ดีเยี่ยม แต่ไม่มีเครื่องปรุงใด
ที่จะเลิศรสไปกว่า ความรู้สึกที่มีต่อผู้ทานที่คนทำอย่างเราใส่ลงไปในอาหาร ”


“ จะทำนายดวงให้เอาไหม ”

“ นี่ มาอีกแล้วเหรอ... ”

“ จะจ่ายสะเดาะเคราะห์หรือจะให้ฟันซักฉับล่ะ เพราะดวงแกชะตาขาดแล้ว น้า ”

“ เฟนท์ ฉันรักเธอ... ”

ในตอนหน้าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร Next Saga 11  ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายหรือเปล่า..

มหาสงคราม Delantion กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง


เอ่อ -*- บทนี้มัน เอ้อ งานฉลองครบรอบ สี่ปี ทาลิวิลย่า เปล่าเนี่ย พลพรรคภาคแรกขนเฮโลกันมาเพียบ
แล้วตอนหน้า เจ้า ลอว์เรนซ์ มันจะเข้าไปที่โรงเรียนแล้ว กลุ้มจริงๆ ที่สำคัญกว่านี่ลอว์เรนซ์ ตัวจริงเหรอเนี่ย
โดนพวก เจนัส ไปทำมิดีมิร้ายอะไรมาป่าวหว่า มาถึงก็เพี้ยนแบบกู่ไม่กลับ

ก็คงต้องดูกันต่อไป แล้วก็คู่หวานคู่แหว ทำม้าย สารภาพกันไวงี้ จะจบแบบใดหนอ หรือจะเป็นคู่กรรม ก็คงต้องรอกันต่อไปแต่

ช่วงแถมท้ายครั้งสุดท้าย เฉลยขอร้าบบบ

(http://images.temppic.com/24-03-2009/images_vertis/1237862556_0.89072500.jpg)

คู่นี้เค้าเป็นพี่น้องกันจ้า และเฉลยต่อจากนั้น กระผมเองก็พึ่งรู้ว่าพี่ กับ เจ้า การุรุม่อน
ตั้งปริศนามาเพื่อ จะแนะนำตัว ผู้ช่วยคนใหม่ วาการุรุม่อน ซึ่งจะมาประจำหน่วยงานภาพ

และอีกเฉลย ทำไมช่วงนี่นินๆ บ่อย นั่นเพราะ อีกไม่นาน นิคโคอุ จะโผล่มาในเรื่องแว้ว
นิจา ริวสุเกะ อานาโทระ จะได้โผล่ไหม ก็ต้องแล้วแต่พระเจ้า บันได..เอ้ยไม่ใช่ พี่บก. ของเราล่ะน้า

ส่วน ตอนต่อไปนั้น อัพให้วัน พฤหัสนะ พอดีเมื่อ วันอาทิตย์ ไปสวนเสือศรีราชามา
หาข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับ SMN VR! ไปๆมาๆ มันจะกลายเป็นนิยาย

รณรงค์ เที่ยวเพื่อไทย ช่วยลดโลกร้อน
ไปแล้วมั้งเนี่ย ตั้งกะภูเก็ต ละ ระยองก็ด้วย
เอ็ะเกี่ยวกันไหมหว่า  เอาเป็นว่าฉบับนี้ลาไปก่อนแล้วพบกันใหม่เน้อ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: boy on March 24, 2009, 02:11:27 PM
งึมงำ...............อยากเห็นหน้าตาข้าวกล่อง  หิว.. ::015::

ไอใจกล้ามากๆๆๆๆ  ::003::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: greamon on March 28, 2009, 06:03:07 PM
Quote
ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจาก วันพฤหัสที่ ผ่านมา ซึ่งควรจะต้องอัพ ตอนที่11
แต่ก็ดันไม่ได้ อัพดังนั้น ก็เลยจะเลื่อนมาวันอาทิตย์แทน และประกาศเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

 ที่ว่าด้วยตอนแรกเนื้อเรื่องจะมี 25 ตอน อาจจะมีถึงแค่20 ตอนเท่านั้นทั้งนี้ยังไม่แน่นอน เพราะบทค่อนข้างจะไม่ลงตัวกับเวลาเท่าไหร่
แต่จะพยายามลงให้จบ พร้อมด้วยกับ Smn Vr ที่จะมีอีกถึง Sub-Turn 10 เท่านั้นก็จบบริบูรณ์

ดังนั้นจึงแจ้งมาให้ทราบด้วยประการล่ะฉะนี้

เรื่องก็อย่างว่านี่ล่ะขอรับ พี่ปิโยม่อนเค้าแจ้งมา - -* งานเราอีกสิเนี่ย ต้องย่อเรื่องอีก เห้อ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: ginn on March 28, 2009, 10:55:07 PM
เอ้ย เบี้ยวแบบสปอยล์ดีเคทรึ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: cocka-c on March 31, 2009, 03:38:47 AM
ก่อนอื่นที่ เจ็มาเนี่ย คือจะมาบอกว่า ที่เบี้ยวอัพนิตอนนี้ ต้นฉบับมันยังมิเสร็จน่ะ
เพราะมีพล็อตเรื่องบางส่วนที่วางไว้มันตีกันเอง เจ็ เลยนั่งกลุ้มอยู่กะเกรม่อนคุงเนี่ย
เลยไม่ได้อัพยาวเลย เพราะงั้นคิดว่าน่าจะอัพได้ไม่วันพุธนี้ก็ พฤหัสนี้ล่ะนะ
ก็รอกันต่อไปก่อนเน้อ กะลังดู Code Geass R2 ตอนอวสานอยู่ดีๆพอมาตรวจต้นฉบับ เจ้าเกรม่อน
เงงสิคะ บริทเทเนอร์ ในต้นฉบับ กลาย บริททาเนียร์ หมด ชื่อลูเทเซีย ที่ปรากฏมากลายเป็น ลูลูว
หมด ที่สำคัญ ไอ้ คิระ กะ อัสรัน จาก กันดั้มซีด มันมาจากไหนวะคะเนี่ย
เจ็นึกว่าตัวเอง นั่งดูการ์ตูนมากเกินไปซะอีก(กระซิก ลู่ตอนจบไม่น่าตายเลย ฮือๆๆๆ)
ที่ไหนได้ ไอ้เจ้าเกรม่อนคุง มันเบลอเขียนผิดเองแหล่ะ โฮยชั้นล่ะเป็นงงกะมันล่ะวะคะ
มีอย่างที่ไหน อีา ลอว์เรนซ์ กลายเป็น คิระ เรกกะ เป็นอัสรัน แล้ว อยู่ๆ เฟนท์ กลายเป็นชิน เท่านั้น
ไม่พอ ลูเทเซีย คุง
กะ มาเรียลูซ ชื่อเปลี่ยนเป็นตัว ออรจินัลหมดเลย ว่ะค่ะ ทำเอาเจ็ปวดตึบๆ เลย (ลูเทเซีย เป็น ลูลูซ มาเรียลูซ เป็น นัลนาลี่ นี่ยังดี R2 ไม่กลายเป็น C.C.ไปด้วย ไม่งั้นมีบร้าแน่  )

ก็เอาเป็นว่าขอเวลาแก้ต้นฉบับกัันแปบ ก่อนนะเจ้าคะ ฮือที่รับไม่ได้ คือเจนัสคุงของ เจ็มิมีบทกลับมาเลย T_T อะ ไม่ใช่สิ ที่จริงคือตัวละครในเรื่องบทนี้น่ะ อุบ...อู้อี้ อู้อี้

เกรม่อน โวยคำโตข้างบนกรุณาอย่าไปฟังนะจอรับมันไม่จริ้ง ข้าน้อยมิได้ Code Geass ริทึ่ม หรือ Gundam Seed Destiny แตกธาตุไฟ แต่อย่างใด เพียงแต่ ต้นฉบับมีความเสียหายเล็กน้อยเลยมาลงได้ช้าเท่านั้นเอง (แล้วไมเราพิมพ์ชื่อเรื่องมันถูกซะหมดเนี่ย)


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: boy on March 31, 2009, 11:08:03 AM
^
^
ครับ เคลียร์ต้นฉบับสู้ๆ   :o


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: greamon on April 01, 2009, 04:05:11 AM
Saga 11  ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายหรือเปล่า..

ราชอาณาจักร ยูราเซีย ทวีปโทร่า ทวีปทางตะวันออกสุดและเป็นทวีปขนาดเล็กที่สุด ในเทอร่า

เนื่องจาก เป็นทวีปที่ห่างไกล จากอารยธรรม ประชาชนส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพทำไร่ทำนา
ดังนั้น ยูราเซีย ที่เป็นประเทศในเขตทวีปโทร่า จึงมีความยากจน และลำบาก พวกเศรษฐี

ก็พากันกดขี่ คนจน แม้แต่ รัฐบาลของประเทศ เองก็ไม่รับผิดชอบอะไร ปล่อยปะ ละเลย  
ให้ ชาวบ้านถูกกดขี่ จนเกิดเหตุความไม่สงบจาก การประท้วงของ กลุ่มชาวบ้าน

ทว่า ลำพังแค่กลุ่มชาวบ้านไร้ความรู้ไร้อาวุธ ที่จะสู้กับ กองกำลังของ ประเทศที่ติดสินบน
ของ พวกเศรษฐี จนในที่สุด พวกเค้าเหล่านั้น ก็ต้องถูกกดขี่ต่อไป

“ วันนี้ ชั้นมารับเบี้ยหนี้ ที่ติดค้างไว้ ข้าวสารทั้งหมดของพวกแก ”
เศรษฐี ผู้มั่งคั่ง ซึ่งมาพร้อม กับลูกน้อง ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีร่างกายกำยำเบื้องหลังยังมีกองทหารติดอาวุธหนัก
ยืนคุมเชิงเพราะได้รับสินบนว่าจ้างจาก นายเศรษฐี เบื้องหน้า หญิงวัยกลางคน กับลูกชายเล็กๆ
อีกสองต่างคุกเข่าก้มหน้า ขอความเห็นใจจากเศรษฐีหน้าเลือด

“ ขอร้องล่ะค่ะ ท่านเศรษฐี บ้านเราตอนนี้ ไม่มีจะกินกันแล้ว ข้าวก็ปลูกไม่ได้
สัตว์ไถนาก็ตาย ผัวก็ม้วย ร่างกายดิฉันเองก็เป็นโรค โปรดเห็นใจเราด้วย ”
นางขอความเห็นใจจาก เศรษฐี หน้าเลือด

“ ฮ่าๆ ให้ข้าเห็นใจเรอะเห็นจะไม่ได้ล่ะ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะยึดบ้านเจ้า เฮ้ยพวกตัวเอง พวกยาจกนี่ออกไป ”
เศรษฐี กล่าวพลางเตะแสกหน้า นางจนล้ม

“ ใจร้าย ไอ้เศรษฐีบ้า แม่เค้าป่วยอยู่ยังมาเตะแม่อีก ไอ้คนไม่มียางอาย ”
พี่ชายคนโต พูดด่าได้ไม่ทันไร ลูกน้องของเศรษฐี ก็เตะร่างของ เด็กน้อยจน กระเด็นไปกระแทกบันได ตายคาที่ทันที

“ ตัวเองรีบไสหัวไปซะ แล้วพาลูกอีกคนของเอ็งไปด้วยก่อนที่ ข้าจะให้ มันถีบตายอีกคน ”
เศรษฐีหน้าเลือดกล่าวด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้น ทำให้ทุกคนรวมทั้ง ผู้คนแถวนั้นต่างพากันมองไปยังต้นเสียง เด็กหนุ่มผมสีขาวคนหนึ่งกำลัง ปรบมือชื่นชม กับเหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตานั้นซ่อนอยู่ภายใต้แว่น สีดำ

“ ฮะๆๆ เยี่ยมๆ ช่างเป็นละครชีวิตที่น่ารันทดซะจริงๆ ”
เด็กหนุ่มปรบมือไปพลาง

“ เอ็งเป็นใครวะ มาล้อเลียนข้าอยากตายเรอะ ”
เศรษฐี ตะคอกใส่ ทว่าทันทีที่ เด็กหนุ่มคนนั้นได้ยิน เค้าก็หยุดปรบมือก่อน จะถอดแว่นตาออก ดวงตาสีแดงฉาน
ที่ราวกับดวงตาของปีศาจ กำลังจับจ้อง มายังผู้คนรอบๆ ทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งตึงไป

“ บังอาจมาว่าชั้น..ชั้นโกรธจริงๆแล้วนะ..แล้วก็ไอ้ความน่ารันทดเนี่ยมันไม่ใช่สไตล์ชั้นซะด้วย..กำจัดทิ้งเลยละกัน ”
เด็กหนุ่มกล่าวจบ เค้า ก็คว้าเอา Crisis Terminal ขึ้นมา ก่อนจะ กดปุ่มที่ตัวเครื่องทันที

“ Code Slash ”
สิ้นเสียง ไม่ทันที่ทุกคนจะรู้สึก ศรีษะของเศรษฐีกับ ลูกน้อง ก็ถูกบั่นหลุดจาก คอ
ในทันที  เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของชาวบ้าน ดังขึ้นทันที

ขณะที่ กองทหาร ที่ตามอารักขา เศรษฐี ก็รีบยกอาวุธ ขึ้นกระชับเตรียม สังหารเด็กหนุ่มที่
เปลี่ยนไปสวม ชุดเกราะและถือเคียว ซึ่งมีเลือดของเหยื่อสามรายที่ เค้าพึ่งเชือดไปติดอยู่

ทว่ากระสุนและธนูต่างๆ ก็ถูก เกราะอนุภาคอิออน ที่แผ่ออกมาจ่างชุดเกราะของเด็กหนุ่ม สกัดเอาไว้จนหมด
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะควงเคียวตวัด ออกไป ก็เกิดคลื่นเสี้ยวสีเขียว พุ่งออกไป กวาดล้างทัพทหารจนย่อยยับ

(http://images.temppic.com/31-03-2009/images_vertis/1238518479_0.48045000.jpg)

“ ส..แสงแบบนี้มัน Valkyrier นี่ ”
“ หา Valkyrier ของ Empyrean Adjust องค์กรก่อการร้ายที่กำลัง แทรกแซงสงครามทั่วเทอร่าตอนนี้น่ะเหรอ ”
“ แล้วมันมานี่ทำไมกันที่นี่ไม่ได้เกิดสงครามซะหน่อย ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ของพวกทหารที่ยังเหลือรอดดังขึ้น

“ แหมๆ พวกเราไม่ได้เลือกแค่แทรกแซง สงครามซะหน่อย ตอนแถลงการณ์ในนั้นก็บอกไปแล้วนี่ ว่า
จะรวมเทอร่าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และปลดปล่อยมนุษยชาติ ที่ชั้นมาเนี่ยก็เพื่อมาทำลายทวีป โทร่า นี่ทิ้งทั้งทวีป
 
เบื้องบนเค้าว่ามางั้น ประเทศ ไร้อารายธรรม แบบนี้ จะปลดปล่อยให้ได้ไปก่อนใครๆเลย
 ด้วย Crisisor ของชั้นเนี่ยแหล่ะ”

สิ้นคำ เด็กหนุ่มก็ปักปลายเคียวลงกับพื้น เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ผืนแผ่นดินทั้ง ยูราเซีย ไปจนประเทศรอบข้าง
ทั้ง ทวีปโทร่า ก็อาบไปด้วย อนุภาคอิออน ก่อนที่ จะลบทวีป โทร่า ออกไป จากหน้าประวัติศาสตร์ ในพริบตา

.................
..........................

สองวันต่อมา

“ นี่รู้ไหม Empyrean Adjust เข้าแทรกแซง อีกแล้วล่ะ เห็นว่า คราวนี้ทำลายทวีป โทร่า ทั้งทวีปเลยนะ ”
“ ฉันว่า พวกเค้าทำเกินไปแล้วนะ ฆ่าคนดะไปเรื่อยไม่สนหน้าอินท์ หน้าพรหม แบบเนี้ย ”
“ แบบนี้ จะทำให้ความขัดแย้ง หมดไปได้จริงๆน่ะเหรอ ”

เสียงพูดวิพากวิจารณ์ต่างๆนานา เกี่ยวกับความเห็นที่บรรดา นักเรียนในห้อง
ที่ได้รับรู้ข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ เรื่องการแทรกแซง ครั้งล่าสุด ที่ทวีปโทร่า
ของ Empyrean Adjust ที่ทำให้ ทวีปโทร่าทั้งทวีปจมลงสู่ก้นสมุทร

“ เชอะเพราะการแทรกแซง ของ ราฟ (Rav) แท้ๆเลย ดูเหมือนจะเกิดเสียงต่อต้าน
ขึ้นทั่วโลกแล้ว ที่จริง ฮูกีน มูนีน คิดอะไรอยู่กันนะ การเข้าแทรกแซง ที่โทร่า ทำไมถึงได้ตัดสินไปแบบนั้น ”
เอมิล คิดพลางมองไปรอบๆห้องเพื่อดูปฏิกิริยา ของคนรอบข้าง เกี่ยวกับในเรื่องที่เค้ากำลังคิด

“ ถึง โทร่า จะเป็น ทวีปที่เล็กๆและไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงก็เถอะ แต่ก็ไม่เห็นถึงกับต้องลบมันออกไป
ยังไงซะนั่นมันก็ชีวิตคน เป็นหลักแสนถึงจะไม่เยอะแต่ก็....รึว่าที่นั่นจะมีอะไร...หะ ”
เอมิล คิดไปเรื่อยๆพลางมองไปเรื่อยเปื่อย ไม่สนใจอันใดเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องชะงักไป
เมื่อเห็น เฟนท์ กับ ไอ ที่กำลังช่วยกันทำการบ้านของ เฟนท์ ที่ล้นมาจากการหยุดเรียนเพื่อ

ไปทำภารกิจ จากครั้งก่อนๆ หากแต่เพียงทั้งสองแค่ช่วยกัน ในฐานะเพื่อนก็คงจะไม่เป็นที่สะดุดตา

ของ เขาทว่า การพูดจา และกริยาท่าทาง นั้นสื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ที่มากกว่าเพื่อน อย่างแน่นอน
ซึ่ง เอมิล เองเมื่อเห็นกระนั้นก็ ไม่อาจนิ่งเฉยได้  

“ อ้าวมีอะไรเหรอ เอมิล ”
เฟนท์ ที่มือยังจับปากกา นั่งขีดๆเขียนๆ อยู่หันขึ้นไปมอง เมื่อ มือของ เอมิล มาวาง
อยู่บนกองกระดาษ ที่คาเต็มโต๊ะไปหมด

“ หลังเลิกเรียน ชั้นมีเรื่องจะคุยด้วย ”
เอมิล กล่าวจบก็เดินกลับไปที่โต๊ะโดยไม่รอคำตอบ ใดๆจาก เฟนท์
ทิ้งให้คนอื่นๆมองเค้าด้วยความงุนงง

......................
...........................

“ คุณแม่....คุณแม่ครับ...อย่าทิ้งผมไป ”
“ หยุดร้องเถอะลูก แม่เค้าไม่อยู่กับเราแล้วนะ... ”
เสียงร้องระงมของเด็กชาย ที่สูญเสียแม่ ไป กับพ่อที่ปลอบโยนลูกชายตัวน้อยเอาไว้
ทว่าด้านหลังพวกเขาทั้งสอง กลับมีหญิงคนหนึ่ง กับลูกสาวอีกคน ยืนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ต่อหน้าป้าย หลุมศพ
แม่ของเด็กชาย

“ คุณคะ ตอนนี้ปล่อยแกไปเถอะค่ะ แกคงยังเสียใจ อยู่ น่ะค่ะ..นะคะ ”
หญิงคนนั้นเข้ามาออด อ้อนพร้อมกับ เด็กสาวซึ่งเป็นลูกของเธอ
แน่นอนภาพที่เห็นอยู่นี้ นาง คือหญิงร้ายที่มาพรากเอา ทุกๆอย่างไปจาก เด็กชาย ซึ่งเป็นลูกคนแรก
ของ ชายผู้เป็นำพ่อแท้ๆไป ไม่นาน เด็กน้อยก็ถูกลืมเลือน ถูกกดขี่โดย แม่กับลูกสาวตัวร้ายที่ร้ายไม่แพ้กัน
นี่คงเป็นกรรม ของเด็กน้อย ที่ไม่อาจมีใครยื่นมือเข้าช่วยได้ เป็นดั่งฉากหนึ่งของละครชีวิต ที่น่ารันทด
แต่กทว่า

“ นี่แกจะทำอะไรน่ะ..ย..อย่า..อย่าเข้ามานะ ”
หญิงสาว ผู้ซึ่งแต่งงานเข้ามาใหม่หลังจากที่แม่ของเด็กชายตายไป และเข้ายึดเอาทุกอย่างไปจากเค้า
รวมหัวกับลูกสาวของตน กลั่นแกล้งสารพัน บัดนี้ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เมื่อ เด็กชายเดินมาพร้อมกับมีดที่เปื้อนเลือด

และหัวของ ลูกสาวตัวดีที่ถูกตัดออกจากร่างมาสด หิ้วติดมือมาด้วย ก่อนจะโยนมันลงไปใส่บนตักของเธอ ทำให้เธอกรีดร้อง อย่างสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เด็กชายเอา มีดที่เปื้อนเลือดของ

 ลูกสาวเธฮขึ้นมาเลียเอาเลือด
กลืนลงไป พลางยิ้ม อย่างมีความสุขหน้าตาระรื่นออกนอกหน้า

“ กลัวล่ะซี้ ก็ต้องกลัวสิเนาะ เพราะที่จริงมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ใช่ไหมล้า หืม ”
เด็กชายกล่าวยิ้มเยาะอย่างสุขสัน พลางเดินใกล้เข้าไปหาเธอ ที่ล้มอยู่
ขณะที่เธอ ส่ายหน้าปฏิเสธ พลางถอยทุลักทุเล ไปด้วยความหวาดกลัว

“ ใช่สิน้า ใช่สิน้า หะๆๆ มันก็ต้องใช่อยู่แล้ว เพราะละครน้ำเน่า ต่างๆมันก็มีฉายให้ดู แล้วก็มาทึกทักเอาเอง ว่าตัวเอง จะไม่พลาด เหมือนอย่างตัวร้ายในละคร โด่ แต่ว่าชั้นเนี่ยนะมันเบื่อเรื่องพวกนี้ซะด้วยสิ
 ชั้นน่ะไม่ยอมอยู่ให้รังแกหรอกเพราะชั้นไม่ใช่คนดี ชั้นน่ะร้ายซะยิ่งกว่าตัวร้ายในละครซะอีก รู้ไว้ด้วย ”
เด็กชายกล่าว พลางตวัดมีดในมือไปมา อย่างสุขสันต์

“ แก..แกมันบ้า..คุณคะ ช่วยฉันด้วยคุณคะอยู่ไหนคะ คุณ ”
เธอร้องให้ สามีมาช่วยแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ ก่อนที่ไม่นาน หัวของ สามีเธอจะลอยละลิ่วลงที่ตักของเธอีกจน เธอต้อง สะดุ้งปัดหัวที่เปื้อนเลือด นั้นออกจากตักอีกครั้งเหมือนหัวของลูกสาวเธอพร้อมกับกรีดร้อง

“ เรียกหามันอยู่ไม่ใช่เหรอ นั่นไงชั้นเอามาให้แล้วเอ้าไม่กอดเหรอ.หึๆ เห็นตอนที่อยู่ต่อหน้ามันทำเป็นก้อร้อก้อติก ออดอ้อน จะเอานักจะเอาหนา แล้วก็มาถีบไสไล่ส่งชั้น ตอนนี้มันก็อยู่นี่แล้วไงเอาซี้ทำเหมือนทุกครั้งไง หะๆๆๆ ”
เด็กชาย กล่าวเสียงสูง ก่อนจะหัวเราะลั่นอย่างอำมหิต ราวกับปีศาจ

“ แก...แกมันปีศาจ ฆ่าได้กระทั่ง พ่อตัวเอง...แกมันไม่ใช่คน..ไอ้เด็กปีศาจ อย่าเข้ามานะ ”
เธอ ตะคอกใส่เพื่อหวังจะให้เด็กชาย ได้ละอาย และเปิดช่องให้เธอ เข้าไปจัดการกับเขาได้
ทว่า ปฏิกิริยาตอบสนองของ เด็กชายกลับไม่เป็นเช่นที่เธอหวังไว้ ไม่ทันไร มือซ้ายของเธอก็ขาด
สะบั้น พร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กชาย ที่ดังขึ้นซ้อนทับกับเสียงกรีดร้องของเธอ

“ ปีศาจงั้นเหรอ...งั้นเหรอ ฮะๆๆ นั่นสิเน้อ ชั้นมันไม่ใช่คนอยู่แล้วนี่ แล้วก็ไม่ใช่ปีศาจด้วย มีพี่ชายแปลกๆคนนึง
เค้ามาบอกกับชั้นว่า ชั้นไม่ใช่มนุษย์ไม่ใช่ปีศาจไม่ใช่เทพ แต่เป็นยิ่งกว่า ชั้นเป็นอานิม่า ”
สิ้นคำของ เด็กชาย มีดในมือก็ถูกเหวี่ยงควงออกไป มีดควงเบี่ยงรัศมี ตัดเฉือน ทั้งหัว ข้อมือข้อเท้าทั้งหมดที่เหลือของเธอ จนขาดสะบั้นสิ้นใจในพริบตานั้น ก่อนที่มีดจะวกกลับมาที่ มือของเขา

“ อื้ม..อร่อยดีจริงๆเลือดของมนุษย์เนี่ย ”
เด็กชายกล่าว พลางเลียกินเลือดบน คมมีดจนหมด ก่อนจะเดินลอยหน้าลอยตาออกจากห้องไป
ทิ้งศพของทั้งครอบครัวเอาไว้ในบ้าน เมื่อออกมานอกบ้าน เจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย ก็มาล้อมเอาไว้
ข้างหน้าหมดเสียแล้ว

“ โอ้ตายล่ะ ลืมไปเลยแหะที่ตัวเอกในเรื่อง ไม่ฆ่าคนเพราะ มันมีกฎหมายรองรับนี่เนอะต้องเล่นตามกติกากันไป แต่มันยุ่งยากอ่ะ ฆ่าๆให้หมดซะก็สิ้นเรื่อง ”
สิ้นคำ มีดที่เหน็บเอาไว้กับสายหนังก็ถูกชักออกมา อีกเล่ม ก่อนที่ จะถูก เหวี่ยงออกไป
แม้ เจ้าหน้าที่ จะมีอาวุธ และ กำลังที่เหนือกว่า แต่ก็ไม่ทันได้ใช้ เพราะต่างก็สังเวยให้กับคมมีดของ เขาเสียแล้ว
เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมๆกับที่ เด็กชายเก็บมีดที่ควงกลับมา

“ ยอดเยี่ยม นายคือมนุษย์คนแรกที่วิวัฒนาการมาเป็น อานิม่า จากนี้ไปนายจะเป็น Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust ที่จะถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบรูณ์ในอีก 50 ปี ข้างหน้านี้ ”
เสียงกล่าวนั้นดังขึ้น ก่อนที่ โครโน่ จะเดินออกมาจาก มุมมืดของบ้าน เข้ามาหาเค้าทางด้านหลัง

“ ต้องรอนานขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงจะได้ฆ่าคนอีกน่ะ กว่าจะถึงตอนนั้น ชั้นก็เบื่อแย่เลยน่ะสิ ”
เค้ากล่าว อย่างเสียงดาย

“ ไม่ต้องห่วง ต่อไปนี่ต่อให้เวลาผ่านไปนาน แค่ไหนนายก็จะโตขึ้นจนมีอายุอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ จากนั้นนายก็จะเป็น อมตะไม่แก่ไม่ตาย และยังมีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ ทั้งมวล ”
โครโน่ กล่าว

“ งั้นถึงตอนนั้นจะฆ่าซักกี่คนก็ได้ใช่ไหม ”
เด็กชายกล่าว ยิ้มเยาะราวกับเด็กเห็นของเล่น

“ แน่นอน ถึงตอนนั้นจะนายให้ฆ่าจนเบื่อเลย ราฟ ”
โครโน่ รับปากอย่างมั่นใจ

“ โอ้ดีเลย รับรองชั้นไม่เบื่อแน่ ”
เด็กชายกล่าว ด้วยความอิ่มเอม เรื่องราวทั้งหมดที่ได้ดำเนินมาถึงตรงนี้  มันคือเหตุการณ์
 ที่ ราฟ Valkyrier เด็กหนุ่มผู้ที่ ทำลาย ทวีป โทร่า กำลัง รำลึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีต ของตน

ขณะที่ยิ้มไปพลางด้วยความสะใจ อยู่ภายในห้อง มืด กับโครโน่ ฮายาเตะ และ Valkyrier
คนอื่นๆ อีก 5 คนที่มาถึงแล้ว ซึ่งก็มี ราฟ กับคู่หูร่วมทีม อีกคนที่นั่งอยู่ในมุมมืดของห้อง กับ
หลีเม่ยและทีมที่พึ่งมาถึง

“ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เชียวนะ ราฟ ”
โครโน่ กล่าวเมื่อได้เห็นสีหน้ายิ้มเล็กยิ้มน้อยของ ราฟ ที่นั่งอยู่มุมห้อง

“ แหม ฆ่าคนจนชักจะเบื่อแล้ว ตายง่ายชะมัด ภารกิจนี้เรากำลังจะไปสู้กับมังกรเชียวนะมังกรน่ะ ได้ฆ่าไอ้ตัวที่มัน
กินยากๆหน่อยสิถึงจะน่าตื่นเต้น ”
ราฟ กล่าวอย่างลิงโลด พลางเลียริมฝีปากด้วยความสะใจ

“ ชั้นไม่เห็นว่าไอ้การนั่งรวบรวม เศษขยะ 12 ชิ้นอย่าง God Send น่ะมันจะช่วยให้ เทอร่าเปลี่ยนแปลงไปได้เลยนะ
แล้วทำไมถึงอย่างนั้น ก็ยังจะ…. ”
หลีเมย่ กล่าวถาม โครโน่ ด้วยความสงสัย

“ ก่อนจะให้ชั้นตอบคำถามนั่น ชั้นว่าเธอพิจารณา ตัวเองหน่อยก็ดีนะว่าอยู่
ในสถานะใด…มนุษย์อย่างเธอน่ะไม่มีสิทธิมาสั่ง ชั้นที่เป็น อานิม่า และยิ่งไปกว่านั้น ชั้นเองก็อยู่ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบการแทรกแซง ทั้งหมดของ Empyrean Adjust ด้วย เพราะ อิสฮาน
ได้สร้างพวกเราขึ้นมาตาม มติของสภามังกรนภากาศ ”

โครโน่ โต้แย้งคำถามของเธอโดยเอาเรื่อง ยศระดับในองค์กร มาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ตอบคำถาม
ทำให้ หลีเม่ย ต้องเงียบไปอย่างไม่มีทางเลือก ล

“ ยัย โลภมากเอ๊ย…เหตุผลแค่นั้นคิดจะเอามาเปลี่ยนแปลงโลก วั้นรึเนี่ย น่าขำสิ้นดี หะๆๆ ”
ราฟ กล่าวเยาะเย้ย ใส่เธอทำให้เธอหันมาทำตาเขม็งใส่ ราฟ

“ เพราะสงคราม ทำให้ครอบครัวของฉันต้องจากไป สงครามพรากเอาทุกอย่างไปจากฉัน
ฉันจะเปลี่ยนแปลง เทอร่า นี้เพื่อที่ความขัดแย้งจะได้หมดไป แล้วเราก็จะได้อยู่อย่างสงบสุข..
แหม ช่างเป็นความคิดที่ นางเอ๋ก นางเอก ซะจริงๆนะ ”

ราฟ แกล้งทำเสียงสูงๆ เพื่อจะเหยียดหยามต่อ อุดมการณ์ของ เธอ

“ ก็แล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือไง พวกเราทุกคนที่นี่ต่างก็ทุกข์ทม จากสงคราม ถึงได้คิดจะขจัดความขัดแย้ง
…..ขจัดไปซึ่งสงครามน่ะ  ”
หลีเม่ย แย้งทว่าทันทีที่ เธอ กล่าวจบ ราฟ ก็หัวเราะขึ้นอย่างชอบใจ เป็นเยาะเย้ย ต่อความคิดของเธอ

“ อ่อนซะจริงน้า..คุณหนู หะๆ อยากจะหัวเราะให้ตาย ทำมาเป็นอ้างโน่นอ้างนี่
ที่จริงเธอเองก็แค่อยากระบายมันเท่านั้นเองนี่ หือ…หึๆ ช่างเป็นชีวิตที่น่ารันทด เนอะ แต่ก็ยังดีที่คนอย่างเธอไม่ได้รอให้ โชคชะตามมารังควานแต่นั่นยังอ่อนเกินไป…. ”

ราฟ กล่าวพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหา เธอ

“ ถ้าเป็นชั้น..จะทำลายมันซะจะฆ่าให้หมดไม่ให้มีเหลือเลย เพราะยังไงซะการทำลาย
 ก็ง่ายกว่าการแก้ไขหรืสร้างมันล่ะนะ…ก็เพราะยังมีความคิดที่ยึดติดกับอดีตอยู่ยังไงเล่า ถึงได้ก้าวข้าม ความเป็นมนุษย์จนกลายมาเป็น อานิม่า แบบชั้นไม่ได้ ไงล่ะ ”
ราฟ กล่าวน้ำเสียง ยียวน พลางเอามือ เชิดปลายคางของ หลีเม่ย ขึ้นมาดูใกล้ๆ โดยที่เจ้าหล่อนไม่อาจขัดขืนได้ทัน

“ เธอนี่จะว่าไป หน้าตาก็ใช้ได้นะนี่ เสียดายที่อีกไม่กี่ปี ก็จะเหยี่ยวเฉาแล้วก็ตายไป
ตามกระแสเวลา หึๆ ”
ราฟกล่าวพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หลีเม่ย เรื่อยๆเพื่อจะขืนใจจุมพิตเธอ ก่อนที่ ผิง กับ หลง ลูกทีม จากยาน ไนเกอร์ที่
เธอ เป็นหัวหน้าทีม  จะเข้ามาแยก ราฟ ออกหลีเม่ย ก็จัดการตบหน้าราฟ ก่อนจะตีตัวออกห่าง

“ นี่เธอ… ”
ราฟ สบถพลางเอามือ กุมใบหน้าที่แดงจาการตบของเธอเมื่อครู่

“ ถึงจะมีระดับชั้นที่สูงส่ง แต่ถ้าต้องลดตัวลงไปทำกิริยา ต่ำทรามแบบนั้น ต่อให้เป็นอมตะไม่แก่ไม่ตายได้
ดิฉันก็ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ แล้วก็ที่ตบเมื่อกี้ ถือว่าสั่งสอนถ้าขืนคุณทำอีกที ต่อให้ เป็น อานิม่า หรืออะไรฉันก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น ”

หลีเม่ย กล่าวพลางปัดแขนเสื้อ แสดงท่าทีเย้ยหยันกลับไปว่า ตัวของราฟ นั้นสกปรกและตกต่ำ
ถึงกับทำเอา เขาเลือดขึ้นหน้าด้วยความเดือด ดาลครั้น ราฟ ลุกขึ้นและพุ่งเข้าไปจะลงมือนั้น
ฮายาเตะ ก็เข้ามา แยกทั้งคู่ออกจากกันทันที

“ กรุณา รักษามารายาทด้วยนี่อบู่ในที่ประชุมนะคะ…ถ้ายังจะมีเรื่องกันอีก ดิฉันก็จะไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน ”
ฮายาเตะ กล่าวดวงตาแข็งกร้าว ทำเอาทั้งสอง ต้องชะงักไป และยอมสงบลงในที่สุด

“ ราฟ การที่เรา อานิม่า เข้าไปหัวใจของคนอื่นได้ ก็ใช่ว่าจะต้องพูดออกมาทั้งหมดนะ ไม่งั้น
นายอาจถูกถอดจากการเป็น อานิม่า เอาดื้อๆได้ เพราะมันไม่ใช่ตำแหน่งที่ ใครจะเอามาใส่ให้ก็ได้
มันขึ้นอยู่กับตัวนายเอง ”
โครโน่ เตือนโดยไม่หันมามอง

“ ไม่ต้องมาขู่กันหรอกน่า ร่างนี้ดีจะตายถ้าเป็นแบบนี้ก็ฆ่าไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกลัวว่า ใครจะฆ่าชั้นทั้งนั้น
ไม่ว่าจะ เทพ ปีศาจ หรือ เวลา ชั้นก็จะทำลายมันได้ทั้งหมด เพราะงั้นร่างนี้ชั้นไม่ยอมให้มันเสียไปหรอก ”
ราฟ กล่าวอย่างมั่นใจ ในขณะที่ หลีเม่ย หรี่ดวงตาแคบลงเพื่อ ชายตามองไปที่ โครโน่ พร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
โดยที่ไม่มีใครเห็น
…………………..
……………….
………………………..

เวลาดลิกเรียน ของ St. Magnus Academy

“ เฟนท์ ดูเหมือนจะลืมไปโดยสมบูรณ์จริงๆแหะ เรื่องที่เรา คือ Dragoon น่ะเพราะเวทย์มนต์ของ R2 เหรอ ”
เรกกะ คิดในใจขณะที่ ฟุบหน้านอนลงบนโต๊ะเรียน พลางหันไปมอง เฟนท์ ที่ยังคงทำการบ้านที่ค้างไว้อยู่แม้จะเป็นพักกลางวัน ก่อนที่จะนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อน

“ เรกกะ ขอคุยด้วยหน่อยสิ เรื่อง Dragoon น่ะ อ๊ะ ”
เฟนท์ ที่พรวดเข้ามาหา เค้ากับ R2 ขณะที่ เดินไปด้วยกันที่ย่านตลาด บาร์ซิงเซย์ ที่พึ่งเปิดให้
ใช้อีกครั้งไม่นานหลังจากการ ก่อการร้ายของ กลุ่ม มาราดัน ทว่า ทันทีที่ เฟนท์ เข้ามาถึง
ตัวของ เรกกะ R2 ที่อยู่ข้างๆ ก็ร่ายมนต์ ใส่หน้า เฟนท์ ก่อนที่เค้าจะสลบไป

“ ท..ทำอะไรน่ะ R2 ”
 เรกกะ ถามด้วยความผวาพลางรีบรับร่างของ เฟนท์ ที่ล้มลง ให้ค่อยๆนอนลงกับพื้น

“ ไม่เป็นไรหรอก เค้าแค่สลบไปน่ะ ฉันจัดการลบความทรงจำเรื่องที่ เรกกะ เป็น
 Dragoon ในหัวของเค้าออกจหมดแล้วล่ะ ”
R2 กล่าวสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ เรกกะ ยังคงไม่วางใจอยู่ดี แต่หลังจากวันนั้น
เมื่อเข้าไปถาม เรื่อง Dragoon เฟนท์ กลับจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ นี่ เรกกะ งานโรงเรียนปีนี้ ชมรมสัตว์เลี้ยงของเราจะทำอะไรดีล่ะ ”
เสียงของ เฟนท์ ดังขึ้นก่อนที่ เรกกะ จะต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นว่า เฟนท์ เดินเข้ามาใกล้ชิดขอบโต๊ะ
จากที่ขานั่งเหม่อ มองไปทาง เฟนท์ อยู่ตลอกโดยไม่รู้ตัว

“ อ..เอ่อ งานโรงเรียนเหรอ  เอ…งานโรงเรียนปีนี้….เอ๋ นี่จะถึงงานโรงเรียนปีนี้แล้วเหรอ ”
เรกกะ อุทานเสียงดัง ด้วยความประหลาดใจ

“ แหงสิ งานจะเริ่ม มะรืนนี้แล้วนะ คนอื่นเค้ารอความเห็นของประธานชมรม อย่างนายอยู่แต่นายก็ไม่เห็นไปที่ชมรมเลย ช่วง หลายอาทิตย์มาเนี่ย ชั้นเลยต้องมาถามนายเอาตอนนี้แทนน่ะ ”
เฟนท์ อธิบายถึงช่วงนี้ที่พักหลังเค้าไม่ได้ ไปที่ห้องชมรมเพื่อเข้า ร่วมประชุมเลย
ซึ่งสาเหตุก็ไม่ใช่อื่นไกล เพราะตลอดสัปดาห์ ก่อนๆนี้ต้องต่อสู้กับ พวกมาราดัน จัดการเรื่อง

มังกรอาละวาด ที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ แล้วยัง มีเรื่องของ ลอว์เรนซ์ ที่มาปรากฏตัว พร้อมกับพลัง
แบบเดียวกับเขา จากเหตุการณ์ ต่างๆเหล่านี้ทำให้เค้า แทบไม่มีเวลาปลีกตัวไป ทำกิจวัตร
ของตนได้ตามเดิม

“ คือแบบว่า ช่วงนี้ มันยุ่งๆอ่ะนะ ก็เลยลืมไปซะสนิทน่ะ ”
เรกกะ แก้ตัวน้ำขุ่นๆไป ทำเอา เฟนท์ ถึงกับถอนหายใจแบบหน่ายๆ

“ เฮ้อ แล้วตกลงจะเอายังไงล่ะ งานจะเริ่มมะรืนนี้แล้ว คงไม่มีเวลามาทำ งานใหญ่แล้วล่ะ ”
เฟนท์ กล่าวพลางถอนหายใจไปด้วยความ เหนื่อยหน่าย

“ เอ่อ นี่เฟนท์ เป็นอะไรไปเปล่า ดูนายเหนื่อยๆชอบกลนะ ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทบไปกับความสงสัย

“ ก็งาน ชมรมปีนี้ชั้นคงช่วย จัดงานไม่ได้แล้วล่ะ เพราะ ไรด์ เค้ามาขอให้ชั้นไปช่วยงานชมรมด้วยน่ะสิ ”
เฟนท์ กล่าวด้วยท่าทีเหนื่อยใจ

“ แต่ ชมรม เจ้าไรด์ มันชมรมศิลปะการต่อสู้นี่ แล้วจะเอานายไปทำไม…ไปเป็นพี่เลี้ยงเหรอ ”
เรกกะ ถามพลางตีหน้างงๆ

“ เป็นนักกีฬา ต่างหาก… ”
เฟนท์ ตอบเสียงเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง

“ หา นักกีฬา นายเนี่ยนะ เจ้า ไรด์ มันกินอะไรผิดสำแดงเข้าไปรึเปล่าเนี่ย ถึงจะให้นายไป เป็นนักกีฬา  ”
เรกกะ อุทานเสียงห้วน ดวงตาถลนด้วยความประหลาดใจ กับคำตอบของ เฟนท์

“ เรื่องมันเริ่มจากที่ ไรด์ มาขอร้องชั้น หลังจาก เปิดประชุม กันเมื่อ สัปดาห์ที่แล้วน่ะสิ ”
เฟนท์ บ่นก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมด

“ น่านะ..ขอร้องล่ะ เฟนท์ ช่วยหน่อยเถอะ เพราะชมรม ชั้นคนไม่พอ น่ะขอร้องล่ะ ชั้นลองไปขอร้อง เจ้า เอมิล มันแล้ว แต่หมอนั่นก็ ปฏิเสธ ไม่ยอมท่าเดียวเลย ขอร้องตอนนี้เหลือแต่นายแล้วนะที่จะช่วยชั้นได้น่ะ..นะขอร้องนะ ”
เฟนท์ แกล้งดัดเสียง ให้เหมือน ไรด์ แล้วพูดประโยค เดียวกับทีเค้าถูก ขอร้องมาให้ เรกกะ ฟัง



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: greamon on April 01, 2009, 04:05:30 AM
“ แต่ที่ไม่เข้าใจเลย ทำไมคนอื่นออกเยอะแยะ ต้องเป็นชั้นด้วยก็ไม่รู้ ”
เฟนท์ ยังคงบ่นอย่างไม่พอใจ ที่ต้องไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัด เพราะเค้านั้นไม่ชอบ ความรุนแรงเป็นที่สุด
(แกเป็น Valkyrier ได้ไงหว้า ฆ่าคนไปกี่หมื่นแล้วน่ะห๊า)

“ เอ่อ ชั้นว่าคงเพราะ ไอ้นี่ล่ะมั้ง ”
ก่อนจะ ควัก เอา เศษกระดาษ จากกระเป๋ากางเกง ขึ้นมา คลี่ออกบนโต๊ะ ซึ่งมันเป็นใบปลิว
ที่เขียนรายละเอียด ของการแข่งประลองยุทธ ที่ชมรม ศิลปะการต่อสู้ จะจัดขึ้นในงานโรงเรียน
ซึ่ง เฟนท์ ทันทีที่ อ่าน รายละเอียด ภายใน ใบปลิว ที่เรกกะ เก็บมา ก็ถึงกับเข่าทรุด

“ ผู้เข้าแข่งขันทุกคน เป็นชายหน้าตาดี พร้อมจะมาประชันกันบนสังเวียน เชิญสาวๆทั้งหลายมากันให้ได้นะ ”
เรกกะ อ่านรายละเอียด ที่บรรทัดล่างสุด ซึ่งพิมพ์ ไว้เล็กๆ

“ บางทีนายก็ดูเอ๋อเกินกว่าหน้าตานะเนี่ย เฟนท์  ”
เรกกะ กล่าวพลางตีสีหน้า เอือมๆ ขณะที่เฟนท์ น้ำตาไหลพราก เป็นสาย ก่อนจะวิ่ง ออกจากห้องไป

“ เจ้า ไรด์ บ้า ออกมาเดี๋ยวนี้น้า ”
เสียงตะโกนเรียกของ เฟนท์ ดังแว่ว มาเรื่อยๆก่อนจะเงียบไป

“ เฮ้อ เอวัง…ขอให้ไปดีนะ เฟนท์…ต่อไปก็ชมรมเราจะจัดงานไรดีเนี่ย เฟนท์ ก็คงอยู่ช่วยงานไม่ได้แล้ว.... ”
เรกกะ บ่นไปพลางเดินคิดไปเรื่อยๆหลังจากที่ ลุกจาก เก้าอี้ เพื่อออกจากห้องย้ายไปหาที่คิดเงียบๆ
ก่อนจะต้องชะงักไป เม ื่อเห็น ใครบางคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่

“ หมอนั่น…คุณพ่อ เอ๊ย..ลอว์เรนซ์ นี่…ตายล่ะหว่า แล้วมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ”
เรกกะ อุทานในใจ ทันทีที่เห็น ลอว์เรนซ์ เดินลอยชาย อยู่แถวลานพักผ่อน ของ โรงเรียน

“ ห๊ะ..เจ้าเบื้อกนั่น มันอยู่นี่เรอะ ดีเลยเราไปอัดมันเลยดีกว่าม้าง เรกกะ ปล่อยไว้ก็ไม่รู้จะมาทำอะไร
รึเปล่า เดี๋ยวชั้นจัดการเอง ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้นในหัว

“ ไม่ได้นะ ทาลิคนัส นายเงียบไปเหอะ เดี๋ยวชั้นจัดการเอง ”
เรกกะ ตะคอกกับตัวเอง ก่อนจะ รีบเดินลงบันได ไปที่ลาน เพื่อไปหยุดลอว์เรนซ์


………………


“ เอ๋ ทำข้าวกล่องเหรอ ”
ไอ เปรยเสียงเรียบด้วยความสงสัย ขณะที่นั่งอยู่กับ โคเว็ท และ มิมิ บนโต๊ะหินอ่อน ในลานพักผ่อน

“ ใช่แล้ว งานโรงเรียนคราวนี้ ไอ เธอจะต้องทำข้าวกล่องให้ เฟนท์ เพื่อมัดใจเค้า ขอเรียกแผนนี้ว่าปฏิบัติการ
ข้าวกล่องคว้าหัวใจ เจ้าค่า ”
มิมิ กล่าวเสียงระรื่น

“ ท..ทำข้าวกล่องเหรอ ”
ไอ ตอบเสียงตะกุกตะกัก ด้วยความไม่แน่ใจ กับแผนของเพื่อสาวร่างท้วมของเธอ

“ ใช่แล้วล่ะ ฉันศึกษามาแล้ว การทำข้าวกล่องให้ผู้ชายที่เราชอบเป็นการแสดง
ถึงความเป็นแม่ศรีเรือนให้ อีกฝ่ายเห็นและจะทำให้เค้าเกิดความไว้วางใจ
 ในตัวเราได้ด้วย รับรองชัวร์ไม่มั่วนิ่มเพราะ
ฉันศึกษามาจาก การ์ตูนที่พึ่งดูจบไปสดๆเมื่อวานนี้เอง ”
มิมิ กล่าวจบ ก็ทำเอา สองสาวตีหน้าเซง ไปตามๆกัน

“ ทำเป็นพูดไป แล้วใครจะสอน ไอ ทำได้ยะ ก็รู้อยู่ว่า ไอ น่ะนอก
จากของหวานแล้ว ทำอะไรไม่เป็นเลย ”
โคเว็ท แย้งขึ้น ทำเอา มิมิ นิ่งไปด้วยเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

“ มิมิ นี่ถ้าเป็นเรื่องกินเนี่ย ไม่เคยปล่อยให้พ้นเลยนะ..ฮิๆ ”
ไอ กล่าวพลางหัวเราะขบขัน ไปพลาง ทำเอา มิมิ ถึงกับเขินอายไป

“ สาวน้อยที่กำลังมีความรัก งั้นหรือ…ถ้าคิดจะทำอาหารเพื่อไปสารภาพความในใจ นั้นเป็นนับวิธี
ที่ถูกต้องตามตำราเลยทีเดียว(เล่มไหนหว่า) ”
เสียงดังขึ้นด้านหลังกลุ่มของพวกเธอ ก่อนจะหันควับไปพร้อมกัน

“ นายเป็นใครเนี่ย ”
โคเว็ท ถามพลางกัน ไอ ให้ห่างออกจากเจ้าของเสียง

“ มาแอบฟังผู้หญิงคุยกันได้ไงยะ ไม่มีมารยาทเลย ”
มิมิ ด่าสวนกลับไป แต่อีกฝ่ายซึ่งก็คือ ลอว์เรนซ์ นั้นกลับหมุนตัว สะบัดไม้สะบัดมือ
โดยไม่ฟัง คำพูของ ทั้งสองแม้แต่น้อย


“ ใครงั้นเหรอ...ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยชั้นน่ะ เรื่องทำอาหาร ไม่เป็นรองใครเลย ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวหลังจากที่ หมุนตัวแสดงลีลา ประหลาดๆ จบ

“ หา..จริงอ่ะงั้นนายก็สอนให้ ไอ ทำอาหารได้สิ ”
มิมิ กล่าวเสียงทุ้ม

“ มิมิ ..หมอนี่เป็นใคร เรายังไม่รู้จักเลยนะ จะให้ ไอ ไปเรียนด้วยได้ไง แถมเป็นพวกต้มตุ๋นรึเปล่าก็ไม่รู้ นักเรียนของ ที่นี่ก็ไม่ใช่ซักหน่อย เข้ามาได้ไงน่ะนาย  ”
โคเว็ท แย้ง มิมิ ไว้ก่อนจะหันไป สวน ใส่ ลอว์เรนซ์ ทว่าก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะได้ทันตอบอะไร
เรกกะ ก็วิ่งเข้ามารวบตัวเค้า ทันที จนล้มลงไปทั้งคู่

“ นี่นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ”
เรกกะ กล่าวพลางรวบไว้ ไม่ให้ ลอว์เรน์ ดิ้นหนีหลุดไป เนื่องจากคราวก่อน
หลังจาก จัดการเรื่องต่างๆเสร็จ ยังไม่ทันที่ เรกกะ จะได้ถามถึงเรื่องราวจาก ลอว์เรนซ์

เค้าก็รีบชิ่งหนีหายไปซะก่อน ครั้งนี้ทำให้เค้าตัดสินใจรวบตัวไว้ทันที เพื่อไม่ให้หนีไปง่ายๆ
ต่อหน้าสามสาวที่มองดูทั้งสองด้วยความงุนงง

“ แล้วนี่นาย จะมา กดตัวชั้นไว้ทำไมเนี่ย ปล่อยนะ ”
ลอว์เรนซ์ ตะคอก พลางดิ้นไปมาเพื่อสลัดให้หลุดจาก เรกกะ

“ เอ่อ นี่เธอสองคนรู้จักกันเหรอ ”
โคเว็ท กล่าวถามด้วยความสงสัย ขณะที่ ทั้งสองยะงคงคลุกกันไปคลุกกันมาอยู่บนพื้น

“ อ๋อ หมอนี่น่ะ… ”
เรกกะ กล่าวยังไม่ทันจบ ลอว์เรนซ์ ก็สลัดหลุดจากตัวเค้าได้สำเร็จพลาง ลุกหนีทันที
ขณะที่ เรกกะ รีบลุกตามจะไปสกัดไว้ไม่ให้หนี แต่ ลอว์เรนซ์ ก็วิ่งไปซะแล้ว

แต่ไม่ทันไร มิมิ กลับเข้าไปรวบตัว ลอว์เรนซ์ ไว้หน้าตาเฉย สร้างความงุนงงให้
กับทั้งสองฝ่าย

“ นี่นายทำอาหารเป็นใช่มะ งั้นช่วยสอนเพื่อชันหน่อยสิ ”
มิมิ กล่าวจบก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากตัว ลอว์เรนซ์ มาโดยไม่สนแรงฝืนของ อีกฝ่ายเลย

“ มิมิ ก็บอกแล้วไง.. ”
โคเว็ท กล่าวย้ำแต่ ว่า มิมิ ก็ยกมือขึ้นปรามไว้ก่อน

“ ก็เธอบอกเองนี่ โคเว็ท ว่าไม่ไว้ใจเค้าเพราะเป็นคนแปลกหน้า แต่นี่เค้าเป็นคนรู้จักของ
เรกกะ นี่เนอะงั้นก็ไม่ใชคนที่ไม่น่าไว้ใจ จริงไหม เรกกะ ”
มิมิ กล่าวรวบรัดตัดความพลางบีบแขน ของ ลอว์เรนซ์ ที่ขัดขืนซะจน ลอว์เรนซ์ ต้องยอมแพ้กับแรงช้างสาร
ของเธอไป ทำเอา เรกกะ สะดุ้งจนต้องพยักหน้าตอบไปแบบ ไม่กล้าปฏิเสธ

“ เอาเถอะ ถ้า เรกกะ ว่าอย่างนั้น งั้นให้เค้าเป็นอาจารย์สอนให้ ไอ ก็ได้งั้นพรุ่งนี้เย็นมาเจอกันที่นี่อีกทีนะ ”
โคเว็ท ยอมแพ้ในที่สุดแต่ก็เห็นดีด้วยที่จะให้ ลอว์เรนซ์ เป็นคนมาสอน เพราะนอกจากเค้าพวกเธอก็ไม่รู้จะไป
ขอให้ใครมาสอน ในช่วง งานโรงเรียน นี้ได้อยู่แล้ว เมื่อตกลงกัน ได้สามสาว ก็ขอตัวแยกกลับไปก่อน ทิ้ง ให้ ลอว์เรนซ์ กับ เรกกะ อยู่กันตามลำพัง

“ นี่..ว่าจะถามตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ พวกมังกรที่ นายผนึกมันลงในไพ่น่ะ มันมาจากไหนเหรอ แล้วส่ง
พวกมันไปที่ไหน แล้วยัง ยานบินยักษ์นั่นอีก..ถ้ายังไงจะช่วยตอบคำถามพวกนี้ทีได้ไหม ”

เรกกะ หันไปขอร้องทันที เมื่อเห็นว่า ลับตาผู้คนแล้ว เพราะนักเรียน คนอื่นๆก็ไปทำ กิจกรรม
ชมรมเตรียมงานโรงเรียนกันหมด

“ เรื่องพวกนั้นน่ะเหรอ…นี่นายลงทุนตะครุบ ตัวชั้นจนลงไปกลิ้งขนาดนี้เพื่อที่จะถามเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ ”
ลอว์เรนซ์ ถามพลางตีหน้าเบ้ ใส่ด้วยความแปลกใจ ซึ่ง เรกกะ ก็พยักหน้ารับว่าใช่

“ เฮ้อ…นายเนี่ยน้า…เอาเถอะเรื่องนั้นจะตอบคำถามให้ก็ได้ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางถอนหายใจ อย่างรับไม่ได้

“ ชั้นน่ะมาจากอดีต เมื่อสองร้อยปีก่อน ด้วยยาน คอสมิก แสวน (Cosmic Swan) เพราะตัวชั้นในอนาคตขอร้องมา
ให้ช่วยปลดปล่อย เมอริเซีย และจัดการกับหายนะ ที่กำลังจะมาถึง ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวตอบไปพลางนวดข้อมือข้างที่ถูก มิมิ บีบเพื่อบรรเทาอาการปวด

“ ปลดปล่อยเมอริเซีย…แล้วก็จัดการกับหายนะ…หายนะอะไร และปลดปล่อยอะไร
 แล้วก็คนที่ส่งนายมาน่ะหรือว่าจะเป็น… ”
เรกกะ ยิงคำถามใส่ไม่หยุด ทว่ายังไม่ทันที่ ลอว์เรนซ์ จะได้ตอบ ก็เกิดแรงสะเทือน ขึ้นก่อนที่พื้นที่พวกเค้ายืนอยู่จะถล่มลงไป แต่ ลอว์เรนซ์ กระโจนตัวทันพร้อมกับ พา เรกกะ ออกมาจากตรงนั้น

“ นี่มัน อะไรกัน ”
ลอว์เรนซ์ สบถ ขณะที่ แผ่นดินยังคงสะเทือนอยู่เนือง ไม่นาน พื้นดินก็ถล่มลงเป็นจุดๆ จนเกิดหลุม
ขึ้นทั่ว ลานก่อนที่ นักรบมารในชุดเกราะเหล็กจะ โผล่ขึ้นมาจาก หลุมนับสิบทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“ ป…ปีศาจ ”
เรกกะ ร้องผวาด้วยความตกใจ กับสิ่งที่เห็น พวกเค้าถูก้อมรอบไปด้วย กองทัพ นักรบมาร
นับสิบที่โผล่มาจากใต้ดิน ซึ่งพวกมันนั้นเองที่เป็นต้นเหตุแห่งความสะเทือน ของแผ่นดินเมื่อครู่

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n021/78.jpg)

“ ชิ โผล่กันมาจากไหนล่ะเนี่ย ”
ลอว์เรนซ์ สบถ พลางมองไปรอบๆเพื่อสังเกตท่าทีของพวกมัน

“ ต้องรีบแปลงร่างแล้ว ช่วยหน่อยนะ ทาลิค… อ๋อย ”
เรกกะ กล่าวได้ไม่ทันจะขาดคำ อยู่ๆก็ฟุบไปเอาเสียดื้อๆ

“ อ้าวเฮ้ย เป็นไรไปน่ะ ตื่นสิ ตื่น เฮ้ย ตอนนี้มีนายคนเดียวที่แปลงร่างได้นะ ตื่นเร็วสิ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพร้อมกับพลิกตัว เรกกะ ขึ้นมาเขย่าให้ตื่นแต่ก็ไม่ได้ผล

“ ตายล่ะหว่า ทำไงดี…เอาก็เอาเป็นไงเป็นกัน อย่ามาถือโทษโกรธกันเลยนะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ตบมือลงที่ใบหน้าของ เรกกะ เต็มๆแรงเสีย หนึ่งฉาดเข้าให้
แต่ เรกกะ ก็ยังคงไม่ฟื้นอยู่ดี

“ หมอนี่ ดันขี้เซาซะอีก ทำไงดีล่ะเนี่ย ยูปี้ ก็ไม่อยู๋แถวนี้ซะด้วย  ”
ลอว์เรนซ์ สบถตอนนี้สถานการณ์ เข้าขั้นวิกฤติ เต็มที่ เพราะ นักรบมาร ได้ขึ้นจากหลุมและบุกเข้ามารุมกินโต๊ะ
กันเรื่อยๆแล้ว

“ Charge Rider Water Blade ”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นมาก่อนที่ นักรบมังกรหญิงเฟินร์กอลโลเอี่ยนแห่งราชวงศ์ จะกระโดดลงมากลางวงพร้อมกับ
ตวัด ดาบปลายคู่ในมือ ซึ่งที่คมดาบนั้น ถูกห่อหุ้ม ไว้ด้วยน้ำ เมื่อควงตวัดไป ก็ทำให้เกิดคลื่น
น้ำพุ่งออกไป ผ่าร่างของ เหล่านักรบมารจน หมดสิ้นในที่สุด

“ นี่เธอ… ”
ลอว์เรนซ์ ถามได้ไม่ทันจะขาดคำ นักรบหญิง ก็ปลดเข็มขัดติดกลไกออก ก่อนที่มันจะสลายไป พร้อมกับที่
นักรบหญิง ได้กลับคืนร่างเป็น ไอ ล้มหมดสติลง ทำเอา ลอว์เรนซ์ ทั้งอึ้ง และสับสนกันไปเลยทีเดียว


“ เด็กคนนี้ ที่อยู่กับสามสาวนั่นนี่ แล้วทำไม… ”
ลอว์เรนซ์ เองก็ถึงกับพูดไม่ออก กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ ลอว์เรนซ์.. ”
เสียงหนึ่งดังก้องมาแต่ไกล ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น ยูปี้ มังกรภูตของ ลอว์เรนซ์ นั่นเอง
ที่ตะโกนเรียกชื่อเค้าพร้อมกับบิน เข้ามาหา

“ ทำไมถึงได้มาช้านักล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ ตะคอกด้วยความไม่พอใจ

“ ขอโทษด้วยนะ เที่ยวเพลินไปหน่อย เลยกว่าจะ หาทางมาพบ ลอว์เรน์ ได้ก็เล่นเอานานเลยล่ะ ”
ยูปี้ กล่าวขอโทษ พลางก้มหัวแสดงความสำนึก

“ ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้ช่วยกันแบบ ตัวสองคนนี้ ไปที่ปลอดภัยก่อนเถอะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ หามร่างไร้สติของ เรกกะ ขึ้นและพาเดินไปโดย มี ยูปี้
ใช้พลังของ ภูตมังกร เข้าช่วย เสกให้ ร่างของ ไอ ลอย ตามมาได้
พวกเค้าจึงพากันไปนั่งพัก ที่ม้านั่งใกล้ๆ

………………
……………………..

“  ไรด์ ไปไหนกันล่ะเนี่ย ยิ่งเวลาแบบนี้ด้วย ”
เฟนท์ ที่ยังคงตามหา ไรด์ เพื่อที่จะเฉ่งเรื่องมาหลอกให้ ตัวเขาไปช่วยงานชมรม

“ หาใครอยู่น่ะ...แล้วนี่นายลืม ที่ชั้นนัดไว้แล้วรึไง ”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลังทำเอา เฟนท์ สะดุ้งหันควับกลับด้วยความตกใจ ก่อนจะ
ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเป็น เอมิล และก็นึกขึ้นได้ว่า เอมิล นัดเขาไว้ เมื่อเช้า

“ โทษที ลืมซะสนิท เลย ”
เฟนท์ กล่าวขอโทษ พลางตีหน้าซื่อๆ

“ เฮ้อเอา เถอะเข้าเรื่องเลยละกัน ”
เอมิล ถอนหายใจด้วยความหน่ายเหนื่อย ก่อนจะปรับ อารมณ์ ให้จริงจังขึ้น
ทำเอา เฟนท์ เองพลอยสงสัยไปด้วยว่าเรื่องที่ เอมิล จะพูดกับเค้าคืออะไร (คงไม่ใช่สารภาพรักหรอกนะ - -)

“ ชั้นขอถามนายตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยละกันนะ...นาย กับ ไอ โอดิลอน(Ai, The Successor of Lemuria)
มีความสัมพันธุ์ แบบไหนอยู่กันแน่ ”
เอมิล ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคำถามของเค้าก็ทำเอา เฟนท์ อึ้งไปซักพัก

(http://images.temppic.com/31-03-2009/images_vertis/1238518479_0.10212700.jpg)

“ หมายถึง ไอ น่ะเหรอ..ชั้นกับเค้าเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง ”
เฟนท์ ตอบเสียงเรียบ พลางตีหน้าซื่อๆ

“ แน่ใจนะ..ว่าแค่นั้นน่ะ ”
เอมิล ย้ำถามอีกครั้ง ซึ่ง เฟนท์ ก็พยักหน้าตอบกลับ เมื่อเหน็ดังนั้น เอมิล จึงตัดสินใจบางอย่าง

“ งั้นก็ดีแล้ว ..แต่ขอเตือนอะไรไว้อย่างหนึ่ง นายอย่ามีความสัมพันธ์ เกินเลยกับเธอไปมากกว่านี้เลยนะ ”
เอมิล กล่าว พลางเดินเข้าไป คว้า เอา Terminal Crisis ของ เฟนท์ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของ เฟนท์

“ อย่าลืมซะล่ะ นายน่ะเป็น Valkyrier เป็นผู้ที่เลือกจะเสียสละตนเองให้กับ เทอร่า
นี้แล้ว จากนี้ไปนายจะต้องทำให้คนอีกหลายคนต้องเสียใจแน่

เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อเธอแล้ว ก็อย่าให้เธอต้องมา
เสี่ยงด้วยเลย เพราะฐานะของ นายในตอนนี้ไม่อาจเลือกทางเดินภายใต้แสงสว่างได้หรอก .... ”

เอมิล กล่าวพลางยื่น Crisis Terminal คืนให้กับ เฟนท์ ก่อนจะเดินจากไป โดยไม่หันกลับมามอง
ทิ้งให้ เฟนท์ ครุ่นคิดกับคำพูดของเค้าตามลำพัง

...................
.......................

สภาความมั่นคง สูงสุดแห่งนิคโคอุ() ประเทศนิคโคอุ

ภายในห้องรับรองซึ่งปูด้วยเสื่อผืนใหญ่ มีเบาะรองนั่ง 7 เบาะด้วยกันและมีผู้นำ 7 ตระกูลใหญ่ แห่งนิคโคอุ
นั่งกันอยู่พร้อมเพรียง โดยที่ ข้างหน้า เหล่าผู้นำทั้ง 7 นั้น เป็นเด็กสาวสวมชุดกิโมโน นางดูเหมือนจะเป็น
ผู้มีศักดิ์สูงที่สุดในบรรดา ผู้ที่เข้าประชุมในห้อง เพราะนาง นั่งที่เบาะ ซึ่งอยู่ข้างหน้าเหล่าผู้นำทั้ง 7

“ ท่านหญิง คางุยะ (Kanguyai) การมอบ Rider System ที่เสร็จสมบรูณ์แล้ว ให้กับเธอคนนั้นมันจะดีหรือขอรับ ”
ชายแก่คน ใน 7 ตระกูล ใหญ่ กล่าวถามเธอ

“ แน่นอนค่ะ ท่าน รินกุมาอิ(Ringumai) ดิฉันคิดว่า ไอ จะต้องทำสำเร็จแน่ เธอจะจัดการ เหล่า อาคูม่า ทั้งหมดได้แน่   ”
คางุยะ ตอบด้วยท่าทีสงบ

“ แล้วตอนนี้ การประชุม สากล ที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ เรื่องความร่วมมือในการจัดการกับ Empyrean Adjust ล่ะ ทางเราจะทำเช่นไรดีคะ ”
หญิงวัยกลางคน ที่เป็น หนึ่งในผู้นำ 7 ตระกูลใหญ่ ก็แย้งถามขึ้นมาอีกเรื่อง

“ ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนนี้คุณ อุชิมารุ(Ushimaru) กำลังติดต่อไปทาง บริทเทเนอร์ โดยสิทธิ์ ในการตัดสินใจ
อยู่ที่ท่านพี่ เซโร่ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ ดิฉันคงไม่สามารถให้คำตอบได้ ”
คางุยะ ตอบคำถามของนางจบ เธอก็ลุกขึ้นเดิน ออกจากที่ประชุมไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน จากบรรดา ผู้นำตระกูลทั้งหมด

“ ท่านพี่ เซโร่ มัวไปทำอะไรอยู่ที่ บริทเทเนอร์นะ แถม Rider System ก็ยังเอาไปให้ ไอ ใช้อีก
ถึงจะบอกว่าให้ เรโค่ ใช้ Genesis  ให้เธอจัดการกับ อาคูม่า ตามคำสั่งแล้วก็เถอะ ”
คางุยะ คิดขณะที่เดินไปตามระเบียงที่มืด สลัว

...............
.......................

“ ที่นี่มัน.... ”
เรกกะ เปรยขณะที่ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆเพื่อปรับแสง
ก่อนจะลุกพรวด ขึ้นมาด้วยความตกใจ พร้อมกับ มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครเลย

“ หาใครอยู่เหรอ ถ้าเป็น ยัยหนูนั่น กับ เจ้าเบื๊อกตัวปลอมล่ะก็ กลับกันไปแล้วล่ะ ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังก้องขึ้นมา ก่อนที่ เรกกะ จะเอามือ กดบริเวญ กระหม่อม
เพื่อระงับความปวด เค้าพยายามจะนึกให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้น

“ ว่าแต่นี่มันอะไรกัน ความรู้สึกเมื่อกี้..มัน...อุบ ”
เรกกะ เปรยเงียบๆก่อนจะ ต้องย้ายมือมาปิดปากด้วยความสำลัก ไม่นานในหัวก็มีภาพหลั่งไหล
เข้ามา อย่างรวดเร็ว  ทั้งบุคคลที่เค้าไม่รู้จัก ภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นสีแดงไปหมด

ทุกอย่างได้ผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ เค้าจะรู้สึกตัวอีกที ก็กลับจำสิ่งที่เห็นผ่าน
เข้ามาทั้งแทบไม่ได้

“ นั่นมัน..อะไรกัน ”
เรกกะ คิดขณะที่ตัวเค้าล้มทรุดลงไปจากม้านั่ง ด้วยความอ่อนแรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทั่วทั้งร่าง

“ เฮ้ยเป็นไรไปน่ะ เรกกะ ...เรกกะ ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ ถ้าไม่ไหว ก็เข้ามาพักก่อนก็ได้ ข้าจะออกไปแทนเอง ”
เสียงของ ทาโซรอส ดังขึ้นบ้างพร้อมกับ เสนอที่จะเป็นคน ออกไปคุมร่างในตอนนี้

“ หรือถ้ายังไงจะให้เรา จัดการแทนก็ได้นะ ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้นบ้าง ตอนนี้เสียงของทั้ง สาม บุคลิคนั้นต่างก็ก้องไปหมดในหัวของ เขาจนเริ่มรู้สึกวิงเวียน
ก่อนจะฟุบไปในที่สุด แต่ทว่าไม่ทันไร เค้าก็ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง และตีสีหน้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ เย้..ได้ออกมาข้างนอกแล้ว...จะไปหาพี่สาวล่ะ ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียงไม่เหมือนทุกครั้ง ก่อนจะเดินไปเขย่งกระโดดไป เหมือนเด็กๆ

“ นี่ มาอีกแล้วเหรอ... ”
เสียงของ บุคลิค ทั้งสามดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน
เมื่อ บุคลิค ที่4 ได้ปรากฏขึ้นในตอนนี้

………………........................
........................................................

วันต่อมา หลังพักเที่ยง ของ St. Mugnus Academy

“ เฮ้อ เพราะเมื่อวาน มีใหม่มาอีกคน เลยทำเอาวุ่นไปกันหมดเลย ดีนะที่ความไม่แตกน่ะ ”
เรกกะ บ่นด้วยสีหน้าหน่ายๆ ขณะที่ เดิน เข้ามายังห้องเรียน
พร้อมกับในมือถือ แฟ้มงาน ซึ่งมีแผนงานของ ชมรมสัตว์เลี้ยง ที่เค้านั่งวางแผนงานมาทั้งคืน จะมาแจ้ง
เพื่อเริ่มงานในวันนี้ ก่อนที่เค้าจะนั่งลงหลังจากวาง ของต่างๆลงบนโต๊ะเรียนของตนเรียบร้อย ก็ต้อง

ชายตาไปมองด้วยความสนใจ เมื่อเห็น เฟนท์ นั่งซึมอยู่คนเดียว
โดยที่วันนี้ไม่เห็น ไอ เข้ามคุยด้วยเหมือนทุกครั้ง

และเมื่อมอง ไปที่โต๊ะของ ไอ ก็ไม่มีใครนั่งอยู่

“ หรือว่าเพราะเรื่องเมื่อวานที่ ทาลิคนัส เล่าให้ฟังรึเปล่านะ หรือว่า ไอ จะเป็นอะไรไป ”
เรกกะ คิดในใจ ก่อนจะล้มตัวลงนั่งกับเก้าอี้

“ อีกอย่าง อัศวินมังกรน้ำคนนั้น คือ ไอ จริงน่ะเหรอ...จะปฏิเสธยังไงก็เถอะ แต่ตอนนั้นเราเองก็เห็นกับตาเลยนี่ ”
เรกกะ คิดพลางนึกย้อนถึงตอนที่ โรงเรียนถูกกลุ่มก่อการร้ายเข้ายึด


“ .....ถ้ายังไงก็อย่าให้เธอต้องเสี่ยง เข้ามาพัวพันกับเรื่องของพวกเราเลยจะดีกว่า....ตัวนายในตอนนี้น่ะ ไม่อาจ
ก้าวเดินไปในแสงสว่างได้หรอกนะ.... ”
คำพูดของ เอมิล นั้นยังคงก้องอยู่ในหัวของ เฟนท์ ตั้งแต่เมื่อวานเย็น จนถึงตอนนี้เค้าก็ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่
เอมิล ต้องการจะสื่อเลย ครั้นจะไปถาม เอมิล ก็กลับลาหยุดในวันนี้ โดยไม่ทราบสาเหตุอีกเช่นกัน

ส่วนไรด์ หลังจากที่เค้าบอก ปฏิเสธ เรื่องไปช่วยงานที่ชมรมของ ไรด์ ไปเมื่อวานแล้ววันนี้
เป็นวันเตรียมงานก่อนถึงวันงาน ชั่วโมงเรียนคาบบ่ายทั้งหมดจึงถูกยกเลิก เพื่อให้นักเรียนได้ เตรียมงานกัน

ไรด์ จึงออกไปจัดการงานชมรม และไม่ได้เข้ามาที่ห้องเรียนเลย รวม ไปถึงพี่สาวของเค้า ซาน เอง
ก็ง่วนอยู่กับงานชมรมจนไม่ได้กลับมาที่บ้านแต่ค้างคืน ที่ห้องชมรมเลย ทำให้ตั้งแต่เมื่อวานหลังจากนั้น เค้าก็ยังไม่ได้คุยอะไรกับใครเลย เช่นกันกับตอนนี้ ที่ในห้องนั้น ไม่มีนักเรียนอยู่ในห้อง นอกจาก เค้ากับ เรกกะ เท่านั้น

“ นี่ เฟนท์ นายไปบอกเลิกงานช่วยชมรมของ ไรด์ หรือยัง.... ”
เรกกะ เข้ามาถาม เฟนท์ ทว่าคำพูดของ เค้านั้น ทำให้
เฟนท์ ชะงักไปชั่วขณะ

“ บอกเลิก...ถ้า เอมิล ว่าอย่างนั้นล่ะก็ชั้นว่านาย บอกเลิก กับ ไอ ไปซะจะดีกว่า...... ”
จากคำพูดของ เรกกะ ทำให้ เฟนท์ ย้อนนึกถึงบทสนทนาที่เค้าเล่าเรื่องที่ เอมิล พูดกับเขาให้
ไรด์ ฟังหลังจากที่ขอยกเลิกการไปช่วยงานชมรม

“ บอกเลิกงั้นเหรอ..แต่ชั้นยังไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าจริงจังเลยนะ ”
“ ก็นั่นล่ะ..ถึงตอนนี้ตัวนายจะไม่ได้คิดจริงจังกับเธอ แต่ไม่ลองคิดดูบ้างเหรอ
ว่า เธอรู้สึกยังไงกับนายบ้างน่ะ ”

บทสนทนาต่างๆนั้นทำให้เค้าต้องมาทบทวนถึงเรื่องที่ เอมิล พูดไป ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ เฟนท์ได้ยินรึเปล่า เฟนท์ ”
เรกกะ ยังคงเรียกต่อไป เมื่อเห้นว่า เค้านิ่งไปอยู่นาน

“ ห..โทษที......มีอะไรเหรอ.. ”
เฟนท์ กล่าวตอบด้วยความสะดุ้ง

“ นายไม่สบายรึเปล่าเนี่ย..เอ้อช่างเถอะ มาถามว่านาย ยกเลิกเรื่องที่ไปช่วยงานชมรมของ ไรด์ แล้วใช่ไหม..จะให้ช่วยงานหน่อยน่ะ ”
เรกกะ กล่าวถามพลางวาง แฟ้มงานลงบนโต๊ะ

“ ยกเลิกเรียบร้อยไปแล้วล่ะ ว่าแต่จะให้ช่วยอะไรเหรอ ”
เฟนท์ ถามพร้อมกับ รับเอา แฟ้มงานมาเปิด

“ นายช่วย เอางานพวกนี้ไปแจกแจงให้ ทุกคนที่ชมรมทีนะ รายละเอียดงานชั้นเขียนเอาไว้แล้วล่ะ ฝากจัดการที่เหลือด้วยล่ะ ”
เรกกะ กล่าวพลางชี้นิ้วไปที่กระดาษที่เค้าบันทึกรายละเอียด การทำงานต่างๆไว้หมดแล้ว
ให้ดู

“ ได้สิ ว่าแต่แล้วนายจะไม่ไปคุมงานหน่อยเหรอ ”
เฟนท์ หันไปถามขณะที่ เก็บแฟ้ม เพื่อเตรียมที่จะลงไปที่ห้องชมรม

“ คือชั้นมีธุระที่จะต้องไปทำ ก่อนน่ะเรื่องสำคัญมากๆเลยด้วย..คงจะกลับมาช่วยงานวันนี้ไม่ได้ล่ะ ”
เรกกะ กล่าวจบก็ โบกมือลง พลางก้าวเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่ พ้นสายตาของ เฟนท์ แล้ว เค้าก็ควักเอาเศษกระดาษในกระเป๋าเสื้อออกมาคลี่ดู
ซึ่งในนั้นเขียนไว้ว่า

[เรกกะ จาก R2 นะ เรื่องการแทรกแซงทวีปโทร่า ของ Empyrean Adjust ที่ว่าเรื่องนี้มันแปลกๆอยู่ก็เลยออกตามสืบดู ตอนนี้เลยทำให้รู้ว่า กำลังจะมีการจัดประชุมสากล จาากทุกประเทศ มรวมกันเพื่อหาทางรับมือกับ Empyrean Adjust ฉันคิดว่าพวก Valkyrier คงไม่ปล่อยไว้แน่ พวกเราก็เลยล่วงหน้ามาก่อน การกระทำของพวกนั้นเริ่มไม่น่าไว้วางใจแล้ว ถ้ายังไงฉันก็อยากจะให้เธอมาช่วยทางนี้ที เพราะฉันคนเดียวคงรับมือพวกนั้นไม่ไหวแน่ การประชุมจะจัดขึ้นที่สถาทูต โลกอส ในคืนวันพรุ่งนี้]

เนื้อความในจดหมายนั้นถูกเขียนขึ้นเมื่อวานที่ผ่านมา ก่อนจะถูกนำมาส่งให้กับ เรกกะ โดย แมกกี้

(http://images.temppic.com/31-03-2009/images_vertis/1238518479_0.80259900.jpg)

“ มิตรภาพมันพังทลายลงได้ง่ายๆแบบนี้เลยงั้นเหรอ… ”
เรกกะ คิดขณะที่ขยำเศษกระดาษในมือแล้วเก็บซุกเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง
พลางเดินไปพิงกำแพงยืนคิดเรื่องราวต่างๆเพื่อรอ อะไรบางอย่าง ก่อนจะนึกย้อนไปถึง
หลายวันก่อนที่ ข่าวการสูญหายของ ทวีป โทร่า บานปลายขึ้นมา

“ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน พวก นั้นบ้าไปแล้วเหรอถึงได้ทำลายทวีป ทำลายชีวิตไปนับแสนชีวิตน่ะ ”
เรกกะ ที่ได้ฟังข่าวที่ออกอากาศ ไปยังทุกประเทศ ได้ขึ้นมา ถก กับ R2 และ มาธิอัส
บนยาน ไซเบอริก้า ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ประดั่งถูกหักหลังก็ไม่ปาน

“ ที่จริง ชั้นก็เองก็ไม่ได้เห็นด้วย กับการใช้กำลังอาวุธ มนการขจัดความขัดแย้งอยู่ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
แต่เพราะนายเองไม่ใช่เหรอที่บอกให้พวกเรา สนับสนุนการกระทำของ เพื่อนนายน่ะ ”
มาธิอัส กล่าวโดยยังคงวุ่นอยู่กับแผงควบคุมและไม่หันมามอง เค้าเลยแม้แต่น้อย



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: greamon on April 01, 2009, 04:05:54 AM
“ ก็ชั้นน่ะคิดว่า….คิดว่า…. ”
เรกกะ โต้กลับไปทันที แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว คนที่บอกว่าจะสนับสนุนพวก เฟนท์ ในตอนแรกก็คือเค้าเอง
จึงทำให้เค้าเงียบไป

“ คิด เหรอ…หึหื้อ ชั้นว่านะนายน่ะแค่อยากจะช่วยเพื่อนซะมากกว่า
แล้วก็ไม่ได้ดูผลการกระทำของ เพื่อนนายเลย..  ”
มาธิอัส ตอบกลับไปเสียงเรียบ ทว่าเนื้อหานั้นก็แทงใจเค้าไปตรงๆ ทำเอาพูดโต้ไม่ออก
มาธิอัส เมื่อเห็นว่า เรกกะ ยังเงียบไม่ตอบโต้ ก็วางมือจาก แผงควบคุม แล้วหันมาต่อว่า

“ ที่แล้วมาการกระทำของพวก Empyrean Adjust น่ะก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกตั้งแต่แรก แล้วนายเคยลองคิดบ้างมั้ยว่า
การแทรกแซงทุกๆครั้งน่ะ ต้องมีคนพลีชีพไปเท่าไหร่ แม้แต่คนที่ไม่รู้ อีโหน่อีเหน่ ก็ยังต้องมารับเคราะห์
ไปด้วย พวกคนที่ไม่ได้รับรู้อะไรก็พากันหลงไปกับคำพูดสวยหรู ว่านี่เป็นการทำเพื่อสันติ  ”

มาธิอัส ต่อว่าใส่อย่างรุนแรง ขณะที่ เรกกะ ก็ได้แต่ก้มหน้ารับผิด ที่แม้แต่ตัวเค้าเองก็
หลงไปกับความเย่อหยิ่ง ของ Empyrean Adjust กี่ครั้งกันแล้วที่ความช่วยเหลือของเค้าต้องทำให้ ผู้คน
ถูกสังเวยไปกับความเย่อหยิ่งของ องกรค์ ก่อการร้ายภายใต้หน้ากากของพระผู้ช่วยให้รอด(เมสสิอาร์)

“ เอาเถอะ…ยังไงซะทั้งนายทั้งชั้น เราต่างก็ไม่ได้มีหน้าที่พิพากษา
ชีวิตหรือความเท่าเทียมกันของ เทอร่า อยู่แล้ว อีกอย่างตอนนี้นายจะทำอะไรมันก็เรื่องของนาย ขอแค่สั่งมาเท่านั้น
เพราะนายคือ อัศวิน ทุกอย่างขึ้นกับการตัดสินใจของนาย ”

มาธิอัส กล่าวจบก็หันกลับไปนั่งกดแผงควบคุมต่อโดยไม่สนท่าทีของ เรกกะ ที่นั่งสลด
อยู่กับพื้นห้อง

“ เรกกะ… ”
R2 กล่าวพลางจะเข้าไปดูอาการของเขา แต่แล้ว เรกกะ ก็กันเธอ ออกไป ก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง


“ ชั้น…ตัดสินใจแล้ว…. ”
เรกกะ เปรยขึ้น ก่อนที่ มาธิอัส จะหยุดมือไป เพื่อฟังคำขาดของเค้า

“ ต่อให้เศร้าสลดไปเพียงใด ก็ไม่อาจล้างบาปที่ก่อขึ้นมาได้…..จากนี้ไปเราจะยับยั้งการแทรกแซงของ
Empyrean Adjust ที่ได้ทำลายกฎเกณฑ์ ของสังคม..ถ้านี่คือการตัดสินใจของชั้นจะว่ายังไง ”
เรกกะ กล่าวจบก็รอคำตอบจาก ทั้งสอง

“ เอาสิ….คนที่มีสิทธิสั่งการน่ะไม่ใช่ชั้นอยู่แล้วแต่เป็น นาย เรกกะ ไฮเดย์(High Day) ”
มาธิอัส กล่าวโดยไม่หันมามองก่อนจะ นั่งทำงานของตนต่อไปโดยไม่สนใจต่อการตอบสนองรอบๆ
ซึ่งแม้จะเป็นแค่การตอบห้วนๆ แต่สำหรับ เรกกะ แล้วนั่นคือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่มีต่อกัน
ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ เค้าได้รู้จักกับ มาธิอัส โดยมี R2 กับ แมกกี้ ยืนมองดูด้วยความโล่งใจ

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อหลายวันก่อนนี้ บัดนี้เค้าได้ตั้ง ปฏิพานที่จะช่วยเหลือ ผู้คนด้วยพลังที่มี
และเพื่อการนั้นแม้จะต้องเดินสวนทางกับ เพื่อนๆ เค้าก็จะทำเพื่อไถ่บาป ทั้งหมด

“ เฟนท์ ไรด์ เอมิล แล้วก็ รุ่นพี่ ซาน แม้จะต้องเผชิญหน้ากันชั้นก็จะสู้เพื่อไม่ให้ใครต้องทำบาปไปมากกว่า
นี้อีกแล้ว… ”
เรกกะ คิดขณะที่ ตอนนี้ แมกกี้ ได้บินหอบเอา ชุด Dragoon มาส่งให้แก่เขา ก่อนจะรับมาสวม

“ จากนี้ไปในสนามรบเราคือศัตรูกัน..ภายใต้หน้ากากของ Dragoon นี่ชั้นขอสาบานว่าจะจัดการกับเหล่า Valkyrier แห่ง Empyrean Adjust ”
เรกกะ คิดขณะที่มอง หมวกหน้ากากของตนก่อนจะสวม มันลงไป

“ ไปกันเถอะ แมกกี้ ”
เรกกะ กล่าวจบ แมกกี้ ก็บินมาเกาะหลังก่อนจะสยายปีก และแบกเค้าขึ้นทะยานไปบนฟากฟ้า

……………….
…………………

เย็นของวันนั้น


“ งั้นฝาก งานที่เหลือด้วยนะ พอดีวันนี้ชั้นมีธุระสำคัญ ต้องไปจัดการกับพี่ซาน ฝากเรื่องงานชมรมทีนะ ”
เฟนท์ ที่มากล่าวขอตัว จากงานชมรม กับบรรดาสมาชิก หลังจากแจกจ่ายงานไปแล้ว
จึง เดินออกไป ระหว่างทางนั้นเอง ไอ ก็เดิน สวนมาพอดี เธอทักให้เขาหยุดก่อนจะวิ่งเข้ามาคุยด้วย

“ อ…เอ่อ…คือว่าตอนนี้สะดวกไหมถ้าฉ..ฉันจะถาม เฟนท์ ซักคำถามน่ะ ”
ไอ ถามพลางก้มหน้าก้มตาด้วยความเอียงอาย ซึ่งทำให้ เฟนท์ เองสับสนกับท่าทีของเธออยู่บ้าง

“ ได้สิ…ว่าแต่จะถามอะไรล่ะ ”
เฟนท์ ตอบรับเธอทันที เพราะจะได้รีบไปตามทางของเขาต่อ

“ ง…งั้น เฟนท์ ช…ช…ชอบ…ทานอะไร…..ที่สุดเหรอ ”
ไอ ถามด้วยทีท่าเคอะเขิน

“ ชอบทานอะไร…หมายถึงอาหารที่ชอบน่ะเหรอ ”
เฟนท์ ถามกลับเพื่อความแน่ใจ ซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบ ว่าใช่

“ งั้นเหรอ…ปกติอะไรผมก็ทานได้ทั้งนั้นแหล่ะ แต่ว่าถ้าของที่ชอบก็ คงจะเป็นสาหร่ายล่ะมั้ง…โทษทีนะผมก็ตอบได้ไม่เต็มปากหรอกแต่ว่าผมน่ะ อะไรก็ทานได้อยู่แล้ว…ว่าแต่ถามทำไมเหรอ ”
เฟนท์ ตอบ วกไป วกมาด้วยความไม่แน่ใจก่อนจะย้อนถามกลับด้วยความสงสัย

“ อ…เอ้อ ม…ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากรู้น่ะ..งั้นฉัน ป…ไปก่อนนะ ”
ไอ กล่าวตะกุกตะกักจบก็รีบฉากหนีออกมาทันที

“ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ ”
เฟนท์ กล่าวลาพลางโบกมือไล่หลังไป

“ จ้าแล้วเจอกัน… ”
ไอ ทักกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ ได้คำตอบจาก เฟนท์ ก่อนจะวิ่งไปยังที่หมายของเธอ ด้วยความสำราญ

“ เฮ้อ…อะไรของเค้านะ..อ.. ”
เฟนท์ ถอนหายใจพลางก่อนจะชะงักไป

“ ถึงตอนนี้นายไม่ได้คิดอะไรกับเธอ แต่สำหรับเธอล่ะ เธอคิดยังไงกับนาย ตัวนายเองเคยรู้บ้างไหม ”
คำพูดของ ไรด์ นั้นได้ก้องขึ้นมาในหัวของเค้าอีกครั้งหลังจากได้ คุยกับ ไอ แต่เค้าก็พยายามจะสลัดให้หลุดไป

“ ไม่มีเวลามาหยุดคิดเรื่องไร้สาระแล้ว..เราเองก็มีหน้าที่ ที่ต้องทำเหมือนกัน ”
เฟนท์ คิด ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปหลังอาคาร ที่พวก เอมิล รอ อยู่ก่อนแล้ว

“ มาช้านะ ”
เอมิล ทักใส่ทันทีที่ เค้าเดินเข้ามา

“ พอดีมีเรื่องต้องไปแจงที่ ชมรมน่ะเลยช้าหน่อย ภารกิจวันนี้ล่ะ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ หยิบเอา Crisis Termibnal ขึ้นมาจากกระเป๋า เหมือนกับทุกๆคน

“ คืนนี้จะมีการประชุม สากลระหว่างประเทศทั่วทั้งเทอร่า ที่สถานทูต โลกอส เนื้อหาของการประชุมคือ
การวางแผนรับมือกับ เรา Empyrean Adjust และหน้าที่ของพวกเราคือทำลายการประชุม และ สังหารตัวแทนจากทุกประเทศ  รวมไปถึง เจ้ามาเรียลูส ที่จะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย ”

เอมิล แจงรายละเอียด ภารกิจให้ทุกคนฟัง ซ฿่งต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกันกับเนื้อหาของคำสั่ง

“ ทำไม…ต้องฆ่าด้วยล่ะแค่ทำลายการประชุมก็น่าจะพอแล้วนี่ ”
เฟนท์ แย้งขึ้นทันควัน

“ ช่วยไม่ได้หรอกนะ แต่นี่คือคำสั่ง คือภารกิจที่เราได้รับมอบหมายมา ”
เอมิล ย้ำอย่างหนักแน่น

“ อีกอย่างเพราะตอนนี้ โลกเริ่มแข็งข้อต่อ อำนาจของเราแล้ว ถึงได้รวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อที่จะจัดการกับเรา
ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามแผน ของ สภามังกรนภากาศ ด้วยการที่ให้ความชิงชังทั้งหมดของ เทอร่า
มารวมกันแล้วก็กำราบให้ศิโรลาภ แทบเท้าเราเพื่อที่ ทุกฝ่ายจะได้ตระหนักว่า ไม่มีสงครามใดที่จะเอาชนะเราได้ ”
ไรด์ ตีความให้ละเอียด อีกครั้ง

“ เฟนท์ พี่ขอโทษนะที่ต้องให้น้อง มาทำอะไรแบบนี้ด้วยน่ะ พี่นี่เป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ”
ซาน หันไปขอโทษ เฟนท์ ด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องให้น้องชายขืนใจมาทำงานนี้ด้วยโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้

“ ไม่ต้องขอโทษหรอกครับพี่ มันไม่ใช่ความผิดของใคร ผมสมัครใจเองแล้ว ว่าจะร่วมด้วยตั้งแต่วันที่
คุณพ่อ ให้พวกเราทำการ Cold Sleep เพื่อมาเป็น Valkyrier ในยุคนี้แล้ว ดังนั้นผมไม่เสียใจหรอก.. ”
เฟนท์ กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เพื่อไม่ให้พี่สาวของเค้าต้องคิดมาก

“ เฟนท์…น้องเราเติบโตขึ้นแล้วสินะ.. ”
ซาน คิดเมื่อได้ยินคำพูดของน้องชายที่ดูเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วก็อดชื่นใจไม่ได้

“ ใช่แล้ว…ไม่มีใครผิดทั้งนั้น..ชั้นยอมให้มือของตัวเองเปื้อนเลือดมานานแล้ว.. ”
เฟนท์ คิดก่อนที่พวกเค้าทั้งหมดจะเริ่มออกปฏิบัติการ

………………………..
………………………………


สถานฑูต โลกอส

ณ อาคารแห่งใหญ่แห่งนี้ซึ่งวางกำลังทหารคุ้มกันไว้อย่างหนาแน่น พร้อมทั้งมีการเตรียมกองทัพ จากทุกนานาประเทศ
ที่ตามมาหนุนกำลังให้ กับ โลกอส เพื่อรับมือหาก Empyrean Adjust เข้ามาทำการแทรกแซง
ขณะที่ บรรดา ผู้แทนจาก ประเทศต่างๆได้ทยอยกันเข้ามาในงานชุมนุน
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เย็น จนถึงกลางดึกของคืนวันนี้ที่จะเป็นราตรีฉลองเลือดในไม่ช้า

“ ระหว่างที่เริ่มการประชุม คิดว่าพวกมันคงจะบุกเข้าโจมตีช่วงนั้นล่ะ ถ้าถึงตอนนั้นฝากด้วยนะ อัศวินพิทักษ์ คุรูรูรกิ สุซาคุ ”
ลูเทเซีย กล่าวกับ สุซาคุ ที่นอกงานก่อนจะส่ง กุญแจของอะไรบางอย่างให้แก่ สุซาคุ

“ Yes You’re his Majesty ”
สุซาคุ รับคำพร้อมกับทำความเคารพก่อนจะรับกุญแจ จากมือของ ลูเทเซีย มา
แล้ว ลูเทเซีย จึงเดินเข้าไปในงาน

“ ท่านพี่..มาจริงๆด้วยสินะคะ ”
มาเรียลูซ กล่าวทักทายขณะที่เดินเข้ามาหา ลูเทเซีย

“ แหงอยู่แล้วสิ ก็น้องของพี่ เข้าร่วมประชุมด้วยจะไม่ให้พี่อดเป็นห่วงได้ยังไง อีกอย่างเราก็เป็นประเทศ
พันธมิตรกันแล้ว เรื่องเล็กแค่ไหนก็ต้องใส่ใจด้วยกันทั้งนั้นล่ะ ”
ลูเทเซีย กล่าวโดยเก็บสำรวมอาการกิริยาต่างๆให้สมกับฐานะ แต่ก่อนจะได้ คุยกันต่อนั้นสายตาของ
ลูเทเซีย ก็ไปหยุดเอาที่ กุญแจ แบบเดียวกับที่ เค้ามอบให้ สุซาคุ ไปนั้นอยู่ในมือของ เธอ

“ ที่มือ…นั่นมัน  ”
ลูเทเซีย กล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ อ๋อนี่น่ะหรือคะ…กุญแจของ ไอริส ที่ อิชิกิ กับ เรโค่ เอามาส่งให้ เมื่อคราวก่อนไงคะ ”
มาเรียลูซ กล่าวตอบเสียงเรียบ

“ แล้วทำไมมันถึงมาอยูนี่ล่ะ น้องยังไม่ได้มอบมันให้ เฟรเซีย อีกเหรอ ”
ลูเทเซีย ถามต่อด้วยความอยากรู้

“ คือ ที่จริง หนูคิดว่ายังไงซะเราก็ไม่ควร เดินเครื่อง Moblie Gazor ในงานนี้เพราะมันจะทำให้ทุกอาณานิคม
คิดว่าเรากำลังพัฒนา กำลังอาวุธอยู่ และอีกอย่าง ถ้า ทำแบบนี้แล้ว มันรู้สึกดีกว่าเตรียมการไว้แล้วต้องมานั่งกลุ้มไปกลุ้มมาน่ะค่ะ…แต่ถ้าเป็นท่านพี่ คงมอบมันให้ไปแล้วใช่ไหมคะ กับสุซาคุ น่ะ ”

มาเรียลูซ ตอบตามที่คิด ซึ่งแม้จะไม่ถูกใจ ลูเทเซีย นักที่น้องของเค้าเป็นถึง เจ้าชีวิตแต่กลับทำอะไรตาม
ใจตน แบบนี้แต่เค้าก็คิดว่าแป็นแบบนี้แหล่ะดีแล้ว แบบนี้ล่ะคือน้องสาวที่เค้ารัก

“ หวังว่า สุซาคุ คงจะรับมืออยู่นะ ”
ลูเทเซีย ปลงๆอยู่ในใจขณะที่งาน ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

“ ท่านพี่ เซโร่ ไม่ได้มาด้วยเหรอคะ ”
เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นหลังพวกเค้าทั้งสอง
ก่อนที่จะหันกลับไป

“ คางุยะ ”
ทั้งสอง เรียกเป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งคนที่ถามคำถามเมื่อครู่นี้ก็คือ คางุยะ มิโกะกิเลน องค์ใหม่แห่งนิคโคอุ นั่นเอง

“ กษัตริย์ ลูเทเซีย กับ พระนาง มาเรียลูซ ฉัน มิโกะกิเลน คางุยะ ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ที่ทั้ง บริทเทเนอร์และโลกอส  สามารถเป็นพันธมิตรกันได้ หลังจากที่ขัดแย้งกันมานาน แต่จะว่าไปความดีความชอบก็คงเป็นของ  Empyrean Adjust นั่นล่ะมั้ง ”
 คางุยะ กล่าวซึ่งนั่นทำให้ ทั้งสองต่างก็ชอกช้ำไม่น้อย ลูเทเซีย จึงพยายามสบตาเธอเพื่อใช้ Genesis ของเค้า
อ่านใจเธอแต่ก็ไม่ได้ผล

“ อย่าพยายาม ใช้ Genesis ให้เสียแรงเปล่าเลย คนที่มอบ Genesis ให้แก่ ท่าน ลูเทเซีย กับพระนาง มาเรียลูซ
ก็คือ ท่านพี่นะคะ คิดว่าชั้นจะไม่มี Genesis ป้องกันงั้นเหรอ ”
คางุยะ กล่าวถากถางกลับไป ทว่ายังไม่ทันที่ ลูเทเซีย จะได้สวนไป
ก็เกิดแรงสะเทือนขึ้น ภายในงาน ก่อนที่สัญญาณ เตือนภัยจะดังขึ้น

“ นี่คือสารเตือนจากเรา Empyrean Adjust ขอให้ยกเลิกการประชุมนี้ซะไม่อย่างนั้น
เราจะเข้าทำการแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธ ”
เสียงประกาศ ดังขึ้นจากลำโพงทุกตัว ภายในอาคาร

……………………
…………………………..



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga 10 ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย....
Post by: greamon on April 01, 2009, 04:06:07 AM
บ้านของ ไอ

ภายในห้องครัว ที่เตรียมวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร ไว้มากมาย เพื่อจะทำข้าวกล่อง ตามแผนการที่ มิมิ
เป็นคนวางไว้ให้ ซึ่ง ลอว์เรนซ์ เอง ก็มาอยู่ทีนี่เพื่อสอนเธอทำอาหารแล้ว

“ งั้นก่อนอื่นเรามาเริ่มจาก การทาน้ำซุปเลยนะ ก่อนอื่นก็ตั้งหม้อต้มน้ำก่อน ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางตั้งหม้อขึ้นบนเตาก่อนจะเทน้ำจากเหยือก ลงไปในหม้อแล้วจึง
ติดเตาแก๊ส ก่อนจะหันมาช่วย สอน ไอ ทำอาหาร ทั้ง การทอดเนื้อ หุงข้าว ไปจนถึงทำกับข้าวอื่นๆ

และในที่สุดก็มาถึง เมนูสุดท้ายซึ่ง ไอ คิดจะทำ ซุปสาหร่าย ที่ เฟนท์ ชอบ เมื่อมาถึงตรงนี้
ขณะที่ ลอว์เรนซ์ ช่วย เอาหม้อน้ำที่ต้มจนเดือด แล้วลงจากเตา แล้วกำลังจะสอนขั้นต่อไปนั้นเอง
 
เพล้ง!

เสียงดังขึ้นพร้อมกับ จาน ที่ ไอกำลังหยิบออกจากชั้นวาง นั้นร่วงลงมาแตก ทำให้ สองเพื่อสาวต้องรีบเข้ามาดู

“ เกิดอะไรขึ้นน่ะไอ ”
มิมิ กับ โคเว็ท ถาม หน้าตาตื่นด้วยความเป็นห่วง

“ มือมันลื่นตอนที่หยิบจานลงมาเลยตกแตกไม่มีอะไรหรอก ”
ไอ กล่าวพลางจะขยับเท้า ทว่า ลอว์เรนซ์ ก็ห้ามไว้ก่อน

“ อย่าขยับเท้านะ เดี๋ยวเศษจานจะบาดเอาได้ นี่เธอยัย อ้วนน่ะไปเอา ไม้กวาดมาที ”
ลอว์เรนซ์ เตือนก่อนจะหันไปสั่ง มิมิ

“ ว้ายมาว่าเค้ายัยอ้วนได้ไงเดี๋ยวเถอะ ”
มิมิ กล่าวอย่างฉุนจัด

“ เอาน่า มิมิ รีบไปเอาไม้กวาดมาเถอะ ”
โคเว็ท แย้งให้เธฮสงบสติอารมณ์ มิมิ จึงยอมทำตามโดยตีสีหน้าบูดบึ้งไปตามทางที่ ไปหยิบไม้กวาด

“ เป็นอะไรรึเปล่า เศษจานบาดงั้นเหรอ ”
ลอว์เรนซ์ หันมาถามด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง เมื่อ เห็นเธอ มองไปที่เศษจานที่แตกอยู่ที่พื้นอย่างไม่กระพริบตา

“ ป…เปล่าไม่มีอะไร… ”
ไอ ตอบอย่างตื่นๆ แม้จะยังสงสัย แต่ ลอว์เรนซ์ ก็ไม่คิดติดใจในที่สุดจึงหันไปรอไม้กวาดจาก มิมิ แทน

“ เมื่อกี้ทำไมตอนที่ จานแตกเรากลับนึกถึง เฟนท์ ขึ้นมาล่ะหวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ ”
ไอ คิดด้วยความกังวล ขณะที่รอ ให้ ลอว์เรนซ์ กวาดเศษจานออก

……………………..
……………………………….

ที่ด้านนอกอาคาร สถานทูต ตอนนี้ กองกำลังจากทุกประเทศที่มารวมกัน ได้ยิงโจมตี ต่อต้าน เหล่า Valkyrier ทั้งสี่แห่งสังกัด Celestial Saber ของ Empyrean Adjust อย่างเต็มกำลัง ทว่า อาวุธของ พวกเค้าก็ไม่อาจทำอันตราย เหล่า Valkyrier ที่มี เกราะอนุภาคอิออน ได้แม้แต่น้อย

“ Seraphic Pistol ”
สิ้นเสียง กระสุนแสงนับร้อยก็พุ่งลงไป ยังลาน ด้านหน้า สถานทูต ยังผลให้ กองกำลังทหารราบต้อง ปราชัยในทันที
ทว่าต่อมา ทัพมังกรจากสหพันธรัฐ มาซาลดิส(Masaldis)  จากทวีป ดิสอาปจูร่า ก็บุกขึ้นมาแทน
ซึ่งมีทั้งมังกร เฟอร์มาโคร และ เฟอร์มาครอส ไปจนถึงมังกรสงครามอย่าง มังกรภูเขาไฟ แฟรควอซิล(Flaquasil, the volcanic Dragon) และมังกรทำลายล้างอันแข็งแกร่งอย่างมังกร เพลิงวินาศ ฟาบเนอร์(Fafnir, the DoomsFlare Dragon)

ด้วยกำลังของทัพมังกร อันแข็งแกร่ง รวมกับทัพ Gazor ของ บริทเทเนอร์ และโลกอส ไปจนถึงวิทยาการทางทหาร
ของ อาณานิคมอื่นๆ ที่ขนกันมาร่วมงานในครั้งนี้ ต่างก็มีแสนยานุภาพร้ายกาจ จึ่งเริ่มทำให้ ฝ่าย Valkyrier
เสียเปรียบในทันที

“ เฟนท์ ชั้นจะเปิดทางให้นายรีบเข้าไปแล้วจัดการตามหน้าที่ซะ ”
เอมิล กล่าวจบก็ กระชับหอกในมือ ก่อนจะบุกลงมายัง วงล้อมของ ศัตรู

“ Mirage Explosion ”
สิ้นเสียง เอมิล ก็สร้างร่างเงาของตนเองขึ้น นับสิบ ก่อนจะให้ร่างแยกทั้งหมดพุ่ง
ทะลวงไปข้างหน้า แหวกด่าน คุ้มกันของ อีกฝ่าย ไปจนถึงประตู เมื่อทางเปิด เฟนท์ จึงบุกเข้าไปด้านในได้ สำเร็จ
ขณะที่ ไรด์ คอยสกัดไม่ให้ ใครตามเข้าไปได้

“ เริ่มแล้วสินะ ”
เสียงกระซิบดังขึ้นจาก มุมหนึ่งภายในอาคาร พร้อมกับเงาของ คนๆหนึ่งที่มายืนรออยู่ที่นี่นานแล้ว
ท่ามกลางความสับสนของ เหล่าผู้แทน ที่กำลังหวาดวิตกกับคำเตือนของ Empyrean Adjust

“ จะทำนายดวงให้เอาไหม ”
เสียงนี้ดังขึ้นในใจของเขาคนนั้น

“ เฮ้ย เจ้าบ้าไม่ต้องยุ่งเลย ยังไงเรกกะก็เรียกใช้ชั้นอยู่แล้ว..ใช่มั้ย ”
เสียงของ ทาลิคนัสดังขึ้น ในใจของเขาคนนี้ซึ่ง ก็คือเรกกะ นั่นเอง

“ ไม่ ทาลิคนัส วันนี้ไม่ใช่ ชั้นอยากจะลองพลังใหม่ดู นี่เป็นการศึกษถึงพลังของตัวชั้นเอง
 เพราะงั้นวันนี้นายต้องออกโรง..แล้วโชว์ฟอร์มดีๆล่ะ ไม่งั้นชั้นเปลี่ยนแน่เข้าใจนะ ”
เรกกะ กล่าวกับบุคลิคใหม่ของเค้า

“ หวาน่ากลัวจังเลย แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงเราก็จะสู้นะ ”
เสียงนั้นดังตอบกลับขึ้นมาอย่างทันท่วงที ก่อนที่ เรกกะ จะหลบมุม ไปใส่หน้ากาก
อีกครั้ง

“ ชั้นจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจัดการกับพวกนายให้ได้
ดังนั้นชั้นก็จำเป็นจะต้องใช้พลังของตัวเองให้ได้ทั้งหมด ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon กล่าวจบก็ หยิบเอา ไพ่ขึ้นมาจากตลับ ซึ่งตอนนี้จาก 83 ใบก็ลดลงไปเหลือ 82 ใบในตลับ
ช่องตรงดวงตาซ้ายของหน้ากาก ได้เปิดออก ดวงตาของเค้าได้เปลี่ยนเป็น สีดำ
ก่อนที่ไพ่ซึ่งนำมาจ้องด้วยตาข้างนั้นจะปรากฏสัญลักษณ์ธาตุแห่งความมืดขึ้นมา

“ Terror Form ”
เสียงดังกังวาลขึ้น ทันทีที่ไพ่ถูกนำไปวางตัดกับหน้าปัดสายคาดข้อมือ ก่อนที่เค้าจะกดมันลงไปบนจอหน้าปัด

“ Regeneration ”
สิ้นเสียงก็เกิดแสง สีดำส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากหน้าปัดในที่สุด ร่างของเค้าก็ได้เปลี่ยนเป็น อัศวินมังกร
กายสีดำ ออร่าดำทมึนปกคลุมทั้งร่าง

“ ดวงของวันนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แต่จะพยายามนะ Nox et Dragos ”
สิ้นคำ อัศวินมังกรตนใหม่ก็สร้างมวลแสงสีดำขึ้นในมือทั้งสอง ก่อนจะโยนมันขึ้นไปมวลแสงทั้งสองที่ลอยขึ้นไปจากมือได้ รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นด้ามดาบสีดำ และทันทีที่มันกลับมาอยู่ในมือของ

 อัศวินมังกร คมดาบเพลิงดำทมิฬ
ก็พุ่งออกมาจากด้ามดาบในทันที

“ กำจัดทิ้งได้ใช่มะ..พวกเขียวๆสี่คนนั่นน่ะ ”
อัศวินมังกร ที่ตอนนี้เข้าทำการสิงเป็นร่างหลักถามขึ้นกับตัวเรกกะ เอง

“ อืม..ฆ่าได้เลยไม่ต้องปราณี ”
สิ้นคำจาก เรกกะ เท่านั้น อัศวินมังกรดำ ก็โผทะยานขึ้นไปยัง ระเบียงชั้นลอยที่ยื่นของห้อง
และปรากฏตัวท่ามกลางสายตาของผู้คนในงานประชุม ขณะเดียวกับที่
ประตูห้องประชุมเปิดออก พร้อมกับ เฟนท์ ที่บุกเข้ามาถึงโดยจัดการกับ คนคุ้มกันภายในจนราบคาบ

“ นั่นมัน Valkyrier นี่ ”
“ หานั่นน่ะเหรอ ยังเด็กอยู่เลยนี่ ”
“ แต่ อนุภาคเขียวๆที่ปล่อยออกมาจาก อาวุธของเจ้าเด็กนั่นมันต้องใช้ ประจุอนุภาคที่เค้าพูดถึงกันแน่ ”
“ งั้นเด็กนั่นก็ Valkyrier น่ะสิ ”

เสียงถกเถียงเอะอะ ดังขึ้นอย่างสับสนวุ่นวาย ในทันที  ทว่าทุกเสียงก็ต้องเงียบลง เมื่อ อยู่ๆ เฟนท์
ก็รวบรวมประจุไว้ในมือจนเกิดเป็นมวลพลังงาน ก่อนจะซัดมันมาที่พวกเขา เพื่อหวังจะกำจัดในคราเดียว
“ จะจ่ายสะเดาะเคราะห์หรือจะให้ฟันซักฉับล่ะ เพราะดวงแกชะตาขาดแล้ว น้า ”
เสียงของ เรกกะ ในคราบอัศวินมังกรตนใหม่ดังขึ้นก่อนที่ เค้าจะเหินลงไป ขวางกลุ่มคนเอาไว้
พร้อมกับตวัดดาบเพลิงดำทมิฬ ผ่าลูกพลังงาน จนสลายไปในที่สุด

“ นี่แก ต้านอนุภาคบีบอัดได้ยังงั้นเหรอ…แกเป็นใครกันหรือว่า Dragoon ”
เฟนท์ สบถพลางตั้งท่ารับมือในทันที

“ Dragoon เหรอ หรือว่า บุรษลึกลับ Dragoon คนนั้นน่ะ ”
“ ที่ว่าเค้าคนเดียวสามารถ จัดการกับลำแสงมหาประลัยของ เมเมนโต้โมรี่ (Memento Mori) ตอนรัฐประหาร
ของบริทเทเนอร์ น่ะเหรอ ”

เสียงสนทนากันด้วยความทึ่งของ เหล่าตัวแทนจาก อาณานิคมต่างๆดังขึ้นไม่ขาดสาย
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

“ นั่นมัน ทาไนซ (Thanyxs, Arimathea’s Dragoon of Thaliwilya) นี่ ”
R2 ที่ปลอมตัวเข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟ ปะปนเข้ามาในงาน ก็หลุดปากออกมาด้วยความประหลาดใจ
กับร่างใหม่ของ เรกกะ หนึ่งในอัศวินมังกรแห่ง ทาลิวิลย่า ทาไนซ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/6.jpg)

“ เอะอะ จังเลยไม่เอาแล้วได้…ม้า เริ่มจะเบื่อแล้วด้วย ”
อยู่ๆทาไนซ ก็กล่าวขึ้นลอยๆด้วยความไม่พอใจ

“ นี่ให้มันเสร็จงานก่อนได้ไหม…งั้นอย่างน้อยก็อัดหมอนั่นให้ลงไปกองก่อนก็ได้ แล้วชั้นจะเรียกใช้คนอื่นเอง ”
เสียงของ เรกกะ แย้งขึ้นทันควันในหัว อย่างไม่สบอารมณ์  กับท่าทีเอาแต่ใจของ ทาไนซ

“ โหดชะมัด…เค้าจะรีบจัดการก็ได้ ”
ทาไนซ กล่าวแบบงอนๆ ก่อนจะดีดนิ้ว เรียกไพ่ที่ใช้แปลงร่างออกมา
ทันทีที่ไพ่เปล่งแสงขึ้น ลูกมังกรดำนอฟฮอท (Novhoth, Arimathea’s Baby Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/12.jpg)

ก็พุ่งทะลุหลังคา อาคารเข้ามา บินวนไปรอบๆเพดานห้อง ทันทีที่ แสงสีดำจาก ไพ่พุ่งเข้าไปหาร่างของลูกมังกรดำ
ร่างของมันก็เกิดการวิวัฒนาการ กลายเป็นร่างเต็มวัย มังกรนอฟโฮทิออน(Novhothion, Arimathea’s Dark Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/18.jpg)

“ Full Charge Great of  Dragon ”
เสียงดังขึ้นทันทีที่ ทาไนซ นำไพ่ในมือหย่อนลงไปในอัคคีทมิฬ ของดาบที่ถืออยู่ ไพ่ค่อยๆถูกเผาจนกลายเป็น
ขี้เถ้า ก่อนที่ ทาไนซ จะตวัดดาบไปมา ขี้เถ้าจากไพ่ที่อยู่ในเปลวอัคคี ได้ฟุ้งกระจายออกมา ลอยคละคลุ้ง

ราวกับหมอกควันปกคลุมร่างของ ทาไนซ ก่อนที่ กลุ่มควันจากขี้เถ้า จะค่อยๆ
เปี่ยนรูปร่างเป็น มังกรตัวยาว พุ่งเข้าไปหา เฟนท์ ในทันที

“ Protection ”
เสียงดังขึ้นจากสนับมือของ เฟนท์ ก่อนที่จะเกิดกำแพงแสงผิวสีน้ำตาล พุ่งขึ้นมาจากพื้นป้องกันการโจมตี เอาไว้
ทว่า ทันทีที่ มังกรควันกระแทกเข้ากับ กำแพงป้องกัน มันก็กระจายฟุ้งไปรอบๆจน

เฟนท์ ไม่อาจมองเห็นอะไรในกลุ่มควันได้ ขณะเดียวกัน นอฟโฮทิออน ก็รวบรวมพลังงานมาไว้ที่
ปากเรียบร้อย เพลิงอัคคี สีดำทมิฬ Dark Flame  ก็ได้ลุกออกจากปากของมัน
พุ่งลงไป ทว่าก่อนที่ เปลวเพลิงจะลงไปถึงกลุ่มควันนั้น

ภายใน กลุ่มควัน ทาไนซ กำลังกระหน่ำฟาดคมดาบเข้าหา เฟนท์ อย่างรวดเร็ว ไปมา
ซึ่งความว่องไวของ ทาไนซ ภายในกลุ่มหมอกนี้ ต่างกับตอนแรกลิบลับ ก่อนที่ เฟนท์ จะพลาดท่าถูก

ด้ามดาบกระทุ้งเข้าที่ลำตัวจนเสียหลักเซ ไปทำให้ กำแพงที่กั้นระหว่างตัวเค้ากับ เปลวเพลิงที่กำลังจะมานั้น
สลายไป ทันทีที่ เปลวเพลิงสัมผัส กับควันขี้เถ้า ก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงในทันที
โดยที่ ตัว ทาไนซ นั้นพุ่งออกมาจากกลุ่ม ควันได้ทันก่อนที่จะ ควันจะทำปฏิกิริยาจนเกิดการระเบิด

โดยที่สิ่งเดียวที่กระเด็นออก มาจากกลุ่มควันที่ยังคละคลุ้งจากการระเบิด นั่นคือ สนับมือเพียงข้างเดียว
ของ เฟนท์ เท่านั้น ก่อนที่ นอฟโฮทิออน จะทะยานกลับขึ้นไป พร้อมกับที่ร่างของ ทาไนซ สลายกลับคืนเป็น
 เรกกะ ในคราม Dragoon ตามเดิม

“ หึ…หึๆ…ในที่สุดนายก็ไปเป็นคนแรกสินะ เฟนท์…หึ..ฮ่าๆๆๆ ”
เรกกะ หัวเราะขึ้นด้วยความกระหยิ่มในใจทันทีที่ได้รู้ว่าเพื่อนของตน ได้สลายกลายเป็นควันไปแล้ว
ก่อนจะหันกลับไปหา ยังกลุ่มผู้ชุมนุนทั้งหมด

“ อย่างที่ทุกท่านได้เห็น Valkyrier นั้นคือภัยคุกคาม ต่อมนุษยชาติจากนี้ไป ในนามของเรา Dragoon ขอบัญชา
ทุกอาณานิคม จงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แล้ว จงจัดการดับลมหายใจของ Empyrean Adjust ซะ ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon ประกาศกร้าวต่อหน้าบรรดาผู้นำนับร้อยประเทศ จาก 5 ทวีป ทั้งหมดที่เหลืออยู่ใน เทอร่านี้
โดยที่ มุมเสาต้นหนึ่งนั้น ชายผู้ปกปิดตัวเองคนเดิม กำลังยืนจับเวลาด้วยนาฬิกาทราย อยู่เหมือนทุกครั้งที่
เรกกะ แปลงร่าง
……………………
……………………………

“ เป็นอะไรรึเปล่าคะ…เห็นเงียบไปตั้งกะเมื่อกี้แล้ว ”
ไอ กระซิบ ด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่ ลอว์เรนซ์ นั้นนิ่งไปอยู่นาน

“ อ..เอ้อ เปล่าหรอก แต่ว่าพอดีชั้นนึกได้ว่ามีธุระขึ้นมาน่ะ นี่ก็เหลือแค่ ปรุงรสอย่างเดียวแล้ว
วิธีขั้นต้นก็ดูเอาจากหนังสือละกันนะถ้ายังไงชั้นขอตัวก่อนล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวพลางถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้ววางมันลงบนโต๊ะ

“ ต..แต่ว่า ฉันไม่เคยปรุงรสอาหารมาก่อนเลยนะ ”
ไอ กล่าวอย่างเป็นกังวล เพราะตนไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้เลย
แต่ ลอว์เรนซ์ ก็หันมายกนิ้วให้ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับพูดว่า

“ ริคุ เคยบอกไว้ อาหารที่อร่อย มาจากเครื่องปรุงที่ดีเยี่ยม แต่ไม่มีเครื่องปรุงใด
ที่จะเลิศรสไปกว่า ความรู้สึกที่มีต่อผู้ทานที่คนทำอย่างเราใส่ลงไปในอาหาร ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ไอ ก็นิ่งไปพักหนึ่งเพราะตีวามหมายที่เค้าพูดไม่ถูก

“  ไม่เข้าใจสินะ…เอาเป็นว่าแค่ใส่ความรู้สึกของเธอที่มีลงไปก็พอแล้ว..ไม่ต้องห่วงอย่างเธอน่ะต้องทำได้แน่ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวให้กำลังใจจบก็ออกจาก ห้องครัวไปทันที

“ ความรู้สึกที่ฉันมี ต่อ เฟนท์ งั้นเหรอ ”
ไอ เปรยพลางมองไปที่ หม้อซุปซึ่งกำลังเดือดอยู่ ก่อนจะปรับสีหน้าและอารมณ์เสียใหม่
และเริ่มปรุงรสด้วยความมั่นใจ โดยอาศัยตำราเป็นแนวทาง

“ เฟนท์ ฉันรักเธอ...นี่คือความรู้สึกที่ฉันจะใส่ลงไป..แล้วเธอจะรับรู้ไหมนะถึงความรู้สึกนี้ ”
ไอ คิดขณะที่คนส่วนผสมให้เข้ากัน อย่างเงียบๆอยู่คนเดียว

………………..
………………………..

ด้านลอว์เรนซ์ หลังจากที่ออกจากบ้านของ ไอ มาแล้วก็รีบวิ่งไปยังที่โล่งแจ้งใกล้ๆนั้นทันที

“ รีบมาหน่อยล่ะ ยูปี้ สังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย ”
ลอว์เรนซ์ คุยกับ ยูปี้ ด้วยโทรจิต อยู่ในขณะนี้เอง

“ อืม..ชั้นมาถึงนานแล้วล่ะอยู่ข้างบนนี้ไง ”
เสียงตอบกลับของ ยูปี้ ดังขึ้นพร้อมกับที่ลมบริเวณนั้นเริ่มพัดแรงขึ้น ทันทีที่ ลอว์เรนซ์ มองขึ้น
ด้านบน เหนือหัวของเขาตอนนี้ ยานคอสมิกแสวน กำลังค่อยๆลดระดับลงมายังพื้นดิน
แรงขับเคลื่อนของยาน เป็นสาเหตุทำให้อากาศรอบๆแปรปรวนนั่นเอง


“ เราต้องรีบไปที่ สถานฑูต ให้เร็วที่สุดตอนนี้เลย ก่อน โศกนาฏกรรมเลือดบทที่สองมันจะเริ่มขึ้น ”
ลอว์เรนซ์ เปรยด้วยความเป็นกังวล ขณะที่เดินขึ้น ยานไป

………….
…………………..

ขณะเดียวกัน ที่ สถานฑูตกลุ่มควันที่ตลบอบอวล
หลังการระเบิด แม้ควันจะจางไปแล้วนอกจาก สนับมือเพียงข้างเดียวที่ กระเด็นหลุดออกมา 
ก็มีแต่เพียงหลุมลึกที่เกิดจากการ ระเบิดเท่านั้นที่ปรากฏขึ้น โดยไร่แม้แต่เงาร่างของ เฟนท์ หนุ่มน้อยผู้เป็น Valkyrier
คนนั้นเลย ซึ่งเป็นการยืนยันที่แน่นอนแล้วว่า Dragoon สามารถเอาชนะ สิ่งที่ เทอร่า ไม่อาจต่อกรได้ เป็นที่ประจักษ์แก่ เทอร่า ไปแล้วในขณะนี้ ต่อหน้าพยานจากทุกนานาประเทศ ที่เห็นเหตุการณ์

…………
บัดนี้ Delantion มหาสงครามแห่งยุคได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้งโดยไร้การเข้าร่วมของ เหล่าทวยเทพ
แต่บัดนี้ มนุษย์กำลังจะก้าวข้ามเส้นขีดจำกัดสู่การเป็นผู้สร้าง

โปรดติดตามตอนต่อไป

และแล้ว Delantion มหาสงครามแห่งยุค ก็ได้เปิดฉากขึ้น กลียุคกำลังจะเริ่มอีกครั้ง
เพื่อผลักดัน ให้มนุษย์วิวัฒนาการไปสู่อีกขั้นของการมีชีวิตรอด เพื่อการนั้น มนุษย์
จะต้องกลายเป็นพระเจ้า ความทะเยอทะยานนี้ จะเป็นจริงได้แน่หรือ

“ ณ ที่นี่และบัดนี้ นี่ถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติ การล้มล้างอำนาจเผด็จการ ที่มีชื่อว่าสันติ
พวกเราจะต้องก้าวข้าม สู่ห้วงแห่งสงครามในไม่ช้านี้ สงครามระหว่าง เทอร่า กับ Empyrean Adjust ”

ยุคสมัยที่กำลังจะเปลี่ยนไป

“ นี่ นายทำอะไรลงไปน่ะรู้ตัวรึเปล่า…คิดว่าการปลุกระดมผู้คนให้ลุกฮือขึ้นมา
ทำสงครามกันจะทำให้เกิดสันติงั้นเหรอ ตัวนายเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ ว่าผลลัพธ์มันจะออกมายังไง
แกเองก็เคยเคียดแค้นในสงครามมาแล้วไม่ใช่รึไง ”

ความไม่ลงลอย ที่เกิดขึ้น ทว่าคำตอบที่ออกจากปากของ เด็กหนุ่มผู้เคยสูญเสียทุกสิ่งไปเพราะสงครามกลับเป็น…

“ นี่คือหนทางที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่รึไง เมื่อใดที่ เทอร่า รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและกำจัด Empyrean Adjust ไปได้
เมื่อนั้น เทอร่า ก็จะรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง  ”

…………..
 “ ถ้าทำแบบนั้น แล้วนายคิดว่าสันติจะเกิดขึ้นได้งั้นเหรอ… ”


“ Empyrean Adjust ตั้งใจจะทำอะไรกัน…ทั้งที่บอกว่า จะยุติสงคราม…แล้วทำไม..ทำไม..คุณ พ่อถึงต้องมาตายเพราะสงครามของพวกนั้นด้วย… ”

“ มาถึงตอนนี้ในที่สุด ชั้นก็พึ่งเข้าใจถึงสิ่งที่นายพูดแล้วล่ะ ไรด์ เอมิล….พวกเราน่ะ
ไม่อาจเดินต่อไปใต้แสงสว่างได้อีกแล้ว  ”

………
เส้นทางเดินที่เบี่ยงผัน ความคิดของผู้คนที่เปลี่ยนไป หากปลายทางคือความขมขื่นที่จะเหลือไว้
ก็จงใช้ ปีกแห่งศรัทธาทะยานขึ้นไปสู่แสงสว่างซะสิ Valkyrier 

Next Saga 12  Ava-Trans
……..
เส้นทางแห่งการปฏิวัติ ได้เริ่มขึ้นแล้วใต้ท้องนภาแห่งกลียุคนี้



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga11ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายไหม
Post by: boy on April 01, 2009, 12:11:32 PM
เรกกะบ้าเลือด!????  ??? 

รอตอนใหม่มาเร็วๆ  ::003::  สนุกจัง


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga11ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายไหม
Post by: cocka-c on April 01, 2009, 06:08:53 PM
โหดร้ายให้ เฟนท์ ตายได้ลงคอ ฮือๆๆๆๆ นี่แกจะแกล้งฉันใช่ไหมเนี่ยเจ้าเกรม่อนนนนน
ตัวละครหลักตายตั้งกะเริ่มครึ่งหลังแบบนี้ มันจะเป็นไงต่อล่ะเนี่ย  ::008::

เอาเฟนท์คืนมาาาา


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga11ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายไหม
Post by: greamon on April 02, 2009, 07:29:51 PM
Quote
โหดร้ายให้ เฟนท์ ตายได้ลงคอ ฮือๆๆๆๆ นี่แกจะแกล้งฉันใช่ไหมเนี่ยเจ้าเกรม่อนนนนน

แหมเมื่อวาน เอพิลฟูลเดย์ ได้ทีแหลกระจายเชียว

ถ้ามันตายใครจะพูดล่ะประโยคเนี้ย

Quote
“ มาถึงตอนนี้ในที่สุด ชั้นก็พึ่งเข้าใจถึงสิ่งที่นายพูดแล้วล่ะ ไรด์ เอมิล….พวกเราน่ะ
ไม่อาจเดินต่อไปใต้แสงสว่างได้อีกแล้ว  ”

ว่าแต่ประโยคบรรทัดก่อนประโยคนี้ มันดูทะแม่งๆนะ
แล้วไอ้ลางจานแตกอีกส่วนใหญ่ทำจานแตกน่าจะมีคนเดี้ยง
แต่ไปๆมาๆถ้า เฟนท์ ไม่เดี้ยงแ้ล้วใครล่ะ สงสัยจะจบไม่สวยแหะ
เหอๆ วันก่อนโพสเสร็จ หมดแรงสครีม เลยไปนอน
ควบมันสามวันโลด

ไม่ไหวเหนื่อยมักๆกับตอนนี้เพราะตัวละครเปลี่ยนนิสัยกันหมด เหมือนการกระทำของ เจ้าราฟ มันทำให้ โลกเปลี่ยนไปจริงๆแหะ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga11ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายไหม
Post by: greamon on April 06, 2009, 07:08:33 PM
Saga 12  Ava-Trans


“ ไม่นึกเลยนะว่านายจะติดต่อมาตอนนี้น่ะที่นั่นคงวุ่นวายน่าดูล่ะสิ ”
เฟรเซีย กล่าวใส่เครื่องส่งสัญญาณที่ติดตั้งไว้ในห้องบังคับของ Iris ซึ่งตอนนี้
อยู่ในรูปร่างของ โอมิค่อน-โอ สองลำกำลัง บินตรงไปยัง สถานทูตโลกอส ที่ตอนนี้กำลังเกิดการปะทะ
กันอย่างรุนแรงกับ เหล่า Valkyrier ที่เข้ามาแทรกแซงการประชุม

“ นี่อย่านอกเรื่องสิ... ”
เสียงตอบกลับจากคู่สนทนาดังกลับมาอย่างหงุดหงิด ทำเอา เฟรเซีย อดหัวเราะไม่ได้

“ คิก.ๆ..จ้าๆ...นายนี่นะยังจริงจังไม่เปลี่ยนเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเล้ย..ฉันแจ้งไปแล้วล่ะ..
เชิญนายจัดการตามต้องการเลย...สุซาคุ ”
เฟรเซีย ตอบกลับไปพลางเร่งความเร็วเครื่องขึ้นไปอีกเพื่อไปให้ถึง ที่หมาย

............

“ โอเคแล้วครับ..ทางนั้นแจ้งมาแล้วว่าให้จัดการได้ตามที่เห็นชอบแล้วครับ ”
สุซาคุ กล่าวใส่ ตัวรับเสียงของ หูฟังที่เค้าสวมอยู่ในตอนนี้ขณะที่ วิ่งไปยังท่าจอด ยานที่ตอนนี้ บรรดา Gazor และ
ยานรบติดอาวุธเครื่องต่างๆกำลัง ทยอยกันออกจากท่าเพื่อเข้าสู่สนามรบจำเป็นในตอนนี้

“ งั้นเหรอ...ดีแล้วทำตามแผนที่วางไว้ได้เลย... ”
เสียงของ ลูเทเซีย ดังตอบกลับมาจาก หูฟังที่สวมอยู่ขณะที่ ตัว สุซาคุ ในตอนนี้นั้น กำลังขึ้นไปยัง ห้องบังคับของ หุ่นรบ Gazor ตัวใหม่ของเค้า ที่มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์สี่ขา ซึ่งมันได้จำลองมาจาก ซิกม่า-เอส(Sigma-S) เหมือนกับ Iris ที่จำลองรูปแบบของ โอมิค่อน-โอ(Omicron-O)


“ Yes Your Majesty”
สิ้นเสียง สุซาคุ ก็เตรียมจัดแจง ใส่กุญแจลงไปในช่องเสียบของแผงควบคุม ก่อนที่เครื่องจะเริ่มเดิน

“ คุรูรูกิ สุซาคุ Calibur ...ออกตัว.. ”
สิ้นเสียง หน้าจอ มอนิเตอร์บนแผงควบคุม ก็ขึ้นตัวอักษรไล่ลงมาจนเต็มทั้งหน้าจอ

General System
Unit Only Drive
Navigator System-On
Device Link - Ok
Ampare Power
Moblie Gazor XI Calibur Sigma-S  Mode

ทันทีที่ ตัวอักษรปรากฏครบทั้งหมด หน้าจอก็ขาวไปชั่วขณะก่อนที่ มาตรวัด และค่าสถานะของ เครื่องจะปรากฏขึ้นแทน สุซาคุ จึงเริ่มเดินคันบังคับทันที  Calibur ได้ออกตัวอย่างรวดเร็ว ไปในที่สุด

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/75.jpg)
..............................
.................

“ เอาล่ะ..อีกเดี๋ยว สุซาคุ กับ เฟรเซีย ก็จะมาแล้ว รวมทั้ง Iris กับ Calibur ด้วย ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่น้องสาวของตน มาเรียลูซ กลับออกอาการตกใจแบบ ออกนอกหน้า

“ ด..ได้ไงกันคะ..ก็กุญแจของ Iris น่ะอยู่ที่หนูนี่คะ..แล้ว เฟรเซีย เดินเครื่อง Iris ได้ยังไงกัน ”
มาเรียลูซ กล่าวละล่ำละลัก ด้วยความตกใจ ขณะที่ตัวเอง ก็คว้าเอากุญแจที่ คล้องคอขึ้นมาดู
ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่า ตราประทับในบางจุดนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

พร้อมกับที่ ลูเทเซีย แอบกลั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่อยู่ พร้อมกับ ใบหน้าของมาเรียลูซ ที่แดงจัดเพราะความ
อายกับความโมโห

“ ฮะๆๆ..พี่ก็คิดไว้แล้วล่ะนะ น้องต้อง ไม่ยอมให้ เฟรเซีย ถือ กุญแจติดตัวเอาไว้ พี่ก็เลยส่งทั้งของจริงกับของปลอมมาให้แล้วก็แนบ ไปให้ เฟรเซีย ว่าให้เอาให้น้อง น่ะ...ฮะๆ โทษทีนะ มันกลั้นไว้ไม่ไหวน่ะ ”
ลูเทเซีย กล่าวไปหัวเราะไปด้วยความขบขัน ขณะที่ มาเรียลูซ ได้แต่ชายตามองพี่ชายตัวแสบอย่างเคืองๆ


“ เอาเถอะ แต่แบบนี้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ..เพราะถ้าเป็นแบบนี้ เฟรเซีย
 ก็จะได้ทำตามที่ต้องการไง นั่นก็คือการปกป้อง

เพื่อนคนสำคัญไม่ใช่แค่ในฐานะอัศวินหรอกนะที่ ทำให้ เฟรเซีย
อยากออกตัวปกป้องน้องขนาดนั้นน่ะ..ยอมรับความตั้งใจของเธอไวบ้างก็ดีนะ มาเรีย ”

ลูเทเซีย กล่าวหลังจากปรับน้ำเสียงและคำพูดได้เรียบร้อย

“ ท่านพี่ยังเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ..แล้วนี่มีแผนอะไรอีกรึเปล่าบอกมานะคะ ”
มาเรียลูซ กล่างพลางทำหน้าบึ้งใส่ ซึ่งก็ทำเอา พี่ชาย เธอหัวเราะไปอีกรอบ

“ แน่สิ..เซโร่ น่ะคาดการณ์ไว้แล้ว ว่า Dragoon จะต้องปรากฏตัว..จากนี้ไปก็เริ่มดำเนินตามแผนเลย ”
ลูเทเซีย กล่าวพลางมองไปที่ Dragoon ซึ่งกำลัง ปราศรัยต่อหน้าทุกคน

“ พวกมันจะต้องออกมาแน่ ...โซด่อม.. ”
ลูเทเซีย คิดในใจขณะที่ ฟังบทปราศรัยของ Dragoon ไปด้วย

 “ ณ ที่นี่และบัดนี้ นี่ถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติ การล้มล้างอำนาจเผด็จการ ที่มีชื่อว่าสันติ
พวกเราจะต้องก้าวข้าม สู่ห้วงแห่งสงครามในไม่ช้านี้ สงครามระหว่าง เทอร่า กับ Empyrean Adjust ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon ประกาศก้อง ขณะเดียวกัน R2 ที่ยืนฟังอยู่ด้วยก็เกิดอาการเกร็ง จนทำอะไรไม่ถูก

“ หมายความว่า นายจะให้ เทอร่า รวมตัวกันเป็นกองกำลังเพื่อ จัดการกับ Empyrean Adjust ใช่ไหม ”
ลูเทเซีย กล่าวแทรกขึ้นมา

“ ถูกต้อง..ต่อให้ Empyrean Adjust มีอำนาจมากมายแค่ไหนพวกมันก็ไม่ใช่ พระเจ้า..ถ้าร่วมมือกัน เราต้อง
โค่นล้มพวกมันได้แน่ ”
เรกกะ กล่าวสุดเสียงอย่างมั่นใจ

“ แต่ว่า..ตอนนี้ยังไม่อาณานิคมไหนเลยที่ ต่อกรกับ Empyrean Adjust ได้
แล้วเจ้าคิดว่า พวกเราร่วมมือกันจะแก้ปัญหาได้งั้นเหรอ ”

“ นั่นสิ..ขนาด บริทเทเนอร์ เอง ที่เคยเป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ ยังต้องปฏิรูป อำนาจแล้วเปลี่ยนการ
ปกครองไปเพราะพวกมันเลยนา ”

“ ใช่ๆ..ไม่ไหวหรอก.. ”
“ พวกเราจะไปสู้ Empyrean Adjust ได้ยังไง องกรค์ ก่อการร้าย
 สาขาใหญ่ๆยังโดนพวกมันเก็บซะราบคาบ แล้วพวกเรารวมอาณานิคมไป จะได้อะไรขึ้นมา ”

เสียงทักท้วงไม่เห็นด้วยกับความคิด ของ เรกกะ ดังขึ้นระนาวเป็นทิวแถวแบบที่ไม่ต้องคาดเดา ก็รู้ได้เลยทีเดียว
เมื่อหลากความคิดมากความเห็น นั้นมารวมกันย่อมที่จะเกิดความคิดต่อต้านหรือเป็นอคติในทันที

“ แล้วจะทำยังไง.. ”
เรกกะ กล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย ทำเอาทั้งที่ประชุมเงียบไปในทันที

“ จะปล่อยให้พวกมันกดขี่เรางั้นเหรอ..จะรอให้มีคนมาปลดปล่อยพวกเรางั้นเหรอ..สิ้นคิดกันจริงๆ ”
เรกกะ ประกาศก้อง ซึ่งก็ทำเอา ข้อโต้แย้งที่พวกเค้ากล่าวมาเมื่อครู่ หมดเหตุผลลงไปในทันที

“ ถ้าพวกเราไม่ทำแล้วใครจะทำ..จะนั่งรอให้ใครลุกขึ้นมาต่อต้านในเมื่อไม่มีใครคิดจะลุกขึ้นซักคน... ”
เรกกะ ประกาศอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ความเห็นในที่ประชุมก็เริ่มเปลี่ยนไป ขณะที่
ลูเทเซีย มองไปรอบๆพร้อมกับยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ ราวกับเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้

“ จริงอย่างที่ Dragoon ว่า..พวกเราควรจะร่วมมือกัน เพื่อชิงเอาอิสรภาพของเราคืนมา ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่เดินเข้าไปใกล้ Dragoon

“ แต่นั่นหมายความว่าเราจะต้องล้มล้างกฏเกณฑ์ เพิกเฉยต่อสนธิสัญญาสงครามของนานาชาติ เพื่อรวมกำลังมาฝากไว้กับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่น่ะเหรอ ”
ไม่ทันไรก็มีเสียงแย้งขึ้น ก่อนที่ ลูเทเซ๊ย จะเข้ายืนอยู่ข้างๆ Dragoon

“ จะสนไปทำไม การแบ่งแยก..สัญญาข้อบังคับระหว่างประเทศ..มันจะไปมีประโยชน์อะไร ถ้าเทอร่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็นถ้า เทอร่า ที่กำลังจะเปลี่ยนไปในไม่ช้านี้ ยังคงแบ่งแยก ฉันท์มิตรศัตรูกันแบบนี้ ก็คงมิแคล้วเป็นหมาก Empyrean Adjust  ชักเชิดเอาตามใจชอบ อยู่ดี..การยอมรับซึ่งกันและกันนี่ล่ะที่เรายังขาดไป..ถึงได้เป็นช่องให้ Empyrean Adjust เข้าคุกคาม ”

สิ้นคำของ ลูเทเซีย ก็ไม่มีเหตุอันใดจะมาคัดง้าง อีกเพราะตัวเค้าได้ใช้ Genesis สำรวจจิตใจของ บรรดาผู้ร่วมงาน
และประมวลผลหาคำพูดที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับซึ่งความเห็นนี้

“ สมแล้วที่เป็น กษัตริย์แห่ง บริทเทเนอร์ ที่สามารถเลี่ยงข้อพิพาทที่ Empyrean Adjust
จะเข้าไปจัดการกับ อาณานิคมอย่างเด็ดขาดได้ เข้าใจอะไรง่ายดีนี่..ก็อย่างที่ว่าล่ะจะเอายังไง ”
เรกกะ ย้อนถามอีกครั้ง ทว่าก่อนที่คำตอบจาก บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมจะดังขึ้น
ฉากจอบนเวทีใหญ่ ของงานก็พลัน ปรากฏ ภาพของ โครโน่ ขึ้นหลาอยู่บนจอ

“ ยินดีที่ได้รู้จักเหล่า มนุษย์ แห่งเทอร่าทั้งหลาย ชั้นคือ โครโน่ อานิม่า ที่เป็นผู้นำแห่ง Empyrean Adjust ”
เสียงดังขึ้นจาก จอภาพท่ามกลางความตกตะลึงของ ทุกคนในห้อง

“ อานิ...ม่า... ”
เรกกะ เปรยเสียงแผ่ว ภายใต้หน้ากากของ Dragoon ทันทีที่ได้ยิน คำพูดของ โครโน่
ก่อนที่หัวของเค้าจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมากะทันหัน

“ เราจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ในฐานะ อานิม่า เพื่อที่จะช่วยชี้นำยุคสมัยให้ แก่ เทอร่า ... ”
“ ดังนั้นเราขอมอบความทรงจำของ เรกกะ ซาราเบลด ให้แก่เจ้า.. ”
“ พลังของนายมันมากเกินไปปล่อยไว้คงเป็นอันตราย..โทษทีแต่คงต้อง
ให้นายหลับไปตลอดกาลซะแล้วสิ ”

เสียงต่างๆที่ได้แล่นเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน ทำเอา เรกกะ ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
ขณะที่ภาพของ โครโน่ นั้น ทำให้เค้ารู้สึกคุ้นเคยและเหมือนเคยพบกันมาก่อน พร้อมๆกับที่
 ความทรงจำบางอย่างเริ่ม ทะลักท่วมท้นขึ้นมาในหัวราวกับจะระเบิดออกเหมือนแก้วที่ใส่น้ำ
ลงไปทั้งมหาสมุทร เลยทีเดียว

“ Dragoon ชั้นคงไม่อาจปล่อยให้นายทำตามที่หวังได้หรอกนะ..แม้จะต้องทำทุกวิถีทางชั้นก็จะให้นายรวม
เทอร่า ให้เป็นหนึ่งภายในการบังคับบัญชาของนายไม่ได้หรอก ”
สิ้นคำ ภาพก็หายไปก่อนที่ เพดานห้อง จะถล่มลงมาบนเวที จนพังยับไปทั้ง จอภาพและ พื้นเวที

“ ได้เวลา ฆ่าแล้ว...มาเป็นเหยื่อเคียวของข้าซะดีๆเถอะ พวกมนุษย์ทั้งหลาย ฮ่าๆๆๆ.. ”
เสียงกล่าวอันเหี้ยมเกรียม ดังขึ้นท่ามกลางซาปปรักที่ถล่มลงมา พร้อมกับ การปรากฏตัวของ ราฟ
Valkyrier ผู้ทำลาย ทวีปโทร่า

“ ไม่ได้การล่ะ..นี่พวกนั้นส่งกำลังเสริมมาแล้วงั้นเหรอ..ทำไม มาธิอัส ไม่เห็นแจ้งเข้ามาเลย ”
R2 คิด ขณะที่เบี่ยงตัวออกไปจากฝูงชน ก่อนจะเรียกเข็มขัดดราก้อนฮอลลี่ ขึ้นมา
แล้วแปลงร่าง เป็น ทาลิเลีย ในทันที

“ ย่าห์ ..เริ่มจากแกก่อนเลยละกันเจ้าหน้ากาก ”
ราฟ อาศัยจังหวะที่ เรกกะ ยังยืนนิ่งเพราะผลจากอาการเมื่อครู่อยู่ บุกเข้าประชิดพลางเงื้อ คมเคียวขึ้นหมายจะสับ
ทั้ง ลูเทเซีย และ เรกกะ ให้จบสิ้นกันไปในทีเดียว ทว่า  ทาลิเลียก็เข้ามาขวางไว้ได้ทันโดยเอา
ด้ามหอกกระทุ้งร่างของ ราฟ จนเซถลา ล้มลงไป พร้อมกับตวัดหอกในมือให้คมจ่ออยู่ที่ ปลายคางของ ราฟ ในทันที

“ แจ๋ว แฮะ..ตั้งแต่เกิดมาก็พึ่งจะเคยมีคนไล่ต้อน ชั้นได้ถึงขนาดนี้..ขอชมเลยเจ้ากิ้งก่าย่าง ”
ราฟ กล่าวยั่วโมโห  R2  ทว่าการยั่วของเค้านั้นไม่มีผลกับ เธอแม้แต่น้อย

“ เสียใจด้วยนะ ที่ฉันมันเป็นพวกไร้อารมณ์น่ะ.. ”
สิ้นคำของ ทาลิเลีย คมหอกก็เสียบทะลุลงไปที่คอของ ราฟ ก่อนที่เธอจะชักหอกออก ทว่า กลับไม่มีเลือดไหลออกมาจากแผลของ ราฟ แม้แต่น้อย อีกทั้งบาดแผลที่เกิดขึ้นยังสมานกลับเป็นเหมือนเดิมในทันที ขณะที่ยังตกใจกันอยู่นั้น
ราฟ ก็ตวัดขา สะดุดเท้าของ ทาลิเลีย จนเธอล้มคะมำไม่เป็นท่า ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมา

ตวัดคมหอกลงไปที่ ทาลิเลีย ทว่า เรกกะ ก็โดถีบร่างของ ราฟ
จนกระเด็นปลิว กระแทกจมลงไปกับผนังห้องทันที

“ ฮ่าๆๆ ได้ลุยกันซักที มาไคลแมกซ์กันตั้งแต่ต้นจนจบซะดีๆ ”
เรกกะ ในคราบ Dragoon กล่าวพลางเปิดตลับไพ่ที่ เข็มขัดขึ้นมา แล้วหยิบไพ่ใบหนึ่งจากที่ เหลืออยู่ 82 ใบขึ้นมา
ทำให้ ไพ่ที่เหลืออยู่ในตลับตอนนี้เหลือเพียง 81 ใบเท่านั้น

“ Blaze Form ” “  Regenration”
สิ้นเสียง ไพ่ที่ถูกจ้องด้วยตาซ้ายที่ มองลอดออกมาจาก ช่องตาของหน้ากาก
ก็ถูกทุบลงไปที่หน้าปัดของสายคาดข้อมือก่อน ที่จะเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส
ในทันที

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว จำไว้ด้วยล่ะ ”
ทาลิคนัส กล่าวพลางรวมมวลแสงในมือสร้าง ดาบอัคคีขึ้นมาก่อนจะพุ่ง เข้าหา ราฟ ที่ยังจมกำแพงอยู่

“ หึ..อย่างนี้สิมันถึงจะน่าสนุก ”
ราฟ สบถก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความสะใจ พร้อมกับ คว้า เคียวแล้วพุ่งออกจากำแพง
เข้าไปประดาบกับ ทาลิคนัส อย่างลิงโลด

.........................
..............................

ยาน Albus

“ ทาง สำนักงานใหญ่ Valhala ส่งกองหนุนมาค่ะ ทีม Magnus Mephistoทั้งสามคนกับ ยาน Niger  แล้วก็ ราฟ สมาชิกทีม Lord Ecripse (เจ้าแห่งจันทรา) อีกคนหนึ่งด้วยค่ะ ”
ลูลู่ กล่าวพลาง รัวนิ้วลงบนแป้นควบคุม อย่างร้อนรน ขณธที่ ทั้งยานเองก็วุ่นไม่แพ้กัน เพราะต้องคอย ต้านการโจมตี
จาก บรรดา Gazor แมนเทริก้าดราก้อน ที่ขึ้นมาต่อต้านอากาศยาน ของพวกเค้า เช่นเดียวกับ ยาน Niger

ที่โดน ฝูง มังกร และสัตว์ อสูร จากกองกำลังของ อาณานิคมอื่น ล้อมไว้

“ มีการติดต่อมาจากยาน Niger ค่ะ บอกว่าให้เราถอยออกจักรัศมียิง ตามพิกัดที่ส่งมา ”
 ลูลู่ รายงาน พลางหันไปรอความเห็นจาก เอลิซ่า ที่กำลังประเมินสถานการณ์

“ ถอยตามพิกัดที่ให้มา ทางนั้นคงจะเตรียม ยิงกวาดทีเดียวเลย ”
เอลิซ่า สั่งการ โดยพยายามข่มใจให้สงบกับสถานการณ์ที่วุ่นวายในขณะนี้

“ การที่เราเข้ามาแทรกแซง การประชุมใหญ่แบบนี้ มันจะไม่เป็นเรื่องที่ เกินควาสามารถไปหน่อยเหรอเนี่ย
ถึงเทคโนโลยีของเราจะก้าวหน้ากว่า แต่ทางนั้นเอง ก็ถือได้ว่าเป็นกองทัพ เทอร่า ได้เลยนะนั่น ”
เอลิซ่า คิดขณะที่ตีความแผนการและเป้าหมายของ องค์กร ในตอนนี้

ด้านนอกนั้น หลีเมย่ ก็ออกมาพร้อม กับ Bit ระบบอาวุธควบคุมนำวิถี ทั้งสี่ของเธอ
ที่ตั้งขบวน เป็นวงล้อม พร้อมจะสะสมพลังงานเพื่อยิง อนุภาคบีบอัดทำลายล้างพลังสูง
ที่เคยใช้ กวาดล้างกองทัพ บริทเทเนอร์มาแล้ว ณ ที่นี่

“ เตรียมการยิงอนุภาคบีบอัด Extream Charge เริ่มได้ ”
สิ้นคำของ หลีเมย่ Bit ทั้งสี่อันของเธอก็ เริ่มทำการสะสมประจุพลังงานอิออน มารวมกันไว้ที่ลำกล้อง
ขณะเดียว กันยานคอสมิกแสวน ของ ลอว์เรนซ์ เองก็พึ่งทะลุมิติ มาโผล่กลาง
สนามรบเช่นกัน

“ แย่ล่ะ ถ้ายิงไอ้นั่นออกไปได้ล่ะก็ มีหวังไม่เหลือแน่  ”
ลอว์เรนซ์ ที่นั่งอยู่ภายในห้องควบคุมของ ยานคอสมิกแสวน เปรย แต่ก็สายไปซะแล้ว เพราะ อนุภาคบีบอัด ที่หลีเมย่ สะสมไว้ได้ถูกยิงออกไปแล้ว ลำแสงได้กวาดล้าง กองทัพ และพุ่งลงไปต่อที่ อาคารสถานฑูต
เพื่อทำลายให้สิ้นในทีเดียว

“ หลีเมย่ ข้างล่างนั่นยังมีคนอื่นๆอยู่ด้วยนะ ”
เอลิซ่า ติดต่อเข้ามาเพื่อห้ามเธอ

“ เพื่อให้สงครามหมดไป ฉันไม่สนวิธีการอยู่แล้ว ”
หลีเมย่ กล่าวอย่างไม่สนใจใยดี แต่ประการใด ลำแสงได้พุ่งเข้าไปล้างผลาญ อาคารและชีวิต บุคคลสำคัญ
นับพัน รวมทั้งพวก เรกกะ หรือแม้กระทั่ง Valkyrier พวกเดียว กันที่อยู่ข้างล่างและ ในอาคาร


ภายใน ยานคอสมิกแสวน

“ ยูปี้ รีบย้อนกลับไปเวลาก่อนหน้านี้เร็ว ”
ลอว์เรนซ์ สั่งพร้อมกับ ควักเอา ไพ่ทั้งหกใบที่มีตราสัญลักษณ์ธาตุต่างๆประดับไว้ใบละชนิดขึ้นมาเลือก
ก่อนจะ หยิบเอาไพ่ที่มีตราแห่งธาตุแสง ขึ้นมาจากทั้งหมดแล้วเก็บที่เหลือไป

“ เตรียมการย้อนกลับสู่อดีตเรียบร้อยแล้ว ”
ยูปี้ กล่าว ก่อนจะวางมือ จากแผงควบคุมของ ยานแล้วเปลี่ยนร่างของตนให้กลายเป็น
ไพ่ก่อนจะเข้าไปอยู่ใน มืออีกข้างของ ลอว์เรนซ์

“ เรียกใช้ Empress Card ทำการเชื่อมต่อกับดราก้อนฮอลลี่ ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ ไพ่ที่ ยูปี้แปลงมาก็ถูกเปลี่ยนเป็นสนับมือ ก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะเสียบ ไพ่ตราธาตุแสง
ลงไปในช่องเสียบที่สนับมือ

“ Ready Light ” “ Fist On ”
สิ้นเสียง ลอว์เรนซ์ ก็กดไพ่ลงไปให้สุด ก่อนที่จะเกิดกำแพงแสงขึ้นสามแผง พุ่งเข้ามารวมที่ตัวเค้า
และเปลี่ยนให้เค้ากลายเป็น อัศวิมมังกรกายสีขาวเช่นเดียวกับ ทาลูคัส เพราะนี่คือ
อัศวินแห่งทาลิวิลย่า ทาลูคัส แห่งเมอริเซีย (Thalucus, the dragoon of Thaliwilya)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/3.jpg)

“ เริ่มเดินระบบ ย้อนเวลาได้ ”
ทาลูคัส กล่าวก่อนจะเดินไปที่ประตูเพื่อไปยังทางออกของยาน

“ Yes my lord System Back Time and Auto Pilot Standby ok  ”
เสียงตอบรับของเครื่องควบคุมดังขึ้น ก่อนที่ ทาลูคัส จะออกจากห้องไป
ในตอนนี้เวลาด้านนอกตัวยานได้หยุดลงชั่วขณะ ก่อนที่ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดจากการ ยิง
ลำแสงของ หลีเมย่ จะค่อยฟื้นตัว ขึ้นพร้อมกับลำแสง ที่วิ่งย้อนศรกลับคืนไปยังลำกล้องของ หลีเมย่
พร้อท กับซากอาคารได้ก่อรูปขึ้นมาเหมือนก่อนจะถูกทำลาย แน่นอน บัดนี้เวลากำลัง ไหลย้อนกลับ
ไปสู่ช่วงเวลา ก่อนหน้านี้ทันทีที่ ลำแสงทำลายของ หลีเมย่ย้ายกลับไปและสูญสลายกลับเป็นเพียง
มวลพลังงานคาอยูที่ลำกล้อง ทุกอย่างก็หยุดลงอีกครั้ง พร้อมกับเริ่มเดินไปตามเวลาอีกครั้ง

“ เตรียมการยิงอนุภาคบีบอัด Extream Char… ”
หลีเมย่ ที่กำลังจะสั่งยิงตามเวลาที่ควรจะเป็นในตอนนี้ กลับต้องชะงัก เพราะBit ทั้งสี่อันของเธอ
ถูกลำแสงสี่ลำ ยิงทำลายจน ระเบิดสิ้นไปทุกอัน แรงกระทบส่งผลให้ตัวเธอกระเด็นไปไกลไม่น้อย


“ โทษทีนะ คุณหนูแต่คงปล่อยให้เธอยิงไม่ได้หรอก ”
ลอว์เรนซ์ใน ร่างทาลูคัส กล่าวขณะที่ ไพ่ บลาส(Blast) ที่พึ่งถูกรูดไปกับคมดาบนั้น
ยังส่งควันฉุยลอยออกมา ร้อนๆ

“ นั่นมันอะไรกันน่ะ อัศวินมังกรแท้ งั้นเหรอ ต…แต่ว่างั้นแล้วที่จัดการกับ เฟนท์ ล่ะ ”
เอลิซ่า อุทานเมื่อได้ เห็น ลอว์เรนซ์ ในร่างของ ทาลูคัส ก็เริ่มสับสนกับ ทาไนซ ที่เรกกะในคราบ Dragoon
ใช้สู้กับ เฟนท์ไป

“ ยังจับสัญญาณ เฟนท์ ไม่ได้เลยสงสัยว่า อิออนไดร์ฟ(Ion Drive) คงจะดับไปไม่ก็.. ”
อีลมีเซ่ สบถพลางกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ขณะที่ยังคงจับตาดูเครื่องค้นหาอยู่ นั้นเอง
เอียน ก็เข้ามาในห้อง พร้อมกับประแจ ในมือ

“ แย่แล้วล่ะ..เพราะ ตะกี้ตอนถอยยาน ออกจาก แนวรบกาบเรือขวา โดนยิงร้าวไปถึง อิออนไดร์ฟ เลย
ความเร็วช่วงยานเลยเร่งเพิ่มไม่ได้จนกว่าจะซ่อม ล่ะนะ ”
เอียน รายงานความเสีย หายที่เกิดขึ้น ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“ นี่มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย.. ”
เอลิซ่า เปรยอย่างหน่ายพลางยกมือปิดหน้าอย่างสลด

“ เฮ้อ..กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วสินะ ทีนี้จะเอาไงดีล่ะเนี่ย ”
เอลิซ่า เปรยขณะที่มอง สภาพการณ์ การรบในขณะนี้ที่วุ่นวายกันไปหมดไหนจะเรื่องของ Dragoon
กองทัพ จากอาณนิคมอื่นๆ แล้วยังมีอัศวินมังกรแท้ มาเพิ่มอีกตน

…………….
…………………..

“ Reflextion ”
สิ้นเสียง ไรด์ ก็ยกโล่ที่แขนซ้าย ขึ้นมาก่อนที่ตัว โล่ จะสร้างกำแพงแสงขนาดเล็กขึ้นมาสะท้อนการโจมตี
ของ พวกมังกรไฟ กลับไป

“ แย่ล่ะ Albus โดนล้อมไว้แล้ว พวกเราถอยก่อน.. ”
เอมิล สั่งทันทีที่มองขึ้นไปและเห็น กองทัพบนน่านฟ้ากำลังปิดล้อมยาน Albus เอาไว้

“ แต่ว่า เฟนท์ ยังไม่กลับออกมาเลยนะ แล้วนี่ก็ยังติดต่อไม่ได้เลยด้วย ”
ซาน แย้งขึ้นขณะที่พยายาม ติดต่อไปหา เฟนท์ มาร่วม ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด

“ ชิ..งั้น ไรด์ ไปกับ ซาน ซะเข้าไปช่วย เฟนท์ แล้วทำภารกิจต่อ ชั้นจะเปิดทางให้แล้วจากนั้น
จะกลับไปที่ยานตกลงนะ ”
เอมิล ชี้แจงเสร็จ ก็นำ กลุ่มลงมา ยังหน้าอาคารอีกครั้ง ก่อนที่พวกเค้าทั้งสามจะช่วยกัน ตีฝ่า และส่ง
ทั้งสองคนเข้าไป

“ Mirror Guard ”
สิ้นเสียง เอมิล ก็สร้าง กำแพงป้องกันขึ้นมาสกัดการโจมตี และกั้นพวกทหารออกไป
ก่อนจะยก หอกเกฮาน่า ขึ้นแล้วรวมประจุยิงทำลายเพดานทางเข้าจนถล่มลงมาเพื่อ ไม่ให้ใครตามเข้าไปได้
แล้วจึงถอยกลับขึ้นไปที่ยาน อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกัน ยาน Albus จากกองกำลังต้านอากาศยานในตอนนี้

…………….
……………………

ภายในห้องประชุม ที่ตอนนี้การประชันกันระหว่าง ราฟ กับ ทาลิคนัส ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด
ทว่า ทาลิคนัส เองกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งที่ มีทาลิเลีย คอยช่วยแต่ อีกฝ่ายกลับเป็น อมตะ ไม่เจ็บไม่ตาย
จนแม้ เรียก มังกร นิมินโคออน มาช่วยก็ยังไม่อาจทำอันตรายใดๆให้แก่ ราฟ ได้

“ แฮ่ก…..เจ้านี่ มันทนทายาทจริงๆ..ขืนปล่อยไว้สู้ไปก็รังแต่จะ เสียแรงเปล่า…แฮ่ก ”
ทาลิคนัส สบถไปหอบไปอย่างเหนื่อยล้า จากการที่ สู้กันมาร่วม หลายสิบนาที

“ เฮ้อ..นั่นสินะ..นั่นสิ ถ้ายังสู้กันไปแบบนี้ยังไงชั้นก็ชนะแหงอย่างนี้ก็
น่าเบื่อแย่เลยงั้นมาลองทำอะไรสนุกๆคลายเบื่อกันหน่อยไหม ”
ราฟ กล่าวพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะควงเคียวเสียหนึ่งรอบ แล้วตวัดคลื่นแสง ไปยังกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ
ท่ามกลางสายตา ตกตะลึง ของทุกคนแม้แต่ ทาลิคนัส และ ทาลิเลีย เองก็ตกใจไม่แพ้กัน
เมื่อการกระทำที่คาดไม่ถึง ของ ราฟ ในตอนนี้ได้ปลิดชีพ ผู้นำ ส่วนหนึ่งของ อาณานิคม ในเทอร่าไปแล้ว

“ มาเล่นอะไรคลายเครียดกันดีกว่า ชั้นจะฆ่าคนในห้องนี้ไปเรื่อยๆโดยจะเก็บพวกแกเอาไว้ท้ายสุด
พวกแกจะหยุดชั้นได้ไหม…ว่าไงล่ะมันน่าสนุกดีนี่เน้อ ฮ่าๆๆๆ ”
ราฟ กล่าวอย่างลิงโลด ก่อนจะพุ่งเข้าหา กลุ่มคนที่ไร้ทางสู้แทน

“ ไอ้บ้านั่น..หยุดนะ ”
ทาลิคนัส สบถด้วยความฉุนเฉียว ขณะที่ตามไปเพื่อจะหยุด ราฟ เอาไว้

“ ถ้าอยากให้หยุดก็หยุดชั้นให้ได้ซะซี่ ฮ่าๆๆ ”
ราฟ กล่าวหน้าระรื่น พลางตวัดเคียวไล่ฆ่า คนไปทีละคน ท่ามกลางฝูงชนในห้องที่พากันหนีตายจ้าระหวั่น

“ ไม่ให้หนีหรอกน่า ”
ราฟ สบถ ก่อนจะตวัดเคียวในมือสร้างคลื่นทำลายเพดานประตูจน
ถล่มลงมาปิดทับประตูทางออกและผู้คน ที่แห่กันไปออ อยู่หน้าประตู

“ ฮ่าๆๆๆ อย่างนี้สิการฆ่ามันถึงได้สนุกไงล่า ฮ่าๆๆ ”
ราฟ ตะโกนไปอย่างลิงโลดพลางตวัดเคียว กระชากร่างของ ผู้ร่วมงานขึ้นมา
อย่างสะใจ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและเสียงร้องขอชีวิต ที่ดังระงมไปทั้งห้อง

“ มาเรีย..มาเรีย..น้องอยู่ไหนน่ะ..มาเรีย ”
ลูเทเซีย ที่ไหลไปกับฝูงชน พยายามควานหาตัวน้องสาว ของตนด้วยใจทีหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย
ว่าเธออาจจะถูกสังหารไปแล้ว

“ ท่านพี่คะ..ท่านพี่ ”
มาเรียลูซ ตะโกนเรียก อยู่หลายครั้งแต่เธอก็ได้ยินแต่เพียง เสียงของพี่ชายเธอที่ดังแว่วมากับ
ฝูงชนในห้องที่วิ่งหนีการไล่ล่าของ ราฟ เท่านั้น

“ หนอยนี่แก..หยุดนะเฟ้ย..ชั้นบอกให้หยุดไงล่ะเจ้าบ้า ”
ทาลิคนัส ที่ได้แต่ตะโกนไล่หลัง ราฟ ที่พุ่งตัวนำเค้าไปอย่างรวดเร็ว
โดยที่ต้องทนมองผู้คนถูก สังหารไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้

“ บอกให้ หยุดไงล่ะโว้ย ”
ทาลิคนัส สบถออกมาอย่างเหลือทน ก่อนจะพุ่งตัวอย่างรวดเร็ว เข้าไปดักหน้า ราฟ
ในทันที แต่ก็ถูกคลื่นทำลาย ที่เคียวของ ราฟ สร้างขึ้นมาอัดจนไปกระแทกกับพื้นข้างๆ

ที่ มาเรียลูซ ยืนอยู่จนทะลลงไปยังห้องชั้นล่างของ อาคาร แรงสะเทือนทำให้ มาเรียลูซ
 เสียหลักจนตกลงไปใน หลุมด้วยกันกับ ทาลิคนัส   





Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga11ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายไหม
Post by: greamon on April 06, 2009, 07:09:03 PM
“ อ้าวๆ…เสร็จไปหนึ่งแล้วรึเนี่ยหว้าหมดสนุกเลย ”
ราฟ เปรยด้วยท่าทีเซ็งๆ ขณะที่ ผู้นในห้องยังคงพากันวิ่งหนีไป ยังทางออกสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
นั่นคือประตูหลังเวที ที่จะเชื่อมไปยังห้องนักแสดงและเชื่อมต่ออกไปยัง ประตูหลัง

ทว่าทันทีที่ผู้คนส่วนมากในห้องไปออกันที่ประตู ราฟ ก็ยกแท่งพลาสติกสีดำซึ่งมีปุ่มกดสีแดง
อยู่ปุ่มเดียว บนหัวของแท่ง ก่อนที่จะกดมันลงไป ผลันประตูหลังเวที ก็เกิดระเบิดขึ้น

พร้อมกับที่ ราฟ รีบอาศัยจังหวะที่ ระเบิด ยังระเบิดไม่เต็มที่ อัดคลื่นกระแทก ฝูงชนที่อยู่ด้านหลัง
 เข้าไปร่วมผสมวง
ระเบิดจนถูกระเบิดตายไปกันหมด ท่ามกลางสายตาของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ที่เหลืออีกแค่ไม่กี่คน
 
“ ฮ่าๆๆๆ..ฮะๆๆ..นี่สิ..มันต้องอย่างนี้สิ..ฮะๆๆ..เข้าไปตูมกันซะให้หมด..โฮะๆๆ..ฮะๆๆ..
แบบนี้สิเค้าถึงจะเรียกว่าสังหารหมู่น่ะ..ฮะๆๆ ”
ราฟ หัวเราะอย่างสะใจขณะที่ มองการังหารของเค้า อย่างสนุกสนานราวกับเป็นการละเล่น

“ นี่แก…เห็นชีวิตคนเป็นอะไรกัน ”
ลูเทเซีย สบถพลางกำมือแน่นจนข้อมือซีดอย่างเห็นได้ชัด

“ ช่วยไม่ได้แหะ…แต่เห็นทีจะปล่อยเอาไว้เฉยๆไม่ได้ซะล่ะมั้ง ”
คางุยะ เปรยก่อนที่ ดวงตาซ้ายของเธอจะปรากฏสัญลักษณ์ของผู้มี Genesis ขึ้นมา
พร้อมกับที่ทุกๆอย่างในห้องหยุดการเคลื่อนไหว ในทันทีโดยที่ ด้านนอกนั้นยังคงสู้รบกันอยู่

“ เอาล่ะเท่านี้ก็รอให้ สุซาคุ เอา Calibur เข้ามาช่วยแล้วก็…หะ ”
คางุยะ เปรยด้วยท่าทีสบายใจก่อนจะต้อง ผงะไปเมื่อ ราฟ เท่านั้น ที่ไม่ได้หยุดนิ่ง
ไปเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วยังง้างคมเคียวขึ้นเต็มที่หมายจะฟันเธอให้ขาดสองท่อน

“ น่าเบื่อ..มากเธอเนี่ยทำให้การฆ่าของชั้นหมดสนุกไปเลย…ขอเชิญไปก่อนเลยละกัน ”
ราฟ กล่าว ก่อนจะตวัดเคียว ลงทันที

“  ได้ไง..ก็ชั้นใช้ Genesis หยุดเว…ลา”
คางุยะ กล่าวไปพร้อมๆกับที่ คมเคียวตวัดผ่าร่างของเธอจน ขาดท่อนในที่สุด
ก่อนที่เวลาในห้องจะกลับมาเดินอีกครั้ง พร้อมกับ โลหิตที่พุ่งกระจายออกมาเต็มพื้นห้อง
และเสียงหัวเราะอย่างสุขใจของ ราฟ อีกครั้ง

“ เอาล่ะต่อไปก็ตาพระองค์ล่ะนะ ลูเทเซีย วี บริทเทเนอร์ มาสังเวยให้แก่คมเคียวของชั้นเถอะ
 มันคงจะสนุกมากเลยนะ ”
ราฟ กล่าวพลางแสยะยิ้มด้วยความกระหาย ขณะที่ ทาลิเลีย เอาแต่นั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้อง

“ ใช่…มันต้องสนุกแน่ๆ ”
ลูเทเซีย ย้อนทำเอา ราฟ นิ่งอึ้งไปกับท่าทีของเค้า ก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาอีกครั้งใหญ่
จนเพดานห้องเป็นรูโหว่ ขึ้นไปตั้งแต่ชั้นดาดฟ้า ทำให้ตอนนี้ เพดานอาคารเปิดโล่งจนถึง
ข้างบน พร้อมกับที่ตัวการ การถล่มในครั้งนี้ได้เข้ามาในห้องแล้ว

“ มาช้านะ สุซาคุ ”
ลูเทเซีย กล่าวอย่างเยือกเย็น ขณะที่เดิน เข้าไปยังกลุ่มหมอกฝุ่นที่ฝุ้งกระจายซึ่งกำลังค่อยๆจางลง
ร่างของ Calibur ได้ปรากฏ ขึ้นต่อสายตาของ ราฟ

“ ในนามของ ลูเทเซีย วี บริทเทเนอร์ ข้าขอบัญชา คุรูรูกิ สุซาคุ จงสังหาร Valkyrier นั่นซะ ”
ลูทเซีย สั่งพลางชี้หน้า ราฟ ไปด้วย

“ Yes Your Majesty ”
เสียงตอบกลับของ สุซาคุ ดังขึ้นจาก ตัว Calibur ก่อนที่ปากของตัวหุ่นจะเปิดอ้าออก พร้อมกับ
ลำกล้องปืนกลที่ปรากฏอยู่ในปากของมัน ก่อนจะกราดยิง อย่างไม่ปราณี

………………
……………………..

ร้านเค้ก Happy Materia

“ ยินดีต้อนรับค่า ”
พี่สาวของ เรกกะ กล่าวเมื่อประตูร้านเปิดขึ้นขณะที่เธอกำลัง จัดวางจานบนเคาเตอร์
 แต่แล้วเธอก็ต้อง นิ่งไปเมื่อได้เห็นตัวตนของผู้ที่เข้ามา
….
เพล้งงงง!

เสียงดังขึ้นพร้อมกับเศษจานที่แตกละเอียดที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น และประตูร้านที่เปิดคาเอาไว้
แต่ทว่าไม่มีใครอยู่ในร้านอีกแล้ว ก่อนที่ลมจะพัดประตูปิดไป

…………..
…………………..

ณ ห้องในอาคารถัดลงสองชั้นล่างของห้องประชุม ซึ่งเป็น ห้องจัดงานที่ไม่ได้ถูกใช้งาน จึงมีสภาพโทรมๆ
และปิดไฟมืดอยู่ตลอดเวลา บัดนี้มีเพียงแสง จากห้องจัดงานชั้นบน ที่กำลังมีการนองเลือดกันอยู่เท่านั้นที่
ส่องลงมาในนี้

“ อ…อูย…ที่นี่ที่ไหนกัน…จำได้ว่าเราตกลงมาจากข้างบนนี่นา.. ” 
มาเรียลูซ ครางพลางยกตัวขึ้นจากสภาพที่นอนคว่ำอยู่ ก่อนจะทอดสายตาที่เริ่มชินกับความมืดมองไปรอบๆ
ก่อนจะมองขึ้นไปยังรูโหว่ด้านบน ทีมีเสียงเอะอะดังแว่วลง มาจาก ชั้นบนขึ้นไปสองชั้น

“ ที่นี่มัน ห้องจัดงานเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วนี่..แล้วนี่เราตกลงมานี่ได้ยังไงกัน…เอ๋..ว้ายย ”
มาเรียลูซ เปรยอย่าง งงๆก่อนที่มือของเธอจะไปสะดุด เข้ากับอะไรบางอย่างเมื่อหันไปมองเธอก็ต้อง
กรีดร้องออกมาด้วยความสะดุ้ง เพราะเธอนั่งทับอยู่บนตัวของ ทาลิคนัส ขณะเดียวกันเธอก็นึกออกในทันที

ว่าช่วงที่เธอพลัดตกลงมากับ ทาลิคนัส ด้วยนั้น ขณะที่จะตกลงมากระแทกับพื้นของชั้นถัดมานั้น ทาลิคนัส ก็
ก็เข้าโอบตัวของเธอไว้ เพื่อปกป้องไม่ให้ เธอกระแทกเข้ากับพื้น
ก่อนจะทะลุลงมาอีกชั้น แล้วเธอกับเค้าก็สลบไปด้วยกัน

“ จะว่าไปแล้ว..เราเองก็เพิ่งจะเคยเจอกับ Dragoon ตรงๆก็ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยนี่..ถึงก่อนนี้เค้าจะเคยช่วยเรามาแล้วก็เถอะแต่นั่นก็มีแต่รายงานที่ คนอื่นชี้แจงมาเท่านั้นเอง ตัวเราไม่เคยได้ใกล้ชิดกับเค้ามาก่อนเลยซักครั้ง ”
มาเรียลูซ คิดก่อนจะต้องสะดุ้งอีกหน เมื่อร่างของ ทาลิคนัส เริ่มสลายกลับไปเป็น เรกกะ ในคราบ Dragoon
ทำให้เธอตกใจสะดุ้ง จนต้องถอยผละออกจากตัวของเค้า ก่อนจะคลานเข้ามาดูใกล้ๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกหน

“ จะว่าไปแล้ว ตัวจริงของ Dragoon เป็นใครกันนะ ”
มาเรียลูซ คิดแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไรต่อ หน้ากาก ของ Dragoon ก็ขยับหลุดออกมาเอง
และทำให้เธอต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อได้เห็นโฉมหน้าตัวจริงของ Dragoon

“ เด็กคนนี้เมื่อตอนนั้นนี่ ”
มาเรียลูซ อุทานขณะที่มองสำรวจใบหน้าของ เรกกะ ก่อนจะดึงเอาคอเสื้อที่คาดช่วงล่างของ ใบหน้าลง
ครั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าเต็มๆของ เรกกะ เธอจึงมั่นใจว่าใช่ เด็กที่เธอเจอ ที่ท่าเรือ บาร์ซิงเซย์
ความจริงตรงนี้แม้เธอจะเคยคาดคิดเอาไว้แต่ก็ไม่นึกว่า จะเป็นจริงทำให้ตัวเธอตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกไปทันที

“ อุ…อา ”
เรกกะ เปรยเสียงแผ่วก่อนจะขยับตัวเล็กน้อย ขณะที่มาเรียลุซ นั้นไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนดี เมื่อ เรกกะ ฟื้นขึ้นมา

“ ที่นี่มัน…อ้าวนี่คุณเมื่อตอนนั้น… ”
เรกกะ เปรยอย่างมึนๆ ก่อนที่จะฉุกคิดได้ เค้าเอามือแตะ ใบหน้าทันที ด้วยความร้อนรน
ก่อนจะหันไปมาและก้มลงไปเก็บหน้ากากขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักไป
เมื่อรู้สึกว่า คุ้นหน้าของ เธออยู่ เลยหันกลับมามองเธออีกครั้ง

“ เธอ…ม..ไม่สิ ท่านคือ… ”
เรกกะ เปรยดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ มาเรียลูซ รู้แล้วว่าฐานะของตนคงถูกเปิดเผยแล้ว
จึงไม่คิดปกปิดต่อไป

“ ใช่ฉันคือ..มาเรียลูซ ลี บริทเทเนอร์ อดีตเจ้าหญิง ลำดับที่ 3 แห่งบริทเทเนอร์
 แต่ตอนนี้ฉันคือ มาเรียลูซ ผู้สำเร็จราชการแห่งโลกอส ”
มาเรียลูซ กล่าวพร้อมกับยืนขึ้นเพื่อให้สมเกรียติ

“ การที่พระองค์ ทรงเปิดเผยฐานะให้กระหม่อนได้รับรู้ ก็แสดงว่าพระองค์
ทรงมีพระประสงค์ใดจะให้กระหม่อมรับใช้สินะฝ่าบาท ”
เรกกะกล่าวพลางคว้าเอาหน้ากาก ขึ้นมาและลุกขึ้นก่อนจะ ดึงคอเสื้อที่คาดปากขึ้นมาคาดเหมือนเดิม

“ ถูกต้องเรามีเรื่องต้องการจะขอร้อง…สงครามกับ Empyrean Adjust น่ะยกเลิกมันไปจะได้ไหม ”
มาเรียลูซ กล่าวพลางสบตาของเขาเพื่อมองลึกลงไปในดวงตาในจิตใจ

“ ถ้าผมขึ้นไปบอกให้พวกเค้าลืมสิ่งที่ผมพูด แล้วจะทำยังไงต่อ…คิดว่าจะมีใครยอมเชื่องั้นเหรอ การปฏิวัติน่ะ
มันเริ่มไปตั้งนานแล้วและก็จะถอยกลับไม่ได้อีกแล้วด้วย ”
เรกกะ ยืนยันหนักแน่นในความคิดของเค้า

“ ไม่จริงเลย..ถ้าเป็นตอนนี้ยังทันนะ…สงครามจะทำให้มีการนองเลือดผู้คนจะต้องสังเวยชีวิตกันอีกมาก
แทนที่จะทำสงครามถ้าเรายอมเจรจา… ”
มาเรียลูซ พยายามจะโน้มน้าวใจของเค้าทว่ายังไม่ทันที่ ตรัสเสร็จสิ้น เรกกะ ก็แทรกขึ้นมาทันที

“ คิดอย่างนั้นจริงรึ…องค์หญิง ”
เรกกะ ถามขึ้นทำให้ มาเรียลูซ โต้ไม่ออก

“ แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้ล่ะ..การนองเลือดก็มีอยู่มากมาย เพราะ Empyrean Adjust
คิดว่าการเจรจาจะช่วยได้อย่างนั้นรึ ป่านนี้แล้วไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก องค์หญิง ที่แล้วมาตั้งแต่
อดีต มนุษย์ไม่เคยมีการเจรจาเพื่อสันติอย่างแท้จริงมีแต่สงครามเท่านั้นที่จะสร้างข้อยุติ เพราะแบบนั้น ถึงต้องใช้สงคราม เพื่อยุติสงคราม นี่ล่ะวิธีการของพวกมัน Empyrean Adjust หากเรายอมจำนน นั้นก็เท่ากับ ได้ย่างก้าว
ลงไปสู่หุบเหวแห่งประวัติศาสตร์แล้ว  ”

เรกกะ กล่าวน้ำเสียงเด็ดขาด

“ ไม่ว่ายังไงก็ต้องสู้กันอย่างนั้นเหรอ ต้องรบกันให้ต้องหลั่งเลือดกันให้รดแผ่นดินอีกเท่า
ไหร่ถึงจะพอ แบบนั้นน่ะสร้างสันติไม่ได้หรอก  ”
มาเรียลูซ แย้งทั้งๆหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบใบหน้า ทำให้ เรกกะ ต้องชะงักไป
แต่ตอนนี้ ตัวเค้าเองก็ไม่อาจถอยได้อีกแล้ว

“ ขออภัยด้วยฝ่าบาทแต่กระหม่อมคงมิอาจ ทำตามที่พระองค์ทรงมีรับสั่งได้ ”
เรกกะ กล่าวก่อนที่ดวงตาซ้ายจะ ทอแสงสีขาวขึ้น ไพ่ ขึ้นมาจากตลับ ทำให้ตอนนี้เหลือไพ่ในตลับ
เพียง 80 ใบเท่านั้น

“ แล้วก็…จากนี้ไปหากองค์หญิงจะทรงไม่อภัยที่กระหม่อมฝืนคำสั่งเช่นนี้ ก็ขอให้พระองค์ทรงรับรู้ไว้ด้วย….
ที่กระหม่อมขัดพระบัญชามิได้เป็นเพราะรังเกลียดพระองค์ หากเป็นเพราะกระหม่อม อยากปกป้องพระองค์ให้ถึงที่สุดเพื่อตอบแทนที่พระองค์ทรงดูแลราษฎรชาวเมอริเซียทุกคน รวมถึงกระหม่อมด้วย… ”

เรกกะ กล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะสวมหน้ากาก แล้วจึงนำไพ่ที่มีตราแห่งแสง ไปบนหน้าปัด

“ Luminar Form ”
เสียงดังขึ้นจากหน้าปัดสายคาด ทว่าก่อนที่ เรกกะ จะเอามือที่ยืนไปนั้นกดลงไปบนไพ่ เค้าได้เงยหน้าขึ้นมามอง
มาเรียลูซ อีกครั้ง ซ฿่งน้ำตายังคงไหลรินอยู่ที่ใบหน้าของเธอ

“ พระพักต์ของพระองค์ทรงไม่เหมาะกับน้ำพระเนตรหรอก…
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่กระหม่อมจะได้พบกับพระองค์ ”    “ Regeneration ”
เรกกะ กล่าวจบก็กดไพ่ลงไปบนหน้าปัดก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็น ทาลูคัส โดยที่จิตสำนึกนั้นยังคงเป็นของตัวเองจน
เมื่อเปลี่ยนร่างสมบรูณ์ ทาลูคัส จึงเข้าครอบครองจิตดดยสมบรูณ์แทน
ก่อนจะสยายปีกบินกลับขึ้นไปด้านบน ทิ้งให้ มาเรียลูซ ยืนมองเค้าหายลับไปจากสายตา

“ ทำไมกัน…..ทำไมถึงต้องรบราฆ่าฟันกันนี่คือประสงค์ของสวรรค์งั้นหรือ…เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็ไม่อาจก้าวข้ามประวัติศาสตร์ไปสู่วันพรุ่งนี้ได้หรอก…. ”
มาเรียลูซ กล่าวก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่า สายตามองตรงขึ้นไปยังแสงสว่างที่ปลายทางของ
ช่องโหว่บนเพดาน มือสองข้างประคบกันเพื่อราวกับจะวิงวอนขอพระเมตตาจากสวรรค์
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นมีเพียงความเงียบสงัด ท่ามกลางแสงสว่างที่สาดส่องลงมาไม่ทั่วถึง

เป็นดั่ง ยุคมืดที่ต้องขวนขวายกันขึ้นสู่จุดยอด เพื่อไขว่คว้าแสงแห่งอนาคต แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใคร
ได้มันไปแม้แต่คนเดียว

………………..
……………………….

“ เดินระบบ Moblie Gazor เปลี่ยนเป็น Gazor Mode ”
สิ้นเสียงของ สุซาคุ หน้าปัดบนแผงควบคุมก็แสดงตัวอักษรไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ

General System
Unit Only Drive
Navigator System-On
Device all Green
Ampare Power
Moblie Gazor XI Calibur Dark Steel Guardian Mode

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n023/63.jpg)

ทันทีที่อักษรขึ้นครบทั้งหมด Calibur ก็ทำการเปลี่ยนรูป ประกอบชิ้นส่วนต่างๆใหม่ และกลายเป็นรูปแบบ Dark Steel Guardian เหมือน กับ Lancelot ไม่มีผิดทว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเข้าไปเพิ่มทำให้สามารถ ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
โดยมีประจุละออง คล้ายกับประจุอิออน ห่อหุ้มซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่พวก Valkyrier ใช้ในการทรงตัวกลางอากาศ

“ ดูท่าจะไม่สนุกซะแล้วสิน้า.. ”
ลูเทเซีย กล่าวยุแหย่ใส่ เมื่อเห็น ราฟ ที่เมื่อครู่ยัง ตีสีหน้าสนุกกับการฆ่า ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตกตะลึง

“ เจ้านี่…ปล่อยอนุภาค อิออน ได้ด้วย…หนอยนี่มันไม่ใช่อย่างตกลงกันไว้นี่หว่า ”
ราฟ คิดขณะที่กระชับ เคียวในมือแน่นตอนนี้ความรู้สึกของเค้าเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

“ ไม่ใช่อย่างที่ตกลงกันไว้…อย่างนี้เองแสดงว่า ไอ้การที่เราค้นคว้าแล้วนำเอาประจุแบบเดียวกับพวกแกมาใช้เนี่ย
มันคงน่าตกใจมากสินะ ”
ลูเทเซีย กล่าวโดยที่ตอนนี้ดวงตาข้างซ้าย แสดงสัญลักษณ์ Genesis ขึ้นบนดวงตา ซึ่งนั่นหมายความว่า
ตอนนี้เค้ากำลังอ่านใจของ ราฟ อยู่

“ แกเองก็มีพลังอ่านใจเหมือนกันเหรอ…หึๆ เหมือนกันเลยนะ แต่แบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่มีใครโกหกใครได้สินะ….นายน่ะมันเจ้าเล่ห์…คิดจะใช้ทั้งพวกเรา ทั้ง Dragoon ทั้งโลกอสเป็นเครื่องมืองั้นเหรอ…
หึสกปรกซะจนชั้นต้องยอมรับ แต่เอาเถอะจะปล่อยแกไปก่อน… ”
 ราฟ กล่าวจบก็เร่งประจุให้ครอบคลุมร่างไว้ก่อนจะ พุ่งทะยานหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ ไม่ต้องตามไป…สุซาคุ ออกไปจัดการกับพวกที่เหลือข้างนอกก่อน ”
ลูเทเซีย ปรามไว้เมื่อเห็นว่า Calibur กำลังจะตามขึ้นไป

“ Yes Your Majesty ”
สุซาคุ รับคำเสร็จ ก็บังคับ Calibur ออกไปด้านนอกอาคาร ขณะเดียวกัน
เรกกะ ทาลูคัส ก็ได้ทะยานผ่านขึ้นไป ยังช่องเพดานด้านบน เพื่อตรงเข้าสู่สนามรบด้วยเช่นกัน

“ ไปกันหมดแบบนี้ ฉันก็โดนทิ้งน่ะสิ ”
R2 กล่าวอย่างเซง ก่อนจะ บินตามขึ้นไป ทิ้งให้ ลูเทเซีย และบรรดาผู้เข้าประชุมที่ยังเหลือรอดอยู่ส่วนหนึ่ง
ไว้ในห้อง

“ นี่มันอะไรกัน..พวกมันยังไม่ยอมมาอีกงั้นเหรอ ทั้งที่นี่เป็นงานใหญ่ที่จะมีโอกาสเก็บกวาดไปทั้ง Empyrean Adjust เทอร่าแล้วยัง พวกเราอีก… ”
ลูเทเซีย คิดก่อนที่ไม่นานจะเกิดแรงสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง วินาทีนี้ ลูเทเซีย ไม่คิดอันใดอีกแล้วนอกจาก
การออกไปจากห้องนี้ หลังจากหันไปมาประตูทางเข้าถูกทำลายหมด แต่ยังเหลือ บันไดหนีไฟ
ที่ประตูถูกล็อตเอาไว้แต่ตอนนี้ บานประตูก็พังยับเยินจนหลุดออกจากผนังแล้ว เค้าจึงใช้เส้นทางนั้นหนีออกมา
พร้อมกับ บรรดาผู้นำคนอื่นๆ

“ จริงสิ แล้ว มาเรีย ล่ะ ”
ลูเทเซีย คิดขณะที่วิ่งลงไปตามบันไดซึ่งทอดยาวลงไปจนถึงชั้นล่าง และเมื่อลงมาถึงชั้นที่ มาเรียลูซ ตกลงมา
เธอก็ได้มารออยู่ก่อนแล้ว

“ ท่านพี่คะ แรงสะเทือนเมื่อกี้มัน ”
มาเรียลูซ ถามขึ้นทันทีที่ได้พบ พี่ชาย ขณะที่คนอื่น พากันรีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อหนีออกจากอาคาร

“ พวกมันแน่ๆ แต่ตอนนี้เราต้องรีบหนีออกจากที่นี่ก่อนที่ตึกจะถล่ม ”
ลูเทเซีย กล่าวจบก็จูงมือน้องสาวลงไปตามบันได และออกมาได้ทัน ก่อนที่ อาคารจะถล่ม


………….
………………..

“ ซาน เราต้องออกจากที่นี่แล้ว อีกประเดี๋ยวมันคงจะถล่มลงมาหมดแน่ ”
ไรด์ กล่าวกับ ซานที่ ตามกันเข้ามาหาตัว เฟนท์ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่พบ

“ ต…แต่ว่าเรายังไม่เจอ เฟนท์ เลยนะ ”
ซาน แย้งทว่า ตอนนี้ตัวอาคารเองก็ค่อยพังทลายลงมาแล้ว ไรด์ จึงตัดสินใจทำลายผนังจนโหว่เป็นช่องทาง แล้ว ลากเธอหนีออกมาทันที ก่อนที่ ซากอาคารจะถล่มลงมา

“ เฟนท์…. ”
ซาน เปรยเสียงแผ่วด้วยความสิ้นหวัง น้องชายคงจากเธอไปอย่างถาวรแล้ว

“ ตอนนี้อาคารถล่มลงมาหมดแล้ว แต่ยังหาตัว เฟนท์ ไม่เจอเลยจะให้ทำยังไงต่อ… ”
ไรด์ ที่กำลังรายงานกลับไปยังยาน Albus ด้วย Terminal Crisis ต้องสะดุดไปเพราะ
มีแท่งผลึกน้ำแข็ง อันแหลมคม พุ่งตัดหน้าเค้าไป และเฉี่ยวจนเกิดแผลเล็กๆขึ้นที่ใบหน้าที่ถูกเฉี่ยวไป โลหิตสีแดงค่อยซึมออกมาจากบาดแผลนั้น

“ นั่น…ใครกัน ”
ซาน เปรยขณะที่เธอและ ไรด์ จ้องไปยังผู้ที่จู่โจมใส่เมื่อครู่ ซึ่งก็คือ อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน ที่ปรากฏตัวออกมา
จัดการกับ ปีศาจ ที่เรียกว่า อาคูม่า ในทุกครั้ง

“ เลือดสีแดงไม่ใช่ อาคูม่า งั้นเหรอ แล้วทำไม… ”
อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน เปรยเสียงเรียบก่อนจะ ชะงักไปเพราะ พื้นดินบริเวณ รอบอาคาร
เริ่มทรุดตัวลงก่อนที่ จะเกิดพายุทรายขึนอย่างกระทันหัน ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของ

สนามรบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้ มังกร เอซซาไลซ ที่เคยสร้างพายุทราบขึ้นมากลางเมืองได้ปรากฏตัวขึ้น
จากซากอาคารนับสิบ ตัวอีกทั้ง  มารที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์งู ฟุเซนอาคูม่า (Fuzen Akuma) ที่เคยถูจัดการไปตอน
การจลาจลในโรงเรียนก็ โผล่ออกมามากมายนับไม่ถ้วน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n021/34.jpg)

“ อย่างนี้เองหรอกรึ..พวกมันเฝ้ามองหาโอกาสที่จะเข้ามาแทรกกลางงานตั้งแต่แรกแล้วสินะ ”
อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน(จากนี้จะย่อเป็น Knight FD นะครับ ชื่อมันยาว) กล่าวก่อนจะพละตัวออกไปจาก พวก ไรด์ ที่กำลัง ถูกใจกลางพายุทรายที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ใต้ซากอาคาร

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/52.jpg)

“ พายุนี่มันอะไรกัน… ”
ไรด์ สบถขณะที่ เอาชูริเคน ปักลงไปเพื่อยึดเกาะกับพื้นไม่ให้ปลิวไปกับแรงดูด
ขณะที่อีกมือก็ดึงแขนของ ซาน เอาไว้ไม่ให้ถูกดูดลงไปด้วย




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga11ชะตาขาดซะแล้วจะจ่ายไหม
Post by: greamon on April 06, 2009, 07:09:19 PM
“ เจ้าพวก โซด่อม เผยตัวออกมาแล้วงั้นเรอะ ”
ลอว์เรนซ์ ในร่าง ทาลูคัส สบถ ขณะที่ ตวัดดาบปัด พัดเหล็กของ หลีเมย่ ที่ควงบินเข้ามาหา
ก่อนจะหักหลบ ลำแสงจูโจม ของ Keen Bit ที่บุกเข้ามาพร้อมกับสามอัน

“ หนีไม่พ้นหรอกน่า เจ้าอัศวินมังกร ”
หลีเม่ย กล่าวพร้อมกับรับพัด ที่คว้างไปกลับมา ก่อนจะสั่งให้ Crimson Bit พุ่งเข้าหา
แต่ ลอว์เรนซ์ ก็ตวัดดาบปัดโต้ไป ก่อนจะหยิบเอาไพ่ แสลช (Slash)ขึ้น รูดลงไปบนดาบ

“ Slash ”
เสียงดังขึ้นจากตัวดาบก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะพุ่งเข้าประชิดตัว หลีเมย่ อย่างรวดเร็ว

“ Lux et Dragos ”
สิ้นเสียง ลอว์เรนซ์ ก็เงื้อดาบขึ้น คมดาบได้ทอประกายแสงขึ้นราวกับคมดาบเรืองแสงได้
ทว่า หลีเมย่ ก็ยกพัดเหล็กประดาบเอาไว้ก่อนจะ ผลักตัวออกห่าง แล้วให้ Bit ทั้งหมดเข้าไปจู่โจม

ทว่า ทันทีที่ ลอว์เรนซ์ ตวัดดาบไป ประกายแสงก็ได้ทอดออกจากคมดาบกลาย
เป็นคลื่นพลังออกไปตัดทำลาย Bit ทั้งหมด

“ ขอบอกไว้ก่อนเลยชั้นน่ะเก่งระดับเทพนะจะบอกให้ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ ก็เอาไพ่ เอเนอจี้(Energy) ขึ้นมาก่อนจะรูดมันลงไปบนคมดาบ

“ Energy ”
สิ้นเสียง ก็เกิดกำแพงแสงขึ้นหกแผ่นก่อนที่ บรรดามังกรทั้งหกจะโผล่ออกมากันหมด
และรุมจูโจ่ม จน หลีเมย่ ที่กางเกราะประจุอิออน กันเอาไว้ กระเด็นไม่เป็นท่า

แต่แล้ว ก็มีคนมารับตัวเธอไว้ และยังไม่ทันที่ ลอว์เรนซ์ จะได้ขยับทำอะไรต่อ ก็มีศรลำแสงพุ่งขึ้นมานับสิบ
แต่ ทาลิเลีย ก็พุ่งหอกลำแสงมังกรขึ้นมาสกัดกั้นการโจมตีไว้ให้ทัน ซึ่งทั้งสองคนที่มาช่วย หลีเมย่ไว้คือลูกทีมของเธอ หลง(Long)และผิง(Ping)

“ แล้วทำไมชั้นต้องมาช่วยคนอย่างนายด้วยเนี่ย ”
ทาลิเลีย บ่นขณะที่ บินตามขึ้นไปรับหอก ที่ขว้างออกไปเมื่อซักครู่

“ นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้นแล้ว..ข้างล่าง เจ้าพวกโซด่อมมันเริ่มการโจมตีแล้ว ”
ลอว์เรนซ์ สบถก่อนจะบิน ลงไปยังพายุทรายด้านล่างเพียงลำพัง โดยที่บรรดามังกรทั้งหกซึ่งก็คือพวก ไลท์
ถูกเก็บกลับไป ด้วย ทำให้ ทาลิเลีย ต้องขึ้นมาอยู่กลางวง รบที่สับสนอลหม่านเพียงลำพัง ขณะที่
กองทัพจาก อาณานิคม อื่นเริ่มหร่อยหรอ ลงไปทุกที แต่ก็ไม่มีทีท่าว่า ความรุนแรงนี้จะจบลง

“ Charge Rider Water Blade ”
เสียงดังขึ้นจาก เข็มขัดของ Knight FD หลังจากที่บรรจุ อัญมณีสีฟ้าลงไปในช่องของเข็มขัด
ดาบสองปลายในมือก็เปล่งแสงสีฟ้าขึ้นทั้งคมก่อนที่ เธอจะพุ่งเข้าไป ควงดาบฟาดฟันทำลาย ฟุเซนอาคูม่า
ในครั้งเดียวนับสิบตัว ทว่าเธอก็ยังคงไม่พ้นไปจากวงล้อมของพวกมัน

“ Slash ” “ Blast ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ ไพ่สองใบถูกรูดลงไปบนคมดาบของ ลอว์เรนซ์ ก่อนที่คมดาบจะเรืองแสง

“ Great of Dragon ”
สิ้นคำลอว์เรนซ์ ก็พุ่งลงไปยังวงล้อมของเหล่า อาคูม่า ก่อนจะควงดาบไปรอบ พร้อมกับมังกรพลังงาน
สีขาวที่พุ่งออกมาจากตัวดาบ กวาดทำลายเหล่า ฟุเซน อาคูม่า จนสิ้นซากในคราเดียว

“ เท่านี้ ถือหนี้ที่แล้วมาหายกันนะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะหันไปมอง เธอ ก่อนจะทักท้วงถึงเรื่องที่ เธอเคยช่วยเค้าไว้จากเหล่ามารดิน(Earth Akuma)

“ อัศวินทาลิวิลย่าแห่งเมอริเซีย รึน่าประหลาดใจซะจริง ”
Knigh Fd เธอ กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจที่ได้พบกับ ลอว์เรนซ์ เหมือนว่าเธอนั้นรู้จักเค้ามาก่อน
ทั้งที่ เค้าเองก็ไม่เคยรู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ

“ เรา…รู้จักกันงั้นเหรอ ”
ลอว์เรนซ์ ลองแกล้งถามกลับ แต่เธอก็ส่ายหน้าตอบ

“ ไม่….เราไม่เคยพบกันเลยด้วยซ้ำวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน…ฉันแค่ได้ยินเรื่องของพวกคุณเท่านั้นเอง ”
เธอ กล่าวจบก็ก็หันไปมองเหล่า มังกรทะเลทรายเอซซาไลซ

“ ที่เหลือคงให้พวกคุณจัดการกันได้ เจ้าของร่างของฉันไม่ค่อยจะว่างซักเท่าไหร่ อีกอย่างแค่จัดการกับอาคูม่า นั่นก็เพียงพอสำหรับหน้าที่ของฉันแล้ว ”
เธอกล่าวก่อนจะ เดินหายเข้าไปในพายุทรายอย่างเงียบๆ

“ เราเองก็ไม่มีเวลามาสนใจซะด้วยสิ.. ”
ลอว์เรนซ์ บ่นก่อนจะทะยานกลับขึ้นไป ด้านบนอีกครั้ง

“ Mirage Explosion ”
สิ้นเสียง เอมิล ก็สร้างร่างแยก เข้ารุมจู่โจม ทาลิเลีย ไปพร้อมๆกับ หลงที่สวมชุดเกราะและ กรงเล็บซึ่ง
เป็น Crisiser ของเค้าขึ้นมา จัดการกับ ทาลิเลีย ทำให้เธอตกที่นั้งลำบาก อีกทั้ง ผิง ที่ คอยยิงศรแสง

สกัดการเคลื่อนไหวของ เธอได้ชะงัก แล้วยังมี หลีเมย่ ที่สร้าง Bit ขึ้นมาอีกครั้งและ คอยโฉบยิงโจมตี
ทว่า ก็ได้ เรกกะ ที่บินตามเข้ามา ช่วยไว้ได้ทัน แต่ Gazor ของ อาณานิคม ต่างๆรวมไปถึงกองทัพอื่นๆ
เองก็โจมตีไม่เลือกหน้าเช่นกันไม่ว่า พวกเค้าหรือ Valkyrier

“ ทำไมที่นี่มันถึงได้มั่วซั่วขนาดนี้ล่ะ สุซาคุ ”
“ ถามผมตอนนี้ก็ตอบอะไรไม่ถูกแล้ว…มันวุ่นมากๆเลย ”
ด้าน สุซาคุ และ เฟรเซีย ที่ขับ Calibur และ Iris ในรูปแบบ Gazor โหมดมาเข้าคู่ร่วมกันจัดการกับ เอซซาไลซ
ก็เริ่มตกที่นั่งลำบาก เพราะ เอซซาไลซ นั้นยิงฟันไม่ตาย พวกเค้าจึงหมดหนทางจะต่อกรจริงๆ

“ ขืนเป็นแบบนี้พลังงานได้หมดก่อนแน่ ”
ทั้งคู่เปรย ขณะที่ตอนนี้ หน้าปัด พลังงานของทั้งสองเครื่องกำลังจะตกถึงขีดสุด

…………

“ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียง เรกกะทาลูคัส ก็จัดการ เตะดาบที่ควงอยู่ ลงไปเป็นลำแสงมังกร พุ่งเข้าต้านการจู่โจมรวมของ
เหล่า Valkyrier

ด้าน ลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้คืนร่างจากการเป็น ทาลูคัส ก็หยิบเอาไพ่ประทับตราแห่งธาตุขึ้นมาและคราวนี้เลือกธาตุลม

“ Ready Wind ”  “ Fist On ”
สิ้นเสียง ไพ่ก็ถูกกดลงไปจนสุดก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะกระแทกหมัดลงไปบนวงเวทย์ที่เกิดขึ้น
แล้วเปลี่ยนร่างเป็น อัศวินทาลิวิลย่ากายสีเขียว นาม ทาเวนทอส(Thaventos, the Dragoon of Thaliwilya)


(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/47.jpg)


“ ขอบอกไว้ก่อนเลยชั้นคนนี้เก่งระดับเทพเชียวล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวก่อนจะบุกเข้าไปในพายุทรายเพื่อจัดการกับ เอซซาไลซ

……………….
…………………….

ชั้นใต้ดิน อาคารสถานทูตที่พึ่งถล่มไป ซึ่งตอนนี้ภายในเละไปด้วย
กองซากปรักที่ถล่มลงมา ภายในมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่าง ที่จริงมันมืดมาก เสียจนมองไม่เห็นอะไรเลย

แต่ในความมืดนั้นกลับมีเพียงจุดเดียวที่แสงส่องสว่างขึ้นมาไม่ใช่ทั้งจากด้านบน หรือแสงจาด้านล่างนี้
แต่มันเปล่งออกมาจาก อัญมณี ที่ติดอยู่ที่สนับมือของ เฟนท์ ที่กระเด็นออกมาหลังจากการสู้กับ ทาไนซ

มันปล่อยอนุภาคอิออนสีเขียวที่เรืองแสงในความมืดนี้ขึ้น อยู่ตลอดหลังจากที่ตกลงมาในนี้
ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เรื่อยๆ เมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ปลายทางอันมืดมิด กลับค่อยๆสว่างขึ้นมาเรื่อยๆ

จนเมื่อแสงนั้นได้มาถึง สนับมือนั้น มือของชายผู้หนึ่งซึ่งมือซ้าย ถือนาฬิกาทรายไว้ ก็ได้ก้มลงมาเก็บ
เอา สนับมือนั้นไปก่อนจะ เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ไม่ไกลนัก เค้าก้มลงมอง

ร่างที่ยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มผู้มีหูเช่นสุนัขป่า ชุดเสื้อผ้าและเกราะนั้นขาดรุ่งริ่ง ที่มือซ้ายมีสนับมือสวมอยู่เพียง
ข้างเดียว ชายคนนั้นก้มลงสวมสนับมือให้แก่ด็กหนุ่มก่อนจะ เดินจากไปนั้น เค้าวางนาฬิกาทรายเอาไว้ข้างๆ

เด็กหนุ่ม โดยที่ทรายที่เหลืออยู่นั้นยังคงตกลงมกระเปราะล่างอยู่เรื่อยๆ หลังจากที่ชายคนนั้นจากไปไม่นาน เด็กหนุ่มก็รู้สึกตัว ก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก ร่างของเค้าระบบไปหมดทั้งตัว
และยังมีรอยเขม่าควันในบางจุดด้วย

“ ที่นี่มันที่ไหนกัน… ”
เฟนท์ ครางหลังตื่นขึ้นมาจากอาการสลบ เค้ารู้สึกระบมไปทั้งร่าง แขนขามีรอยถลอก
และ ที่ช่วงขวาของลำตัว ก็มีคราบเขม่าเกาะอยู่ ขณะเดียวกันทรายที่อยู่ในนาฬิกา ซึ่งถูกวางไว้ข้างๆก็
หล่นลงจนหมด อัญมณีที่สนับมือทั้งสองข้างก็เรืองแสงสว่างเปล่งประกายเจิดจรัส อนุภาคอิออน
ฟุ้งกรจายออกมาเสียจนทำให้รอบๆสว่างไสวไปด้วยแสงสีเขียวที่อนุภาคเปล่งออกมา

“ ถึง Valkyrier ผู้สืบเชื้อสายแห่งเมอริเซีย…นี่คือข้อความที่ได้บันทึกไว้หากข้อความนี่ถูกเปิดขึ้นก็แสดงว่า มนุษย์ยังคงไม่อาจวางมือจากสงครามได้….. ”
เสียงดังขึ้นมาจาก สนับมือ ทั้งสองข้างของ เฟนท์ หนแรกเค้าตกใจเหมือนกันแต่เมื่อลองฟังดูแล้ว
เค้าจึงจำได้ว่านั่นคือเสียง ที่เคยใช้ประกาศสุนทรพจน์ เรื่องอุดมการณ์ ของ Empyrean Adjust
เสียงอิสฮาน

“ ตราบจนบัดนี้ เทอร่า ก็ยังคงมีสงครามไม่รู้จบแม้พวกเราจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเชื่อในตัวของ
เหล่ามนุษย์ ว่าซักวันพวกท่านอาจจะเข้าใจในสิ่งที่ผม ต้องการอยู่ตอนนี้…. ”
เสียงนี้ได้ประกาศดังก้องไปตามสื่อทั่วทุกหนแห่ง ในเทอร่า แม้กระทั่งวิทยุสื่อสารในห้องบังคับของ
Gazor ที่กำลังรบกันอยู่ด้านนอก ไปจนถึงห้องประชุม ที่โต้โน่น และฮายาเตะ อยู่ด้วยเช่นกัน

“ ตัวกระผมนั้นคิดไว้แล้วว่า การปฏิวัติ คงไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ถึงกระนั้น ผมยังคงเชื่อหากสักวัน
เราจะเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่ผมต้องการไม่ใช่การยอมจำนน แต่เป็นความเข้าใจซึ่งกันและกัน ”
เสียงนี้ ได้ดังออกมาจาก Gazor ทุกเครื่องรวมไปถึงเครื่องมือสื่อต่างๆ รอบทำให้เกิดเป็น สารเสียงที่ประกาศก้อง
ให้ได้ยินกันทั่วทั้งสนามรบ ในตอนนี้

“ บ้าเอ้ย…ทำไมกัน…ชั้นถึงไม่รู้ว่าเจ้าอิสฮานมันวางแผนเอาไว้แล้ว ”
โครโน่ สบถพลางกัดฟันแน่นกรอด ด้วยอารมณ์เดือดดาล

“ ตอนนี้ระบบของ ฮุกีนมูนีน ไม่สามารถเชื่อมต่อได้เลยค่ะ ระบบถูกล็อคจากด้านในดดยสมบรูณ์ ”
ฮายาเตะ รายงานถึงสภาพการณ์ปัจจุบันที่พวกเค้าไม่อาจยับยั้งการออกอากาศ ไปทั่วทั้งเทอร่านี้ได้


“ เพราะอย่างนั้นเพื่อที่จะนำมนุษยชาติ ก้าวข้ามไปสู่การปฏิรูป ผมจึงขอฝากความหวังไว้ กับเหล่าอัศวินของเรา
เหล่า Valkyrier ที่ผมเชื่อใจ จากนี้ผมขอฝากพลังและความหวังนี้ไว้กับพวกเธอ จงก้าวข้ามไปสู่อนาคต ก้าวข้ามสงคราม Delantion นี้นำพามนุษย์ไปสู่วิวัฒนาการ ไปสู่การเป็นผู้สร้าง…. ”
เสียงได้ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเมอริเซีย อีกครั้งเสียงที่หวังจะให้ผู้คนรวมเป็นหนึ่ง วิงวอนให้สงครามที่ไม่รู้จบนี้
ได้สิ้นสุด เป็นครั้งสุดท้ายและตลอดไป


“ นี่มัน… ”
เฟนท์ อุทาน ขึ้นเมื่ออัญมณีบนสนับมือนั้น ปรากฏตัวอักษรแสงวิ่งขึ้นมา

Ava-Trans

“ อ…อวา…อวาทรานซ์ ”
เฟนท์ เปรยด้วยความประหลาดใจก่อนที่ ตัวอักษรจะ หายไปและอัญมณีเริ่มเปล่งแสงสีแดงขึ้นมา ตอนนี้สีของอนุภาค
รอบๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ขึ้นก่อนที่จะฟุ้งกระจายออกมาเรื่อยๆและรวมตัวกันขึ้นสู่ด้านบน

“ Ava-Trans ”
เสียงดังก้องกังวานจากตัวสนับมือ ก่อนที่อนุภาคจะดันทะลุซากอาคารขึ้นไป
อนุภาคได้กลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานขึ้นจากใจกลางพายุทรายขึ้นไปอยู่สูงเหนือ

ท้องฟ้าเหนือกว่าทุกผู้ในสนามรบ ก่อนที่อนุภาคจะจางลง ท่ามกลางสายตาของ
ทุกคนที่จับจ้องไปยังที่ๆลำแสงพุ่งขึ้นไป  ขณะที่พายุทรายด้านล่างค่อยๆสงบลง

“ นั่นมัน เฟนท์…เฟนท์ ยังอยู่..ยังมีชีวิตอยู่ ”
ซาน กล่าวด้วยความโล่งอก ที่เห็นน้องชายของตนยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ ล้มตัวลงบนพื้นที่พายุทรายได้หยุดลงแล้ว

“ แต่ละอองอนุภาคนั่นมันอะไรน่ะ…เป็นสีแดงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ”
ไรด์ เปรยด้วยความประหลาดใจ ที่ตอนนที่ รอบตัวของ เฟนท์ ถูกห่อหุ้มไว้ด้วย
ละอองอนุภาคอิออนสีแดง

“ ละอองสีแดง…นั่นมัน ”
เอมิล เปรยด้วยความประหลาดใจเช่นกัน กับ Valkyrier คนอื่นๆที่จ้องตาไม่กระพริบ
กับปรากฏการนี้

“ ความเข้มข้นของพลังงานสูงมาก นี่มันเหมือนกับพลังของเทพเจ้าเลย ”
เอียน กล่าวขึ้นทันทีที่ได้รับผลวิเคาระห์จากเครื่อง วิเคราะห์ในยาน Albus


“ อวาทรานซ์…ชั้นคือ…Valkyrie  ” (ชั้นคือกันดั้มเฮ้ยไม่ใช่ละ)
เฟนท์ เปรยเสียงอ่อน ก่อนที่อนุภาคจะรวมกันเข้าที่ร่างของเค้า และเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะ
เหล็กกล้าสีทอง ตอนนี้ร่างของเค้าหุ้มด้วยชุดเกราะ ที่เหมือนกับ Valkyrie ต้นพลังของเค้า เจอรันดีน(Geraldine, The Valkyrie)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n004/4.jpg)


“ ล…ลูกแก้ว เจนนะวีฟ God Send ที่เก็บรักษาอยู่มีปฏิกิริยาขึ้นมาค่ะ ”
ฮายาเตะ รายงานให้ โครโน่ ที่ตอนนี้กำลังจ้องตาเขม็ง ที่ร่างของ เฟนท์ ที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์

“ อวาทรานซ์ การกำเนิดใหม่สู่การเป็นเทพ…สู่การเป็นพระเจ้า… ”
โครโน่ เปรยเสียงเรียบและไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใด ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วในตอนนี้


“ ลูกแก้ว เจนนะวีฟ เป็น God Send(ของขวัญจากพระเจ้า)ที่ เจอรันดีน Valkyrie ต้นพลังของ
 Valkyrier เฟนท์ นีโอเวล ถ้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่แปลก ”
โครโน่ ตอบกลับโดยที่สายตายังคงอยูที่มอนิเตอร์

………..

“ เฟนท์ …นายรอดมาได้…แต่แล้วที่ชั้นจัดการไปตอนนั้นละ…เดี๋ยวหรือว่า ”
เรกกะ ทาลูคัส ฉุกคิดขึ้นมาในทันทีที่เห็นร่างของ เฟนท์ ที่เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้

“ หลุมที่เราเห็นตอนนั้นไม่ได้เกิดจาการระเบิดอย่างเดียว ที่จริงลำพังแรงระเบิดแค่นั้นไม่น่าจะเกิดหลุมใหญ่ได้ขนาดนั้น แต่เป็นเพราะ แรงระเบิดอัดลงไปในหลุมที่มีอยูก่อน แล้วจึงฉีกพื้นไม้กระดานออกจนเป็นหลุมกว้าง ”
เรกกะ คิดซึ่งตอนนีเค้ารู้แล้วว่า ตอนที่ใช้ ทาไนซ สังหารเฟนท์ นั้นก่อนที่ ไฟจะระเบิดร่างของเฟนท์ ให้เป็นจุล เฟนท์
ได้ ทำลายพื้นแล้วแทรกตัวหนีลงไปได้ทันก่อนจะโดนเต็มๆ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม
ถึงได้เหลือเพียงแค่ สนับมือข้างเดียวที่ลอยออกมา

“ เจอรันดีน เริ่มทำการยุติสงคราม ”
สิ้นคำของ เฟนท์ ที่กลายเป็น เจอรันดีนไปโดยสมบรูณ์แล้ว เกราะบริเวณ เอวก็เลื่อน
ตัวลงเล็กน้อยก่อนที่ แท่งโลหะสีทองสองอันจะไหลออกมาจาก ช่องที่เกราะเลื่อนตัวลง

เจอรันดีน ชักแท่งทั้งสองขึ้นมาประสานกันไว้ ก่อนที่แท่งจะรวมเอาอนุภาคสีแดงรอบๆเข้าไปไว้
จนเห็นเป็น คมดาบสีแดง ต่อมาอนุภาครอบตัวของเจอรันดีนก็แผ่ออกซ่านออกมา

จนครอบคลุมไปทั่วทั้งสนามรบในตอนนี้ บรรดา อาวุธรบและ Gazor ต่างๆพากันหยุดทำงานในทันที
อย่างไม่ทราบสาเหตุ เครื่องจักรทั้งหมดในอาณาบริเวณได้หยุดการทำงานลงพร้อมกันทั้งหมด

ในตอนนี้แม้แต่สัตว์อสูรมังกรของกองทัพอาณานิคม เองก็พากัน นิ่งสงบไม่ยอมทำตามที่สั่ง
และเพราะเครื่องมือหยุดทำงานหมด ผู้คุมอสูรจึงไม่มีหนทางจะควบคุม สัตว์อสูรของตนได้เช่นเดียวกับ นักรบมังกร
เมื่อไม่สามารถ สั่งให้มังกรทำตามที่ตนต้องการได้ก็พากันทำอะไรไม่เป็นไปเลยทีเดียว

ทว่า เอซซาไลซ ยังคงอาละวาดอยู่ แต่ตอนนี้ เจอรันดีน ก็ได้พุ่งลง ตวัดดาบ แสง
ใส่ร่างของพวกมัน ซึ่งอนุภาคที่สถิตอยู่กับคมดาบนั้น ได้เผาผลาญเม็ดทรายในร่างของ
พวกมัน จนหายไปไม่ฟื้นกลับคืน

“ Carnalian ”
สิ้นเสียง เจอรันดีน ก็ประกบด้ามของดาบเข้าด้วยกันก่อนที่ อนุภาคจะคลุมอาบไปทั้ง ทั้งพลอง
และเปลี่ยนกลายเป็น พลองยาวคาเนเลี่ยน(Carnalian, the Wand of Geraldine )

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/151.jpg)

“ Geo Javelin ”
สิ้นเสียง เจอรันดีนก็ควงพลองยาว อย่างรวดเร็วดูดรวมอนุภาครอบไปรวมไว้
ก่อนจะ ตวัดพลองเพื่อทุ่มพลังทั้งหมดลงไป อนุภาคจำนวนมหาศาลรอบๆที่ได้รับ

อนุภาคที่กระจายกลับออกมาจากการตวัดของกระบองได้กลายเป็น ลำแสงหอกพุ่งลงไปราวกับฝนดาวตก
ทะลุทะลวงทำลายล้าง เอซซาไลซ และ อาคูม่า ที่ยังเหลืออยู่ไปจนหมดสิ้นในพริบตา
ก่อนที่ เจอรันดีน จะกลับคืนร่างเป็น เฟนท์ อีกครั้ง

“ ทุกคนถอยก่อน..นี่คำสั่งจากศูนย์บัญชาการใหญ่ ”
เสียงดังขึ้นที่ Terminal ของ Valkyrier ทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะรีบถอนตัวและถอยทัพกลับอย่างรวดเร็วในทันที
โดยไม่หันมาเหลียวแล กับสายตาของกองทัพ อาณานิคมที่ได้ทึ่งตะลึงในพลังของพวกเค้า

………………………
…………………………….

หลายชั่วโมงต่อมา

ภายในยาน คอสมิกแสวน

“ นี่ นายทำอะไรลงไปน่ะรู้ตัวรึเปล่า…คิดว่าการปลุกระดมผู้คนให้ลุกฮือขึ้นมา
ทำสงครามกันจะทำให้เกิดสันติงั้นเหรอ ตัวนายเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ ว่าผลลัพธ์มันจะออกมายังไง
แกเองก็เคยเคียดแค้นในสงครามมาแล้วไม่ใช่รึไง ”
ลอว์เรนซ์ ตะคอกใส่ พลางกระชากคอเสื้อ เรกกะ ขึ้นมาต่อว่า

“ นี่คือหนทางที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่รึไง เมื่อใดที่ เทอร่า รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและกำจัด Empyrean Adjust ไปได้
เมื่อนั้น เทอร่า ก็จะรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง  ”
เรกกะ โต้กลับไปพลางปัดมือ ลอว์เรนซ์ ออก

“ ถ้าทำแบบนั้น แล้วนายคิดว่าสันติจะเกิดขึ้นได้งั้นเหรอ… ”
ลอว์เรนซ์ ถามกลับ ไปอีกครั้ง แต่ เรกกะ ก็ยังยืนยันคำเดิม

“ งั้นเหรอ…ถ้างั้นลองดูนี่ซะหน่อยมันคงทำให้นายตาสว่างขึ้นบ้าง.. ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ให้ ยูปี้ที่นั่งอยู่หน้า จอมอนิเตอร์ของยาน เปิดรายงานข่าวขึ้นมา

“ จากเหตุเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้.ที่สถาฑูตโลกอสได้มีการ แทรกแซง ทั้งEmpyrean Adjust
และองค์กรก่อการร้ายอีกองค์กร ทำให้เหล่าตัวแทนจาก หลายอาณานิคม เสียชีวิต อีกทั้งความเสียหายทั้งหมด

ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อกองกำลังของ ทุกอาณานิคม ทำให้เกิดเป็นข้อพิพาทไปทั่วทั้งเทอร่า
หลายประเทศ ประกาศที่จะ ทำสงครามกันเอง และเนื่องจากเหตุการณ์ณืในขณะนี้ทำให้ สนธิสัญญา
สงบศึกของ สภากลางประชาคมโลก ได้ถูกยกเลิกลงไปแล้วในขณะนี้…. ”

ภาพการรายงานข่าวที่ฉายอยู่นั้นดับลงไปพร้อมกับ เรกกะ ที่ทรุดตัวลงด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว

“ นี่ล่ะผลกระทำของนาย….สงครามจะรวม ทุกอาณานิคมเป็นหนึ่งงั้นเหรอ…หึประสบความสำเร็จมากเลยนะนายน่ะ ”
ลอว์เรนซ์ แดกดันใส่ขณะที่ เรกกะ ได้แต่ก้มหน้าทบทวนความผิดพลาดของตนตอนนี้
แทนที่เค้าจะรวม เทอร่า ให้เป็นหนึ่งแต่เค้ากลับทำตรงกันข้ามซะแล้ว

“ นี่ มาธิอัส หายตัวไป…เมื่อกี้ฉันกลับไปที่ยาน เค้าก็ไม่อยู่ในยานแล้ว ”
R2 ที่พึ่งเข้ามา กล่าวด้วยความลนลาน

“ หา… ”
ลอว์เรนซ์ หันไปค้อนใส่ด้วยความแปลกใจ ก่อนที่ ทั้งเค้าและ R2 จะต้องหยุดกึกหันกลับไปมอง เรกกะ อีกหนแทน

“ แค่กๆ….อัก แค่ก ”
เรกกะ ไอสำลักอย่างรุนแรงและกระอักออกมาเป็นเลือด กระจายเต็มพื้นห้อง ก่อนจะฟุบลงไปทั้งๆอย่างนั้น

“ เรกกะ ”
ทั้งสอง ร้องเสียงหลงขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะรีบเข้าไป พลิกตัว เรกกะ ขึ้นมาดูอาการ

ขณะที่ R2 ให้ เรกกะ หนุนหัวที่ตัก นั้น ลอว์เรนซ์ ก็คว้าเอาตลับไพ่ที่เข็มขัดมาดู

“ เสร็จกันนี่ใช้ไป20 ใบแล้วงั้นเหรอ... ”
ลอว์เรนซ์ สบถทันทีที่เห็นตัวเลขบนหน้าจอตลับไพ่

“ ม...มันทำไมเหรอ ”
R2 กล่าวตะกุกตะกัก ด้วยความสงสัย

“ อะไรกัน..นี่ เจ้า มาธิอัส นั่นไม่ได้บอกเหรอ ว่าโซลการ์ด ทุกๆครั้งที่ใช้จะเผาผลาญชีวิตของผู้ใช้มันไปด้วย
..นี่ถ้าใช้ครบ 100 ใบล่ะก็... ”
ลอว์เรนซ์ สบถด้วยความประหลาดใจ ที่พวกเค้าใช้ของที่ตัวเค้าคิดว่ามันอันตรายสุดๆโดยไม่รู้ถึงความเสี่ยง

“ ว่าไงนะ..นี่มันยังไงกัน..ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เลยล่ะ ”
R2 กล่าวด้วยคามตกใจเมื่อรู้ถึงผลกระทบที่ร้ายแรงจากการใช้ ดโซลการ์ด ในการแปลงร่างของ เรกกะ

...................
...............................

ภายในห้องนอนที่มีเพียงแสงจาก โคมไฟในห้องสาดส่อง
เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้นก่อนที่ เฟนท์ จะรับสาย

“ เฟนท์ ครับ นั่นใคร... ”
เฟนท์ที่จะถามกลับไปยังฝ่ายที่โทรมา ต้องชะงักไปเมื่อเขา ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของอีกฝ่าย

“ เฟนท์ ..บอกฉันที..ฮึก ”
เสียงของอีกฝ่ายดังตอบกลับมา เขาจำเสียงนั้นได้ในทันที

“ อ..ไอ นั่นเธอเหรอ..เป็นอะไรไปน่ะ ไอ ”
เฟนท์ พยายามจะถามกลับไปเพื่อให้เธอเล่าเรื่องมา แต่เธอก็ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่
ก่อนจะ กระซิบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า

“ Empyrean Adjust ตั้งใจจะทำอะไรกัน…ทั้งที่บอกว่า จะยุติสงคราม…แล้วทำไม..ทำไม..คุณ พ่อถึงต้องมาตายเพราะสงครามของพวกนั้นด้วย… ”
เสียงของ ไอ ดังกลับมาก่อนที่ จะกลายเป็นเสียงร่ำไห้อย่างโหยหวนที่สุด เสียงของเธอบาดลึก
เข้าไปในหัวใจของเค้า ก่อนที่สายจะถูกตัดไป

“ มาถึงตอนนี้ในที่สุด ชั้นก็พึ่งเข้าใจถึงสิ่งที่นายพูดแล้วล่ะ ไรด์ เอมิล….พวกเราน่ะ
ไม่อาจเดินต่อไปใต้แสงสว่างได้อีกแล้ว  ”
เฟนท์ เปรยกับตัวเองเงียบๆ ด้วยหัวใจที่ดำดิ่งลงไปในห้วงเหวแห่งความมืดแล้ว

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ เบิกโรงนางเอก Show off... ”

ลำดับที่5....จงฝ่าฟันห้วงแห่งความมืด ขึ้นไปบนแท่นนางงามอันเฉิด Next Saga 13 เบิกโรงนางเอกมาแล้ว....

เส้นทางแห่งการปฏิวัติ ได้เริ่มขึ้นแล้วใต้ท้องนภาแห่งกลียุคนี้



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: boy on April 06, 2009, 08:58:10 PM
..........ทำไมอ่านแล้วงงๆ เหมือนกับว่าลงสลับหน้าน่ะครับ ???


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: greamon on April 06, 2009, 09:09:07 PM
มิได้ลงสลับหน้าหรอก แต่ บทนี้อ่านแล้วตั้งใจเขียนให้มันชวน งง เองรวมทั้งคนเขียบนด้วย
เขียนเองยัง งง เองเล้ย

ที่จริงเพราะต้องยัดอะไรต่อมิอะไรเข้ามาในบทนี้ เยอะบวกมันรบกันหลายฝ่ายมาก เพราะเคลื่อนไหวกันหมด
เลยต้องตัดฉากบ่อย และ ยานคอสมิกของลอว์เรนซ์ มันย้อนเวลาได้ ก็เลยเหมือนมีเดจาวูลมาทับซ้อนแบบแปลกๆ มันเลยอ่านแล้วจะงงๆ อ่ะนะ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: boy on April 06, 2009, 10:59:44 PM
มิได้ลงสลับหน้าหรอก แต่ บทนี้อ่านแล้วตั้งใจเขียนให้มันชวน งง เองรวมทั้งคนเขียบนด้วย
เขียนเองยัง งง เองเล้ย

ที่จริงเพราะต้องยัดอะไรต่อมิอะไรเข้ามาในบทนี้ เยอะบวกมันรบกันหลายฝ่ายมาก เพราะเคลื่อนไหวกันหมด
เลยต้องตัดฉากบ่อย และ ยานคอสมิกของลอว์เรนซ์ มันย้อนเวลาได้ ก็เลยเหมือนมีเดจาวูลมาทับซ้อนแบบแปลกๆ มันเลยอ่านแล้วจะงงๆ อ่ะนะ

เอ่อ.......มันแปลกๆตั้งแต่ที่มีการบอกตอนต่อไปก่อนหนังจบตอนที่ 12 นี้แหละครับ -*-  ผมเห็นมีตัวอย่างตอนต่อไปก่อนตอนนี้จบก็เลยคิดว่า

มันแปลกๆน่ะครับ TT_TT


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: greamon on April 07, 2009, 04:12:10 AM
เอ่อ คือพึ่งสังเกต เห็นว่า ตัวอย่างตอนต่อไปมันสลับไปบรรทัด บนแทน สงสัยตอนก็อบลง
จะวางผิด ตอนนี้แก้ให้เรียบร้อยแล้วนะครับ แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่ามีจุดไหนผิดอีกไหม เดี๋ยวจะเช็คให้อีกทีนะครับ ตอนนี้แก้เท่าที่เห็นไปก่อนแล้ว อ้อส่วนตัวอย่างตอนต่อไปก็มีอยู่สั้นๆแค่นั้นล่ะครับ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: greamon on April 11, 2009, 07:13:37 PM
Saga 13 เบิกโรงนางเอกมาแล้ว....


ซ่า…ซ่า…….

เสียงไหลของน้ำที่ดังแผ่ว นั้นราวกับว่ามันอยู่ไม่ไกลจากนี่นัก ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมดที่จริงมันมืดสนิท
จนมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เมื่อผมขยับเปลือกตาแสงก็แยงเข้ามา ผมรีบปิดเปลือกตาในทันที
เพราะมันสว่างมากเสียจนแสบไป จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นค่อยๆเบิกออกอย่างช้าๆแทนตาของผม
เริ่มปรับชินกับแสงได้แล้ว ไม่นานเมื่อผมลืมตาขึ้น ทุกๆอย่างก็ชัดแจ้งอยู่ในสายตา

รอบตัวผม แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ กลิ่นอายจางๆของ ป่าลอยโชยมากับลมหนาว
ระดับของพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ และเลียดชัน นี้มันดูเหมือนกับเป็นเนินดิน ที่ด้านล่าง

เมื่อมองผ่านต้นไม้ไป มันเป็นธารน้ำเล็กๆ ผมมองสำรวจไปรอบๆตัวของผมเอง
เสื้อเชิ้ต ที่ใส่อยู่มันขาดไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังพอจะกันลมหนาวได้นิดหน่อย

ถึงตอนนี้ผมเองก็เริ่มจะขนลุกชันแล้ว มันเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงลุกขึ้นเดินเพื่อที่จะหาที่ๆ
อบอุ่น หลบหนาวซักพัก ผมค่อยๆไต่ลงจากเนิน โดยไปตามต้นไม้และเหยียบไปตามร่องหินบนพื้น

ทางมันชันเสียจนผมเองเกือบสะดุดกลิ้งลงเนินไปหลายทีเหมือนกัน จนเมื่อลงมาถึง
ธารน้ำด้านล่าง จากการปีนลงมาทำให้ผมคอแห้งและเหนื่อยไม่น้อย ผมจึงเดินไปที่ลำธาร

และวักน้ำดื่มไปเล็กน้อยเพื่อดับกระหายก่อนจะล้มตัวลงนั่ง ข้างๆลำธารนั้นเสีย
เพื่อจะพักซักหน่อยก่อนออกเดินต่อ จึงถือโอกาสล้างหน้าไปด้วยในตัวขณะที่วักน้ำดื่มอยู่

เพราะมันเปื้อนไปด้วยดินและฝุ่น จนเหนียวเหนอะ ไปหมด หลังจากล้างหน้าเสร็จ
ผมก็จ้องเงาสะท้อนของน้ำเพื่อดูว่า ดินออกไปหมดรึยัง แต่ก็ต้องรอให้ดินที่ล้างไปซึ่งยังลอยอยู่บนน้ำ

ไหลไปก่อน และทันทีที่น้ำเริ่มใสเงาของผมก็ปรากฏ ซึ่งหน้าของผมตอนนี้ใสสะอาดแล้ว
แต่ที่น่าแปลกใจอีกอย่าง หลังจากผมมองเงาตัวเองในน้ำ ดวงตาซ้ายของผมรูม่านตามันขยาย
ออกกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย  แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ข้อสงสัยที่สุดแต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ…

“ นี่ชั้น…..เป็นใครกัน….. ”
เรกกะ เปรยด้วยความงุนงง ขณะที่เค้าจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเอง ในลำธารกลางหุบเขา
ที่ไหนซักแห่งซึ่งมีหมอกล้อมรอบ หุบเขานี้ไว้

………………………
………………………….
……………………………………..


ST. Magnus Academy

“ วันนี้เงียบมากเลยนะ…..มิมิ ”
โคเว็ท เปรยขณะที่มองตัดผ่านกระจกห้องลงไปที่สนาม ซึ่งไม่ใครอยู่ ลมพัดแรงหอบเอาฝุ่น
ปลิวไปเอื่อยอยู่บนสนาม ภายในตัวโรงเรียนนั้นเงียบเชียบผิดปกติ และไม่ว่าอาคารไหนหรือห้องไหน

ก็ไม่มีใครอยู่เลยซักแห่งเดียว มีเพียงห้องของ พวก เรกกะ เท่านั้นที่ โคเว็ท กับ มิมิ
เป็นเพียงนักเรียนสองคนที่อยู่โรงเรียนวันนี้  อีกทั้งพวกเธอทั้งสองคนยังมีสีหน้าเซื่องซึมไม่ร่าเริงเช่นทุกครั้ง

“ อือ…ก็ทุกคนเค้ากลับไปบ้านกันไปหมดแล้วนี่ อาจารย์ก็ย้ายออกจากหอกลับบ้านกันไป
หมดตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่แล้ว ”
มิมิ กล่าวเสียงทุ้มๆด้วยอาการเซื่องซึม และหุ่นของเธอในตอนนี้ก็ลดลงจากเดิมที่เคยท้วมลงมาหน่อย
หน้าเธอซีดเซียวขอบตาดำคล้ำเหมือนคนที่พึ่งร้องไห้เสียใจ ติดต่อกันเป็นเวลานาน

“ นี่มันกี่วันมาแล้วนะ ที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นน่ะ ”
โคเว็ท เปรยเสียงเรียบขอบตาของเธอเองก็คล้ำไปไม่แพ้ มิมิ เช่นกันอีกทั้งเธอยังดูซูบผอม
ลงไปด้วย

“ ….ไม่รู้สิ…ทุกอย่างมันเร็วไปหมด…เร็วซะจนฉันไม่รู้ว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วด้วย ”
มิมิ กล่าวอย่างอ่อนแรงก่อนจะเหยียดแขนและฟุบตัวลงกับโต๊ะเรียน

“ ใช่….มันเร็วมาก….ทุกๆคน…ตอนนี้จะทำอะไรกันอยู่นะ ”
โคเว็ท เปรยก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเหม่อมองท้องฟ้าที่ ครึ้มไปด้วยเมฆฝน
ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ

…………………….
…………………………..
……………………………..

พระราชวังบริทเทเนอร์


“ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีเลย…..ตั้งแต่ Dragoon หายตัวไป… ”
ลูเทเซีย บ่นขอบตาของเค้าดำคล้ำเหมือนคนที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน
ขณะที่ เซโร่ อิชิกิ และ เรโค่ เองก็มีท่าทีเครียดไปด้วย

“ ตอนนี้…มาเรีย จะเป็นไงบ้างนะ… ”
ลูเทเซีย เปรยขณะที่เริ่มจะเป็นห่วงน้องสาวของตนขึ้นมา


…………………….
………………………….

ขณะเดียวกันด้าน เรกกะ ที่ตอนนี้ ตัวเค้าไม่รู้ทิศรู้ทางและไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกระทั่งตัวเองเป็นใคร
เค้าเองก็จำไม่ได้

“ ทีนี่มันที่ไหนกัน…ที่สำคัญทำไมเราจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ..เรา..เรา..เป็นใครกันแล้วก็เจ้ากล่องนี่มันอะไรกัน ”
เรกกะ เปรยก่อนจะหันพร้อมย้ายมือไปตลับไพ่ที่ใส่ โซลการ์ดสำหรับแปลงร่างเอาไว้ และที่หน้าจอบอกจำนวนไพ่ที่เหลืออยู่ตอนนี้ ตัวเลขเหลือเพียงแค่ 4 ใบเท่านั้น ก่อนจะหันไปสังเกตสายคาดข้อมือ ของตนเองด้วยความสงสัย

“ ในกล่องนี่ก็มีแค่ไพ่ประหลาดๆ 4 ใบเท่านั้นเอง ”
เรกกะ กล่าวขณะที่เปิดตลับไพ่ขึ้นมาและหยิบไพ่ทั้งหมดออกมาดู ก่อนจะปลดสายเข็มขัดออกแล้วเอาตลับมาเขย่าดู
ว่ามีอะไรอยู่ข้างในอีกบ้าง ก่อนจะเก็บ ไพ่ลงไปแล้วนำไปคาดเอวอีกรอบ


“ ก็าซซซซซซซซซ ”
เสียงคำรามที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น มาจากด้านหลังของแนวป่า ทำเอาเค้าขนลุกชันในทันที
ก่อนจะหันไปรอบๆด้วยทีท่าลนลาน แบบสุดๆ ขณะที่พื้นเริ่มสั่นสะเทือน แรงึ้นเรื่อยๆราวกับมีอะไรบางอย่างที่


ใหญ่เอามากๆกำลัง เข้ามาใกล้ และในที่สุดเมื่อเสียงคำรามนั้นดังกึกก้องขึ้นอีก ตัวการเสียงก็ได้มาอยู่ตรงหน้าเค้าแล้ว
มันเป็นมังกรร่างของมันมีขนาดสูงใหญ่เหนือแนวต้นไม้ขึ้นไป ตั้งแต่ช่วงปีกลงจรดหาง ร่างของมันปกคลุมด้วย

คลื่นไฟฟ้า ที่ผันผวนอย่างรุนแรง มังกรตัวนี้คือ สุดยอดอาวุธแห่งทวยเทพ โกรอทพลาม่าทอส (Gorothparmathos, the Grand Weapon of God)
ที่พัฒนามาจาก โกรอทพลาม่า (Gorothparma, the Weapon of God)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/32.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/22.jpg)

“ เหวอออ ”
เรกกะ ร้องเสียงหลงก่อนจะรีบวิ่งหลบไปข้างทางเพื่อซ่อนตัวในแนวร่มเงาของต้นไม้
เจ้ามังกรเดินผ่านเค้าไปอย่างช้าๆโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นตัวของเค้าแม้แต่น้อย

“ หวาๆ…มันมาแล้วๆ …ชารี่..ซิกนัม…. เร็วๆเถอะมันจะมาแล้ว ”
เสียงตะโกนโหวกเหวก ดังกระฉ่อน มาจากอีกฟาก ทำให้ เรกกะ สงสัยจนอดอยากรู้ไม่ได้
เค้าจึงเดินตัดแนวต้นไม้ไปเรื่อยๆจน อ้อมไปอยู่ ด้านหน้า โกรอทพลามาทอส อยู่ไม่ไกลนัก

สายตาของเค้าจ้องออกจาก แนวพุ่มไม้ ภาพที่เห็นนั้น เด็กสาว สามคนกำลังลุกลี้ลุกลน
ชี้ไม้ชี้มือ ปากก็พล่ามกันไม่หยุด เหมือนกับกำลังเกิดเรื่องวุ่นวายกันอยู่

คนหนึ่งในกลุ่มเป็น เด็กสาวผมสีฟ้าเข้ม ไว้ทรงสองแกละ เธอแต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาว
มือซ้าย ถือกระเป๋าเหล็ก ส่วนมือขวาถืออะไรบางอย่าง
ที่คล้ายจานสีฟ้าใสอยู่ และเธอสวมแว่นที่ดูจะเป็นแว่นสายตา

คนถัดมากำลัง  โบกไม้โบกมือ ท่าทางร้อนรนกว่าใครเพื่อน เธอสวมชุดกระโปรงสีขาว
ในมือก็โบกคฑารูปร่างเหมือนดอกไม้สีสด ผมของเธอสีเขียวแก่ผูกรวบไปไว้ข้างหลัง
คล้ายหัวสับปะรด

ถัดมาคนสุดท้าย เธอดูมีท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไรเท่าเพื่อนๆสองคนก่อน
ทำให้เธอดูเหมือนจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่ว่าชุดที่เธอสวมอยู่นั้น ค่อนข้าง

ขัดกับบุคลิคเอาเสียมากๆ เพราะเธอแต่งตัวได้เฉี่ยวแบบสุดๆ ทั้งเครื่องอาภรณ์อันน้อยชิ้น
เปิดแลบออกในทุกส่วนเว้า ปิดมิดเพียงจุดที่ควรเท่านั้น แถมมือทั้งสองข้างของเธอก็กดด้ามขวานที่หัวขวานปักอยู่บนพื้น เธอมีผมสีม่วงและมัดรวบเป็นหางม้า

“ สามคนนี้ กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ… ”
เรกกะ คิดทว่าจับตาดูอยู่ได้ไม่นาน ทั้งสามก็ทำเรื่องเข้าจนได้ เมื่อ เด็กแว่นผูกแกละสีฟ้าอ่อน หยิบก้อนหิน
บนพื้นขว้างใส่  โกรอทพลามาทอส ที่กำลังตรงมา จนมันโกรธและดิ่งแหวกแนวต้นไม้เข้ามาหาทันที

“ ว้าย….มันมาแล้วๆ…. ”
เด็กหัวสับปะรดสีเขียว ตะโกนลั่นพลางวิ่งนำกลุ่มมาก่อนใครเพื่อน

“  ชารี่…ไปปาก้อนหินใส่แบบนั้น มันก็โกรธสิ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง หันไปค้อนใส่ เด็กแว่นผมแกละ ขณะที่วิ่งไล่ๆกันมา

“ ซิกนัม เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าให้เรียกความสนใจมันไว้น่ะ ”
เด็กแว่นผมแกละ หันไปค้อนใส่กลับขณะที่ทั้งสามวิ่งกันฝุ่นตลบ
เพื่อจะหนีเจ้ามังกรเข้าไปหลบในป่า ทว่าเด็กแว่นก็ดันสะดุดร่องพื้นล้มหน้าขมำไปซะก่อน

เพื่อนๆทั้งสองจึงหันกลับไปช่วยกันเป็นการใหญ่ แต่ทว่าเจ้ามังกรก็เข้ามาใกล้ได้เร็วมาก
ก่อนจะสร้างสายฟ้าฟาดลงมารอบๆพวกเธอ

“ ว้ายยยย… ”
ทั้งสามกรีดร้อง ด้วยความผวา ก่อนที่คลื่นไฟฟ้าบางส่วนจะหลุดมาโดน เด็กแว่นทำให้เธอสลบไป
เพื่อนๆพยายามปลุกเธอ แต่เธอก็ไม่ตื่น ขณะเจ้ามังกรง้างกรงเล็บเตรียมจะบดขยี้พวกเธฮให้แหลกเละคามือ


“ อ่ะ…แย่แล้วรีบหนี… ”
เรกกะ สะดุ้งเผยอ ออกมาก่อนจะพุ่งตัวออกจากพุ่มไม้ตรงเข้าไปแต่แล้ว
เค้าก็รู้สึกว่าตัวเองควบคุมร่างกายเอาไว้ไม่ได้ไปซะเฉย ตอนนี้ดวงตาข้างซ้ายเรืองแสง

น้ำตาลขึ้น และตัวเค้าก็กำลังวิ่งเข้าไป อุ้มร่างของ เด็กแว่นขึ้นมาโดยที่รู้สึกว่าร่างของเธอนั้นเบาเอาเสียมากๆ
จนยกได้ด้วยมือเดียว แล้วตัวของเค้าก็ยกร่างของเด็กแว่น ขึ้นพาดได้ด้วยมือเดียวจริงๆ ก่อนจะลามืออีกสองข้าง คว้า

ตัวอีกสองคน เข้ามารัดในวงแขนแล้วอุ้มหอบเผ่นออกจากบริเวณ ทันที ทำเอาสามสาว งงเป็นไก่ตาแตก
ไปพร้อมๆกับตัวเค้าเองก็ไม่เข้ใจว่าทำได้อย่างไร และแม้แต่เสียงของเค้าที่ตอนนี้จะพูดก็ยังไม่ดัง

ออกไป แถมยังเรี่ยวแรงมหาศาลี่มีอยู่ตอนนี้ มันช่างน่าประหลาดราวกบตัวเค้าในตอนนี้ ไม่ใช่ตัวเค้า
กรงเล็บของ โกรอทพลามาทอส พลาดไป เรกกะ หอบเอาสามสาว
มุดหายเข้าไปในป่า อย่างรวดเร็ว โดยมีเจ้ามังกรวิ่งตามไล่หลังมาติด

“ น…นี่ นายเป็นใครน่ะ ”
เด็กหัวสับปะรดเขียว ถามพลางดิ้นไปมา

“ ฉุดกันแบบนี้มันพรากผู้เยาว์นะ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง เปรยด้วยท่าทีเบื่อโลก

“ คุณหนู ทั้งสองโปรดเงียบก่อนเธอไม่งั้นได้ถูกเจ้ามังกรกินแน่ ”
เรกกะ กล่าวทว่านี่ไม่ใช่เสียงที่เค้าตั้งใจกล่าว ออกมาร่างกายของเค้าตอนนี้ควบคุมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ น..นี่มันอะไรกัน…นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย ”
เรกกะ พยายามพูดแต่ก็ได้ออกมาเป็นเสียงกระซิบกับตัวเองในใจเท่านั้น

“ อ้าวเป็นไรไปล่ะ เรกกะ ยังไม่ชินอีกเหรอ ”
เสียงห้าวๆดังขึ้น โดยที่คนอื่นๆนั้นไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อยนอกจากเค้า

“ น…นั่นใครน่ะ…ใครพูดกับชั้น ”
เรกกะ ถามกลับไปอย่างร้อนรน

“ หา..นี่นายจำไม่ได้เหรอเนี่ย..ชั้นไง ทาลิคนัส ไง…จำไม่ได้เหรอ ที่สิงนายแล้วอุ้มสาวอยู่ตอนนี้
ก็เจ้าบ้าพลัง ทาโซรอส จอมขี้เซาไง ”
เสียงนั้นดังขึ้นอีก ทำให้เค้าเริ่มกระวนกระวาย

“ สงสัย ที่ก่อนนี้เราโผล่ออกมาไม่ได้คงเป็นเพราะ เค้าสูญเสียความทรงจำล่ะมั้ง ”
เสียงที่ฟังดูเย่อหยิ่ง ดังขึ้นมาอีก ทำให้เค้ารู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“ งั้นเหรอๆ…งั้นเดี๋ยวจะดูดวงให้นะ ว่าจะซวย จะเฮง….เอ…เอ่อ ”
อีกเสียงที่ฟังดูสดใสราวกับเด็กๆ ดังขึ้นมาอีกเริ่มทำให้ เค้างง หนักเข้าไปอีก
ทว่าตอนนี้ต้วของเค้าหยุดวิ่งลงตรงหน้า ถ้ำหินแห่งหนึ่ง ก่อนจะวางสามสาวลง
แล้วหันไปประจันกับ เจ้ามังกรที่ตามมาไม่หยุด

“ หวา…น..นี่ตัวผมจะทำอะไรเนี่ย…เหวอ ”
เรกกะ ผวาเสียงหลงในทันที แต่เสียงของเค้าก็ไม่ได้ดังออกไปจากปากเลยแค่ก้องอยู่ในหัวเท่านั้น
ตอนนี้ตัวเค้า กำลังเปิดตลับไพ่ที่เอวแล้วหยิบไพ่ออกมาใบหนึ่ง เลขบนจอตลับลดลงเหลือ 39
ก่อนที่ เค้าจะนำมันขึ้นมาจ้องด้วยตาซ้าย ไพ่ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งดินขึ้นมา ก่อนจะนำมันไปวาง
ที่หน้าปัดสายคาด

“ Quake Form ”
เสียงดังขึ้นจากหน้าแล้ว เค้าจึงทุบไพ่ลงไป

“ Regeneration ”
สิ้นเสียง ก็เกิดแสงเจิดจ้า ออกมาจากหน้าปัดสายคาดข้อมือ ก่อนที่ร่างของเค้าจะเปลี่ยนเป็น ทาโซรอส


“ จงหลั่งน้ำตาให้กับ วิถีแห่งลูกผู้ชายซะเถอะ ”
ทาโซรอส กล่าวพลางดัดคอไปด้วย

“ แว้ก..นี่มันอะไรกันเนี่ยผมกลายเป็นตัวประหลาดไปแล้วงั้นเหรอ.. ”
เรกกะร้องเสียงหลงในทันที เมื่อเห็นว่าร่างของตัวเองกลายเป็น อัศวินครึ่งมังกรไป
ทว่าเสียงของเค้าต่อให้ดังขนาดไหนก็ไม่มีทางดังออกไปถึงข้างนอกได้อยู่ดี


“ ก็าซซซซซซซซ ”
โกรอทพลามาทอส คำรามอย่างกึกก้องอีกครั้งก่อนที่รวบสายฟ้ารอบตัวฟาดลงไปที่
จุดเดียวกันคือ ทาโซรอส  แต่สายฟ้านั้นกลับไม่สามารถทำอันตรายใดให้แก่เค้าได้เลย

“ Solum et Dragos ”
สิ้นเสียง ทาโซรอส ก็สร้างดาบและโล่ขึ้นมาจากมวลแสงสีน้ำตาลที่เสกขึ้น
ก่อนจะบังคับพื้นดินให้ยกตัวขึ้นไปหา เจ้ามังกร พื้นดินได้ยื่นชะง่อนออกไปกระแทก
จน โกรอทพลามาทอส เสียหลัก เซไปชั่วขณะ ทาโซรอส จึงอาศัยจังหวะนี้
เรียกเอาไพ่ ที่ใช้แปลงร่างขึ้นมา ไพ่เรืองแสงกระพริบขึ้นอยู่สักพัก

……………
………………….


“ กี้…มีสัญญาณเรียก ให้ นิลเฮอร์ ออกไปล่ะ ”
“ มันมาจากไหนน่ะ…รีบตามสัญญาณเร็ว ”

“ กี้…รับทราบเริ่มการตามรอยสัญญาณ ”



ขณะเดียวกันประตูใต้ท้องยานก็เปิดออกก่อนที่ ลูกมังกรแห่งปฐพี นิลเฮอร์ (Nilhir, Arimathea’s Baby Dragon)
บินถลาลง มาจากยานและตามสัญญาณที่เรียกมันไปด้วย สัญชาตญาณ ที่เรียกให้มันมุ่งตรงไปหา

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/8.jpg)

……………………
………………………



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: greamon on April 11, 2009, 07:14:03 PM
“ ก็าซซซซซซซซซ ”
โกรอทพลามาทอส คำรามกึกก้องกัมปนาทเสียงของมันดังปานฟ้าร้อง สายฟ้านับไม่ถ้วน
กระหน่ำผ่าลงมารอบ อย่างบ้าคลั่งราวกับพายุ  สามสาวที่ถูก เรกกะ ช่วยไว้นั้น
พากันนั่งตัวสั่นหัวหด หลบอยู่ภายในถ้ำ ขณะที่ ทาโซรอส รับมือกับ โกรอทพลาม่า อยู่ด้านนอก

“ หวายแล้วนี่มันอะไรกัน…ไหงพอตื่นมาฟ้ามันถึงได้ลั่นกระจุยขนาดนี้ ”
เด็กแว่นร้องเสียงหลง ขณะที่เอามือ ปิดหูทั้งสองข้างนั่งขดตัวกลม เมื่อ แสงจากฟ้าฝ่าและเสียงอันดังกึกก้องกัมปนาท
พุ่งแวบๆอยู่ด้านนอก

“ ชารี่ เธอตื่นแล้ว…เหรอว้าย ”
เด็กผมสับปะรดสีเขียว ถามก่อนจะต้องสะดุ้งปิดหูปิดตา เพราะเสียงฟ้าผ่าที่ลั่นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ พวกเราอยู่แบบนี้จะดีเหรอ… ”
เด็กผมหางม้าสีม่วงกล่าว สีหน้าลอยพลางเอามือปิดหูทั้งที่ตัวเธอไม่ได้มีอาการสะดุ้งสะท้านกับเสียงฟ้าผ่า
เหมือนอย่างสองคนเลยซักนิด

“ ซิกนัม..พูดอะไรน่ะ..ฉันไม่ได้ยินเลย…หูมันอื้อไปหมดน่ะ ”
เด็กแว่นผมแกละ ถามขณะที่ผ่อนมือที่ปิดหูลงเล็กน้อยเพื่อจะฟัง แต่เสียงฟ้าผ่าก็ดังลั่นขึ้นมาอีกจนเธอ
สะดุ้งเผลอปิดมือกลับเข้าไปอีก

“ เอาเถอะ…แต่ฉันว่าตอนนี้คนที่น่าจะกลัวยิ่งกว่าเราคงจะยังไม่เสร็จไปซะก่อนนะ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง กล่าวลอยๆด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายที่สุด ก่อนที่เพื่อนทั้งสองของเธอ
จะร้องผวาตกใจ กรี้ดกร้าด กันต่อไป

“ ฮ่าห์… ”
ทาโซรอส เปล่งเสียงพร้อมกับใช้พลังโยกย้าย พื้ดินให้ยกตัวขึ้นมา
รั้งร่างของ โกรอทพลาม่า เอาทุกด้านเพื่อให้มันขยับไปไม่ได้ ก่อนจะวิ่งตะลุย

ดุ่มๆตามแผ่นหินที่ ทอดยาวไปยังร่างของมันที่ถูกกดทับด้วยพื้นที่ยกตัวขึ้นมา
หนีบรั้งมันไว้ แต่ยังไม่ทันจะถึงดี ก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่แผ่นหินจนแหลกเป็นชิ้นๆ ยังผลให้ ทาโซรอส

ร่วงกราวลงไปกับกองหินด้วย แต่แม้จะถูกกองหินทับ ก็ยังคงผลักกองหินออกด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่มีอยู่
ได้อย่างสบายๆ 

“ กีซซซ ”
เสียงของ นิลเฮอร์ ดังขึ้นก่อนมันจะพุ่งตัดหน้า ทาโซรอส ไปเมื่อเห็นดังนั้น ทาโซรอส
จึงเรียกไพ่ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะนำมันไปวางตรงศิลาที่ฝังอยู่ท้ายคมดาบ ไพ่ถูกกลืนลงไปในศิลา

“ Full Charge Great of Dragon ”
เสียงดังขึ้นจากตัวดาบ พร้อมกับ ที่ นิลเฮอร์ กลายร่างไปสู่อีกขั้น เป็น นิลเฮอเลี่ยน มังกรร่างเต็มวัย
(Nilhirion, the Arimathea’s Earth Dragon)  ส่วนคมดาบของ ทาโซรอส ตอนนี้ก็เปล่งรัศมี ออกมา
นิลเฮอเลี่ยน ก้มตัวลงก่อนจะกดเท้าทั้งสี่ข้างของมัน จมลงไปในดิน ผลันเกิดคมหอกศิลาพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินมากมาย

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/14.jpg)

เข้าหนีบรั้งทิ่มแทง โกรอทพลามาทอส ในบัลดล ทว่าก็ไม่อาจทะลวงผ่านเกราะกำบังที่ เกิดจากสายฟ้า
นับสิบที่ผ่าลงมารอบๆพร้อมกันได้ ทว่าทันทีที่ สายฟ้าสลายไปแล้ว ทาโซรอส ก็กระโดดตีลังกากลางอากาศ

เสียสามรอบก่อนจะดิ่ง ตัวทุ่มดาบที่เปล่งรัศมีจนเกิดเป็นลำแสงมังกรพลังงาน โน้มลงมาแต่ก่อนที่
จะได้ทันเข้าถึงตัวของ โกรอทพลามาทอส นั้นมันกลับซัดกรงเล็บสวนเข้ามา คลื่นไฟฟ้า อันรุนแรงที่พุ่งพล่านอยู่

รอบกรงเล็บนั้น กระแทก ร่างของ ทาโซรอส จนปลิวกระเด็นไปชนกับ นิลเอเลี่ยน ที่อยู่ด้านล่างก่อน จะไถล
ไปกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ จนไปกระแทกเข้ากับต้นไม้เข้าในที่สุด

“ แข็งแกร่งจริงๆ…คงจะต้องใช้ Triple Thunder แล้วล่ะ   ”
ทาโซรอส สบถก่อนที่เข็มขัดตลับไพ่ จะปรากฏขึ้นที่ข้างเอว ฝาตลับเปิดออกเอง ก่อนที่ ไพ่ภายในตลับ
จะพุ่งออกมาเองเสีย สามใบ จำนวนไพ่ที่เหลือจึงมีเหลืออยู่ในตลับเพียงแค่  36 ใบเท่านั้น
ไพ่ทั้งสามใบที่พุ่งออกมานั้นเรืองแสงล่องลอยอยู่ในอากาศ ก่อนที่ ทาโซรอส จะรวบเก็บทั้งสามใบมาไว้ในมือ
ตลับจึงปิดฝาลงแล้วหายไปพร้อมกับเข็มขัด

“ หา…เฮ้ยเจ้าหมีควายถึก จะใช้พร่ำเพรื่อกันงี้เลยเรอะ ”
เสียงห้าวๆในตอนแรก ที่ได้ยินดังขึ้นอีกครั้ง

“ ไม่หรอกยังไงก็ต้องใช้ล่ะเพราะเจ้านี่มันของจริง แต่ยังไงก็ตามห้ามใช้มากกว่านี้อีกนะ ”
เสียงที่ฟังดูเย่อหยิ่งดังขึ้น ด้วยเช่นกัน แม้จะตัว เรกกะ เองจะไม่เข้าใจแต่ก็พอจะรู้คร่าวๆว่าเป็นเรื่อง
ลำบากเป็นแน่

“ เข้าใจแล้ว ต้องให้จบในีเดียวสินะ ”
ทาโซรอส กล่าวก่อนจะนำเอาไพ่ทั้งสามใบวางลงไปบนศิลา ที่ดาบอีกครั้ง
ศิลาดูดไพ่ทั้งสามลงไปก่อนที่คมดาบจะเปล่งแสงรัศมีเรืองรองออกมา

ร่างของ นิลเฮอเลี่ยน เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเกล็ดศิลา ที่คลุมปีกของมันได้กะเทาะแตกออก
ราวกับลอกคราบใหม่ กลายเป็นปีกบางใสขุ่นๆ เช่นกันเกล็ดศิลาทั่วตัวที่แข็งประดุจเหล็กกล้า

ได้แตกออก จากร่างกลายเกล็ด นิ่มๆคล้ายผิวทราย ร่างของมันมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เมื่อมันสยายปีกออก
ฝุ่นทรายได้ร่วงหล่นลงมาจากปีกของมัน มากมาย ปีกของมันกว้างใหญ่ แรงกระพือนั้นมากพอจะเป่า

คนๆหนึ่งให้กระเด็นได้สบายๆ มันได้เปลี่ยนร่างเป็น
มังกรพสุธาร่างสมบรูณ์ นิลเฮอเลียส (Nilhirios, the Great Terrain Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/20.jpg)

“ Charge and Up Great of Dragon ”
เสียงดังกังวานขึ้นจากตัวดาบ ก่อนที่รัศมีแสงจะพุ่งทะยานออกไปกลายเป็งลำแสงมังกร
บินฉวัดเฉวียนไปรอบๆ ตัวของ ทาโซรอส ขณะที่ นิลเฮอเรียส ก้มตัวลงต่ำ ทันทีที่ มังกรลำแสง

บินวนจนขึ้นไปสุดเหนือหัวของ ทาโซรอส ดาบของ ทาโซรอส ก็ถูกยกขึ้นประทับเข้ากับ
ลำแสงมังกร ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังของ นิลเฮอเลียส จากนั้น ทาโซรอส จึง

ตวัดดาบลง ลำแสงมังกรได้พุ่งทะยานออกไป พร้อมๆกับลมหายใจของ นิลเฮอเลียส ที่เป่าพื้นดินกระจุยตามไปเป็นทางการจู่โจมประสานได้ทะลวง ฝ่าเกราะสายฟ้าของ โกรอทพลามาทอส เข้ากระแทกร่างของมันจนกระเด็นไถล

กับพื้นถางป่าไปเป็นทาง  แต่ทว่า มันก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แต่ครั้นลุกขึ้นมามันกลับ เดินหนีกลับไปทางหุบเขาแทน
เมื่ออีก ฝ่ายไปแล้ว ทาโซรอส จึงคืนร่างกลับพร้อมกับที่ นิลเฮอเลียส กลับร่างเป็นนิลเฮอร์ อีกครั้งก่อนจะบินกลับไป

“ นี่มัน…อะไรกันเนี่ย…อ๋อย ”
เรกกะ เปรยก่อนจะฟุบสลบลงทั้งอย่างนั้น

……………………….
…………………………………..


ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งท้องนภาเป็นสีแสด ดั่งดวงสุริยา กำลังคล้อยฟ้าลับดินไป หากแต่ว่าที่นี่
ไม่มีดวงตะวัน มีเพียงท้องนภาสีแสด และก้อนเมฆ ที่ล่องลอยอยู่ รอบมหาวิหาร สีขาวตัววิหาร

เป็นเพียงพื้นทีสร้างลอยอยู่บนห้วงอากาศนี้ และมีบันไดทอดลงไปยังด้านล่างซึ่ง
ลึกสุดลูกหูลูกตา บนพื้นวิหาร มีเสา 7 ต้นรายล้อมอยู่ที่กลางวิหารเป็นแท่นหินปูนสีขาว ที่มีลักษณะ
เว้าโค้งด้านข้าง บนแท่นหินมีดาบเล่มหนึ่งปักหันคมทิ่มลงอยู่

“ ณ ที่นี่และวันนี้ที่ข้ารอคอยก็มาถึงในที่สุด คาทาสโทฟี (Catastrophe) ก็จะเดินระบบเสียที ”
เสียงดังขึ้นมาจาก ด้านล่างของบันได ขณะที่มีเงาๆหนึ่งกำลังเดินฝ่าเมฆหมอกขึ้นมยังมหาวิหาร
เขาคือ อดีตจักรพรรดิ์ แห่งบริทเทเนอร์ เนลโปลเลียน นั่นเอง

“ เมื่อ คาทาสโทฟี ทำงานโลกนี้ก็จะ…. ”
“ ชั้นไม่ยอมให้แกทำแบบนั้นเด็ดขาด ”
ขณะที่ เนลโปลเลียน กล่าวอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาว่าจะหยุดเค้า เมื่อหันกลับไปมีใครอีกคนกำลังเดินขึ้นมา
ยังมหาวิหาร

“ ชั้นข้ามเวลามาสองร้อยปี ไม่ได้เพื่อจะมาดูหายนะของ เทอร่า หรอกนะ ”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ ลอว์เรนซ์ จะเดินฝ่าเมฆหมอกออกมา

………………
……………………

“ ที่นี่มัน…เอ๋ ”
เรกกะ เปรยขึนทันทีที่ ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเค้าอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยที่รอบๆมี
สามสาวที่เค้าช่วยเอาไว้ จ้องเขม็งมาที่เค้า ทำให้เค้ารู้สึกเก้ๆกังๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง


“ อ…เอ่อ พวกเธอ…. ”
เรกกะ เปรยขึ้นในใจพยายามจะเอ่ยปากถามว่าพวกเธอเป็นใคร ทว่า

“ ขอบคุณมากนะค้า ที่ช่วยพวกเราไว้ พวกเราไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีเลยค่า ”
เด็กหัวสับปะรดสีเขียว กล่าวพลางเข้ามาถูไถ แนบประชิดติดตัวเค้า จนทำอะไรไม่ถูกกันไปเลยทีเดียว

“ ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะค่า พอคุณสู้เสร็จก็ล้มพับไปพวกเราเลย พาเข้ามานอนพักอยู่ในนี้ แต่ไม่ต้องห่วงไปนะค้า
ถึงสารรูปของคุณเป็นแบบนี้แต่พวกเราสามเกลอ ไม่ได้ทำอะไรมิดีมิร้ายเลยนะค้า ”
เด็กผมแกละสีฟ้า กล่าวพลางเข้ามากอดแขนขวา ของเค้าอีกข้างหลังจากที่คนก่อนกอดแขนข้างซ้ายของเค้า
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของพวกเธอ เรกกะ ก็รู้สึกแปลกใจ จนเมื่อลมพัดเข้ามาในถ้ำจนเค้รู้สึกหนาว ถึงได้รู้ความหมายที่

เธอพูด เมื่อสำรวจเสื้อเชิ้ตของเค้ามันถูกปลดกระดุม ออกที่ตัวของเค้าเองก็มีร่อยรอยการเช็ดตัวด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เรกกะ ถึงกับหน้าแดงแป้ดก่อนจะหงายล้มตึงลงไปอีกที

“ ชารี่….ฉันบอกแล้วว่าถ้าเค้ารู้คงไม่ดีแหงรีบติดกระดุมเสื้อให้เค้าเถอะ ”
เด็กสาวผมหางม้าสีม่วง กล่าวหน้าตาย

“ แหมขวัญอ่อนจริงนะตาคนนี้ เมื่อกี้ยังสู้กับเจ้ายักษนั่นเอาเป็นเอาตายอยู่เลย ”
เด็กผมแกละสีฟ้า บ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจขณะที่บรรจงติดกระดุมเสื้อ ของเรกกะ

“ แต่ว่าเค้าเท่ห์ม้ากมากเลยนะ พวกเธอก็เห็นแล้ว ใช่ป่ะๆ  ”
เด็กหัวสับปะรดสีเขียว กระดี๊กระด๊าออกนอกหน้านอกตาอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่ เด็กผมหางม้าสีม่วง เอาแต่ถอนหายใจตีสีหน้าหน่ายๆ


“ เฮ้อ…เห็นแล้วเบื่อจนอยากร้องไห้ซะจริงๆ ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง บ่นทว่าทันทีที่เธอพูดคำว่า ร้องไห้ออกไปนั้น

“ ได้ร้องไห้แน่…ความแข็งแกร่งของข้าแม้แต่เด็กยังต้องร่ำไห้ ”
เรกกะ พุ่งพรวดขึ้นมาประกาศป่าวๆ ในทันทีท่ามกลางสายตาตกตะลึงของ
บรรดาสาวๆ

ชิ้งงงงงง (เสียงอะไรซักอย่างใช้ตอนเงียบซะจนไม่มีบทบรรยาย)


“ เฮ้ย เจ้าหมีถึก อยู่ๆพรวดออกไปได้ไงเล่าเข้ามานี่ ชั้นไปเอง ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่ ดวงตาซ้ายของ เรกกะ จะเปลี่ยนสีจากน้ำตาลเป็นสีแดง
ทันควัน

“ อะแฮ่ม…เมื่อกี้อย่าได้สนใจเหวอ… ”
เรกกะ ที่ถูกทาลิคนัสเข้ามาสิงแทนกล่าวไปได้ไม่ทันไร ดวงตาซ้ายก็เปลี่ยนสีอีกรอบเป็นสีขาว

“ ขอให้เราได้พูดบ้างเถิด ท่ามกลางบุปผางามเหล่า…หวา ”
ทาลูคัส ที่โผล่เข้ามาแบบปุบปับ ร่ายยังไม่ทันได้จบประโยค ดวงตาของ เรกกะ ก็เปลี่ยนสีอีก
คราวนี้เป็นสีดำม่วง

“ เย้ๆ…พี่สาวเพียบเลยเรามาเล่นกัน…โหว ”
เรกกะ ที่ถูก ทาไนซ สิงเข้ามาก็ลุกกระโดดพรวดพราด อย่างลิงโลดเหมือนเด็กๆ ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกรอบ พร้อมกับทาลิคนัส เข้ามาสิงแทน

“ เฮ้ย ชั้นเป็นรุ่นพี่พวกแกนะ ให้ชั้นจัดการเถอะน่า ”
ทาลิคนัส โผล่มากล่าวได้ไม่ทันไรอีก ตาซ้ายก็เปลี่ยนสีอีก

“ ถ้างั้นเราที่มาก่อนเจ้าก็ต้องสูงกว่าเจ้าซี่ อีกอย่างเราเป็นเจ้าชา… ”
“ ได้ไงๆ ต้องให้รุ่นน้องสิถึงจะถูก ”
“ เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายังสาธยายไม่จบเลยให้ข้า… ”
“ เฮ้ยก็บอกไงว่าอย่าแทรก… ”

และแล้วบุคลิคทั้งสี่ก็ตีกันอยู่ภายในร่างของ เรกกะ เปลี่ยนกันวนสิงไปสิงมาจน
เรกกะ เต้นแร้งเต้นกาพูดไม่เป็นภาษา เหมือนคนไม่เต็มเตงไปในสายตาของ สามสาวในทันที

“ เอ่อ เอลิต้า ฉันว่าเธอคิดใหม่ดีกว่าไหม ”
เด็กผมหางม้าสีม่วง เปรยหน้าตายขณะที่ เพื่อนสาวอีกสองของเธอได้แต่จ้อง
ด้วยสายตาตกตะลึงแบบคาดไม่ถึงสุดๆ

“ นี่พอได้แล้ว…ชั้นเวียนหัวน๊าาาา ”
เรกกะ ที่เป็นจิตต้นร่างตะหวาดขึ้น ก่อนที่จะผลักการแทรกแซงอันชุลมุนปั่นป่วนของ
บุคลิคอื่นๆ จนวงแตกไม่เป็นท่าและยึดเอาร่างคืนมาได้ในที่สุด

“ พ…พวกนั้นัมนอะไรกันนะ…แฮ่กๆ ”
เรกกะ สบถพลางปาดเหงื่อ ออกอย่างเหนื่อยหอบก่อนจะทันรู้ตัวว่าเค้าถูกสายตาจับจ้อง
อยู่เมื่อมองไป เค้าก็แทบจะสะอึกออกมาทันที เพราะสามสาวที่เค้าช่วยไว้
พากันมองเค้าดวงตาเป็นประกาย สดใสราวกับเห็นเค้าเป็นเทพบรุต

“ อา…การเปลี่ยนท่วงท่า อารมณ์ที่รวดเร็วฉับไว ”
“ แถมแสดงได้ราวกับเป็นคนล่ะคน แนบเนียนแบบไร้ที่ติ ”
“ และเบรก ออกมาด้วยวาจาเหมือนไม่รู้ตัวตน…อา ”

เสียงของสามสาวดังประสานขึ้นพร้อมๆกันแทบจะทันทีแม้แต่
 เด็กสาวผมหางม้าที่ทำหน้าตายอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้ยังพลอยเป็นไปด้วย


“ เหวออออ ”
เสียงของ เรกกะ ดังโหยหวนลั่นออกมาจากถ้ำก่อนจะกลายเป็นเสียงแว่วไป

(ขอให้ไปที่ชอบๆน้า เรกกะ นายไปดีแล้วล่ะ…..เอวัง….)
………………..
…………………….

“ เพราะทีม ฮาร์ทไฟร์ (Heart Flie) หายตัวไประหว่างภารกิจดึงความสนใจทำให้
 โกรอทพลามาทอส กลับมาที่ทางเข้าวิหารได้ทันงั้นเหรอ ”
โครโน่ เปรยเสียงเรียบด้วยสีหน้าเมินเฉยต่อคำแก้ต่างของ หลีเมย่ ที่ก้มหน้ารับความผิดพลาดต่อภารกิจของตน

“ แล้วตอนนี้ ทีมนั้นล่ะ…ไปไหนซะแล้ว ”
โครโน่ ถามทำเอา หลีเมย่ สะดุ้งไปทีนึงก่อนจะตอบตะกุกตะกัก

“ ม…ไม่ทราบค่ะ ”
หลีเมย่ กล่าวพลางหนีหน้าไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ งั้นเหรอ…อย่างงั้นสินะเอาเถอะเธอกลับไปได้แล้วเดี๋ยวชั้นจะให้ อัศวินคนใหม่ไปเอง ”
โครโน่ กล่าวพลางสะบัดมือขับไล่ไสส่งไม่แม้ แต่จะรักษาน้ำใจหากแต่หักหน้าอีกฝ่ายกันตรงๆ
ซึ่ง หลีเมย่ ก็ได้แต่เมินหน้าหนีแบกรับเอาความอัปยศนี้ ออกจากห้องไป

“ แล้วเค้าไปไหนซะแล้วล่ะอัศวินของชั้นน่ะ ”
โครโน่ หันไปถาม ฮายาเตะ ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ เค้าขอตัวออกไปทำธุระตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะค่ะ ”
ฮายาเตะ กล่าวตอบเสียงเรียบ

“ อะไรกันนี่เค้ายังไม่เลิกอาลัยอาวรณ์อีกงั้นเหรอ…เฮ้อทั้งที่กลายเป็น
 อานิม่า ได้อย่างสมบรูณ์แล้วแท้ๆแต่ยังยึด ติดกับความรู้สึกของมนุษย์อยู่แบบนี้…
ไม่เข้าใจเลยจริงๆเค้าคิดอะไรอยู๋นะหมอนั่น ”

โครโน่ เปรยด้วยทีท่าหน่ายๆก่อนที่เค้าจะจับความผิดปกติที่ ฮายาเตะ แสดงออกมาแม้จะเล็กน้อยก็ตาม
เค้ายิ้มเล็กๆให้ก่อนจะเอ่ยปาก

“ ฮายาเตะถึงจะตีหน้าตายอยู่แบบนั้นแต่ชั้นรู้นะ…. ”
โครโน่ เปรยขณะที่ ฮายาเตะ ถึงกับสะอึกไปก่อนจะรีบตีสีหน้ากลับจากที่หลุดไปเมื่อครู่

“ หมายถึงอะไรกันคะดิฉันน่ะ ”
ฮายาเตะ กล่าวโดยพยายามจะเมินหน้าหนีแต่ก็ถูก โครโน่ จับหันกลับมา

“ ไม่ต้องมาซ่อนเลย…ฉันรู้นะว่าเธอกำลังยิ้มอยู่…ดีใจมากล่ะสิท่าที่ เจ้าราฟ มันตายๆไปแล้ว
 เฟนท์ ได้ขึ้นมาเป็นอัศวินร่วมกับเธอแทน…ชั้นพูดถูกใช่ไหมล่า ”
โครโน่ กล่าวขณะที่ ฮายเตะ รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ หึ…ไม่โกหกหรอก….ชั้นรู้ดีน่า เพราะทุกครั้งสายตาที่เธฮจ้องหมอนั่นมันฟ้องกันอยู่เห็นๆ แล้วอีกอย่างชั้นเองว่า
หมอนี่ดีกว่าเจ้า ราฟ เป็นไหนๆ ถึงจะใช้งานยากไปหน่อยก็เถอะ..แต่พลังของหมอนั่นเป็นของจริง… ”
โครโน่ กล่าวก่อนจะปล่อยมือ ออกจากใบหน้าของเธอขณะที่ เธฮจ้องมองเค้าด้วยท่าทีระแวงขึ้นเรื่อยๆ
กว่าทุกครั้ง

………………..
………………………….

ณ สวนแห่งหนึ่งที่นี่ถูกใช้เป็นสุสานมีแผ่นป้ายหลุมศพ เรียงรายเป็นทิวแถวตลอดแนว
ที่บริเวณ ประตูสวนมีหลุมใหม่ 4 หลุม หน้าแผ่นหินนั้นมี ดอกไม้วางอยู่ หลุมละช่อ
บนแผ่นหินนั้นแต่ล่ะแผ่นจารึกชื่อของแต่ล่ะคนไว้ซึ่งมี

San Neovel  (ซาน)
Emil Runevel  (เอมิล)
Ryad Raselio  (ไรด์)
Ai  Lemuria (ไอ)

………………
………………………..

“ หมายความว่าพวกเธอ เป็นกลุ่มขององค์กรที่เรียกตัวเองว่า Empyrean Adjust
แล้วตัวพวกเธอก็คือ Valkyrier ที่เป็นเสมือนตัวแทนของ Valkyrie อย่างนั้นสินะ
…แล้วภารกิจของพวกเธอก็คือต้องเอาสิ่งที่เรียกว่า God Send กลับไป ”
เรกกะ กล่าวทบทวนถึงเรื่องที่สามสาวเล่าให้เค้าฟัง ขณะที่ทั้งสามก็พยักหน้ารับว่า
เค้าเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว

“ จริงสิยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉัน ชารี่(Chary) เป็น Valkyrier แห่ง เกรซ(Grace, the Valkyrie) ”
เด็กผมแกละสีฟ้า กล่าวแนะนำตัวว่าเธอ ชื่อ ชารี่ ก่อนจะผายมือไปยังเพื่อนคนอื่น

(http://images.temppic.com/11-04-2009/images_vertis/1239437120_0.16939700.jpg)

“ ส่วนนั่น เอลิต้า(Elita) Valkyrier แห่ง อานิต้า ( Anita, the Valkyrie)  ”
ชารี่ กล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ เด็กผมทรงสับปะรดสีเขียว ที่กำลังยิ้มแฉ่งพลางโบกมือให้ เธอชื่อ เอลิต้า

(http://images.temppic.com/11-04-2009/images_vertis/1239437121_0.30693500.jpg)

“ และนั่น ซิกนัม(Signum) Valkyrier แห่งเบรนด้า (Brenda, the Valkyrie) ”
ชารี่ รีบแนะนำคนต่อไปทันที โดยชี้ไปที่เด็กผมหางม้าสีม่วง เธอชื่อ ซิกนัม

(http://images.temppic.com/11-04-2009/images_vertis/1239437120_0.96522500.jpg)

“ เอ่อ…ชารี่…เอลิต้า…ซิกนัม… ”
เรกกะ กล่าวพลางชี้ไปที่แต่ละคน โดยพูดชื่อแล้วจึงชี้ซึ่งพวกเธอก็พยักหน้าตอบเมื่อเค้าพูด



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: greamon on April 11, 2009, 07:14:19 PM
“ อ…อ่า…เอ่อ คือก็อยากจะแนะนำตัวอยู่หรอกนะแต่ว่าผมน่ะ…. ”
เรกกะ กล่าวอึกอักเพราะเค้าจำไม่ได้กระทั่งชื่อของตัวเองด้วยซ้ำในตอนนี้

“ เรกกะ …นายจำชื่อนายไม่ได้หรือไงเล่า ”
เสียงของ ทาลิคนัส ดังขึ้นในใจของเขา

“ อ…งั้นเหรอ ขอบคุณนะ เอ่อ..ทา…ลิค…นัส สินะ ”
เรกกะ ขอบคุณในใจหลังจากที่เค้าได้รับความช่วยเหลือจากบุคลิคอื่น ๆ
ทำให้เค้าจำชื่อของ แต่ล่ะบุคลิค ได้แล้ว

“ ผมชื่อ..เรกกะ…เรกกะ ไฮเดย์ (Recca Highday) ”
เรกกะ กล่าวแบบเอียงอาย

“ ยินดีที่ได้รู้จักค่า ”
ทั้งสาม ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน ทำเอา เรกกะ เหวอไปชั่วขณะก่อนจะรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ
ในใจเค้าเองก็คิดว่าทั้งสามคนเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาๆ ที่อายุพอๆกับเขา ทำให้รู้สึก

ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่พวกเธอ
เล่ามาซักเท่าไหร่ว่าเป็นคนขององค์กรที่ทำสงครามไปทั่ว

“ แต่ว่า…ภารกิจเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้มีหวีงพวกเราโดนว่าอีกแหงเลย ”
ชารี่ เปรยก่อนจะถอนหายใจด้วยความกังวลขึ้นมา

“ นั่นสิปกติ ฝีมือต่อสู้ก็ห่วยแถมภารกิจยังไม่เคยทำสำเร็จด้วยตัว
เองเลยต้องให้ ทีมโน้นทีมนี้มาช่วย ”
เอลิต้า เองก็กล่าวออกมาบ้าง

“ แถมคราวนี้ยังมาทำภารกิจพังอีกแบบนี้คงไม่มีหน้ากลับไปแล้วล่ะ ”
ซิกนัม ตบท้ายให้เสร็จสรรพ สามสาวจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่พลาง
ตีสีหน้าเบื่อโลกกันเต็มกลืน

“ งั้นเราก็ไปเอาเจ้า God Send นั่นกันซะเลยสิ…ถ้าทำสำเร็จเรื่องที่ทำภารกิจพังจะต้องได้รับการยกโทษแน่ ”
เรกกะ ยื่นความคิดเห็นแก่พวกเธอทั้งสาม

“ หาไม่ไหวหรอก ทีมที่กระจอกซะจนเหลวทุกภารกิจ อย่างพวกเราเนี่ยนะแล้วยังเจ้ามังกรนั่นอีก ”
ชารี่ รีบออกตัวแก้ต่างทันที

“ แล้วจะยอมแพ้เหรอ…. ”
เรกกะ ย้อนถามทำเอา ชารี่ นิ่งไปพักใหญ่

“ เพราะล้มเหลว เพราะไม่เคยชนะ ก็จะตัดใจยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ…แบบนั้นน่ะไม่มีวันเป็นผู้ชนะได้หรอก ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ สามสาวเองเมื่อได้ยินคำพูดของเค้าก็เริ่มมีหวังขึ้น

“ นั่นสินะ…ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกเนอะพวกเรา ”
ชารี่ กล่าวพลางหันมาถามความเห็นเพื่อนๆ

“ ใช่แล้วๆ…เราไปอัดเจ้าจิ้งเหลนยักษ์นั่นกันเถอะ ”
เอลิต้า สนับสนุนพลางลุกขึ้นชูไม้ชูมืออย่างกระดี๊กระด๊า

“ นั่นสิพลาดมาไม่รู้กี่ครั้งจนไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่เนอะ พลาดอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ”
ซิกนัม กล่าวพลางลุกขึ้นจับขวานอีกครั้ง

“ ไม่หรอก…ครั้งนี้เราจะต้องไม่พลาดเพราะจะทำให้สำเร็จ…ชั้นจะช่วยพวกเธอเอง ”
เรกกะ กล่าวพลางลุกขึ้นยืนเพื่อสนับสนุนแรงใจให้แก่พวกเธอ

“ ดีล่ะถ้างั้นก่อนออกศึกเรามารวมแรงใจกันเถอะ ”
ชารี่ กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นมือเข้าไปตรงกลางวง ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆยื่นมือมาประสานกันไว้จนครบ

“ พวกเราจะร่วมกันไปทำภารกิจให้สำเร็จให้ได้.. ”
ชารี่ กล่าวจบทุกคนก็โยนมือขึ้นพร้อมกับส่งเสียงให้รู้สึกหึกเหิม

…………………..
……………………………..


“ พวกเราล่อเจ้ายักษ์ออกมาแล้ว ทางนั้นเป็นไงบ้าง ”
ซิกนับรายงานใส่ลงไปใน เครื่อง Terminal Crisis ของเธอขณะที่กำลังบินหนี โกรอทพลามาทอส ที่ไล่ตามมาติด
โดยมี เอลิต้า คอยดึงความสนใจให้มันออกห่างจากหุบเขาเรื่อยๆ

“ พวกเราเข้ามาข้างในได้แล้ว…ล่อมัน ไว้อย่างนั้นเรื่อยๆแหล่ะพยายามให้มันวิ่งฝ่าผืนป่ามันจะได้ช้าลง ”
เสียงของ เรกกะ ดังขึ้นมาจากเครื่อง Terminal

“ เข้าใจแล้ว ”
ซิกนัม ตอบกลับก่อนจะพับฝาเครื่องปิดเก็บ แล้วหันไปหา เอลิต้า ที่บินตามมา

“ เอลิต้า เดี๋ยวเราจะเลี้ยวที่ป่าด้านหน้านะ ”
ซิกนัม ตะโกน ก่อนที่ทั้งสองจะบินเลี้ยวนำ โกรอทพลามาทอส เข้าไปในป่า
 ต้นไม้ทำให้มันขยับตัวได้ลำบากและเคลื่อนที่ได้ช้าลง แต่ทว่ามันตามพวกเธอได้ไม่นาน
ก็กลับลำถอยไปแทน

“ แย่แล้วๆ ซิกนัม มันจะกลับไปแล้วอ่ะทำไงดี ”
เอลิต้า โวยวายชี้มือชี้ไม้ไม่เป็นทิศเป็นทาง

“ ก็เรียกความสนใจมันก็เรื่อง ”
ซิกนัม เปรยก่อนจะยกขวานขึ้น


“ Magma Tear Axe ”
เสียงดังกังวาลขึ้นจากตัวขวานก่อนที่  ซิกนัม จะเหวี่ยงมันออกไปขวานที่เหวี่ยงออกไป
ลุกเป็นไฟในทันที ก่อนจะพุ่งเข้ากระแทก โกรอทพลามาทอส ครั้งแล้วครั้งเล่า และวก กลับ

ไปหา ซิกนัม เธอรับขวานกลับมาก่อนจะรีบ ลาก เอลิต้า บินหนีไปอีกรอบ
เพราะเจ้ามังกร หันกลับมาวิ่งไล่ด้วยท่าทียั่วะจัดพลางไล่ฟาดสายฟ้า จนผืนป่าพินาศ
ราบเป็นหน้ากลอง

………………..
…………………………….

ภายในทางเดินที่คับแคบและมืดมิด มีเพียงแสงจากคบไฟที่ เรกกะ ถืออยู่เท่านั้นที่พอจะทำให้มองเห็นทางได้
พื้นและผนังทำด้วยหินแบบเดียวกันตามพื้นและผนังนั้น มีทรายเกาะอยู่เป็นช่วงๆ และบนพื้นยังมีทรายถมเป็นจุดๆ

“ โบราณสถานนี่แปลกจังเลยนะ ตรงหน้าทางเข้าก็มีทรายอุดอยู่ซะทั่วร่องน้ำเลย
 แถมตั้งแต่เดินเข้ามาในนี้ก็มีแต่ทรายเต็มไปหมด ”
เรกกะ พิเคราะห์สภาพของ ซากโบรานสถานแห่งนี้ ตามที่เห็น ด้วยความสงสัย ขณะที่ ชารี่ ที่มากับเค้านั้น
เอาแต่เกาะแขนเค้าหันซ้ายหันขวา ไปรอบด้วยความระแวง

“ น…น่ากลัวจังเลย ปกติพวกฉันไม่เคยได้เข้ามาเหยียบในสถานที่ที่มี God Send เก็บไว้เลยซักครั้งเพราะทุกทีได้แต่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าตลอดเลย ”
ชารี่ เปรยเสียงสั่น

“ งั้นเหรอ งั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกน่ะสิ ”
เรกกะ ถามขณะที่สายตาจ้องไปแต่ทางข้างหน้าที่ค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ

“ อ…อืม แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างอ่ะนะ ว่าข้างในจะมีกับดัก ต่างกันไปตามแต่ God Send ของแต่ละแห่ง ”
ชารี่ กล่าวจากประสบการณ์ที่เธอเคยได้ประสบมา

“ งั้นเหรอ… ”
เรกกะ ตอบเสียงเรียบโดยไม่หันมามอง เพราะสายตาของเค้ายังจดจ่ออยู่กับเส้นทาง
ขณะที่ ชารี่ นั้น ได้แต่มองหน้าเค้าด้วยความรู้สึกบางอย่างลึกๆในใจ

“ เค้าคนนี้เหมือนกันเลยแฮะ…เหมือนกับ รุ่นพี่ เฟนท์ เมื่อก่อนเลยทั้งใจดีทั้งมุ่งมั่น…แต่ตอนนี้ รุ่นพี่ เฟนท์ เค้า.. ”
ชารี่ คิดขณะที่ เหม่อจ้องหน้าเรกกะ ไปตลอดทางจนในที่สุดเธอมารู้สึกตัวอีกที สภาพรอบๆก็เปลี่ยนไปแล้ว
จากเส้นทางแคบๆที่กว้างขึ้นเรื่อยๆได้นำมาถึงใจกลางของภูเขา ที่ด้านบนไม่มีเพดานกั้นไว้แล้ว

พวกเค้าข้ามภูเขาที่ขวางกั้นมาด้วยเส้นทางของ ซากโบราณสถาน นั่นเอง ภายในหุบเขานี้
เป็นพื้นทราย ที่มีซากต้นไม้เกลื่อนกลาด ที่ใจกลางมี เครื่องกลไก ที่เหมือนกับฟันเฟืองและเข็มนาฬิกา
ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ ฟันเฟืองหมุนอย่างต่อเนื่องทำให้ เข็มเดินไปเรื่อยๆ

“ วงแหวนแห่งการเวลา(Circle of Time) God Send ของ จอสสลิน (Josslyn, the Valkyrie) สุดยอดเลย ”
ชารี่ เปรยขณะที่ ปล่อยมือจาก แขนของ เรกกะ เพื่อจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n005/129.jpg)

“ ว่าแต่ใหญ่ขนาดนี้จะเอาออกไปยังล่ะเนี่ย ”
เรกกะ ถามขึ้นทำเอา ชารี่ สะดุ้งไปทันที

“ อ…เอ่อ จริงด้วยสิจำได้ว่า เครื่อง Terminal Crisis ที่ใช้แปลงร่างมีระบบ
เก็บกู้ God Send ด้วยนี่ขอเวลาหาแปปนะพอดีฉันไม่เคยได้ใช้มันเลย ก็เลยไม่คลองเท่าไหร่ ”
ชารี่ กล่าวขณะที่เปิดเครื่องขึ้นมาแล้วจิ้มนิ้วหาระบบไปเรื่อย ขณะที่รอ เรกกะ จึงเดินดูไปรอบๆ
เพื่อฆ่าเวลา

ฟู่มมมมมม

“ นั่นมันเสียงอะไรน่ะ ”
เรกกะ ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น จึงเปรยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปดูหลังกองซากไม้ที่ ถมกองทรายขนาดใหญ่อยู่

“ อ๊ะ เจอแล้วๆนี่ล่ะๆ ”
ชารี่ เปรยเสียงใส หลังจากที่หา โปรแกรมที่ต้องการเจอทว่า กองทรายและกองซากไม้ด้านหลัง เครื่องจักรยักษ์
ก็ได้ยกตัวขึ้นก่อนจะร่วงหล่นลงเผย่างที่อยู่ภายในออกมา

“ ฮูมมมมมมมมมมมมม ”
มันคำรามดังกึกก้องขนาดของมันใหญ่พอๆกับ เครื่องจักรตรงหน้า มันมีเกล็ดที่แข็งเหมือนหิน
หัวไหล่ของมันมีหนามหินขนาดใหญ่งอกออกมา ปีกของมันกว้างพอกับเครื่องร่อน

หางอันยาวใหญ่และทรงพลัง ตวัดขึ้นลงไปมา ราวกับมีชีวิต
 นี่คือมังกรหินผา โอโรฟาเนส (Orofarness, the Ciff Dragon)
ซึ่งวิวัฒนาการมาจาก มังกรโอโรฟาเน่ (Orofarne, the Ciff Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/38.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/15.jpg)

“ จ…เจ้านี่เป็นผู้พิทักษ์ด้วยเหรอเนี่ย ”
ชารี่ อุทานตาโต ด้วยความตกตะลึง ขณะที่ โอโรฟาเนส ขยับใกล้เข้ามาอย่างเชื่องช้า

“ เร็วเข้ารีบเก็บ God Send ซะชั้นจะต้านมันไว้เอง ”
เรกกะ ตะโกน ก่อนจะเปิดตลับออกแล้วหยิบไพ่ออกมา ตอนนี้ไพ่จึงลดจาก 36 ใบเป็น 35 ใบ
แทนแล้ว

“ ได้เวลาลุยแล้วสินะกำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี ”
เรกกะ ที่ตอนนี้ถูก ทาลิคนัส เข้าสิงแทนแล้วกล่าว ดวงตาซ้ายส่องแสงสีแดงก่อนที่ ไพ่ที่ถูกจ้องด้วยตานั้น
จะปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุไฟขึ้น ไพ่ถูกนำไปวางลงบนหน้าปัดก่อนจะถูกกดลงไป

“ Blaze Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นเสียง เรกกะ ก็เปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส ในที่สุด

“ โอเระ ทันโจว มันแปลว่า พระเอกมาแล้ว… ”
ทาลิคนัส ประกาศประโยคประจำตัวก่อนจะ พุ่งขึ้นไปเสยคาง เจ้ามังกรยักษ์ ด้วยลูกถีบ
จนมันล้มโครมไปและด้วยความเชื่องช้าอุ้ยอ้ายของมันทำให้ กว่ามันจะลุกขึ้นมาได้ก็นานโข

“ Ignite et Dragos ”
สิ้นเสียง ดาบเพลิงก็ถูกสร้างขึ้นในมือของ ทาลิคนัส ทันที

“ เอาล่ะมาะไคลแมกซ์กันตั้งกะต้นยันจบไปเลยนะพี่น้อง ”
ทาลิคนัส กล่าวจบก็พุ่งเข้าไปตวัดดาบเพลิง ฟาดรัวลงไปไม่ยั้งใส่ร่างของ โอโรฟาเนส
ทว่าเกล็ดที่แข็งเหมือนหินของมันก็กันเพลิงจากดาบได้เป็นอย่างดี จนทาลิคนัส ถึงกับหอบเมื่อฟันไป
ก็ไร้ผล

“ สำเร็จเก็บเรียบร้อยแล้ว ”
ชารี่ เปรยด้วยความลิงโลด ขณะที่เครื่องจักรตรงหน้าเรืองแสงขึ้นและเปลี่ยนรูปกลายเป็น
วัตถุทรงกลม ลอยลงมาที่มือของเธอ

“ เรกกะ เก็บเรียบร้อยแล้วเรารีบออกไปกันเถอะ ”
ชารี่ ตะโกน พลางโบกมือที่ God Send เอาไว้ให้ดู

“ เยี่ยมมากน้องสาวเรารีบไปกันเถอะ ”
ทาลิคนัส กล่าวก่อนจะถีบให้ โอโรฟาเนส ล้มลงไปอีกรอบ
และบนไปสมทบกับ ชารี่ ทว่าก่อนที่พวกเค้าจะได้ทันวิ่งกลับไปที่ทางออก ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น
 ทรายค่อยๆร่วงหล่นลงมาทีละน้อยๆ ราวกับหุบเขานี้เป็นนาฬิกาทราย ดีนี่เอง

ครืนนนนนนนนนนนนนนนน

เสียงดังกึกก้องสะท้านไปทั่วทั้งขุนเขา ขณะที่ทั้งสองได้แต่ตีสีหน้า เหยเก ด้วยความผวา

…………………
…………………………

“ อ้าวเจ้ายักษ์นั่นหายไปไหนแล้วล่ะ ”
ซิกนัม เปรยเมื่อเห็นว่า โกรอทพลามาทอส ที่ตามเธอมาอยู่ๆหายไปเอาเสียดื้อๆ
ที่ด้านล่างผืนป่าที่ต้นไม้ล้มระเนระนาด ชายผู้ปกปิดตัวเอง ได้ถือดาบเล่มหนึ่งเอาไว้

ขณะที่มืออีกข้างก็ถือ นาฬิกาทรายเหมือนทุกครั้ง เค้าฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะ
เดินจากไปอย่างลึกลับโดยที่ไม่มีใครสังเกต

ครีนนนนนนนนนนนนนน

 เสียงดังแว่วมาจนถึงที่นี้รวมทั้งความ สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นที่ไม่ได้เกิดกับแค่พื้นดินแต่ลามมาถึงท้องฟ้า
และห้วงอากาศด้วย

“ นี่มันหรือว่า ชารี่ ทำสำเร็จแล้วใช่ป่ะ ซิกนัม เย้ๆ ”
เอลิต้า กล่าวดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

“ อืมแต่นั่นก็หมายความว่ามิติแห่งเวลานี่กำลังจะถล่มด้วยนะ ”
ซิกนัม แย้งเสียงเรียบ ทำเอา เอลิต้า สะดุดกึกในทันที

“ ว้ายแย่แล้ว งั้นก็ต้องรีบออกจากที่นี่น่ะสิ ”
เอลิต้า อุทานเสียแตกแหกปากลั่นขนิดเก็บอาการไม่อยู่ทันที

“ งเงียบๆเถอะรารีบไปที่ โบราณสถานแล้วพา ชารี่ กับ เรกกะ ออกไปจากที่นี่ดีกว่า ”
ซิกนัม เรยขณะที่ ออกตัวนำ เอลิต้า ที่ตามไปติดๆ

…………………
………………………..

“ เหวอ ไหงกับดักมันถึงได้โหดหินแบบนี้เนี่ย ”
ทาลิคนัส โวยวายขณะที่ อุ้ม ชารี่ พาบินออกมาตามทางแคบๆในตอนแรกด้วย
โดยมีกองทรายที่ท่วมทะลักเข้ามาในทางไล่หลังมาติดๆ หากหยุดคงถูกกองทรายกลืนจมหายไปในทันที

และยิ่งไปกว่านั้น โอโรฟาเนส ที่มีร่างขนาดมหึมา นั้นก็ถูฏทรายถมพัดทะลวง
เส้นทางนี้ถล่มไล่หลังมาติดไม่แพ้กัน

“ สมกับเป็นที่ เก็บรักษา God Send จริงเลยค่า กับดักเลิศหรูอลังการจริงๆ ”
ชารี่ กล่าวเสียงใสดูเหมือนเธอจะดีใจมากกว่าหวาดผวาเสียอีก

“ นี่เธอมันใช่เวลาจะมาดีใจไหมเนี่ย ขืนเป็นแบบนี้มีหวังได้จมทรายตายแหงมๆ จริงสิเธอ
Valkyrier นี่ไม่มี วิชาหรืออะไรพาออกไปได้มั่งเหรอ  ”
ทาลิคนัส กล่าวขณะที่หันไปมองด้านหลังเป็นระยะ ซึ่งทรายก็ไล่หลังมาเรื่อยๆทุกทีๆ


“ จะว่ามีมันก็มีอ่ะนะ ”
ชารี่ เปรยเสียงใส

“ งั้นมัวรออะไรเล่ารีบๆเลยมันจะไล่มาทันแล้วเห็นไหม ”
ทาลิคนัส รีบสั่งทันที เมื่อเห็นว่า ความเร็วของตัวเอง คงหนีไม่พ้นแน่

“ รับทราบค่า ”
ชารี่ รับคำเสียงใสก่อนจะ ยกกระเป๋าเหล็กขึ้นมาเปิด ข้างใน กระเป๋าเก็บแท่งโลหะสามสี
เขียว ดำ น้ำตาล เอาไว้แท่งละสี เธอหยิบอันสีดำออกมา ก่อนจะปิดกระเป๋า บนแท่งโลหะนั้นมีปุ่มกดอยู่เธอกดมันลงไป

ก็เกิดอนุภาค อิออน ลอยอกมาคลุมร่างของเธอก่อนที่ชุดของเธอจะเปลี่ยนไป กระเป๋าถูกเก็บหายไปก่อนที่ แท่งโลหะ
จะยืดตัวและเปลี่ยนรูปเป็น แส้ซึ่งมีกุหลาบติดที่ปลาย เส้นแส้นั้นมีหนามกุหลาบประดับอยู่ ชุดของเธอเปลี่ยนจากสูทสีขาวเป็นชั้นในสีดำสุดเฉี่ยว ในทันที

“ Ray Dawn Form ”
เสียงดังขึ้นจาก แส้ ทันทีที่การเปลี่ยนร่างของเธอเสร็จสิ้น

(http://images.temppic.com/11-04-2009/images_vertis/1239437120_0.54841200.jpg)

“ เฮ้ยไหงเสี่ยวเงี้ย ชุดเธอน่ะ ”
ทาลิคนัส อุทานด้วยความตกใจก่อนจะยกมือขึ้นปิดตา

“ ถือว่าเป็นบริการก็ละกันน้า ”
ชารี่ กล่าวเสียงใสอย่างอารมณ์ ดีก่อนจะตวัดแส้ออกไป ตัวแส้นั้นสามารถยืดออกไปได้เรื่อยๆ
ไม่มีสิ้นสุดจน ออกไปพันเข้ากับต้นไม้ด้านหน้าเมื่อ ชารี่ ดึงแส้แล้วเห็นว่าแน่พอ

เธอจึงสวิตซ์ ที่ด้ามแส้อีกครั้ง ทันใดนั้นเส้นแส้ก็หดตัวกลับ ความเร็วจากการหดตัวของแส้ช่วยดึงพวกเค้าออกไป
ข้างนอกได้ทันก่อนทรายจะถมพวกเค้าไป พวกเค้าพุ่งออกมาด้านนอก ถ้ำที่เป็นทางเข้าได้สำเร็จพร้อมกับทราย

“ สำเร็จรอด....แล้ว ”
ทาลิคนัส สบถก่อนจะต้องสะอึกไป เมื่อ โอโรฟาเนสเองก็พุ่งทะลวงกองทรายตามออกมาติด ท่ามกลางความสั่นสะเทือนที่ยังคง รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ เย้ย ไหงตามมาติดๆแบบเนี้ย ”
ทาลิคนัส สบถก่อนจะ รีบลากตัว ชารี่ หนีขึ้นข้างบน ก่อนที่กรงเล็บของมันจะตะครุบพวกเค้า
ซึ่ง ซิกนัม กับ เอลิต้า ก็มาสมทบด้วยทันพอดี

“ แล้วทำไงดีล่ะเนี่ยไหงมันถึงสั่นไปทั่วแบบเนี้ย ” 
ทาลิคนัส ถามอย่างร้อนรน

“ ก็พอเก็บกู้ God Send แล้วมิติเสมือนนี้ก็จะถูกทำลายลงทันที
 ถ้าเราไม่รีบออกไปจากนี่ล่ะก็ ได้หายไปพร้อมกับมิติด้วยเลย ฟันธง ”
ซิกนัม แจงรายละเอียดให้ฟัง

“ ยังจะมา ฟันธงอะไรอีก ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ต้องรีบออกไปแล้วสิ ”
ทาลิคนัส ตะหวาด

“ กำลังให้ เอลิต้า เปิดประตูให้อยู่แต่ต้องใช้เวลาซักหน่อย  ”
ซิกนัม กล่าวเสียงเรียบอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ทำเอา ทาลิคนัส ปวดหัวไปกับความนิ่งของ
เธอสุดๆ

“ แหมๆ ถ้าจี้ดซะขนาดนี้สงสัย พระเอกคงไม่ได้อยู่บนจอแล้วล่ะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ ทาลิคนัส จะถูกแทรกแซงการสิงร่างไป และกลับคืนร่างเป็น เรกกะ
ทำให้ ร่วงลงไปเพราะไม่สามารถบินอยู่กลางอากาศได้

“ ว้าย ”
สามสาวอุทาน ทันทีที่ เห็น เรกกะ ร่วงลงไปทว่า ตัวเรกกะ ตอนนี้กลับไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
เขาเหยียดนิ้วตรงไปเปิด ฝาตลับออกก่อนจะ หยิบไพ่ออกมาใบหนึ่ง ไพ่ในตอนนี้จึงเหลือเพียง 34 ใบแล้วในขณะนี้
ดวงตาซ้าย ของ เรกกะ ตอนนี้ เรืองแสงสีฟ้า ขึ้น ไพ่ที่ถูกจ้องด้วยตาสีนี้ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแห่งน้ำขึ้น

“ Breeze Form ”
เสียงดังขึ้นจาก หน้าปัดทันทีที่ไพ่ถูกนำมาวางไว้ ก่อนที่ เรกกะ จะทุบไพ่ลงไป

“ Regeneration ”
สิ้นเสียง ร่างของ เรกกะ ก็เปลี่ยนเป็น อัศวินมังกร ร่างใหม่ที่มีกายสีฟ้า ที่ข้อศอกมีครีบงอกขึ้นมาแทนปีก

“ เฮ้ย..ยัยนี้เป็นใครเนี่ย ”
ทาลิคนัส ถามขึ้นด้วยความสะดุ้งที่ตนถูกผลักออกมาจากการใช้ร่างของ เรกกะ

“ เอ้า ทาลิคนัส ไม่รู้เหรอ ”
เสียงของ ทาไนซ์ ดังขึ้น

“ เจ้า..เนี่ยยังบื้อเหมือนเดิมเลยนะ ”
เสียงของ ทาโซรอส ดังขึ้นมาบ้าง

“ เค้าก็คือหนึ่งในบริวารของเราเหมือนพวกเจ้านั่นล่ะ ”
เสียงของ ทาลูคัส ดังขึ้น

“ พวกเราไม่ใช่บริวารซักหน่อย ”
เสียงของ บุคลิคอื่นๆดังประสานขึ้นพร้อมกันทันที

“ ฮู้ยยย พอๆ พอได้แล้ว ฉัน ทาลิควอส (Thaliquas, Arimathea’s Dragoon of  Thaliwilya)
ย่ะแล้วก็เงียบกันซะทีเดี๋ยวฉันก็ ไม่มีสมาธิสร้างปีกได้โหม่งโลกกันพอดี ”
ทาลิควอส อัศวินร่างใหม่ บ่นใส่เสียงแหลมเหมือนหญิงสาว ทำเอาบุคลิคอื่นๆเงียบกันไปเป็นทิวแถว
เมื่อเงียบแล้ว ทาลิควอส จึงรวมสมาธิไม่นาน ก็เกิดประกายแสงขึ้นที่หลังของ เธอ
 ก่อนที่มันจะสยายออกมาเป็น ปีกแสงสีฟ้าใส

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/4.jpg)

“ เบิกโรงนางเอก Show off ฉันนี่ล่ะเลิศที่สุด ”
ทาลิควอส กล่าวพลางวาดมือแอคท่าไปมา ก่อนจะพุ่งทะยานกลับขึ้น อย่างรวดเร็ว

“ Aqua et Dragos ”
สิ้นเสียง ทาลิควอส ก็สร้าง มวลน้ำขึ้นมาในอุ้งมือก่อนจะรวบมันเข้าด้วยกันและวาดออกกลายเป็นดาบยาว
ประมาณเมตรครึ่ง ก่อนจะบิดฉวัดเฉวียน ร่ายไปมาอย่างรวดเร็ว ให้ดูสวยงาม

เพื่อหลอกล่อ โอโรฟาเนส ให้หมุนตามจนมันขาพันกันเองล้มลงไป ทาลิควอส จึงอาศัย จังหวะนี้
เรียกไพ่ที่ใช้แปลงร่างขึ้นมา แล้วนำมันไปวางบนศิลาที่โคนดาบ

“ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ดาบในมือก็เปลี่ยนรูปเป็นมังกรตัวยาวบินออกไปจากมือ ก่อนที่ ทาลิควอส
จะประสานมือยกขึ้นเหนือหัว มังกรน้ำได้บินวนไปรอบตัวของเธอก่อนจะขึ้นไปรวมกับมือทั้งสอง


และทันทีที่วาดมือแยกออก ก็เกิดเป็นลำแสงมังกรน้ำสองตัวขึ้นมา ก่อนที่ ทาลิควอส จะเหวี่ยงลงไป
ลำแสงมังกรน้ำ พุ่งลงไปกระแทก โอโรฟาเนส ก่อนที่จะเกิดน้ำแข็งจับไปทั่วทั้งตัวของมัน จนลุกไม่ขึ้น

“ เรียบร้อย แล้วทีนี้พวกหล่อนน่ะจะออกกันไปได้รึยังยะ ที่นี่จะล่มมิล่มแหล่ะอยู่แล้วนะยะ ”
ทาลิควอส บ่นใส่ สามสาว เป็นชุด ขณะที่พวกเธอได้แต่อึ้ง กับกริยาท่าทางที่เปลี่ยนไปของ เรกกะ

“ เอ้าพวกหล่อนยังจะมา ยืนเซ่ออยู่อีกประตูล่ะ ประตูน่ะ ”
ทาลิควอส เห็นทั้งสามยังเหม่ออยู่เลยตะคอกย้ำหัวตออีกรอบ
พวกเธอถึงจะรีบเร่งกันสร้างประตู ทว่าสายไปเสียแล้ว ท้องฟ้าเริ่ม มีรอยแตกร้าว
และถล่มลงมา ฃห้วงอากาศที่ถล่มลงไปนั้น ได้กลายเป็นความมืดมิดค่อยๆถลำเข้ามา

“ โอย อกอีแป้นจะแต.... ”
ทาลิควอส หลุดสุดๆกับพวกเธอทั้งสาม ก่อนจะทันวีนแตก นั้น เธอก็ถูกด้ามหอกเคาะกะโหลกไปเสียมี หนึ่งจนต้องเงียบ

“ นี่เลิกบ้าได้แล้วย่ะ ฉันมารับแล้ว รีบมาขึ้นมานี่เลย ”
ทาลิเลีย นั่นเองที่เป็นคน กระทุ้งให้ ทาลิควอส หยุด ก่อนจะบินนำทั้งสามคนขึ้นไปยังยาน ไซเบอริก้าดราก้อน ที่มาจอดรอท่าอยู่แล้ว หลังจากนั้นจึงขับทะลุมิติ หนีออกมาได้ทันก่อนจะถูกกลืนไปกับมิติที่ล่มสลาย

……………..
………………………

“ ก็อย่างที่บอกน่ะล่ะนะ..ทีม ฮาร์ทไฟร์ เป็นกบฏ พวกเธอร่วมมือกับศัตรูช่วงชิง God Send ไปก่อนพวกเรา
ชั้นให้นายจัดการตามที่เห็นควรนะ อัศวินลำดับที่2 เฟนท์ นีโอเวล ”
โครโน่ กล่าว ต่อหน้า เฟนท์ ที่ยืนอยู่หน้าเค้า

“ รับทราบในฐานะอัศวิน ผมจะจัดการพวกกบฏ และนำเอา God Send กลับมาให้จงได้ ”
เฟนท์ กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเดินออกจากห้องไป

“ ตอนนี้ชั้นกลายเป็น อานิม่า แล้วตอนนี้ชั้นอำนาจจะสู้กับนายแล้ว เรกกะ
บาปที่นายฆ่า ไอ และทุกคนชั้นจะให้นายชดใช้ด้วยชีวิต ”
เฟนท์ คิด แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต พยาบาทขณะที่เดินออกจากห้องไป

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

“ การโจมตีครั้งก่อนๆนี้...ทางเราต้องขอโทษด้วย ”
ลำดับที่ 6 จุติ


“ ตอนนี้ชั้นจำได้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง..ใช่ชั้นฆ่าทุกคน ทั้ง ไอ ซาน เอมิล ไรด์ ทุกคนล้วนถูกชั้นทำลาย
และนายเองก็ด้วยเฟนท์ ชั้นจะทำลายนายด้วย ”

เรื่องราวที่เลือนหายไป

“ จำไว้ เรกกะ ชั้นไม่มีวันยกโทษให้นาย สักวัก นายจะต้องสังเวยให้กับคมดาบที่ชั้นจะเป็นผู้ใช้มันจบชีวิตนายเอง ”

เวลาที่จางหาย ความสับสนที่คลาดเคลื่อน อะไรคือต้นเหตุ หากปลายทางของการแก้แค้น
คือ โลหิตที่จะต้องหลั่งรดลงแผ่นดิน ก็จงใช้คมดาบนั้น ฝ่าไปด้วยความหวังสิ Thaliwilya

จงทำลายทุกสิ่งแล้วเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน หนทางปห่งการปฏิวัติอยู่ตรงหน้าแล้วจะเลือกทางใด



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga12 Ava-Trans
Post by: greamon on April 11, 2009, 07:22:14 PM
เอาล่ะขอมาสครีมต่อกันเลยเน้อ ขึ้นบทนี้มาอย่าพึ่งงนะว่าเราตกลงไป ไหนบทหนึ่งหรือเปล่าเพราะเดี๋ยวมันคงจะย้อนให้เอง ล่ะ(แหงสิไม่ย้อนจะรู้ม้ายว่าไหง เฟนท์ มันจะเปลี่ยนมาฆ่ามาแกงเจ้า เรกกะ ได้ขนาดนี้แล้วเจ้าเรกกะ ไปทำอีท่าไหนถึงได้ฆ่าดะขนาดนี้)

หลังจากที่บทก่อนๆนี้ค่อนข้างจะ เผางานไปหน่อยบทนี้เลยพยายามาแบบเรียบๆที่สุด
แต่ก็มาตกม้าตายตอนจบจนได้ มันเร่งง่ะ เอาเถอะว่าแล้วบทนี้ ในที่สุด Valkyrier ก็ออกกันครบซะที

แต่ภาพของ ของ หลงกับ ผิงเนี่ยยังไม่ได้แปะเลยเอ๊ะะหรือแปะแล้วจำไม่ค่อยได้ช่างมัน
ก่อนอื่นจะแจ้งเรื่องกำหนดการตอนพิเศษนะคร้าบ รอบนี้เป็น Text Drama น้อ คือจะมีแต่บทพูดของตัวละครไม่บรรยายนะ

อาจจะมีบรรยายเล็กๆน้อยๆเพื่อความเข้าใจ แต่บอกก่อนเน้อเนื้อเรื่องตอนพิเศษนี้สุดแสนจะรั่ว รั่วยังไงไปดูกันอีกทีเน้อ ว่าแต่ สามสาว Valkyrier รอบนี้เนี่ยพอมีแต่สาวๆแล้ว ค่อยเหมือนเป็นตัวแทนของ Valkyrie หน่อย
ว่าแต่ เรกกะ นายอยู่กลางดงฮาเร็มเลยนะนั่น

ถ้าเจอกันบทหน้านะคร้าบบ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga13 เบิกโรงนางเอก Show Off.
Post by: boy on April 11, 2009, 09:22:58 PM
The harem of recca  ::010::

ตกลง heartfile เป็นศัตรูกับฝ่ายพวกเฟนท์,เอมิลใช่มั้ยเนี่ย  ::006::

ปล.เพิ่งรู้ว่า Thaliquas เป็นผู้หญิง  ::003::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga13 เบิกโรงนางเอก Show Off.
Post by: cocka-c on April 12, 2009, 03:47:12 AM
Quote
The harem of recca 

นั่นสิ ฮาเรมจริงๆด้วย แฮะ เห็นด้วยเต็มๆ

Quote
ตกลง heartfile เป็นศัตรูกับฝ่ายพวกเฟนท์,เอมิลใช่มั้ยเนี่ย

จากที่อ่านดูแล้ว น่าจะยังไม่ใช่คิดว่า โครโน่ คงเข้าใจผิดกันไปเอง ล่ะมั้ง

แต่ที่น่าตกใจอีกอย่าง เนลโปลเลียน กลับมาได้ไง ::007::

จำได้ว่าตอนแทรกแซงบริทเทเเนอร์ มันโดนเสาเมเมนโต้ โมรี่ ถล่มทับตายคาวังไปแล้วไม่ใช่เรอะ
ไหงมายืนหน้าเอ๋อเหรอ อยู่แบบนี้แถมพูดถึงแผนการไรด้วย

แต่ยังไม่ช็อคเท่า เฟนท์ เปลี๋ยนไป๋  แง รุ่นพ่อยังสนิทกันซะจนตายแทนกันได้
กลมเกลียวเหนียวแน่นยิ่งกว่าตังเมเหยาะน้ำตาลอีก

ไหงรุ่นลูกจะฆ่าจะแกงกันซะแหล่ว ไอ้มุข เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดเนี่ย มีกันทุกภาคเลยนะเนี่ย




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga13 เบิกโรงนางเอก Show Off.
Post by: cocka-c on April 14, 2009, 06:17:55 PM
รอบนี้เกรม่อนคุงไม่ว่างเลยฝากเจ๊มาลงแทน

Saga 14 ขอโทษนะ….

ด้วยความช่วยเหลือของ เรกกะ God Send ชิ้นสุดท้าย วงแหวนแห่งการเวลา
ก็ได้ถูกปลดออกจากผนึกมาในที่สุด ขณะเดียวกัน เฟนท์ ที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ก็สาบานว่าจะฆ่า
เรกกะ ให้ได้หนทางที่จะก้าวสู่การปฏิวัติ อยู่ตรงหน้า หากเลือกที่จะเปลี่ยน ก็ต้องทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลังทำลายทุกอย่างไปจนหมด หรือหากไม่ ก็ต้องเดินต่อไปตามเส้นชะตา บัดนี้หนทางที่เค้าเลือกคือ….

…………………

“ เพราะงั้นนาย ถึงได้มาอยู่กับสามคนนี้ แล้วก็ช่วยกันไปเอา วงแหวนแห่งการเวลาออกมางั้นสินะ ”
R2 เปรยสีหน้าหน่ายๆหลังจากที่ฟังเรื่องราวจาก ปากของ เรกกะ

“ ก็นะ เราเล่าทุกอย่างไปแล้วทีนี้จะบอกได้ไหมว่าคุณเป็นใครน่ะ…ครับ ”
เรกกะ ถามเสียงแผ่วหน้าหงอๆ ด้วยความผวาอยู่ลึกๆ

“ นี่นายความจำเสื่อมขนาดนี้เลยหรือเนี่ย…แต่เอาเถอะบางทีลืมมันไปซะน่าจะดีกว่าล่ะนะ ”
R2 เปรยก่อนจะเมินหนีไม่ตอบคำถามของเค้า

“ นี่แล้วพวกเราจะเอายังไงดีล่ะ ”
ชารี่ ถามขึ้นกับกลุ่มของเธอที่ติดสอยห้อยตามขึ้นยานมาด้วย

“ ก็ต้องเอา God Send นี่กลับไปที่สำนักงานใหญ่น่ะสิ ”
ซิกนัม เอ่ยขึ้น

“ แล้วเราจะกลับไปยังไงล่ะ ยานก็พึ่งพังไปเพราะถูก เจ้ามังกรนั่น ยิงสายฟ้าใส่อ่า ”
เอลิต้า โวยวายขึ้นมา ขณะที่กลุ่มสาวๆยังหาทางออกกันไม่ได้นั้น เรกกะ ก็เดินออกจากกลุ่มไปเพื่อหาที่เงียบๆคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น  เค้าเดินมาสุดที่เก้าอี้ ซึ่งวางอยู่ข้างบานหน้าต่างของ ยาน

“ ทำไมกันนะพอพยายามจะนึกถึงเรื่องที่ลืมไป ใจเรามันก็รู้สึกเจ็บปวด
ขึ้นมาทันที ยิ่งพยายามจะขุดคุ้ยเท่าไหล่ก็ยิ่งทรมานมากเท่านั้น ”
เรกกะ คิดขณธที่ทอดสายตาเหม่อมองออกนอกหน้าต่างไปท้องฟ้ากว้าง
ก่อนที่ภาพตัวเค้าซึ่งเคยให้ แมกกี้ ช่วยพาบินเค้าบินไปได้อย่างอิสระ

 จะปรากกขึ้นในสายตาของเค้า
ทำให้เค้าสะดุ้งไป ทว่าเมื่อรู้สึกตัวภาพนั้นก็หายไปแล้ว เรกกะ
พยายามจะลืมมันแต่ก็ไม่อาจสลัดมันออกไปจากหัวได้

“ หะ… ”
เรกกะ สบถขึ้นก่อนที่ภาพบางอย่างจะหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเค้า
พร้อมกับเสียงต่างๆ ที่หูเค้าสัมผัสได้ทั้งที่ไม่มีใครในนี้ที่ส่งเสียง ไม่มีใคร ทีเค้าเห็นอยู่ในยานนี้
ร่างกายของเค้ารู้สึกราวกับไม่ได้อยู่ที่นี่

ที่ตรงหน้ามันเป็นภาพของ สมรภูมิ ทหารของแต่ละฝ่ายรบพุ่งกัน จนพินาศไปด้วยกัน
รอบตัวของเค้าอ้างว้าง ไม่มีสรรพเสียงใดแว่วเข้ามาในหูของเค้าหลังจากนี้เลย

เมื่อก้มลงดูที่มือของตน มันกลับชุ่มไปด้วยเลือด เค้าถึงกับผวาไปทันทีทว่าทันทีที่เค้าถอยผงะมานั้น
ที่ตัวของเค้าก็มีร่างหนึ่งตกลงมา เมื่อเค้าพลิกร่างนั้นขึ้นมา ก็พบว่า เป็น ซาน ที่เลือดท่วมตัว

ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่เพียงเท่านั้น ข้างๆ ก็ปรากฏ ศพ ของ เอมิล และ ไรด์
ขึ้นด้วย ในขณะนี้ เรกกะ เองก็เริ่มจะคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ เค้าโยนร่างของ ซาน ลง

ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีไป แต่ก็ต้องมาหยุดเมื่อได้เห็นร่างของ ไอ เดินเข้ามาหาด้วย
ร่างกายที่บอบช้ำทรุดโทรด เค้ากระพริบตาไปเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น ไอ ก็หายไปจากตรงหน้าของเค้าแล้ว

แต่กลับกลายเป็นว่า เธอกำลังถูกเค้าแทงเข้ากลางอก ด้วยคมดาบที่เปื้อนเลือด เรกกะ ผวาจนเผลอปล่อยมือ
ร่างของ ไอ จึงล้มลงไปแน่นิ่งจมกองเลือดบนพื้นไป เรกกะ จ้องตาค้างพลางถอยหนีดด้วยความ

กลัวสุดขีด ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไป เพื่อหนีออกจากที่นั่น ทว่าเค้าก็ต้องหยุดกึกไปอีก เมื่อ
คนมาขวางทางเค้าไว้ คือ เฟนท์ ที่ถือดาบมาสองเล่ม เฟนท์ ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ขณะที่ เรกกะ พยายาม

เดินถอยไปเรื่อยๆด้วยความระแวง แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ร่างของเค้าก็ถูก คมดาบของ เฟนท์ แทงลึกลงไป
ที่ท้องแล้ว เฟนท์ กระชากดาบทั้งสองเล่มออก  เรกกะ เอามือกุมบาดแผล ด้วยสีหน้าทรมานเค้ารู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอก

และหายใจไม่ออก ประสาทสัมผัสด้านชาไปหมดทั้งร่าง ก่อนจะล้มฟุบลงไปกับพื้น
 ความทรมานในตอนนี้เตือนให้เค้า
รู้ตัวว่ากำลังจะตาย เสี้ยววินาที นี้ราวกับตกนรกทั้งเป็น ร่างราวกับถูกคมมีดเฉือนไปมา ปอดขยายตัว

จนรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะฉีกขาด นี่คงเป็นความรู้สึกกลัวความตาย เรกกะ ยื่นมือ ออกไป
เพื่อจะให้ เฟนท์ ที่อยู่ตรงหน้าช่วย ทว่า เฟนท์ กลับเหยียบ มือของเค้าก่อนขยี้มันอย่างไม่ใยดี

“ เรกกะ ….เรกกะ….นี่เรกกะ  ”
R2 เรียก เรกกะ พลางเขย่าตัวเค้าที่นั่งตาค้างไปอยู่ตั้งเมื่อครู่ ต้องเรียกและเขย่าอยู่สองสามทีกว่าเค้าจะสึกตัว

“ ….อ..หะ….ที่นี่… ”
เรกกะ เปรย ภาพรอบตัวเค้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ความรู้สึกทรมานเมื่อครู่หายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

“ นายเป็นอะไรรึเปล่า ตั้งแต่ขึ้นมาเผลอทีไรนายเป็นเหม่อทุกที เรียกตั้งสามสี่ครั้งก็ไม่ยอมตอบ ”
R2 ถามด้วยความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ แต่เรกกะ ก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ ม..ไมเป็นไรหรอก…แค่รู้สึกเหนื่อยๆน่ะ ”
เรกกะ แย้งและแม้ R2 จะยังไม่ปักใจเชื่อในคำพูดของเค้านักแต่ก็ยอมถอยไปเพราะคิดว่าเค้าคงอยากได้เวลา
ทบทวนตัวเอง

“ เมื่อกี๊มันคืออะไรกัน…ภาพของคนพวกนั้นทำไมเราถึงได้รู้จึกเจ็บปวดกับคนที่เราไม่รู้จักนะแล้วก็คนที่ออกมาทำร้ายเรานั่น ทำไมตัวเราถึงรู้สึกโหยหา เหมือนกับเราหวังอะไรอยู่ลึกๆ กับเค้าคนนั้น ทำไมกัน…อา..นี่มันอะไรกันชั้น… ”
เรกกะ คิดอย่างหวาดวิตกกับมโนภาพที่ได้เห็น ก่อนที่เค้าจะรู้สึกวูบๆวาบๆ ที่สุดแล้วเค้าจึงฟุบลงไป
ทันที เสียงหน้าผากเค้ากระแทกเข้ากับกระจกหน้าต่าง ดังขึ้นก่อนร่างของเค้าจะล้มลงจากเก้าอี้

R2 แมกกี้ และสามสาว Valkyrier รีบพากันเข้ามาดูอาการของเค้าทันที

“ นี่เธอคนผมสีม่วงน่ะ…เอ่อ ซิกนัมใช่มะ ช่วยชั้นพยุงตัวเค้าที แล้วพวกเธอสองคนที่เหลือ ไปเอาเก้าอี้มาต่อ
กันจะได้ให้ เค้า นอนพัก แมกกี้ ไปที่ห้องเก็บของ เอาหมอนรองมา ”
 R2 กล่าวจบเธอ กับ ซิกนัมช่วยกันพยุงตัว ลอว์เรนซ์ ขึ้น
ส่วน ชารี่ กับ เอลิต้า ช่วยกันต่อเก้าอี้ทำเป็นเตียงชั่วคราวและ เจ้าลูกมังกร แมกกี้

นั้นไปหยิบหมอนรองหัวเข้ามาให้อีกที หลังจากพา เรกกะ ขึ้นไปนอนพักได้เสร็จ
ทุกคนก็พากันหมดแรงทั้งจากความตื่นเต้น และ ความลนลานก่อนหน้านี้

“ เรกกะ นายเป็นอะไรของนายนะ…. ”
R2 คิดขณะที่มองใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อของ เรกกะ ด้วยความกังวล

“ นี่ เอ่อ..คุณ… ”
ชารี่ เรียก เธอแต่ก็หยุดกึกไปเพราะไม่รู้ชื่อของเธอ


“ อาร์..ทู… ”
R2 เปล่งเสียงออกชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่หันไปมอง ชารี่ ด้วยสีหน้าหน่ายๆ

“ เอ่อ..คือคุณ R2 คะ คือ เรกกะ น่ะปกติเค้าเป็นคนยังไงหรือคะ ”
ชารี่ ถามขึ้น ทำให้ R2 สงสัยในคำถามของเธอ

“ ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ ”
R2 ถามย้อนด้วยความอยากรู้

“ ก็จากที่ฟังแล้ว เรกกะ บอกว่าเค้าสูญเสียงความทรงจำ ฉันก็เลยคิดว่าตัวเค้าในตอนนี้คงไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
แต่ดั้งเดิม อีกอย่างจากที่คุณ R2 เล่าให้ฟังเรื่องบุคลิคซ้อนนั้น… ”
ชารี่ ที่ยิงคำถามเป็นชุดหยุดกึกไปเมื่อ R2 ยกมือขึ้นปรามให้ฟังเธอก่อนจะถามต่อ

“ เรื่องบุคลิคซ้อนนั่นน่ะเป็นส่วนหนึ่งของพลังที่เค้ามี ส่วนร่างจิตดั้งเดิมที่แสดงอยู่ตอนนี้…
จะให้ว่ายังไงดีล่ะ สำหรับฉันๆว่าเค้าตอนนี้ดูปกติกว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำซะอีก ”
R2 เปรยก่อนจะหันไปมองหน้าของ เรกกะ

“ เอ๋นี่คุณจะบอกว่า ปกติเค้าบ้างั้นหรือคะ! ”
ชารี่ กล่าวเสียงหลงทันที

“ ก็นะ อาจจะบ้าก็ได้…ตายล่ะได้เวลาให้อาหารมังกรข้างล่างแล้วสิ…ฉันไปนะ ”
R2 ตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะยิ้มส่งๆ แล้วออกจากห้องไป

“ ฉันว่านายตอนที่เป็นแบบนี้คือตัวนายคนก่อนนะ…หรือไม่ใช่ล่ะ ”
R2 เปรยก่อนจะเดินลงบันไดไป โดยทิ้งเอาความรู้สึกเมื่อครู่ที่เธอพยายามอดกลั้นไม่แสดงออกไว้ทิ้งไป

………………….
…………………………….

“ Great of Dragon ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ลำแสงมังกรสีน้ำตาลได้พุ่งทะยาน ตรงเข้าไปหา
เนลโปลเลียน ที่ยืนอยู่ชั้นบนของ วิหาร ทว่าลำแสงก็สลายก่อนจะได้ทันถึงตัวของเขา

“ ได้ไงกัน ”
ลอว์เรนซ์ ในร่างอัศวินมังกรกายสีน้ำตาลรูปลักษณ์ ที่คล้ายกับ ทาโซรอส นี่คือร่าง
ทาโซรอส แห่งเมอริเซีย (Thasolos, the Dragoon of Thliwilya)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/14.jpg)

“ เจ้าคิดรึว่าลำพังตัวเจ้าจะหยุดแผนการนี้ได้ ”
เนลโปลเลียน กล่าวจบที่ข้างหน้าของเค้าห้วงแากาศเริ่มเกิดการ บิดเบี้ยวก่อนที่
สาเหตุการสลายของ ลำแสงจะโผล่ออกมา มันเป็นนักรบมารที่ สามารถพลางกายให้โปร่งใสได้

ลักษณะหัวของมันคล้ายกับมงกุฏ สองกุมด้ามดาบสีดำหันคมปักลงกับพื้นผ้าคลุมสีดำสนิทของมัน
โบกพลิ้วไปกับสายลม มารตนนี้คือมารนรก เฮลอาคูม่า (Hell Akuma)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n021/77.jpg)

“ เฮลอาคูม่า นี่แกผูกสัญญากับปีศาจไปแล้วงั้นเรอะ ”
ทาโซรอส สบถพลางตวัดดาบในมือด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“ พันธสัญญาของเรากำลังจะสัมฤทธิ์ผลไม่มีทางให้แกมาขัดขวางได้หรอก ”
เฮลอาคูม่า กล่าวเสียงของมันแหบแห้งและเย็นเยือกจับขั้วหัวใจ สิ้นคำ
นักรบมารติดปีก และนักรบหุ้มเกราะที่เคยออกมาโจมตี เค้าที่โรงเรียน
ทีนึงก็ปรากฏขึ้นพร้อมๆกันมากมายนับไม่ถ้วน

“ ชิ…มารฟ้า(Sky Akuma) มารดิน(Earth Akuma) มากันมืดฟ้ามัวดินเชียวนะพวกแก
…ชั้นเองก็ไม่ยอมให้พวกแกทำสำเร็จหรอก ”
ลอว์เรนซ์ ตะหวาดก่อนจะบุกขึ้นไปเพื่อไปให้ถึงตัวของ เนลโปลเลียน
ขณะที่กองทัพ อาคูม่า ล้อมเข้ามาเรื่อยๆ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n021/76.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n021/78.jpg)
……………….
………………………

“ ซาน…อย่าตายนะ…ซาน…ฮึก…อย่าทิ้งชั้นไปอีกคนเลยนะ ซาน ”
“ ไม่ว่า….จะเกิด…..ใหม่อีก….ซักกี่ครั้ง…ฉัน…ก็ยังจะ..คง..รัก..เธอ..เรก…..กะ… ”
“ ซาน…ไม่นะลืมตาขึ้นมาสิ..ซาน…ไม่นะ..ไม่~~~~~~ ”

เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิดก่อนที่ ทุกอย่างจะสว่างขึ้น ตอนนี้ ภายในห้องบังคับการมีเพียง เรกกะ
เท่านั้นที่ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ที่เอามาต่อกันรองนอนให้เขา เค้าหันไปรอบๆด้วยความมึนงง
เค้าลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบ ในใจก็พลางคิดถึงเสียงที่ได้ยินตอนหลับไปเมื่อครู่

“ เสียงนั่นคงเป็นอีกเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำของชั้นก็ได้ล่ะมัง…
แต่ทำไมกันพอคิดถึงเรื่องนี้แล้วมันทำให้รู้สึก…เศร้าอย่างบอกไม่ถูกเลย…ตัวตนของชั้นเป็นใครกันแน่นะ ”
เรกกะ คิดก่อนที่สายตาของเค้าจะเหลือบไปเห็น ลูกกลมซึ่งก็คือ God Send ที่ผนึกมาได้มันถูกวางทิ้งไว้
บนโต๊ะใกล้กับหน้าต่าง

“ บางทีเจ้า God Send นี่อาจจะช่วยเราได้ ถ้าไม่ผิด ชารี่ เคยบอกไว้ว่า.. ”
เรกกะ คิดขณะที่นึกย้อนึงคำพูดของ ชารี่ที่บอกกับเค้า ตอนวางแผนกันเข้าไปใน ซากโบราณสถาน

“ God Send แต่ละอย่างมีพลังที่แตกต่างกัน แต่ God Send ชิ้นที่เรากำลังจะไปเอากันนี่ว่า
กันว่าพลังของมันคือ….ความทรงจำ ”
คำพูดของ ชารี่ แว่วขึ้นในหัวของเค้าขึ้นมาทันที โดยไม่คิดอะไร เรกกะ หยิบเอา God Send ขึ้นมา
เก็บใส่กระเป๋าเสื้อ อย่างไม่คำนึงถึงอะไรเลย

“ บางทีชั้นอาจ จำอะไรได้บ้างถ้าเจ้าสิ่งนีจะช่วยได้ล่ะก็ขอยืมมันก่อนนะ ชารี่ …ทุกคน ”
เรกกะ คิดก่อนจะ เดินออกจากห้องไป ภายในยานไม่มีใครอยู่เลย แต่เสียง
เครื่องยนต์ยังคงดังก้องอยู่เรื่อยๆ ขณะที่ เรกกะ เดินลงบันไดไปตามทางจนมาถึงประตูยาน
เค้ายื่นมือไปกดปุ่มหมายเลขบนแผงควบคุมข้างประตู ไม่นานมันก็เปิดออก

“ ทำไมเราถึงรู้วิธีเปิดประตูนี่ได้ล่ะ ”
เรกกะ สงสัยไปชั่วขณะก่อนจะเดินผ่านประตูไปตอนนี้ยาน จอดอยู่บริเวณ ท่าเรือร้างแห่งหนึ่ง
ไกลออกไปไม่มากนัก มีสะพานที่ยื่นออกสู่อ่าว ซึ่งมีตลาดแผงลอยร้านค้าต่างๆ ตั้งยาวตลอดแนวสะพาน

ซึ่งนั่นก็คือ ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์ นั่นเอง เรกกะ เดิน  ออกมาจากยานก่อนจะเดินไปตามทางในท่าเรือร้าง
นี้จนเมื่ออกมาสู่ถนนได้ ภาพสถานที่และถนนแห่งนี้เหมือนกับมันอยู่ในใจเค้ามาตลอด เค้ารู้สึกได้ว่าตัวเค้ารู้

จักสถานที่แห่งนี้ เรกกะ ตัดสินใจเดินตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ เดินไปตามเส้นทางที่ใจเค้าร่ำร้อง
 เมื่อ รู้สึกตัวอีกที เค้าก็เข้ามาอยู่ในสนามของ โรงเรียน St. Magnus เสียแล้ว

“ ที่นี่มัน…. ”
เรกกะ เปรยขึ้นขณะที่มองไปรอบๆ แต่ก่อนที่เค้าจะได้ทันคิดสิ่งใดต่อ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเหนือหัวของเค้า
เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า และ R2 ที่เปลี่ยนร่างเป็นทาลิเลีย กำลังปะทะกับ
ใครบางคนอยู่ เค้าคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่เค้าเห็นในมโนภาพตอนอยู่บนยาน เฟนท์ นั่นเอง
ทว่าทั้งที่ช่วยกันรุมโจมตีแต่กลับเป็นฝ่ายถูก เฟนท์ ไล่ต้อนแทน

“ เปลี่ยนไปจากคราวก่อนเลยหมอนี่…ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เราจะเอาชนะได้เลย ”
 ทาลิเลีย สบถขณธที่ มองหาช่องจู่โจมไปเรื่อยๆแต่ไม่ว่าอย่างไร เฟนท์ ก็ไม่ยอมเปิดช่องว่างเลย
แม้แต่น้อย

“ ชารี่ สู้ระยะประชิดไม่ได้ผลแน่ เปลี่ยนเป็น เซเฟีย เถอะ ”
ซิกนัม หันไปบอก ชารี่ ที่ใช้ชุดเกราะรูปแบบอาวุธแส้ตอนที่ช่วย เรกกะ ออกจากโบราณสถาน
ส่วนตัว เธอก็เข้าไปรับการบุกของ เฟนท์ ที่กำลังจะมาถึง

“ ช่วยต้านไว้ทีนะ ซิกนัม ”
ชารี่ กล่าวขณะที่เธอ คืนรูปชุดเกราะกลับสูรูปแบแรก คือสูทสีขาวและกระเป๋าเหล็ก
กับอาวุธรูปจานสีฟ้า

“ Protection ”
สิ้นเสียงจาก สนับมือของ เฟนท์ ละอองอนุภาครอบๆก็รวมตัวกันเกราะ ขึ้นมารับการจู่โจมของ ซิกนัม ที่พุ่งเข้ามาจามด้วยขวานไว้อย่างง่ายดาย ก่อนที่ เฟนท์ จะถีบส่งเธอจนกระเด็น แล้วพุ่งเข้าไปหา ชารี่ ที่ไร้การป้องกัน

“ ว..ว้ายย ”
ชารี่ ร้องด้วยความผวาก่อนจะโยน จานในมือ ออกไปผลันจานได้หงายขึนพร้อมกับสร้างกำแพงป้องกัน
วงกลมขึ้นมาในอากาศโดยมีตัวจานเป็นแกน ป้องกันหมัดของ เฟนท์ ที่พุ่งเข้ามา ทว่าเพียงต่อยแค่ครั้งเดียว

โล่ก็ร้าวในทันที ก่อนที่ เฟนท์ จะต่อยครั้งที่ 2 เพื่อทลายเกราะเข้าไป ทาลิเลีย ก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง
ยันขาถีบ จน เฟนท์ กระเด็นออกห่าง ก่อนจะควงหอกในมือตั้งท่าเตรียมขว้างออกไป

“ ปิดบัญชีล่ะนะ Great of Dragon ”
ทาลิเลีย สบถพร้อมกับที่ ตัวหอกเริ่มมีพลังงานหมุนเวียนอยู่รอบๆ

“ Carnalian Gauntlet ”
สิ้นเสียง เพียงไม่กี่อึดใจ เฟนท์ ก็ย้ายมาอยู่ข้างหลังเธอแทนแล้วก่อนจะทุบลงไปด้วย สนับมือ
ที่บีบอัดอนุภาคเอาไว้ จนเกิดแรงระเบิด พัด ทาลิเลีย ปลิวกระเด็นลงมากระแทกกับพื้นสนามจนเป็นหลุม
ก่อนที่ เธอจะคืนร่างเป็น R2 ไปเลย


“ Zephyr Form ”
เสียงดังกังวาลึ้นมาจากด้านข้าง ซึ่ง ชารี่ ตอนนี้ หยิบเอาแท่งโลหะ สีเขียวขึ้นมาและกดปุ่มบนแท่งลงไปเป็นที่เรียบร้อย
ชุดและแท่ง โลหะ ได้เปลี่ยนรูปแบบของมัน ไปโดยปริยายในพริบตา

กลายเป็นชุดเกราะสีดำและโล่หัวไหล่สีเขียว สองข้าง แท่งโละหกลายเป็นด้ามไกของ หน้าไม้สีทองตัดลายสีเขียว
นี่คือรูปแบบสำหรับการจู่โจมระยะไกล เซเฟีย (Chary, Grace Zephyr Form)

(http://images.temppic.com/14-04-2009/images_vertis/1239692997_0.30551100.jpg)

“ ระยะใกล้ขนาดนี้เธอจะยิงได้งั้นเหรอ ”
เฟนท์ เปรยก่อนจะเกร็งหมัดแน่นเพื่อสั่งให้ สนับมือรวบรวมละอองอนุภาค อิออน มารวมไว้

“ Carnalian Gauntlet ”
สิ้นเสียงจากสนับมือ ก่อนที่ เฟนท์ จะได้ทันทุบ ชารี่ ด้วยสนับมือที่ชุ่มไปด้วยอนุภาคบีบอัด
ซิกนัม ก็เหวี่ยงขวานเข้ามาซะก่อน ทำให้ เค้าต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปปัดป้องขวานออกแทน
ชารี่ จึงถือโอกาส ถอยห่างออกมาก่อนจะ เล็งหน้าไม้ใส่

“ Golden Feather ”
เสียงดังกระหึ่มออกมาจาก หน้าไม้ก่อนที่ ชารี่ จะลั่นไกยิง ลำแสงอนุภาคบีบอัด จนมีรูปร่างคล้ายขนนก
พุ่งกระจายออกไป นับสิบ

“ Protection ”
เฟนท์ สร้างโล่ป้องกันขึ้นก่อนจะ ทะยานฝ่าห่ากระสุนที่ยิงมาเข้าไปใกล้ จนประชิดตัว
ชารี่ ได้แต่เธอก็ยก หน้าไม้ กันหมัดของ เฟนท์ ที่ตรงเข้ามา เนื่องจากต้องสร้างโล่ป้องกันไปด้วยทำให้

สนับมือไม่มีอนุภาคแรงพอที่จะโจมตี และก่อนจะได้ทันออกหมัดชุดต่อไป ซิกนัม ก็เข้ามาเหวี่ยงขวานใส่ไปมา
จนเค้าต้องถอยผละออกมา เปิดโอกาส ให้ ชารี่ ยิงสวนกลับไปอีกครั้ง

“ นี่มันอะไร ทำไมถึงได้สู้กันล่ะ แล้วเค้าคนนั้นเป็นใครกัน ”
เรกกะ ยิงคำถามใส่ เอลิต้า ที่กำลังดูอาการ R2 อยู่แต่เธอยังไม่ตอบใดๆทั้งนั้น
หลังจากดูสภาพของ R2 เรียบร้อยแล้วเธอจึง ยกคฑาช่อดอกไม้ในมือขึ้น รวมสมาธิ

“ Krustalles Rod ”
สิ้นเสียง ละอองอนุภาคสีขาวก็ถูกโปรยลงมาจาก ช่อดอกไม้ที่ คฑา ทันทีที่ละองสัมผัสถูกร่างของ R2
บาดแผลและรอยฟกช้ำดำเขียวก็หายไปในพริบตา ทันทีที่การักษาสิ้นสุด เอลิต้า ก็ล้มตัวลงด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga13 เบิกโรงนางเอก Show Off.
Post by: cocka-c on April 14, 2009, 06:18:16 PM
“ อยู…นี่มันรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย ”
R2 ที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เปรยพลางเอามือกุมหัว

“ รอบที่สามแล้วค่า จะหมดแรงแล้วด้วย แง..ทำไมคุณ เฟนท์ ถึงต้องจัดการพวกเราด้วย ”
เอลิต้า ร้องโวยวายงอแงแบบเด็กๆขึ้นมาทันที

“ นี่มันเรื่องอะไรกันบอกผมทีสิงงไปหมดแล้ว ”
เรกกะ หันมาถาม R2 แทนเพราะดูจะได้เรื่องกว่า เอลิต้า

“ อ้าว..นี่นายลุกไหวแล้วเหรอว่าแต่…ไหงมาถูกทางเนี่ยความจำนายฟื้นแล้วเรอะ ”
R2 ถามด้วยสีหน้างุนงง

“ ความจำผมยังไม่กลับมาหรอกว่าแต่นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
เรกกะ แย้งไปก่อนจะดึงให้เธอตอบคำถามของเขาก่อน

“ คือ…พกเราลงจากยานมาที่โรงเรียนของนาย เผื่อจะมีวิธีทำให้นายฟื้นความจำได้ แต่ว่าคนที่มารอเราอยู่น่ะ ”
R2 เล่าพลางชี้นิ้วไปที่ เฟนท์ ที่กำลังสู้อยู่บนท้องฟ้า

“ หมอนั่นมาดักรอเราพอเจอก็ไม่พูดไม่จาเข้ามาซัดลูกเดียวเลย แล้วก็หาว่ายัยพวกนี้เป็น กบฏ บลา บลา
อะไรของมันเนี่ยแหล่ะพูดไม่รู้ฟังซักประโยค  ”
R2 เล่าไปบ่นไปพลาง ขณะที่ ด้านบน เฟนท์ ซึ่งกำลังรับมือกับการโจมตีของ ชารี่ และซิกนัม
ก็เหลือบไปเห็น เรกกะ ด้านล่างขึ้นมา

“ ห๊ะ…เรกกะ …นี่แก.. ”
เฟนท์ คิดอย่างขุ่นเคืองก่อนจะ สลัดการโจมตีของ ชารี่ แล้วหนีลงไปหา เรกกะ แทน

“ Geo Driver ”
สิ้นเสียง เฟนท์ ก็พุ่งลงมา ง้างกำปั้นหมายจะทุก เรกกะ ให้จมดิน ทว่า R2 ก็จูงลาก เรกกะ กับ เอลิต้า
หลบออกมาได้ทัน ทำให้การโจมตีพลาดเป้าไปแต่แรงกระแทกของการโจมตีก็ส่งผลให้ พื้นบริเวณรอบๆ
ยกตัวขึ้นจนพังเละเป็นแถบ ส่งผลให้ควันฝุ่นพุ่งตลบอบอวลไปทั่ว

“ แค่กๆๆ…นี่มันอะไรกันเนี่ย ”
เรกกะ บ่นไปสำลักไป ขณะที่มองหาคนอื่นๆในกลุ่มควัน ทว่ารอบๆเค้ากลับมีแต่เศษกองหินที่พุ่งกระจุยขึ้นมาจากพื้น
เท่านั้นจนทำเอาเดินไปไหนมาไหนไม่สะดวก

“ Ava-Trans ”
เสียงดังกังวานแว่วก้องมาจากด้านหลังแผ่นหินขนาดใหญ่ ทำให้เค้าเริ่มระแวงเพราะหลัง
จากนั้นมีเสียงระเบิดและต่อสู้ แว่วตามมาด้วยก่อนจะกลายเป็นความเงียบไป

ตูมมมมมมมมมมมม!

ไม่กี่อึดใจต่อมาหลังเสียงระเบิด แผ่นหินขนาดหใญก็ถูกป่นกระจุยในพริบตา ก่อนจะเกิดแรง
ลมมหาศาลพัดออกมารอบๆจน ฝุ่นหินถูกพัดกระจายออกไปจนหมด ร่างที่เผยขึ้นต่อสายตาของเค้า
คือ เฟนท์ ที่อยู่ในร่างของ Valklyrie เจอรัลดีน ซึ่งถือแท่งพลองเรืองแสงไว้สองอัน

“ ชั้นจะฆ่านายแน่ หลังจากที่ประหารพวกกบฏนี่แล้ว ”
เฟนท์ กล่าวพลางตวัดพลองชี้ไปที่ สามสาวซึ่งถูกเค้าจัดการจนหมอบศิโลราบ
แนบกับพื้น ส่วน R2 นั้นนอนห้อยแขนไม่ได้สติอยู่บนแผ่นหินข้างๆ

“ ย..อย่านะสามคนนั่นไม่ได้ทำอะไรซักหน่อยมาหาว่าเป็ยกบฎอะไรกัน ”
เรกกะ ย้อนถามไปก่อนเพื่อที่จะถ่วงเวลา เฟนท์ ในการฆ่าทั้งสามคนขณะที่มือขวาเอื้อมไปแตะ
ตลับไพ่ ดดยใช้แนวหินบังลำตัวช่วงล่างเอาไว้

“ นายอยากรู้งั้นเหรอ…ชั้นจะตอบให้ก็ได้ นายกับทีม ฮาร์ทไฟร์ ร่วมมือกันขโมยเอา God Send ออกมาก่อนที่
พวกเราจะทำการเข้าไปเก็บกู้ ยังไงล่ะ ”
เฟนท์ ตอบ ทันทีที่ เรกกะ ได้ฟังคำตอบเค้าจึรู้ว่านี่เป็นการเข้าใจผิดในเจตนาของพวกเค้า

“ ชั้นไม่รู้หรอกนะว่านายจะมาขวางการรวบรวมของเราทำไม แต่ชั้นไม่ยอมให้นายมาขวางแน่ ”
เฟนท์ กล่าวแม้เกราะหมวกจะปิดบังสายตาที่ เกรี้ยวกราดนั้นเอาไว้ แต่ เรกกะ ก็ยังรับรู้ได้ว่า
ตอนนี้ อีกฝ่ายกำลังกระทำทุกสิ่งโดยมีความเคียดแค้น เป็นแรงผลักอย่างเห็นได้ชัด

“ เดี๋ยวก่อนนายเข้าใจผิดแล้วพวกเราไม่ได้แย่งตัดหน้านายหรอก…สามคนนั่นก็ไม่ได้ทรยศด้วย
ชั้นแค่ช่วยพวกเค้าเข้าไปเอามันออกมาเพื่อให้พวกเธอเอากลับไป… ”
เรกกะ พยายามจะอธิบายทว่า เฟนท์ กลับไปยอมฟังที่เค้าพูดให้จบแล้วแย้งขึ้นมาทันที

“ คิดว่าชั้นจะเชื่อลมปากของนายหรือไง…เพื่อนที่โกหกหลอกลวงแบบนายมันแย่ที่สุด…นายหักหลังชั้นมาตลอด ”
เฟนท์ แย้งขึ้นน้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะ ที่พร้อมจะอาละวาดโดยไม่ฟังใคร ทว่า เรกกะ ก็ยกเอา God Send ขึ้นมา
แสดงต่อหน้า ทำให้ เฟนท์ เงียบไป

“ ตัวชั้นจำไม่ได้หรอกนะว่าเคยทำอะไรให้นายไป…แต่ตอนนี้ที่ชั้นพูดเป็นความจริงเชื่อชั้นเถอะ…อย่างน้อย
ก็เชื่อในตัวสามคนนั่น เค้าเป็นพวกของนายไม่ใช่รึไง ”
เรกกะ กล่าวในใจก็ภาวนาขอให้อีกฝ่ายยอมเชื่อที่เค้าพูด

“ แบบนี้มันยอมแพ้กันชัดๆเลยไม่เอาด้วยหรอก…ถ้าเกะกะนักั้นจะกำจัดให้เอง เรกกะ น่ะถอยไปเลย ”
เสียงของ ทาไนซ ดังขึ้นก่อนจะชิงสิงเข้าร่างเค้าทันที

“ อย่านะ…เราเจรจากันอยู่อย่าสู้นะ ”
เรกกะ พยายามจะแย้งแต่ว่าสายไปเสียแล้ว เค้าไม่อาจ แทรกเข้าไปได้แล้วตอนนี้
เพราะ ทาไนซ วางไพ่ที่หยิบออกมาลงไปบนหน้าปัดแล้ว ตอนนี้ไพ่ที่เหลือคือ 33 ใบจาก 34 ใบ

“ Terror Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นเสียง เรกกะ ก็เปลี่ยนร่างเป็น ทาไนซ ในที่สุด

“ ว่าแล้วเชียวคนอย่างนายนี่มัน ”
เฟนท์ สบถก่อนจะรีบตั้งท่าสู้ทันที ทว่าเพียงพริบตา ทาไนซ ก็เข้ามาอยู่ด้านหลังเค้าเสียแล้ว
ก่อนที่จะคอเค้าด้วยสันดาปที่ไม่มีคม

“ ฮ่าๆ อย่างนายน่ะทรมาให้มดแรงก่อนแล้วค่อยจัดการน่ะสนุกจะตายไป ”
ทาไนซ กล่าวพลาออกแรงรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“ อ่อก นี่แก…สกปรก…ที่…สุด ”
เฟนท์ สบถขณะที่เริ่มหายใจติดๆขัดๆ

“ เฮ้ยเจ้าเด็กผี พอแล้วน่าแบบนี้มันเกินไปแล้ว ”
ทาลิคนัส เริ่มที่จะแย้งขึ้นมาทันที

“ ไร้เกรียติมากเลยนะการกระทำแบบนี้ ”
ทาลูคัส แย้งบ้างด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ


“ เฮ้ เจ้าหนูฟังกันหน่อยสิ ดื้อจริงๆ ”
ทาลิควอส เริ่มติเตือน

“ คร่อกก…ฟี้ ”
ทาโซรอส นั้นยังคงเอาแต่หลับอยู่

“ อ้าวเฮ้ยเจ้าหมีถึก เอาแต่นอนอยู่ได้มาช่วยกัน ห้ามไอ้เด็กเวรนี่ทีสิว้อย ”
ทาลิคนัส เห็น ทาโซรอส ยังกรนอยู่ เลยเรียกให้ตื่นมาช่วยกันแต่ ทาโซรอส ก็ยังคงงีบหลับอยู่ดี


“ อย่านะ..แบบนี้มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลยนะ…หยุดนะ ทาไนซ แบบนี้มันโกงกันนี่นา ”
เรกกะ แย้งขึ้นมาสุดเสียงเพื่อจะให้ ทาไนซ หยุด

“ ขี้โกงแบบนี้ไม่ดีนะ ทาไนซ ต้องทำให้มันถูกกิจลักษณะ ” (สู้ยังไงให้ถูกสุขอนามัยหว่า งง)
เสียงอื่นนอกจากพวกเค้าดังขึ้นมา อย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่ ทาไนซ จะหลุดจากการควบคุมร่างไป
ดาบ Nox et Dragos สลายไป ทำให้ เฟนท์ หลุดจากวงรัดและถอยออกไปตั้งหลักใหม่ทันที กับที่ เรกกะ กลับคืนร่าง
ก่อนจะดึงเอาไพ่ขึ้นมา ซึ่งตอนนี้มีที่เหลืออยู่ในตลับเพียงแค่ 32 ใบแล้ว

“ Vortex Form ”
เสียงดังขึ้นจากหน้าปัดนาฬิกา พร้อมกับที่ดวงตาซ้ายของ เรกกะ เปลี่ยนเป็น สีเขียว

“ พลังนั่น…. ”
เฟนท์ เปรยขึ้นขณะที่ เรกกะ เอื้อมมือไปกดไพ่ลงบนหน้าปัด

“ Regeneration ”
สิ้นเสียง ก็เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้าขึ้นมาจาก หน้าปัดอาบคลุมร่างของ  เรกกะ ไว้ก่อนจะสลายกระจายตัวออก
เผยให้เห็นร่างของ อัศวินมังกรกายสีเขียวปรากฏตัวขึ้น

“ คราวนี้เป็น ทาเวนทอส เหรอ..เท่านี้ก็ครบแล้วสินะ อัศวินมังกรทั้ง 6 แห่ง อาริมาเทีย ”
R2 เปรยทันทีที่ได้เห็นร่างของ ทาเวนทอส(Thaventos, Arimathea’s Dragoon of  Thaliwilya)
ร่างอัศวินตนใหม่ของ เรกกะ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/5.jpg)

“ พลังนั่น….พลังของเทพเจ้าเมื่อมันอยู่ในมือนายก็ไม่ต่างไปจากพลังของปีศาจเลย..นายใช้มันพรากชีวิตทุกๆคนไป ”
เฟนท์ กล่าวพร้อมตวัดพลองในมือข้างขวาชี้ไปที่ ทาเวนทอส

“ ขอโทษ…. ”
ทาเวนทอส เปรยขึ้น ทำเอา เฟนท์ และทุกคนรอบๆหยุดกึกกันไปเลยทีเดียว

“ การโจมตีครั้งก่อนๆนี้...ทางเราต้องขอโทษด้วย ”
ทาเวนทอส กล่าวพร้อมกับโต้งตัวคำนับ ด้วยท่าทีนอบน้อม ทำเอา R2 กับสามสาว Valkyrier
เซเสียหลักกันไม่เป็นท่า

“ เอ่อ คือคุณ R2 คะ เรกกะ นี่เค้าไม่สมบรูณ์ทางพันธกรรมหรือว่าสมองมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะเนี่ย ”
ชารี่หันมาถาม R2 ด้วยท่าทีประหลาดใจแบบหน่ายๆบวกกับความสงสัย

“ อย่าปสนเรื่องเล็กๆน้อยๆ แบบนั้นเลยจะดีกว่ามันจะทำให้เธอปวดหัวเอาเปล่าๆ ”
R2 ตัดบทไปด้วยการบอกให้เธอเลิกสนใจเรื่องบุคลิคของ เรกกะ

“ เจ้าบ้า จะไปขอโทษศัตรูทำไมเล่า ”
ทาลิคนัส โวยวายขึ้นทันที

“ แหมๆ…ขอโทษหน้าตาเฉยแบบนี้เป็นมุขที่นึกไม่ถึงจริงๆแหะ ”
ทาลิควอส เปรยขึ้นบ้าง

“ ถ้าทำผิดแล้วมันก็ต้องขอโทษเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่เร้อ ”
ทาโซรอส แย้งเสียงเรียบ

“ ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริงนะ….เฮ้ยเดี๋ยวสิไม่ใช่ซักหน่อย มีใครที่ไหนเค้ามาขอโทษศัตรูกันวะ ”
ทาลิคนัส ทำทีเหมือนจะเห็นด้วยก่อนจะรู้ตัวแล้วหันมาแก้ต่างทันที

“ เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะว่าแต่เรา ออกไปยืดเส้น ยืดสายเสียบ้างแล้วล่ะอยู่แต่ในนี้มันอึดอัดยังไงไก็ไม่รู้ ”
ทาลูคัส บ่นขึ้นมาบ้าง

“ งอนแล้วด้วย…มาผลักรัดคิวกันแบบนี้อ่ะ ”
ทาไนซ สบถเสียงหงอ ด้วยอารมณ์บูดบึ้ง

“ ชั้นไม่รู้หรอกนะว่านายจะมาไม้ไหนน่ะ เรกกะ ยังไงชั้นก็ต้องจัดการสามคนนั่นตามหน้าที่อยู่ดี ”
เฟนท์ กล่าวพลางประกบพลองทั้งสองเข้าด้วยกัน ก่อนจะเปลี่ยนรูปพลองยาวเป็น
พลอง คาร์เนเลี่ยน

“ เรามาพูดกันดีๆจะไม่ดีกว่าเหรอ ”  “ Ventus et Dragos ”
ทาเวนทอส กล่าวพร้อมกับที่เสียงก้องกังวานขึ้นจากมวแสงสีเขียว ที่มือขวา ก่อนมันจะเปลี่ยนรูปเป็น
ดาบสั้นสีเขียวอมดำมีผลึกศิลามังกรฝังอยู่ตรงโคนดาบเช่น อาวุธของ ร่างอื่นๆทุกเล่ม
หากแต่เค้ากลับถือมันหันปลายดาบลง แทนที่จะหันขึ้น

“ อย่ามาเล่นลิ้น…กับชั้นนะ ”
สิ้นเสียง เฟนท์ ก็หายไปจากตรงหน้าก่อนจะอ้อมมาด้านหลังโดยที่ ทาเวนทอส ไม่รู้ตัว

“ เช่นนั้นแล้วคงเลี่ยงไม่ได้จริงๆขอโทษด้วยอีกครั้ง ”
สิ้นเสียง ทาเวนทอส ก็หายวับไปทันที แต่ปฏิกิริยารับรู้ของ เฟนท์ ที่เพิ่มขึ้นจากการ Avas-Trans ทำให้เค้า
พอจะจับการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของ ทาเวนทอส ได้เค้าจึงรับ คมดาบของ ทาเวนทอส ที่

พุ่งเข้าหาต้นคอของเค้าได้ทัน ก่อนมันจะเฉือนคอเค้าไป ไม่ทันไร ทั้งคู่ก็ผละตัวออกจาก
กันก่อนจะทะยานเข้าประดาบกันอย่างรวดเร็วจนเห็นแสงวูบวาบช่วงที่ ดาบปะทะกับพลอง

“ Full Charge Great of Dragon ”
สิ้นเสียงพร้อมกับที่ ไพ่ของ ทาเวนทอสถูกกลืนลงไปในดาบจนคมดาบเปล่งแสง
ในช่วงจังหวะนี้ทั้งสองก็ยังคง ผลัดกันออกกระบวนท่าประชันเชิงดาบกันต่อไปด้วยโดยไม่ลด
หย่อนความเร็วลงกันเลยแม้แต่น้อย 



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga13 เบิกโรงนางเอก Show Off.
Post by: cocka-c on April 14, 2009, 06:18:28 PM
“ โห.. ”
R2 กับ สามสาว เปรยขึ้นด้วยความทึ่งในพลังของทั้งสอง
ขณะเดียว กันลูกมังกรลม ดิมมิเนียล (Dimminuial, Arimathea’s Baby Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/11.jpg)

ที่บินออกมาจาก ยานไซเบอริก้าตามสัญญาณการเรียกใช้ของ ทาเวนทอส ก็พึ่งจะมาถึง
ก่อนที่ มันจะเปลี่ยนร่างเป็น มังกรสายลม ดิมมินูวเลี่ยน (Dimminuialion, Arimathea’s Wind Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/17.jpg)

“ ได้เวลาตัดสินแล้ว.. ”
ทาเวนทอส เปรยก่อนจะถอยออกห่างจากรัศมีการจู่โจมของ เฟนท์ แล้วเข้าไปใกล้
ดิมมินูวเลี่ยน ขณะเดียวกัน เฟนท์ ก็หยุดด้วยเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย

“ คิดจะหนีไปด้วยเจ้านั่นรึไง ”
เฟนท์ ถามลองเชิงด้วยความสงสัย

“ ไม่หรอกชั้นไม่ทำอะไรที่เสียมารายาทแบบนั้นหรอก เรกกะ เองก็คงคิดยังงั้นด้วยเน้อ ”
ทาเวนทอส ตอบเสียงใส เหมือนพูดเล่นอยู่กับเพื่อนมากกว่าศัตรู

“ อ…เอ่อ ก็คงยังงั้น..ล่ะมั้ง ”
เรกกะ เองก็พลอยเขินตะหงิดๆไปด้วย

“ อะไรของนาย…ชั้นไม่สนแล้ว่าจะมาไม้ไหน ยังชั้นก็ต้องจัดการนายให้ได้ ”
เฟนท์ กล่าวพลางพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

“ ตอนนี้ล่ะ ปลดปล่อยเลย ”
ทาเวนทอส กล่าวกับ ดิมมินูวเลี่ยน ก่อนที่มันกระพือปีกสร้างแรงลม ออกมา
นี่คือท่าวิชา Flying Flare ที่จะสร้างแรงอัดลมกระจายไปที่เป้าหมาย

ทว่าแรงลมนั้นกลับถูกอนุภาคของ เฟนท์ หักเหออกจากเส้นทาง ทำให้เค้าพุ่งผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
และทันทีที่ พลองของ เฟนท์ จะเข้าถึงตัวของ ทาเวนทอส ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของ
R2 และสามสาวด้านล่าง เค้ากลับหยุดเอาเสียดื้อๆ

“ ย..หยุดแล้ว ”
ทุกคนด้านล่างเปรยขึ้น ด้วยความตกตะลึงความตื่นเต้นระทึกใจเมื่อครู่หายวับไปกลายเป็นความ
ประหลาดใจตะลึงตา แทนเมื่อ เกราะของ เฟนท์ เกิดรอยร้าวขึ้น และมีเลือดอาบซึมออกมา
ด้วย

“ ยังไงก็ต้องหยุดล่ะนะ…เพราะถ้าขืนเค้ายังเข้าใกล้มามากกว่านี้….คงได้หลุดเป็นชิ้นแล้วก็จะถูก
Ether Strike ของ ดิมมินูวเลี่ยนที่พัฒนาเป็น ดิมมินูวลิอ้อน(Dimminuialions, the High Sky Dragon)
เป่าจนสลายเป็นผงไปเลยล่ะ ”

R2 บรรยายขณะที่ ทั้งสามสาวเริ่มจะสังเกตว่า ระยะทางที่ เฟนท์ พุ่งผ่านมานั้น มีคลื่นลมสลาตัน
วางขวางอยู่เป็นเส้นตีขวางตัดกันไปตัดกันมา ซึ่งดูเหมือนกับเป็นร่องรอยจากการ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/23.jpg)

ประชันดาบกันของทั้งคู่ และที่มือของ ทาเวนทอส ตอนนี้ก็ถือไพ่เพิ่มเป็นสามใบ
ซึ่งมันเรืองแสงอยู่ ขณะเดียวกันมังกรที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็หาใช่ ดิมินูวเลี่ยนที่จู่โจมออกไปเมื่อครู่ไม่
หากแต่มันได้พัฒนาร่างไปสู่อีกขั้นเป็น ดิมมินูวลิอ้อน มังกรแห่งฟากฟ้า

“ คลื่นลมที่เกิดจาก คมดาบถูกครั้งที่มันลู่กับ อากาศจะเกิดช่องว่างเป็นห้วงอากาศในบริเวณนั้นและหาก
เป่ามันด้วยลมที่มีความรุนแรง ห้วงอากาศที่ เกิดขึ้นก็จะดูดซับลมนั้นไว้และผันผวนกลายเป็นคมมีดสลาตัน
ที่พร้อมจะเฉือนทุกอย่าง ”
ทาเวนทอส อธิบายถึงสิ่งที่เกิด ขึ้นขณะที่ไพ่ถูกกลืนลงไปในศิลาทีละใบ

“ ที่ลมนั่นพัดชั้นไม่ไปไม่ใช่เพราะมัน เบาเกินไปแต่มันถูกทอนพลังไปเป็นการจู่โจม ทางอ้อม
และผ่าเกราะอนุภาคที่กางไว้รอบๆเข้ามา โดยที่ไม่ได้กระจายแรงทำลายไปที่ทุกส่วน
ของเกราะเกราะจึงไม่แตกในทีเดียว แต่การโจมตีจะทะลุเกราะเข้ามาที่ตัวชั้นโดยตรง…สินะ.. ”

เฟนท์ กล่าวตอบที่เหลือแทน ซึ่ง ทาเวนทอส ก็ผงกหัวรับ

“ งั้นที่ ดาบเปล่งแสงอยู่ก่อนนั่นก็ไม่ใช่ การเพิ่มพลังให้กับการโจมตีของดาบในช่วง
ที่รอมังกรประจำตัวแต่เป็นการเตรียม การจู่โจมให้พร้อมก่อนที่มังกรจะมาถึง…อย่างนั้นสินะ ”
R2 แจงต่อให้เสร็จสรรพ

“ ใช่แล้วก็อย่างที่ว่า…ขอโทษด้วยที่ทางเราไม่ได้บอกก่อน ”
ทาเวนทอส กล่าวก่อนจะโค้งตัวขออภัยอีกรอบ ทำเอาข้างล่าง
เซเสียหลักกันไปอีกรอบกับความไม่เอาแน่ไม่เอานอน ของ บุคลิคนี้

“ นี่นายฉัน ว่าจะไม่พูดแล้วนะ แต่ขอเถอะอย่าไปขอโทษศัตรูจะได้ม้ายยย ”
R2 ตะโกนอย่างเสียอารมณ์ ความรู้สึกทึค่งในฝีมือการต้อสู้ของ ทาเวนทอส เมื่อครู่นั้น
จางสลายไปจากใจของ สามสาวในพริบตาที่ คำขอโทษออกจากปากของ ทาเวนทอส

“ จะมา…ขอโทษทำบ้าอะไรของ..นาย..ชั้น..อั่ก..ไม่รู้ด้วยหรอกเฟ้ย… ”
เฟนท์ กล่าวไปสำลักไป ก่อนที่เลือดจะซึมออกมาจาก ร่องเกราะส่วนปากซึ่งหมายถึงเค้ากำลังกระอักเลือดอยู่นั่นเอง
ทว่า ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือทั้งที่อยู่ในสภาพปางตายแบบนี้ แต่ระดับความกดของพลังงานที่

ปล่อยออกมานั้นแทบจะไม่ลดลงแม้แต่น้อย สังเกตุได้จากละออง อนุภาคที่เริ่มมารวมตัวกัน
มากมาย ละอองทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ที่ ปลายพลองเป็นมวลก้อนพลังงานที่ขยายขนาดของตัวมันเองขึ้นเรื่อยๆ

“ ถ..ถ้ายิงในระยะขนาดนี้ล่ะก็.. ”
ทาเวนทอส เผยอกับการตัดสินใจของ เฟนท์

“ ใช่แล้ว…ถ้ายิง…ในระยะนี้…ทั้งนาย..ทั้ง..ชั้น..อย่างน้อย..ชั้นก็จะ…ลากนายไปด้วย ”
เฟนท์ สบถโดยเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าแรงสะท้อนของการโจมตีนี้จะ ทำลายตัวเค้าไปด้วย

“ ไม่ได้การ ดิมมินูวลิอ้อน เป่าด้วย Ether Strike ซะ ”
ทาเวนทอส หันไปสั่งให้ ดิมมินูวลิอ้อน โจมตีทันทีเพื่อผลักให้พวกเค้าแยกพ้นรัศมี
ที่พลังทำลายจะสะท้อนใส่ตัวพวกเค้า

ทันทีที่ ดิมมินูวเลี่ยน เริ่มกระพือปีก มวลแสงของ เฟนท์ ก็ขยายขึ้นจนถึงขีดสุด
ไปพร้อมๆกัน

“ Charge and Up Great of Dragon ”
“ Geo Javelin ”
สิ้นเสียง ลำแสงอนุภาคบีบอัดพลังสูง ก็ถูกยิงออกมาจากมวลพลังงานของ เฟนท์
พร้อมๆกับที่ลมพายุสลาตันถูกสร้างขึ้นจากปีกอันทรงพลังของ ดิมมินูวเลี่ยน

ปนมากับ ลำแสงมังกรสีเขียวที่ พุ่งออกมาจากคมดาบของ ทาเวนทอส
การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกันตรงๆในระยะประชิดยังผลให้การโจมตี

หักเหและสะท้อนเข้าหากันเองจน ทั้งคู่กระเด็นไป ตามแรงกระทำย้อนกลับของ
การปะทะทว่ากลับมีลำแสงพลังงานบางส่วนของ เฟนท์ ที่หลุดออกนอกรัศมีการปะทะ
กระเด็นลงมา ที่ ชารี่

“ ชารี่… ”
เอลิต้า ร้องผวาพลางชี้ไปที่ ชารี่ ที่ยังอยู่ในวิถีของ ลำแสง

“ หนีเร็ว ”
ซิกนัม ตะโกน

“ ไม่ทันแล้ว..ขามันก้าวไม่ออกอ่ะ..ตายแน่เรา ”
ชารี่ เผยอ ตาเบิกกว้างด้วยความกลัว ขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาทว่า
ทาเวนทอส กลับพุ่งเข้ามากอดเธอไว้พร้อมเอาร่างเป็นเกราะกำบังแก่เธอ

“ …เรกกะ..นาย… ”
เฟนท์ เปรยเมื่อได้เห็นการกระทำของ ทาเวนทอส ที่เข้าไปปกป้อง ชารี่

“ ทำไงดี…ต้องหาทางทำอะไรเข้าซักอย่าง…แปลงร่างเหรอ..ไม่ได้ไม่ทันแน่…ทำไงดีไม่มีวิธีเลยงั้นรึเดี๋ยวนี่มัน ”
ช่วงเสี้ยววินาที ชี้เป็นชี้ตายนี้ R2 ที่คิดหาทางแก้ไขก็เหลือบไปเห็น ลูกกลม God Send ที่กลิ้งอยู่ที่เท้าเธอ
ไม่ทันได้คิดอะไรเธอ คว้ามันขึ้นมาเตรียมตั้งท่าขว้างทันที

“ ขอให้มันได้ผลที่เถอะ…. ”
 R2 คิดพร้อมกับขว้างลูก God Send ออกไปลำแสงปะทะ เข้ากับลูกแก้ว God Send พอดี
พริบตานั้นก็เกิดแสงเจิดจ้าอาบไปรอบอาณาบริเวณ พร้อมๆกับเสียงติ้กตอกของเข็มนาฬิกาที่กำลังเดินอยู่ดังแว่ว
ขึ้นมาเรื่อยๆ

“ นี่…นี่มัน ”
เรกกะ ที่คุมสติสัมปัญชัญญะ ของ ทาเวนทอสอยู่ตอนนี้ เปรยขึ้น ขณะที่ความทรงจำ
และภาพความนึกคิดต่างๆได้ไหลเข้ามาในหัว ราวกับกระแสน้ำที่ไหลท่วมท้นลงมาในภาชนะที่ว่างเปล่า

จนเต็นและเอ่อล้น ออกมา ภาพเสียงเหตุการณ์ต่างๆที่เค้าประสบพบมามันได้กลับมาอีกครั้ง
ทันทีที่ แสงสว่างจางลง ร่างของ ทาเวนทอสก็สลายกลับคืน เป็น เรกกะ ดังเดิม

พร้อมๆกับที่ ลูกแก้ว God Send ได้กลับมาอยู่ในมือของเค้า ทันทีที่สัมผัสมัน เค้าก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
ในความทรงจำที่เค้าเห็น เรื่องราวทังหมดที่ไหลผ่านเข้ามาในหัว มีเรื่องของ เฟนท์ ที่เค้าไม่เคยรู้มาก่อน

ไม่เพียงแต่ เฟนท์ เท่านั้นแม้แต่ ซาน เอมิล หรือแม้กระทั่ง ไอ ไปจนถึงบุคคลที่เค้าเคยเจอ
มันได้เอ่อล้นเข้ามา และรวมไปถึง ความทรงจำ ที่เมอริเซีย เมื่อสองร้อยปีก่อนกระทั่ง

ความทรงจำของ ลอว์เรนซ์ ที่ควรจะเป็นพ่อของเค้าเองด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดได้เป็นที่ประจักษ์แก่หัวใจของเค้า อย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนที่ ทุกอย่างจะผ่านหายไป

และดึงเค้ากลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง ตอนนี้ เฟนท์ คืนร่างจาก Valkyrie เป็นเช่นเดิมแล้ว
และพร้อมๆกับที่บาดแผลทั้งหมดบนร่างของสมานปิดสนิท ไปเองอย่างน่าอัศจรรย์

“ เฟนท์….นี่นาย….นายกลายเป็น…อานิม่า… ”
เรกกะ เปรยโดยที่เค้าเองก็ยังสงสัยกับคำพูดของตัวเค้าเองว่า รู้ทราบได้อย่างไร แต่เหมือนกับอยู่ๆ
ข้อมูลเรื่องราวทั้งหมดมันได้กระจ่างขึ้นมาเองในหัวของเค้าเอง ราวกับเค้าได้รับรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว

“ ใช่…ชั้นก้าวข้ามวามตายมาแล้วนับแต่วันนั้นที่นายหยิบยื่นมันมาให้ชั้น ”
เฟนท์  สบถพลางยันตัวขึ้นยืนก่อนจะมองไปที่ สามสาวที่ รอดมาได้เพราะความช่วยเหลือของ เรกกะ

“ สำหรับพวกเธอฐานเป็นกบฏ.. ”
เฟนท์ กล่าวยังไม่ทันจบ เรกกะ ก็แย้งขึ้นทันที

“ เดี๋ยว…สามคนนั่นไม่ได้รู้อะไรด้วยถ้าชันยกเจ้าสิ่งนี้ให้แลกกับการไว้ชีวิตพวกเค้า…จะได้ไหม ”
เรกกะ กล่าวพลางยื่น ลูกแก้ว God Send ของวงแหวนแห่งการเวลา ให้

“ นี่นาย..ยังคิดจะต่อรอง..กับชั้นอีกงั้นเหรอ ”
เฟนท์ สบถพลางหันไปจ้องเค้าด้วยสายตาโกรธๆ

“ ไม่ใช่…นี่ไม่ใช่การต่อรองไม่ใช่การเจรจา แต่ชั้นกำลังสั่งนายอยู่.. ”
เรกกะ กล่าวเสียงกร้าว ดวงตาก็แข็งกร้าวเปลี่ยนไปจากทุกที

“ นี่…นาย… ”
เฟนท์ ทำได้แต่เพียงกัดฟันแค้นเพียงเท่านั้น เพราะ God Send อยู่ในมือของเรกกะ และตอนนี้
ตัวเค้าเองก็ไม่มีแรง พอจะสู้กับ เรกกะ ได้อีกสถานการณ์ตอนนี้บังคับให้เค้าต้องทำตามแต่โดยดี

“ เจ้าสิ่งนี้น่ะสำคัญยังไงกับองค์กรของนาย…ชั้นไม่รู้หรอกนะจะถามนาย…ตัวนายเองก็ยังไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ ”
เรกกะ กล่าวเสียงเรียบ  ขณะที่ เฟนท์ ถูกคำพูดของเค้าสะกิดใจไปเรื่อย

“ ตัวนายมันก็แค่สุนัขรับใช้ของพวก อานิม่า เท่านั้นเป็นแค่เครื่องมือที่
ถูกความแค้นบังตาจนมองไม่เห็นความจริง ”
เรกกะ ยังคงกล่าวดูถูกเหยียดหยาม เฟนท์ ต่อไปขณะที่ เดินเข้ามาใกล้ เฟนท์
ซึ่งตัว เฟนท์ เองก็ได้แต่ขบกรามแน่นเพื่อยั้งอารมณ์ของตัวเองไว้

“ แต่นั่น..ก็เป็นสาเหตุที่ชั้นยังคงเชื่อใจนายในฐานะเพื่อนอยู่… ”
เรกกะ กล่าวพลางจับมือ ของ เฟนท์ ขึ้นมาก่อนจะยัดเยียด God Send ให้
จากการสัมผัส มือที่เย็นเชียบเพราะชุ่มไปด้วยเหงื่อในตอนนี้ของ เฟนท์ ทำให้เค้ารับรู้ได้ว่า
ลึกๆแล้ว เฟนท์ เองก็ยังคงสับสนอยู่กับการตัดสินใจของเค้า

“ เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเรา ครั้งนี้ชั้นจะยอมนาย…แต่อย่าหวังว่าชั้นจะยกโทษให้นายซะล่ะ… ”
เฟนท์ สบถพลางสะบัดมือ ออกจากมือของ เรกกะ  ก่อนจะเดินถอยออกห่างไป


“ จำไว้ เรกกะ ชั้นไม่มีวันยกโทษให้นาย สักวัก นายจะต้องสังเวยให้กับคมดาบที่ชั้นจะเป็นผู้ใช้มันจบชีวิตนายเอง ”
เฟนท์ กล่าวก่อนจะสร้างอนุภาคขึ้นห่อหุ้มตัวของเค้าเพื่อยกตัวลอยขึ้นไป

“ พวกเธอสามคน ทีม ฮาร์ทไฟร์ ถูกขับไล่จากองค์กรอย่างเป็นทางการแล้ว…อย่าเสนอหน้ากลับมาให้เห็นอีก ”
เฟนท์ ตะคอกก่อนจะบินหายลับไปในขอบฟ้า ทิ้งให้ ทั้งสาม นั่งสลดใจทั้งที่พวกตนถูกใส่ความ
เรื่องการทรยศ แท้ๆ

“ เฟนท์ ถึงนายถูกความแค้นบังตาจนกลายเป็นเครื่องมือของพวกมัน แต่ชั้นยังคงรับรู้ได้ถึง
เสียงร่ำร้องลึกๆในหัวใจของนาย นั่นคือสาเหตุที่ชั้นไว้ใจนายและขอบคุณนายในตอนนี้ ”
เรกกะ คิดพลางทอดสายตาไปยังขอบฟ้า ที่เฟนท์ หายตัวไป

“ ดูเหมือนนายจะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วสินะ.. ”
R2 กล่าวขณะที่เดินเข้ามาหา

“ ตอนนี้ชั้นจำได้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง..ใช่ชั้นฆ่าทุกคน ทั้ง ไอ ซาน เอมิล ไรด์ ทุกคนล้วนถูกชั้นทำลาย
และนายเองก็ด้วยเฟนท์ ชั้นจะทำลายนายด้วย ”
เรกกะ เปรยขึ้นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ค่อยๆไหลรินลงมาอาบใบหน้าของเค้า

………………
…………………………

ผืนป่าใกล้กับ อิกดราซิล เขตทางเหนือของ โลกอส

“ ฮูมมมมมมมมมมมมม ”(เจ้าเป็นใครมีธุระอะไรกับข้า)
อาแมนคริส คำรามต่อผู้ที่มาเยือน ณ รังของมัน ซึ่งทำจาก กองซากไม้ของต้นไม้ในป่าแห่งนี้
หลังจากที่มันหนีออกมาจาก ห้องทดลองของ กลุ่มมาราดัน

“ ข้ามีเรื่องที่จะต้องขอให้เจ้าช่วย..ไม่สิยังไงเจ้าก็ต้องช่วยข้า ”
ชายผู้ปกปิดตัวเองทำตัวลึกลับที่มักจะออกมาจับเวลาทุกครั้งที่ เรกกะ เปลี่ยนร่างกล่าวก่อน
จะถอดหมวกและแว่นตาออก เค้ามีหน้าตาเหมือนกับ ลอว์เรนซ์ ทว่าดูสูงวัยกว่า

“ ฮูมมมมมมมมมมมม ”(เป็นมนุษย์ที่แปลกนะเจ้าฟังที่ข้าพูดรู้เรื่องด้วยงั้นรึ…ไหนลองว่ามาซิทำไม
ข้าจะต้องช่วยเจ้าด้วย)
อาแมนคริส คำรามอีกครั้งดูเค้าจะคุยกับมันได้ ชายผู้นั้นหัวเราะ  ก่อนจะหยิบเอา ขวดนาฬิกาทรายที่
ถูกเปิดฝาเอาไว้ด้านหนึ่งภายในขวดว่างเปล่า

“ นั่นเพราะข้าคือ ผู้ที่ถูกเลือก ”
ชายผู้นั้นกล่าวจบ ร่างของ อาแมนคริส ก็สลายกลายเป็นทรายก่อนจะถูกสูบลงไปในขวดนาฬิกา
ชายผู้นั้นจึงปิด ฝาขวดก่อนจะพลิกหงายให้มั้นตั้งขึ้นมาอีกด้าน ทรายของ อาแมนคริส จึงเริ่มไหลลงมา
ด้านล่างขวดทีละน้อยทีๆ

“ เท่านี้ที่เหลือก็ขึ้นกับเวลาเท่านั้น… ”
ชายผู้นั้นกล่าวพลางเดินหายลับเข้าไปในมุมมืดของแนวต้นไม้ในที่สุด

โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

เรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นที่ชั้น ทั้งที่เฟนท์ เปลี่ยนไปและการจากไปของทุกคน
ตอนนี้ชั้นไม่อาจเสียใครไปได้อีกไม่อย่างนั้นชั้น ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
หนทางข้างหน้าชั้นเลือกแล้ว แม้จะต้องก้าวไปด้วยตัวเพียงคนเดียวก็ตาม

หากพลังแห่ง ทาลิวิลย่า จะนำไปสู่ความโดดเดี่ยว ก็จงทะยานไปด้วยวามหวังสิ Thaliwilya

ตอนต่อไปใน Legend Thaliwilya of the Arimathea Saga 15 Reason…

โอย ยิ่งเขียนยิ่งเครียด ที่เครียดไม่ใช่ว่าเขียนไม่ออก แต่ไม่กล้าจะเขียนเลยตังหาก
ปกติวิธีการเขียนของ ผมจะต่างกับ เจ้าการุรุม่อน ตรงที่ไม่ได้มีการวางโต้งเรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น

แต่ใช้คุณสมบัติของคาแรกเตอร์ ที่มีอยู่มาเดินเรื่องโดยสร้างเหตุการณ์ขึ้นหนึ่งเหตุการณ์จากนั้น
จึงสวมบทเล่นเป็นตัวละครตัวนั้นดูว่าหากเป็นแบบนี้ ตัวละครจะตัดสิ้นใจอย่างไงทำอะไร

ดังนั้นจึงใช้เวลาเขียนที่นานแต่ก็ไม่เป็นการกดดันตัวเองเวลาเขียนว่าต้องออกมาเท่านี้นะ
เนี้ยบๆแบบนี้นะ มันเลยทำให้การเขียนนิยายสนุกไปด้วยเพราะตัวคนเขียนเองก็จะไม่รู้เหมือนกันว่า

เนื้อเรื่องจะเดินไปยังไงแบบไหนต่อ ก็ได้ลุ้นไปกับผู้อ่านด้วย ที่จริงนี่คือแบบที่เขียนเอาไว้ในภาคแรก
จำนวนตอนมันเลยออกมาครึ่งๆกลางๆ 33 ตอนไปซะได้ แต่ภาคนี้ผมลองวางโต้งเรื่องกับกำหนดจำนวน

ตอนไปด้วย เพื่อไม่ให้ตอนจบ ออกมาตรงกับแบบที่ทั้งผมและผู้อ่านจะเดาทางได้ง่ายๆ
ซึ่งหากดูจากภาคแรกเนื่องจากการเขียนแบบนั้น

ทำให้ตัวผมประสบปัญหาอยู่เหมือนกันคือ..มันขาดมิติ เนื้อเรื่องมันเรียบเกินไป แค่แปลงร่างสู้ 12 เทพขุนศึก
ให้ชนะล้มบอสใหญ่ที่เป็นพ่อตัวเอง จบ  มันง่ายไปดังนั้น เลยมีการเพิ่มคาแรกเตอร์ อย่างพวกเจนัส เข้ามา

 พร้อมกับตั้งทฤษฎีว่า ตัวเอกไม่ได้เก่งเวอร์ ขนาดคนเดียวพิชิตได้ทั้ง กองทัพ ก็เลยมีการทรยศ
กลับฝ่ายไปมา เดี๋ยวตัวร้ายกลายเป้นพวกเดี๋ยวพระเอกเป็นตัวร้ายบ้าง แน่ล่ะ ผลคือมันให้กำเนิด

คาแรกเตอร์สองอารมณ์ขึ้นมาเลย และเพื่อไม่ให้มันดู แข็งเกินไปเลยไปศึกษาข้อมูลเพิ่ม(จากยูกิ)
ได้คำตอบคือ คาแรกเตอร์สองบุคลิค ไงหาทางออกง่ายดีมะ

แต่ในภาคนี้วิธีเขียนจะต่างออกไปนั่นคือ ผมให้ เปิดให้ทีมงาน ได้มีส่วนในการวางคาแรกเตอร์ด้วย

เนื้อเรื่องมันเลยออกมาดูเละๆอย่างที่เห็น สังเกตุได้เด่นชัดเลยว่า
ประเด็นของเรื่องไม่สามารถจับ ได้เลยว่าเป็นยังไง
เพราะตอนต้น มาก็มีเรื่องของ Empyrean Adjust จากนั้นก็ มาราดัน แล้วไป บริทเทเนอร์

เหมือนต้องสร้างเรื่องสร้างพื้นขึ้นมาหลาย ครั้งมากแล้วมีพล็อตใช้แล้วทิ้งอีกเยอะที่ไม่ได้กล่าว
งานเลยออกมาเผาเอามากๆเลยตั้งแต่

Saga 10 ขึ้นไป เพราะเนื้อเรื่องไม่ลงตัวเอามากๆ ต่างจากภาคแรกที่ ศัตรูมีเพียงหนึ่ง
และหักมุมเล็กน้อยโดยเล่นกับความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยกระจายเนื้อเรื่องก่อนจะสร้างจุดเชื่อมให้แก่ตัวละคร

ได้เข้าหากันดังที่สังเกต คือพวกเจนัส สืบเชื้อสายตระกูลที่ปกป้อง ลอว์เรนซ์ มา และ ลอว์เรนซ์ ก็เป็น
ลูกของศัตรู มันทำให้เรื่องง่ายและดูมีสีสัน กว่า แต่ภาคนี้บอกเลยผมว่ามันเละจริงๆนั่นล่ะ

คือการเล่นกับจุดเชื่อมตัวละครหายไป มิติคาแรกเตอร์มันตื้นไป บอกแบบนี้
เป็นเพราะ ตัว เรกกะ ที่ไม่เคยจะสู้เองเลยเพราะ
ในการแปลงร่างก็มีการอำนวยความสะดวกด้วยการใช้อีกบุคลิคสู้แทน

ทำให้เราแทบจะไม่รู้ตัวตนจริงๆของเรกกะ เลยในช่วงต้น เกือบจะคิดไปเลยด้วยซ้ำว่าหมอนี่ไม่มีตัวตน
พอมีเรื่อง ที่ไปประกาศโจ่งแจ้งให้ชาวบ้านเค้าลุกมาตีกับ Empyrean Adjust เข้ามันเลยดูเหมือนว่า

เรกกะ คิดง่ายๆเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง พอถูกมาธิอัส สะกิดเข้าหน่อยเป็น สติขาดมือไวใจร้อนเกือบฆ่าเพื่อนตัวเองตาย
สุดท้ายเพื่อไม่ให้ เฟนท์ ที่มีบทค่อนข้างจะมากกว่าชาวบ้านด้วยกัน หรือพูดให้ถูกเรื่องทั้งหมด

แทบจะขึ้นอยู่กับหมอนี่มากกว่า เรกกะ อีกเพื่ไม่ให้ โดนเก็บหายไปเลยต้องยกระดับพลังให้
เวอร์เกินขึ้นไปอีกขั้น แน่ล่ะมันแทบจะกลายเป็นงานโชว์แอคชั่นไปแล้ว ถ้านี่คือ อนิเม

มันคงจะเป็นเรื่องที่ดูดีอยู่เหมือนกัน แต่ นี่มันนิยาย เราไม่เห็นภาพเราต้องจินตการภาพขึ้นมาเอง
จากข้อมูลที่ผู้เขียนลงไว้ ซึ่งแต่ล่ะคนอาจไม่เหมือนกัน และด้านการสื่อเนื้อหาของ เรื่องผมเองยังค่อนข้างแย่

สุดท้ายเลย ลงมติ ต่อรองกับทุกคนว่า สุดท้ายที่เหลืออีกประมาณ 7 -8 ตอนเนี่ยขอผมเดินเรื่องคนเดียวได้ไหม
มันจะได้ไม่เละไปกว่านี้ และนี้ก็คือเหตุผลว่า เนื้อเรื่องมันเริ่มจะ เดจาวู อีกรอบ

นั่นคือ เพื่อนฆ่ากันเอง อีกแล้ว แต่อย่างว่าจริงๆ ตั้งกะเริ่มเรื่องมาจนกินไปครึ่งบทแล้ว
ยังไม่ได้ใจความที่จะขับเคลื่อนให้ เรกกะ ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซะที ดังนั้นผมเลยเล็งเห็นว่า

ตัวละครมันเยอะเกินไปเกะกะ ตัดออกมั่งลดบทมั่งเป็นตัวประกอบไป เชือดทิ้งบ้าง
ซึ่งหลักๆเลย พวก ซาน เอมิล ไรด์ ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวละครหลัก ด้วยบทน้อยไปจน

เฟนท์ ดูจะเด่นเกินหน้าเกินตา เลยจับเชือดทิ้ง รีเซ็ท ใหม่ตั้งกะ บทที่ 14
นั่นคือผมมาตั้งต้นใหม่ การทำแบบนี้เพื่อบีบเนื้อเรื่องให้มันแคบลงไปอีกนิดไม่งั้น

คงออกอ่าวเปอเซีย ไปแล้ว ถ้ามองในมุมมองของตัวละคร จะว่าผมโหดก็ได้นะ ที่ไปบังคับ
บีบคั้นจิตใจของ ตัวละคร แต่แบบนี้แหล่ะน่าจะดีอย่างที่มันควรจะเป็น
แต่ลึกผมก็โหดนะเหอๆ

ว่าแล้วไปดูช่วงแถมท้ายกันเลย ร่ายมาซะยาว ยังไม่เข้าเรื่องซักทีฮา
เรื่องตอนพิเศษที่เคยสัญญาไว้จะถูกนำมาลงในช่วงแถมท้าย นะครับ โดยเจ้า การรุม่อนเป็นคนเขียนบท
เองร่วมกับทุกคนยกเว้นผม(แหงล่ะผมฮุบงาน ส่วนใหญ่มาหมดแล้วนี่ )
ว่าแล้วไปดูกันเลยเหอะ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga13 เบิกโรงนางเอก Show Off.
Post by: cocka-c on April 14, 2009, 06:20:13 PM
Special Legend Thaliwilya



คำศัพท์ที่ควรเข้าใจก่อนอ่านตอนพิเศษ

จิ้น=คำย่อของ Imagine หรือจินตนาการ


Turn 01 Imagine Battle Recca Vs. Fient

ฉาก ลานพักผ่อนในโรงเรียน St. Magnus

R2 : กะแล้วเชียว นั่งดื่มชากลางแจ้งในโรงเรียนเนี่ย ได้รสชาติดีกว่าจริงๆด้วย
ทั้งกว้างสบายตาดีกว่านั่งอยู่ในยานซะอีก

มาเรียลูส:แต่ว่าออกมาปรากฏตัวกลางโรงเรียนแบบนี้มันจะดีเหรอ R2

R2:ไม่ต้องห่วงหรอก มาเรีย ในที่แบบนี้น่ะไม่มีใครเค้าว่าหรอก

มาเรียลูส:ที่แบบนี้?

R2: ผู้ใหญ่น่ะเค้าไม่ใส่ใจเรื่องพรรค์นี้กันหรอก

ไอ:ทำไม มิมิ กับโคเว็ท ถึงเข้าข้าง เรกกะ ล่ะ

มิมิ:ก็ไม่ได้เข้าข้างใครหรอกนะ แต่ว่า…
 
โคเว็ท :ถ้าสู้กันตรงๆยังไง ล่ะก็ เฟนท์ ก็ไม่มีทางชนะ เรกกะ ได้หรอกน้า

 R2 :คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ? ฟังน่าสนใจดีนี่

ไอ:อ๊า R2  ท่านมาเรียลูส ฟังนะๆ ตอนนี้เรากำลังถกกันว่ามีกีฬาอะไรบ้างที่ เฟนท์ จะเอาชนะ เรกกะ ได้

มาเรียลูส: เฟนท์ เอาชนะ เรกกะ?

R2:ถกประเด็นหนักน่าดูนะเนี่ย

ไอ:ทั้ง มิมิ ทั้ง โคเว็ท พูดเหมือนกันเลยว่ายังไงก็ไม่มีทางชนะได้น่ะ

มาเรียลูส:อ้อมิน่า ทำไมเธอถึงได้ทำหน้ามุ่ยแบบนั้นน่ะ

โคเว็ท : โทษนะเพคะที่ขัดจังหวะ แต่พวกเรามาคุยกันสนิทสนมแบบนี้จะดีเหรอ?
จริงๆแล้วบางคนยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยนะ

R2 :จะว่าไปก็จริงด้วย

มิมิ: แหม ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็เป็นที่แบบนี้นี่นา

โคเว็ท : ที่แบบนี้?

มิมิ: เรื่อง-ของ-ผู้ใหญ่-น่ะ

โคเว็ท: อย่างนี้นี่เอง
ไอ: เชื่อกันง่ายๆซะงั้น
R2:งั้นเอาเป็นว่าตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไปพวกเราเป็นคนรู้จักกันนะ ดีไหม?

ไอ มิมิ โคเว็ท มาเรียลูส : จ้า~~~~

มาเรียลูส :งั้นต่อจากเมื่อกี้เอ…กำลังถกกันว่ามีกีฬาอะไรบ้างที่ เฟนท์ เอาชนะเรกกะ ได้ใช่มั้ย

มิมิ:ก็อย่างที่คิดน่ะแหล่ะหนา ต่อให้เป็น เฟนท์ ก็ไม่มีทางเอาชนะ เรกกะ ได้หรอกเล่นมีตั้ง หก ร่างแบบนั้น

R2 :น่าสนใจดีนี่ งั้นถ้าเป็นฟันดาบล่ะ? ถึงจะเห็นแบบนั้นแต่ เรกกะ ก็ไม่ได้ฟันเก่งนักเก่งหนาหรอกนะ
(กระซิบ:แหงสิก็ให้ ตาบื้อทาลิคนัส ฟันให้นิ)

โคเว็ท:แน่ใจนะว่านั่นชม ไม่ใช่ด่า

R2:ก็คนที่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้มากกว่าเป็นฝ่ายชนะไงล่ะ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน

ไอ:ไม่ได้หรอกใช้ชีวิตเป็นเดิมพันแบบนั้น

มาเรียลูส:ใช่ R2 ใครแพ้ถึงตายเชียวนะ

R2 :เหรอแบบนั้นก็ดีในหลายๆความหมายสำหรับ ฉันนะ

ไอ:งั้นถ้าเป็นว่ายน้ำล่ะ? [จากผู้เขียน:สังเกตว่าไอ มีนามสกุล เลมูเรีย
ที่จริงแล้วเธอเป็นชาวเงือกแต่ไม่เคย บอกใคร]

มาเรียลูส:ว่ายน้ำ?

ไอ:ใช่ ที่ทะเลท่ามกลางแสงแดดหน้าร้อนเป็นไง

โคเว็ท:ไม่ใช่สระว่ายน้ำเหรอ?

ไอ: ก็สระว่ายน้ำมันไม่มีชายหาดนี่นา

R2 :ชายหาด?

ไอ:เมฆที่ลอยละล่อง เกลียวคลื่นซัดสาด สายลมที่พัดพากลิ่นอายของหน้าร้อนมา
สุดท้ายก็หาดทรายสุดลูกหูลูกตา ตัดกับ เฟนท์ และ เรกกะ ในชุดว่ายน้ำที่โดดเด่นเป็นสง่า
จากนั้นทั้งคู่ก็ดวลกันโดยเอาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเป็นเดิมพัน!

(ตัดเข้าฉาก จิ้น)
คิดซะว่าทีเสียงคลื่นเสียงลมด้วยจะรู้สึกสมจริงขึ้น

เรกกะ: ทะเลนี่ เฟนท์ เราไปว่ายน้ำกัน เถอะ

เฟนท์: เดี๋ยวก่อน เรกกะ จะลงน้ำต้อง วอร์มอัพ ก่อนสิ

เรกกะ:เห พูดยังกะอาจารย์งั้นแหละ

เฟนท์: ถ้าเกิดตะคริวกินกลางทะเลขึ้นมาเดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องใหญ่หรอก เอ้า! หนึ่ง! สอง! หนึ่ง!  สอง!

เรกกะ :ฮะ ไม่ต้อง ซีเรียสขนาดนั้นก็ได้น่า ฮึบ (สาดน้ำใส่)

เฟนท์:มันหนาวนะ! ทำอะไรของนายน่ะ เรกกะ !

เรกกะ : ก็นายเหม่อเองนี่นา

เฟนท์:หนอยแน่ะ

เรกกะ:แน่จริงก็จับให้ได้สิ

เฟนท์: รอด้วย เรกกะ

เรกกะ: ทางนี้ไง เฟนท์

เฟนท์: แน่จริงอย่าวิ่งเซ่

เรกกะ + เฟนท์ : ฮะๆๆๆๆ (วิ่งไปหัวเราะไปแบบร่าเริง หยึยคิดแล้วสยอง)

(จบฉากจิ้น)


ไอ : ไม่ได้นะทั้งสองคน วิ่งเล่นไล่จับทั้งชุดว่ายน้ำแบบนั้น…ไม่ยอมนะ เฟนท์ ขอฉันเล่นด้วยคนสิ!

ปรี้ดดดด! (เสียงอะไรบางอย่างเหลวๆพุ่งพรวด)

มาเรียลูส: อ..ไอ เป็นอะไรรึเปล่า?

โคเว็ท:รู้สึก เลือดกำเดาออกจนสลบไปแล้ว เอาทิชชู่อุดจมูกไว้แล้วปล่อยเค้านอนพักไปเหอะ

มาเรียลูส:เป็นอะไรของนะ อยู่ๆก็ตื่นเต้นซะจน…


R2:สงสัย จิ้นเลยเถิดไปเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่การดวลแบบลูกผู้ชายล่ะมั้ง

มาเรียลูส:งั้นก็แสดงว่ายังไม่รู้ผลแพ้ชนะน่ะสิ

มิมิ: งั้นถ้าเป็นเทนนิส กีฬาใช้กำลังแบบผู้ดี๊ผู้ดี…แบบนี้ เฟนท์ อาจมีสิทธิ์ ชนะบ้างก็ได้

(ตัดเข้าฉากจิ้น )

เรกกะ : เอาล่ะนะเฟนท์ !

เฟนท์: มาเลย เรกกะ !

เรกกะ: วิชาลูกพลังลำแสงอัศนีกัมปนาท มังกรผงาด เกรชออฟดราก้อน เสิร์ฟ!!

ฟิ้ววววววว เปรี้ยงงงงงงงงง ตูมมมมม บรึ้มมมมม

เฟนท์: แอ้ก (โดนอัดเต็มๆ)

เรกกะ: ดราก้อน ไต้ฝุ่น สลาตัน ทอร์นาโด สแมช!!

วูบ ช้าคคคคคค เปรี้ยงงงง โครม บรึ้มมมม

เฟนท์ : อั่ก

ปรี้ดดดด (เสียง ชาร์จเกจ เต็มพิกัด)

 Full Charge Great of Dragon

เรกกะ: แมกนั่ม ทาลิวิลย่า สเปลเชี่ยล  เดอลุกซ์!!

วู้มมม ก็าซซซซซ ครืนนนนน เปรี้ยงงงง ปร้างงง แว้บบ แช้ดดดด
ตูม บรึม วิ้งๆ

เฟนท์: แอ้ก โอ้กก

(จบฉากจิ้น)


มาเรียลูส:ซี้แหง

โคเว็ท:ตายแน่

มิมิ:ฮิๆ ไม่ได้จริงๆด้วยเนอะ


ชารี่:คุยอะไรกันอยู่น่ะ หาวิธีฆ่า เฟนท์ กันอยู่เหรอ?

โคเว็ท:ชารี่ !!?

เอลิต้า: เอลิต้า~! ค่า

ซิกนัม:ฉันเอง ซิกนัม

ชารี่:พวกเราคือ สามสาวทรีโอแห่ง Empyrean Adjust หรือจะเรียกว่า สามสาวงามก็ได้นะ

มิมิ: เดี๋ยวๆ ฟังดูไม่เหมาะเลยซักคนนะ

R2: ตัวปัญหาโผล่มาเพิ่มอีกละ

มาเรียลูส: หยั่งวันรวมญาติเลยนะ

ชารี:ยังไงก็เถอะ พวกเราได้ยินที่ทุกคนถกกันแล้วล่ะ แต่ยิ่งฟังยิ่งปวดหัวอ่ะ ไม่มีทาง ที่
เฟนท์ คุง จะเอาชนะศัตรูที่ร้ายกาจอย่าง เรกกะ ได้ง่ายๆหรอก

เอลิต้า:จริงด้วยๆ อย่างเช่นตอนที่…

(ตัดเข้าFlash Back ของ เอลิต้า จริงๆคือหลังไมค์น่ะ)

กิ๊งๆๆ

เอลิต้า:ตายแล้วทำไงดี เผลอทำตกลงไปซะได้

เรกกะ:มีอะไรรึเปล่า เอลิต้า ?

เอลิต้า:ตะกี้ ฉันทำ Crisisor ตกลงไปใต้ ยานไซเบอลิก้า ดราก้อนน่ะ

เรกกะ: ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ท่าทางจะสำคัญสินะ

เอลิต้า:นั่นสิจะทำไงดีน้า

เรกกะ: งั้นเดี๋ยวชั้นให้ R2 ช่วยขยับยานให้นะ

เอลิต้า:เดี๋ยวก่อนๆ ถ้าเกิด มันพังขึ้นจะไม่มีอะไหล่นะ

เรกกะ:ถ้างั้นเดี๋ยวชั้น ช่วยยกตัวยานด้วยมือเปล่าให้ก็แล้วกัน ระหว่างนั้น เธอรีบหา มันให้เจอนะ

เอลิต้า:นั่นสินะถ้าใบช้วิธีนี้ล่ะก็…เอ๋!?

เรกกะ:จะยกล่ะนะ วิ้งงงง(เสียงตาซ้ายทำงาน เปลี่ยนบุคลิคเป็น ทาโซรอส) ฮึบย้ากกก
ครึก ครืนนนน(เสียงยานโดนยกขึ้น) เจอ…รึ…ยัง?


เอลิต้า: อ๊ะ จ..จ..เจอแล้วค่า!

(จบ Flash Back)

R2 : กะแล้วเชียว ว่าทำไมยานมันโยกๆ เป็นใครเจอแบบนั้นเข้าไปก็อึ้งทั้งนั้นล่ะ

โคเว็ท:ไม่นึกเลยว่า เรกกะ จะร้ายกาจขนาดนี้..

ซิกนัม:ถ้าเป็นแบบนั้นลองเล่นมวยปล้ำดูเป็นไง

โคเว็ท:เดี๋ยว! ซิกนัม นึกยังไงถึงคิดว่าเฟนท์ จะชนะได้เพราะมวยปล้ำเนี่ย!?
ซิกนัม:ก็ลองนึกถึงเรื่องหักมุม กับ แบล็กฮิวเมอร์(มุขใต้สะดือ) ไง

โคเว็ท:หา!?

ไอ:อ๊ะ นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย?

โคเว็ท: อ้าว ไอ ตื่นแล้วเหรอ? เธอเลือดกำเดาไหลแล้วก็สลบไปน่ะ

ไอ : เลือดกำเดา?

ซิกนัม:ทำให้ เฟนท์ ชนะน่ะง่ายนิดเดียว ก็แค่ทาครีมไว้ให้ทั่วตัว

ไอ:ทาครีม…ทั่วตัว

โคเว็ท: ซิกนัมบอกว่า ถ้าเป็น มวยปล้ำ เฟนท์ อาจจะมีทางชนะ เรกกะ ได้ว่าแต่ทำไมต้องทาครีมด้วยล่ะ?

ซิกนัม:ก็เพราะว่า….

(ตัดเข้าฉากจิ้น)

(นึกถึงเสียง อะไรลื่นๆแหยะๆ ประกอบไปด้วย)

เรกกะ:สุดยอด ลื่นชะมัดเลยครับ กรรมการ ครับ ! เฟนท์ ลื่นไปหมดทั้งตัวเลย!

เฟนท์ :ไงล่ะ เรกกะ ทีนี้นายก็ไม่มีทางจับชั้นได้แล้ว ฮ่าๆๆๆ

เรกกะ: เฟนท์ ลื้นลื่น! ลื่นไปหมดเลย!

(จบฉากจิ้น)

R2 :นั่นมันอะไรกัน ล่ะนั่น

ชารี่:ไม่ใช่แค่มวยปล้าธรรมดา แต่ เป็นมวยปล้ำอาชีพซะด้วย (มันต่างกันยังไงหนอไม่เก็ทมุข)

ไอ:ลื้นลื่น…เฟนท์ ลื้นลื่น…..(ปรี้ดด)

มาเรียลูส: อ๊า ไอ เลือดกำเดาพุ่งอีกแล้วล่ะ

มิมิ: สงสัยจะจิ้นเลย เถิดไปว่า เฟนท์ กับ เรกกะ เปลือยกายกอดกันล่ะมั้ง

ซิกนัม: อือฮึ

ชารี่: กล้าพูดนะเธอเนี่ย

(นอกจาก สองคนนั้น ที่เหลือหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศยกวง)

ซาน:งั้นลอง แข่งสเก็ตน้ำแข็งดีไหม

โคเว็ท:พี่ซาน มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?

ชารี่:เข้ามาแบบไม่รู้สึกตัวเลย หรือว่าเค้าจะมีวิชาอำพรางกายแบบนินจา!
(เอ่อคือ เจ็ เค้าแค่เดินเข้ามาแบบธรรมดาๆเองนะ)

มาเรียลูส:ถ้าเป็น สเก็ต จะมีสิทธิ์ชนะเหรอ?

ซาน: ก็อาจเป็นแบบนี้ไงคะ….

(ตัดเข้าฉากจิ้น)


ปัง(เสียงปืนให้สัญญาณ)

เฟนท์: เดี๋ยว เรกกะ รอด้วยชั้นไม่กล้าปล่อยราวมือจับ !

เรกกะ: อ้าว เฟนท์ เล่นสเก็ต ไม่เป็นหรอกเหรอ? ช่วยไม่ได้ เอ้า ส่งมือมาสิ เดี๋ยวชั้นจูงนายเอง

เฟนท์: ฮึ ชั้นไม่ได้แกล้งเอาแต่ จับราวเพราะอยากจะจับมือกับนายหรอกนะ…
(อ๋อ นี่แสดงว่า บทที่15นี้ที่เรกกะ ยัดลูกแล้วให้ที่มือนี่แอบแต๊ะอั๋ง เค้าไปด้วยใช่ไหม)

เรกกะ:ฮะๆ รู้แล้วน่า เฟนท์

(จบ ฉากจิ้น)

ชารี่:เดี๋ยวสิ ไหง เฟนท์ ซึนเดเระ ซะขนาดนั้นล่ะ?(โอ้ ท่านชารี่ขา เป็นโอตาคุด้วยรึนี่สมแล้วที่มีหลายฟอร์ม)
ซาน:อ้าวไม่ดีเหรอ?

ชารี่:ป..เปล่า…ก็…ดีแล้วมั้ง

คนอื่นๆ:เอ๋?

เรโค่ :ต้องซูโม่ สิคะ!

พี่สาวเรกกะ:ยะโฮ่ ฉันก็มานะ

มาเรียลูส: เรโค่! แล้วก็ พี่สาวของเรกกะ!(เอ่อ ตกลงเจ๊เค้าชื่อ “ พี่สาวเรกกะ” ใช่มะเนี่ย-*-)

เอลิต้า:แหมในที่แบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เนอะ

เรโค่ :ถ้าทั้งสองคนจะแข่งกันก็ต้องกีฬาประลองกำลังของ นิคโคอุ นี่ล่ะค่ะ!

โคเว็ท: ก็บอกแล้วไง พวกกีฬาใช้กำลังน่ะ เฟนท์ ไม่มีทางชนะหรอก

เรโค่:ไม่เป็นไรค่ะ แค่เอาน้ำมันทาไว้ทั้งตัวล่ะก็…

(จิ้น…)
เสียงลื่นๆแหยะๆอีกรอบ

เรกกะ:สุดยอดลื่นชะมัดเลยครับ กรรมการครับ! เฟนท์ ลื้นลื่น ลื่นไปหมดทั้งตัวเลย!

(จบ…)

ชารี่:เอ้า พอแค่นั้นแหละ

มิมิ: แบบนั้นมันก็เหมือนกับ ซิกนัม น่ะสิ

ซิกนัม:ชิ

มาเรียลูส: ชิ..ตะกี้ “ ชิ ” อะไร

พี่สาวเรกกะ:งั้นถ้าเป็น ทาบาสโก้ล่ะ? บางที เฟนท์ อาจจะชนะก็ได้

(ตัดเข้าฉากจิ้น)

เฟนท์: ทาบาสโก้ ทาบาสโก้ ทาบาสโก้ ทาบาสโก้

เรกกะ:ทาบาสโก้ ทาบาสโก้ ทาบาสโก้ ทาบาสโก้

เฟนท์:ทาบาสโก้ ?

เรกกะ:ทาบาสโก้!

เฟนท์: ทาบาสโก้ ทาบาสโก้

เฟนท์+เรกกะ: ทาบาสโก้ ทาบาสโก้ ทาบาสโก้ ทาบาสโก้

(จบฉากจิ้น)

มาเรียลูส: พี่สาวเรกกะ คะแบบนั้นทั้งคู่ก็แค่เอาแต่พูดว่า ทาบาสโก้ สิคะ

พี่สาวเรกกะ: เอ๋ ทาบาสโก้ เนี่ย ใครหายใจหรือพูผิดก่อนแพ้ไม่ใช่เหรอ

R2 :ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ไม่ได้เล่นแบบนั้นแน่ๆ

พี่สาวเรกกะ: ว้า แย่จังน้า

R2 :ดูแล้ว ถ้าเป็นกีฬาคงไม่ชนะแน่สงสัยวิธีเดียว ที่เฟนท์ จะเอาชนะ เรกกะ ได้คงมีแต่…เค้ก

มิมิ: เค้ก?

R2: ใช่แล้วให้ทั้งสองคนแข่งกันทำเค้ก แน่นอนว่าคนชิมต้องเป็นฉันใครทำได้อร่อยกว่าก็ชนะไป

ชารี่:กะแล้วว่าต้องออกมาอีหรอบนี้แหละ

โคเว็ท: นั่นสิ ถ้า เฟนท์ ปะทะตรงๆกับ เรกกะ เนี่ยหมดหวังแหงๆ ที่เจ้าตัวได้เปรียบก็คงมีแต่พวกงานฝีมือ

เอลิต้า: ว้าว เริ่มได้บทสรุปแล้วสินะคะ

โคเว็ท: งั้นถ้าแบบนี้ล่ะ….

(ตัดเข้าฉากจิ้น)

เฟนท์: การแข่งซื้อของครั้งที่ 11 เริ่มได้!!

เรกกะ:เย้ๆ เริ่มเลยๆ (มีเสียงตีเคาะเชียร์ประกอบไปด้วย)

เฟนท์อ เอาล่ะนะ เรกกะเราจะมาแข่งซื้อของกันที่ พา(ปิ๊บ)กอน ใครซื้อของรวมแล้วได้ราคาใกล้เคียง
กับ 5000 โลกอส ดอล จะเป็นฝ่ายชนะ!

เรกกะ: เอาล่ะ สู้ตาย!

เฟนท์: เป้าหมายคือ 5000 โลกอสดอล!

เรกกะ:ไปช้อปปิ้งกันเถอะ!

(จบฉากจิ้น)


มาเรียลูส: ไม่ดีมั้ง แบบนี้ ชนะแล้วไม่เท่ห์ เลย

เรโค่: 5000 โลกอส ดอล ฟังดูทะแม่งๆด้วยนะคะ

มิมิ: งั้นๆ ลองนี่เป็นไงให้แต่ละคนลองหาเอาของกิน ที่อร่อยๆมาให้ฉันชิมไง ของใครอร่อยกว่าก็ชนะไป

ชารี่:แข่ง สล็อตแมชชีนก็ไม่เลวนะ หรือปาจิงโกะ ดี

ซาน: แข่งจำค่า พาย* ก็ดีนะ ? ถ้าแข่งแบบนี่ ต่อให้เป็น เฟนท์ ก็ชนะได้แน่
[* หมายถึงค่า Pi number ที่อยู่ในสูตรหาค่ารัศมีวงกลม หรือค่าที่จำโดยส่วนใหญ่คือ 3.14]

เอลิต้า: แข่งกันตกปลากลางฤดูหนาวขึ้นมาก็หน้าสนนะ จับขึ้นมาสดๆแล้วเอามาแต่งหน้า เค้กก็ไม่เลว!

พี่สาวเรกกะ: อ้ะน่าสนนะ เอาไปทำเป็นเมนูในร้านคงดี
(เค้กหน้าปลาดิบเรอะ เจ๊)

ซิกนัม: แข่งกินเค้ก

เรโค่:ดูยังก็ชนะใสๆ

ซาน:ฝ่ายไหนเหรอ?

R2:พวก Gramma-GTP ก็น่าสนใจนะ (มันคืออะไรหว่า)

พี่สาวเรกกะ: งั้นแข่งกันระหว่าง คอเลสเตอรอล อิ่มตัว กับไม่อิ่มตัว..

ซาน: เพลาๆมุขสุขภาพบ้างก็ดีนะคะ

ซิกนัม: แข่งร้องเพลงเสียงสูง

ซาน: ไม่ดีมั้งคะ

ไอ: เกมพระราชา ไง! เฟนท์ ได้เป็นเจ้าอยู่บ่อยๆ…..
(โอ้ เฟนท์ นายนี่ดวงดีกว่าที่เห็นแหะ)

R2 :อ้าวไอ ฟื้นแล้วเหรอ

เรโค่: แข่งปิงปองแดช กลางพระราชวังบริทเทเนอร์เป็นไง ใครโดนจับก่อนได้ต้องนั่ง
สุนทรพจน์ ของ ลูเทเซีย ทั้งคืน

มาเรียลูส: หวายแค่คิดก็สยองแล้ว(กลัวพี่ชายตัวเองเนี่ยนะ -*-)

R2 : เอ…เอ่อ…ตกลงนี่เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย ?

คนอื่นๆ: นั่นสินะ….?

~~~~เอวัง~~~~

เอ้อบั่นทอนปัญญาดีแท้ อถือว่าครายเครียดจากการอ่านตามซีรี่ย์ละกันนะ
อ่านเครียดๆในบท มาเจอตอนพิเศษที คงปรับอารมณ์กันมิถูกละเคอะ

ส่วนข้างล่างนี่ชื่อ ตอนพิเศษ ตอนต่อไปที่จะแถมมากับ ตอนปกติ
ในช่วงแถมท้ายนะเจ้าคะ มีสามเรื่องไปเรื่องหนึ่งละ
 เตรียมต่อมฮาของท่านเอาไว้ให้ดี(ตลกเหรอเนี่ย)

Next Turn 02 Date Party Rhapsody (ชื่อภาษาไทย: เดทหมู่อลวล…ล่ะมั้ง )


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga14 และตอนพิเศษ01
Post by: boy on April 14, 2009, 08:35:31 PM
ไอจาง~ คิดอะไรอยู่เอ่ย  ::010::

ชารี่กับซิกนัมก็อึดเนอะ....คล้ายๆพารุกับเจ๊อาซากุระในเนกิมะเลยอ่ะ

ปูเสื่อรอตอนพิเศษตอนต่อไปดีกว่า  ::004::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieSaga Saga14 และตอนพิเศษ01
Post by: greamon on April 15, 2009, 05:36:20 PM
Turn 02 Date Party Rhapsody

การุรุม่อน: จากตอนที่แล้วเราดูสาวๆนินทาหนุ่มๆ กลับมาคราวนี้เรามาดูทางฝั่งหนุ่มๆกันบ้างดีกว่าว่า
ทำอะไรกันอยู่  อะหุๆ ขอเตือนก่อนเน้อ ว่าดาเมจรุนแรงมากใครมิชื่นชอบความเสื่อม
อย่าเลื่อนลงไปดูหรือข้ามไปเลยดีกว่า เราเตือนคุณแล้วน้า


คำศัพท์ ก่อนอ่านเพื่อความเข้าใจ อีกรอบ

*โกคอน - เดทหมู่
*เกมพระราชา - เกมฮิตที่ทุกคนจับฉลากเบอร์กับตำแหน่งพระราชา พระราชาสามารถสั่งให้เบอร์ต่างๆทำอะไรก็ได
*วิ้ง – เสียงเวลาที่รังสีเมมม่วงของแต่ล่ะคนเปล่งประกายออกมา
*เปรี้ยงงง- เสียงอะไรสักอย่างโดนสอยความรู้สึกเหมือนกับตกลงไปในห้วงแห่งความหวานชั่วขณะ

เริ่มเรื่องเลย

ฉากห้องคาราโอเกะ ในร้านแห่งหนึ่ง  (ยุคนี้มันมีคาราโอเกะด้วยเรอะ -*-)

ในห้องมี เรกกะ ลูเทเซีย สุซาคุ ลอว์เรนซ์ และ แมกกี้

เรกกะ: เวลาที่นัดกันไว้อีก 5 นาทีสินะ

สุซาคุ: อืม…อีก เดี๋ยวคงถึง

10 นาที ต่อมา…..

เรกกะ: ทำไมถึงได้ช้านักนะ….แล้ว แมกกี้ ทำไมต้องมานั่งบนตักชั้นด้วย

แมกกี้: ก็ผมเป็นห่วงเจ้านายนี่

เรกกะ ออกอากการกระสับกระส่ายนิดหน่อย แต่พยายามรักษาฟอร์ม

เรกกะ: ที่จริงแล้วไอ้เจ้า โกกง โกคอน อะไรเนี่ยมันไม่เห็นจำเป็นสำหรับชั้นเลยซักนิด

แมกกี้: ใช่แล้ว เจ้านายของผมไม่ต้องทำ อะไรก็เนื้อหอมอยู่แล้ว  (เอท่าทางมันแปลกนะ ไอ้คู่นี้)

แกร็ก ปึง (เสียงเปิดประตู) แก๊งที่เดินเข้ามาใหม่ มี เฟนท์ ไรด์ เอมิล มาธิอัส

เฟนท์: ขอโทษที่ให้รอครับ

เรกกะ: ไม่เป็นไรพวกเราก็พึ่งมาถึง……เฟนท์ นายมาทำอะไรที่นี่

เฟนท์:พวก เรกกะ ล่ะมาทำอะไร

เอมิล: มีอะไรเหรอ เฟนท์

มาธิอัส: เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ

ไรด์: อ๊ะนั่นมัน ท่าน ลูเทเซีย และ อัศวินประจำตัว คุรูรูกิ นี่

แมกกี้: แล้วยังเจ้าเสื้อเอี้ยม วิปริตอีก (มันหมายถึงมาธิอัส น่ะ)

มาธิอัส: หา!..เจ้า เสื้อเอี้ยม วิปริต นี่วิธีตอบแทนคนเลี้ยงแกมาเหรอเนี่ย (รีบโต้ทันทีเชียวนะ)

ไรด์: นี่เราก็มาถูกห้องแล้วนี่….ไหงเป็นแบบนี้ล่ะ

เอมิล : นี่คือไอ้ที่เขาเรียกว่า โกคอน งั้นเหรอ  (สงสัยจะเข้าใจผิดในทางนิตินัย เอ๊ะยังไง)

เฟนท์: ไม่ครับ…นี่มัน?

เรกกะ: แมกกี้ เรื่องนัดแนะกับทางสาวๆ มันหน้าที่นายไม่ใช่เรอะ !

แมกกี้: เอ๊~ แปลกจังน้า คงต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันแน่เลย….

แมกกี้: ขอโทษนะครับ เจ้านาย  ( แมกกี้- วิ้งค์- แผ่รังสีก่อนใครเพื่อนเลย)

คนอื่นๆ: ตั้งใจ…ตั้งใจล่ะ…ตั้งใจชัดๆ  (โอ๊ะโอ๋ แมกกี้ กันท่า กลัวเจ้านายโดนสาวคาบไปกินเรอะ)

ตรู๊ดดด ตรู๊ดดดด (เสียงโทรศัพท์)

เฟนท์: อ๊ะ สาวๆที่นัดไว้ส่งเมล์มาล่ะ

เฟนท์ : (อ่านข้อความในเมล์)  พอดีพวกฉันนั่งจิบชากับเพื่อนๆอยู่เกิดคุยกันถูกคอขึ้น มา เลยไม่ไปแล้วล่ะ

~~~~~เงียบ~~~~~~

เฟนท์ : ช่วยพูดอะไรกันหน่อยสิ

เรกกะ: มันอะไรกันนักกันหนานะ

เอมิล: พวกนายจะดาวน์ กันไปทำไมพวกเราก็มา โกคอน ต่อ กันเลยก็ได้นี่

เรกกะ : หา!

เอมิล: ไหนๆก็มากันแล้วมาโกคอนกันต่อเลยก็ได้นี่

เรกกะ: เดี๋ยวๆ! โกคอน มันเป็นเรื่องที่ให้ผู้ชายกับผู้หญิงมาทำความรู้จักกันนะ เอมิล!

เอมิล : หึๆๆ ใจแคบจังนะ ชายหรือหญิง ต่างกันก็แค่มีติดอยู่หรือไม่มี เท่านั้นแหละ
คนที่ติดใจกับแค่เรื่องเพียงนี้…. เรกกะ นายมันคงไม่ใหญ่ไปกว่าปลายของ อาแมนคริส
สินะ  (อ…เอ่อ วาจาเช่นนี้ออกจากปากมันจริงเรอะ)

เรกกะ: ปลายก้อยของ อาแมนคริส….จะบอกว่าชั้นมันจิ๊บจ๊อยงั้นเหรอ!

ลอว์เรนซ์ : ไม่หรอก คิดว่า มโหราฬ นะ (มาเนิบๆแต่….)

เรกกะ: ได้!....งั้นมาโกคอน ต่อกันเลย

ตามสเต็ปโดนท้า ฟิวส์ขาด เลยโกคอน(เดทหมู่) พิสดาร หนุ่มโสดล้วนกันจริง เรื่องมันชักจะเสื่อมเข้าไปทุกขณะ


เรกกะ : เอาล่ะก่อนอื่น ขอให้ทุกคนช่วยกันบอก วาทะ พิฆาตใจสาวของแต่ละคนมาสำแดงก่อน

คนอื่นๆ: วาทะ พิฆาตใจสาว?

เรกกะ: กติกา คือห้ามทุกคน พูดว่าชั้นรักเธอ เพราะมี Impact รุนแรงเกินไป

คนอื่นๆ:โห~~~!

เรกกะ: เช่นนั้นแล้วจะช้าไปทำไม เรามาเริ่มกันเลย!

เฟนท์: เดี๋ยวนะเดี๋ยว! ตกลงเอาจริงเหรอเนี่ย?

ลูเทเซีย: อ่านะ มาถึงขั้นนี้แล้ว เค้าคงไม่ยอมเลิกรากันง่ายๆหรอก เนอะ

สุซาคุ: Yes Your majesty  (สองคนนี้โต้กันเป็นลูกคู่เชียว)

เรกกะ: อย่าลืมซะล่ะว่าห้ามพูดว่ารัก เด็ดขาด งั้นเริ่มจาก มาธิอัส ก่อนเลย

มาธิอัส: งั้น…เอาล่ะนะ….ยินดีด้วย …ขอให้โชคดีน้า…แล้วเจอกันน้า(เห้อ นายมันก็เท่านี้สินะ มาธิอัส)

เฟนท์: เอ่อ นั่นมันใช่วาทะพิฆาตใจสาว แน่หรือน่ะ!?

เรกกะ:พอแล้ว! คนต่อไป!

เอมิล: งั้นเริ่มล่ะนะ….โอ…ขนของเธอช่างอ่อนนุ่มราวสายลมอ่อนๆยามฤดูใบไม้ผลิ…

สุซาคุ: ฟังดูเหมือนกลอนมากกว่านะนั่น !

เฟนท์: เอมิล รสนิยมเป็นแบบนี้เหรอเนี่ย?

เอมิล: เดี๋ยว! อย่าใจร้อนยังมีต่อ…..โอ นั่นเธอหรือไรช่างงดงามปานเทพธิดา…

เรกกะ: หยุด!…หยุดเลย!…หยุด! Stop ! Stop!  คนต่อไปเลย

ไรด์ : นึกไม่ค่อยออกนา…น่าจะเป็น….อา นึกว่ากุหลาบบาน ที่แท้ก็เธอเองเหรอ

เปรี้ยงงงง (นั่นโดนสอยแล้วหนึ่งใครหว่า)

เรกกะ: เมื่อกี้เหมือนได้ยินอะไรแปลกๆนะ

ไรด์:เป็นอะไรไปน่ะ ลูเทเซีย หน้าแดงเชียว

ลูเทเซีย: (เสียงแต๋วออกลายทันที) แหมอย่ามาจับสิ (ตะกี้หมอนี่แหงที่โดนสอย)

สุซาคุ: หา! เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสเช่นไรออกไปน่ะ!

ลูเทเซีย: ห๊ะ…ป..เปล่าเลิกสงสัยเหอะน่า (ปรับเสียงกลับมาเข้มแล้ว)

แต่คนอื่นๆก็ยังจ้องอยู่ดี

แมกกี้:หยะแหยง

สุซาคุ: หมิ่นประมาท ฝ่าบาทไม่ดีนะ!

ลูเทเซีย: เฮ้ย!ช่างเถอะๆ (กระซิบ:ขืนแกยังออกหน้าแทนแบบนี้ชั้นก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไหนแล้ว)
 

เรกกะ: ยังไงก็เถอะ ของไรด์ เมื่อกี้มันไม่ใช่ประโยคพิฆาต นี่นามันเป็นประโยค โฮสต์ตะหาก

แมกกี้: แล้ว ลูเทเซีย ไม่มีบ้างเหรอ?

ลูเทเซีย: (แต๋วแตกอีก) ถามอะไรกันน่ะ (นึกได้เลยรีบเปลี่ยนเสียงแมนทันที) อ..เอ้ย โทษทีนะไม่มีหรอก

แมกกี้: เอ๋นิดเดียวก็ไม่มีเหรอ

ลูเทเซีย: สำหรับกษัตริย์แล้วไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนารี หรอก เพราะในประวัติศาสตร์ก็มีตัวอย่างตั้งมากมาย
ที่เมืองแตกเพราะนารีนางเดียว บลา บลา (แล้วก็ยาวยืดไปเรื่อย)

มาธิอัส: จริงๆแล้วนึกว่าตัวเองเสน่ห์ แรงจนไม่ต้องพึ่งวาทะ พิฆาตมากกว่ามั้ง

ลอว์เรนซ์:ร่ายซะยาว แต่จับเนื้อในไม่ได้ซักนิด?

แมกกี้:  เป็นวาทะ ที่น่าสนใจอย่างสมบูรณ์แบบ เลยนะ(แกฟังมันรู้เรื่องด้วยเรอะ)

สุซาคุ:ฝ่าบาท…..


มาธิอัส: ลอว์เรนซ์ ล่ะมีกะเค้าบ้างไหม?

ลอว์เรนซ์: ชั้นเหรอ…ชั้นน่ะ

ว่าแล้วพี่แกก็หันไปทาง แมกกี้ เฉย

ลอว์เรนซ์: กีซ…กีซ..กีซๆๆ..กีซซซซซ

เอมิล: เป็นอะไรทำไมอยู่ๆพูดไม่เป็นภาษาซะล่ะ แถมไปล้มอยู่ตรงหน้า เจ้าลูกมังกรนั่นอีก?

เฟนท์: คงจะเลือกจากหน้า Baby Face ของ มัน ล่ะมั้ง?

แมกกี้: แกว๊ก แกว๊ก…แกว๊กกกก…แก๊วก

ลอว์เรนซ์: กีซซซ…กีซซซซ (ลอว์เรนซ์-วิ้งค์- แผ่รังสีทันที)

เปรี้ยงงงง (เสร็จไปอีกราย)

แมกกี้: กว๊าาา

ไรด์: ออกมาแล้ว!….ประโยคพิฆาตสาวออกมาแล้ว

เอมิล: นี่นายฟังรู้เรื่องด้วยเหรอ

มาธิอัส: ท่าทาง แมกกี้ จะหลงเสน่ห์ซะแล้ว

แมกกี้: อ๊ายไม่นะ พูดอะไรกันน่ะ

มาธิอัส: แหมสมกันดีออก รับรักไปเลยเป็นไง สนใจแปลงกายให้เป็นหน้าที่ชั้นได้นะ (เหมือนมันจะหวังดีงั้นล่ะ)

แมกกี้:อ๊า~ เอาไงดีน้า~~ แต่ว่า……เฮือกผมพูดอะไรออกไปเนี่ย

เรกกะ: ก็ทำได้แค่ให้พวกเด็กๆใจเต้นเท่านั้นหล่ะ

ไรด์:อ้อ เฟนท์ก็เจ๋งเหมือนกันนะ

เฟนท์: เอ๋? ชั้นเหรอ ไม่หรอก ….ชั้นน่ะ

ไรด์: ก็ตอนนั้นไงที่พูดกับเด็กที่ร้านอาหารยอดฮิตของ โลกอสไง

ลอว์เรนซ์: ร้านอาหารยอดฮิตของ โลกอส งั้นเหรอ?

เรกกะ: งั้นเอาเลย เฟนท์ นายต่อเลยละกัน

เฟนท์: เอ..เอ่อ งั้นเริ่ม..ล่ะนะ…จำได้ว่า อ๋อ…ข้าวของเธอ เนี่ยขาวจังเลยน้า~~

เปรี้ยงงง เปรี้ยงงง (โอ้ สอยร่วงไปทีเดียวสอง อ้าวเฮ้ยทางนี้ก็โดนด้วยเรอะ เจ้าการุรุม่อน เฮ้ย)

เอมิล: ม..แหม…เฟนท์ เนี่ย…(อีตานี่โดนเรอะ)

มาธิอัส: ว้าว! (อีตานี่ก็ลากเสียงซะ)

เรกกะ: นี่มันอะไรกันเนี่ย…สอยทีเดียงร่วงไปสองเลยเรอะ! (เอ่อตกใจไรคับพี่)

เฟนท์: เอ่อ..หลังจากนั้นก็..แก้มของเธอเนี่ย กลิ่นหอมจังเลยเนอะ

เปรี้ยงงงง เปรี้ยงงง (เฮ้ย ดับเบิลคิลอีกแล้ว เอา God like ไปเหอะว่ะ เฟนท์)

ไรด์ + ลอว์เรนซ์: อะห้อยยย(เสียงระทวย)

เรกกะ: ห๊ะ คราวนี้ ไรด์ กับ ลอว์เรนซ์ เรอะ

ไรด์: เฟนท์…นายนี่…ร้ายชะมัด…

ลอว์เรนซ์: อา..ห้วงมิติรอบๆมันเป็นสีชมพู ระเรื่อ ขึ้นมาเรื่อยๆเลย

(การุรุม่อน: แง้วๆ ท่าน เฟนท์ บันซาย โอ้กร่วง ตามไรด์ ไปอีกศพ)

(เกรม่อน: อ้าวเฮ้ยๆ ฟื้นขึ้นมาก๊อน!)

เรกกะ: ไม่ได้ๆ! ชั้นไม่ยอมรับเด็ดขาด อย่างนายเนี่ยนะ จะเสน่ห์แรง
(หรือว่าหึงที่เค้าไม่ได้มา กระซิบข้างหูตัวเองกันแน่?)


เฟนท์: แล้ว เรกกะ ไม่มีบ้างเหรอ?

เรกกะ:ได้ชั้นจะแสดงประโยคพิฆาตที่แท้จริงให้ฟังเอง

แว้บบ (เสียงตาซ้ายเปลี่ยนเป็นสีขาว ทาลูคัส ออกโรง)

ทาลูคัส: รักซะ…จงรักเราซะ

ป้าบบ(โดนตบหัว ทาลูคัส หลุดทันที)

ลอว์เรนซ์: จะทำอะไรของนายน่ะ เอาพลังมาใช้รั่วๆแบบนี้ได้ไง

ไรด์: แต่ “ รัก ” เนี่ยนะ

เฟนท์: เมื่อสิบนาที ก่อนเพิ่งบอกว่าห้ามพูดเองไม่ใช่เหรอ

แมกกี้: (เสียงสะท้าน) นายท่าน…เลิศมาก

เรกกะ : งั้นแบบนี้ล่ะ แว้บบบ(ตาซ้ายเปลี่ยนสี ฟ้า คราวนี้ ทาลิควอส)

ทาลิควอส: จงตายเพื่อฉันซะ (น้ำเสียงมีอำนาจมาก ทำเอาชาวบ้านรอบๆนอกจาก ลอว์เรนซ์ โดนสะกดทันที)

คนอื่นๆ: Yes Your Highness

ลอว์เรนซ์: จะเล่นไปเลิกใช่ไหมเนี่ย ป้าบบ(ตบหัวให้หลุดไปอีกดอก ผลของคำสั่งหายจ้อย)

คนอื่นๆ:เกือบไปแล้ว

ไรด์:เกือบได้ตายจริงๆแล้วไหมล่ะ

เรกกะ: งั้นนี่ล่ะ แว้บบบ (คราวนี้ ทาเวนทอส)


ทาเวนทอส: หากไร้รัก ตายซะดีกว่าไหม

คนอื่นๆ: Yes your Highness

ป้าบบบ (ตบหัวให้หลุดรอบที่สาม)

ลอว์เรนซ์: นายเนี่ยไม่เข็ดเลยน้า

ทุกคน: เกือบไป

สุซาคุ: ถ้าไม่ได้ ลอว์เรนซ์ คุง ช่วยไว้ได้ตายจริงๆแน่

มาธิอัส: น่าเสียดายนะ เรกกะ

เรกกะ : ถ้างั้นล่ะก็….

(แล้วก็ลองไปเรื่อยๆจนครบทุกฟอร์ม)

ไรด์: สุดท้ายแล้ว เรกกะ ก็มีแต่ ทาลิวิลย่า สินะ

มาธิอัส:ใช้ไม่ได้เลยนะ อะ ฮะ

เรกกะ : เงียบไปเลย!

ไรด์: งั้นมาเริ่มขั้นต่อไปกันเลยเถอะ

เฟนท์: ขั้นต่อไปงั้นเหรอ (การุรุม่อน:อ๊า ขอเดี๊ยนร่วมด้วยคนจิ) (เฮ้ยคิดไรกันน่ะ)

ไรด์: ก็เกมส์ที่ เวลาไปโกคอน เค้าต้องเล่นกันไง…เกมพระราชา

คนอื่นๆ:โห!

แมกกี้: เจ้านายครับ มันคืออะไรเหรอ? เกมพระราชาอ่ะ

เรกกะ : เกมพระราชาก็คือเกมแบบเล่นเป็นหมู่คณะ เหมาะสำหรับ เวลาไป โกคอน และ อื่นๆ
ซึ่งนิยมทำกันเป็นหมู่คณะ โดยจะให้แต่ละคนจับสลาก เบอร์กับ สลากพระราชา

ใครได้สลากพระราชาจะสามารถออกคำสั่งให้ เบอร์ต่างๆทำตามได้ แต่ตอนที่สั่ง พระราชาจะยังไม่รู้ว่า
ใครได้เลขอะไรจนกว่าจะเริ่มการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการวัดเซ้นท์ ของคนเป็นพระราชาด้วยว่า
จะจัดคำสั่งให้คนที่ได้รับเบอร์ต่างๆ ทำอะไรได้ตรงตามใจตัวเองไหม

แมกกี้: เอ๋…เล่นกันเป็นหมู่เหรอ แล้ว เจ้านายจะเล่นด้วยรึเปล่าคับ

เรกกะ: ห…บ้าน่า…รู้อยู่แล้วนี่คำตอบของชั้นน่ะ…ใครจะไปเล่นให้โง่ล่ะ…เล่นทีไรเจ้า เฟนท์ ได้เป็นพระราชาทุกที

เฟนท์: เอ๋? เรกกะ จะไม่เล่นเหรอ

เอมิล: จิ๊บจ๊อย จริงๆ

เรกกะ: ห๊ะ..นี่นาย

เอมิล: ถ้าเล่นเกมแค่นี้ไม่ได้ ก็อย่าหวังจะกู้โลกเลย

เรกกะ: ว่าไงนะ!

เอมิล: ช่างเถอะยังไงซะชั้นก็ไม่เหลือบทให้นายมาเอาคืนในซีรี่ย์ อยู่แล้ว

เรกกะ: จะเล่น!(เสียงสั่น)
 
เฟนท์: เรกกะ?

เรกกะ: จะเล่นไอ้เกมพระราชานี่

มาธิอัส: ฮะๆ สมเป็น เอมิล รู้ตำแหน่งสวิตซ์ของ เรกกะ ไปหมดเชียว (ไมมันฟังทะแม่งๆ)

ลูเทเซีย: งั้นก็ สุซาคุ ช่วยเตรียมตะเกียบจับสลากทีสิ

สุซาคุ:Yes your Majesty

ครู่ต่อมา….

เรกกะ: เริ่มเกมพระราชาได้

ทุกคน: ใครคือพระราชา? (จับสลาก)

แมกกี้:ได้แล้ว!

คนอื่นๆ: อ๊าาา!

แมกกี้: คำสั่งของพระราชาถือเป็นเด็ดขาดให้ เบอร์ 2 กับ เบอร์ 4 เล่นเกม คาริ คาริ ชู ชู กัน

เรกกะ: เกม คาริ คาริ ชู ชู เรอะ

ลอว์เรนซ์: เกม คาริ คาริ ชู ชู ?

เรกกะ: เกมที่ให้คนสองคนค่อยๆกินขนมแท่งจากคนละด้าน นี่ล่ะเกม คาริ คาริ ชู ชู

(จริงๆ คาริ คาริ ชู ชู เป็นการเรียกแบบญี่ปุ่น ที่จริงมัน แปลว่า กรุ๊บ กรุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ [แปลได้เสื่อมอีก]มันก็เป็นเกมส์ อย่างที่ท่านคิดกันล่ะ ให้แต่ละคนคาบป๊อกกี้ คนละด้านแล้วก็…ใครหยุดกรุ๊บๆก่อนแพ้นะจ้ะ[เลยพึ่งถึงบางอ้อด้วยว่าทำไมร้าน เกะ ทุกร้านที่เราไปมันจะมีเมนูของกินเล่นที่มีป็อกกี้เป็นส่วนประกอบ])

เฟนท์:ทำไม แมกกี้ ที่ไม่รู้จัก เกมพระราชา ถึงได้รู้จักเกม คาริ คาริ ชู ชู ล่ะ?

มาธิอัส: หมอนี่มันแอ๊บแบ๊ว น่ะ....

แมกกี้: เอ้าใครได้ เบอร์ 2 กับ เบอร์ 4

เฟนท์: ชั้นได้เบอร์2 (การุรุม่อน: อ็าคคคค )(อ้าวเฮ้ยๆ กระอักเลือดเลยเรอะ)

เอมิล: แล้วเบอร์ 4 ล่ะ

เรกกะ: ...ชั้นเอง...

แมกกี้: ยกเลิก! เมื่อกี้ที่สั่งถือเป็นโมฆะ! (รีบเชียวนะเอ็ง)

คนอื่นๆ: คำสั่งของพระราชาถือเป็นเด็ดขาด

(มาถึงขั้นนี้กษัตริย์ ตรัส แล้วย่อมไม่คืนคำ อ้อยจะเข้าปากช้างแล้ว หัวทุยๆหยุดบ่ได้ดอก เหอๆ)

แมกกี้: เฮือก!

เรกกะ : เกมคาริ คาริ ชู ชู!

เอมิล : อย่าบอกนะว่าแค่นี้ทำไม่ได้น่ะ เรกกะ (เอ้าท้าอีก นี่ถ้าท้ามากกว่านี้ จะขนาดไหนกันนะ)

เรกกะ: ไม่มีทางอยู่แล้ว.. มาเริ่มกันเลย เฟนท์ !

เฟนท์: เดี๋ยว! เดี๋ยว! ประเดี๋ยว! ก่อน เรกกะ

เรกกะ: ไม่ต้องพูดแล้วเอ้า งับเข้าไปซะ

เฟนท์: เดี๋ยว! รอก่อน...เรกกะ ประเดี๋ยว!

อุบ งุบงับ (เสียงโดน ยัดปาก)

มาธิอัส: สงสัยงานนี้จะไม่รอดแล้วล่ะมั้งเนี่ย เฟนท์ หือ

เฟนท์: อย่า อู้ด  เอ็น อาง อย่าง อั้น อิ อ้าบ...(อย่าพูดเป็นลางอย่างนั้นสิค้าบ)

ไรด์ : ไม่ต้องห่วงหรอกชั้นเชื่อในตัวนายนะ เฟนท์ นายต้องชนะแน่

ลูเทเซีย: นั่นสินะ เรกกะ เจ้าคิดว่าตัวเองไหวรึเปล่าเนี่ย
เรกกะ: ขอบพระทัยที่เป็นห่วง  เดี๋ยวกระหม่อนจะแสดงให้ดูว่า การเล่น คาริ คาริ ชู ชู เกม ของ กระหม่อนไม่เป็นลองใครเหมือนกัน

สุซาคุ: มาดมั่นราวกับนักรบที่เจนจัดสนามรบมามากจริงๆ (เอ้อ ตกลงพวกแกคุยเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย)

ลอว์เรนซ์ : อะไรกัน รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเลย (แหงล่ะ ข้างๆตูนี่จะมีคนตายอยู่แล้วคนหนึ่งเนี่ย)

แมกกี้: ริมฝีปากของนายท่าน มีออร่าอันเร่าร้อนที่สัมผัสไม่ได้แผ่ออกมาด้วย!

เรกกะ: อา~~~~

ลอว์เรนซ์ : ปาก..ค่อยๆ เผยอแล้ว

เรกกะ: อา~~~~ สู้ตาย!

กรุบ(เสียงงับ)

แมกกี้: นายท่านงับแล้ว

เอมิล: ถ้างั้น เกม คาริ คาริ ชู ชู เริ่มได้

กรุบๆๆ(เสียงเคี้ยว)

แมกกี้: เฟนท์ นำแต่แรก!

เอมิล: ไม่หรอก เรกกะ ไม่แพ้ง่ายๆหรอก ดูการเคลื่อนไหวของ ริมฝีปากนั่นสิ

ลอว์เรนซ์: กลยุทธ์เลียๆ อ้ำๆ  ...หนึ่งในกลศึกจากบันทึกโบราณของยอดกุนซืออัจฉริยะ...
(แล้วไอ้ที่ตอนแรก อุทานเสมือนไม่รู้จัก เกม คาริ คาริ ชู ชู นี่มันคนเดียวกันแน่หรือนี่)

สุซาคุ: สุดยอดเลย สมเป็นจ้าวนักรบแห่งมังกร เกม คาริ คาริ ชู ชู  ช่างสมเป็นเกม
ทดสอบความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ลูกผู้ชายจริงๆ (เอ่อ นี่มันจะเป็นชายเหนือชายแล้วนะ)

ลูเทเซีย: สุซาคุ บางครั้งชั้นเองก็รู้สึกสงสัยนายอยู่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย (ทำท่าเหงื่อตก)
ไรด์: เฟนท์ ต้องมีแผนอะไรอยู่แน่ๆ ชั้นเชื่อในตัวหมอนั่น
แมกกี้ : ระหว่างที่ทางนี้มัวแต่พล่ามไม่สนใจตอนนี้!

ลอว์เรนซ์: ระยะห่างระหว่าง เรกกะ กับ เฟนท์...!

คนอื่นๆ: เหลืออีก .... 3 เซ็นต์ ...2เซ็นต์...1เซ็นต์..

ลอว์เรนซ์:ใครจะเป็นฝ่ายหยุดก่อน!!!!!!!

กรุบ กรุบ กรุบ ....จ๊วบบบบบบบบบบบบบบบ!

(เสียงอะไรคงไม่ต้องบอก ว่าแต่สู่สุขคตินะ การุรุม่อน)

แมกกี้: เจ้านายยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!

เรกกะ : เฟนท์ ! ทำไมถึงไม่ยอมหยุดวะ

เฟนท์: (เสียงนุ่ม) เพราะเป็นนายน่ะสิ ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่ (เอ่อ...มิตรภาพ หรืออะไรวะเนี่ย - -*)

กริ้งงงง กริ้งงงง (เสียงโทรศัพท์ ในห้อง)

เอมิล: โทรศัพท์ จาก ฟร้อนน่ะ เฟนท์ ช่วยรับหน่อยได้ไหม

มาธิอัส: สมเป็น นายจริงๆ  กะเวลาได้เหมาะเจาะขัดจังหวะพอดี ยักษ์ชัดๆ

เอมิล: ชั้นเป็นอานิม่า ตะหาก?

แกร๊ก (เสียงยกหูโทรศัพท์)

เฟนท์:ฮัลโหล..หมดเวลาแล้วหรือครับ..ไม่ต่อ..

เรกกะ : ช้าก่อน เฟนท์ ต่อเวลาซะ (พูดไปตัวสั่นไป)

เฟนท์: ฮะ!
.
เรกกะ : ไม่ยอมแพ้หรอก จะเล่นต่อไอ้เกมส์พระราชานี่ ทุกคนก็ต้องเล่นด้วย

(จะเอาอีกเรอะ! ติดใจล่ะเซ่)

ทุกคน: โอ้

เรกกะ : เกมพระราชาเริ่มได้!!!!
ทุกคน: ใครคือพระราชา!

จบเหอะ....


ถ้ายังไงคงไม่ค่อยมีเวลาสครีม เท่าไหร่ ต้องพาเจ้า การุรุม่อน ไปโรงบาล ไม่งั้นมันได้ไปหายมบาลแทนแน่
สำหรับตอนพิเศษคราวนี้เปลี่ยนใจเอามาลงดื้อๆไปเลย เพราะต้นฉบับเขียนไม่ทัน
ส่วนฉบับ นี้แถมรูปจาก เจ้าวาการุรุม่อน ส่งท้ายสงกรานต์ นะขอร้าบบบ


(http://images.temppic.com/15-04-2009/images_vertis/1239777058_0.35826000.jpg)

ตอนหน้า  Turn 03 (The Final) sideline of Recca (ชื่อไทย: งานพิเศษสุดป่วนของ เรกกะ)



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 02 Date Party Rhapsody
Post by: boy on April 15, 2009, 06:54:48 PM
กรุบ กรุบ กรุบ ....จ๊วบบบบบบบบบบบบบบบ!
^
^
^
เรกกะจาง~  ::003::  แค่เกมส์เล็กๆ...แต่มันใส่ใจถึงขั้นไม่ยอมหยุดที่จะเล่นต่อ

แล้วเป็นไงล่ะ  ::010::  รสชาติของ First kiss (มั้ง?)  เฟนท์จังก็เหมือนกัน.....คราวนี้ดวงดีไม่ขึ้นแล้ว เหอๆๆ  ::011::

ปล.ท่าทางเรกกะจะติดใจที่ได้........กับเฟนท์  ถึงว่าพี่แกไม่ยอมหยุดเล่นเกมส์นี้ซะที


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 02 Date Party Rhapsody
Post by: cocka-c on April 15, 2009, 08:35:57 PM
อา กลับจาก ยมบาล เอ้ย โรงบาลมา แย้ว
ฮือๆ คราวหน้าจะไปโกคอน ชวนเจ๊ไปด้วยน้า แง ฃ
อดเลยไม่น่าไปนั่งเม้ากะ พวก R2 เยย ::008::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 02 Date Party Rhapsody
Post by: boy on April 15, 2009, 09:26:55 PM
ว่าแต่ยังไม่เห็นรูปพรรณของเฟนท์กับมิมิ โคเว็ท ฯลฯเลยนะ

อยากเห็นจัง  ::003::  การ์ดรูปไอที่เคยขอไปก็ได้มาเซฟดองไว้ดูเล่นแล้ว

ขาดเฟนท์เนี่ย กับใบอื่นๆ  ::007::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 02 Date Party Rhapsody
Post by: greamon on April 16, 2009, 06:12:02 PM
เฟนท์ นี่มีไปแล้วนะ แต่เป็นตอน คอสเป็น Valkyrier แต่รูปชุดนักเรียนนั่น ใส่ไปใน op แทน
ทำเปงการ์ดมะหวาย มันค่อนข้างเห่ยอ่ะนะ เวลา เฟนท์ อยู่ในชุดนักเรียน ::010::

ส่วน มิมิ โคเว็ท นี่ไม่แน่ใจว่าทำทันมิ แต่ เจ้า การุรุม่อน กับ วาการุรุม่อน กะลังแต่งอยู่

ส่วนโกรอทพลามาทอส เวอชั่น แปลงเป็นดาบ เทนโทม่อน กะลังเขียน

เหลือ ปิโยม่อน นั่งตรวจคำศัพท์ สบายอยู่คนเดียว  ::010::

ช่างมันเถอะ ทีมงานเรามีคนเยอะก็ดีแว้วอ่ะเนอะ ว่าแต่ ตำแหน่งชั้นมัน คนเขียนอย่างเดียวไม่ใช่เรอะไหง
พาไปควบ กราฟฟิก ดีไซน์ด้วยเนี่ย ::019:: คนเดียว สองงานนะว้อย เจ้าการุรุม่อน รีบกลับมาจากโรงบาลซะทีสิ  เอ๊ะมันกลับมาแล้วนิหว่าว่าแต่ไปไหนล่ะเนี่ย เหอๆ

ช่างมัน  เริ่มตอนพิเศษ ตอนที่ 3 ไปเลยละกัน ตอนสุดท้ายละ จากนี้จะเป็น ซีรี่ย์ ไปจนจบเลย แล้วก็ ต่อ SMn VR เอ็ะ หรือ ทาลิฯ3


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 02 Date Party Rhapsody
Post by: greamon on April 16, 2009, 06:13:31 PM
เนื่องจากถ้ารวมกับเนื้อหาที่ รีไพ ตะกี้ ที่มันจะไม่พอเลยย่นลงมาอีก รีไพ ขออภัยถ้าปั้มกระทู้เกิน!

Turn 03 (The Final) Sideline of Recca


ฉากที่1 ร้านแฮมเบอร์เกอร์  (สงสัยมาตั้งกะตอนที่แล้ว มีร้าน เกะอย่างเดียวไม่พอ คราวนี้ร้านแฮมฯ จะอะไรนักหนานิ)

ตือตื๊อ(เสียงกระดิ่งประตูร้าน)

ลูกค้า1: เอ่อ ขอชุดที่ 2 HamFish แล้วก็ โคล่า ค่ะ (เออ เอาเข้าไปมีโค้กด้วย!)

เฟนท์:ได้ครับกรุณารอซักครู่นะครับ

เฟนท์: (ตะโกน) เรกกะ ชุดที่2  Hamfish กับ โคล่า

เรกกะ: ได้แล้วๆ

เฟนท์: นี่ครับได้แล้วชุดที่ 2 Hamfish กับ โคล่า จะรับมันฝรั่งเพิ่มไหมครับ?(เสียงนุ่ม)

ลูกค้า: คะ…ค่ะ (เสียงเคลิ้มสุดๆ)

เฟนท์: ขอบคุณมากครับโอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ

ตือตื้ด (เสียงกระดิ่งประตูร้าน)  (การุรุม่อน: อ๊า ท่าน เฟนท์ เจ้าขาทำงานร้านไหนคะเนี่ย เดี๊ยนจะไปอุดหนุนทุกวันเลย)



เฟนท์: แบบนี้ล่ะ เรกกะ ต่อไปนายลองบ้างสิ (ปิโยม่อน: อา จะละลายอยู่แล้ว นึกถึงหนุ่มๆในชุดพนักงานร้าน)

(เอากะเค้าสิ พี่เรา - -*)

ตือตื้ด (เสียงกระดิ่งจากนี้ไม่บอกแล้วนะ)

ลูกค้า: ขอชุด 3 Hamchick กับ โคล่า แล้ว ก็สลัด ค่ะ

เรกกะ: กรุณารอซักครู่นะครับ

เฟนท์: นี่ เรกกะ เวลาคุยกับลูกค้าน่ะยิ้มหน่อย!(กระซิบ)

เรกกะ:เออๆ..แต่ที่ต้องมาทำงานแบบนี้ก็เพราะยัย มิมิ สั่งมาแท้ๆ (ขบฟันนิดหน่อย)

เรกกะ: นี่ครับ ชุดที่3 จะรับมันฝรั่งเพิ่มไหมครับ?(เสียงนุ่มบวกยิ้มกระชากใจ)


ลูกค้า:อะ…ค่ะ (เคลิ้มชนิดว่าจะละลายเป็นไอศครีมเชียวล่ะ จะว่าไป เจ้าปิโยม่อนกับ เจ้า การุรุม่อน หายไปแล้วเนี่ย)
(การุรุม่อน: ระเหยเป็นไอ ตั้งกะ เรกกะ คุงพูดแว้ว อ๊าเสียง นุ่มจนละลายแล้วละลายอีก)
(ปิโยม่อน:คำเดียวจ้า น้องพลับขอสอง เอ้ยไม่ช่าย พี่ไม่ได้โลภนะ)

เฟนท์: ฟีโรโมนเป็นพิษเรอะเนี่ย? (เสียงเกาหัว)แกรกๆ

เรกกะ:ขอบคุณมากครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ

ลูกค้า:ค่ะ  อ..เอ่อ ว่าแต่คุณชื่ออะไรเหรอคะ?

เรกก:โทษนะนี่มันเวลางานน่ะ ไว้คราวหน้านะ

ลูกค้า:ค่ะ!

ตือตื้ด

เรกกะ: สำเร็จ ถ้ายัดเยียด มันฝรั่งให้เพิ่มไปได้เรื่อยๆแบบนี้ อีกไม่กี่วัน เราก็เลิกทำงานพิเศษตามคำสั่งยัย มิมิ ได้ซะที

(แต่ชั้นว่า ลูกค้าเค้าเต็มใจมากกว่าโดนยัดเยียดนะ) (การุรุม่อน: อ๊า เจ๊ จะเหมาคนขายค่า) (ปิโยม่อน:ฮั้น ด้วยค่ะ)


เรกกะ:ชั้นว่างานแบบนี้มันจิ๊บจ๊อยมากเลยนะ รับรองว่า ยัย มิมิ ได้ถอนคำพูดว่า
“พวกเราเอาแต่บ้าฟิคเกอร์ทำงานทำการแน่ไม่ได้หรอก”แน่นอน!

เฟนท์: เอาเถอะถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรก็ดีหรอก
(ตอนไป เกะ ก็ทีแล้วนี่ จ๊วบไปเต็มปากเต็มคำ) (การุรุม่อน: อ๊าย อย่ามาระลึกเรื่องที่มันผ่านไปแล้วสิ)
(ปิโยม่อน:ใช่ๆ เป็นความทรงจำที่โหดร้ายจริงๆที่ให้ เทนโทม่อน กับ วาการุรุม่อน เป็นคนเขียนบทน่ะ)

ตือตื้ด

R2: โยว่ เจ้าหนู (เสียงป้ามาแต่ไกล)

เรกกะ:ห..R2!! (แววบรรลัยมาแล้วไง)

เฟนท์:รู้จักกันเหรอ?

ปับ(เสียง เรกกะ กุมขมับ  งานถ้าจะไม่รอดว่ะเอ็ง)

R2: เอาชีสเค้ก ราดช็อคโกแลต แล้วก็ชาเย็น

เรกกะ:ต..แต่!

R2:ไม่ต้องมาพูดถึงมันฝรั่งทอดบ้าๆอะไรนั่น เอาเค้กมา!

เรกกะ:นี่ มันร้าน แฮมเบอร์เกอร์ นะ!!? อย่ามายุ่งเวลาชั้นทำงานสิเฟ้ย! ที่นี่น่ะไม่มี เค้กหรอก!

R2: ต๊ายตายนี่ นายกล้าขึ้นเสียงกับลูกค้าแบบนี้เหรอ(เสียงกวนส้นแบบสุดๆ)

เรกกะ: เธอนี่มัน!

R2: ฮะๆ ก็อย่างว่าแหล่ะน้า ลูกค้าต้องมาก่อนมันเป็นอุดมการณ์ของ
 พนักงานร้านมาตั้งยุคไหนๆแล้วเนอะ(ดัดเสียงสูงๆ แล้วพูดแบบกวนส้นที่สุด)

เรกกะ: ก็บอกว่าที่นี่มัน ร้าน แฮมเบอร์เกอร์ มันจะไปมีเค้กอยู่ในเมนูได้ไงเล่า!

R2: ไม่ต้องมาขึ้นเสียง เอา เค้กมา!

เรกกะ: กลับไปซะ อย่ากวนเวลางานชั้นเลยเถอะน่า!

R2: ฉันกลับแน่แต่เอา เค้กมาก่อนสิ

เรกกะ:ก็บอกว่านี่มัน ร้าน แฮมเบอร์เกอร์ ไงฟังไม่รู้เรื่องเรอะ!

R2: ร้านแฮมฯ ร้านแฮมฯ เอาแต่พูดแบบนั้น ฉันไม่กลับง่ายๆหรอกนะยะ!

เรกกะ: นี่เธอจะไม่ยอมไปดีๆใช่ไหมเนี่ย!

R2: ถ้าคิดว่าไล่ฉันได้ก็ลองดูสิยะ!

เรกกะ: เธอกล้าท้าชั้นเรอะ!

R2: เข้ามาเลย! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน พึ่งเป็น ทาลิวิลย่า ได้ไม่ถึงปี คิดจะข้ามรุ่นแล้วเรอะ !

เฟนท์:อะห้อยๆ หยุดก่อนเถอะน่า เรกกะ ทะเลาะแบบนี้มันไม่ดีนา

ตุบตับ ตุบตับ เปรี้ยง พล่อก (เสียงอะไรคงพอเดาได้ แต่ที่แน่ๆ เฟนท์ โดนลูกหลงดอกแรกกลิ้งลงไปนอน
ตั้งกะต้นละ)

แล้วก็ตามฟอร์ม โดนไล่ออกเพราะดันไปมีเรื่องกับลูกค้า

ฉากที่ 2 ฟร้อน ของ โรงแรม

เฟนท์: เรกกะ คราวนี้เราทำงานเป็น เบลบอย(พนักงานขนกระเป๋า) นะ นายจะไหวรึเปล่าเนี่ย


เรกกะ: งานนี้ชิวๆน่า แค่ยกกระเป๋าลูกค้าไปส่งที่ห้องไม่ต้องพูดไม่ต้องฝืนยิ้ม ด้วย สบายๆ

เฟนท์: เหรอ…ว่าแต่ เด็กผู้หญิงน่ารักๆ ที่เจอกันที่ร้านแฮมฯ
(แอบนอกใจ ไอ เหยอ เฟนท์  ว่าแต่ ปิโยม่อน กับ การุรุม่อนไปไหนหว่าเงียบๆแฮะ)

เรกกะ: ชั้นเตือนไว้ดีกว่านะ อย่าไปยุ่งกับยัยนั่นเด็ดขาดเลย ถ้ายังไม่อยากหัวหลุดจากบ่า

ครู่ต่อมา….
กิ้งงง

และแล้วลูกค้าคนแรกก็มากดกริ่ง

เรกกะ: ผมจะช่วยขนสัมภาระไปให้นะครับ

ฮึบบ! ฮึ้ยยยย! ฮึบบบบ  (เสียงยกสุดแรงเกิดของ เรกกะ)

ครืดดด ครืดดดด (เสียงกระเป๋าน่าจะโดนลากมากกว่ายกนะ)


เฟนท์: แย่ล่ะสิ ลืมนึกไปเลยว่าพวก โอตาคุ แบบ เรกกะ จะมีแรงอยู่แค่ไหน งานนี้สงสัยไม่รอดแหงมๆ


ยกสัมภาระไปที่ ลิฟต์ ได้สำเร็จ


เรกกะ: แฮ่กๆ ถึงซะทีแล้วทีนี้ก็ แว้บบบ(ตาซ้ายเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ทาโซรอส ออกโรง )

ติ้งต่อง ครืดดด (เสียงลิฟต์)

ทาโซรอส: ห้อง 70 ไปกันเลยนะขอรับ

ตุบๆๆๆๆ ครืนๆๆ (เสียงวิ่งแบบบ้าพลังสุดๆ )

ลูกค้า: แว้ก ปล่อย ชั้นลงนะ ปล่อย !

(ประมาณว่า บ้าพลังสุดๆแบบทั้งกระเป๋า ทั้งลูกค้าไปส่งที่ห้องโลด ถึงปุ๊บก็โยน ลูกค้ากับสัมภาระ เข้าไปในห้อง
แล้วแจ้นกลับมาด้วยความเร็วแสง….เวอร์ๆ)

เรกกะ: เรียบร้อยงานนี้ ไปได้สวยแน่

(ก็นะ อยากจะบอกว่าอีกไม่นาน ความบรรลัยจะมาเยือนอีกแว้ว)

R2 : เฮ้! (เสียงป้า มาแต่ไกล)

เฟนท์: มานั่นแล้ว!

เรกกะ:R2 !!  มา(ทำหอก)อีกแล้วเรอะ

R2: ยังก็ช่วยขนสัมภาระไปให้หน่อยนะจ๊ะ พ่อเบลบอย

เรกกะ:ชิ… แล้วไหนล่ะ…


ถามเสร็จ ป้าแกชี้ไปข้างหลัง

เรกกะ+เฟนท์: เฮ้ย!! หมดนี่เลยเรอะ!! (คาดว่าคงกองมโหฬาร มากๆแต่ไงก็เป็น ทาโซรอสแบบได้อยู่แล้วนิ)

เรกกะ: ช่างมัน ทาโซรอส (เสียงเปลี่ยนตาซ้าย) แวบ วูบ (อ้าววืดซะงั้น)

เรกกะ: เฮ้ยไหงเป็นงี้! ทาโซรอส! ทาโซรอส!


R2 : (กระซิบ)มันจะใช้ไม่ได้ก็ไม่แปลก ก็ในตู้คอนเทนเนอร์ เนี่ยมันใส่ อาแมนคริส อยู่ด้วย
พลังนายเลยไม่ทำงานไง

เรกกะ: ว่าไงนะ! แล้วแบบนี้ ชั้นจะยกไปยังไง…

R2: ฉันเป็นลูกค้านี่เนอะ ฝากด้วยละกัน (เสียงกวนส้นอีกแล้ว)


เรกกะ: แต่นี่มันสัมภาระของเธอ..

R2: แล้วก็อย่าลืมซะล่ะ  ฉันพักอยู่ชั้น 8

สุดท้าย ลงเอยที่ ว่า เจ้า เรกกะ ก็ต้องยกไปด้วยตัวเอง (ว่าแต่ป้าจะแบบ อาแมนคริส
 มาทำไมเนี่ย มาแกล้งโดยเฉพาะสินะ)

ฮึบ! ฮึ้ยยย! อึ้ดดด! ย้ากกก! แฮ่กๆๆ (ออกแรงจนสุดไม่ขยับซักกะมิล หอบทันที)

R2: ฮะๆๆ สมบังอาจมาทำกับฉันไว้ที่ร้าน แฮมฯ ไงสำนึกบ้างรึยางง พ่อเด็กอมมือ อย่างนายน่ะยังห่าง
ชั้นไปจากฉันอีกหลายขุมย่ะ!

เฟนท์: ไม่เป็นไรนะ เรกกะ ?

เรกกะ: เล่นกันแบบนี้…เล่นกันแบบนี้ใช่ม้ายย

กึกๆๆๆ เอี้ยดดด ครึกๆๆๆ (เท้าวิ่ง กับเสียงรถเข็นกระเป๋า)

R2: ว้าย นายไม่เห็นจะต้องโมโหขนาดนี้เลยนี่!

เรกกะ: หนอยมาให้ชั้นฟาดซะดีนะยัย ปีศาจ! ฮึ้ยๆ

ลงเอยที่ เรกกะ เอารถเข็นกระเป๋าวิ่งไล่เสย  R2  แทน

เฟนท์: หวา เรกกะ หยุดน้า~~~

แกร๊งงง (เสียงรถไปชนโดนสลักตู้คอนเทนเนอร์)

แอ๊ดดดด (ประตูตู้ค่อยๆเปิด)

ก็าซซซซซซซซซซ!

ทุกคน: เฮ้ย!!!!

อย่างที่รู้ๆกัน โรงแรมราบเป็นที่เรียบร้อย แล้วเก๊าะ โดนไล่ออกอีกแล้วขะรับท่าน


ฉากที่ 3 ร้านตัดเสื้อ

อาชีพคราวนี้ พนักงานร้านตัดเสื้อ

แกร๊ก (เสียงประตูเปิด)


เฟนท์: ไง เรกกะ งานเป็นไงมั่ง

เรกกะ:สบาย แค่นั่งจดขนาดตามที่สั่งแล้วป้อนลงเครื่อง จบ!
(คาดว่าน่าจะเป็นเครื่องตัดเสื้อแบบเสร็จสรรพ)

เฟนท์: นั่นสิน้า ดูแล้วคงไม่มีปัญหา เพราะงานคราวก่อน ทำเอาแทบไม่รอดแน่ะ

แกร๊ก (เสียงประตูเปิด)

เรกกะ: ยินดีต้อนรับ..ชะ…นี่เธออีกแล้วเรอะ

R2 :ไง คราวนี้ฉันมาขอใช้บริการหน่อยนะ

(งานไปได้สวยยังมิทันไร ท่านก็มาซะงั้น)

R2: ฉันจะมาวัดตัวตัดเสื้อ ช่วยหน่อยนะ(เสียงป้า แกกวนส้นอีกแล้ว ขะรับ)

เรกกะ: เฮือก!

R2: ก็อย่างว่าล่ะน้า ฉันเองก็จำสัดส่วนตัวเองไม่ค่อยได้ซะด้วยคงต้องให้นายช่วยมาวัดเป็นการส่วนตัวซะหน่อย

ครืดด(เสียง เปิดม่านห้องลองเสื้อ)

เฟนท์: ยอดไปเลยนะนายเนี่ย ดูถ้าว่า เค้าจะชอบนายจริงๆนะเนี่ยถึงได้ตามมาอุดหนุนตลอดเนี่ย

เรกกะ:ชอบกะผีน่ะสิ ตามมาราวีไม่เลิกซักที

ครืด(เสียง รูดม่านเปิดอีกรอบ)

R2 : นินทาอะไรน่ะ ฉันได้ยินนะ

เรกกะ + เฟนท์ : เฮือก!

R2 :มาวัดตัวได้แล้วน่าเจ้าหนู (เสียงป้าแกคราวนี้มาแนวอ่อยเหยื่อ แต่ป้าน่ะอ่อยไม่ติดแล้วล่ะ)

เรกกะ: เอ่อๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ

ครืดดด(เสียงปิดม่าน)

ว่าแล้ว ก็รูดม่านเข้ามุมไปวัดตัว(เอ๊ะ หรือไปจู๋จี๋)
เรกกะ:จะให้เริ่มตรงไหนดีล่ะ

R2: นายเป็นพนักงานนี่ อยากเริ่มตรงไหนก็เลือกเองสิ

เรกกะ : เชอะ อย่านึกนะว่าชั้นจะหลงคารมเธอง่ายๆน่ะ…ยื่น สะโพกมาก่อนละกัน

R2: ต๊าย รสนิยมแบบนายนี่ชอบข้างล่างมากกว่าข้างบนเหรอเนี่ย

เรกกะ: จะบ้ารึไง อย่างเธอไม่ใช่สเป็กชั้นหรอก

เฟนท์: อะห้อยย…งานนี้ถ้าจะไม่จบง่ายๆแหะ

R2: นี่เจ้าลูกหมาฉันได้ยินนะ

เฟนท์: แว้ก ขอโทษ!

เรกกะ: อย่าขยับสิ เดี๋ยวหลุดหรอก

R2 : อ๊ะโทษทีนะ แบบนี้ดีไหม

เรกกะ: ขยับไปทางซ้ายหน่อยสิ

R2: อุ๊ ..เบาๆหน่อยสิ

เรกกะ:คราวนี้ทางเลื่อนขึ้นมาอีกหน่อย…อีกนิดนึง

R2: ฮึบ อ้า~~~ อุ๊…อ๊า  (เสียงระทวยสุดๆ)

เรกกะ: เบาๆหน่อยสิ

เฟนท์: (ยืนฟังอยู่หน้าห้องลองเสื้อ) จึ๋ย..นี่หรือว่าทั้งสองคนกำลังลักหลับกันอยู่เนี่ย (เฮ้ย เฟนท์ แกจิ้นเตลิดไปไหนเนี่ย)

R2: นายเนี่ย มีดีกว่าที่คิดนะ

เรกกะ: เงียบไปเลยน่า ชั้นแหย่ไม่ถูกนะ อย่าขยับตัวบ่อยนักสิ

(การุรุม่อน กับ ปิโยม่อน:พวกเมิงทำไรกันวะค้าาาา)
(โอ้ มาถึงก็ประสานเสียงกันเลยเรอะ ว่าแต่ไปไหนมาเนี่ย )

เรกกะ: ฮะ..อย่าพึ่งสิ ของเธอมัน เด้งชนชั้นไปหมดแล้วนะ

R2: แหมก็มันคุมได้ซะที่ไหนเล่า

(เฮ้ยนี่ทำไรกันอยู่เนี่ย- - *)

เรกกะ: เข็มสายวัดมันจะหลุดก็เพราะเธอเอาแต่ดิ้นเนี่ยแหละ

R2: ก็นายรัดแน่น เองทำไมล่ะ

(โธ่หลง เข้าใจผิดอยู่ตั้งนาน)

ครู่ต่อมา…

ครืดดดด(เสียงเปิดม่าน)

R2: เสร็จซะที เมื่อยไปหมดเลยนายเนี่ย มันไร้ความนุ่นนวลซะไม่มี

เรกกะ: แล้วใครใช้เธอมาวัดตัว กับชั้นล่ะ

เฟนท์: วัดขนาดยากขนาดนั้นเลยเหรอ

เรกกะ:แหงสิก็สะโพกยัยนี่ แปดสิบ… วืด ตุบ อั้ก!!!!!! (โดนป้าแกอัดก่อนพูดจบแล้วตกลง 80เท่าไหร่เนี่ย)



ฉากที่ 4 หน้าประตูทางเข้าห้องเย็นเก็บสินค้าของที่นึง

งานคราวนี้ คือ รปภ. รักษาห้องเย็น

เฟนท์: เรกกะ นายจะจับโจรไหวเหรอ ?

เรกกะ: ช่างเถอะน่า ไม่มีโจรที่ไหนมาขโมยของหรอก ออกจะสงบจะตาย
(กระซิบ ถึงมาจริงชั้นก็แค่ให้เจ้า ทาลิคนัส ช่วยก็สิ้นเรื่อง)

เฟนท์: ทาลิคนัส อะไรเหรอ?

เรกกะ: อ…อ๋อ ไม่มีอะไร แค่บ่นไปเรื่อยเปื่อยน่ะ

เฟนท์ : เหรอแต่ชั้นว่า หลังๆนายแปลกๆไปนะ มีอะไรรึเปล่า?

เรกกะ: อะ..ช่างเถอะน่า ว่าแต่ห้องเย็นนี่เก็บอะไรเหรอ

เฟนท์: อืมที่จริงห้องนี่เป็นของเครือสินค้าที่ ร้านบ้านนายเป็นสมาชิกด้วยนี่

เรกกะ: เหรอว่าแต่มันเก็บอะไรล่ะ

เฟนท์: อืม รู้สึกจะเป็น เค้ก ล่ะมั้ง

เรกกะ: เค้ก งั้นเรอะ!(กระซิบ งานเข้าแล้วไง)

ทันใดนั้นมันก็มาอีกแล้ว~~~(ป้า รีเทิร์น ภาคราชันย์แห่งเค้ก อ้าวไม่ใช่หรอกเหรอ?)


หึๆๆ ฮ้าฮ่าฮ่า ฮ้า ฮ่า ฮ่า เฮ้อ เฮ้อ (เสียงหัวเราะที่ฟังแล้วรั่วที่สุดในประวัติศาสตร์)

R2:ที่ใดมี เค้ก ที่นั่น ย่อมมีข้าจอมโจรปริศนา จงส่งเค้กทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้

เรกกะ: R2!

เฟนท์: อีกแล้วเร้อ!

R2: รีบๆส่งเค้กมาซะดีๆ

เรกกะ: R2 นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?!!

R2: เอ๋ ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ ก็ฉันะมาเอาเค้กที่นี่ไปไงล่ะ

เรกกะ: แต่ที่เธอทำนี่มันหัวขโมยชัดๆ!!

R2:ไม่ใช่ขโมยซักหน่อย

เรกกะ: งั้นอะไรล่ะ?

R2: จอมโจรปริศนาต่างหากล่ะ

เรกกะ: มันก็เหมือนกันน่ะแหละ!

R2: ไม่ใช่ซักหน่อย หัวขโมยน่ะมันอาชญากร แต่จอมโจรปริศนาคือผู้ที่ไล่ตามความฝันของตัวเองต่างหากล่ะ

เฟนท์: แต่มันก็ขโมยอยู่ดีไม่ใช่เหรอ

R2 : อะ ฮะ เธอ เนี่ยน้า ยังเด็กซะจริง ถึงได้แยกแยะไม่ออกน่ะ
(แต่เราก็ว่าไม่เห็นมันจะต่างกันเลยนะป้า R2 ขา)


เรกกะ: นี่คิดว่าเป็นชั้นแล้วจะปล่อยให้เธอเข้าไปง่ายๆงั้นเรอะ

R2:แหม…(เสียงอ้อน)น่านะ เพื่อความฝันของ จอมโจรปริศนา ผู้อาภัพ คนนี้พวกเธอจะไม่สงสารบ้างเหรอ

เรกกะ: ไปไกลๆเลย ไม้ใช้กับชั้นไม่ได้ผลหรอก

R2:เหรอ  ถ้างั้นไอ้นี่ล่ะ

เรกกะ+ เฟนท์ : เฮือก!

(ป้าแกโชว์รูปถ่ายอะไรให้ดูอยู่น่ะ)

เรกกะ: น…นี่มัน!

เฟนท์: ไปแอบถ่ายมาตอนไหนเนี่ย

R2: ฮุๆ รูปพวกนาย เล่น คาริ คาริ ชูชู เกม ตอนไปโกคอน กันฉันยังมีเก็บไว้อีกเพียบเลยล่ะ
นี่แค่เซิร์ฟๆนะ ของจริงมีเด็ดกว่านี้อีกเยอะ ถ้าเอาไปแพร่ในเน็ตล่ะก็นะ..
(โอ้ ป้าร้ายนะเนี่ย)

ปิ๊บๆๆ (เสียงกดรหัสผ่าน)

เรกกะ: ชิ….เธอชนะ…เชิญตามสบายเลย (พูดไปกัดฟันไป)

เคร้งงง กร๊างงงงง ครืนนนน ปึง(เสียงประตูเปิด)

เฟนท์: แบนนี้จะดีเหรอ เรกกะ…โดนจับได้นี่คุกเลยนะ!

เรกกะ: หรือนายอยากให้ไอ้รูปนั่นไปขึ้นหลาอยู่บนเน็ต ล่ะ

เฟนท์: อึ๋ย จริงของนาย

R2 : หึๆ ยอมเข้าใจง่ายๆแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว


ข้างใน เค้กแช่ในกล่อง ใส กองพะเนินเป็นภูเขา พอ ป้าแกเข้าไปเห็นปุ้บก็นะ รั่วทะลุจุดศูนย์อย่างที่เห็น(คล้ายๆกะรีบอร์น แต่ไม่ใช่เดือดทะลุจุดศูนย์นะ นี่มันรั่ว)

R2: ว้าว ฮะๆ ว้าว เค้กๆ เค้กๆ เต็มไปหมดเลย จะกินให้หมดเลย! (เสียงยังกะกลับไปเป็นเด็กอายุ 10 ขวบแน่ะ)

เรกกะ: เฮ้ยๆ! (เป็นตูก็อึ้งว่ะ)

R2: แหม เค้กเยอะแยะไปหมดเลยจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีน้า

เรกกะ: จะทำอะไรก็เร็วๆเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่

R2: นายเนี่ยน้า ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันไม่เอาไปหมดหรอกแค่สองสามชิ้นเอง แต่ขอเลือกก่อนนะ

เรกกะ: อ็า ยัยบ้า อย่านั่งไปตรงนั้นนะ นั่นมันมีเซ็นเซอร์กันขโมย

หวอๆๆๆๆๆ(ช้าไปซะแล้วต๋อย)

R2 : เอ้ย ๆ เดี๋ยวก่อน จะไปไหนน่ะ

เรกกะ + เฟนท์: โกยสิ! ใครจะอยู่ให้โง่เล่า!

R2: ต…แต่เค้กล่ะ เดี๋ยวสิ มาช่วยกันขนออกไปก่อน

เรกกะ: จะบ้าเหรอ ประตูมันจะปิด อัตโนมัติแล้วนะไม่รีบไปเดี๋ยวก็โดนขังหรอก

แกร๊งงงง ครืนนนน (เสียงประตูเลื่อนปิดลงเรื่อยๆ)

R2 : เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อนรอด้วย เฮ้ย รอเดี๋ยว!

แกร๊งงง ปึง (เรกกะ กะ เฟนท์ มันหนีป้าไปก่อนแล้ว ป้ามัวห่วงเค้กหนีออกมาไม่ทัน)


R2:  กลับมาก่อนสิเจ้าบ้า! อย่าพึ่งไปจะทิ้งฉันไว้นี่เรอะ! กลับมาพาฉันออกไปก๊อนนนน!

เอวัง แต่ยังไม่จบ…

ฉากที่5 ทางเดินในโรงพยาบาล



เฟนท์: ชั้นหางานมาให้ได้แล้วนะ แต่…


เรกกะ: แต่อะไรเหรอ?

เฟนท์: มันเป็นงานที่ต้องใช้ความกล้ามากเลยนะ

เรกกะ:เหรอไม่เป็นไรหรอกชั้นไม่กลัวอะไรอยู่แล้วว่าแต่มันเป็นงานอะไรเหรอ?

เฟนท์ :คือว่าแต่ นายกลัวผีรึเปล่า?

เรกกะ: ไหงถามงั้นล่ะ ฮะๆ ผีไม่มีจริงหรอกน่า

เฟนท์ : นายแน่ใจนะว่าจะทำงานนี้น่ะ?

เรกกะ: แหงสิก็นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่างานนี้รับรองได้เลยว่าไม่มี ใครตามมาราวี
ชั้นแน่ น่ะ ขอแค่ไม่มียัยป้า นรกแตกนั่นก็พอแล้วจะงานอะไรชั้นก็ทำทั้งนั้นล่ะ

แอ๊ดดด (เสียงผลักประตู)


เฟนท์ :  ถ้านายแน่ใจ งั้นก็ อ่ะนี่อุปกรณ์

เรกกะ: นี่มัน หน้ากากกันแก๊ซ นี่?

 ตุบๆๆๆ แอ๊ด ปึง (เผ่นแนบไปเรียบร้อย)

เรกกะ: เอ้ยๆ เฟนท์ เดี๋ยว!

และก็มาถึงในฉากสุดท้าย ห้องดับจิต งานคือ คนล้างศพในโรงพยาบาล!!!(ไอ้เฟนท์ เอ้ย เจ้าช่างสรรหางานจริงๆ)

จ๋อมๆๆ (เสียงน้ำคาดว่า กำลังทำงานอยู่กับบ่อฟอมาลีน)

เรกกะ: หนอย เจ้า เฟนท์ทำกันได้ลงคอ น้า

5นาทีต่อมา ยกศพ ที่2 มาล้าง

เรกกะ: (เสียงสั่น)ชั้นไม่กลัว…ชั้นรู้ไม่มีอะไรต้องกลัว…ยังไงซะงานนี้ ยัย R2 ไม่มีทางมากวนชั้นแน่

จ๋อมๆๆ (เสียงน้ำกระเพื่อมขณะล้าง)

ขณะที่กำลังเงียบสงบดีๆอยู่แบบนี้ ทุกท่านคงรู้ชิมิ ว่ามันจะจบแบบไหน

จ๋อมๆๆๆๆ

ครืด ซ่าๆๆๆ
R2: เรก~~กะ!!!!!! (ป้าแกพุ่งพรวดขึ้นมาจาก บ่อฟอมาลีน )

เรกกะ: อ๊าคคคคคคคคคค!!!!!!!!!!!!!!!!!

งานนี้คงช็อก ตายคาบ่อ ฟอมาลีนล่ะนะ


จบจ้ะ.


ขอมาสครีมตอนสุดท้ายให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที  ตอนนี้ ป้า R2 โคตรแกล้ง เรกกะ เลย
ขอรับ ลูกทีมผมเนี่ย พากันฮาแตกตอน ป้า แกรั่วในห้องเก็บ เค้กเนี่ยแหละ

จะว่าไปป้าแกชอบเค้กมาก รึนี่ แต่ไม่นึกเลย เจ้า เฟนท์มันจะทำกันได้ลงคอ เหอๆ
ช่างสรรหางานจริงๆ ว่าแต่ใน สามตอนพิเศษ นี่ชอบเรื่องไหนกันบ้างเอ่ย
สำหรับผม ผมว่า ตอน จับกลุ่มนินทา ของพวกผู้หญิงตอนแรก ฮาที่สุดแล้วนะนั่น

ว่าแต่พึ่งสังเกต ชารี่ หน้าตาคล้าย พารุ ใน เนกิมะ เลยนะเนี่ย  ฮา
ว่าแต่ ซิกนัม จ๋า คิดได้ไงน่ะมุขนี้ เล่นมวยปล้ำ ฟังแล้วคิดไปลึกเลยนะนั่น
พูดถึงคิดลึก ตอนที่สามนี้ ก็มีตอนวัดตัว ป้า นะชวนคิดลึกจริงๆ เหอๆ

ส่วนตอนเล่นเทนนิสนี่ ก็ตามคาด อ่ะนะ ว่าเฟนท์ คงเป็นได้แค่กระสอบทรายให้ เรกกะ อัดลูก ใส่
เอาล่ะ เท่านี้ ตอนพิเศษ ก็หมดกันไปซักที จะได้เข้าซีรี่ย์ กันต่อ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเรื่องจะกร่อยหมดถ้าปล่อยมาพร้อม
ซีรี่ย์ จากดราม่า มันจะกลายเป็น คอเมดี้ ไปก็เจอกัน ในบท ที่ 15 นะขอร้าบ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 03 Sideline of Recca
Post by: boy on April 16, 2009, 06:37:43 PM
เหอๆ สมน้ำหน้าป้า R2  แกล้งเรกกะดีนักเลยสงสัยแข็งในห้องเก็บเค้กนั่นล่ะ  ::003::

ว่าแต่ออกมาได้ยังไงล่ะเนี่ย......สงสัยพนักงานขนเค้กคนอื่นจะพาตัวออกมาตอนที่ทำงาน  ::011::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 03 Sideline of Recca
Post by: greamon on April 17, 2009, 06:06:13 PM
Quote
แข็งในห้องเก็บเค้กนั่นล่ะ

ว่าแต่ออกมาได้ยังไงล่ะเนี่ย......สงสัยพนักงานขนเค้กคนอื่นจะพาตัวออกมาตอนที่ทำงาน

ถูกต้องคร้าบ พนักงานขนเค้กเข้ามาเจอเลยส่งไปโรงพยาบาล แต่สงสัยตอนส่งตัวคงเข้าใจผิดบางอย่างเลยไปอยู่ในห้องดับจิต พอ เรกกะ ล้างศพ อยู่ดี เจ็ แกถึงได้โผล่พรวดขึ้นมาจากบ่อฟอมาลีนได้ (ฮา)

พูดเป็นตุเป็นตะไปนั่นเหอๆ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 03 Sideline of Recca
Post by: greamon on April 18, 2009, 06:33:04 PM
Saga 15 Reason…

เทอร่า โลกที่คงอยู่โดยมีด้านสองด้านแบ่งแยกกันอย่างสิ้นเชิง ที่ด้านบนซึ่งส่องสว่าง และเต็มไปด้วยแสง
กลับให้กำเนิดเงา ที่เบื้องล่างนั้นมืดมิดกลับให้กำเนิดซึ่งชีวิตใหม่ สองสิ่งนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจบิดเบือน

เป็นดังแสงสว่างและความมืด มีแสงย่อมมีเงา มีความมืดย่อมมีหนทางเฉกเช่นนั้นแล้ว มนุษย์ กลับ
ลุ่มหลงในผลลัพท์มากกว่าหนทาง พวกเค้าจึงตกอยู่ในความมืดที่ไม่อาจหาทางออกมาสู่แสงสว่างได้

เป็นดั่งเช่นทางเลือกแห่งการปฏิวัติ หากไม่เลือกที่จะเสียสละเพื่อก้าวไปข้างหน้า ก็จักต้อง
ลดทอนลงมาจมปรักอยู่กับความมืดอันนิจนิรันด์นี้ต่อไป…………..


“ ทำได้ดีมาก อัศวินของเรา เท่านี้ แรคนารอค ก็จะ… ”
โครโน่ เปรยขณะที่รับเอาลูกแก้ว God Send มา จาก เฟนท์

“ เท่านี้ตราที่ 7 ก็ถูกแกะออก ความเงียบจะปกคลุมสวรรค์ประมาณครึ่งชั่วโมง และมีทูตสวรรค์ 7 องค์ กับแตร 7 คัน
องค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคำ จากนั้นก็โยนไปบนโลก ทำให้มีฟ้าร้องเสียงต่างๆฟ้าแลบและแผ่นดินไหว ”
ฮายาเตะ กล่าวพลางจับจ้องไปที่ ลูกแก้วในมือของ โครโน่

“ จากนี้ไปเราจะต้องเตรียมการอีกประมาณหนึ่งเดือน เฟนท์ ตอนนี้เรากับอัศวินลำดับที่หนึ่งของเราต้องการเวลาเป็นส่วนตัว ต่อจากนี้ไปหนึ่งเดือน เราขอมอบอำนาจให้เจ้าดูแลองค์กรจนกว่า เราจะเดินระบบ แรคนารอค ”
โครโน่ กล่าวขณะที่ เดินลึกเข้าไปในห้องที่มืดมิดนี้ ตามทางเปลี่ยวที่มีเพียงแสงสลัวๆที่พื้นคอยนำทาง

“ รับทราบ ”
เฟนท์ ตอบเสียงแข็งขัน ก่อนจะเดินหลับออกไป จากห้อง

“ ไงล่ะ…ได้ความดีความชอบไปเยอะเลยนี่ ทั้งจัดการพวก กบฏเอา God Send กลับมา ตอนนี้ก็ได้เป็นหัวหน้าชั่วคราวไปเลย ต่อไปอะไรอีกล่ะจะฮุบองค์กรเป็นของตัวเองเลยรึไง  ”
หลีเมย่ ที่คอยอยู่หน้าประตู ถามพลางแสร้งยิ้ม ยินดีใส่เขา

“  รอยยิ้มเสแสร้งแบบนั้นน่ะ ใช้กับชั้นไม่ได้ผลหรอก ”
เฟนท์ ย้อนก่อนจะเดินผ่านเธอไป โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าของเธอ

“ หนอย ทำเมินใส่ฉันเรอะคอยดูเถอะซักวันฉันจะต้อง เปิดโปงหน้ากากของนายให้ได้ ”
หลีเม่ย ตะหวาดไล่หลังเค้าไปอย่างหัวเสีย

“ หน้ากากงั้นเหรอ…หึๆ…นี่น่ะมันหน้าจริงๆของชั้นต่างหาก โฉมหน้าของฆาตกร… ”
เฟนท์ คิดโดยเก็บอารมณ์และสีหน้าที่เจ็บปวดเอาไว้ในลึกๆในใจ แล้วแสร้งทำเป็นคนเย็นชา
นับแต่ครั้งที่เค้าสุญเสียสิ่งสำคัญไป

……………….
………………………….

“ ทั้ง เฟนท์ แล้วก็ชั้นเราต่างก็สูญเสีย สิ่งสำคัญไปแล้วก็ถูกความแค้นครอบงำ… ”
เรกกะ เปรย ขณะที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ เต็มไปด้วยเมฆฝน ที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านไปเรื่อยๆ
มันขยายตัวปกคลุมท้องฟ้าไปทีล่ะนิดทีล่ะหน่อย ราวกับจะบดบังแสงอาทิตย์ไปตลอดกาล

……………
………………………..


“ นั้นคือสวรรค์เงียบไปครึ่งชั่วโมง จะเท่ากับวันเวลาหนึ่งเดือนบนโลก ”
ฮายาเตะ กล่าวขณะที่เดิน ตามไปทว่าอยู่ๆโครโน่ ก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ ทำให้ ฮายาเตะ แปลกใจไม่น้อย

“ มีอะไรหรือคะ… ”
ฮายาเตะ ถามขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนจะทันสังเกตว่า โครโน่ นั้นถือ ลูกแก้วด้วยมือที่สั่นเทา

“ มีบางอย่างแปลกไป… ”
โครโน่ เปรยขึ้นคำพูดของเค้านั้นทำให้ ทั้งสอง ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาทันที

“ หมายความว่ายังไงคะ มีอะไรผิดพลาดงั้นหรือ ”
ฮายาเตะ รีบถามทันทีเพราะต้องการทราบสาเหตุโดยเร็วที่สุด เพื่อจะแก้ไขอะไรได้บ้าง

“ จากแผนการทั้งหมด เราทำได้ถึงเพียงแค่ สรวงสวรรค์สงบไปครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ท่อนที่เหลือต่อจากนั้นล่ะ ”
โครโน่ เปรยขณะที่ดวงตา นั้นแสดงออกถึงความลนลานขึ้นมาถนัดชัด

“ จริงสิ..ทูตสวรรค์ และแตร ทั้ง 7 ตามแผนการของเราไม่ได้มีส่วนนี้บันทึกไว้นี่ ถ้าเป็นตามที่ อิสฮานเคยบอกไว้
ต่อจากนี้มันก็ไม่มีอะไรแล้วนี่ ”
ฮายาเตะ กล่าวด้วยสีหน้าลนพอกัน กับความผิดปกติบางอย่างที่มีเฉพาะพวกเค้าที่รู้

“ กระถางไฟทองคำ ถูกโยนลงมา เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง…แตรทั้ง7 หายนะ ทูตสวรรค์..นี้หรือว่า ”
โครโน่ เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทาตามความรู้สึกไปด้วยบัดนี้ ความกังวลถาโถมเข้ามาสู่หัวใจของเขา
มือนั้นเย็นเฉียบจนแทบไม่รู้สึกอะไร ความรู้สึกกดดันที่เกิดขึ้นเมื่อตัวเค้าจับความรู้สึกผิดแปลกนี้ได้

“ ฮูกีนมูนีน รายงานสถานการณ์ ข้างล่างมาที ”
โครโน่ สบถก่อนที่ ห้องอันมืดมิดนี้จะปรากฏจอภาพขึ้นทั่วทั้งห้อง

“ นี่มัน…. ”
ทั้งสอง เปรยขึ้นแทบจะพร้อมกันเมื่อได้เห็น ภาพในมอนิเตอร์ท่ามกลางสนามรบ
บนทุ่งร้าง ที่ไหนสักแห่ง เหนือน่านฟ้าของ สนามรบถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีดำ

ใต้ม่านหมอกนี้ ปรากฏร่างของ มังกรดำทมิฬขนาดยักษ์ มันขดปีกของมัน
เข้ากับตัวลักษณะคล้ายกับการนิทรา เบื้องล่างสนามรบนั้น การปะทะหยุดนิ่ง

ไม่มีใครขยับ อาวุธสงคราม สัตว์อสูร หรือ แม้แต่ทหารของฝ่ายใดต่างก็หยุดนิ่ง
จนหมด พวกเค้าหยุดเสมือนรูปปั้นหิน ที่ไร้ชีวิต

“ ชิ…เอวาเกเลี่ยน  เราลืมมันไปซะสนิท ไอ้เจ้าจักรพรรดิ บ้านั่น มันคิดจะฟื้นฟูระบบ คาทราสโทฟี ”
โครโน่ สบถขณะที่สายตานั้น จ้องเขม็งไปยังภาพต้นเหตุที่เค้าสังหรณ์ณ์อยู่จนถึงเมื่อครู่



…………………
……………………….

ย้อนกลับไป 2 สัปดาห์ ก่อน

ณ สวนของ สุสานห่างออกจากตัวเมืองไป ไม่มากมีบรรดาผู้มาร่วมพิธีศพจำนวนไม่น้อยเลย
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็น นักเรียนจาก โรงเรียน St. Magnus ที่พึ่งกลับจากงานโรงเรียน

ผู้ที่เป็นเหยื่อเคราะห์ในที่นี้ คือ พ่อของ ไอ เลมูเรีย จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ ไอ
กับมารดาของเธอต้องหลั่งน้ำตาไปไม่น้อย ต่อหน้าแผ่นป้ายหลุมศพของหัวหน้าครอบ

ท่ามกลางสายตาเวทนาของ บรรดาเพื่อนๆญาติพี่น้อง ต่างๆที่มาร่วมพิธี
หลังเสร็จพิธี ขณะที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันกลับนั้นเอง

“ จะไม่ไปปลอบเธอหน่อยเหรอ เฟนท์ ”
ซาน ถามเค้าด้วยสายตาสลดที่ยังไม่อาจรับได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเช่นนี้

“ ไม่ล่ะครับ…ถ้าผมไปตอนนี้..จะยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก…เพราะผมเองก็เป็นพวกเดียวกับ ฆาตกรที่ ฆ่าพ่อของเธอนะครับ ”
เฟนท์ กระซิบด้วยสายตาสลดหดหู่ ขณะที่มองไปยังประตูสุสาน ที่ไอ กำลังช่วยพยุงแม่ของเธอกลับบ้าน
 จากการที่เธอหมดแรงเพราะเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

“ แต่…เฟนท์..น้องน่ะเป็นคนสุดท้ายที่ควรจะเข้าไปปลอบใจเค้า… ”
ซาน พยายามจะแย้ง เรื่องความสัมพันธุ์ ของเค้ากับไอ แต่ ไรด์ ก็เข้ามา ปรามเธอไว้
ก่อนจะทันพูดจบ

“ พอเถอะน่า…อย่าไปบังคับเลยน่า…เพราะหมอนั่นตัดสินใจอย่างเด็ดขาดด้วยหัวใจลูกผู้ชายไปแล้วล่ะ ”
ไรด์ เปรยขณะที่ ซาน พยายามขัดขืน เพราะไม่เข้าสิ่งที่ ไรด์ พยายามจะสื่อ จนในที่สุด เฟนท์
ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดเสียเอง

“ พี่ครับพอเถอะครับ…ตอนนี้ผมไม่มีคุณสมบัติ จะไปพูดกับเธออีกแล้ว…..ผมบอกเลิกกับเธอไปแล้ว ”
เฟนท์ กล่าวด้วยผมที่ปรกลงมาปิดหน้าทำให้ มองดวงตาของเค้าได้ไม่ชัด ดวงตาที่แฝงไปด้วยความ
รู้สึกที่อัดอั้น และคราบน้ำตา ที่ยังคงค้างคาอยู่  ท่ามกลางความเงียบสงัด ที่ซาน หยุดขัดขืน

สายตาที่เจ็บปวดแทน ของ ไรด์ ในขณะที่ เอมิล นั้นแม้จะไม่พูดหรือแสดงออกมาแต่ในใจของเค้า
ก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน

“ นี่…นี่เรา…เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ”
เรกกะ ที่ได้แต่จับจ้องความโศกเศร้าของเพื่อนพ้อง โดยเก็บงำความลับเรื่องที่เค้า เป็น Dragoon
และความรู้สึกผิดที่ว่าตัวเค้า อาจเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด  หากวันนั้น

เค้าไม่เข้าไปแทรกกลาง การแทรกแซงของ Empyrean Adjust อีกทีเหตุการณ์นอง
เลือดแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น

……………….

5 วันหลังจากนั้น

“ นายลงมือทำไปแล้วนะ ทุกสิ่งกำลังจะเคลื่อนไหวเพราะนาย มันกำลังจะเปลี่ยนแปลง ด้วยการตัดสินใจของนาย ”
คำพูดของ R2 ที่ยังคงก้องอยู่ในหัวของ เรกกะ หลังจากที่ เข้าไปแทรกแซงในวันนั้น
ขณะนี้ ตัวเค้าเองกลับถูกซ้ำเติม ราวกับโชคชะตาเล่นตลก พี่สาวของเค้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่มีใครรู้แม้แต่ตำรวจ ก็ตามสืบเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งตอนนี้ อยู่ในสถานการณ์
ฉุกเฉิน เพราะการแทรกแซงในครั้งนั้น ส่งผลให้เกิดสงครามกระทบกระทั่งกันไปทั่วทั้งเทอร่า


โลกอส และ บริทเทเนอร์ ที่ปฏิเสธจะร่วมสงครามด้วย จึงกลายเป็นฝ่ายที่อาจดดนลูกหลงได้ทุกเมื่อ
ผู้คนจึงพากันอพยพกลับสู่แผ่นดินเกิด และบ้ายออกจากตัวเมืองหลักของ โลกอส

แม้กระทั่งโรงเรียนก็มีการประกาศปิดภาคการสอนลงอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากสงคราม
นักเรียนส่วนมากจึงพากันย้ายกลับไปยังแผ่นดินเกิดหรือเมืองอื่นแทน เมืองหน้าด่านที่ติดกับทะเลอย่าง

เมืองหลักของโลกอส นี้ ทำให้สภาพในเมืองแทบจะไม่เหลือผู้คน ร้านค้าต่างๆพากันปิดเก็บข้าวของเตรียมย้ายออกกันไปหมด ทำให้สภาพของเมืองแทบจะกลายเป็นเมืองร้างไป กระทั่งว่า ทางรัฐบาลเองต้องจัด เปิดร้าน

สินค้า สำหรับอุปโภคบริโภค ขึ้นมาเพื่อบรรเทาทุกข์ของผู้ที่ไม่อาจอพยพไปไหนได้
และแล้วความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นก็ได้ทำให้ เรกกะ ตระหนักแล้วในที่สุดว่าเค้าไม่อาจถอยหลังได้อีก

ไม่อาจกลับมาใช้ชีวิตนักเรียนธรรมดาได้ตามปกติเหมือนทุกครั้งแล้ว บัดนี้เค้าเข้าใจความรู้สึกของ พวก
เฟนท์ ได้เป็นอย่างดี กับการย่างเท้าก้าวลงไปในรอยต่อของ ประวัติศาสตร์ การที่พยายามจะบิดเบือน
มัน นำมาซึ่งการปฏิวัติ ในที่สุด

“ ชั้น…จะถอยหลังไม่ได้แล้ว…เพื่อให้สงครามที่ชั้นเป็นต้นเหตุนี้สิ้นสุด…ชั้นจะ.. ”
เรกกะ เปรยขึ้นหลังจากที่ ตัดสินใจได้ ในที่สุด

…………….
………………….



2 วันต่อมา สนามรบทุ่งร้างเกาะหลักศิลา ทางตอนใต้ของ ทวีป คาดาร่า

ณ ที่แห่งนี้เป็น สถานที่กำลังรบ จาก อาณานิคมของ คาดาร่า ทั้งหมด ยกเข้ามาปะทะ กับ ดิสอาปจูร่า
ซึ่งนับเป็น สองทวีปแรกที่เริ่ม สร้างความขัดแย้ง ก่อนที่ลามปามไปยัง อาณานิคมอื่นๆ ซึ่งเป็นพันธมิตรกัน
ได้ส่งกองกำลังของ ตัวเองเข้าร่วมการรบด้วย จนเกิดเป็นสงครามใหญ่

ในขณะนั้น Empyrean Adjust กำลังจะเข้าเผชิญหน้ากับ มหาสงครามแห่งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นอีก
ครั้งแล้วในที่สุด

……………..
…………………
บ้านของ ไอ

“ ก็อย่างที่บอกไปนั่นล่ะ…ไม่คิดจะไปดูหน่อยเหรอด้วยพลังของเธอรับรองได้เลยว่า เธอทำได้แน่ๆ ”
โครโน่ ที่ยืนยิ้มเยาะ เมื่อได้เห็นสีหน้าปวดร้าวของ เด็กสาวที่ได้รับรู้ความจริงที่เค้านำมา
บอกแก่เธอ บนโต๊ะไม้ ที่ไอ ค้ำอยู่นั้น มีเอกสารที่บันทึก รูปและข้อมูลประวัติ ของ Valkyrier
ทีม Celestial Saber เอาไว้ทั้งหมด

“ เธอคนนี้คงจะใช้ได้…พลังของเธอมันไม่ธรรมดา…ถ้าใช้เธอชั้นก็สามารถที่จะควบคุมพลังที่ อิสฮาน
ทิ้งไว้ให้ได้ Ava-Trans พลังนั่นไม่ควรเป็นของมนุษย์ โชคดีที่ เจ้านั่นมีความสัมพันธุ์กับผู้หญิงคนนี้
เธอช่างเป็นหมากที่ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ ”
 โครโน่ คิดขณะที่ เดินออกไปจากห้องที่ให้ ไอ ตัดสินใจด้วยจิตใจที่ถูกสั่นคลอน จนพร้อมจะ
ล้มได้ทุกเมื่อ

“ เฟนท์…ทุกคน….หลอกลวงฉัน…พวกเค้า…เป็น Valkyrier ..พวกฆาตกร ”
ไอ เปล่งเสียงที่สั่นเทาและเบาแผ่วออกมา พร้อมๆกับี่ ดวงตาของเธอ ค่อยๆเปลี่ยนไป
เป็นตัวเธอ อีกคนที่คอยต่อสู้เพื่อกำจัด อาคูม่า

“ ความปราถนา นั้นข้าจะสนองให้เอง ”
ไอ ที่เปลี่ยนไปเป็น อีกบุคลิค เปรยขึ้นก่อนที่ เข็มขัดกลไก
ของเธอจะปรากฏขึ้นที่เอว พร้อมกับที่เธอ หยิบเอา เม็ดพลอยสีฟ้าที่ อยู่ในกล่องเก็บด้านข้างเข็มขัด

ขึ้นมาและบรรจุมันลงในร่องของ หัวเข็มขัด และเปลี่ยนร่างของเธอ เป็น
 อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน(จากนี้จะย่อเป็นFKนะครับ)

………………
…………………….

ปัจจุบัน

“ นั่นคือสิ่งที่ชั้นได้เห็น ตอนที่ได้ความทรงจำกลับคืนมา…นั่นคือสาเหตุที่ ไอ เปลี่ยนไปตัวเธอนั้นเดิมทีเป็น
มุนษย์ไม่สิ เงือกทดลองที่ถูกองค์กรของ ประเทศนิคโคอุ ดัดแปลงให้เข้ากับ Rider System พลังที่ชั้นสงสัยมาตลอดนั่น ว่าเธอมีมาได้ยังไง มันกระจ่างขึ้นมาด้วยแล้ว.. ”

เรกกะ เปรยให้ R2 ที่ยืนฟังอยู่ ขณะที่บรรดาสามสาว Valkyrier ที่โดนตัดหางปล่อยวัดนั้น
กำลังช่วยกันเก็บกวาด พื้นสนามโรงเรียนที่ถูกพังซะยับเยินจากการต่อสู้ของเขากับ เฟนท์

“ คงเป็นเพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากลูกแก้วนั่นล่ะมั้งที่ทำให้นาย
ได้ความทรงจำกลับคืนมาแถมพ่วงเรื่องอื่นมาด้วย ”
R2 กล่าวขณะที่ มองมาที่เค้า

“ หลังจากนั้น พอชั้นไปถึง มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไขแล้ว….พวกEmpyrean Adjust
 เข้าแทรกแซงในสงครามที่รู้ว่าไม่มีทางจบลงได้ด้วยการใช้กำลัง… ”
เรกกะ เปรยพลางทิ้งตัวนั่งลงพิงกับ แผ่นหิน ขณะที่นึกย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น

……

3 วันก่อน

เกาะหลักศิลา

“ นี่มัน…. ”
เรกกะ เปรยด้วยสายตาหวาดหวั่น กับภาพตรงหน้า ยานของ Empyrean Adjust สองลำ เกยตื้นอยู่
บนพื้นสนามรบในสภาพของซากยาน ที่เละไม่มีชิ้นดี ขณะที่ตัวเค้า มองลงมาจาก ยานไซเบอริก้า

“ นี่ นายแน่ใจนะว่าจะลงไปน่ะ เราเอายานลงไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ ไม่งั้นได้เป็นเป้าลูกหลงแน่
แถม มาธิอัส ก็ไม่อยู่อีก นายต้องไปคนเดียวนะ ”
R2 ถามเพื่อขอคำตอบจากเค้า อีกครั้ง หลังจากที่ จอดยานอยู่ในระดับที่สูงพอจะพ้นจ่ก
รัศมีการสู้รบด้านล่าง

“ ยังไงก็ต้องลงไปล่ะ…สงครามนี่เกิดขึ้นเพราะชั้น…ถ้าไม่หยุดมันล่ะก็ ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ เดินไปยังประตูห้องควบคุม แต่ R2 ก็เข้ามารั้งเค้าไว้ซะก่อน

“ แล้วนายคิดว่า แค่ลงไปพูดในฐานะ Dragoon จะมีคนฟังงั้นเหรอ! ”
R2 กล่าวโดยพยายามรั้งตัวเค้าไว้ ทว่า เรกกะ ก็ปัดมือของเธอ ออกก่อนจะหันกลับมากล่าวกับเธอ

“ แล้วจะให้อยู่เฉยๆดูความพินาศแบบนี้น่ะเหรอ ….ถึงต้องใช้กำลังชั้นก็ต้องหยุดมันให้ได้ ”
เรกกะ ตะคอกกลับ ด้วยโทสะ ก่อนจะ คว้า เอาหมวกหน้ากากของ Dragoon ขึ้นมา

“ นี่นายคิดจะไปตายใช่ไหม… ”
R2 กล่าวขึ้น ซึ่งทันทีที่ได้ยิน เค้าก็ถึงกับชะงักไปทันที

“ ใช่จริงๆด้วย…นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ทำไมนายถึง…. ”
R2 ถามพลางกระชากคอเสื้อของเค้าเพื่อให้มองหน้าเค้าได้ชัดๆ ทว่าใบหน้าของ เรกกะ ตอนนี้
ไม่ต่างไปจาก คนที่หมดหวังในชีวิต สายตาที่ว่างเปล่านั้น แสดงออกมาให้เธอรู้อย่างเห็นได้ชัด

“ ชั้นไม่เหลือ ปฏิธานที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…..พี่สาวของชั้นหายตัวไป โดยที่แม้แต่ชั้นก็หาเธอไม่พบ
ทั้งที่มีพลังแล้วแท้ๆ แต่ชั้น…ชั้นกลับทำอะไรไม่ได้เลย…แล้วยังสงครามบ้าๆที่เกิดขึ้นเพราะความ
ไม่ยั้งคิดของชั้น….ถ้าหยุดมันไม่ได้ชั้นขอตายซะดีกว่า ”

เรกกะ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนระทวย อย่างที่สุด ในใจเค้าไม่มีสิ่งใดพอจะยึดเหนี่ยวให้
เค้าเห็นคุณค่าชีวิต ตัวเองอีกต่อไป

“ เรกกะ…ฉันไม่ห้ามนายก็ได้แต่….นายห้ามลืมเด็ดขาดนะ..นายยังมีทุกคนอยู่ เพื่อนของนายอยู่ข้างนอกนั้น
ครั้งแรกที่เราเริ่มเคลื่อนไหวกันนายพูดไว้เองนี่ ไม่ว่าพวกนั้นจะทำอะไรยังไงเพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนไว้ก่อน ”
R2 กล่าวขณะที่ปล่อยมือ ออกจากคอเสื้อของเค้า ด้านเรกกะ ก็ไม่ได้โต้ตอบแต่อย่างใด
หลังเงียบอยู่นาน เรกกะ จึงเปิดประตูเพื่อจะออกไป อีกครั้ง

“ เรกกะ….ห้ามตายนะ ”
R2 กล่าวขณะที่รอคำตอบจากเค้า ทว่า บานประตูก็เลื่อนปิดลงไปโดยที่เค้าไม่ได้พูดอะไร
ทิ้งไว้

…………..
………………

“ ตอนนั้น หน้านายซีดยิ่งกว่าคนตายซะอีก ”
R2 กล่าวพลางสะบัดปอยผมที่ปลิวเข้าตาเพราะแรงลม ขณะที่ด้าน สามสาว
ยังคงง่วนอยู่กับการ ย้ายหินออกจากกอง

“ โกรธชั้นอยู่งั้นสิ…เธอน่ะยังโกรธชั้นอยู่ใช่ไหมล่ะ…ถึงได้ทำเป็นเย็นชาแบบนั้น ”
เรกกะ หันหน้าไปถาม เธอที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ ก็คงงั้น….ไม่เคยมีใครทำให้ฉันเสียใจได้เท่านายมาก่อนเลย….เพราะงั้นฉันถึงยังโกรธอยู่ ”
R2 กล่าวเสียงเรียบสีหน้า เมินเฉยตัดกับคำพูดที่อกจากปากเธอ

“ หึๆ งั้นเหรอ…นั่นสินะ….จากนั้นคนที่ชันเจอก่อนเลยก็คือซาน ”
เรกกะ หัวเราะเบาๆก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ

“ จริงสิ เจ้าลูกหมานั่นบอกว่านายฆ่าคนเพิ่มไปเยอะเลยนี่….แถมนายยังรับเองอีกด้วยว่าเป็นคนทำ ”
R2 หันมาถามด้วยความสนใจเมื่อเค้าเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ อืม…ตอนที่ชั้นไปเจอ…เธอก็แทบปางตายเลยล่ะ ที่สำคัญคือเธอ รู้ว่าเป็นชั้น…ทั้งที่ใส่ชุด Dragoon อยู่แท้ๆ ”
เรกกะ เล่าพลางนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น

….

“ ซาน…พี่ ซาน … ”
เรกกะที่ อยู่ชุด Dragoon เรียกชื่อ ซาน ที่สลบอยู่ในซากยาน ที่เค้าลงมาสำรวจ
ตามร่างกายของเธอ มีรอยไหม้จางๆ อยู่เป็นแห่งๆ และแผลถลอกปอกเปิกเต็มไปทั้งตัว

“ เสียงนี้….อา…เสียงนี้มัน….เธอเอง เหรอ เรกกะ… ”
ซาน ที่ค่อยๆลืมตา กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาพอๆกับลมหายใจที่เบาบงของเธอ

“ อ…เอ่อ…ทำไมถึง… ”
เรกกะ พูดตะกุกตะกัก เค้าอยากจะถามเธอว่าทำไมถึงรู้ว่าเป็นเค้า แต่ก็ติดอยู่ในลำคอ
เมื่อสบตากับเธอ

“ ถ้าจะ….ถามว่า…ทำไม…ล่ะก็นะ…ฉันรู้มา…ตั้งแต่แรก..แล้วว่าเป็นเธอ ”
ซาน กล่าวจบก็สำลักออกมาเป็นเลือดทันที ทำให้เค้า ตกใจสะดุ้งด้วยความเป็นกังวลทันที

“ อ๊ะ…อย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ผมต้องพาคุณออกไปจากที่นี่ ”
เรกกะ ปรามไม่ให้เธอพูดอะไรตอนนี้ เพราะกลัวร่างกายจะได้รับความกระทบกระเทือนแล้วช้ำใน
ก่อนที่ เค้าจะค่อยๆอุ้มร่างเธอขึ้นมา

“ (http:///images/sign_inty.gif) Destruction  ”
เสียงดังกังวาล ขึ้นมาจากด้านบนขณะที่ เรกกะ พา ซาน หนีออกมาจากซากยาน ก่อนที่ลำแสง
สีดำจะถูกยิงลงมาที่ซากยาน จนมันระเบิด และเกือบลาก พวกเค้าทั้งสองลงนรกไปแล้ว ถ้า
เรกกะ ไม่ไหวตัวทันกระโดด ออกมาซะก่อน

“ อ้าวๆ….พลาดซะได้….กะจะสอยไปพร้อมๆกันซะหน่อย ”
เสียงกล่าวที่เย้ยหยัน ต่อชีวิตของผู้คน ที่ดังขึ้นนี้ เค้าจำได้ ว่ามันเป็นของใคร
เมื่อหันกลับขึ้นไป เจ้าของลำแสงเมื่อครู่กำลังง้างเคียวในมือขึ้น ด้านหลังของเค้ามีปีก

ดังทูตสวรรค์ ที่คอยสร้างละอองอนุภาคขึ้นมาห่อหุ้มร่างของตนเอง เค้าคือ
 ราฟ Valkyrier(วอลคีรีเออร์)ผู้เป็นอมตะ

“ นี่แกคิดจะทำอะไรกัน คิดจะฆ่าพวกเดียวไปพร้อมกันเลยรึไง ”
เรกกะ ตะหวาดกลับไปด้วยโทสะ แต่อีกฝ่าย กลับทำเป็นหัวเราะร่า เมินคำพูดของเค้าไป

“ หะๆ พูดเดียวกันงั้นเหรอ…นี่แกไม่รู้หรอกเหรอเนี่ย…ยัยนั่นกับพวกในยานเป็นคนทรยศ
สงครามครั้งนี้ พวกเราไม่ได้รับคำสั่งให้มายับยั้งแต่พวกนี้มันดื้อด้านมาเอง

แล้วยังยิง ยาน Niger ของเราไปอีกลำด้วย ชั้นก็เลยได้รับคำสั่งให้มาเก็บทิ้งซะก็เท่านั้นเอง…
ยานพวกมัน ชั้นก็พึ่งสอยไป เหลือนังนี่เท่านั้นที่รอดอยู่ในยาน เพราะมันกาง อาณาเขตเอาไว้ ”
 
ราฟ กล่าวเสียงเรียบ พลางแกว่งเคียวไปมาด้วยความสำราญ


“ หมายความว่ายังไงกัน พี่ซาน เป็นความจริง… ”
เรกกะ หันไปถามเธอ ซึ่ง เธอก็พยักหน้าตอบ

“ พวกเรา…ขัดคำสั่งแล้ว…เข้ามาแทรก…แซงตามอำเภอ…ใจ ”
ซาน ค่อยๆกล่าวอย่างทุลักทุเล ขณะที่ เรกกะ วางร่างของเธอลง

“ ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะ….แต่เพราะตอนที่ยิงไป ไอ้สามตัวที่เหลือมันดัน อยู่ข้างนอก
เลยเก็บไปได้แค่พวกลูกเรือ ส่วนยัยนี่ก็เจ็บหนักอยู่คนเดียว เลยกะว่าจะใช้มันเป็นเหยื่อล่อพวกที่เหลือ

ซะหน่อย แต่ไม่อยากจะเชื่อเล้ยว่ายัยนี่จะเป็นเหยื่อที่ดีขนาดนี้…เพราะมันดึงแกออกมาได้ไงล่ะ
จะได้สะสางเรื่องครั้งก่อนด้วย เธอนี่มัน ”
ราฟ กล่าวพลางเลียริมฝีปากด้วยความกระหาย

“ Blaze Form ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ เรกกะ เอาไพ่วางลงไปบนหน้าปัดแล้ว

“ แกมันชั่วไร้ที่ติจริงๆ… ”  “ Regeneration ”
เรกกะ เปรยก่อนจะทุบไพ่ลงไปบนหน้าปัด และเปลี่ยนร่างเป็น ทาลิคนัส

“ โอเระทันโจว…โอ๊ะโอวันนี้คงไม่ต้องสินะ รู้แล้วน่า เรกกะ…เอาให้เต็มที่เลยใช่ไหม ”
ทาลิคนัส ที่ปรากฏตัวขึ้นแล้วกำลังจะร่ายประโยคแบบทุกๆครั้ง ก็ชะงักไป
ก่อนจะเปลี่ยนทีท่าไปทันที

……………..
…………………….

“ แล้วชั้นก็ปะทะกับเจ้าปีศาจนั่น….เปลี่ยนร่างใหม่ไปไม่รู้กี่รอบ สลับรูปแบบการจู่โจมทั้ง ทาลูคัส ทาลิคนัส
ทาโซรอส แล้วก็ ทาไนซ แล้วแต่ก็รับมือหมอนั่นไม่ได้เลย ไพ่ก็ลดไป จนเหลืออยู่แค่71 ใบ ”
เรกกะ เล่าไปจนถึงตรงนี้เค้า ก็ลุกขึ้นมายืน ก่อนจะเดินไป ช่วย พวกชารี่ เก็บกวาดด้วย

“ แล้วจากนั้น นายก็ใช้ ทริปเปิล ซันเดอร์ ที่อีตา ลอว์เรนซ์ บอกทั้งๆที่รู้อยู่ว่า ถ้าไพ่หมดชีวิตนายจะเป็นยังไงงั้นสินะ ”
R2 ต่อความให้ทันที ก่อนจะเดินตามไปช่วย เกลี่ยนเศษหินบนพื้นด้วยเท้า

“ ใช่….ใช้ไปจนครบเลยเพราะเห็นว่าตรงนั้นมันอยู่นอกรัศมีการรบอยู่ไกล ก็เลยใช้ได้แบบ
ไม่ต้องกลัวใครจะมาโดนเข้าใช้ไปหมดทีเดียว 15 ใบเลย ไพ่เลยเหลือ แค่ 56  ”
เรกกะ เล่าต่อไปขณะที่ ช่วยขนหินลงไปในหลุมบนพื้น

………………
……………………

“ เฟนท์ แสงเมื่อกี้มันมาจากทางที่ยานเรา จอดอยู่นี่ ”
ไรด์ กล่าว เค้า สะบักสะบอม พอๆกับ เอมิล และ เฟนท์ ที่รับศึกหนักกับ กองทัพของหลายฝ่าย
จนต้องถอยร่นออกมา พลางจัดการทัพบางส่วนที่ไล่ต้อนพวกเค้ามาจนหมด ก่อนจะฉากหลบออกมาจาก
สนามรบ

“ ชักเป็นห่วงแล้วสิ….เรารีบไปกลับไปที่ยานก่อนเถอะ ”
เอมิล สั่งทันทีที่พวกเค้าหลุดจากการรบได้แล้ว ทว่าขณะที่พวกเค้ากำลังตรงกลับไป
อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน ก็เข้ามาขวางพวกเค้าไว้

“ ไอ้พวก Empyrean Adjust ฉันจะฆ่าพวกแก ”
อัศวินกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน ขณะพุ่งเข้ามากวาดดาบสองปลายไปรอบๆ
 แต่ เฟนท์ ก็เข้าไปรัดปีกแขน อัศวินเอาไว้ เพื่อไม่ให้เธอทำอะไรได้

“ ที่นี่ผมจัดการเอง รีบไปก่อนเถอะ ”
เฟนท์ ตะโกนขณะรั้งไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นหลุดไปได้

“ ระวังตัวด้วยนะ ”
ไรด์ กล่าวก่อนจะตาม เอมิล ที่นำออกไปก่อนแล้ว
เมื่อเห็นว่า ทั้งสองคนไปได้ไกลพอแล้ว เค้าจึงปล่อยเธอไป
ก่อนจะถอยไปตั้งหลัก

“ ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร….แต่ถ้ามาขวางต่อให้เป็นผู้หญิงผมก็ไม่ออมมือให้หรอก ”
เฟนท์ กล่าวพลางตั้งท่าเตรียมสู้ ทว่าอีกฝ่ายกลับ ลอยตัวลงไปยืนพื้นแทน
ก่อนจะค่อยๆปลดหมวกออก

“ ฉันเองก็ไม่หวังให้ฆาตกรที่โกหก ฉันแสดงความเห็นใจเหมือนกัน ”
อัศวินเฟิร์นกอลโลเอี่ยน กล่าวขณะที่แสดงใบหน้าใต้หน้ากากนั้น ต่อหน้า เฟนท์ ที่ตอนนี้
นิ่งชะงักไปด้วยสายตาประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อพบว่าคู่ต่อสู้ของเค้า
คือคนที่เค้าใส่ใจไม่น้อยไปกว่าพี่ของเค้าเลย

“ อ….ไอ….เธอเอง….งั้นเหรอ ”
เฟนท์ เปรยด้วยเสียงอันสั่นเทา เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือ ไอ ตอนนี้ในใจของเค้านั้นสับสนไปกับ
ความจริงรอบๆเสียแล้ว

“ ใช่…เฟนท์ ฉันเองแต่ฉันไม่ใช่คนเดิมที่นายรู้จักอีกต่อไปแล้ว ”
ไอ กล่าวก่อนจะควงดาบเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล

………………….



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 03 Sideline of Recca
Post by: greamon on April 18, 2009, 06:33:28 PM
“ เอ้าๆ…เป็นอะไรไปล่ะ ไม่โจมตีแบบเมื่อกี้มาอีกล่ะ ชั้นละอุตส่าห์ดีใจ นึกว่านายจะมีดีกว่านี้อีก ”
ราฟ กล่าวขณะที่ มองไปยัง ทาลูคัส ที่เหนื่อยหอบ ยิ่งกว่าทุกครั้ง
กับ บรรดามังกร ร่างสุดยอดทั้งสี่ตัว ที่ล้มไม่เป็นท่าอยู่ด้านหลัง

ซึ่งก็มีทั้ง มังกรเพลิง นิทินโคโอนุส(Nitincoionus, the Crimson Flamr Dragon)   
มังกรชั้นสวรรค์ พาลานัลคาเรีย(Palanalcarea, the Celestial Floor Dragon )

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/19.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/21.jpg)

 มังกรแห่งโลกา นิลเฮอเรียส(Nilhirios, the Great Terrain Dragon)
 และ มังกรเงาราตรี นอฟโฮทิโอไนซ (Novhothionyx, the Shadowy Night Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/20.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/24.jpg)

ทั้งสี่ตัวนี้พัฒนาขึ้นมาจาก ลูกมังกร ที่ เรกกะ เรียกออกมาช่วย ด้วยการใช้ไพ่
เพิ่มอีกสามใบรวมกับที่ใช้แปลงร่าง
เป็นสี่ใบ ซึ่งเรียกว่า ทริปเปิลซันเดอร์ ทำให้พวกมันเปลี่ยนร่าง และแม้จะเรียกใช้ถึง

สี่ตัวที่เค้าสามารถควบคุมได้ในตอนนี้ เพราะเค้ายังไม่ได้
ทาลิควอส และ ทาเวนทอส มาทำให้ตอนนี้เค้าหมดหนทางที่จะต่อกรแล้วจริงๆ

………………..
…………………….

“ นอกจากความทรงจำของชั้นที่ได้กลับคืนมา ดูเหมือนตอนที่ God Send ทำปฏิกิริยา มันจะทำให้ชั้นได้รับความทรงจำของ เฟนท์ ในช่วงนั้นมาด้วย… ”
เรกกะ เล่าไปขณะที่ ออกแรงดันแผ่นหินชิ้นใหญ่ ให้ลงไปในหลุมบนพื้น
ก่อนจะนอนลงแผ่หลากับพื้ยด้วยความเหนื่อยหอบ

“ เพราะงั้น นายก็เลยรู้เรื่องที่สองนั้นสู้กันงั้นสิ ”
R2 ต่อความให้ขณะที่เดินมานั่งข้างๆเค้า

“ ใช่….จากนั้น พวก ไรด์ ก็มา พอบอกว่าเป็นชั้น สองคนนั้นก็แทบไม่เชื่อเลยล่ะ แต่พอชั้นบอกว่าจะช่วยซัน
สองคนนั่นก็เข้าใจแล้วก็มาช่วยกันสู้ ”
เรกกะ เล่าไปเรื่อยๆ ขณะที่ ซิกนัม เอาขวานจาก ก้อนหินให้แตกเป็นเศษๆเพื่อจะได้อุดลงไปในช่องว่างที่เหลือ
บนพื้น

“ แล้วถ้างั้นทำไมนายถึงบอกว่านายฆ่าพวกนั้นล่ะ ”
R2 ถามขึ้นเนื่องจากยังสงสัยในประเด็นที่เค้าพูดทิ้งไว้ในตอนแรก

“ จากความทรงจำของ เฟนท์ ที่ชั้นได้เห็น หมอนั่นหนี ไอ มาได้และกำลังตามมาสมทบ
แต่ว่า ไรด์ แล้วก็ เอมิล เห็นว่าถ้ายังปล่อยเอาไว้ ซาน คงตายเพราะพิษบาดแผล
 ก็เลย…. ”
เรกกะ กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เงียบไป

“ นี่หรือว่า..สองคนนั้นสละตัวเอง ”
R2 หันไปถามด้วยความตกใจทันที ซึ่ง เรกกะ ก็พยักหน้าตอบเป็นเชิง

“ พวกนั้น เสี่ยงเข้าไปหยุดเจ้านั่น เพื่อให้ชั้นโจมตีเต็มที่….แต่… ”
เรกกะ กล่าวพลางนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น


……………..
……………………..


“ Attack Ride….Time Walk! ”
เสียงดังทุ้มกังวานออกมาจากส่วนหัวเข็มของ ไอ ทันทีที่เธอบรรจุพลอยสีแดงที่หยิบจากกล่องบรรจุด้านข้าง
ลงในหัวเข็มขัด เกิดแสงวาบขึ้นจากเข็มขัด ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเสียจนมองตามไม่ทัน


“ Protection ”
เสียงกังวานขึ้นพร้อมๆกับที่ เฟนท์ กางกำแพงป้องกัน ขึ้นเพราะตัวเค้าไม่อยากโจมตี ไอ
จึงเอาแต่รับการโจมตีเพียงฝ่ายเดียว

“ Charge Rider… ”
เสียงขึ้นพร้อมกับที่ ไอ หยุดเคลื่อนไหวมือของเธอกำลังกดพลอยสีลงไปในหัวเข็มขัด

“ พอทีเถอะ ไอ ผมไม่อยากสู้กับเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว ”
เฟนท์ พยายามขอร้องให้เธอหยุด

“ คำพูดของคนหลอกลวงแบบนาย ฉัน…ฉันไม่อยากเชื่อถือมันอีกต่อไปแล้ว ”  “ Water Blade! ”
ไอ กล่าวโดยที่ยังคงมีความลังเลอยู่ในใจ แต่เธอก็ฝืนกดพลอยลงไปจนสุดและที่สุดแล้วเข็มขัดจึงส่งเสียง
ออกมาว่ามันพร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว ใบดาบทั้งสองของ เธอเปล่งแสงขึ้น

ก่อนที่เธอจะวาดดาบไปมา วงดาบที่เหวี่ยงออกไปนั้น สร้างคลื่นพลังแนวโค้ง พุ่งออกไปสอง
ลำ พุ่งตรงไปยัง เฟนท์

“ ไอ คิดจะฆ่าเราจริงๆงั้นเหรอ…. ”
เฟนท์ คิดขณะที่ลังเลอยู่นั้น คลื่นดาบก็ใกล้เข้ามาทุกขณะในทุกเสี้ยววินาที
เค้าสบตา ไอ เพียงชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจ ปลดเกราะพลังงานออก

“ หากนี่คือความต้องการของเธอ ผมก็จะมอบมันให้ชีวิตของผมหากมันจะทำให้เธอสงบใจลง ”
เฟนท์ กล่าวด้วยสายตาที่แน่วแน่ พร้อมที่จะรับการลงทัณฑ์ของเธอ ทันทีที่เห็นแบบนั้น
โดยไม่ทันที่แม้แต่ตัวเธอจะคิดด้วยซ้ำ มือของเธอปล่อยดาบทิ้งไปแทบจะทันที
ทำให้คลื่นพลังที่พุ่งไปนั้นสลายไปแบบ เส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะหั่น เฟนท์ เป็นท่อนๆ

“ จริงๆด้วยเธอ แค่สับสนเท่านั้น…. ลึกๆแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งเธอต้องการถ้าอย่างนั้น… ”
เฟนท์ คิดเมื่อได้เห็น ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของ ไอ เค้าจึงตัดสินใจ ล่วงหน้าออกไปในช่วงที่
เธอยังควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่นี้

“ จะทำอะไรของเธอน่ะ…จะปล่อยให้มันหนีไปงั้นเรอะ ”
เสียงหนึ่งที่คุ้นหูเธอดังก้องมาจากข้างในจากภายในร่างของเธอ

“ ไม่…นี่มันไม่ใช่…นี่ไม่ใช่ที่ฉันต้องการ….ต้องฆ่า…ไม่..ไม่ใช่…ฆ่า…แก้แค้น…. ”
ไอ ลั่นวาจาตะกุกตะกักพลางล้มตัวลงดิ้นทุลนทุลาย อย่างทรมาน มือ
หนึ่งก็จับอีกมือรั้งไว้ไม่ให้ไปจับดาบที่ ทิ้งไป เธอเป็นอยู่แบบนั้นไม่ทันไร
ก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาในหัวของเธอ

“ เธอเคียดแค้นอยู่ไม่ใช่เหรอ… ”
เสียงนี้ดังขึ้นมาในหัวของเธอ และเธอจำมันได้ว่าเป็นของชายที่ ทำข้อมูลของพวกเฟนท์มามอบแก่
เธอนั่นเอง

“ อย่าปฏิเสธดีกว่าน่า….หมอนั่นมันฆ่าพ่อของเธอนะ มันหลอกเธอ…
มันเลวร้าย เธอต้องจัดการมัน…นั่นคือเธอต้องการยิ่งกว่าอะไรไม่ใช่งั้นเหรอ ”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวแม้เธอพยายามจะสลัดมันไป ก็ตามที

“ ไม่ใช่…ฉันไม่ได้แค้น….ไม่ใช่… ”
ไอ พยายามต่อต้านอำนาจของเสียงนั้น อย่างเต็มที่ทว่า

“ ใช่สิ....ใช่ๆๆ…เธออยากแก้แค้นจนตัวสั่นเลยนี่…ทิ้งความอ่อนแอนั่นไปซะแล้วไปแก้แค้นเลยสิ ”
เสียงนั้นยังคงก้องกลับมา ท้ายที่สุดแล้วแม้เธอจะพยายามต้านไว้ จนถึงที่สุดแล้ว
แต่มือของเธอก็จับดาบขึ้นมาอีกครั้ง และสวมหมวกเกราะ
 ออกตามล่าต่อไป อย่างไม่อาจขัดขืนต่ออำนาจของเสียงนั้นได้

……………

“ ขืนเป็นแบบนี้ พวกเรามีแต่แพ้อย่างเดียวน่ะสิ ”
ไรด์ สบถ ขณะที่ ยกโล่สำหรับสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาต้านทานลำแสงทำลายของ ราฟ ที่กระหน่ำมาไม่หยุด

“ Mirage Explosion ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ เอมิล สร้างร่างแยกขึ้นมาสามร่างแล้วบุกเข้าไปพร้อมๆกัน

“ คิดว่าปาหี่แบบนั้นมันใช้ได้งั้นเหรอ ”
ราฟ แสยะยิ้มก่อนจะ ผายมือไปทางขวาแล้วรวมละอองประจุมาไว้ในอุ้งมือ  พริบตาที่ผลัก
มวลประจุออกไปเพียงนิดเดียว กลับกลายเป็นการยิงลำแสงทำลายที่มีอนุภาคไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่

ปล่อยออกมาจาก ปลายเคียวในตอนนี้ เอมิล ที่พุ่งเข้ามาจากทางขวาเป็นตัวจรง เค้าจึงโดนลำแสงนั่น
อัดเข้าเต็มๆ จนปลิวลงไปกลิ้งโค่โล่กับพื้น อย่างไรก็ตาม จากการโจมตีนั้น ทำให้เกราะพลังงานที่คลุม
ร่างเค้าอยู่ตอนนี้สลายไปหมดในคราเดียว

“ Mirage Blast ”
เสียงดังกังวานขึ้นจากหอก ที่อยู่ในมือของ เอมิล หลังจากที่ถูก
อัดกลิ้งมาแล้ว ร่างแยกยังคงพุ่งเข้าหา ราฟ อยู่ไม่ได้หายไป ทันทีที่ พวกมันเข้าถึงตัว ราฟ
ก็เกิดระเบิดในทันที ซึ่งแรงระเบิด ถึงสามครั้งนั้นรุนแรงเสียจน ราฟ ยังกระเด็นไม่เป็นท่า

“ ชั้นรู้ใ.ว่าลูกไม้ตื้นๆหลอกแกไม่ได้อยู่แล้ว แต่การโจมตีที่ชั้นหวังไว้น่ะมัน
อยู่ที่ร่างแยกของชั้นที่แกมองข้ามไปไงล่ะ ร่างแยกของชั้น สร้างขึ้นจากประจุอิออน
ดังนั้นแค่ให้มันเปลี่ยนเป็นพลังทำลายมันก็ไม่ต่างไปจาก ระเบิดนำวิถี นั่นล่ะน่า ”

เอมิล กล่าวขณะที่ยันตัวขึ้นโดยเอาปลายหอกค้ำพื้นเป็นหลักดึงตัวขึ้นมา แม้การโจมตีจะได้ผล
แต่ก็แลกมาด้วยตัวเค้านั้นต้องเจ็บไปไม่น้อย ทว่า ราฟ นั้นกลับลุกขึ้นมาโดยที่บาดแผลนั้น
สมานตัวหายไปอย่างรวดเร็ว

“ แล้วยังไง…อานิม่า อย่างชั้นไม่มีวันตายอยู่แล้วพวกแกมันก็เกมฆ่าเวลาเท่านั้น ”
ราฟ สบถ ก่อนจะควงเคียวไปมาอย่างรวดเร็ว ละอองประจุรอบๆตัวนั้นได้ถูกแรงดูดจากการควงรวมเข้าไป

“ (http:///images/sign_inty.gif) Dectruction ”
สิ้นเสียงลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากมวลประจุที่ไปรวมกันไว้ ยิงกวาดลงไป
ทาลูคัส ที่อยู่ด้านล่างจึงต้องรีบ อุ้มร่างของ ซาน พาหนีออกห่างจากรัศมีการยิง
ทันที

“ ฮ่าๆๆ เป็นไงล่ะ เดี๋ยวชั้นจะทำให้ ที่นี่หายไปเหมือนตอนทำกับที่ โทร่า เลยคอยดูให้ดีๆ ”
ราฟ กล่าวจบก็ตวัด เคียวสะบัดการโจมตีนั้นทิ้งไป แต่ก่อนจะได้ทำอันใดต่อ เอมิล กับ ไรด์
ก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง แล้วรั้งแขนของ ราฟ เอาไว้ทั้งสองข้าง แม้ทั้งสองจะ ช่วยกันรั้งช่วยกัน
เหนี่ยวแล้วก็ตามแต่ ราฟ กลับมีแรงมหาศาล มากจนพวกเค้าไม่อาจรั้งไว้ได้นาน

“ เรกกะ..ตอนนี้เลย โจมตีเต็มกำลังมาที่มันตอนนี้ล่ะถ้ามันฟื้นตัวเร็วนักก็เป่ามันให้เป็นผงไปเลย ”
ไรด์ ตะโกน ขณะที่ ออกแรงรั้งเหนี่ยวแขนของ ราฟ เพิ่มขึ้น ขณะที่ ร่างของเค้านั้น ต้องทนรับ
แข้งของ ราฟ ที่สะบัดเตะใส่เพื่อให้เค้าปล่อย

“ แต่ถ้าทำแบบนั้นพวกเจ้าก็… ”
ทาลูคัส แย้งทันที เพราะหากจู่โจมเข้าไปแล้ว ไม่แคล้วพวกเค้าทั้งสองก็ต้องติดร่างแห
โดนการจู่โจมของเค้าไปด้วย


“ ไม่ต้องมาห่วงพวกเรา…ถ้าไม่ทำตอนนี้พวกเราก็ไม่มีทางชนะเลยนะ ”
เอมิล ตะคอกทว่า ไม่ทันไร ราฟ เตะจน ไรด์ กระอัก และผ่อนแรงแขนลง ทำให้ ราฟ กระชาก
คอ ไรด์ ไปกระแทก เอมิล จนหลุดไปอีกคน ก่อนจะเหวี่ยงเคียว ปลิดชีวิตทั้งสองใน ครั้งเดียว


“ เอมิล! ไรด์! ”
เรกกะ ที่อยู่ภายใน ทาลูคัส ร้องเสียงหลงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นร่างของเพื่อนทั้งสอง
ค่อนร่วงหล่นลงมา

“ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว….คนแบบแกหายไปซะ ”
ทาลูคัส ที่ตอนนี้ เริ่มจะมีโทสะ กับการกระทำของ ราฟ สบถก่อนจะหยิบเอาไพ่
ออกจากตลับที่เสกขึ้นมา 15 ใบแล้วรวมกับที่ใช้แปลงร่างอยู่ ทำให้มีไพ่ ในมือ 16 ใบ

“ Charge and Up Dragon Cannon ”
ทันทีที่ ทาลูคัส นำทั้งหมดนั้นไปวางบนศิลา ดาบก็กังวาลเสียงสนั่น
ก่อนที่ มังกรร่างสมบรูณ์ทั้งสี่ จะลุกขึ้นมายิงลำแสงทำลาย ออกมาสี่ลำพร้อมกัน

ลำแสงทั้งสี่ พุ่งตรงเข้าไประเบิดร่างของ ราฟ ในที่สุด พร้อมๆกับที่ ร่างของ ทาลูคัส แตกสลายลง
กลับคืนร่างเป็น เรกกะ ไปพร้อมกัน

……………
…………………….

“ แล้วไงต่อ…จัดการได้รึเปล่า ”
R2 เร่งถามทันที โดยไม่รอที่ เรกกะ จะเล่าต่อให้จบ

“ ที่จริง เพราะการโจมตีนั่น ทำให้เกิดพลังทำลายมหาศาล แต่ว่ามันพลาดเป้าไป เจ้านั่นหลบพอเฉียดๆออกมาได้
ส่วนลำแสงก็ไปตกค้างอยู่ ข้างบนที่จริงตอนนั้นชั้นเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันคืออะไร  ”
เรกกะ ตอบคำถามของเธอ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แม้จะไม่แสดงออก แต่ เธอรู้ดีว่าขณะที่พูดอยู่นี้
ตัว เรกกะ เองเจ็บปวดมากเพียงใด ที่ต้องลำรึกถึงช่วงเวลาอันโหดร้ายนั้น

“ แล้วคนที่ โผล่มาปิดท้ายชีวิตเจ้านั่น ก็คือ…..ไอ ”
เรกกะ เปรยก่อนจะเริ่มเล่าต่อจากที่ค้างไว้

……………
…………………….

“ Charge Rider Water Blade ”
สิ้นเสียง หลังจากที่ลำแสงพิฆาตของมังกรทั้งสี่นั้น พลาดเป้าการจู่โจมไปจาก ราฟ
ไอ ก็ปรากฏตัวขึ้น อย่างรวดเร็วก่อนจะปักดาบทะลุลงไปที่หัวใจของ ราฟ

“ อัก….ท…ทำไม…ก็ชั้นเป็นอานิมา นี่…แล้วทำไมความทรมานนี่มันอะไรกัน.. ”
ราฟ สบถขณะที่ กระอักออกมาเป็นสายเลือด ทั้งร่างที่ยังคาอยู่บนดาบของ ไอ

“ ราฟ….นายแพ้ให้กับมนุษย์….ตัวนายสูญสิ้นซึ่งการพัฒนาแล้ว…แน่นอน ตอนนี้นายไม่ใช่อานิม่า
 อีกต่อไปแล้วลาก่อน ”
เสียงของ โครโน่ ดังก้องขึ้นมาในหัวของ ราฟ ขณะที่ ภาพเริ่มพร่ามัว

“ ก…แกทิ้งชั้น…งั้นเรอะ โครโน่…กลับมาก่อน…ชั้นยังไม่…อยากตาย ”
ราฟ กัดฟันพูดออกมาขณะที่ร่างกายเริ่มค่อยๆเหี่ยวแห้ง ลงจนในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าทุลี ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ส่วนเคียว กับเสื้อผ้าก็ย้อนรูปกลับไปเป็นเครื่อง Terminal Crisis ตามเดิมก่อนจะตกลงมาจมกองทุลี
บนพื้น

“ ฆ่า…ต้องฆ่า Valkyrier ให้หมด ”
ไอ สบถด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใช่น้ำเสียงของเธอ ขณะที่ กวัดแกว่งดาบไปมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติ
ก่อนจะเหลือบไปเห็น ซาน ที่นอนเจ็บอย่างไร้ทางสู้ เพียงเสี้ยววินาที ที่ไม่อาจคาดคิด
ดาบของ ไอ ก็ถูกขว้างลงไปเสียบทะลุอกเธอเสียแล้ว

“ ซานนนนน! ”
เรกกะ ร้องเสียงหลงขณะที่ ตรงเข้าไปถอนเอาดาบ ออก

“ ฮิๆๆ…ฮะๆๆ…ฆ่าๆ..ฉันต้องฆ่า…Valkyrier…ฆ่า ”
ไอ กล่าวเสียงหลงไม่ต่างไปจากคนเสียสติ

“ ซาน ไม่เป็นไรนะ ลืมตาขึ้นสิ ซาน ”
เรกกะ ตะโกนเรียเธอ ทั้งน้ำตาขณะที่ ดวงตาของเธอนั้นจะเปิดแทบไม่อยู่แล้ว
เธอ ค่อยๆเอื้อมมือ ไปแตะมือของ เรกกะ ก่อนที่พวกเค้าทั้งสองจะสวมจับมือกันไว้

ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสับสนนี้ ซาน พยายามจะบอกอะไรบางอย่างแก่เค้าทว่าน้ำเสียง
ของเธอกลับแผ่วเบา จนไม่ได้ยิน และไม่ทันที่เธอจะได้กล่าวให้จบ เธอกลับจากเค้าไปก่อนเสียแล้ว
ดวงตาเลื่อนลงปิดสนิทในที่สุด

“ ลืมตาขึ้นมาสิ  ซาน ลืมตาขึ้นมาเถอะขอร้องล่ะอย่าทิ้งชั้นไปอีกคนเลย ซาน  ซาน! ”
เรกกะ ตะโกนเรียกเธอ อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่รับรู้อยู่เต็มอกว่า เธอไม่มีทางจะฟื้นขึ้นมาได้อีก
ได้แต่กุมมือเธอ แนบแน่น เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจับมือของเธอขึ้นมาประสานไว้

“ Terror Form ”   “ Regeneration ”
สิ้นเสียง เรกกะ ก็เปลี่ยนร่างเป็น ทาไนซ ทว่าคนที่คุมร่างอยู่ในตอนนี้กลับไม่ใช่ ทาไนซ แต่เป็นตัวเค้าเอง

“ ชั้นรู้ว่าเป็นเธอ…ไอ….แต่ชั้น…ชั้น….ยกโทษให้เธออีกต่อไปไม่ได้แล้ว ”
สิ้นคำ คมดาบของ ทาไนซ ก็แทงทะลุชุดเกราะของ เธอลงไปจนสุดคม

………..



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis ValkyrieตอนพิเศษTurn 03 Sideline of Recca
Post by: greamon on April 18, 2009, 06:33:41 PM
“ อ๊ะ…นั่นมัน… ”
เฟนท์ ที่ตามมาจนถึงจุดที่ยานตกในที่สุด ทว่า ภาพเบื้องหน้านั้นก็ทำเอาเค้า ช็อกไปทันที

“ เอมิล ไรด์  ”
เฟนท์ กล่าวตะกุกตะกัก เมื่อเห็นร่าง ของ เพื่อนทั้งสอง ที่นอนจมกองเลือดอยู่ ก่อนจะทันหันไปเห็น
 ร่างของ ซาน นอนสิ้นใจอยู่ใกล้ๆ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ ไอ ที่ตอนนี้ ไม่ได้สวมชุดเกราะอัศวินแล้ว

 แต่ร่างของเธอก็อาบชุ่มไปด้วยโลหิต ที่ไหลออกมาจาก ท้อง สิ่งที่ปรากฏนี้ทำเอา เค้าพูดไม่ออก
ได้แต่อ้ำอึ้งทั้งน้ำตา ที่ไหลรินออกมาด้วยความเสียใจ

“ ในที่สุด…นายก็มา.. ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ เฟนท์ จะหันไปมองยังต้นเสียง Dragoon ยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยชุดที่และหมวกที่ชโลมด้วยเลือดตั้งแต่หัวจรดเท้า


“ ทั้งหมดนี่แกเป็นคนทำงั้นสิ…..Dragoon ”
เฟนท์  ตะคอกใส่พลางเกร็งหมัดทั้งสองข้างอย่างแน่นที่สุด ร่างสั่นเทาไปด้วยความโกรธ

“ ใช่…ชั้นรอ….รอที่จะให้นายเป็นคนจบชีวิตชั้น….เพราะตอนนี้ชั้นไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ”
Dragoon กล่าวพร้อมกับปลดหมวกและหน้ากาก ทิ้งไป

“ เป็นนายเองเหรอ…เรกกะ… ”
เฟนท์ เปรยด้วยความตะลึง เมื่อได้เห็นโแมหน้าภายใต้หน้ากากของ Dragoon


“ ใช่…นี่ล่ะโฉมหน้าภายใต้หน้ากากที่เสแสร้ง โฉมหน้าของฆาตกรอย่างชั้น…. ”
เรกกะ กล่าวพลางตีสีหน้าเมินเฉยต่อความรู้สึกของ เฟนท์ ที่ต้องเผชิญกับความจริงที่ไม่อาจรับได้นี้

เปรี้ยงงงง!

เสียงดังขึ้นพร้อมกับลำแสงทำลายของ เรกกะ ซึ่งยังตกค้างอยู่บนท้องฟ้า ได้เกิดระเบิด ขึ้น
ก่อนที่แสงของการระเบิด จะขยายตัวลงมาและกลืนพวกเค้าจนหายไปกับแสงนั้น

………………………….
………………………………….


“ หลังจากนั้น พอรู้ตัวอีกทีชั้นก็จำอะไรไม่ได้แล้วก็ถูกส่งเข้าไปในมิติอื่นที่เธอไปเจอชั้นนั่นล่ะ ”
เรกกะ กล่าวจนจบ แล้วจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดตลับไพ่แล้วหยิบออกมาหนึ่งใบ

“ การระเบิดนั่นคงเกิดจาก นายใช้กระบวนท่า ที่เกินความสามารถที่นายจะควบคุมได้
มันก็เลยปลดปล่อยพลังทำลายแแกมาหลังจากนั้นแทน…ล่ะมั้ง..ว่าแต่มันจะดีเหรอ ถ้าไพ่หมดล่ะก็ ”
R2 กล่าวพลางชายตามองไปที่ไพ่ในมือของเรกกะ

“ เท่านี้ ไพ่ ก็เหลืออยู่ในตลับแค่ 29 ใบเท่านั้น ถ้ามันจะหมดก็ให้มันหมดๆไปเถอะเพราะตัวชั้นไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่อีกต่อไปแล้ว ”   “ Blaze Form ”

เรกกะ กล่าวขณะที่สร้างตราธาตุไฟขึ้นมาบนไพ่ก่อนจะนำมันไปวางบนหน้าปัดสายคาด

“ ก็คงงั้น…แต่นายน่ะคิเสียทุกอย่างไปหมดแล้วงั้นเหรอ ”
R2 ถามโดยไม่หันไปมอง

 “ อืม…ทั้งพี่ ทั้งซาน ก็ไม่อยู่แล้ว..ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ ”   “ Regeneration ”
เรกกะ ย้อนถามก่อนที่จะกดไพ่ลงไป แสงสว่างวาบขึ้นมาจากหน้าปัด ขณะที่บริเวณรอบๆนั้นเริ่มมืดลง
อันที่จริงนี่เป็นเวลาเย็นมากแล้ว แต่เพราะเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่นี้ ทำให้การรับรู้ซึ่งเวลาคลาดเคลื่อนไป
แสงที่แวบออกมาจากการแปลงร่าง นั้นส่องวาบทั่วทั้งสนามชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่ เรกกะ จะเปลี่ยนเป็น ทาลิคนัส


ดาดฟ้า อาคารเรียนกลางของ St. Magnus Academy

“ หืม…นี่ โคเว็ท ข้างล่างมีใครมาทำอะไรด้วยล่ะ เมื่อกี้นะแสงแวบขึ้นมาจ้าเลยตอนนี้หายไปหมดแล้วล่ะ ”
มิมิ กล่าวขณะที่ยื่นหน้า มองผ่านรั้วตาข่ายลงไป

“ เพ้อแล้วน่า ตอนนี้โรงเรียนมีใครซะที่ไหนล่ะรีบมาช่วย เอาพวกนี้ออกจากลังก่อนเถอะน่า ”
เสียงของ โคเว็ท ดังขึ้นมา ก่อนที่ มิมิ จะรับคำ แล้วจึงหันกลับไปช่วยเธอ


ขณะเดียวกัน ฟ้าก็เริ่มจะมืดลงเรื่อยๆ  จนในที่สุดมีเพียงแสงจันทร์ ที่ส่องทะลุลงมาให้พอเห็นรอบๆได้บ้าง

“ หมดแล้วนะ ”
ทาลิคนัส กล่าวถาม เมื่อเห็นว่า พวก ชารี่ ขนหินทั้งหมดอัดลงในหลุมหมดเรียบร้อย

“ ค่า จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว ค่า ”
เอลิต้า ตอบเสียงใส ขณะที่ ทาลิคนัส เริ่มสร้าง ดาบอัคคี ขึ้น

“ Ignite et Dragos ”
เสียงดังกังวานขึ้นพร้อมกับที่ ดาบอัคคีถูกสร้างขึ้นเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่ ทาลิคนัส
เร่งเพลิงของดาบจนมันลุกโหมออกไป หลอมหินที่ถูกอัดลงไปจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน

และด้วยอุณหภูมิ ที่เริ่มเย็นลงจนถึงขณะนี้ ทำให้สนามหินที่ร้อนระอุ เย็นและแข็งตัวในทันที
เมื่อซ่อมสนามเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาลิคนัส จึงคืนร่างกลับ เป็น เรกกะ ทันที

ฟิ้ว~~~ปุ้ง….

เสียงที่ดังหวีดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ก่อนจะกลายเป็นเสียงระเบิด ที่ดังประปรายไปทั่วทั้งสนาม
ได้ กระตุ้นให้ ทุกคนหันขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

“ ว้าว นั่นพลุนี่ ”
ชารี่ เปรยด้วยความรู้สึกกระชุ่มกระชวย ราวกับความเหนื่อยล้า จากการซ่อมสนามหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ จุดมาจากไหน อ่า ”
เอลิต้า ถามพลางสอดส่ายสายตาซุกซน มองหาไปรอบๆ

“ น่าจะจุดมาจากดาดฟ้าของตึกใหญ่นั่นล่ะมั้ง ”
ซิกนัม กล่าวเสียงเรียบ ตีหน้าตายเหมือนทุกครั้ง พลางชี้ไปทาง อาคารกลางที่อยู่ตรงหน้า

“ ได้ไงกัน….ก็ตอนนี้นักเรียนทุกคนย้ายกลับไปบ้านหมดแล้วนี่ พวก อาจารย์ ก็ด้วย…แล้วใครกัน ”
เรกกะ คิดอยู่ได้เพียงเท่านั้น ก็ไม่ลังเล ที่จะวิ่งตรงไปยังอาคารเพื่อขึ้นไปดู ด้วยตาของตน

“ อ๊า จะขึ้นไปเหรอคะ ขอหนู ขึ้นไปด้วย  หนูอยากจุดมั่ง ”
เอลิต้า กล่าวด้วยน้ำเสียงลิงโลดพลาง วิ่งตามหลัง เรกกะ ไปติดๆ พร้อมๆกับ ชารี่ และ ซิกนัม
โดยมี R2 ยืนส่งสายตา แฝงความนัยบางอย่างไว้ อยู่เบื้องหลัง

……………….

ฟิ้ว~~~~ปุ้ง ปัง

เสียงของพลุที่ยังคงดังไปเรื่อยๆไม่หยุดขณะที่ เรกกะ วิ่งขึ้นไปตามบันได อย่างเร็วที่สุดที่เค้าจะวิ่งได้
และทันทีที่ เปิดประตู ชั้นดาดฟ้า ออกเค้าก็ได้พบ มิมิ กับ โคเว็ท ทั้งสองคนกำลังช่วยกันจุดพลุ ที่วางระเกะระกะอยู่เต็มพื้นไปหมด
 
“ นี่…พวกเธอ…ทำไมถึง ”
เรกกะ เปรยด้วยสายตาตกตะลึง ตัวเค้านั้น แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองด้วยซ้ำ ว่าพวกเธอสองคนจะยัง
อยู่ที่นี่

“ เรกกะ… ”
มิมิ และ โคเว็ท เปรยขึ้นพร้อมกัน ด้วยความไม่อยากเชื่อในสายตาของพวกเธอเอง ที่ได้มาพบ เรกกะ อีกครั้ง
ไม่มี  ถ้อยคำ อันใดหลุดออกมานอกจาก การโผเข้าหาของทั้งสองทั้งน้ำแห่งความปลาบปลื้ม
ที่ได้พบกันอีกครั้ง

“ นึกว่าจะไม่ได้พบ เธอแล้วซะอีก เพราะอยู่ๆทั้งเธอ ทั้งพวก เฟนท์ ก็พากัน
หยุดเรียนไปซะเฉยๆก่อนจะเริ่มประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเราเป็นห่วงพวก
 เธอซะแทบแย่ ”
โคเว็ท กล่าวพลางปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อ

“ แล้วทำไมพวกเธอถึงยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ ไม่ได้ย้ายกลับไปด้วยงั้นเหรอ ”
เรกกะ ถามด้วยความสงสัย ขณะที่ พยายามดัน มิมิ ที่รัดเค้าซะแน่นให้ออกห่าง

“ แหมแล้วเธอจะให้พวกเราย้ายกลับไปไหนล่ะ ก็ในเมื่อพวกเรายังมีสัญญาค้างกันอยู่เลยนี่ ”
มิมิ  เอ่ยขึ้น หลังจากที่ฟังคำพูดของเธฮทุกประโยคแล้ว เค้าก็นึกขึ้นมาได้เมื่อครั้งที่ พวกเค้า
ได้พบกันเป็นครั้งแรก ตอนที่เข้าโรงเรียนนี้มา

“ งั้นพวกเรา สัญญากันแล้วนะ วันสุดท้ายของการศึกษาพวกเราจะขึ้นไปจุดพลุฉลองด้วยกัน ”
คำพูดของ ทุกคนในตอนนั้นได้ก้องขึ้นมาในหัวของเค้า

“ นี่พวกเธอยังจำคำสัญาตอนนั้นไว้อีกเหรอ ”
เรกกะ เปรยขึ้นด้วยความประหลาดใจ มิมิ และ โคเว็ท ไม่ตอบหากแต่ยิ้มกลับให้เค้าเท่านั้น

“ ที่จริงก็อยากจุดพร้อมกับทุกๆคนในวันจบการศึกษาน่ะนะ แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ซะก่อน ตอนแรกก็เลย
ว่าจะให้ ทุกคนมาจุดด้วยกันพร้อมหน้าแทนการจบการศึกษาไปเลยเพราะจากนี้กว่าจะได้กลับมาเรียนกันอีกก็คง
จะมีบางคนย้ายออกไปหรืออาจจะไม่กลับมาก็ได้ ”
โคเว็ท กล่าวขณะที่ เดินไปหยิบ เอาแท่งพลุออกมาจากห่อกระดาษในลังไม้

“ แต่เพราะรอนานไปก็ไม่มีใครมาซักทีแถมวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายก่อนจะย้ายแล้วด้วย
เลยว่าจะจุดเผื่อไปสำหรับทุกคนไปด้วย พวกฉันก็เลย ”
มิมิ กล่าวพลางผายมือไป ที่โต๊ะเรียนที่ ถูกยกขึ้นมาวางบนนี้

“ อ๊ะ…นั่นมัน โต๊ะชั้นนี่นา แล้วก็ข้างๆนั่นของ เฟนท์ ด้วยนี่…นี่หรือว่าพวกเธอ ”
เรกกะ กล่าวพลางหันไปถามด้วยสีหน้า เหนื่อยใจเล็กน้อยกับความคิดของพวกเธอ

“ ใช่แล้วล่ะ เพราะพวกเธอไม่มีใครมากันซักที พวกเราก็เลย เอาโต๊ะของ
ทุกคนมาแทนตัวแล้วก็จะจุดเผื่อไปให้ ด้วยน่ะ ว่าแต่ เรกกะ มาแล้ว โต๊ะของเธอก็คงไม่ต้องแล้วล่ะ ”
โคเว็ท กล่าวพลางกระบอกพลุให้แก่เขา

“ งั้นเหรอ…ขอบใจนะงั้นพวกเรามาจุดกันเถอะ ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย แต่ก็พยายามฝืนกลั้นไม่ให้ น้ำตาไหลออกมา แต่ก็กลั้นไม่อยู่ ทำให้ หยดน้ำตา
ไหลออกมา เล็กน้อยแต่นี่หาใช่น้ำตาแห่งความเศร้าสลดอีกไม่ หากแต่เป็นน้ำตาที่เอ่อล้น ออกมาด้วยความตื้นตันใจ

“ ว้าย เรกกะ เธอร้องไห้ด้วยเหรอ ”
มิมิ ออกอาการผวาเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นหยดน้ำบนในหน้าของ เรกกะ

“ ต๊าย ไม่นึกเลยว่าจะได้มีโอกาสเห็นน้ำตาเธอนะเนี่ย เรกกะ ฮิๆ ซึ้งในมิตรภาพของพวกเรารึไงหืม ”
โคเว็ท แหย่เขาด้วยสีหน้าเบิกบาน ทันทีขณะที่ ตัวเค้ารีบปราดคราบน้ำตาออกทันที พร้อมปรับน้ำเสียง
เสียใหม่

“ อะไรกันเล่าน้ำตาที่ไหนนี่มันเหงื่อต่างหาก ก็ชั้นรีบวิ่งขึ้นบันไดมาตั้ง หกชั้น กว่าจะขึ้นมาถึงนี่ได้  ”
เรกกะ รีบปฏิเสธเสียงแข็งทันที แต่ก็ทำเอา ทั้งเค้าและพวกเธอ อดที่จะหัวเราะไม่ได้

“ แต่ก็ว่าเนอะ มีแค่พวกเราสามคนเอง มันจะเรียกว่าฉลองดีไหมเนี่ย ”
มิมิ กล่าวปนบ่นเล็กน้อยด้วยความ รู้สึกประหลาดๆ กับการฉลองแบบนี้

“ หึ..ใครว่าแค่พวกเรา… ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะหันกลับไปที่ประตูซึ่งเปิดแง้มไว้อยู่ ชารี่ กับเพื่อน นั้นกำลังแอบดูพวกเค้า
อยู่เงียบๆ ก็พากัรล้มโครมลงมาด้วยความผวา ซึ่งก็ทำเอา มิม กับ โคเว็ท เอ๋อไปเลย
แต่ตัว เรกกะ กลับอดหัวเราะไม่ได้กับความซุ่มซ่ามของพวกเธอ

“ นี่ถ้ายังไงให้พวกเค้ามาจุดด้วยกันเลยสิได้ใช่ไหมล่ะ ”
เรกกะ หันไปถามความเห็น กับ โคเว็ท

“ เอาสิ คนยิ่งเยอะยิ่งสนุก จะสมเป็นงานฉลองหน่อย ”
โคเว็ท กล่าวพลางหันไปยิ้มรับ พวก ชารี่ ขณะที่ มิมิ ลากตัวพวกเธอมานั่งบนโต๊ะยาวอีกตัว
ซึ่งวาง ขนมเครื่องดื่มเอาไว้อยู่ด้วย

“ เอ้าเชิญเลยๆ เรามีขนมกับน้ำหวานเยอะแยะเลย เดี๋ยวกินกันไปแล้วก็ไปจุดพลุกันนะ ”
มิมิ กล่าวจบ สามสาว ก็ไม่รอช้า ที่จะจัดการกับ ของกินบนโต๊ะเพราะพวกเธอ
ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันแล้ว

“ เอ้า เธอน่ะจะยืนอมพะนำอยู่ทำไม เข้ามาร่ววงกับเราสิ ”
โคเว็ท  หันไปเรียกอีกคนที่ยืนหลบอยู่หลังบานประตู ก่อนที่มันจะแง้มออก

“ ขอรบกวน…หน่อยนะ ”
R2 กล่าวหน้าแดงเล็กน้อย เนื่องด้วยเธอไม่ค่อยจะชินกับการพบปะผู้คนซักเท่าไหร่

“ นี่ R2… ”
เรกกะ เปรยขึ้นขณะที่เธอ เดินเข้ามา ซึ่ง คนอื่นๆกำลังสนุกกับการจุดพลุ อยู่

“ อะไรอีกล่ะ….จะมาพล่ามเรื่องการใช้ชีวิตอีกรึไง ”
R2 บ่นด้วยสีหน้าหงุดหงิดนิดหน่อย

“ ก็คงงั้นล่ะ..จำที่ชั้นถามว่าทำไมเธอถึงถามชั้นแบบนั้นได้ใช่ไหม…ตอนนี้ชั้นคิดว่าชั้นรู้คำตอบแล้วล่ะ ”
เรกกะ กล่าว R2หันมามองเค้าด้วยความทึ่งเล็กน้อยกับ อากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเขา

“ โฮ่…งั้นก็ดีแต่ตอนี้ชั้นขอกินก่อนนะ ท้องมันร้องระงมไปหมดแล้ว ”
R2 กล่าวจบก็เดินเข้าไปร่วมวง บนโต๊ะกับทุกคน

“ ชั้นไม่ได้สู้เพื่อความถูกต้องหรืออะไรเทือกนั้นหรอก….แต่การต่อสู้ของชั้นนั้นก็เพื่อ
ทุกคนเพื่อ อนาคตของพวกเค้า เพราะตอนนี้นี่คือสิ่งที่มำให้การมีอยู่ของชั้นนั้นยังจำเป็น ”
เรกกะ คิดขณะที่ สายของเค้าทอดไปยังทุกคนที่ กำลังเริงร่ากับบรรยากาศที่สงบสุข นี้โดย
ค่อยๆปรากฏภาพ ของ ซาน เอมิล ไรด์ และ เฟนท์ ร่วมฉลองอยู่กับพวกเค้า  นี่คือภาพที่เค้าจะ
ต้องปกป้องมันเอาไว้ให้ได้ เค้ามีชีวิตอยู่เพื่อการนี้ นี่คือคำตอบที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ

…………………..
…………………………….

ปิ๊บๆๆ

เสียงดังขึ้นจากเครื่อง Terminal Crisis ของ เฟนท์ ก่อนที่เค้าจะเปิดมันขึ้นมาดู

“ ข้อความงั้นเหรอ..จากใครกัน…ที่จะติดต่อผ่านสายนี้ได้ก็มีแต่ พวก Valkyrier ด้วยกันเท่านั้นนี่
แล้วนี่จากใครกันนะ…ห๊ะ ”
เฟนท์ คิดขณะที่ กดปุ่มบนเครื่องเพื่อดูต้นทางของข้อความ ทว่าชื่อต้นทางนั้นกลับ เป็นของ ซาน

“ นี่มันจากพี่นี่…ต..แต่ว่าใครกันก็เครื่องของ พี่มัน…เดี๋ยวไม่สิ…มีอยู่คนหนึ่ง ”
เฟนท์ คิดก่อนจะเปิดอ่านเนื้อความในนั้น

Quote
พรุ่งนี้  13.00 น. มาที่ บาร์ซิงเซย์ ชั้นจะรอนายอยู่ที่นั่น
หวังว่านายจะมาคนเดียว

            Recca.



โปรดติดตามตอนต่อไป

Next Saga

ชั้นตัดสินใจแล้วจะไม่หนี แล้วก็ไม่หลบอีกต่อไป ชั้นขอเผชิญหน้ากับนาย

“ ไม่นึกเลยว่านายจะมาจริงๆ ”

“ นี่จะเป็นคำขอครั้งแรกและครั้งสุดท้าย…นายจะร่วมมือกับชั้นได้ไหม ”

“ แล้วนายคิดว่าชั้นควรจะตอบนายยังไงเล่า ”

ไม่ว่าคำตอบของนายจะเป็นยังไงก็ตาม ชั้นจะทำให้นายตกลงให้ได้
ต่อให้ต้อง ใช้กำลังกับนายก็ตาม

…..หากทางที่จะก้าวไปนั้นมีอุปสรรค์ ก็จงบินข้ามมันไป ด้วยปีกคู่นั้นสิ ตอนต่อไป Next Saga 16  Friend…..

หนทางแห่งแห่งการปฏิวัติเริ่มขึ้นแล้ว ....




ขอสารภาพขอร้าบ เขียนบทนี้ ไปด้วยความหนักใจแบบสุดๆ เพราะส่วนที่เราผลัดไปลงตอนต่อๆไป
ช่วงก่อน เจ้า เรกกะ เมมโมรี่เสื่อม มันถูกอัดลงมาในตอนนี้ จนดูไม่รู้เรื่อง

อีกทั้งในส่วนของเรื่อง ที่ขาดหายไปเพราะจำนวนตอนไม่พอยังถูกนำมาเล่าผ่านปาก เรกกะ แทนดังนั้น
อรรถรสของจุดเชื่อมเหตุการณ์อาจเคลื่อนไปนิด แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้พระเอกของเราก็ไม่คิดสั้น

ฆ่าตัวตายแล้วล่ะนะครับ ว่าแต่ตอนหน้า คงได้เขียนไปปวดตับปวดไต ไป นี่เราต้องจับเพื่อนมา
โขกสับกันเองอีกแล้วเรอะ (จริงๆแล้วสะใจ)


การุรุม่อน:ง่า ไม่สมดุลเลย ไม่กี่วันก่อนพึ่งจะฮากับตอนพิเศษ มาหยกๆพอกลับเข้าซีรี่ย์
เครียดทันที หนู ไอ ม่องเท่งไปเรียบร้อย พร้อมๆกับ หนุ่มๆอีกสองแล้วก็ รุ่นพี่สาวอีกหนึ่ง
ฮือ~~เศร้าว้อย!

ปิโยม่อน: บางครั้งน้องชายชั้นก็โหดเอาเรื่องนะนิ พี่อ่านไปน้ำตามันพาลจะไหล
ถึงจะรู้อยู่แล้ว ว่ายังไงตอนอวสาน คงจะจบออกมาแบบแฮปปี้ เพราะน้องชอบจบแบบไม่มีอะไรค้างคา
แต่เท่าที่ดูลิส ชื่อคนตายนี่ เอ่อ..อึ้งค่ะไหงตายโหง กันขนาดนี้ แล้วนี่ตอนจบ
แบบสุขสันต์ของภาคแรกจะไปอยู่ไหนเนี่ย ไม่ใช่มีต่อซีซั่นสองน้า



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis Valkyrie Saga 15 Reason...
Post by: boy on April 18, 2009, 08:45:07 PM
อ่า....ซึ้งง่า

กิน-ใจ-มาก-มาก  ::008:: ::008:: ::008::

อยากให้เรื่องแรกกับเรื่องนี้เป็นอนิเม  ::011:: ::006::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis Valkyrie Saga 15 Reason...
Post by: greamon on April 21, 2009, 01:11:51 PM
Saga 16  Friend…..

หลังการล่มสลายของ เมอริเซีย (ย้อนไป200กว่าปีก่อน)

“ จะไม่เป็นการบังคับ เกินไปหรือครับท่านพี่..เฟนท์ น่ะ ”
“ ไม่ต้องพูดหรอก ลากูน่า ...เฟนท์ เองมันก็ต้องลุกขึ้นสู้เข้าสักวัน... ”

“ แต่..นั่นมันเป็นการตัดสินใจของพี่ ฝ่ายเดียวนะครับ อีกอย่าง เฟนท์ เองก็ไม่ได้แข็งแรง อะไรมากด้วย ”
“ ชั้นก็คิดอย่างนั้นนะ เจนัส... นี่มันจะไม่เป็นการบังคับลูกเกินไปหน่อยเหรอ..สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้น่ะ.. ”

“ ริคุ..นายไม่คิดเหรอว่ายังไงซะนี่ก็เป็นหนทางเดียวที่ จะให้ พวกเค้ามีชีวิตรอด...
หากภายในองค์กรเกิดความไม่ลงรอยกันขึ้นมาในซักวันข้างหน้า ”

“ แต่ถ้าทำแบบนั้น..ก็เท่ากับว่า เฟนท์ จะต้องต่อสู้ในอนาคตข้างหน้านะ..ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะ ”
“ ไม่หรอกค่ะ...ฉันเองก็คิดว่า ให้ เฟนท์ เข้าร่วใมในการนี้ด้วยจะทำให้เค้าปลอดภัยที่สุด ”

“ นีน่า เองก็คิดแบบนั้นเหรอ... ”
“ ก็จริงนะ ว่าไปพวกเราเองก็ให้ลูกๆเข้าร่วมโครงการนี้เพื่อ อนาคตของพวกเค้านี่นะ... ”

“ ในกาลข้างหน้า พวกเค้าจะตื่นขึ้นจากการหลับใหลและกลายเป็นนักรบที่จะ ต่อสู้กับความขัดแย้งทั้งปวง
และสร้างโลกที่สงบสุขขึ้นมาได้..เพื่อ ลอว์เรนซ์ ที่ยอมเสียสละ ต่อชีวิตให้กับพวกเรามา
นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะมั่นใจได้ว่า อุดมการณ์ของพวกเราจะไม่เสื่อมสลายไป ”

ขณะที่บทสนทนานี้กำลังดำเนินไป ที่ทางเดินนอกห้องนั้น ครึ่งสมิงหมาป่าเด็กคนหนึ่ง ที่แอบฟังการสนทนานี้อยู่เงียบ
ด้วยใบหน้าเศร้าสลด ขอบตามีคราบน้ำตาจางๆ อยู่ หลังจากที่ฟังอยู่ซักพัก เด็กน้อย ก็เดินลอยชาย
ไปตามทางด้วยสีหน้าสลด เค้าเดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเหล็ด บานหนึ่ง

“ ห้องนี้มัน...พวกคุณพ่อบอกว่าห้ามเปิดมันนี่ ”
เด็กคนนั้นกล่าวขึ้น เมื่อนึกถึงคำของผู้เป็น พ่อที่ย้ำเตือนถึงสิ่งที่อยู่หลังบานประตูนี้
และเค้าก็ต้อง ชะงักไปชั่วครู่เมื่ออยู่ๆบานประตูก็แง้มออก

“ เข้ามานี่สิ ”
เสียงดังออกมาจากห้องหลังบานประตูนั้น

“ ถ้าเราเข้าไปในนี้แล้ว...คุณพ่อต้องโกรธเราแน่เลย.. ”
เด็กน้อยตอบกลับไป ทว่ากลับไม่มีเสียงใดดังตอบกลับมา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็กๆทำให้เค้าลืม
คำเตือนไปแล้วผลักบานประตูเปิดเข้าไป ภายในเป็นห้องที่ผนังและพื้นปูด้วยแผ่นโลหะหนาทั้งห้อง

มีเพียงแสงไฟสลัวๆที่ลอดลงมาจาก ช่องตรง เพดาน เท่านั้น ที่กลางห้องมีเด็กมนุษย์คนหนึ่ง เค้ามีผมสีทอง
และดวงตาซ้ายมีบางสิ่งนั้น เรืองแสงออกมาในความมืดนี้

“ อ้าว...นั่น นายเป็นลูกชายของ เจนัส นี่ ชื่อ เฟนท์ ใช่มะ”
เด็กในห้องถามเค้า ขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นมิตร

“ รู้จักกับคุณพ่อด้วยเหรอ ”
เฟนท์ ในวัยเด็ก ย้อนถามด้วยความตกใจ ซึ่ง เด็กในห้องก็พนักหน้ารับเป็นเชิง

“ เค้าเองก็เล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่ามีลูกชายที่อายุพอๆกับชั้น พอเห็นหูนายชั้นก็รู้แล้วล่ะ
 ว่าแต่เป็นอะไรไปล่ะ เหมือนนายพึ่งร้องไห้มาหนักเลยนี่ ”
เด็กในห้อง ถามกลับมาอีกครั้ง

“ คุณพ่อบังคับให้ผม ฝึกการต่อสู้แต่ผมน่ะ....ผมไม่อยากทำร้ายใครแล้วก็ไม่อยากถูกทำร้าย
ด้วยแต่คุณพ่อก็จะบังคับให้ผมทำ ”
เฟนท์ กล่าวน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ขณะที่เดินเข้ามาในห้องเพื่อที่จะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ

“ อ๋อ อย่างนี้เองสินะ...เข้าใจล่ะ ว่าทำไม เจนัส ถึงได้บ่นให้ชั้นฟังอยู่เรื่อย..เดี๋ยวชั้นจะทำให้นายเข้าใจขึ้นมาเอง...ว่าโลกน่ะมันไม่ได้อ่อนโยนกับนายขนาดนั้นหรอกนะ ”
เด็กคนนั้นกล่าวก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง เฟนท์ ที่เห็นแบบนั้นก็เกิดตกใจกลัว วิ่งกลับไปผลักทุบประตู
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรประตูก็ไม่เปิดออก

“ เปล่าประโยชน์ ประตูนั่นน่ะจะเปิดออกก็ต่อเมื่อชั้นอยากให้มันเปิดเท่านั้น..อ้อเสียงก็ลอดออกไปไม่ได้ด้วยนะ
เพราะฉะนั้นไม่ต้องตะโกนให้ใครมาหรอก เพราะตอนนี้มีแค่ นาย กับชั้นเท่านั้น.. ”
เด็กคนนั้นอธิบายขณะที่เดินเข้ามาใกล้  เฟนท์ ที่ตกใจกลัวอยู่จึงถอยหนีจนหลังติดประตู น้ำตาก็อาบนองแก้ม
ด้วยใจที่ถูกรุมเร้าด้วยความหวาดผวา

“ น..นาย จะทำอะไรผม..ขอร้องอย่าทำผมเลย..ผม..อัก ”
เฟนท์ พูดเสียงสั่นด้วยความหวาดผวาทว่าไม่ทันที่จะได้คำตอบ
 กำปั้นของ อีกฝ่ายก็ซํดเข้ามาที่ใบหน้าของเค้าจนเซล้มไป

“ ชั้นจะสอนให้นายรู้เองว่า การต่อสู้มันเป็นยังไง อ้อลืมแนะนำตัวไปซะสนิท ชื่อของชั้นคือ เรกกะ.. ”
เด็กคนนั้นกล่าวจบ ก็ยกเท้าขึ้นกระทืบซ้ำลงไปอีกทีอย่างไม่ปราณี ก่อนจะก้มลงไปดึงตัว เฟนท์ ขึ้นมา

“ ผม..ไปทำอะไร..ให้นาย ”
เฟนท์ ถามไปร้องไห้ไป ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ เรกกะ ขบฟันด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเหวี่ยง เฟนท์ ลอยไปกระแทกกับผนังห้องอีกฝั่ง

“ อย่ามาทำสำออย ในสนามรบน่ะ ไม่ฆ่าก็ถูกเค้าฆ่า ไม่สู้ก็ไม่มีวันชนะ
ความเห็นใจหรืออะไรเทือกนั้นจะทำให้นายตาย”

เรกกะ ตะคอกไปพร้อมๆกับ เข้าไปจับตัว เฟนท์ ขึ้นมาซัดเอาครั้งแล้วครั้งเล่า จน
เฟนท์ สะบักสบอมไปทั้งตัว

“  สิ่งเดียวที่ต้องทำเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
 คืองัดเอาความโกรธแค้นทั้งหมดออกมาจัดการกับอีกฝ่าย มีเพียงตัวนายเองที่จะช่วยตัวนายได้ ”
เรกกะ กล่าวจบก็เกร็งหมัดชกออกไปหมายจะอัดให้ เฟนท์ สลบไปในครานี้ ทว่า เฟนท์ กลับ
ก้มตัวหลบแล้ว ซัดสวนที่ลำตัวของเค้า ก่อนจะกระแทกตัวชนให้ เค้าล้มกลิ้งไป

“ ในที่สุด..นายก็เข้าใจแล้วใช่มะ..งั้นลองแสดงให้ชั้นดูหน่อยว่านายทำได้ขนาดไหน
แน่นอนถ้าล้มชั้นได้ นายได้ออกไปแน่ ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ยันตัวลุกขึ้นมา โดยที่มือยังกุมหน้าท้องเพราะความจุกอยู่ ขณธที่มองไปยัง
เฟนท์ ที่ซึ่งหอบหายใจด้วยความตื่นตระหนก แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้คือ ดวงตาที่ไม่มีความลังเล
ใดๆอยู่ในใจอีกแล้ว  จากสภาพที่บีบคั้นให้เอาตัวรอดสัญชาตญาณ ในร่างได้สั่งให้เค้าสู้ เพื่อความอยู่รอด

“ ถึงจะไม่ใช่ จิตสังหารแต่นายก็ปลุกสัญชาตญาณในตัวออกมาแล้ว จากนี้ก็อย่าพยายามฝืนกระแสมันซะล่ะ ”
เรกกะ กล่าวจบก็บุกเข้าไปแลกหมัด กับ เฟนท์ อีกหลายต่อหลายครั้ง
หนที่สุดคือ เฟนท์ ที่นั้นไม่อาจทนรับแรงกดดันและ ความบอบช้ำทั้งทางจิตใจและร่างกายได้ไหว
 จึงล้มฝุบหมดสติไป เมื่อเห็น เฟนท์ หมดทางที่จะสู้แล้ว เค้าจึงเดินลงมานั่งข้างร่างของ เฟนท์

“ หวังว่านายคงจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วนะ...อย่าลืมความรู้สึกนี้ซะล่ะ...เพราะโลกไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่นายคิด ”
เรกกะ กล่าวจบบานประตูก็เปิดออก พร้อมกับที่ เจนัส พ่อของ เฟนท์ จะเข้ามารับเอาตัวลูกชายไป

“ ขอบใจนะที่ช่วยดัดนิสัยลูกชายชั้นให้น่ะ ”
เจนัส กล่าวก่อนจะหันกลับออกไป

“ นี่ เจนัส นายน่ะ ไม่ต้องฝืนใจทำเป็นเข้มงวดไปนักก็ได้... หมอนั่น..เฟนท์ น่ะ
ไม่ได้อ่อนแอ่อย่างที่เห็นหรอกนะ เพียงแต่..ความอ่อนโยนของเค้านั่นล่ะที่มีมากเกินไป  ”
เรกกะ กล่าวจบ เจนัส จึงเดินออกจากห้องไปและ บานประตูก็ปิดลงในที่สุด

......................

ปัจจุบัน

ตลาดท่าเรือ บาร์ซิงเซย์

สะพานยาวที่ยืนลงไปในอ่าวแห่งนี้เมื่อก่อน คับคั่งไปด้วยผู้คนและร้านค้ามากมาย แต่บัดนี้ได้แปลสภาพ
ไปจากเดิมกลายเป็นเพียงสะพานธรรมดาๆไป แล้วเพราะร้านค้าและผู้คนที่เคย ทำมาหากินอยู่บริเวณนี้ ได้อพยพ

ออกไปจาก เมืองหลวง อโครพาเทน่อน(Acropatanon) แห่ง โลกอส นี้ไปจนหมดแล้ว
บนสะพาน เรกกะ กำลังเดินไปโดยมีเป้าหมาย อยู่ที่ชายอีกคนที่มารอเค้าอยู่ที่ปลายสะพานแห่งนี้
เฟนท์ ที่แต่งตัวด้วยยูนิฟอร์มทั่วไปขององค์กร สวมแว่นสีดำเพื่อปิดบังใบหน้า

(http://images.temppic.com/21-04-2009/images_vertis/1240279585_0.66876700.jpg)

“ ไม่นึกเลยว่านายจะมาจริงๆ ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ถอดแว่นออกและมองเค้า ด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

“ แต่นายเองก็มาคนเดียวตามสัญญาเหมือนกันนี่.. ”
เรกกะ ย้อนในมือของ เค้ามีถุงตาข่าย ซึ่งใส่เครื่อง Terminal Crisis เอาไว้ถึง 4 เครื่องด้วยกัน

“ ชั้น....ไม่อยากโกหกอีกต่อไปแล้ว... ชั้นโกหก ทุกคน เหมือนกับนายโกหกพี่ แม้แต่ ไอ ! ”
เฟนท์  กล่าวก่อนจะตะคอกใส่ พร้อมกับยกเอาริบบิ้นสีฟ้า ซึ่งเป็นอันที่ ไอ ใช้ผูห้อยประดับ
คอติดตัวเอาไว้เสมอ เค้าแสดงมันต่อหน้า เรกกะ ที่ยังคงเก็บอารมณ์ และรักษาท่าทีเอาไว้

“ ชั้นขอถาม นายเป็นคนฆ่า ไอ ใช่ไหม ”
เฟนท์ ถามขึ้นเพื่อต้องการคำยืนยันจากปากของอีกฝ่าย เรกกะ เองก็เบียงหน้าไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากตอบ

“ ใช่ชั้นเป็นคนฆ่าเธอเอง ”
เรกกะ ตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย

 “ ทำไม.. ”
เฟนท์ ถามต่อทันที

“ เพราะเธอ มาขวางทางชั้น ”
เรกกะ ตอบบ่ายเบี่ยงจากความจริงที่เค้ารับรู้มา เพราะคิดว่าอธิบายไป เฟนท์ ก็คงไม่เชื่อคำพูดของเค้า

“ ไรด์ เอมิล แล้วก็ทุกคนบนยาน ”
เฟนท์ ถามต่อด้วยอารมณ์ที่ครุกรุ่น กับคำตอบของ เรกกะ

“ ใช่..พวกเค้าตายเพราะชั้น ”
เรกกะ ตอบโดยบ่ายเบี่ยงไปจากความจริงที่คนฆ่า คือ ราฟ หากแต่สาเหตุของเรื่องก็คือตัวเค้าเองที่ใจไม่แข็งพอจนทำให้ ไรด์ กับ เอมิล ต้องเสียสละอย่างสูญเปล่า

“ งั้นพี่ล่ะ..นายทำไปทำไม..นายฆ่า พี่ซาน ทำไม ”
เฟนท์ ตะคอกถามด้วยความหวังที่จะได้คำตอบที่ฟังขึ้นจาก เรกกะ เพราะเค้ารู้ดีว่า เรกกะ
นั้นชอบพี่สาวของเค้าขนาดไหน

“ เธอเองก็เป็น ผู้ร่วมมือในการหยุดชั้นเพราะงั้น... ”
เรกกะ ยังคงตอบบ่ายเบี่ยงไปอีกเพื่อที่จะไม่ให้ เฟนท์ ต้องเจ็บปวด กับความจริงหากเค้ารู้ว่า คนที่ฆ่า ซาน ก็คือ ไอ

“ งั้นเหรอ...นายโกหก อีกงั้นสิ ”
เฟนท์ ที่จ้องมองท่าทีของเค้ามา ตั้งแต่เมื่อครู่นั้น ดูออกว่าสิ่งที่เค้าพูดนั้นไม่ได้ออกมาจากใจ

“ ชั้นรู้จักดี..สายตาแบบนั้น..มันเป็นสายตาของคนที่พร้อมจะรับผิดแล้วเก็บงำทุกอย่างเอาไว้.. ”
เฟนท์ คิดก่อนจะนึกย้อนไปถึงตอนที่เค้าได้คุยกับ ลูเทเซีย ในตอนที่แฝงตัวเข้าไปในกลุ่มต่อต้าน
ที่ บริทเทเนอร์ เค้านึกถึงสายของ ลูเทเซีย ในตอนนั้นว่ช่างคล้ายกับที่ เรกกะ แสดงออกอยู่ในตอนนี้

“ ถ้างั้นแล้วนายเรียกฉันมาที่นี่ทำไม ”
เฟนท์ ถามต่อเมื่อเห็นว่า เรกกะ นั้นยังไม่ยอมพูดอะไร

“ ชั้นมาเพื่อขอร้อง...นาย... ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะหันมาจ้องตาของอีกฝ่าย เฟนท์ ที่ได้เห็นสายตาที่เปลี่ยนไปในทันทีนั้นก็ถึงกับ สะดุดนิ่งไปชั่วขณะเลยทีเดียว

“ นี่จะเป็นคำขอครั้งแรกและครั้งสุดท้าย…นายจะร่วมมือกับชั้นได้ไหม ”
เรกกะ กล่าวโดยที่ลึกๆนั้นหวังว่า เฟนท์ จะเข้าใจและยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ
ได้ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก ไม่ว่าอย่างไรเค้าคงไม่พ้นต้องลงมือ กับ เฟนท์ เป็นแน่

“ แล้วนายคิดว่าชั้นควรจะตอบนายยังไงเล่า ”
เฟนท์ ตะคอก กลับอย่างไม่แยแสต่อความรู้สึกของ อีกฝ่าย ที่สุดเรกกะ จึงจำใจต้องยอมรับ
เค้าไม่อาจชักชวน เฟนท์ ด้วยคำพูดได้อีกต่อไป

“ ดูท่าเราจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ... ”
เรกกะ กล่าวจบก็เปิดตลับแล้วหยิบไพ่ออกมา จนถึงตอนนี้ไพ่ในตลับก็เหลือเพียง 28 ใบเท่านั้น

“ ชั้นเองก็คิดอย่างนั้น... ”
เฟนท์ ตอบก่อนจะ หยิบเอาเครื่อง Terminal Cisis ของตัวเองขึ้นมา

“ เฟนท์..นี่พวกเราต้องมาสู้กันเองจริงๆงั้นเหรอ... ”
เรกกะ คิดตอนนี้ในใจของเค้าก็ยังคงมีความลังเล ที่จะต้องสู้กับ เฟนท์ อยู่
ตอนนี้ ตาซ้ายเรืองแสง สีขาวขึ้นมา พร้อมกับที่ไพ่ปรากฏสัญลักษณ์ ธาตุแสงขึ้น

“ เรกกะ...มาคิดดูอีกที ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายเองก็ช่วยชั้นไว้มาก นายเป็นเพื่อนคนสำคัญของชั้น..เพราะงั้น ”
เฟนท์ เองก็ยังไม่อาจตัดความลังเลที่เกิดจากสายสัมพันธุ์ อันแน่นแฟ้นนี้ไปได้ ถึงแม้จะคิดอยู่เต็มอกว่ามันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง

“ Luminar Form ”  “ Code Standing By ”
เสียงเตรียมการแปลงร่างของทั้งสองฝ่ายดังขึ้น พร้อมๆกัน ขณะที่ ทั้งคู่กำลังจ้องหน้า
กันอยู่ด้วยสายตาที่ยังคงแฝงความอาวรณ์อยู่ลึกๆ

“ เรกกะ... ”   “  เฟนท์..”
ต่างฝ่ายต่างเรียกชื่อของอีกฝ่ายก่อนที่ทั้งคู่จะทำการ สับสวิตซ์ครั้งสุดท้าย เพื่อเปลี่ยนร่าง
เรกกะ กดไพ่ลงไปบนหน้าปัด ส่วน เฟนท์ กดสวิตซ์ที่ ข้างเครื่อง

“ Regeneration ”   “ Code Slash ”
เสียงดังก้องกังวานขึ้นพร้อมกัน ทันทีทั้งคู่เปลี่ยนร่างเสร็จ ทั้งสองก็เข้าปะทะกันแบบลืมตาย

“ Lux et Dragos ”  “ Ava-Trans ”
สิ้นเสียง ทาลูคัส ก็สร้างดาบขึ้น พร้อมกับที่  เฟนท์ รวมอนุภาคมาสร้าง เกราะ วาลคิวรี่ เจอรัลดีนได้สำเร็จ

“ ทาลูคัส ถอยไปหชั้นจะขอเป็นคนสู้เอง ”
เสียงดังขึ้นภายในห้วงจิต ของ ทาลูคัส ก่อนที่ เรกกะ จะเป็นคนคุมร่างนี้ด้วยตัวเองแทน

“ carnalian ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ พลองสองอันของ เฟนท์ ถูกประกอบเป็น พลองยาว คาเนเลี่ยน และแล้วทั้งคู่ก็
ทะยานกันเข้าปะทะ เหนือน่านน้ำ ที่กำลังโหมด้วยลมพายุกรรโชก.....
............
....................
อาคารที่ว่าการเขต ของ อโครพาเทน่อน   (หอบัญชาการทหารสูงสุดแห่งโลกอส)
 

“ พี่คะ ทางด้านนั้น ไปถึงไหนแล้วคะ ”
มาเรียลูส กล่าว กับ ลูเทเซีย ผ่านหน้าจอสื่อสาร ในห้องซ฿่งเต็มไปด้วยระบบประมวลผล และเหล่าขุนนาง ต่างๆกำลังวุ่นวายกับการ กระจายข้อมูล ต่างๆไปยังกองทัพ ที่ส่งไปยัง เกาะหลักศิลาที่กำลังทำการ รบกันอยู่

“ ตอนนี้ สุซาคุ กับ เฟรเซีย กำลังช่วยกันต้าน ไว้อยู่แต่แบบนี้คงได้อีกไม่นานล่ะ ไอริส กับ คาลิเบอร์
ยังแทบเอามันไม่อยู่เลย ”
ลูเทเซีย ตอบกลับมาผ่านทางมอนิเตอร์ ขณธเดียวกับที่ตอนนี้ตัวเค้าอยู่บนยาน รบลำมหึมา ซึ่งกำลัง
ลอยตัวอยู่ เหนือน่านฟ้า ที่สนามรบเบื้องล่างนั้น จนถึงตอนนี้ กองทัพของ แต่ละฝ่ายที่ทำการรบกัน

ก่อนหน้าที่พวกเค้าจะมาหก็ยังคงแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นเช่นเดิม  ทว่า ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกทำลายทิ้งไปแล้วจากการ
ปะทะ กับร่างของ มังกรทมิฬขนาดยักษ์ ที่ลอยตัวอยู่เหนือสนามรบจนถึงเมื่อครู่

 มันมีขนาดที่ใหญ่โตพอๆกับมหาวิหาร มันมีกายสีดำทมึนปีกขนาดใหญ่สี่ปีก  ลักษณะของมันน่าเกรงขาม
 รอบๆร่างมีคลื่นสายฟ้าสีดำ ปกคลุมและเมื่อมีการโจมตีใดเข้าถึงร่างของมัน คลื่นอัสนีนี้ก็ฟาดออกไป

ทำลายทุกสิ่งในรัศมีที่มันพุ่งไปหา ตอนนี้ ซาก Gazor นับสิบนั้นเกลื่อนเต็มพื้นสนามรบ และเพิ่มทุกครั้งที่
คลื่นอัศนี ปล่อยออกมาทำลาย Gazor ที่อยู่รอบๆตัวมัน

“ นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะโจมตีมันเลยนะเนี่ย ”
สุซาคุ ที่ขับอยู่ใน คาริเบอร์ โหมด แลนเซลอต สบถเมื่อพวกเค้าพยายามจะยิงจู่โจมหรือเข้าใกล้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
 ก็เป็นอันที่ คลื่นไฟฟ้าของ มันจะยิงสวนออกมาทุกครั้งไปจนไม่อาจเข้าไปทำอะไรมันได้

“ นี่ สุซาคุ ระวัง ข้างบน ”
เฟรเซีย ที่อยู่ใน ไอริส โหมด ไซเบอทิก้าวิงค์ ติดต่อเข้าไป ได้ทันทำให้ สุซาคุ บังคับ คาลิเบอร์
หลบ สายฟ้าที่สะท้อนลงมาได้ทันอย่างหวุดหวิด

“ ให้ตายสิ เจ้ามังกรนี่ ถ้าไม่รีบจัดการก่อนที่มันจะตื่นขึ้นเป็น เอวานเกเลี่ยน อย่างสมบูรณ์ล่ะก็... ”
ลูเทเซีย คิดอย่างเป็นกังวลกับสถานการณ์ที่บีบคั้นตัวเค้าเองอยู่ในตอนนี้



.................




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis Valkyrie Saga 15 Reason...
Post by: greamon on April 21, 2009, 01:12:14 PM
“ หึๆ..ลูกชายข้า เจ้านั้นยังด้อยนัก ลูเทเซีย คิดรึว่า Gazor พวกนั้นจะต่อกรกับ
อันคารากอน(Ancalagon, the Black Dragon Lord) ได้ ”
เนลโปลเลียน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นใจ ขณธที่มอง การรบของ พวก ลูเทเซีย ผ่านช่องมิติ ที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

“ Slash ”   “ Ignite et Dragos ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ อาคูม่า หลายตัวกระเด็นตกลงไปจาก บันไดวิหาร
ร่วงหล่นหายไปยัง ท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขตนี้

“ แก...ไม่มีวันจุติ เอวานเกเลี่ยน..ได้หรอก เพราะก่อนหน้านั้นชั้นจะ..ทำลายเจ้า คาทราสโทฟี นี่เอง ”
ลอว์เรนซ์ ที่อยู่ในร่างของ ทาลิคนัส ตะโกนออกมา ขณธที่ตอนนี้ตัวเค้า ไล่ฟันทะลวงกองทัพ อาคูม่า
ขึ้นมาเรื่อยๆตามบันไดวิหาร ลอยฟ้านี้

.........................
..............................

แกร๊งงงง เคร้งงง

เสียงฟาดฟันอาวุธของ เรกกะ กับ เฟนท์ นั้นยังคงก้องไปทั่วเหนือน่านน้ำที่มีเพียงพวกเค้าสองคน
แม้ทั้งคู่จะว่องไวและรวดเร็ว แต่เมื่อเข้าปะทะกันก็ไม่อาจรับการโจมตีของแต่ละคนได้หมด

เมื่อ เรกกะ ฟาดดาบลง แม้ เฟนท์ จะยกพลองขึ้นรับไว้ ก็จะโดน ถีบลำตัวจนกระเด็นออกมาก่อนจะ
 พุ่งลงมาซ้ำด้วยหมัดอีกที  จน เฟนท์ จมหายลงไปในทะเล แต่เพียงพริบตา เฟนท์ ก็พุ่งขึ้นมาพร้อมกับตวัดพลองฟาดจน เรกกะ กระเด็นไป

“ หนอย..ทาลิคนัส ”
เรกกะ สบถก่อนที่ จะคืนร่างเดิมพร้อมกับหยิบเอาไพ่อีกใบออกมาเปลี่ยนเป็น ทาลิคนัส
แต่เค้ายังคงเป็นคนที่คุมร่างอยู่ในตอนนี้ และแล้วไพ่ก็เหลือ เพียง 27 ใบ
“ เฮ้ย เรกกะ นายจะไหวเหรอ ชั้นว่าเปลี่ยนให้ชั้นลุย... ”
“ ไม่ได้นี่เป็นการต่อสู้ของชั้น..ถ้าจะต้องทำร้าย เฟนท์ ชั้นจะเป็นคนทำเอง ”

ทาลิคนัส ที่แย้งขึ้นกลับถูก เรกกะ ตะคอกกลับไป แล้วพุ่งกลับลงไปพร้อมกับเงื้อดาบอัคคี
ฟาดลงไป เฟนท์ ที่ไม่ทันตั้งตัวกับการจู่โจมนี้ทำให้ เพลิงจากคมดาบ นั้นคลอกร่างของเค้าก่อนจะถูก

เรกกะ ถีบซ้ำอีกชั้นให้จมลงไปในทะเล ทว่าเฟนท์ ก็ลากเอาเค้าลงไปด้วย
ทันทีที่ ทาลิคนัส ถูกลากลงทะเลไป พลังก็พาลเหือดหายไปจากร่างในทันที

ในขณธที่ร่างทั้งร่างนั้นอ่อนกำลังลงอย่างไม่ทราบเหตุ เฟนท์ พุ่งขึ้นไปจากน้ำ ก่อนจะ
รวมประจุไว้ในอุ้งมือ เพื่อจะยิงลำแสงอัดลงไปในน้ำ

“ อึก..ทำไมถึงรู้สึกไม่มีแรงเลย ”   
“ ก็ชั้นว่ายน้ำไม่เป็นนี่นา..แว้ก น้ำนี่ชั้นอยู่ในน้ำเหรอเนี่ย ”
เรกกะ ที่สงสัยในเหตุที่เค้าสูญพลังไปทันทีที่ลงมาอยู่ในน้ำก็ได้คำตอบจาก
ทาลิคนัส ในทันที ว่าร่างนี้ไม่อาจต่อสู้ในน้ำได้

“ ทาลิควอส ช่วย..ที ”
เรกกะ กล่าวขณธที่ตัวเค้าเองก็เริ่มจะขาดอากาศหายใจตามไปด้วย

“ ได้เลยขอมาเดี๋ยนจัดให้ ”
เสียงของ ทาลิควอส ดังขึ้นพร้อมกับที่ แสงสีฟ้าได้วาบขึ้น

“ จบกันซะที.. ”
เฟนท์ ตะคอกก่อนจะอัดลำแสงลงไปในน้ำหมายจะจบเรื่องนี้ซะ
ทันทีที่ลำแสงพุ่งลงไปก็เกิดแรงระเบิดจนน้ำในอ่าว กระเซ้นขึ้นมาก่อนจะร่วงกราวลงมาราวกับสายฝน

“ Full Charge Great of Dragon ”
ท่ามกลางเสียงน้ำที่ ตกกระทบพื้นผิวทะเล กลับมีเสียงหนึ่งดังกังวาลขึ้น
และไม่ทันที่ เฟนท์ จะหันกลับไป ลำแสงมังกร สี่ลำ ก็พุ่งเข้ามารัดที่แขนและขาของเค้า
ไว้ก่อนที่มันจะกลายเป็นน้ำแข็ง เกาะติดแขนของ เฟนท์ จนขยับไม่ได้

“ ย้ากกก! ”
เรกกะ ที่ตอนนี้เปลี่ยนร่างมาเป็น ทาลิควอส ที่ช่ำชองการต่อสู้บริเวณใกล้น้ำ ก็ได้พุ่งขึ้นมาพร้อมกับ คมดาบที่เป็นน้ำแข็ง ซึ่งเย็นจัด ก่อนจะกระหน้าฟาด ลงไปบนร่างของ เฟนท์ โดยแยแสว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร

คมดาบน้ำแข็งนั้นเย็นเฉียบและเมื่อมันบาดลึกลงไปใน ชุดเกราะ แผลที่เกิดขึ้นก็จะถูกความเย็นระงับเลือดเอาไว้ในทันที แม้จะไม่เกิดบาดแผลที่ฉกาจฉกรรย์ แต่กลับสร้างความเจ็บปวดทรมานให้ อย่างมาก

หลังจากที่กระหน่ำฟาดไปชุดใหญ่ จนผนึกน้ำแข็งที่สร้างไว้พังทลายลง จากนั้นจึงคว้าเอาหัวของ เฟนท์
แล้วลากลงไป พร้อมกับพุ่งดิ่งไปยัง แนวโขดหินโสโครกที่ อยู่รอบนอกของอ่าว ซึ่งเคยเป็นฐานลับ

ของพวก มาราดัน เรกกะ กุมเอาหัวของ เฟนท์ โขกลงไปกับพื้นหินโสโครก เต็มแรงจน ร่างของ เฟนท์ จมทะลุไป
ในแผ่นหินโสโครก ขณะที่พลองในมือนั้นหลุดกระเด็นไปอยู่บน หินโสโครก

ครั้นเมื่อ เรกกะ ปล่อยมือ ออกเกราะหมวกของ เฟนท์ ก็ร้าวแตกจนเห็นใบหน้าซีกหนึ่ง ซึ่งอาบชุ่มด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากแผลตอนถูกแรงกระแทก จากากรจับโขกกับหิน

“ จากนี้นาย..จะยอมทำตาม..คำขอ..อัก ”
เรกกะ ที่กล่าวไปหอบไปได้ยังไม่ทันจบดี ก็ถูก เฟนท์ ที่ฮึดขึ้นมาซัดจนลงไปกอง
ก่อนจะพยุงตัวขึ้นมาอย่างเซๆ ด้วยความมึนงง จากากรถูกจับโขกไปเมื่อครู่

“ ร่วมมือกับนายเหรอ..แบบนั้นชั้นขอตายซะดีกว่า ”
เฟนท์ สบถก่อนจะ เกร็งหมัดแล้วตะครุบตัวลงกระกำปั้นลงไป ทว่า เรกกะ กลิ้งหลบได้ทัน ทำให้หมัดที่อาบด้วยประจุ
อิออน กระแทกกับพื้นหินแทน แต่ก็เกิดแรงสะเทือนจนพื้นแตกร้าวทลายลงไปทันที

“ Terror Form ”   “ Regeneration ”

คราวนี้ เรกกะ เปลี่ยนมาใช้ ทาไนซ แทนจากนั้นจึงอาศัยความคล่องแคล่วของ ทาไนซ รุกเข้าไปประชิด
โดยหลบหมัดและลูกถีบของ เฟนท์ ไปพลางครั้งนี้ ตัว ทาไนซ ไม่ได้สร้างดาบขึ้นมา ด้วยหากแต่เข้าไปปะทะด้วย มือ

เปล่า ซึ่งนั่นก็ทำให้ ถูก เฟนท์ ดักทางได้ง่ายเพราะแต่เดิม Crisisor ของเค้านั้น เป็นรูปกึ่งมือเปล่าอยู่แล้ว เมื่องเชิงการต่อสู้ต่างกันถึงเพียงนี้ เรกกะ จึงเพลี่ยงพล้ำถูก อัดจนกลิ้งไม่เป็นท่า แทน

“ คิดจะสู้กับชั้นด้วยมือเปล่างั้นเหรอ..นายคิดอะไรของนาย ”
เฟนท์ สบถขึ้นมาด้วยความไม่พอใจที่ เรกกะ ไม่ได้สู้โดยเอาจริงกับเค้า
แล้วยังมาแสดงความเห็นใจแบบนี้อีก

“ เป้าหมายของชั้นไม่ใช่การฆ่านาย...ท่าจะทำให้นายยอมรับก็มีแค่วิธีนี้เท่านั้น.. ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ คืนร่างกลับ ก่อนจะหยิบเอาไพ่ออกมาอีกใบซึ่งหักกับที่ใช้เปลี่ยนเป็น ทาไนซ
ไปตอนนี้ไพ่ก็จะเหลือเพียง 25ใบเท่านั้น

“ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ เพราะไม่ว่ายังไงซะชั้นไม่มีวันจะร่วมมือกับคนอย่างนายแน่ ”  “ Quake Form ”
เฟนท์ สบถก่อนจะบุกเข้าไปพร้อมกับที่ ไพ่ตราแห่งธาตุดินถูกวางลงไปบนหน้าปัด

“ ชั้นจะทำให้นายก้มหัวให้ชั้นให้ได้... ” “ Regeneration ”
เรกกะ คิดก่อนจะกดไพ่ลงไป และเปลี่ยนร่างเป็น ทาโซรอส

“ ได้ร้องไห้... ”    “ ถอยไป ทาโซรอส ชั้นจะจัดการเอง ”
ก่อนที่ ทาโซรอส จะพูดอะไรแปลกๆออกไป เรกกะ ก็ชิงเข้าควบคุมร่างเสียก่อนแล้ว
ไม่รีรอที่จะบุกเข้าไปแลกหมัดกับ เฟนท์ อย่างไม่เกรงกลัว ด้วยร่างกายยที่ทนทานและแข็งแกร่งของ ทาโซรอส ทำให้

เค้าพอจะทนพลังหมัดของ เฟนท์ ที่เพิ่มขึ้นจากอนุภาค ได้แต่โดนเข้าจังๆก็ยังทำให้มึนได้อยู่ไม่น้อย
หลังจากประหมัดกันไปได้ซักพัก เรกกะ ก็ฉากถอยออกมา พร้อมกับหยิบเอาไพ่ออกมาจากตลับเพิ่ม อีก 3 ใบตอนนี้เท่ากับว่าในตลับของเค้าเหลืออีกเพียง 22 ใบ

“ ไม่ให้นายได้ใช้มันหรอก ”
เฟนท์ สบถก่อนจะรวมประจุอนุภาครอบๆไว้ที่อุ้งมือแล้วยิงลำแสง ออกไปไพ่ที่อยู่ในมือจึง ถูกลำแสงปัดตกทะเลไป
และไม่ทันที่จะตั้งตัว เฟนท์ ก็อ้อมมาข้างหลังเค้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหมุนตัวเตะเต็มแรงจน เรกกะในร่าง ทาโซรอส
ปลิวกระเด็นครูดไปกับพื้นหินโสโครก พังเป็นแถบๆ

“ Vortex Form ”  “ Regeneration ”
ทว่าระหว่างที่กลิ้งอยู่นั้น เรกกะ ก็แอบหยิบไพ่เพิ่มขึ้นมาอีก 7 ใบ ซึ่งจะเหลืออยู่อีก 15 ใบเท่านั้น
และใช้ใบหนึ่งเปลี่ยนร่างเป็น ทาเวนทอส ก่อนจะใช้อีก 6 ใบที่เหลือเรียกเหล่าลูกมังกรออกมา
จนครบ 6 ตัวและเปลี่ยนร่างพวกมันเป็น มังกร ระดับทั่วไป ขณะเดียวกัน เฟนท์ ก็เก็บเอา พลองของตนขึ้นมา



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:Crisis Valkyrie Saga 15 Reason...
Post by: greamon on April 21, 2009, 01:19:04 PM
“ จะตัดสินกันในครั้งนี้ล่ะ ”
ทั้งคู่กล่าวขึ้นแทบจะพร้อมกัน และพุ่งเข้าปะทะกัน ตัวเรกกะ ที่คุม ทาเวนทอส อยู่นั้นเสกดาบ ขึ้นมาและประกับ
พลอง เฟนท์ ไว้ ขณธที่ให้พวก มังกรทั้งหมด รุมกันเข้าไปจู่โจม แต่สุดท้าย เฟนท์ ก็ผละออกไปก่อนจะกวาดพลองไป

รอบๆ ทำให้พวกมังกรถูก ปัดจนปลิวกลับมา ขณะเดียวกันเรกกะ ก็หยิบเอาไพ่ทั้งหมดในตลับออกมาทั้ง 15 ใบดังนั้น
บัดนี้ไม่มีไพ่ใดๆเหลืออยู่ข้างใน ตลับอีกแล้ว ด้าน เฟนท์ ก็รวมประจุ เข้ามาอัดกันเป็นมวลพลังงาน นับสิบลูก
ลอยอยู่รอบๆตัวของเค้า

“ Charge And Up Dragon Cannon ”    “ Photon Lancer ”
เสียงกังวานขึ้นจาก อ่าวุธของทั้งสองฝ่ายขณะที่ มังกรทั้งหมดของ เรกกะ ได้เปลี่ยนไปอยู่ร่างขั้นสูงสุด
ซึ่งมี

มังกรเพลิงฉาน นิทินโคโอนุส(Nitincoionus, the Crimson Flamr Dragon)   
มังกรชั้นสวรรค์ พาลานัลคาเรีย(Palanalcarea, the Celestial Floor Dragon )

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/19.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/21.jpg)

 มังกรแห่งโลกา นิลเฮอเรียส(Nilhirios, the Great Terrain Dragon)
 มังกรเงาราตรี นอฟโฮทิโอไนซ (Novhothionyx, the Shadowy Night Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/20.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/24.jpg)

มังกรฟากฟ้า ดิมมินูวลิอ้อน (Dimminuialions, the High Sky Dragon)
มังกรใต้สมุทร เฟิร์นกอลลอยโอนาส (Firngolloionas, the Deep Ruler Dragon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/23.jpg)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/22.jpg)

ทันทีที่ ไพ่ถูกดูดเข้าไปในคมดาบ มังกรทั้งหมดก็เตรียมสะสมพลังงานเพื่อโจมตีเต็มกำลัง
ด้าน เฟนท์ ก็รวมมวลพลังงานทั้งหมด เข้ามาที่พลองของตน

“ คราวนี้ล่ะ ท่าไม้ตายสุดยอดที่ชั้นควบคุมไม่ได้เมื่อคราวก่อน แต่ครั้งนี้มันต่างกันไป... ”
เรกกะ คิดขณะที่พยายามจะคุมพลังซึ่งเอ่อล้นออกมาจากดาบ ส่งผลให้เกิดแรงสะเทือนไปรอบดาบไหลไปทั่วทั้งร่าง

“ Dragon Cannon นั่นล่ะคือท่าไม้ตายสุด ท้ายของนายแต่การ
จะควบคุมมันต้องมีพลังทั้งหกธาตุเป็นตัวเชื่อมและ
ระหว่างที่ใช้ต้องคุมสมดุลพลังด้วยอย่าให้ธาตุ ใดเกินหน้ากว่าธาตุอื่น ”
คำพูดของ R2 ที่เค้าจดจำเอาไว้ก่อนจะมาพบ เฟนท์ ที่นี่ทำให้เค้าพอจะรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะ
สามารถควบคุมพลังอันมหาศาลนี้ได้ ทว่ามันก็ยังยากไม่ใช่น้อย ตอนนี้คลื่นพลังแห่งธรรามชาติกำลัง

 สั่นคลอนร่างและจิตของเค้าอยู่
พวกมันใช้ร่างของเค้าเป็น สะพานเชื่อมเข้าหากัน เพื่อสร้างสมดุล และที่สุดแล้ว
เมื่อพลังงานทั้งหมดลงตัว เรกกะ จึงคิดจะปลดปล่อยทั้งหมดไปกับการลงดาบในครั้งนี้

“ กระบวนท่าของเราเองก็พึ่งจะ เคยลองใช้เป็นครั้งแรกจะรับมือการโจมตีของ
หมอนั่นได้รึเปล่า..ฮึ่มเป็นหรือตายขึ้นกับการโจมตีครั้งนี้ ”
เฟนท์ คิดขณธที่ตัวเค้า เองก็ต้องพยายามคุมการไหลของพลังงาน จากมวลประจุที่
กำลังหลอมรวมเข้ากับพลงองของเค้า จนเปล่งประกายเป็นพลองแสงสีเขียว
ทั้งสองกำลังจะปะทะกันด้วยพลังขั้นสูงสุดของตน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยังควบคุมได้ไม่ชำนาญนัก

“ ดาบของชั้นคือดาบที่จะผ่าทุกสรรพสิ่งให้ขาดสะบั้น ”     “ หอกของชั้นคือหอกที่จะทะลวงไปถึงสวรรค์ ”
ทั้งคู่ต่างกล่าวออกมาพร้อมกันก่อนจะปล่อยการโจมตีออกมา

“ Great of Dragon G.O.D!!!! ”
เสียงดังก้องกังวานขึ้นพร้อมกับที่ เรกกะ ตวัดดาบออกไป ตอนนี้ร่างของเค้าสั่นสะท้านไปทั้งร่างราวกับ
จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลังงานในร่างพุ่งออกไปรวมกันที่คมดาบและ กลายเป็นลำแสงมังกรสีเทาเมื่อรสมเข้ากับ

ลำแสงทำลายของมังกรทั้งหก ลำแสงมังกรก็เปลี่ยนเป็นสีรุ้งซึ่งทอประกายสีทั้งเจ็ดเอาไว้
ก่อนจะกลายเป็นลำแสงขนาดมหึมา พุ่งออกไป

“ Geo Javalin Hyper!!! ”
สิ้นเสียง พลองในมือของ เฟนท์ ก็ถูกขว้างออกไปก่อนที่พลังงานมหาศาลที่ไหลอยู่ใน
พลองจะพวยพุ่งออกมาและกลายเป็นหอกลำแสงพุ่งตรงไป

ลำแสงการโจมตีของทั้งสองพุ่งเข้าปะทะ กันและเกิดการประชันพลังกันอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่
พลังงานสะท้อนที่ไหลพุ่งออก มาจากการปะทะได้ฉีกพื้นหิกและสลายมันเป็นผงได้ในพริบตา
ขณะที่การปะทะ พลังของทั้งสองนั้นกำลังจะทำลายแนวหินโสโครก ขนาดใหญ่นี้ลงไป

“ ข้าแต่จ้าวแห่งหิมะพราย ขอจงประทานลมหายใจอันหนาวเหน็บ แก่ผืนพิภพ Extreme Cool ”
“ ข้าแต่จ้าวแห่งความสับสน ขอจงประทานวังวนแห่งการหวนกลับ กลืนกินเวลา Final Judgement ”
“ ข้าแต่เจ้าแห่งวิหกเพลิง ขอจงประทานเปลวเพลิงแห่งอนัตตา ฟื้นฟ้าฟื้นพิภพ Revine Burst ”

เสียงเหล่านี้ดังขึ้นก่อนที่จะเกิดปรากฏการขึ้นสามอย่างพร้อมกัน พายุหิมะหมุนตัวลงมาจากก้อนเมฆดำทมึนที่ปกคุมท้องฟ้า ห้วงมิติรอบๆเกิดการบิดเบี้ยวก่อนที่ ทุกสิ่งจะกลายเป็นสีขาวดำ และสุดท้ายฟ้าได้เบิกออกพร้อมกับแสงสว่าง

เจิดจ้าจะอาบลงมา จนทุกสิ่งพร่ามัวไปหมด และแล้ว ทั้งแนวโขดหิน คลื่นพลังอันมหาศาล ทั้งมังกรขนาดยักษ์
 เรกกะ และ เฟนท์ ต่างหายวับไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย

.................
.......................

“ เริ่มแล้ว...งั้นสินะ ”
R2  เปรยเสียงเรียบขณะที่ เดินเรื่อยเปื่อยในที่ๆซึ่งขาวโพลนไปหมด และเมื่อเดินไปได้ซักพัก
ก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้า ขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มปรากฏชัดจัดเจนแก่สายตา

บัดนี้ตรงหน้าเธอคือ บันไดที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา และท้องฟ้ากว้างอย่างไม่มีขอบเขต
เธอยืนอยู่ระหว่างขั้นบันไดที่ทอดยาวนี้

“ ณ..ที่นี่และตอนนี้..ที่ๆชั้นเกิดมาทุกสิ่งกำลังจะมาบรรจบกันและสิ้นสุดลง..คาทราสโทฟี ”
R2 เปรยก่อนจะเดินขึ้นไปตามบันไดที่ทอดยาวไปสู่ ปมเรื่องของทุกสิ่งที่กำลังจะเปิดเผยขึ้น


โปรดติดตามตอนต่อไป

ภายใต้ท้องนภาที่กว้างไกล ไม่บรรจบนี้ก็เป็นดั่งโชคชะตาของผู้คนที่ไม่อาจบรรจบกัน

“ ไม่เจอกันนานนะ ชั้นเอง เซโร่ ไง ”

“ ที่นี่มัน... ”
“ คาทราสโทฟี จุดบรรจบของทุกสิ่งและเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งอัศวินทาลิวิลย่า ”

“ เมื่อใดที่ได้รหัสของเจ้ามา R2 .......อัลคารากอนก็จะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็น เอวานเกเลี่ยน ”

การต่อสู้ครั้งใหม่ ต้นต่อของเรื่องทั้งหมดคำทำนายเมื่อ สองร้อยปีก่อนคืออะไรเหตุผลที่ ลอว์เรนซ์
ซาราเบลด ยับยั้งเวลาแห่งเมอริเซียคือ...

“ ไพ่นายหมดแล้ว ตอนนี้อายุขัยของนายก็เท่ากับหมดสิ้นไปแล้วนายกำลังจะตาย ”

“ ชั้นคือผู้ที่ก้าวข้ามลิขิตฟ้า และกลายเป็นตำนาน ”

“ Royal Form ”

“ Grand Form ”

ลำดับสุดท้าย อัศวินแห่งจิตใจและความกล้า หากหนทางข้างหน้ามีพระเจ้าขวางก็จง
เป็นยิ่งกว่าพระเจ้าซะ Thaliwilya  ตอนต่อไป Next Saga 17 จุดบรรจบ....

บัดนี้ เรกกะ กำลังจะก้าวสู่ ....คาออส.....




เฮ้อ จบไปอีกบทกับอีกหนึ่งตอนที่ บู๊ กันแทบทั้งตอนแบบไม่ต้องหาสาระอะไร ::012::
ว่าแต่

(http://images.temppic.com/21-04-2009/images_vertis/1240279585_0.66876700.jpg)

(http://images.temppic.com/21-04-2009/images_vertis/1240280217_0.88733900.jpg)


ความเหมือนที่แตกต่าง (ฮา)เอาเถอะเพราะต้นแบบตอนทำชุดก็คิดไรมะออกละ เห็นอีตานี่เดินเข้าฉากมาก็นะ ไหนๆก็ไหนๆ จับเฟนท์มาคอสเพลย ซะ(ฮา)


เอาล่ะอีก 4บท ก็จะจบแว้ว ตอนหน้าฟอร์มใหม่จะมาอีกแว้ว แถมดูท่าจะงานช้างนะบทหน้าเนี่ย ทั้งบู๊ ทั้งเล่า ตายๆงานนี้ ::010::






Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:R.R. Saga 16 Friend...
Post by: boy on April 21, 2009, 02:08:05 PM
แปลก....ดูเนื้อเรื่องคิดว่าจะจบในอีก 2-3 บทซะอีก  ::009::

มังกรกลายเป็นเอวานเกเลี่ยน Oh my god  ::006::



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:R.R. Saga 16 Friend...
Post by: cocka-c on April 21, 2009, 02:15:43 PM
Quote
มังกรกลายเป็นเอวานเกเลี่ยน Oh my god

ตอนแรกที่อ่าน ในบทที่เกรม่อนคุงวางไว้ ช่วงหลัง ลูเทเซีย ครองบริทเทเนอร์แล้วก็นะ
ได้ยินมันพูดถึง เอวานเกเีลี่ยน กันกับพวก เซโร่ ก็นึกว่าคงจะเป็นหุ่นหรืออะไรที่้ใหญ่โตเอามากๆ หรือไม่ก็
นามของปีศาจ แต่ไหงมันกลายเป็น อัลคาลากอนไปเนี่ย ::007::

ว่าแต่แกรู้ได้ไงฟะ ว่าชุดอีตาเฟนท์ ที่ทำใหม่เนี่ย เอามาจาก สุ หืม

เกรม่อน: ก็ตอนตรูเขียน เหงมรึงนั่งดู โค้ดกีอัสอยู่นิหว่า
ตรูก็ว่าชุดมันคุ้นๆ เดี๋ยวยังเหลือชุดใหม่อีกตั้งสามสี่ชุด อย่าให้มันคล้ายเกินละกาน
 ว่าแต่ มิม โคเว็ท เมื่อไหร่เสร็จนิ


การุรุม่อน: ใช้คนเก่งจริง ::019::


พึ่งสังเกตไหงชื่อเรื่องมันเปลี่ยนจาก Crisis Valkyrier เป็น R.R. ล่ะ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathe:R.R. Saga 16 Friend...
Post by: boy on April 21, 2009, 05:14:56 PM
Quote
มังกรกลายเป็นเอวานเกเลี่ยน Oh my god

ตอนแรกที่อ่าน ในบทที่เกรม่อนคุงวางไว้ ช่วงหลัง ลูเทเซีย ครองบริทเทเนอร์แล้วก็นะ
ได้ยินมันพูดถึง เอวานเกเีลี่ยน กันกับพวก เซโร่ ก็นึกว่าคงจะเป็นหุ่นหรืออะไรที่้ใหญ่โตเอามากๆ หรือไม่ก็
นามของปีศาจ แต่ไหงมันกลายเป็น อัลคาลากอนไปเนี่ย ::007::

ว่าแต่แกรู้ได้ไงฟะ ว่าชุดอีตาเฟนท์ ที่ทำใหม่เนี่ย เอามาจาก สุ หืม

เกรม่อน: ก็ตอนตรูเขียน เหงมรึงนั่งดู โค้ดกีอัสอยู่นิหว่า
ตรูก็ว่าชุดมันคุ้นๆ เดี๋ยวยังเหลือชุดใหม่อีกตั้งสามสี่ชุด อย่าให้มันคล้ายเกินละกาน
 ว่าแต่ มิม โคเว็ท เมื่อไหร่เสร็จนิ


การุรุม่อน: ใช้คนเก่งจริง ::019::


พึ่งสังเกตไหงชื่อเรื่องมันเปลี่ยนจาก Crisis Valkyrier เป็น R.R. ล่ะ

เอ่อ...ว่าจะทักก็ลืม  ::010::

คิดว่าจะเป็น CV ซะอีก  ::010::  แถม Alimathe อีกอัน


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 16 Friend...
Post by: greamon on April 22, 2009, 02:34:43 AM
Arimathe ที่จริงตอนแรก ก็เขียนแบบนั้นมานานแล้วนา พึ่งรู้ว่าตกตัวa ไปตัว
ส่วนที่เป็น R.R. นี่อย่าอ่าน อาร์ทู นะ เดี๋ยวโดน ซันไำรซ์ เจื๋อน

นี่ไม่ใช่ ลูลูซ ลีเบลเลี่ยนนะขอร้าบบบ แต่แล้วทำไมหนอชื่อมันถึงกลายเป็นเช่นนี้ เพราะตอนนี้ปมของ
เรื่องไม่ได้อยู่ที่การแทรกแซงของพวก Valkyrier อีกแว้ว (ม่องเท่งกันไปเกือบหมด)

แต่เปลี่ยนไปซูมที่ เรกกะื  เพราะงั้น นี่จึงเป็น Recca Rebellion เห้ย ไม่ช่ายละ
คือความจริงของชื่อที่เปลี่ยนไป นั้นเพราะเป็นการ เปลี่ยนซีซั่นเข้าสู่ช่วงหลังจ้า

การุรุม่อน: แต่ยังไงกรูว่ามันก็ Recca Rebellion อยู่ดีน่ะแหละ เหงแกพูดอยู่ป่าวๆ การปฏิวัติภายใต้ท้องฟ้า ปฏิวัติหนทางเลือกทางปฏิวัติ หรือแกจะบอกว่าตัวเอกของเรื่องคือ เจ๊ R2 ล่ะห๊า

วาการุรุม่อน: งั้นชื่อเรื่องก็จะเป็น ตำนานทาลิวิลย่า ภาคการปฏิวัติของ เรกกะ น่ะสิ - *-

เกรม่อน: เห้ยก็บอกว่าไม่ช่าย ไม่ช้ายย เชื่อสิ ถ้าไม่จริงให้ฟ้าผ่าพวกแกเลยสิเอ้า


การุรุม่อน  วาการุรุม่อน: อืมดี...เฮ้ยย!!!!



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 16 Friend...
Post by: greamon on April 24, 2009, 03:05:10 PM
Saga 17 จุดบรรจบ....


“ ฮึก..ฮือ..พี่คร้าบ..ฮือๆ..พวกเค้ามาล้อว่า..ว่าผม..เป็นคน.หลอก..ลวง... ”

“ ไม่เอาน่า เฟนท์ จะไปสนทำไมกัน ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าว่าเราก็ไม่ต้องไปสนใจสิ ”

“ ใช่แล้ว..เราแค่แกล้งเสแสร้งเพื่อขอความเห็นใจจากคนรอบข้างเท่านั้น...
ตลอดมาเราที่เป็นแบบนั้นบางทีคนที่เสแสร้งอาจเป็นเราเองก็ได้.. ” 

 (ถึงผู้อ่าน ชื่อเฟนท์ เขียนแบบ Eng ได้ Feint=เสแสร้งแกล้งทำ)
........................
..............................

“ อ้าว...ตื่นซะแล้วเหรอหว้าเสียดายจัง ”
เสียงดังขึ้นขณะที่ ทุกอย่างนั้นยังพร่ามัวอยู่แต่เมื่อดวงตาของเค้า เริ่มปรับชินกับแสง
ภาพตรงหน้าที่เห็นคือ เด็กหญิงวัย 10 ปี ผมของเธอมีสีขาวยาวสลวย
กำลังแกว่งปากกาสีในมือเล่นด้วยสีหน้าเสียดาย อย่างเห็นได้ชัด

“ เธอคือ... ”
เฟนท์ ถามขึ้นขณะที่ค่อยๆยันตัวขึ้นมา ทว่าเขาก็ต้องชะงักแล้วกุมขมับ ไปทันที เพราะความเจ็บปวดที่แล่นแปลบขึ้นมาที่ขมับ ซ้ายเมื่อปล่อยมือลงมาดู ก็ปรากฏคราบเลือดติดมือมาด้วยนิดหน่อย

“ จริงสิตอนที่เราสู้กับ เรกกะ ขมับหัวเราแตกนี่ ”     
เฟนท์ คิดซึ่งแผลในตอนนั้นยังคงไม่ปิดสนิทดี เมื่อเค้าลองมองสำรวจตัวเองก็พบว่า
ตัวเองกลับไปอยู่ในชุดก่อนจะทำการ Code Slash แล้ว ที่เสื้อผ้ามีรอยเปรอะคราบเลือดเล็กน้อย

หลังจากที่สำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วนแล้วไม่มีกระดูกข้างใดหัก หรือบาดแผลที่อื่น นอกจากที่ขมับศีรษะ
เค้าจึงเริ่ม มองสำรวจไปรอบๆบ้าง ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจให้แก่เค้าเป็นอันมาก

เมื่อรอบๆนั้นเป็น เพียงท้องฟ้าซึ่งมีอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีจุดสิ้นสุด ที่เค้าและเธอ
นั่งอยู่คือ พื้นหินอ่อนซึ่งมีเสาสี่ต้น วางค้ำอยู่4มุม ของแผ่นหิน เสาค้ำนั้นยาวทะลุลงไปอย่างไม่รู้

จบเช่นเดียวกับที่มันสูงไม่รู้จบด้วย  ที่ปลายของแผ่นหินนั้นเชื่อกับ บันไดยาวแบบบันไดวิหารที่ทอดไกลขึ้นไป
ไม่เห็นปลาย เช่นเดียวกับที่ บันไดทางลงนั้นทอดลงไปมิรู้จบเช่นกัน


“ นายนี่ขี้เซากว่าที่เห็นนะ... ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง และเมื่อ เฟนท์ หันไป เค้าก็พบ R2 กำลังนั่งกอดเข่า
 เหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่ไม่สิ้นสุด

“ เธอ..ผู้หญิงที่อยู่กับ เรกกะนี่..แล้วหมอนั่นล่ะ ”
เฟนท์ เปรยก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นตะคอกถาม
ซึ่ง R2 ก็ชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน

“ บนนั้นสินะ ”
เฟนท์ เปรยจบก็ยันตัวลุกขึ้นตรงไปที่บันไดทางขึ้น

“ นายจะทำอะไรน่ะ ”
R2 ถามก่อนที่เค้าจะก้าวขึ้นไปบนขั้นบันได

“ ก็แหงอยู่แล้วชั้นจะไปลากคอหมอนั่นมาจัดการซะ..เพื่อ พี่แล้วก็ทุกคน.. ”
เฟนท์ ตอบแต่ก่อนจะได้ทันเหยียบเท้าลงไป R2 ก็แทรกขึ้นมาก่อน

“ อย่ามาโกหกน่ะ...นายน่ะแค่ยกเอาคนอื่นขึ้นมาบังหน้า แล้วโยนความผิดตัวเองไปให้คนอื่น ”
R2 ประชดใส่ ซึ่งคำพูดของ เธอก็ทำเอา เฟนท์ ฉุนจนหันกลับลงมา ย้อนคำ

“ ไม่ใช่นะ..ชั้นไม่ได้เอาใครมาอ้าง..เจ้านั่น..เจ้านั่นมันผิดเองก็เห็นกันอยู่ ”
เฟนท์ ปฏิเสธเสียงแข็ง

“ เหรอ..แล้วทำไมนายต้องรนขนาดนั้นด้วยล่ะ ”
R2 ย้อน ทำเอา เฟนท์ ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนคำพูดของเธอ
จะถูกเกือยทุกอย่าง สิ่งที่เค้าแสดงออกในตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนของเค้า

แต่แล้วเมื่อเริ่มที่จะทบทวนถึงสิ่งที่เค้าคิด ความแค้นที่ พี่สาวและคนรักรวม
ทั้งเพื่อนของเค้า ต้องถูก เรกกะจบชีวิตไปนั้นก็หวนกลับมาอีกครั้ง
ทำให้เค้าเลือกที่จะเมินเฉยต่อเหตุผล ต่อความจริง

“ แล้วนั่นนายจะไปไหน..คิดจะเดินขึ้นไปแก้แค้นเหรอ..เชื่อชั้นเถอะนายขึ้นปไม่ถึงหรอก ”
R2 เปรยขณะที่ เฟนท์ ไม่สนสุรเสียงใดๆของเธออีก และก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นไป ขณะ
ที่เดินไปนั้นหมอกก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมองไม่เห็นรอบข้างแต่เค้าก็พยายาม

ประคองให้ตัวเอง เดินให้คงเส้นคงวาไม่เฉ ออกเพื่อจะได้ไม่ก้าวพลาด ตกลงไป
และเมื่อเดินไป เรื่อยๆจนเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง เค้าจึงเร่งฝีเท้าขึ้น และเมื่อฝ่าหมอก
รอบๆออกมาได้ สิ่งที่แรากฏขึ้นแก่สายตาแทบทำให้เค้าไม่อยากเชื่อตาตัวเองเลย

“ อ้าวนั่นไงมาแล้ว ”
เด็กหญิงผมขาว ที่จะเอาปากกาสีเขียนหน้าเค้าในตอนแรก หันไปกล่าวกับ R2 เมื่อเห็นเค้าวิ่งขึ้นจาก
บันไดทางลง ซึ่งสื่งที่เป็นอยู่นี้ทำให้ เฟนท์ สับสนเอามากๆ ว่าพวกเธอขึ้นมาถึงก่อนเขาได้ยังไง

“ พวกเธอขึ้นมานี่ก่อนชั้น..ได้ยังไง ”
เฟนท์ เปรยถามด้วยสายตาตกตะลึง

“ ขึ้นเหรอ..ผิดแล้วล่ะเราไม่ได้ไปไหนเลยต่างหาก ”
เด็กสาวผมขาวกล่าวตอบ คำพูดของเธอทำให้เค้าสับสนลงไปยิ่งกว่าเดิมอีก

“ เรโค่ ถ้าจะพูดก็ บอกให้เค้าฟังชัดๆสิ ”
ก่อนที่จะได้ทันโต้แย้งกันต่อก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาจากบันไดด้านล่าง เด็กหนุ่มผมสีฟ้า และอีกคนที่มีผมสีน้ำตาล
กำลังเดินขึ้นมาสมทบกับพวกเขา

“ มาแล้วเหรอ เซโร่ อิจิกิ ”
เด็กสาวผมขาวที่ชื่อ เรโค่ กล่าวพลางลุกขึ้นยืน ขณธที่เด็กหนุ่มวัยเดียวกับเธอทั้งสองเดินเข้าไปหา

“ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน..พวกเธอไม่ได้เดินขึ้นไปงั้นทำไมชั้นถึงได้มาถึงหลังพวกเธอล่ะ ”
เฟนท์ ตะคอกถามอีกรอบเพื่อดึงความสนใจให้ทุกคนหันมราตอบคำถามของเขา

“ นี่นายยังไม่รู้อีกรึไง...นายน่ะเดินวนกลับมาหาพวกชั้นเองต่างหาก ”
R2 ตอบซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เค้างง ยิ่งขึ้นไปอีก

“ เธอหมายถึง นายเดินขึ้นบันไดที่วนเชื่อมกลับมาที่ดิมน่ะ ”
อิจิกิ ที่เห็นสีหน้าที่งง งวยของ เฟนท์ จึงออกหน้าตอบให้แทนแต่นั่นก็ดูจะทำให้เค้างง หนักเข้าไปอีก

“ เห้อวันนี้จะเข้าใจไหมเนี่ยให้พวกนายอธิบายน่ะ สรุปง่ายๆ ที่นี่เป็นมิติที่ วนเข้าหากันต่อให้นายเดินไปทางไหนมันก็จะวนกลับที่เดิมนั่นล่ะ ”
เซโร่ ที่หน่ายกับความเถรตรงของ คนรอบๆจนต้องออกปากอธิบายเอง เฟนท์ จึงได้เข้าใจ

“ สงสัยถ้าจะเข้าไปคงต้องพึ่งเธอแล้วล่ะ R2 ”
เรโค่ กล่าวขณะที่เดินไปจูงให้ R2 ลุกขึ้นมา ซึ่ง เฟนท์ ก็ได้แต่งง กับคำพูดของเธออีกครั้ง


...........................
...........................................


“ Slash ”  “ Blast ”
เสียงกังวานขึ้นพร้อมกับไพ่สองใบถูกรูดกับคมดาบ ก่อนที่ ลอว์เรนซ์ ในร่าง ทาลิคนัส
จะทะยานขึ้นไปแล้วตวัดดดาบออกไปด้านหน้า

“ Great of Dragon ”
สิ้นคำ ลำแสงมังกรเพลิงก็พุ่งลงมา นับสิบกวาดล้างบรรดา อารคูม่า ไปเกือบหมดในคราเดียว
ทว่า ไม่ทันไร เฮลอาคูม่า ก็เรียก สกายอาคูม่า กับ อาร์ท อาคูม่า มาเพิ่มอีกอยู่ดี

“ Full Charge Great of Dragon ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่จะเกิดห้วงอากาศอันคมกริบ ตัดร่างของเหล่า อาคูม่า ทิ้งไปก่อนจะถูก ลำแสงมังกร
สีเขียวมรกต พุ่งทะลวงเผาทำลายหายไปไม่เหลือแม้เพียงเถ้าทุลี

“ ทำยังไงมันก็ไม่หมดสักทีนะขอรับ ”
เรกกะในร่าง ทาเวนทอส กล่าวซึ่งที่คุมร่างอยู่ตอนนี้คือตัว ทาเวนทอส  เอง

“ ถ้ายังไงซะจะจัดการ เจ้าพวกนี้ให้หมดก็ต้องเก็บเจ้าตัวหัวโจกที่อยู่ตรงนั้นก่อน ”
ลอว์เรนซ ์ กล่าวพลางชี้ไปที่ เฮลอาคูม่า ที่คุมเชิงอยู่ ตรงคอบันได ขณธที่ จักรพรรดิ เนลโปลเลียน กำลัง
รออะไรบางอย่างอยู่


“ แต่จะเข้าไปจัดการ ทีไร ก็มีพวกมันมาขวางไว้ทุกที ”
เสียง ทาลิคนัส ดังขึ้นบ้าง เมื่อ พวกเค้ากำลังจะดิ่งลงไปหา เฮลอาคูม่า กลับถูก
ทัพสกายอาคูม่า เข้ามาขวางทางไว้จนต้องล่าถอยออกมา และการเคลื่อนไหวของพวกเค้าที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป้าหมาย

อยู่ที่ใด ทำให้ พวกมันเข้ามาป้องกันได้ง่ายขึ้น และเฮลอาคูม่าก็เริ่มเปลี่ยนเหล่า อาร์ทอาคูม่าที่รบได้เฉพาะบน
พื้นดินไปเป็น สกายอาคูม่า ที่ถนัดรบบนฟ้าแทนทั้งหมดเพื่อต้อนไม่ให้ พวกเค้าเข้ามาขวาง

“ นี่ขอถามหน่อยเถอะนายน่ะ..ทำไมถึงรู้ล่ะว่าชั้นกำลังทำอะไรอยู่ ”
ลอว์เรนซ์ ถามขึ้นขณะที่ ลงดาบผ่ากลาง สกายอาคูม่า ทิ้งไปตัวหนึ่ง

“ เรื่องนั้นมาพูดตอนนี้คงไม่มีประโยชน์หรอกเอาเป็นว่า ช่วยกันหาทางจัดการก่อนเถอะ ”
เรกกะ ออกมาคุมร่างของ ทาเวนทอส แทนแล้วกล่าวตอบกลับไปก่อนจะตวัดดาบ ผ่า สกายอาคูม่า อีกสองตัว

“ งั้นเหรอ..ถ้างั้น ตอนนี้ไพ่นายเหลืออีกกี่ใบแล้วล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ ถามขึ้นเพื่อที่จะวางแผนรับมือเค้าจำเป็นต้องรู้ข้อมูลสถานะของตัว เรกกะ ในตอนนี้ด้วย
ทว่า คำตอบของ เรกกะ นั้นกลับเป็น การเปิดตลับไพ่ออกแล้วเทให้ดูว่าข้างในไม่มีอะไรอีกแล้ว
ก่อนจะโยนตลับทิ้งไป ทำเอา ลอว์เรนซ์ ถึงกับหน้าถอดสีไปเลยทีเดียว

“ ไพ่พวกนั้นมันหมดไปตั้งแต่ก่อนผมจะเข้ามาใน อัลคารากอน แล้วล่ะ ”
เรกกะ ตอบก่อนจะคุมร่างของ ทาเวนทอส ให้จับดาบด้วยสองมือ
เพื่อแทงดาบออกไปเสียบร่างของ อาคูม่า ที่บุกเข้ามาทีเผลอร่วงไปอีกตัว

“ งั้นที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ ใบสุดท้ายแล้วน่ะสิ ถ้าอย่างนั้นชีวิตนายตอนนี้ก็.. ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวด้วยท่าทีที่ยังไม่อยากเชื่อ

“ ใช่ตอนนี้ อายุขัยที่ใช้เป็นไพ่ของผมถูกผลาญลงจนหมดแล้ว ถ้าไพ่ใบสุดท้ายนี่หมดผลลงเมื่อไหร่.. ”
เรกกะ กล่าวโดยที่ตัวเค้าเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ว่าหลังจากจบการต่อสู้ในครั้วงนี้ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

..........................
...................................

“ หน่วยที่ 3 และ 4 ขาดการติดต่อไปแล้วครับ ”
“ หน่วยที่ 7 กับ8ด้วยครับสัญญาณขาดหายไปเมื่อซักครู่นี้เอง ”

เสียงรายงานของ บรรดาทหารที่รับข้อมูลภายในกองทัพจากเครื่องคอมฯ และความตึงเครียดของฝ่ายวางแผนยุทธการ
ภายใน ยานแม่ของ ลูเทเซีย ตอนนี้มิได้มีสภาพต่างไปจาก หอบังคับการ ที่โลกอส ซึ่ง มาเรียลูสประจำอยู่ในขณะนี้เลย

“ ทำยังไงดีเวลาแบบนี้ พวก เซโร่หายไปไหนกันนะ ”
ลูเทเซีย คิดด้วยทีท่าร้อนรนอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ ทางฝ่ายพวกเค้ากำลังเสียเปรียบมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อ
จ้าวแห่งมังกรดำอัลคารากอน เริ่มขยับเนื้อขยับตัว โจมตีโต้กลับมาบ้างแล้ว

กองทัพที่ได้เสริมจากทั้ง โลกอส และ บริทเทเนอร์นั้นยังไม่พอที่จะหยุดมันได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน ขั้วกำลัง
จากอาณานิคมอื่นที่ ส่งมาร่วมสงคราม กลับถูก การโจมตีของ อัลคารากอน ปิดฉากไปในการจู่โจมไม่กี่ครั้ง

.........
..................

“ เห็นไหมชั้นบอกแล้วว่าให้พาเธอมาด้วย..นี่ถ้าฉันเอะใจ เรื่อง
 คาทราสโทฟี นี่ล่ะก็ปานนี้พวกเราคงได้ติดอยู่ในนี้ไปแล้ว ”
เรโค่ บ่นไปพลางขณะที่ จูงมือ R2 เดินมาที่บันได ก่อนจะให้ เซโร่ กับ อิจิกิ แตะไหล่ R2 ไว้
ส่วนตัวเธอก็ยังจับมือ R2 อยู่

“ จะเข้าไป..จริงๆเหรอ ”
R2 ถามพวกเขาอีกครั้งเพื่อขอคำยืนยัน ซึ่งพวกเค้าก็พยักหน้าตอบกลับมาว่าตกลง ที่สุดแล้ว
เธอจึงยอมทำตามที่พวกเขาต้องการ ทันทีที่เธอหลับตาลงทำสมาธิ ร่างของเธอก็เปล่งแสงขึ้นจางๆ
ก่อนที่ภาพของเธอนั้นจะดูราวกับสั่นไหว เหมือนกับเป็นร่างวิญญาณ ที่กำลังจะแยกออกจากกัน
ภาพวิญญาณที่ซ็อนกันออกมาจากตัวเธอกลายเป็น ทาลิเลีย ไปก่อน ที่ร่างวิญญาณของ อีกสามคนที่สัมผัสตัวเธออยู่นั้น
จะถูกดึงออกจากร่างและ ลอยฝ่าหมอกด้านบนบันไดหายลับไป อยู่ชั่วครู่ก่อนที่ ร่างวิญญาณของ ทาลิเลีย จะ

ลอยกลับมาเข้าร่างของ R2 และแล้วเมื่อเธอลืมตาขึ้น ร่างเนื้อของ เซโร่ เรโค่ และ อิจิกิ กลับค่อยๆสลายหายไปแทน
ต่อสายตาตกตะลึงของ เฟนท์ ที่จ้องมองมาที่เธอ ก่อนที่เธอจะหันกลับมาจ้องหน้าเค้า


“ เราสองคนเหมือนกันเลยนะ..ที่อยากได้ความจริงจากคนอื่นแต่กลับโกหกคนอื่นมาตลอด ”
R2 กล่าวดูสีหน้านิ่งเรียบ คำพูดของเธอนั้น แทงลึกลงไปในใจของ เฟนท์ อย่างที่สุด ตอนนี้เค้าตระหนักอย่างแท้จริง
แล้วว่า คนที่หลอกลวงทุกคนก่อนก็คือเค้า มาจนกระทั่งตอนนี้เค้าก็หลอกตัวเอง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า

 ความต้องการของเค้านั้นคือสิ่งใด หากแต่หัวใจที่อัดอั้นไปด้วยความแค้น นั้นทำให้เค้าลืมเป้าหมายฃ
สำคัญที่เค้าต้องการในตอนแรกนั้นไปจนหมดสิ้น

“ มีบางอย่างที่ฉันอยากให้นาย ได้รู้เอาไว้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น... ”
ทาลิเลีย กล่าวจบก็ไม่พูดพล่ำทำเพลง เดินเข้าไปคว้ามือ เฟนท์ ขึ้นมาประคบประคองด้วยสองมือ
ขณะที่ เฟนท์ยัง งงๆ อยู่นั้นเองจู่ๆเค้า ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวไม่ใช่จากบาดแผลภายนอกแต่เป็นภายใน มีอะไร

บางอย่างกำลังแล่นผ่านหัวเขาไป พร้อมกับ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว สมองของเค้าที่ต้องรับเอา
ข้อมูลมากมาย ที่หลั่งไหลเข้ามาในตอนนี้ทำให้ เค้ารู้สึกเจ็บปวดจนถึงกับร้องโอดโอย และล้มตัวทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง
ขณะที่ฝ่าย R2 เองก็เริ่มมีปฏิกิริยา ขึ้นมาบ้าง


“ นี่มัน...นี่มัน..อ๊าา ”
R2 กรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดไม่แพ้ เฟนท์ ก่อนที่เธอจะ ทนไม่ไหวผละมือออกจาก มือของ เฟนท์
ก่อนจะล้มลงไปกุมขมับ ในหัวของเธอยังคงมี ภาพความทรงจำบางส่วนของ เฟนท์ ติดกลับมาด้วย

ส่วน เฟนท์ เองนอกจาก ความทรงจำส่วนที่เกิด ขึ้น กับ เรกกะ ก่อนที่เค้าจะไปพบ เรกกะ
 ที่ยืนรอเค้าอยู่ท่ามกลางศพของทุกคน  ซึ่งมองผ่านจากมุมมองของ R2 บนยาน

“ น..นายไม่ได้เป็น อานิม่า หรอกเหรอ.. ”
R2 เปรยขณธที่ ยังคงกุมขมับด้วยความปวดที่ยังคงเหลืออยู่ ด้าน เฟนท์ ที่ถึงกับฟุบลงไป
หลังจากที่ R2 ปล่อยมือเค้า ก็ค่อยๆประคองสติ ยันตัวลุกขึ้น มาตอบคำถามของเธอ

“ ช..ชั้นเป็น อานิม่า..ไปแล้วไม่ใช่..เหรอ บาดแผลที่...สู้กับ เรกกะ..ที่โรงเรียนตอนนั้นมัน.. ”
เฟนท์ กล่าวตะกุกตะกัก ขณะที่เอามือ กุมขมับด้วยความเจ็บปวดที่ยังคงไม่เลือนหายไป
จากการตอบคำถามของเค้า R2 จึงพอจับความได้ว่าเค้าหมายถึงเรื่องตอนที่สู้กับ เรกกะ ในร่าง

ทาเวนทอส เป็นครั้งแรก ที่โรงเรียน St.Magnus  บาดแผลในครั้งนั้น ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
เหมือนกับที่ ราฟ ฟื้นตัวจากการโจมตี ของ เรกกะ  เนื่องจากพลังของ อานิม่า คือความเป็นอมตะ

“ แต่ถ้านายเป็น อานิม่า...แล้วทำไมความทรงจำของนายถึง..ถูกแลกเปลี่ยนมา..ด้วยล่ะ ”
R2  กล่าวขณะที่เลื่อนมือลงมาแตะที่อก เพื่อทำใจให้เย็นลง ขณธที่ความทรงจำที่ได้รับมาจาก
 เฟนท์ ด้วยนั้นเริ่มลงตัว และถูกบันทึกเข้าไปในหัวของเธอ

“ จริงด้วย..แผลที่หัวนาย...ทำไมมันถึงยัง..ไม่หายไปอีกล่ะ ”
R2 แย้งขึ้นมาทั้งๆอย่างนั้น ทำให้ เฟนท์ เริ่มเอะใจ กับความแปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับตัวของเค้า
ทันทีที่ เฟนท์ ลนขึ้นมา เธอจึงเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในทันที

“ นาย..สูญเสีย ความเป็น อานิม่า..ไปแล้วงั้นสิ ”
R2 กล่าวขณะที่ตอนนี้ เธอค่อยๆผ่อนมือลง เพราะความเจ็บปวดได้หาบไปแล้ว


“ ก็คงยังงั้น... ”
เฟนท์ กล่าวเสียงเรียบ ขณะที่ผ่อนมือลงเช่นกันตอนนี้ หวัของเค้าเริ่มจะจดจำความทรงจำ
ส่วนที่ได้มาจาก R2 เอาไว้ในหัวแล้ว จนถึงตอนนี้ตัวเค้าก็ยังคงสับสนกับ ความจริงที่เป็นอยู่
ในขณะนี้อยู่ดี

“ ท่าทางนายจะไม่เสียดายเอาซะเลยนะ...ชีวิตอมตะน่ะใครๆก็อยากได้กันทั้งนั้น..
แต่กลับไม่รับรู้ถึงความทรมานของมันเลย ”
R2 เปรยด้วยน้เสียงเศร้าๆนิดหน่อย

“ ชีวิตตัวเองงั้นเหรอ..ของแบบนั้นน่ะชั้นเลิกห่วงมันไปนานแล้ว..ไอ้ชีวิตอมตะนั่นจะอยู่หายไปชั้นก็ไม่สนทั้งนั้นล่ะ
ขอแค่ให้เป้าหมายของตัวเองบรรลุผลแค่นั้นชั้นก็พอใจแล้ว ”
เฟนท์ กล่าวในขณะที่ตอนนี้ตัวเค้าเองยังรู้สึกแปลกใจที่ ความกังวลความ ลนลาน ที่สุมอยู่เต็ม
อกมันได้สายหายไปราวกับไม่มีอยู่ก่อน นี่คือสาเหตุที่ทำให้ตัวเค้า เปิดใจคุยกับ R2 ได้อย่างเต็มปากงั้นหรือ

“ งี้นี่เองนายเป็นคนแบบนี้เองสินะ...เสแสร้งต่อหน้าทุกคน ยึดเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ภายใต้หน้ากากแบบนั้น ”
R2 กล่าวอย่างรู้ดี ซึ่ง เฟนท์ ก็ไม่เถียงเธอแม้แต่คำเดียว แต่กลับยอมรับ ในคำพูดของเธอ

“ ตัวนายนี่มันสับสนซะจริงนะ..นายเป็นใครกันแน่ น้องชาย
ของ ซาน นีโอเวล..Valkyrier...อานิม่า...เพื่อนของ เรกกะ.. ”
R2 ถามทว่า เฟนท์ กลับลุกขึ้นยืนและยังไม่ตอบคำถามของเธอ แต่จูงมือเธอให้ลุกขึ้นมา

“ ชั้นเองก็อยากได้คำตอบในเรื่องนั้นเหมือนกัน ”
เฟนท์ กล่าวเสียงเรียบพลางจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของ เธอจนทำเอา เธอ เขินหน้าแดงขึ้นมาก่อนจะเบือนหน้าหลบสายตาของเค้า ซึ่ง เฟนท์ ที่เห็น แบบนั้นก็หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน สายตาของเค้าไม่ได้เป็นสายตาที่แฝงด้วยความอาฆาตอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นสายตาที่ปกติและดูเป็นมิตร เหมือนทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าทุกคน

“ นั่นคือ..หน้ากากของนายใช่ไหม ”
R2 ที่ได้สติก็หันมาย้อนถามด้วยความสงสัย

“ ก็คงหยั่งงั้นแต่เธอเองก็ด้วยไม่ใช่เหรอ..ทางเดียวที่เราจะรู้คำตอบได้ระหว่างกันและกัน ”
เฟนท์ กล่าวจบ R2 ก็พยักหน้าด้วยเข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ออกมา

.............
.................


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 16 Friend...
Post by: greamon on April 24, 2009, 03:06:14 PM
 “ ไม่เจอกันนานนะ ชั้นเอง เซโร่ ไง ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่ เซโร่ และ คณะเพื่อนอีกสองคนจะเดินตามขึ้นบันไดมา
ปรากฏตัว ที่เบื้อง ล่างพวก เรกกะ ที่บินอยู่บนท้องฟ้า

“ นี่นาย..เซโร่..เรโค่ ..อ..อิจิกิ ”
ลอว์เรนซ์ อุทานเมื่อได้พบกับ สามคนนั้น

“ อะไรกันน่ะทำไมทีชื่อชั้นพูดตะกุกๆด้วยล่ะ ”
อิจิกิ ถามด้วยสีหน้าเซ็ง ขณะที่เงยหน้าขึ้นมอง พวกเค้า

“ รู้จักพวกนั้นเหรอ.. ”
เรกกะ ถาม ลอว์เรนซ์ ที่อยู่ในร่าง ทาลิคนัส พยักหน้าตอบ ซึ่งในขณะนี้เอง เหล่า อาคูม่า
ก็หยุดการโจมตีไปที่พวก ลอว์เรนซ์ ชั่วคราวก่อนที่จะเบนทิศไปจู่โจมพวก เซโร่ แทน
ทว่า..

“ เลิกเล่นสนุกกันได้แล้ว..ไอ้ระบบนั่นน่ะไม่มีวันสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาได้หรอก ”
เซโร่ กล่าวขณะที่ สะบัดมือซ้ายซึ่งมี ควันไอเย็น พวยออกมา ขณะที่ เหล่าอาคูม่า ทั้งหมดนั้นกลายเป็น น้ำแข็ง
และร่วงกราวลงไปด้านล่างหมด ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของ เรกกะ ที่อยู่ในร่างของ ทาเวนทอส

“ บ..บ้าแล้ว ”
ทาลูคัส เอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นผ่านสายตาของ ทาเวนทอส

“ พลังอะไรกันทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ ”
ทาโซรอส เปรยขึ้นบ้าง

“ แช่แข็งเจ้าพวกนั้นโดยที่พวกเราไม่รู้ตัวได้ ”
ทาลิควอส เองยังต้องทึ่งในพลังของ เซโร่

“ น่ากลัวจัง. ”
ทาไนซ เปรยด้วยเสียงสูงด้วยความผวา

“ สงสัยจะอยากกินน้ำแข็งใส ”
ทาเวนทอส เอ่ยขึ้นอย่างเย็นใจ

“ เจ้าพวกนี้เป็นใครกัน ”
ทาลิคนัส ที่ตอนนี้ไม่สนอะไรอีกนอกจากตัวจริงของพวก เซโร่

“ กว่าจะมากันได้นะ... ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่บินลงไปแล้วกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ พร้อมกับที่
 สนับมือแปลงร่างของ เค้าเปลี่ยนกลับไปเป็น มังกรภูต ยูปี้ อีกครั้ง

“ นี่มันเรื่องอะไรกัน..แล้วทำไมคนพวกนี้เป็นใคร.. ”
เรกกะ ทาเวนทอส กล่าวขณะที่ บินลงมาสมทบกับพวกเค้า

“ เธอเองเหรอ เรกกะ ที่ เทียพูดถึงน่ะ ”
เรโค่ กล่าวพลางโบกมือทักทาย ขณะที่อีกมือก็กอดเจ้า ยูปี้ ที่โผเข้ามาหาด้วยความคิดถึง

“ อยู่ๆโผล่มาปุบปับแบบนี้คงตกใจสินะ ”
อิจิกิ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างมีมารยาทขณะที่ เรกกะเองก็ได้แต่ ยืนมองพวกเค้าด้วยสายตา งงๆ

“ พวกเค้าคือ เพื่อนของชั้นเอง.. คนผมสีฟ้าคือ เซโร่ ส่วนผมสีน้ตาลแดงอีกคนนั่น อิจิกิ และก็ผู้หญิงอีกคนนั่น เรโค่ ”
ลอว์เรนซ์ แนะนำให้ เรกกะ ได้รู้จัก กับพวก เซโร่ ในขณะที่ เซโร่ นั้นทำท่าไม่ค่อยพอใจซัก
เท่าไหร่กับการมาแนะนำตัวในสถานการณ์แบบนี้

“ เอาเป็นว่าคร่าวๆเลยนะ แฟนของเจ้า ลอว์เรนซ์ ข้ามมาจากอนาคตอีก 2800ปีข้างหน้านี้แล้ว
ก็มาบอกเรื่อง ระบบ คาทาคาเท่เนี่ย จากนั้นก็บังคับให้พวกเรามาจัดการเตะก้นไอ้เจ้าจักรพรรดิบ้านี่
 แล้วคนที่พาเรามานี่ ก็คือตัวเจ้าลอว์เรนซ์ ในยุคนี้ แค่นี้ล่ะ..รีบๆจัดการให้มันจบๆไปซะทีเหอะ ”

เซโร่ กล่าวอย่างหงุดหงิด ขณะที่ดึงดันจะให้พวกเค้าเลิกเสวนาแล้วจัดการกับเรื่องนี้โดยเร็ว
ทว่า ระหว่างที่พวกเค้าสนทนากันอยู่นี้  สถานที่แห่งนี้ก็เกิดสั่นไหวขึ้นก่อนที่ ด้านล่างจะมีเสาเกลียวพุ่งขนานกัน
ขึ้นมาสองต้นและทะยานขึ้นไปจนถึง สุดขอบฟ้า

“ ฮ่าๆๆ..เสียใจด้วยนะพวกเจ้าช้าไปซะแล้วล่ะ คาทราสโทฟี เริ่มเดินระบบของมันไปแล้ว ”
เนลโปลเลียน กล่าวขณะที่ เสาเกลียวสองต้นด้านหลัง นั้นค่อยหมุนยกตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าจะหยุด


“ จะหยุดได้รึเปล่าไม่ลองมันก็ไม่รู้หรอก ”
เซโร่ กล่าวจบก็ร่ายมือขึ้นเพื่อเตรียมร่ายมนต์ใส่ ทว่า เฮลอาคูม่า ที่รอดจากการถูกจับแช่
นั้นได้พุ่งเข้ามา ตวัดดาบตัดแขนของ เซโร่ จนขาดสะบั้นในพริบตา ทว่าภายในกลุ่มของพวกเค้ามี

เพียง เรกกะ เท่านั้นที่ออกอาการผวาไปกับความเสียหายที่ เซโร่ ได้รับทว่าความเป็นห่วงก็ต้องกลับ
กลายเป็นความประหลาดใจแทน เมื่อท่อนแขนของ เซโร่ ที่ขาดไปนั้นสลายกลายเป็นไอควัน
 มารวมตัวกันที่ ส่วนที่ขาดไปของแขน และคืนสภาพกลับเป็นเช่นเดิม ได้อย่างน่าอัศจรรย์

“ นายเป็น…อานิม่า… ”
“ ไม่ใช่… ”
เรกกะ ที่อุทานออกมาถูกแย้งขึ้นด้วยเสียงตะคอกของ เซโร่ เองที่ปฏิเสธว่าเค้าไม่ใช่ อานิม่า
อย่างที่คิด

“ เซโร่ เป็นภูตแห่งน้ำ (Undina) ดังนั้นจึงมีร่างกายที่เป็นอมตะ แน่นอน ฉันเองก็เป็น
Fallen Angel(เทวทูตตกสวรรค์) ส่วน อิจิกิ เป็น เจ้าชายฟีนิกซ์(Pheonix Prince) ”
เรโค่ อธิบายให้ เรกกะ เพื่อให้คลายข้อสงสัยของเค้า

Quote
Note: จากภาคที่แล้ว เซโร่ เป็นลูกของ อันดีน(Undine)เทพีแห่งทะเลสาบ นีรันด้า
จึงเปรียบได้กับเป็น ภูตแห่งน้ำ (Undina)

“ นี่ไม่ใช่เวลาอธิบายเรื่องนั้นนะ ต้องหยุดระบบนั่นก่อนที่มันจะสมบรูณ์ ”
อิจิกิ กล่าวจบ เซโร่ และ เรโค่ ก็พร้อมใจกับเขา ร่ายมนต์ของแต่คนทันที

“ วิหกเทพ(God Bird)…. ”
ทั้งสาม กล่าวขึ้นพร้อมกันแต่ยังไม่ทันจบประโยค เฮลอาคูม่า กลับสลายไปซะก่อน
 ทำให้พวกเค้าต้องชะงักด้วยความประหลาดใจ

“ เมื่อ คาทรามโทฟี เริ่มทำงานพลังของเทพหรือ อิออน (Ion) จะปกคลุมไปรอบบริเวณนี้
 ปีศาจและมนตราก็ไม่อาจใช้ได้หรอก ”
เนลโปลเลียน กล่าวขณะที่รอบๆเริ่มจะฟุ้งไปด้วยละออง อนุภาคแบบเดียวกับที่ Valkyrier ใช้
หากแต่มันมีสีเขียวทีเข้มและสดกว่า ไม่นาน เซโร่ เรโค่ และ อิจิกิ ก็เริ่มได้รับผลกระทบจากละอองเหล่านี้
พวกเค้าถึงกับทรุดลงราวกับไม่มีเรี่ยวแรง

“ อึก ละอองพวกนี้มัน…สลายพลังเวทย์ของเราไป ”
อิจิกิ สบถขณะที่ ทรุดเข่าทั้งสองลงกับพื้น อย่างอ่อนแรง

“ รู้สึกไม่…มี….แรง…เลย ”
เรโค่ กล่าวเสียงอ่อนระทวย ก่อนจะฟุบลงไปกับขั้นบันได

“ บ้าจริง…อุบ… ”
เซโร่ กล่าวทว่าตอนนี้ตัวเค้าก็ไม่มีแม้แต่แรงจะต่อปากต่อคำได้อีกแล้ว
ได้แต่ฟุบหงิกขาหงิกแขนอยู่กับที่เท่านั้น

“ ทีนี้ก็เหลือแต่พวกเจ้าเท่านั้น…แต่อย่าคิดว่าจะขวางข้าได้เลย ”   “ Muramasa Transform ”
สิ้นคำของ เนลโปลเลียน เสียงก็กังวานก้องขึ้นจาก ดาบที่ปักอยู่บนแท่นหินด้านหลัง
ก่อนที่ ดาบจะสลายเป็นละออง สีดำพุ่งมารวมกันที่ร่างของ เนลโปลเลียน และยังผล

ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงร่างไป กลายเป็น อัศวินมังกรสีดำทะมึนปีกของมันมีลักษณะเป็นปีกค้างคาว
ลมหายใจของมัน เป็นำไอควันสีดำ นับแต่วินาทีที่มันปรากฏ ทั่วอาณาบริเวณรอบก็ถูกปกคลุม
ด้วยแรงกดดันประหลาดๆที่ทำให้ จิตประสาทเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและกดดันไปพร้อมๆกัน

“ อุบความรู้สึกนี้มัน…ไม่จริงน่ะ…มุรามาซะโซล(Muramasa Soul) ”
ลอว์เรนซ์ เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดผวา ราวกับรู้ถึงความน่ากลัวของมันเป็นอย่างดี

“ มุรามาซะ…มันคืออะไรเหรอ ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยความสงสัย ขณะที่ เนลโปลเลียนซึ่งกลายเป็นอัศวินมังกรแล้วกำลัง
วาดมือ ออกเป็นทางยาวก่อนที่จะเกิดควันสีดำ ขึ้นตามทางที่มือวาดออกไป และจับตัวเป็นแท่งยาวและ
ที่ปลายนั้นได้แปรรูปเปลี่ยนเป็น หัวเคียวที่เรียวแหลม

“ มุรามาซะ คือภาคหนึ่งของ ทาลิวิลย่า ที่ชั่วร้าย มันใช้ความกลัวเป็นพลังงาน ”
เสียงดังขึ้น ก่อนที่ เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวขึ้น พร้อมกันในหมอกด้านล่างและกำลังไตขั้นบันไดขึ้นมาสองเงา

(http://images.temppic.com/26-04-2009/images_vertis/1240723787_0.61815200.jpg)

“ R2….เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงตอนนี้เธอน่าจะอยู่ที่ St.Magnus นี่ ”
เรกกะ เปรยด้วยความประหลาดใจที่ได้พบ R2  ที่นี่ทั้งที่เธอควรจะอยู่กับพวก ชารี่ ที่โรงเรียน

“ ที่จริงนั่นควรเป็นคำพูดของฉันด้วยซ้ำ ”
R2 แย้งกลับขณะที่เดินฝ่าออกจากหมอกมา จนพ้นรัศมี

“ ที่นี่มัน... ”
เรกกะ กล่าวทว่าคำว่าอันตรายที่จะต่อ ออกมานั้น กลับถูกกลืนลงลำคอไปแล้ว เมื่อที่ตามหลังมาด้วยคือ เฟนท์

“ เรกกะ นายรู้แล้วรึยังไม่รู้กันแน่แต่ชั้นก็จะบอกนายอยู่ดี เรื่องที่ตัวนายตอนนี้ไม่ใช่ มนุษย์แต่เป็น อานิม่า ”
R2 กล่าวจบแล้วแต่กลับไม่มีใครหรือแม้แต่ตัว ลอว์เรนซ์ ที่ตกใจกับ คำพูดของเธอเลย

“ เรื่องนั้นชั้นรู้แล้ว…แต่เอาไว้ก่อนเถอะที่สำคัญทำไมเธอกับ เฟนท์ ถึงได้ ”  (หึงอ้ะเปล่าเนี่ย)
เรกกะ  กล่าวปัดก่อนจะเปลี่ยนคำถาม ทว่า R2 กลับไม่ฟังและแย้งสวนกลับมาตรงๆ

“ 70 ปีก่อนโครงการหนึ่งของ Empyrean Adjust คือการสร้างมนุษย์ที่สมบรูณ์แบบ อานิม่า ซึ่งนาย
ก็คือต้นแบบของการทดลองนั้น  ”
R2 กล่าวตัดบทขึ้นป่าวๆจนในที่สุด เรกกะ จึงยอมให้ เธอบอกกล่าวประวัติของ ตัวเขาให้ทุกคนที่นี่ได้ยิน
กันให้หมดไปเพราะตัวเค้าเองก็ไม่มีอะไรจะให้เสียอีกต่อไปแล้ว เพราะแม้แต่เพื่อนก็ยังกลายเป็นศัตรู

“ ซึ่งคนที่สร้างนายขึ้นก็คือ ศาสตราจารย์ ไฮเดย์(Highday) หรือบิดาของ เซน่า ไฮเดย์(Zena Highday) พี่สาวบุญธรรมของนาย แล้วก็ความทรงจำและชื่อของ เรกกะ นั้นไม่ใช่ของ เรกกะ ไฮเดย์ แต่เป็นความทรงจำที่นายได้รับปลูกถ่ายจาก เรกกะ ซาราเบลด ที่เสียชีวิตไปตั้งร้อยกว่าปีแล้ว เพราะงั้นแล้วตัวจริงของนายก็คือ ”

R2 กล่าวแต่ก่อนที่เธฮจะได้ทันกล่าวจบ เรกกะ ทาเวนทอส ก็ปรามเธอไว้ก่อนจะพูดด้วยปากของตนเอง

“ โคดเนม Alpha01 (อัลฟ่าซีโร่วัน) ร่างทดลองการปลูกถ่ายศิลามังกรสังเคราะห์…พูดให้ถูกชั้นคือ
 Valkyrier ต้นกำเนิดที่ Empyrean Adjust คิดจะใช้ในแผนการตั้งแต่แรกแล้ว ”
เรกกะ กล่าวน้ำเสียงเรียบ

“ งั้นนายก็คงรู้เกี่ยวกับเรื่องของที่นี่แล้วงั้นสิ ที่นี่คือศูนย์รวมของจิตใต้สำนึก หรือที่เรียกว่าพระเจ้ายังไงล่ะ ”
R2 กล่าวก่อนที่สภาพรอบๆเริ่มจะเปลี่ยนไป ท้องฟ้าที่กว้างไร้ขอบเขตค่อยๆเปลี่ยนเป็น
สีเทาลงเรื่อยๆ

“ คาทราสโทฟี จุดบรรจบของทุกสิ่งและเป็นต้นกำเนิดพลังแห่งอัศวินทาลิวิลย่า ”
เรกกะ กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดในตอนนี้ ไม่มีใครขยับหรือทำอะไร

“ ใช่ พลังของศิลามังกร คือการหลอมรวมเข้าด้วยกันและสร้างสิ่งใหม่ขึ้น ที่นี่จิตสำนึกทั้งหมดจะถูกหลอม
รวมกันไว้แล้วสร้างขึ้นใหม่กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าความปราถนา ทะเลแห่งจิตวิญญาณ อันเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ”
R2 กล่าวถึงวามเป็นมาของ ที่แห่งนี้ อย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป

“ ทุกชีวิตนั้นอยู่ได้ด้วยความปราถนา หากเมื่อใดที่ชีวิตนั้นไร้ความ ปรารถนา ชีวิตนั้นก็จะดับสิ้นลง
และกลับคืนสู่ทะเลแห่งวิญญาณ ตอนนี้นายคงจะเข้าใจความหมายของ คาทราสโทฟี แล้วสินะ ”
R2 ถามขึ้นหลังจากที่เค้าและเธอถกกันมาได้ซักครู่แล้ว

“ เมื่อ คาทราสโทฟี เดินระบบสมบรูณ์ เอวานเกเลี่ยน จะตื่นขึ้น เมื่อนั้นพระเจ้าจะตายลงและในตอนนั้น โลกของผู้
ที่ดับสูญไปแล้ว กับโลกของผู้ที่ยังอยู่รอด จะรวมกันเป็นหนึ่งและหยุดนิ่งลงในที่สุด และกลายเป็น โลกในอุดมคติ
โลกที่ไร้ซึ่งการโกหก การหักหลัง ความขัดแย้ง..มันจะกลายเป็นโลกที่ไม่มีอะไรเลย ”

ลอว์เรนซ์ ช่วยตอบแทนให้ ก่อนที่ใครจะได้ทันเอ่ยปากขึ้น

“ เพราะงั้นนายคงเข้าใจแล้วสินะ ว่าฉันอยู่ฝ่ายไหนน่ะ ”
R2 กล่าวจบ ก็เดินผ่านเค้าไปโดยแยแส ต่อความรู้สึกของ เรกกะ

“ เมื่อใดที่ได้รหัสของเจ้ามา R2 .......อัลคารากอนก็จะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็น เอวานเกเลี่ยน ”
มุรามาซะ กล่าวขณะที่ R2 เดินเข้ามา

“ R2 ! ”
เรกกะ ตะโกนพร้อมกับ พุ่งเข้าไปเพื่อจะคว้าตัวเธอกลับมาทว่า

“ Fear of Testament ” (คำสอนแห่งความกลัว)
สิ้นเสียง มุรามาซะ ก็แผ่คลื่นควันสีดำออกมาครั้นเมื่อสูดเข้าไปแล้ว นั้นพวกเค้าก็เกิดความ
รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจ ราวกับมันพุ่งออกมาจากส่วนลึกที่ดำมืด
ที่สุดแล้ว เรกกะ ได้กลับคืนร่างไปในทันที คลื่นความกลัวจึงหยุดแผ่ออกมา

“ พ..ไพ่ใบสุดท้าย..ของชั้น.. ”
เรกกะ เปรย ก่อนจะเอามือกุมหน้าอกซ้าย ด้วยสีหน้าทรมานที่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนนั้น
ทำให้ ทุกคนรู้แล้วว่า วาระสุดท้ายของเค้ากำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้

“ ไพ่นายหมดแล้ว ตอนนี้อายุขัยของนายก็เท่ากับหมดสิ้นไปแล้วนายกำลังจะตาย ”
R2 เปรยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่ไหวติ่งต่อความตายที่ กำลังจะมาเยือน เรกกะ ในอีกไม่ช้า

“ อ..อา..อาร์ทู ”
เรกกะ กล่าวได้เพียงเท่านั้นก่อนที่หัวใจของเค้าจะหยุดเต้นไป เสี้ยววินาทีนั้น ความสิ้นหวังได้เคลื่อน
เข้ามาปกคลุมในทันที ตอนนี้โลกภายนอกกำลังเกิดมหันตภัยไปทั่วทุกสารทิศ พายุพัดโหมลง กวาดล้าง

พื้นที่ต่างๆบนโลก ท้องทะเลปั่นป่วน แผ่นดินเริ่ม พังทลาย และสภาพรอบๆภายใน คาทราสโทฟี ก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพของห้วงอวกาศอันว่างเปล่า ที่ด้านบนนั้น ดวงสุริยาฉายแสงเจิดจรัส อยู่ไม่ไกล ขณะที่เสาสองต้นเริ่ม
ลู่เข้าหากันและพันกันเป็นเกลียวคล้าย สาย D.N.A. และพุ่งขึ้นไปหา ดวงอาทิตย์ ด้านบน

“ นี่น่ะเหรอ สิ่งที่เธอต้องการน่ะ.. ”
เฟนท์ ที่จับตาดูมาได้ซักพักเริ่มแย้งขึ้น ด้วยในใจของเค้าตอนนี้เริ่มจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ เปล่าแต่นี่เป็นสิ่งที่นายต้องการไม่ใช่เหรอ..ไม่สิเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็ปราถนา ”
R2  ย้อนคำกลับ ทำเอา เฟนท์ และทุกคนถึงกับ งงไปตามๆกัน

“ คาทราสโทฟี จะทำให้ ความปรารถนาของทุกคนสมหวัง ทั้งหมดและหยุดความปรารถนา ของมนุษย์ทั้งหมดลง เมื่อไม่มีความปรารถนา ความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกคนจะเข้าใจถึงกัน ”
R2 กล่าวก่อนที่ เธอจะจะเริ่มทำสมาธิ ไม่นาน ร่างกายของเธอก็ปรากฏอักขระ ขึ้นทั่วทั้งร่าง

“ ขอโทษนะแต่ชั้นคงให้ คาทราสโทฟี ทำงานไม่ได้ ”
เสียงดังขึ้นก่อนที่ ชายผู้ปกปิดตัวตน จะเดินออกมาพร้อมกับหอบ นาฬิกาทราย 4 อัน
ติดมา และแมกกี้ ที่บินตามหลังมาด้วย

“ นายคือ... ”
R2 เปิดตาขึ้นก่อนจะถามถึงนามของผู้มาใหม่

“ ชั้นคือผู้ที่ก้าวข้ามลิขิตฟ้า และกลายเป็นตำนาน ”
สิ้นคำชายคนนั้นก็โยน นาฬิกาทรายทั้งหมดขึ้นไป นาฬิกาได้ชนกันเองจนแตกกลางอากาศและทรายที่อยู่ภายใน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/31.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/32.jpg)

ได้โปรยออกมาทว่า ทรายเหล่านั้นกลับไม่ร่วงโรยลงมา แต่มันจับตัวกันและ เปลี่ยนรูปใหม่กลาย เป็น
มังกรหกธาตุ อาแมนคริส ทรายยังกลายเป็นดาบ ที่มีรูปลักษณะคล้ายคลึงกับโกรอทพลาม่า  ตัวดาบนั้นไม่มีคม

(http://images.temppic.com/24-04-2009/images_vertis/1240545164_0.25499100.jpg)

แต่ระหว่างคมนั้นมีร่องที่มีฟันเลื่อยพลังงาน สำหรับสร้างความเสียหายแทน นอกจากนี้ ก็ไปรวมกันที่
ยูปี้ และเปลี่ยนมัน ดาบแห่งอัศวิน ทาลิวิลย่า มาคายาเดีย (Macarhyadia, the Blade of Thaliwilya)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/67.jpg)

ต่อมา แมกกี้ ที่มากับ เค้าด้วยก็ถูกทรายหลอมกลายเป็น โล่ซึ่งมีพลอยสีฟ้าติดประดับอยู่กลางโล่ ชื่อของมันคือ โล่แห่งจิตใจ มิคาเอลอันเป็นโล่ วิเศษของ ทาลิวิลย่า

“ ชั้นออกตระเวนไปตามที่ต่างๆเพื่อจะตามหาสิ่งเหล่านี้ ที่จะใช้ต่อกรกับ คาทราสโทฟี
 จากคำทำนายที่พวกชั้นได้รับเมื่อ สองร้อยปีก่อน ”
ชายผู้ปกปิดตัวเอง ได้ถอดหมวกและ แว่นตาออกเผยให้ ใบหน้าของ ลอว์เรนซ์ ที่มีอายุในวัยกลางคน



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 16 Friend...
Post by: greamon on April 24, 2009, 03:06:40 PM
“ น..นาย ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด เมื่อสองร้อยปีที่แล้วงั้นเหรอ ”
R2 เปรยขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้าภายใต้ การปกปิด ขณะที่ทรายที่เหลือในตอนนี้ได้
ไหลไปรวมกันที่ร่างของ เรกกะ
ก่อนที่ จะซึมหายเข้าไป และแล้วร่างของ เรกกะ ก็เปล่งแสงขึ้นหลังจากที่แสงจางลง สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด
ว่าจะเกิดขึ้น เรกกะ ฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง

“ จากนี้ไปขอฝากนายด้วย.. ”
ลอว์เรนซ์ วัยผู้ใหญ่กล่าว ก่อนจะสลายหายไปในอากาศธาตุ

“ R2 เธอคิดเหรอว่า การทำให้ความปรารถนานั้นสมปรารถนาทั้งหมด คือสิ่งที่ถูกต้อง ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยสายตาที่จ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอ

“ ที่จริงเรื่องพวกนั้นน่ะไม่ใช่สิ่งที่ฉันพะวงหรอก นี่นายเห็นฉันเป็นคนดีขนาดนั้นรึไง ”
R2 ย้อนซึ่ง เรกกะ ก็ยิ้มขึ้นมาโดยไม่มีความนัยใดๆแฝงไว้เค้าเพียงแค่ยิ้มขึ้นมา ด้วยความรู้สึกราวกับมีความหวังผุดขึ้นมาในใจ

“ งั้นความปรารถนาของเธอล่ะ บอกมันมาสิชั้นจะเป็นคนทำให้มันเป็นจริงเอง ”
เรกกะ กล่าว คำพูดของเค้าทำให้ R2 รู้สึกแปลกใจเป็นอันมาก อยู่ในในของเธอก็เสมือนเกิดช่องว่างขึ้นราวกับ
หัวใจที่มืดดำนั้น ได้มีแสงสว่างส่องลงมา

“ อย่างนายจะมารู้อะไร..ชั้นน่ะ ”
R2 กล่าวพลางเบือนหน้าหนี

“ ชั้นรู้..รู้ว่าเธอทรมานกับชีวิตอมตะจากการเป็นผนึกแห่ง อัลคารากอนใช่ไหมล่ะ ”
เรกกะ กล่าว

“ นาย..นายรู้งั้นเหรอ ”
R2 เปรยด้วยความแปลกใจ

“ อืมตอนที่ชั้นได้เห็นแสงจาก วงแหวนแห่งกาลเวลา ในนั้นชั้นได้เห็นความทรงจำของเธอ
หลังจากากรต่อสู้กับ อัลคารากอน เมื่อครึ่งสหศวรรษ ที่แล้วเพราะเธอไม่อาจทำลายพลังของ
อัลคารากอน ลงได้ทั้งหมดเธอจึงต้องผนึกมันไว้ในตัวเอง และนั่นก็ทำให้เธอได้รับชีวิตที่เป็นอมตะ ”

เรกกะ กล่าวขณะที่ ใจของเธอนั้นเริ่มโน้มน้าวเข้าหาเค้าไปทุกขณะ

“ ถ้าเธอไม่อยากจะอยู่อีกต่อไปถ้าเธออยากจะตายล่ะก็ มากับชั้นสิ..ชั้นจะให้เธอได้ตายด้วยรอยยิ้ม..ชั้นสัญญา ”
เรกกะ กล่าววินาที นั้นเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ท่ามกลางเสี้ยววินาทีแห่งการตัดสินใจนี้

“ ทั้งพี่แล้วเธอไม่มีใครพูดว่า เรกกะ เป็น Dragoon เรกกะนายไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองสินะ ”
เฟนท์ คิดในตอนนี้เค้าเริ่มจะเข้าใจ ในตัว เรกกะ ขึ้นมาบ้างแล้ว

“ เรกกะ..ช..ช่วย...ช่วยฉันด้วย ”
R2 ที่ตอนแรกกล่าวออกมาด้วยความลังเล ก่อนจะตัดสินใจตะโกนออกมาพร้อมกับ
พยายามจะสลัดตัวออกห่างจาก มุรามาซะ

“ นี่เจ้าคิดจะเชื่อ คนอื่นอีกงั้นเหรอ พวกมันทุกคนก็แค่เสแสร้ง มันหลอกเจ้า ไม่มีใครพูดความจริงกับเจ้านอกจาก
ข้านะ.. ”
มุรามาซะ โวยวายพร้อมกับจะตามเข้าไป เอาตัว R2 กลับมา ทว่า เฟนท์ ก็เข้ามาขวางไว้
 โดยที่ตอนนี้เค้าสวมชุดของ Valkyrier เอาไว้ก่อนแล้ว

“ คนที่โกหกก็คือแกไม่ใช่รึไง...แกต้องการเพียงแค่ รหัสพลังของ เธอเท่านั้นแกสนแต่แผนของแกเท่านั้น
โลกที่แกหวังไว้มันก็เป็นโลกที่อยู่ในอุดมคติของแกเท่านั้น ”
เรกกะ กล่าวตอนนี้เขาและพรรคพวกเลือกที่จะปฏิเสธโลกหลัง คาทราสโทฟี และเลือกความเป็นจริง
 เลือกที่จะให้เวลาเดินต่อไป

“ แล้วพวกแกจะต้องเสียใจ ไม่มีใครมาหยุดแผนการของข้าได้ ”
มุรามาซะ กล่าวจบก็แผ่คลื่นความกลัวออกมาอีกครั้ง

“ ลืมไปแล้วหรือไง ถ้าแกเป็นทาลิวิลย่า ฝ่ายเราเองก็เป็นทาลิวิลย่า ถึงสามคนทำไมจะเอาชนะแกไม่ได้ ”
เรกกะ กล่าวก่อนที่ โล่มิคาเอล ที่ลอยเคว้งอยู่จะพุ่งเข้ามาสวมที่มือของเค้า

“ พูดได้ดีนี่ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่เดินเข้ามาสมทบพร้อมทั้งคว้าเอา ดาบมาคายาเดีย และดาบ ใหม่อีกเล่มติดมือมา
ขณะที่ อาแมนคริส คำรามเสียงกึกก้อง คลื่นพลังที่มันแผ่ออกมาทำให้พลังแห่งที่สถิตอยู่ใน อิออน
 อันเป็นพลังแห่งเทพ เกิดแปรปรวนและสลายหายไป

“ อ๊ะ..พวกเราขยับได้แล้ว ”
เรโค่ กล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ พอประจุพวกนั้นสลายพลังเวทย์ของพวกเราก็กลับมาแล้วสินะ ”
อิจิกิ กล่าวขึ้นมาหลังจาก ที่ฟื้นจากอาการอ่อนเพลียเพราะการถูกสลายพลังเวทย์ในตัว

“ ถึงเวลาเอาคืนแล้ว ”
เซโร่ กล่าวพร้อมกับหักนิ้วไปมา

“ ที่ควาามปรารถนาของมนุษย์นั้นไม่สมหวังทั้งหมด ก็เพื่อให้เหลือความปรารถนา ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ดังนั้นมนุษย์ถึงแสวงหาเส้นทางไปสู่อนาคต ไปสู่วันพรุ่งนี้.. ”
เรกกะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“ แต่เพราะมนุษย์แสวงหาสิ่งต่างๆเพื่อให้สมปรารถนาไม่ใช่รึไง ถึงได้เกิดความขัดแย้ง
เกิดสงครามเพราะมนุษย์ไม่เปิดใจซึ่งกันและกัน แต่พร้อมจะสวมหน้ากาก แล้วแสวงหา
ปฎิธานของตนโดยไม่สนสิ่งต่างๆ ”
มุรามาซะ กล่าว

“ แต่ถึงยังงั้นแกก็ไม่มีสิทธิที่จะ ไปลบความปราถนาแล้วบอกว่าสมหวังได้หรอก ”   “ Royal Form ”
เรกกะ กล่าวจบ โล่ก็เปล่งแสงขึ้น ดวงตาซ้ายของเค้า นั้นปรับเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ
จนครบทั้งหกสี และแล้วร่างของ เรกกะ ก็เปลี่ยนเป็น อัศวินมังกรกายประดับด้วยเกราะทองคำ
ขาว ปีกทั้งสองนั้นสยายออกปกคลุมด้วยขนวิหกแบบทูตสวรรค์ (Thaliwilya)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n007/57.jpg)

“ อนาคตนั้นคือสิ่งที่เราต้องกำหนดมันด้วยตัวเอง และสิ่งที่จะฟ่าฟันขวากหนาม
ที่ชื่ออุปสรรค์ก็คือความกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า และ )ฎิธานต่อ ความปราถนาของตน ”   “ Grand Form ”

สิ้นคำ ลอว์เรนซ์ ดาบมาคาเดียก็เปล่งแสงขึ้น ไพ่ทั้งหกธาตุที่เค้าเก็บไว้ในกระเป๋าได้
ลอยออกมาและหลมอรวมเข้ากับดาบ ก่อนจะเปล่งแสงเจิดจรัส และเปลี่ยนร่างของเค้าเป็น
อัศวินมังกรกายสีน้ำตาลทอง ปีกสองข้างปกคลุมด้วยเกล็ดอันแข็งแกร่ง (Thaliwilya, the God of Dragoon)

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/24.jpg)

“ Ava-Trans ”
สิ้นเสียง เฟนท์ ก็เปลี่ยนร่างเป็น เจอรัลดีน ก่อนจะประกอบพลองให้เป็นพลองยาว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n004/4.jpg)

“ Thalilea Entry ”
สิ้นเสียง R2 ก็เปลี่ยนร่างกลายเป็น อัศวินมังกร ทาลิเลีย

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/46.jpg)

“ เราไม่ขอเลือกทางที่สมปราถนาแต่ขอเลือกทางที่เป็นไปได้ ”
เรกกะ ประกาศเสียงกร้าว ก่อนที่จะเกิดหลุมมิติขึ้นรอบๆ และแล้วมังกรทั้งหกธาตุของ อาริมาเทีย
ที่เป็นของ เรกกะ กับของเมอริเซีย ที่เป็นของ ลอว์เรนซ์ได้ปรากฏตัวขึ้นในร่าง เต็มวัย

ก่อนที่ แสงหกสีจะพุ่งออกจากร่างของพวกเค้าทั้งสอง ซึ่งแสงแต่สีก็เข้าไปหามังกรตามสีธาตุสังกัด และไม่นานก็เปลี่ยนพวกมันเป็น อัศวินทาลิวิลย่า ทั้งหกที่พวกตนเคยแปลงมา

“ เบิกโรงนางเอก Show off ”
ทาลิควอส เปรย หลังจากมองดูร่างของตน ที่ได้เป็นอิสระจากร่างของ เรกกะ
โดยอาศัยการสิงร่างของ เหล่ามังกรแทนร่างเนื้อ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/4.jpg)

“  องค์ชายเสด็จแล้ว  ช่างเป็นการรวมตัวกันที่งดงาม ”
ทาลูคัส กล่าวอย่างชื่นชม

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/1.jpg)

“ ทีนี้ล่ะเจ้าได้ร้องไห้แน่ ความแข็งแกร่งของข้าแม้แต่เด็กยังต้องร้อง ”
ทาโซรอส กล่าวจบก็บิดคอเหมือนทุกครั้ง

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/2.jpg)

“ ชะตานายขาดแล้วน้าจะจ่ายหรือไม่จ่ายเอ่ย แต่ถึงจ่ายก็ขอกำจัดอยู่ดีน่ะแหล่ะ ”
ทาไนซ กล่าวพลางหมุนไปรอบๆด้วยท่าทีร่าเริงแบบเด็กๆ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/6.jpg)

“ ต้องขอโทษด้วย แต่คงให้ทำตามใจชอบไม่ได้หรอกนะ ”
ทาเวนทอส กล่าวพลางโค้งขอขมากับ มุรามาซะ แต่ก็มาโดน ทาลิคนัส กระชากกลับมาเข้ากลุ่ม

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/5.jpg)

“ เฮ้ยไปขอโทษมันทำเล่าอ่อเกือบลืม..โอเระ ทันโจว มันแปลว่าพระเอกมาแล้ว ”
ทาลิคนัส ตะคอกใส่ ทาเวนทอส เล็กน้อยก่อนจะกวาดมือพลางกล่าวประโยคจำตัว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/3.jpg)

ทางด้าน อัศวินทาลิวิลย่าแห่งเมอริเซียก็มีปฏิกิริยา ไม่แพ้กัน

“ ว้าวๆ นี่ฉันได้กลายเป็น ทาลิวิลย่า จริงๆเหรอเนี่ย ”
วิล มังกรวายุของ ลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของ ทาเวนทอส  กล่าวอย่างลิงโลด

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/47.jpg)

“ อย่างกับฝันไปแน่ะ ”
ไลท์ มังกรแสง ของลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของ ทาลูคัส กล่าว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/3.jpg)

“ ที่นี้ล่ะจะได้ลุยให้เต็มที่เลย ”
ไฟร์ มังกรเพลิง ของลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของ ทาลิคนัส กล่าว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/25.jpg)

“ เยี่ยมเลย ชั้นล่ะ เท่ห์ซะจริงพับผ่าสิ ”
 อควา มังกรวารี ของลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของ ทาลิควอส กล่าว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/36.jpg)

“ ได้เป็น ทาลิวิลย่า แบบนี้มันรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้แหะ ”
เอิธท์ มังกรพสธา ของลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของ ทาโซรอส กล่าว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/14.jpg)

“ ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเรามี ทาลิวิลย่า 12+3 รวมเป็น 15 ตัว กำลังรบเราสูงกว่าอีกฝ่าย 15เท่าตัวแล้วนะ ”
 ดาร์ค มังกรดำ ของลอว์เรนซ์ ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของ ทาไนซ กล่าว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/58.jpg)

“ ไม่ใช่แค่15ซะหน่อย ดาร์ค อย่าลืมสิ ชินเซเบอร์ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็โยนดาบ ที่มีลักษณะคล้ายกับโกรอทพลาม่าขึ้นไป
 ก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปร่างและขยายขนาดขึ้นกลายเป็น โกรอทพลามาทอส ตัวเป็นๆ

“ เฮ้ๆลืมพวกเราแบบนี้ก็แย่สิ ”
เซโร่ กล่าวขณะที่พวกเค้าทั้งสามคนเข้ามาร่วมวงด้วยพร้อมกัน บัดนี้
ขุมกำลังของพวกเค้านั้นราวกับ กองทัพอัศวินมังกรเลยทีเดียว

“ หนอย..พวกแก ”
มุรามาซะ สบถก่อนจะพุ่งเข้าไปหา เรกกะ

“ Shining Finger ” (ดรรชนีส่องประกาย)
สิ้นคำ มือซ้ายของ เรกกะ ก็ส่องประกายขึ้นก่อน ที่จะจับ มุรามาซะ เหวี่ยงออกไปได้อย่างสบายๆ

“ เลิกเล่นกันแค่นี้ล่ะ..ทุกคน ”
เรกกะ กล่าวจบ ทุกคนก็พร้อมที่จะปล่อยท่าพิฆาตของตนออกมา

“ หอกของข้าคือหอกที่จะทะลวงไปถึงสววค์ ”  “  Photon Lancer”
เฟนท์ ก่อนที่เสียงจะกังวานออกมาจาก พลองในเวลาเดียวกัน ละออง อนุภาค อิออน ที่สร้างออกมารอบๆตัว
ก็ถูกรวมบีบอัดจนกลายเป็นมวลพลังงาน ลูกใหญ่

“ วิหกเทพ ศาสตรามลายสูญ ”
สิ้นคำ เซโร่ เรโค่ และ อิจิกิ ก็ร่ายเวทย์สร้างชุดเกราะขึ้นมาด้วยพลังของตน เซโร่
 นั้นสวมเกราะพญาหงที่ทำขึ้นจากน้ำแข็ง อิจิกิ คือเกราะวิหกเพลิงซึ่งใช้อัคคีแทนอาภรณ์ห่อหุ้มร่าง  ส่วน
 เรโค่ สวมเกราะจ้าวแห่งแร้ง ซึ่งทำด้วยเหล็กกล้า  ปีกเป็นดาบขนาดใหญ่ข้างละ5เล่ม

“ Great of Dragon ”
สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ ดาบมาคายาเดียก็เปล่งแสงขึ้นก่อนที่เค้าจะตวัดมันออกไป
 ลำแสงได้พุ่งออกจาคมดาบและเปลี่ยนรูปกลายเป็นมังกรพลังงาน พุ่งเข้ากระแทกร่างของ มุรามาซะ จนกระเด็นไป
กระแททับ แท่นหินที่ดาบเคยปักอยู่แตกพังลงไป

“ อ๊าคคคคคคค ”  “ Muramasa Strike Soul ”
มุรามาซะ คำรามขึ้นก่อนที่ร่างของมันจะ เกิดไอควัน ขึ้นปกคลุมร่างและ
ขยายขนาดพร้อมกับเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวมันเองจนมีขนาดใหญ่

พอๆกับมังกรระดับสูง มันยืนด้วยสี่ขา ชิ้นส่วนเกราะถูกดีดหายออกไป เผยร่าง
เนื้อที่เต็มไปด้วยอักขระ แบบเดียวกับที่ R2 เคยแสดงให้มันปรากฏขึ้นบนร่าง

เสียงคำรามของมันดังกึกก้องปานสัตว์ร้าย ปีกที่หลังงอกเพิ่มออกมาเป็น 4 ปีก
ดวงตาของมันไร้ซึ่งแววตาแห่งชีวิต ราวกับหุ่นเชิด

(http://images.temppic.com/24-04-2009/images_vertis/1240545165_0.10173900.jpg)


“ ข้าคือ มุรามาซะสไตร์โซล ”
เจ้ามังกรร้ายคำรามก่อนที่มัน สร้างหลุมดำที่กลืนกินทุกอย่างขึ้นมา ตรงหน้า

“ Geo Javalin Hyper!!!! ”
สิ้นเสียง เฟนท์ ที่สะสมพลังงานจนเต็มเปี่ยมแล้วก็ขว้างพลองออกไป พลองได้ทะลุอาบแสงจากมวลพลังงาน
และพุ่งออกไปดังหอกลำแสง ทันทีที่กระแทกเข้ากับหลุมดำ นั้นมันก็แตกสลายไปพร้อมๆกัน

และก่อนที่ มุรามาซะสไตร์โซล จะได้ทันทำอะไรต่อ ร่างของมันก็ถูกตรึงเอาไว้ ด้วยดาบนับสิบเล่มที่พุ่งลงมา
ซึ่งมันคือปีกของเกราะที่ เรโค่ สวม ก่อนที่จะแช่แข็งซ้ำด้วย ไอเย็นที่แผ่ออกมาจาก ปีกเกราะของ เซโร่
และปิดล้อมทางหนีด้วยวังวนอัคคีของ อิจิกิ


“ Great of Dragon G.O.D. ”
เรกกะ ตะโกนออกมาก่อนที่ อัศวินมังกรทั้งหมดจะสร้างลำแสงมังกรของตนและยิงส่งไปที่ มุรามาซะสไตร์โซล
ขณะที่ อาแมนคริส และ โกรอทพลามาทอส ก็ร่วมส่งการจู่โจม ของพวกมันเข้าไปเสริมด้วย
 การโจมตีทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว จนกลายเป็นลำแสงมังกรขนาดใหญ่ พุ่งเข้าชนร่างของ
 มุรามาซะสไตร์โซล

“ แล้วพวกแกคิดรึว่าจะหยุด คาทราสโทฟี ได้ ตอนนี้มันเริ่มทำงานไปแล้ว
 ถึงข้าจะถูกทำลายพวกแกก็หยุดมันไม่ได้หรอก.. ”
มุรามาซะ สบถขณะที่กำลังสูญสลายไปจากการถูก เผาผลาญอยู่ในลำแสงมังกรอันทรงอานุภาพ

“ นี่แกลืมไปแล้วเหรอ..รหัสของ R2 น่ะยังไม่ได้ถูกใช้ซะหน่อย.. ”
เรกกะ กล่าว ขึ้นมาเพื่อย้ำให้อีกฝ่ายคำนึงถึงสิ่งที่พลาดไป

“ น..นี่หรือว่าแก...R2 นี่เจ้า ”
มุรามาซะ สบถขณะที่ลำแสงมังกรนั้นได้สลายไปแล้วและร่างของมันก็เริ่ม จะสูญสลายตามไป

“ ขอบใจนะ R2 ที่เธอยอมเชื่อใจผมจนถึงที่สุด ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะคืนร่างกลับ บัดนี้ที่ดวงตาซ้ายของเค้านั้นเรืองแสงอยู่ตลอดเวลา
ก็ปรากฏขึ้นเป็นสัญลักษณ์ คล้ายกับปีก ที่แก้วตาขวา และในขณะเดียวกัน ลอว์เรนซ์
และอัศวินมังกรตนอื่นๆก็กลับคืนร่างเดิม ไปพร้อมๆกัน รวมถึงทุกคนที่ใช้พลังจนถึงขีดสุดแล้ว

“ Genesis แห่งการเอาชนะทุกสิ่ง..นี่เจ้ามอบรหัสให้มันไปแล้วงั้นหรือ ”
มุรามาซะ สบถขณะที่ร่างของมันเริ่มประคับประคองไม่อยู่อีกแล้ว

“ เสียใจด้วยนะ..เธอมอบมันมาให้ชั้นต้องแต่แรกแล้วตั้งแต่วันที่เราได้พบกัน วันนั้นที่ดวงตาข้างนี้ตื่นขึ้น ”
เรกกะ กล่าวพร้อมกับ เอามือขึ้นมาเบิกตาซ้ายให้ เห็นชัดจะๆตาของ มุรามาซะ

“ ในนามของ ข้า เรกกะ ไฮเดย์ ขอบัญชา จงหายไปซะ ”
ทันทีที่คำสั่งของ เรกกะ ออกไปนั้นดวงตาขวาก็เปล่งแสงสีแดงวาบออกมา ก่อนที่ จะปรากฏ
สัญลักษณ ปีกแบบเดียวกับที่ดวงตาของเค้า ขึ้นเหนือฟากฟ้า เกลียวเสาด้านหลัง ก็เริ่มถล่มลงมา
เกิดแรงสั่นไหวขึ้นรอบๆสถานที่แห่งนี้ขณะที่ตอนนี้โลกภายนอก นั้นมหาพิบัตค่อยๆ สลายตัวลงอย่างรวดเร็ว

..............

“ อ..อะไรกันเนี่ย ”
สุซาคุ และ เฟรเซีย ที่บังคับ โมบิลเกเซอร์ ของตนคอยหาช่วงจู่โจม อัลคารากอน
เปรยขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะ เมื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อ ร่างของ อัลคารากอน ค่อยสลายหายไป

“ มันกำลังจะหายไปแล้ว ”
เฟรเซีย เปรยอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเธอ

“ พวก เซโร่ ทำสำเร็จแล้วสินะ ”
ลูเทเซีย เปรยกับตัวเอง ขณะที่ที่ ทั้งห้องบังคับการและในสนามรบต่าง
กึกก้องไปด้วย เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะ

...........
หอบังคับการทหารสูงสุด โลกอส

“ สำเร็จ..ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จแล้ว ”
มาเรียลูส เปรยด้วยความรู้สึกที่ตัวเธอนั้นไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ในช่วงเวลาแห่งชัยชนะที่พวกเค้า สามารถจัดการกับ วิกฤติของโลกลงไปได้นี้

ในตอนนี้ เมฆทมิฬที่ปกคลุมท้องฟ้าได้สลายตัวไปพร้อมกับที่แสง ตะวันซึ่งไม่ได้
สาดส่องลงมายังเบื้องล่าง นานนับสัปดาห์ก็ได้เฉิดฉาย แสงราวกับจะมอบความหวัง
อันใหม่ให้แก่พวกเขา

..................

“ หากพวกเจ้าปฏิเสธโลกของข้า มันก็จะกลายเป็นโลกของ อานิม่า ที่ความดี
และความชั่วนั้นเป็นเพียงคนละหน้าของกระดาษแผ่นเดียวกัน ”
มุรามาซะ สบถขณะ ที่คลานมาทั้งสภาพที่ทรุดโทรม ซึ่งตอนนี้ร่างของมัน กลับคืนจากากรเป็น สไตร์โซลแล้ว
 มันคลานมาจนถึงตัวของ เรกกะ ก่อนจะเค้นแรงเฮือกสุดท้าย บีบคอของเค้าเอาไว้

“ ถึงยังงั้นโลกในอุดมคติของแก มันก็ไม่ได้ดีไปกว่าที่เป็นอยู่นี่หรอก หายไปซะ ”
เรกกะ กล่าวจบ มุรามาซธ ก็ถูกแสงที่เปล่งออกมาจาก ดวงตาขวา ก่อนที่มันจะ ปล่อยมือแล้วลงไปดิ้น
ทุรนทุราย ราวกับถูกไฟนรกแผดเผา ก่อนจะสลายหายไปในที่สุด


.................
........................

“ และแล้วก็เป็นไปตามคำทำนาย ทูตสวรรค์ 7 องค์ แตรสวรรค์ 7คัน
 อัศวินมังกร 7 ตนจากทวีปและอีก 7 ตนจากอีกทวีป จากนั้นกระถางไฟทองคำ ก็คือคาทราสโทฟี  ”
โครโน่ เปรยขณะที่ นั่งอยู่บนเก้าอี้บัลลังค์ ในห้องเดิมของเค้ากับ ฮายาเตะ โดยมองดูเหตุการณ์ผ่านจอภาพ
รอบห้องที่ปรากฏอยู่เต็มไปหมดในตอนนี้

“ ขอบใจพวกแกมากเลยนะ เพราะพวกแกแท้ๆ แรคนารอค ของชั้นก็จะได้เดินหน้าต่อไปซักที...เนอะ ”
โครโน่ เปรยจบก็เบือนสายตาไปมอง เงาของบุคคนอีกองนอกจากพวกเค้าที่อยู่ในห้องนี้

..............
.....................

“ แล้วจากนี้ไปพวกนายจะเอายังไงต่อล่ะ ”
R2 หันมาถาม เรกกะ กับ เฟนท์ ก่อนที่ืั้ทั้งสอง จะหันมามองหน้าซึ่งกันและกันด้วยสายตาที่ระแวงทั้งคู่

“  นั่นสิเรื่องของพี่ ชั้นพอจะเข้าใจแต่ เรกกะ เป็นคนฆ่า ไอ ”
เฟนท์ กล่าวพลางทำตาขวางใส่

“ แล้วยังไง....คำตอบของนายน่ะ ”
เรกกะ สบถ ขณธที่ R2 และคนอื่นๆได้แต่จ้องมองลุ้นไปกับคำตอบของทั้งสอง

.................
.........................


1 เดือน ต่อมา

หลังจากความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นเพราะการแทรกแซงของ Empyrean Adjust ตอนนี้
 สหพันโลก ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยการยื่นเรื่องเสนอร่วมกัน ของ โลกอส และ บริทเทเนอร์
ได้ร่วมครึ่งเดือน แล้วที่ผ่านมา ต่างก็ได้รับการตอบรับจาก

ประเทศต่างๆที่เข้ามาเป็นสมาชิก ลงนามร่วมสนธิสัญญา เป็นพันธมิตร เพื่อสร้างสันติขึ้น
แต่ว่าในตอนนี้บรรดา ประเทศสมาชิกบางส่วนของ ประชาคมโลก หรือสภามังกรนภากาศ
 
นั้นยังไม่เห็นด้วยที่จะเข้าร่วมการ
จัดตั้งสนธิสัญญาฉบับใหม่นี้ อีกทั้งบางประเทศนั้น ได้ยื่นคำค้านที่จะจัดตั้ง
 สหพันโลกขึ้น หากจะให้ชาวเมอริเซีย ที่ไม่มี ตัวแทนผู้นำ ของประเทศตนหรืออาณานิคมเข้าร่วม
 การมอบสิทธิต่างๆให้แก่ชาวเมอริเซียจึงยัง ไม่เป็นที่ยอมรับในการเข้าร่วมสนธิสัญญาครั้งนี้


“ นี่คือรายงานด่วนที่เข้ามาล่าสุดนะคะ ในวันนี้ ประธานสภามังกรนภากาศ หรือ สหประชาคมโลก จะออกมาให้แถลงการณ์ ค่ะคาดว่านี่อาจเป็นเรื่องที่จะพูดถึงการจัดตั้ง สหพันโลก ก็ได้ค่ะ อ้ะออกมาแล้ว ประธานสูงสุดแห่งสภามังกรนภากาศ อันเป็นองคประธานสูงสุดของ เทอร่า เลยก็ว่าได้ค่ะ..หะ ”

เสียงรายงานข่าว และภาพที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งเทอร่าตอนนี้  ซึ่งออกอากาศสดตรงมาจาก
หอคอยแห่งนภา ซึ่งตั้งอยู่ ในเขต คาบสมุทรกลางของ เทอร่า  ภาพออกกอากาศ ที่ถ่ายทอดออกมาจาก

 ห้องประชุม ซึ่งบรรดา คณะบริหารและสมาชิกขั้วอำนาจต่างๆในเทอร่า ทั้งหมด
ที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งสหพันโลกได้มาร่วมประชุม กันในวันนี้ เพื่อรับข้อมูลจากองค์ประธานสูงสุด

“ และแล้วตอนนี้ ประธานสูงสุดก็มาถึงแล้วค่ะ...เอ๋ ”
เสียงรายงานข่าวดังขึ้นก่อน ที่ผู้บรรยายจะต้องร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ หา..เหลือเชื่อ ”
โคเว็ท กับ มิมิ อุทานขึ้นพร้อมกันตอนนี้ดูรายงานข่าว ผ่าน เครื่องรับสัญญาณ ในห้องชมรมของ พวกเธอ
ที่ตอนนี้ พวก ชารี่ ก็อยู่กับพวกเธอด้วย

“ ไม่จริง.. ”
มาเรียลูส และ ลูเทเซีย อุทานขึ้นแทบจะพร้อมกัน ภายในห้องประชุมกลางของ สภาสูง โลกอส ที่ใช้
เป็น ที่ประชุม ระเบียบการของ สหพันโลก ความประหลาดใจนี้ไม่แค่เฉพาะ พวกเค้า แต่บรรดาผู้คน

 ทั่วทั้งเทอร่า ต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบุคคลที่ปรากฏตัวขึ้นมาแทน ประธานสูงสุด ได้เดิน เข้ามา
นั่งลงตรงเก้าอี้ ซึ่งยกสูง
จากพื้น เล็กน้อย อันเป็นเก้าอี้ประธานสูงสุดของ สหประชาคมโลก เป็นดั่งตำแหน่งที่คุมบังเหียนโลกไว้

“ เราคือ องประธานสูงสุด แห่งสหประชาคมโลก ลำดับที่ 99 เรกกะ ไฮเดย์ ”
สิ้นคำของ เรกกะ ซึ่งปิดตาขวาด้วยเศษหน้ากากติดเลนดวงตา ปรากฏตัวขึ้นต่อ
สายตาตกตะลึงของทุกคนทั่วโลกที่กำลังจับตาดูการออกอากาศนี้อยู่

“ น..นี่..แกเป็นใครทำไมถึงไปนั่งตรงนั้น แล้วประธาน ของเราล่ะประธานตัวจริงน่ะ ”
สมาชิกผู้บริหารคนหนึ่งค้านขึ้น ก่อนที่จะต้องเงียบไปเพราะ องค์ประธานสูงสุดคนก่อน
นั้นได้เดินเข้ามา และส่งมอบตราตำแหน่งให้กับ เรกกะ

“ เท่านี้พอจะยืนยันได้หริอยังล่ะ องค์ประธานสูงสุดได้ สละบัลลังค์ให้ฉันแล้ว ”
เรกกะ กล่าวเสียงเรียบ ซึ่งดวงตาของประธานสูงสุดตัวจริงนั้น มีสัญลักษณ์ ปีกแบบเดียวกับที่ดวงตาขวาของเค้ามี

“ หนอย.. เพ้อเจ้ออะไรของแก ..แกทำอะไรกับประธานบอกมานะ ทหารจับมันไว้ ”
สมาชิกผู้บริหารอีกคน กล่าวแย้งขึ้นก่อนจะให้พวก ทหารรักษาการกรูกันเข้ามา
ล้อมเค้าด้วย หอกไฟฟ้า ทว่าก่อนที่ หอกจะทันเข้าถึงตัวเค้า  เฟนท์ ก็กระโดลงมาจาก เพดานห้องด้านบน
และหมุนตัวเตะ ปลายหอกจนหักวสะบั้นในทีเดียวด้วยพลัง สมิงของเค้า

“ ขอแนะนำให้รู้จักนี่คือ องครักษ์ มือขวาของเรา เฟนท์ นีโอเวล  ”
เรกกะ กล่าวขณธที่ เฟนท์ ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างเค้า อย่างจงรักภักดี
ซึ่งในดวงตาของเค้านั้นหาได้มี สัญลักษณ์ของ Genesis ที่ เรกกะ ใช้กับเค้าไม่
ดังนั้นนี่จึงเป็นความตั้งใจจริงของเค้าอย่างแน่นอน

“ เอาล่ะเพื่อให้เรื่องมันง่ายขึ้น... ”
เรกกะ กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับ ถอดหน้ากากที่ตาขวาออก
เผยให้เห็นดวงตาที่มีสัญลักษณ์ปีกนก สองปีกทอประกายอยู่ในดวงตา

“ ในนามของข้า เรกกะ ไฮเดย์ พวกเจ้าจงเชื่อฟังเราซะ ”
สิ้นคำ ดวงตาขวาก็เปล่งแสงขึ้น ทันทีที่เหล่าผู้เข้าประชุมในห้องได้รับแสงนั้น ดวงตาของพวกเขาก็ปรากฏสัญลักษณ์
ปีกแบบเดียวกับเค้าขึ้นมาทั้งสองข้าง

“ All Hari Recca! ”   “ All Hari Recca ”
เสียงดังกระหึ่มขึ้นจากบรรดา สมาชิกที่ตกอยู่ใต้การบังคับของเค้าในที่สุด

“ จากนี้ไปนี่ล่ะคือ บทเพลงส่งวิญญาณแห่งอัศวินมังกร Dragoon Requiem ”
เรกกะ เปรยขึ้นขณะนี้ตัวเค้าได้อำนาจที่จะกุมชะตาของโลกเอาไว้ในกำมือแล้ว

โปรดติดตามตอนต่อไป


Next Saga

ชั้นที่ต่อต้านโลกมาตลอดและปิดบังตนเอง
ไว้เบื้องหลังหน้ากากของคนธรรมดาๆ  กลับกลายมาเป็นผู้บงการโลก
และออกมาสู่เบื้องหน้า

“ ข้าขอประกาศให้ สหประชาคมโลก เข้าร่วมการจัดตั้ง สหพันโลก ”

“ นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่เราควรจะยินดี...พี่คิดว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน ”

“ เรกกะ ถึงเจ้าจะเป็น อานิม่า ต้นแบบที่วมบูรณ์ยังไงแต่ สำหรับข้าเจ้านั้น
ไม่ได้อยู่ในสายตาเลย เพราะมีผู้ที่เหมาะสมที่จะปกครองโลกมากกว่าเจ้า ”
บัดนี้บทสรุปแห่งตำนานกำลังจะพลิกหน้าสุดท้ายของมันแล้ว Next Saga 18 Emperor Recca..

มหาสงคราม Delantion กำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า.......

ตรงที่ มีเขียนว่า Img ลงภาพไว้แต่ยยังไม่ได้ใส่โคดไม่ต้องตกใจไป พอดีลืมภาพไว้ที่ Note Book เลยต้องรอ เค้าเอากลับมาก่อน แล้วจะมาอัพรูปตรงนั้นให้นะครับ เป็นรูปของ มุรามาซะโซล เวอชั่น อาริมาเทีย

ว่าแต่ตอนนี้ขอ แค่สามประโยคเลยบทนี้
มั่ว เละเทะ ออกทะเล

ป่ะกางใบเรือถอนสมอได้.......เฮ้ยเดี๋ยว ทอดสมอก่อนจะไปหนายยยกลับฝั่งก่อนเร้ว

เรื่องมันชักจะเละเข้าไปทุกทีแล้วสิเนี่ย แต่ก็อย่างว่า เล่นบู๊กะแก้ปริศนาในตอนเดียวช่างทรมานยิ่งนัก
ปวดกบาลไปหลายวันเลยเรา อีก 3ตอน ก็จบแล้วงุงิ ตอนหน้า เรกกะ กับ เฟนท์ ในคอสแบบใหม่
จะเป็นยังไงไหนอ ส่วนมิมิ โคเว็ท นั้น คงไม่ได้เห็นแล้วล่ะเน้อทำไม่ทันจริงๆ แฮะๆๆ

ข่าวดีเอหรือไม่ดีหว่า หลังจากจบภาคนี้จะมีภาคที่3 รวมเป็นไตรภาค ทาลิฯ แต่เรื่องของภาคสามคนแต่งคือใครน่ะเหรอ...ขอ อุบไว้ก่อนเน้อ แต่ภาคสามส่งท้ายตำนานเนี่ย จะมีแค่3ตอนจบเท่านั้น เพราะใกล้จะได้เวลา
วุ่นวายกันแว้ว คงไม่มีเวลาเขียนยาวล่ะขอรับ ส่วน SmN VR! ท่านใดติดตามแล้วอยากอ่านต่อ ก็ขอให้รอ กระผมเตรียมตัวให้ชินกับชีวิต มหาลัยก่อนซักหน่อยแล้วว่างเมื่อไหร่จะมาเขียนให้นะคร้าบ ส่วนไตรภาค ทาลิจะเขียนให้จบก่อน เรียนปรับพื้นฐานให้ได้ โอ้ไฟลุกพรึ่บไปเขียนตอนต่อไปเลยดีกว่า  Let’s Go


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: boy on April 24, 2009, 03:37:27 PM
ไคลแมกซ์มาแล้ว เหอๆ  อีก 3 ตอนจะจบ+อีกภาคนึง(ใช่ม่ะ -*-)   สนุกมากเลย
 ::011::



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: Gee on April 24, 2009, 08:07:42 PM
ตอนนี้อึ้งอย่างเดียวค่ะ เรกกะ ไม่ใช่ เรกกะ - *- มามุขนี้เลยหรือคะ
มนุษย์ดัดแปลงปลูกความทรงจำ - -  ::007::

เอาเข้าไป เรกกะ มี กีอัส  ::010::



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: Uria on April 24, 2009, 08:30:19 PM
 - -* ยิ่งอ่านยิ่ง...มีกีอัสด้วย
เด๊ยวใส่เดธโน๊ตเลยกะได้นะครับ - -*


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: cocka-c on April 24, 2009, 08:52:10 PM
ตอนนี้เท่าที่ดูท่าเอาลิสชื่อ การ์ตูนที่น่าจะมีส่วนเอี่ยว ด้วยในเรื่องมาเรียงดูมันเริม่เยอะแล้วนะเนี่ย

1. Gundam 00
2.Code Geass
3.kamen rider den-o
4.kamen rider Decade
5.mamotte lollipop

เท่าที่ เจ๊พอจะเดาออกอ่ะนะ นอกจากนั้น คงมีอีกล่ะมั้ง ไปๆมาๆมันเละแล้วนะเนี่ย
จะจบแบบไหนหว่า


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: ginn on April 26, 2009, 02:25:46 AM
เฮ้ย ลืมไปอีกหลายเรื่อง

1.Kamen rider kiva
2.negima
3.otoko juuku
4.evangelion


ลืมไปไ้ด้ยังไง

ปล.คนเขียนนิยายเรื่องนี้หน้าโครตเหมือนอาเบะ


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: greamon on April 26, 2009, 04:25:38 PM
Quote
1.Kamen rider kiva
2.negima
3.otoko juuku
4.evangelion

อ่านะ อันนี้ลืมอยู่เหมือนกันว่าแต่ เนกิมะ มันเอี่ยวไรด้วยล่ะเนี่ย

Quote
ปล.คนเขียนนิยายเรื่องนี้หน้าโครตเหมือนอาเบะ

ไม่ใช่ว้อย ตรูคือ คิระ ยามาโตะ จาก gundam Seed Deatiny ต่างหากว้อย


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: greamon on April 26, 2009, 04:40:20 PM
Saga 18 Emperor Recca..


ยามเช้าที่มืดมิด ที่ซึ่งหิมะ โปรยปรายท่ามกลาง ทุ่งกว้างตัดกับต้นสนน้อยใหญ่ ทั่วทุ่งแห่งนี้
ที่เคยเต็มไปด้วยดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ  และเปลี่ยนสีในฤดูร้อน ร่วงโรยเมื่อใบไม้ร่วง และเหี่ยวแห้งเมื่อ ลม

เย็นแห่งฤดูหนาว....มาเยือน ทุ่งแห่งนี้ก็ปกคลุมด้วยหิมะอันขาวบริสุทธิ ทว่าเงาของหิมะกลับไม่ทอประกายเป็น
สีฟ้า ในยามเช้าที่มืดมิดและหนาวเหน็บราวกับค่ำคืน ที่ยาวนานไม่รู้จบนี้ ความรู้สึกของ ฉันถูกทิ้งไว้
อย่างโดดเดี่ยว ความเงียบสงัดที่ราวกับจะกลืนกินฉันลงไป ความอ้างว้าง เมื่อปราศจากเธอ...


“ นาย...จะไปจริงๆเหรอ ”
R2 กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าๆ เมื่อ ชายตรงหน้าเธอนั้นกำลังจะเดินจากเธอไป ท่ามกลางทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บนี้

“ อืม..ทุกคนกำลังรอ เพื่อผืนดินแห่งใหม่ ”
ชายตรงหน้าตอบเธอโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

“ ถ..ถ้าอย่างนั้นฉันจะไป... ”
“ ไม่ได้ ”
R2 กล่าวได้ไม่ทันจะขาดคำ ชายคนนั้นกลับตะคอกออกมา มือของเขาสั่นเทาด้วยความ
รู้สึกเช่นไรนั้น มิอาจรู้ได้ หากรู้เพียงแต่หัวใจของเค้ากำลังขัดขืนกับ อุดมการณ์

“ มันอันตราย...อันตรายเกินไปถึงเธอจะเป็นนักรบ...แต่ชั้นก็ไม่อยากให้เธอต้องไปเสี่ยง ”
ชายหนุ่ม กล่าวด้วยน้ำเสียงเทา ซึ่งนั่นได้ทำให้ R2 เข้าใจถึงความรู้สึกของเค้า ในขณะนี้

“ งั้นสัญญาได้ไหม...ว่าจะ..กลับมา ”
R2 กล่าวพลางก้มหน้าด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอก แม้จะอยากห้ามเค้าไว้แต่เธอรู้ดีว่า
ไม่อาจขัดขวางเขาได้

“ อืม..ชั้น..สัญญา.. ”
ชายหนุ่มกล่าวจบ ก็วิ่งเตลิดออกไปเพื่อไม่ให้เธอตามเขามา ทิ้งให้ R2  ยืนมองจนเค้าหายลับไปจากสายตา

........................
.............................

“ หลังจากนั้นนายก็ไม่กลับมาอีกเลย...เดรค (Drake) บางทีชั้นอาจเห็นภาพของนายซ้อน
ทับกับใครบางคนในตอนนี้ซะแล้วสิ ”
R2 คิดขณะที่นั่งมอง เรกกะ ซึ่งกำลัง รอให้คณะสมาชิกจากทุกอาณานิคม ที่ยังคัดค้านกับการ เข้าร่วมกับสหพันโลก
เข้ามาจนครบ  โดยมี เฟนท์ ลอว์เรนซ์ ยืนคุ้มกันอยู่ข้างๆ

“ เอาล่ะทุกท่าน ในที่สุดก็มากันพร้อมแล้วสินะ ”
เรกกะ กล่าวเมื่อเห็นว่า ทุกคนมากันพร้อมแล้ว เค้าจึง ถอดเอา หน้ากากตาขวาออก ก่อนที่ ดวงตาข้างขวาจะเปล่งแสงสัญลักษณ์แห่ง Genesis ออกมา

“ ในนามของ เรกกะ ไฮเดย์ พวกเจ้าจงอยู่ใต้อานัติของเรานับแต่บัดนี้ ”
สิ้นคำ แสงก็เปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วทั้งห้องก่อนที่ บรรดาคณะสมาชิก จะถูกสะกดด้วย Genesis

“ All Hari Recca….. All Hari Recca…. ” 
สมาชิกทุกคนในห้องต่างลุกขึ้นกล่าวสรรเสริญ เรกกะ กันอย่างพร้อมเพรียง

“ เท่านี้ ไพ่ทุกใบในมือก็พร้อมแล้ว..หึๆ ”
เรกกะ เปรย ก่อนจะ สะบัดชายเสื้อคลุมออกแล้วเดิน จากไปพร้อมกับ
 เฟนท์ ลอว์เรนซ์ และ R2 ที่ตามกันออกมา

“ อีกซักพัก ทาง สหพัน จะติดต่อเข้ามาระหว่างนี้ ท่านผู้นั้นอยากจะขอ
พบเพื่อพูดคุยกันซักเล็กน้อย ถ้าการติดต่อเข้ามาแล้ว จะไปตามให้ อีกที ”
อิจิกิ กล่าวขณะที่เดินสวนมามาตามทางเดิน จนพบกันระหว่างทาง

“ งั้นฝากด้วยนะ ”
เรกกะ ตอบก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง ก่อนที่ทุกคนจะตามไปด้วย ส่วน อิจิกิ นั้นเดินย้อนกลับทางเดิมไป

“ พลังของ เรกกะ ตอนนี้น่าจะทำได้..ทำให้ Dragoon Requiem สำเร็จ ”
เฟนท์ คิดขณะที่เดินตามไปก่อนจะนึกย้อนไปถึง เหตุการณ์บางส่วนของ ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา


พวกเรา ได้เดินทางมาที่ หอคอยแห่งนภา Sky Pillar ที่ตั้งของ สมาคมมังกรนภากาศ หรือ สหประชาคมโลก
ซึ่งกุมอำนาจของ ทั้งเทอร่าเลยก็ว่าได้ ภายในองค์กร นั้นบริหารจัดการ กันโดย เหล่ามังกรชั้นสูงที่อยู่มากว่า
ร้อยปีชักใยอยู่เบื้องหลัง  ซึ่งมี
ทอลเมนอส มังกรแห่งรุ่งอรุณ(Tolmenos, the Golden Dawn Dragon) เป็นผู้นำฝ่ายตะวันออก
อิลคิมซูม มังกรแห่งพายุฝนอันบ้าคลั่ง (Ilkimsumm, the Tempest Dragon) เป็นผู้นำฝ่ายตะวันตก

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/41.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/49.jpg)


คัลราซิลย่า มังกรแห่งนภาสีเงิน (Kallasilya, the Sky Dragon) เป็นผู้นำฝ่ายเหนือ
ซุเรเทอเลี่ยน มังกรแห่งพายุฝนฟ้าคะนอง (Suletirion, then Thunderstrom Dragon ) เป็นผู้นำฝ่ายใต้

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/36.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/55.jpg)

การบริหารของ องค์กร นั้นจะใช้มุนษย์ฉากบังหน้า แล้วตัวเองคอยชักนำความเป็นไปขององค์กร
อีกที ซึ่งผู้นำสูงสุดที่มีสิทธิอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดก็คือ...

เฟนท์ ที่คิดมาจนถึงตรงนี้ พวกเค้าก็ได้มาถึงห้องเป้าหมายแล้ว เมื่อประตูเปิดออก ภายในห้องนั้น
เป็นห้องเล็กๆที่ประดับตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกใดๆมีเพียงโต๊ะวางแจกัน
กับ โคมไฟโบราณ 1 ดวงเท่านั้น

“ เข้ามาสิ ”
ที่กลางห้องเจ้าของเสียงเอ่ยเชิญชวญพวกเค้าให้เข้ามา ผู้ที่เชื้อเชิญนั้น เป็นมังกร กายสีเขียวมรกต และ
มีขนาดไม่ใหญ่มาก กำลังคอยพวกเขาอยู่ ด้วยทีท่าที่สงบนิ่ง

“ ผู้นำสูงสุดของสภามังกร นภากาศ มหามังกรนักปราชญ์ อีสควอเทีย (Isquatia, the Great Elder Dragon) ”
เฟนท์ คิด ขณธที่ทุกคนพากันเดินเข้าไป นั่งในห้อง ตามคำเชื้อเชิญ

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/57.jpg)

“ ก็นึกอยู่แล้วว่าเธอจะต้องมา แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะเร็วอย่างนี้. ”
อีสควอเทีย  กล่าวน้ำเสียงเรียบ

“ ที่จริงว่าจะมาแค่ ยับยั้งเรื่อง คาทราสโทฟี ตามที่ อาจารย์ บอกมาเท่านั้นเองน่ะครับ แต่ไปๆมาๆ
ก็เลยว่าจะทำให้ที่นี่มันเข้าที่เข้าทางไปด้วย ก็เลย...แต่ไม่นึกเลยนะครับว่า ประธานสูงสุดจะเป็น
 อาจารย์ ไปได้น่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวแบบเขินๆ โดยพยายามแก้ตัวกับเรื่องที่พวกเค้าบุกมา ยังสภากลาง
ของที่นี่ แล้วก็ได้พบกับ อีสควอเทีย หลังจากที่คุยกันแล้ว ถึงได้รู้ว่า อีสควอเทีย เคยเป็นอาจารย์
วิชาประวัติศาสตร์ ที่ลอว์เรนซ์ เรียนด้วยตอนอยู่ที่อดีต เมื่อ สองร้อยกว่าปีที่แล้ว

“ ไม่มีใครเรียกว่า อาจารย์ มานานแล้วสินะ...นึกถึงเมื่อก่อนจริงๆ สมัยที่ยังสอนเธออยู่ตอนนั้นเธอกับ ก๊วนน่ะซนไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว ตั้งแต่ เหตุการณ์ เสียเมอริเซีย พอได้มาพบเธออีกครั้งแบบนี้มันรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันนะ ”

อีสควอเทีย กล่าวขณะที่ระลึกถึงความหลังสมัยนั้น ซึ่งแม้จะเลือนรางแต่ก็ไม่อาจลืมได้ ถึงวีรกรรมของ ลอว์เรนซ์
และพวกพ้องในครั้งนั้น ทั้ง ลอว์เรนซ์ เจนัส นีน่า ลากูน่า และ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะมนุษย์ เทพ หรือ ปีศาจ ที่ร่วมกันต่อสู้
เพื่อ ปกป้องเทอร่าให้พ้นภัย



“ จริงสิโทษทีนะได้มาพูดถึงเรื่องเก่าๆเลย คุยเพลินไปหน่อยเอ้อ โทษทีนะทุกคนพอดีเรื่องที่ชั้นจะพูด อยากจะขอคุยเป็นการส่วนตัวกับ เรกกะ แล้วก็ สองคนนั้นน่ะ ช่วยทีนะ ”
อีสควอเทีย กล่าวก่อนจะชี้ไปที่ เฟนท์ และ R2 ดังนั้น ลอว์เรนซ์ จึงกล่าวลาก่อน จะเดินออกจากห้องไป

“ เรื่องอะไรหรือครับที่จะคุยด้วยน่ะ ”
เรกกะ กล่าวถามด้วยความอยากรู้

“ ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพียงแต่... ”
อีสควอเทีย กล่าวก่อนจะหยุดไปแค่นั้น

“ เพียงแต่อะไรหรือครับ ”
เฟนท์ ก็ถามขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายเงียบไป

“ เพียงแต่ ฉันแค่เห็นว่า สิ่งที่พวกเธอกำลังจะเริ่มทำกันต่อไปจากนี้ หากผิดพลาด
เพียงน้อย เรื่องราวก็อาจไม่จบลงแค่นั้น เพราะฉนั้นจึงอยากจะให้พวกเธอได้ตริตรองอีกสักครั้ง ”
อีสควอเทีย กล่าวน้ำเสียงเรียบ

“ ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ เราเตรียมใจเอาไว้แล้วล่ะครับ ”
เรกกะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ แม้จะแผ่วเบาเมื่อนึกถึงการเตรียมใจในแผนการของพวกเค้า
ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ เฟนท์ ได้ยอมตกลงร่วมมือกับ เค้าอีกครั้ง

“ ฉันเองได้ฟังเรื่องของพวกเธอมาจาก ลอว์เรนซ์ บ้างแล้ว ที่ผ่านมาพวกเธอเจออะไรมา
บ้างฉันเองก็พอจะเข้าใจ

เพียงแต่ ที่ฉันอยากขอให้เธอตริตรอง ให้ดีก่อนจะลงมือ ก็เพราะ จุดจบของเรื่อง
มันอาจไม่เป็นอย่างที่พวกเธอต้องการ

ให้เป็นก็ได้ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จะไม่เคยเกิด เลยอยากจะเล่าเรื่องหนึ่งให้พวกเธอได้ฟังเอาไว้
 มันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว  ”

อีสควอเทีย กล่าวทันทีที่เริ่มกล่าวถึงเรื่องนี้ ดวงตาของมังกรชราผู้นี้ก็ดูเศร้าสร้อยลง ในทันที

“ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกว่าพันปีมาแล้ว ในยุคนั้นเป็นการเริ่มบุกเบิกเมอริเซีย
ของบรรพบุรุษ ชาวฟีเลเซีย ในการออกหาดินแดนแห่งใหม่ ”
อีสควอเทียกล่าว ทว่าทันทีที่เริ่มเล่าออกมานั้น R2 ก็เริ่มมีสีหน้าแปลกๆเธอ
ขมวดคิ้วพลางเบือนหน้าหนีเล็กน้อยราวกับกำลังกลุ้มใจถึงบางเรื่อง

“ ตำนานของ อัศวินทาลิวิลย่า มันเริ่มขึ้นมาจากตรงนั้น เมื่อ บุรุษชาว ฟีเลเซีย คนหนึ่งได้
ปราบมังกรทมิฬ ที่อยู่บน

แผ่นดินน้ำแข็ง แอนดิซอง ลงได้ เนื้อหาของตำนาน ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา
เพียงแค่นั้นหากแต่ความจริงแล้ว วีรกรรม
นั้นก็แฝงมาพร้อมกับ เรื่องเศร้า ที่ไม่ควรจะเกิด  ”

อีสควอเทีย  กล่าว ในขณะที่ R2 นั้นดวงตาของเธอสั่นระเรื่อ ราวกับกำลังเกิดความทุกระทมในหัวใจ
เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ เธอกำมือแน่นจนข้อซีดขาว และเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พลางกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
 เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ทันทีที่ได้ฟัง ที่ อีสควอเทีย กล่าว ซึ่งในขณะที่ เรกกะ กับ เฟนท์ ไม่ได้สังเกต แต่
 อีสควอเทีย ได้เหลือบไปมองเป็นครั้งคราวราวกับรู้ว่าเธอจะแสดงปฏิกิริยาเช่นไร เมื่อเล่าเรื่องนี้ขึ้นมา

“ เรื่องเศร้าที่แฝงมากับ ตำนานงั้นเหรอครับ ”
เรกกะ ภล่าว ซึ่ง อีสควอเทีย ก็ ผงกหัวตอบก่อนจะเอ่ยปากเล่าต่อไป

“ ในยุคนั้นการบุกเบิกแผ่นดินนับเป็นเรื่องที่อันตรายไม่น้อยเพราะ ต้องเผชิญทั้งกับ
สัตว์ร้าย โรคภัย หรือแม้แต่สงคราม ในระหว่างการเดินทางนั้น นักรบมังกรหนุ่มคนหนึ่งชื่อของ เค้าคือ เดรค
เค้าเป็น หัวหน้ากลุ่มบุกเบิก ที่เดินทางไปถึงแอนดิซอง โดย เดินทาง อ้อมผ่าน ไปยาวไกล ซึ่งระหว่างการเดินทาง เค้าได้พบกับ หญิงสาวชาวอาริมาเทีย ซึ่งเป็น นักรบมังกร เหมือกับเขา เธอชื่อ ลาชาฟ ลาเอล (Rasharp Rael)  ”

วินาทีที่ ชื่อของ ลาชาฟ ถูกกล่าวออกมาสีหน้าของ R2 ก็ดูตกใจไม่น้อยแต่เธอยังคงเก็บอาการไว้อยู่

“ ทั้งสองได้พบกัน และเกิดรักชอบกันขึ้น ทว่าการเดินทาง นั้นก็ยังคงต้องมีต่อไป
ทั้งสองจึงต้องพรากจากกัน ฝ่ายชายสัญญาว่าจะกลับมารับเธอเมื่อการเดินทาง
ของเค้าสิ้นสุดดังนั้น ลาชาฟ จึงได้มอบ ดาบให้กับ เดรค เพื่อป้องกันตัวจากภัยต่างๆ ”

อีสควอเทีย เล่ามาถึงตรงนี้ ความสนใจของทุกคนก็จับจ้องอยู่ที่เรื่องที่เค้าเล่าอยู่ เมื่อเห็นดังนั้น
 จึงเริ่มเล่าต่อในทันที เมื่อสังเกตว่า R2 นั้นเริ่มจะผ่อนคลายลงบ้าง

“ หลังจากที่แยกจากกัน ราชาฟ ก็ได้เฝ้าภาวนาให้ เดรค รอดปลอดภัยกลับมา ทว่า คำภาวนากลับไม่เป็นผล...
เดรค สู้กับมังกรทมิฬ ที่ปกครอง ผืนแผ่นดินที่พวกเค้าบุกเบิกไป การต่อสู้ในครั้งนั้น เดรค
สามารถจัดการกับมังกรร้ายลงได้ แต่เค้าเองก็ได้รับบาดเจ็บจากากรต่อสู้อย่างสาหัส และได้

สิ้นใจลง ณ ตรงนั้นท่ามกลางบ่อเลือดที่ท่วมท้นอยู่บนพื้นหิมะ  วีรกกรมของ เดรค ได้ถูกยกย่องให้เป็น
 ต้นกำเนิดของนักรบมังกรที่กลายเป็นอัศวินคนแรก ทาลิวิลย่า เรื่องเล่านี้ได้ขจรออกไป
พร้อมกับข่าวการตายของ เดรค.. ”

อีสควอเทีย เล่ามาถึงจุดนี้ ทีท่าของ R2 นั้นก็บอก ออกมาอย่างที่สุดว่าตัวเธอนั้นไม่ต้องการจะฟังอีกต่อไปแล้ว เธฮลุกขึ้นยืนและทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ขณะที่ เรกกะ กับ เฟนท์ ได้แต่นั่ง งงกับท่าทีของเธอ

“ ถ้าจะไปก็ฟังให้จบก่อนสิ.. ”
อีสควอเทีย กล่าว R2 ที่กำลังจะออกไปนั้นหยุดยืนอยู่หน้าประตูแทน
ก่อนที่ใครจะได้ทันกล่าวอะไร อีสควอเทีย ก็เริ่มเล่าต่อทันที

“ หลังจากที่ ลาชาฟ รู้ว่า เดรค ตายแล้วด้วยความโศกเศร้า เธอจึงอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอมอบเวลาของเธอทั้งหมดให้กับ เดรค เพื่อให้เวลาของเค้านั้นกลับมาเดินอีกครั้งและแล้ว...  ”
อีสควอเทีย กล่าวแล้วหยุดไป เมื่อจะเล่าต่อจากตรงนี้  R2 นั้นเลิกคิดที่จะออกไปแล้ว

“ หลังจากนั้นเป็นยังไงต่อเหรอครับ ”
เฟนท์ ถามขึ้น อีสควอเทีย จึงเริ่มเล่าต่อทันที

“ พระผู้เป็นเจ้าได้รับฟังคำภาวนาของเธอ และได้นำเวลาของเธอไปมอบให้กับ เดรค เพื่อให้เวลาของเค้าเดินต่อไป
 เพื่อตอบแทนความรักของเธอที่มีต่อเค้า ด้วยชีวิตที่มอบให้แก่เขา และแทนกองเลือดด้วยกลีบกุหลาบ เดรค ฟื้นกลับ

ขึ้นมาอีกครั้งแต่ทว่าเมื่อเค้ากลับไปที่ อาริมาเทีย อีกครั้งเพื่อพบเธอ กลับต้องพบกับความโศกเศร้า ที่เวลาของเค้านั้นแลกมากับการสูยเสียคนที่รักยิ่งไป.. เดรคได้ ภาวนากับ พระผู้เป็นเจ้าให้มอบเวลาของเค้า คืนกลับให้แก่เธอ

จากนั้นจึงชักดาบที่ เธอมอบให้เค้า ใช้ป้องกันตัวจบชีวิตของเค้าลง... แต่เวลาที่ได้นำออกไปแล้วนั้นไม่สามารถ มอบ
คืนให้ได้อีก..แต่ด้วยแรงแห่งรักที่ทั้งสองมีต่อกัน ลาชาฟ ได้กลับฟื้นขึ้นมาพร้อมความเป็นอมตะ เพื่อที่จะอยู่ต่อไปใน


ส่วนของ ชายคนรัก ที่ยอมมอบชีวิตให้เธอ ด้วยชีวิตที่เป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย ทำให้เธอต้องอ้างว้าง
ด้วยรักที่มากเกินนำมาซึ่งความทุกข์ชั่วนิรันด์  เรื่องราวนี้ก็ได้แพร่ออกไป และเพื่อไม่ให้ตำนานที่
เป็นเหมือนความหวังนี้ต้อง เป็นเหตุ


ให้นึกถึงโศกนาฏกรรม ผู้คนจึงพากันลืมเลือนเรื่องนี้ไป และเล่าขานแต่เพียงวีรกรรมของ
 เดรค ที่ต่อมาผู้สืบทอดกลายเป็นนามที่รู้จักกันในชื่อ ลอว์เรนซ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งตระกูลซราเบลด
 ขึ้นและสืบทอดพลังของ ทาลิวิลย่ามา ส่วนดาบที่ ลาชาฟ มอบให้ แก่เดรคนั้นต่อมาได้ชื่อว่า มาคายาเดีย... ”

อีสควอเทีย เล่าจบทุกคนก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ เมื่อได้รับรู้ถึงเรื่องที่แฝงมากับตำนาน

“ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ”
เฟนท์ เปรยขึ้นเล็กน้อยด้วยความรู้สึก โล่งๆในหัวใจ

“ นั่นสิแต่ก็นับเป็นเรื่องที่น่าประทับใจนะ ”
เรกกะ เปรยตามพลางถอนหายใจ

“ อะไรกันน่ะ นี่มันเรื่องรักน้ำเน่าชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ รักกันไปรักกันมา แย่งกันตายแทน น่าเบื่อ ”
เสียงของ ทาลิคนัสก้องขึ้นในหัวของเรกกะ ทันทีที่ได้ฟังจนจบ

“ เฮอะ นายนี่ไม่หัวทางนี้เอาซะเลย ทั้งที่เรื่องออกจะ โรแมนติก ขนาดนี้ ”
ทาลิควอส แย้งขึ้นมาทันที

“ นี่ความรักคืออะไรเหรอ มันเล่นได้รึเปล่า พูดได้ไหม ขยับได้ไหม ”
ทาไนซ ถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสา

“ ทาไนซ เจ้าน่ะยังเด็กนัก ความรักก็คือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีไง ”
ทาโซรอส พยายามจะอธิบาย

“ ความรักนั้นสง่างาม เป็นของคู่กับผู้ที่สง่างามเช่นเรา ”
ทาลูคัส แทรกขึ้นมากลางคันในทันที

“ ช่างเป็นเรื่องที่…เศร้าอะไรเช่นนี้ ”
ทาเวนทอส กล่าวเสียงซึมเหมือนจะร้องไห้

“ แต่ชั้นว่าพวกนายน่ะแหล่ะจะทำเรื่องออกทะเลเอา ”
เรกกะ สนทนาด้วยความคิดหลังจากที่ฟัง เหล่าบุคลิคอื่นๆเถียงกันไปเถียงกันมา

 “ มันไม่ใช่เรื่องที่น่า ปลาบปลื้มอะไรแบบนั้นหรอก หมอนั่นก็แค่ไส
ส่ง คำสาปที่ฉันมอบให้คืนมาเท่านั้นเอง ”
R2 กล่าวน้ำเสียงประชดประชัน

“ R2 ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ดูเธอ อารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ”
เรกกะ หันไปดุใส่เธอ

“ นี่ขอถามหน่อยสิ ทำไมถึงแทนชื่อตัวละครเป็น ฉัน ล่ะ….หรือว่า ”
เฟนท์ หันไปถามบ้างเนื่องจากเอะใจในคำพูดของเธอ ซึ่งมาถึงตรงนี้ อีสควอเทีย
ก็หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นมา

“ อย่างนั้นสินะ เจ้ายังไม่ลืม เรื่องในอดีตไปหมดซะทีเดียวสินะ ”
อีสควอเทีย กล่าวจบ R2 ก็เปิดประตูก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกจากห้องไป
ด้วยหน้าตาบึ้งตึง

“ R2 ! ”
เรกกะ พยายามจะไปรั้งเธอไว้ แต่อีสควอเทียก็ห้ามเอาไว้ซะก่อน

“ ปล่อยเธอไปเถอะ ที่จริงคนผิดก็คือฉัน ที่ดันไปเล่าเรื่องที่เค้าไม่อยากนึกถึง
แต่ฉันเองก็แค่อยากพิสูจน์เท่านั้นเองล่ะนะ ”
อีสควอเทีย กล่าวจบ เรกกะ จึงยอมกลับมาโดยสงบ

“ นี่เรกกะ นายเคยบอกว่า R2 เป็นอมตะใช่ไหม ”
เฟนท์ ถามขึ้นมาทันทีที่ เรกกะ นั่งลงอีกครั้ง

“ อืมใช่ ยัยนั่นน่ะ เป็นอัศวินมังกรทาลิเลีย ที่ปราบอัลคารากอนลงได้ แล้วก็ผนึกพลัง
ของมันลงในร่าง เลยทำให้เธอเป็นอมตะ…ว่าแต่ถามทำไมเหรอ ”
เรกกะ กล่าวพร้อมหันไปถามหลังจากที่ตอบแล้วทันที

“ งั้นนี่หรือว่า… ”
เฟนท์ กล่าวพร้อมหันไปหา อีสควอเทีย เพื่อจะขอคำยืนยัน

“ ใช่ เฟนท์ เธอมีความรู้สึกที่ไวใช่ย่อยเลยนะ….อย่างทีเธอคิดนั่นล่ะ
นักรบหญิงในเรื่องก็คือเธอนั่นล่ะ R2 คือ ลาชาฟ ที่เคยมีใจให้กับ เดรค อัศวินทาลิวิลย่า ตัวจริง ”
อีสควอเทีย กล่าวขณะที่ เฟนท์ ซึ่งคิดเอาไว้แล้วนั้นก็ได้แต่ตีสีหน้าซึมๆ ด้วยความเวทนาที่มีขึ้นมาบ้าง
ขณะที่ เรกกะ ซึ่งไม่ได้นึกถึงมาก่อน จะหันกลับไปมองที่ประตูที่ R2 วิ่งออกไป



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: greamon on April 26, 2009, 04:40:45 PM
“ ตอนที่เธอมากับพวกเจ้า ฉันก็รู้สึกคุ้นๆอยู่แต่ไม่นึกเลยว่า เรื่องที่คุณปู่เล่าให้ฟังจะเป็นเรื่องจริง ”
อีสควอเทีย กล่าวน้ำเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกผิดที่ไปเล่นกับความรู้สึกของเธอ

“ แล้วทำไมเธอถึงได้บอกว่า เดรค ไสส่งคำสาปคืนให้แก่เธอล่ะครับ ”
เรกกะ ถามขึ้นมาด้วยวามสงสัย

“ ก็อย่าหาว่าฉันจุ้นไม่เข้าเรื่องเลยนะ แต่ศึกที่ คาทราสโทฟี น่ะฉันเห็นหมดแล้ว บางทีคำสาปนั่นอาจจะเป็น
รหัสที่ใช้เดินระบบ คาทราสโทฟี ก็ได้ ซึ่งมันก็คือ Genesis แห่งการเอาชนะทุกสิ่ง
 ที่เจ้าได้รับมาตอนนี้ไงล่ะ เรกกะ  ”
อีสควอเทีย กล่าวซึ่งนั่นทำให้ เรกกะ เลื่อนมือขึ้นมาแตะที่หน้ากากของตัวเอง ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“ บางทีเวลาที่เธอมอบให้ เดรค ไปอาจเป็น สิ่งนี้ก็ได้แต่เพราะคำวิงวอนของ เดรค ที่เข้าใจผิด
ว่าเธอรักเค้ากลับส่ง รหัสนั่นคืนให้แก่เธอ ทำให้เธอไม่ได้ตายตามที่หวังสินะ ”
เฟนท์ กล่าวด้วยสายตา ที่เศร้าซึมไม่ว่าจะด้วยความคิดเวทนาต่อ เดรค ที่ถูกเธอหลอก
หรือเธอ กลับถูกสวรรค์เล่นไม่ซื่อ กันตัวเค้าก็ไม่อาจแน่ใจได้

“ สุดท้าย ก็เป็นแค่…..เรื่องหลอกลวง ”
เฟนท์ เปรยเสียงซึม แต่ทว่า อีสควอเทีย ได้แย้งขึ้นมา

“ นั่นก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะถึงความจริงในตอนนี้ เธออยากจะตายจริงๆก็ตามเถอะ ”
อีสควอเทีย กล่าวทำให้ เฟนท์ และ เรกกะ หันมาฟังด้วยความตั้งใจ

“ แต่บางทีคำภาวนาของเธอในตอนนั้นอาจไม่ใช่เรื่องหลอกลวงก็เป็นได้….
บางทีนั่นคงเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ ”
อีสควอเทีย กล่าวซึ่งขณะเดียวกัน R2 ที่ออกไปก่อนนั้น เธอยังคงนั่งพิงกำแพง
ฟังบทสนทนาผ่านกำแพงหน้าห้อง ด้วยใบหน้าที่เศร้าซีมและเปรอะไปด้วยน้ำตา

“ เดรค….ฮึก ”
R2 เปรยก่อนจะก้มหน้าลงน้ำตาเช็ดหัวเข่าด้วยความรู้สึกที่โศกเศร้าที่สุด



“ เรื่องที่เล่าไปนั้นฉัน อยากให้พวกเธอเก็บไปคิดกันให้ดีด้วยล่ะ… ”
 อีสควอเทีย กล่าวซึ่ง เรกกะ กับ เฟนท์ ก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ

“ ความตายไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป ถึงจะทำเพื่อทุกคนแต่มันก็เป็นสิ่งที่โหดร้ายกับทุกคนที่
อยู่ข้างหลังเรา เหมือนที่ เดรค ทอดทิ้ง ลาชาฟ ไปและทำให้เธอต้องเศร้าโศกเพียง

 ตามท้องเรื่องนั่น พวกเจ้าก็ควรคิดดูนะ
หากเจ้าคิดว่าทำเพื่อคนอื่น ก็จงอย่าลืมนึกถึงความรู้สึกของพวกเค้าด้วย  ”
 อีสควอเทีย กล่าว เรื่องในครั้งนี้ทำให้พวกเขาเริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ อีสควอเทีย ต้องการจะสื่อให้พวกเขาได้รับรู้

“ แต่ถึงยังงั้น Dragoon Requiem ก็จะต้องเดินหน้าต่อไป แต่พวกเราจะไม่ทำให้มันผิดพลาดเด็ดขาด ”
เรกกะ กล่าวท่ามกลางความเงียบสงัดที่ ไม่อาจบรรยายคำพูดใดออกมาได้

“ เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว รีบมาเถอะ ”
เสียงของ ลอว์เรนซ์ ดังลงมาจากลำโพงที่อยู่ มุมเพดานห้อง ทั้งสองจึงขอตัว
ลาและเดินออกจากห้องมา

“ หวังว่ามันคงจะไม่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ เหมือนที่แล้วๆมาหรอกนะ ทั้ง เดรค ทั้ง กาเร็ท แล้วก็ ลอว์เรนซ์ ”
อีสควอเทีย เปรยขึ้นเงียบๆ กับตัวเองพลางนึกย้อนถึงยุคสมัยที่ผ่านมา รวมไปถึงคำพูดของคนๆหนึ่ง

“ มนุษย์ น่ะพยายามจะขังตัวเองเอาไว้ในเวลาที่หยุดนิ่ง ถึงได้สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาแล้วก็
พยายามจะคงให้มันอยู่
ดังเดิม แต่ความจริงก็คือความจริง เวลาไม่อาจหยุดเดินลงได้ มันจะเดินต่อไปเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะโหดร้ายหรือน่ายินดีก็ตาม นั่นล่ะคือ เวลา ”
คำพูดนั้นแว่วขึ้นมาในหัวของ อีสควอเทีย เมื่อครั้นนึกถึงเรื่องเก่าๆ

“ ความปราถนา เวลา ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยังเป็นมนุษย์ ”
อีสควอเทีย เปรยขึ้นเงียบอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยท่าที เหนื่อยใจ


………………….
……………………………..

“ การติดต่อในวันนี้ของเรา ก็เพื่อจะแถลงการณ์ อะไรซักหน่อย ”
เรกกะ กล่าวตอนนี้เค้าและ เฟนท์ เปลี่ยนชุดสำหรับออกมาสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ซึ่ง เรกกะ สวมชุดเสื้อลุมสีขาว
แบบจักรพรรดิ และติดผ้าคลุมสีดำที่ด้านหลัง นั่งลอยชายอยู่บนเก้าอี้บัลลังค์สีแดงที่ตกแต่งอย่างอลังการ
 ส่วนเฟนท์ อยู่ในเครื่องแบบอัศวินสีขาวเต็มยศและผ้าพันคอสีดำ ยืนอยู่ข้างๆบัลลังค์ ของ เรกกะ

(http://images.temppic.com/26-04-2009/images_vertis/1240723669_0.63652800.jpg) (http://images.temppic.com/26-04-2009/images_vertis/1240723669_0.99569100.jpg)

“ มีเรื่องที่จะประกาศงั้นเหรอ ”
ลูเทเซีย กล่าวผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ที่ใช้เป็นช่องสื่อสารกับทาง เรกกะ ในตอนนี้
ซึ่งช่องสื่อสารนี้กำลังออกอากาศไปทั่ว เทอร่า หลังจากคำถามของ ลูเทเซีย เรกกะ ก็ลุกขึ้นยืนก่อน
จะกางแขนทั้งสองข้างออกและผายมือขึ้น วาดท่าทางราวกับเป็นพระผู้ช่วยให้รอด(Meisiah)

“ ข้าขอประกาศให้ สหประชาคมโลก เข้าร่วมการจัดตั้ง สหพันโลก ”
สิ้นคำประกาศของ เรกกะ ลูเทเซีย และทุกคนที่กำลังดูการถ่ายทอดนี้อยู่
ได้ตกสู่วังวนแห่งความตื่นตระหนกกันเลยทีเดียว  บัดนี้คำพูดของเค้ากำลังจะพลิก
โฉมหน้าของ เทอร่า ในวินาทีนี้

“ หมายความว่า ท่าน จะให้ เทอร่า ทั้ง เทอร่า เข้าร่วมกับระบบ สหพันโลกอย่างไม่มีข้อกังขาเลยงั้นหรือ ”
ลูเทเซีย กล่าวด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจในตัวของอีกฝ่าย

“ แน่นอน เราจะทำการเจรจากันที่โรงเรียน St. Magnus Avademy ของโลกอสในเที่ยงของวันพรุ่งนี้ ”
เรกกะ กล่าวจบก็ตัดการติดต่อไปทันที ยังผลให้การออกอากาศนี้จบลง ท่ามกลางความแตกตื่นของ ประชาชน
ทั่ว เทอร่า นี่จะเป็นการพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ มันกำลังจะกลายเป็นการรวม เทอร่า ให้เป็นหนึ่งเดียว
กันในพริบตา

“ นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ยิ่งเลยมิใช่รึ แล้วเหตุใดพระองค์ถึงได้มีสีพระพักต์ หวาดวิตกเช่นนี้ล่ะเพคะ ”
เฟรเซีย ที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆเก้าอี้ในห้องสภาของสหพันโลก ได้กล่าวถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าที
ของ มาเรียลูส และ ลูเทเซีย ดูไม่ยินดีกับเรื่องนี้ทั้งที่ ตอนนี้กลุ่มสมาชิก อาณานิคมอื่นๆกำลัง
แสดงความยินดี ที่การจัดตั้งสหพันโลกขึ้นนั้นได้รับการยอมรับ อย่างเป็นทางการแล้ว

“ ท่านพี่คะ….มันต้องมีอะไรแฝงอยู่ใช่ไหมคะ ”
มาเรียลูส กล่าวเพราะเธอนั้นรู้ตัวจริงของ Dragoon ซึ่งก็คือ เรกกะหลังจากการแทรกแซงงานประชุม
สากลระดับโลก ในครั้งนั้น Dragoon กลับหายไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเขากลับกายเป็น
องค์ประธานสูงสุดแห่ง สหประชาคมโลกไปเสียแล้ว


“ นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่เราควรจะยินดี...พี่คิดว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่ สุซาคุ ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าสนับสนุน เหตุผลของ เขา

“ การจัดตั้งสหพันโลกก็เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันแก่ทุกประเทศ เพื่อให้สงครามหมด
ไปไม่แน่บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ เรกกะ เล็งเอาไว้ ”
ลูเทเซีย กล่าวพลางคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“ จริงสิจะว่าไปแล้ว ทำไมตาขวาของ องค์ประธานสูงสุดถึงต้องปิดไว้ใต้หน้ากากด้วยล่ะ ”
เฟรเซีย เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย ซึ่งนั้นได้ทำให้ ลูเทเซีย และ มาเรียลูส เห็นพ้องกันในทันที

“ ไม่ผิดแน่ นายเองก็น่าจะรู้ใช่ไหม สุซาคุ ”
ลูเทเซีย กล่าวถามกับ องครักษ์ สุซาคุ ถึงสันนิษฐานที่พวกเค้า พอจะเดาได้

“ พะย่ะค่ะ ต้องเป็นสิ่งนั้นแน่ ”
สุซาคุ  ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ ถ้าเป็นแบบนั้นเท่ากับว่า การที่เค้าได้ขึ้นเป็นประธานสูงสุดของ สหประชาคมโลก อย่างไร้ข้อกังขา
ก็มีคำอธิบายทุกอย่างครบเลย รวมถึงการที่เหล่าสมาชิกสหภาพพร้อมใจกันยอมตามเค้า ”
มาเลียลูส กล่าวขณะที่พวกเค้าเริ่มจะรู้ถึงความคิดของ เรกกะ ที่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง

“ นี่หรือว่าที่ตาขวานั่นคือ Genesis  ”
เฟรเซีย อุทานเมื่อรู้ถึงสิ่งที่พวกเค้ากำลังตีความกันอยู่ตอนนี้

“ ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดีคะท่านพี่ ”
มาเรียลูส กล่าวถามด้วยความกระวนกระวาย

“ นี่ มาเรีย จำได้ไหม คนที่เราช่วยเอาไว้ ระหว่างทางเคลื่อนกองกำลัง
กลับน่ะตอนนี้เค้าอยู่ไหนล่ะ เพราะเค้านั่นล่ะ
คือกุญแจสำคัญที่เราน่าจะใช้ต่อรองได้ ”
ลูเทเซีย กล่าวก่อนที่ จะมีสาวนางหนึ่งเดิน เข้ามาหาพวกเค้าที่กำลังสนทนากันอยู่

“ อ้าวนั่นไงเธอมาแล้ว….ลุกไหวแล้วเหรอ ซาน ”
มาเรียลูส กล่าวถามขณะที่หญิงสาวที่เข้ามาหาพวกเค้าคือ ซาน ที่น่าจะตายไปแล้ว
นั่นเอง

“ ค่ะ…ต้องขอบพระคุณท่านจริงๆท่านมาเรียลูส ที่ทรงพระกรุณา ช่วยหม่อมฉันไว้แล้วยังทรงดูแล ฉันอีก
ทั้งที่ฉันเป็น Valkyrier ที่ทำให้ประเทศ โลกอส ต้องแปดเปื้อน… ”
ซาน กล่าวอย่างถ่อมตน ขณะที่ มาเรียลูส ขยั้นขยอจะให้เธอ เลิกทำแบบนี้ เพราะตัวเธอนั้นไม่ถือ
เป็นบุญคุณอยู่แล้ว 

“ ถ้าอยากจะตอบแทนล่ะก็…พอจะมีเรื่องหนึ่งที่เธอช่วยได้ ”
ลูเทเซียกล่าวจบก็หันมาหาเธอ

“ รู้จัก เรกกะ ไฮเดย์ ไหม ”
ลูเทเซีย ถามขณะที่ ซาน ได้แต่มองตอบกลับไปด้วยสายตาประหลาดใจ
กับคำถามของเขา

…………………..
…………………………….


“ นี่ เรกกะ นายคิดยังไงกับเรื่อง ที่ท่านอีสควอเทีย เล่าให้ฟังน่ะ ”
เฟนท์ ถามขึ้นมาขณะที่ พวกเค้าสองคนกำลังเดิน ไปตามทางในอาคารแห่งนี้เพียงลำพังสองต่อสอง

“ ทำไมเหรอ….ชั้นก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เศร้าอยู่เหมือนกันน่ะ ”
เรกกะ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆไม่แฝงอะไรไว้

“ แค่นั้นเองเหรอ ”
เฟนท์ ถามอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ

“ อืมแค่นั้นล่ะ ”
เรกกะ ตอบกลับไปด้วยความสงสัยว่าจะถามย้ำทำไมนักหนา

“ ก็ถ้า Dragoon Requiem สมบรูณ์น่ะ…..แน่ใจเหรอว่ามันจะไม่จบเหมือนอย่างตำนานในเรื่องนั้นน่ะ ”
เฟนท์ กล่าวก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกลังเลที่เกิดขึ้นมาในขณะนี้ ทว่า เรกกะ กลับหยุดเดินลง
เอาดื้อ ทำให้ เฟนท์ หยุดตามด้วยความสงสัย

“ ไม่ต้องห่วงหรอกชั้นคำนวณมาดีแล้วไม่มีทางที่เราจะทำพลาด….อย่างแน่นอนว่าแต่นายยังจำสัญญาได้ไหม ”
เรกกะ กล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันมามองเค้าด้วยสายตาจริงจัง

“ อืม..จำได้สิชั้นจะคอยเป็นดาบให้นายเองจะฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางนายไว้ ”
เฟนท์ กล่าวพร้อมกับส่งสายตากลับไปทั้งคู่ต่างมองลึกลงไปในดวงตาของกันและกัน
และรับรู้ว่าคำพูดเหล่านั้นออกมาจากใจ อย่างแท้จริงไม่ใช่การโกหก

“ อืม…ถ้ามีนายไม่ว่าอะไรพวกเราก็จะสามารถผ่านมันไปได้…อย่างแน่นอน ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะ เริ่มออกเดินอีกครั้ง

“ Yes Your Majesty ”
เฟนท์  กล่าวพร้อมกับแสดงความเคารพก่อนจะเดินตามไปติดๆ

“ เพื่อชดใช้ บาปทั้งหมดของชั้น…ชั้นจะจบมันด้วยมือของชั้นเองด้วย Dragoon Requiem นี่แหละ ”
เรกกะ คิดขณะที่เดิน ออกจากทางไปสู่แสงสว่างข้างนอก

……………………
…………………………….

เที่ยงวันต่อมา


“ ทุกๆท่านคะ บัดนี้การประชุมเจรจาครั้งประวัติศาสตร์ กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าแล้วค่ะ
หากการเจรจาสำเร็จ สันติสุขจะเกิดขึ้นทั่วทั้งเทอร่า ตอนนี้ที่หน้า โรงเรียน St.Magnus ได้มี
ฝูงชนมารอ

กันอย่างหนาแน่น ส่วนภายในโรงเรียนขณะนี้ ทาง สหพันโลก ได้เข้ามาเตรียมการทุกอย่างไว้
ก่อนแล้วนะคะ…อ๊ะดูนั่นสิคะ มาแล้วค่ะ ยานส่วนตัวของ ท่านองค์ประธานสูงสุดแห่ง
สหประชาคมโลก ท่าน เรกกะ ไฮเดย์ มาถึงแล้วค่ะ  ”

เสียงรายงานข่าวนี้ดังขึ้นอย่างเป็นระยะ ก่อนที่ ยานไซเบอทิก้า ดราก้อน ซึ่ง เรกกะ โดยสารมา กับยาน คอสมิกแสวน
ซึ่งติดตามมา อารักษขา โดยพวก ลอว์เรนซ์ และพวก เซโร่ไม่นานหลังจากยานจอด ลงเมื่อประตูยานเปิดออก

เรกกะ ได้เดินลงมาเพียงคนเดียวเท่านั้น พร้อมทั้งกำชับให้ทุกคนรออยู่ที่ยานเพื่อ เป็นการแสดงความบริสุทธิ
ใจต่อการเข้าประชุมเจรจา

“ โอนั่นท่านประธาน เรกกะ นี่ท่านมาถึงแล้ว ”
“ นั่นเหรอท่านประธาน เรกกะ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ยังดูหนุ่มอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ”
“ ท่าน เรกกะ! ”

เสียงสรรเสริญ ชื่อของ เรกกะ นั้นดังมาจากฝูงชนที่มารอกันอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าโรงเรียน
ซึ่งในกลุ่ม ผู้ที่มาก็มี มิมิ โคเว็ท และพวกชารี่ รวมอยู่ด้วย

“ คุณ เรกกะ ค้า จำเอลิต้า ได้ม้ายยย ”
เอลิต้า ตะโกน พลางทำท่าจะปีนรั้วข้ามไปหา ทว่าเธอก็ถูกตำรวจจับลากลงมาซะก่อน
จนพวก โคเว็ท ต้องเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยแล้วพาออกมา

“ ทำอะไรของเธอน่ะ เอลิต้า ไปทำแบบนั้น เดี๋ยวก็ถูกหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายหรอก ”
โคเว็ท เอ็ดใส่ เอลิต้า ขณะที่ เรกกะ ซึ่งมองเห็นพวก เค้า ทั้ง 5 คนจากด้านในของโรงเรียน
แล้วแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น

“ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า ยังอยู่กันดีสินะ พวก โคเว็ท ก็ด้วย ”
เรกกะ คิดขณะที่เดินมาจนถึงหน้าอาคาร รับรอง ซึ่งมีตัวแทนที่ส่งมารับตัวเค้าไปยัง
สถานที่ประชุม ทว่า เมื่อ เรกกะ ได้พบกับผู้ที่มารับตัวเค้า นั้นทำเอาเค้าแทบจะล้มลงเสียตรงนั้น

“ ซ….ซาน ”
เรกกะ เปรยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เมื่อได้พบกับ ซาน ที่เค้าคิดว่าน่าจะตายไปแล้ว
ในสนามรบ แต่ทว่าด้วยฐานะของเค้าในตอนนี้ไม่อาจแสดงออกได้ว่ารู้จักกับเธอมาก่อน
เค้าจึงต้องเก็บงำเอาความรู้สึกของตัวเองไว้



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 17 จุดบรรจบ...
Post by: greamon on April 26, 2009, 04:41:01 PM
“ พี่นี่…พี่ยังไม่ตายงั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน ”
เฟนท์ ที่มองผ่านมอนิเตอร์ในยาน คอสมิกแสวน กล่าวด้วยความตระหนก กับสิ่งที่พบ
ทว่า ลอว์เรนซ์ ก็เข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ นั่นทำให้ เฟนท์ รู้ตัวและพยายามเก็บอาการ ก่อนจะ เดินออกไปจากห้อง
ตามหน้าที่ที่ได้รับมา


……..

ตอนนี้ ซาน ได้เดินนำ เรกกะ เข้ามาในอาคาร รับรอง เพื่อที่จะเดินขึ้นบันได ไปยังห้องประชุมที่ชั้นบนสุด

“ นี่ เรกกะ…อ..เอ่อหมายถึงท่านประธาน ”
ซาน กล่าวก่อนจะชะงักไป แม้จะมีเพียงพวกเค้าสองคนเท่านั้นที่อยู่ในอาคารระหว่างทางขึ้นไปยังห้องประชุม
แต่เธอก็รู้ถึงตำแหน่งที่ เรกกะ มีอยู่ในตอนนี้ ทำให้เธทำตัวไม่ค่อยจะถูกนัก

“ ไม่เป็นไร คุยแบบสบายๆเถอะ แล้วเธอจะถามอะไรชั้นเหรอ ”
เรกกะ กล่าวก่อนที่ ซานจะ รับคำและเริ่มกล่าวต่อ

“ คือเธอจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉัน รอดมา..ได้ยังไง ”
ซาน กล่าวซึ่ง เรกกะ ก็นิ่งเงียบไปซักครู่ก่อนจะตอบออกมา

“ ไม่จำเป็นหรอกก็เธออยู่ตรงนี้แล้วนี่… ”
เรกกะ ตอบขณะที่ พวกเค้ากำลังขึ้นบันได ไปอย่างช้าๆ

“ ง..งั้นเหรอ….นี่ทำไมเธอถึงได้เป็น ประธานสูงสุดของ สหประชาคมโลกได้ล่ะ ”
ซาน ถามแต่เค้ากลับเงียบและไม่ตอบ เพราะตอนนี้ตัวตนของ เค้าคือ ประธานสูงสุดของสหประชาคมโลก
ไม่อาจที่จะพูดคุยสนิทชิดเชื้อกับ คนที่ไม่สมควรจะได้เคยเห็นหน้ากันมาก่อนในสายตาของผู้คน

ด้วยความระแวงในจุดนี้ว่าอาจมีการดักจับภาพได้ เค้าจึงไม่ตอบและไม่แสดงทีท่าใดๆต่อเธอ
ซึ่ง ซาน เองก็พึ่งจะนึกขั้นได้ เธอจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ก่อนจะเริ่มถามต่อโดยไม่หันกลับไปมอง


“ คือ เรกกะ …ตอนนั้นที่ เกาะหลักศิลาน่ะ..ที่เธอบอกให้ฉัน มีชีวิตอยู่ต่อไปน่ะ…. ”
ซาน กล่าวขณะที่พวกเขาเดินกันขึ้นมาจนเกือบจะถึง ห้องประชุมแล้ว
ซึ่งตรงนี้ซาน รู้ว่าไม่ได้มีการติดตั้งกล้องเอาไว้ในส่วนนี้ เธอจึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับเค้าตรงๆ
ด้าน เรกกะ นั้นแม้อยากจะตอบคำถามของ เธอแม้อยากจะพูดคุยกับเธอ แต่ก็ไม่อาจทำได้

เค้ายังคงต้องสวมหน้ากากของผู้มีอำนาจอยู่ให้ถึงที่สุด ซาน ที่เห็น เรกกะ นั้นยังคงเสแสร้งอยู่
แม้จะไม่ได้แสดงอกแต่เธอก็รู้ เป็นอย่างดีว่าตอนนี้เค้ารู้สึกเช่นไร เพราะตัวเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเค้า

ที่สุดแล้วเธอจึงตัดสินใจลงไปเพราะจากนี้ไปสิ่งที่รออยู่ข้างหน้านั้น คืออะไรที่
เธอยากที่จะต้องยอมรับ

“ ซาน…เธอเคยเป็นเพื่อนกับเค้ามาก่อนใช่ไหม ที่จริงชั้นก็ไม่อยากฝืนใจเธอแต่ว่า
บางทีถ้ามันเป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เมื่อถึงตอนนั้น เรกกะ ก็คือศัตรูของเธอ
 ระหว่างหัวใจกับ อุดมการณ์เธอจะเลือกอะไร… ”

คำพูดของ ลูเทเซีย ที่กล่าวเอาไว้กับเธอ ก่อนการเตรียมการประชุมนี้ ได้ดังก้องขึ้นมาในหัวของเธอ
ในตอนนี้นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้วที่เธอ จะได้ใกล้ชิดกับเค้า เป็นครั้งสุดท้าย

“ มีบางอย่างที่ฉันไม่ได้บอกไปนั่นคือ เธอกับฉัน เราไม่ใช่เพื่อนกันแต่เรา…. ”
ซาน คิดขณะที่ยื่นหน้าเข้าไปหา เรกกะ ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย มันเป็นการจากลา
ความรู้สึกของเธอนั้น อยากจะสื่อ ออกไปด้วยจุมพิตนี้ ยามที่ริมฝีปากของทั้งสอง ประกบกัน

ก่อนที่ น้ำตาแห่งความปิติ จะไหลริน เมื่อ เธอแยก ตัวออกมา เรกกะ ยังคงฝืนที่จะใส่หน้ากากต่อไป
แม้จะเจ็บปวดหัวใจ แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาได้เลือกแล้ว และ เธอเองก็เช่นกัน

“ ขอโทษค่ะ..ที่ดิฉันทำอะไรแบบนั้นไป ”
ซาน กล่าวก่อนจะ ปาดคราบน้ำตาออก

“ ไม่เป็นไร… ”
เรกกะ ตอบและพวกเค้าทั้งคู่ก็ออกเดินต่อไป เพื่อไปสู่ประตู แห่งการตัดสิน

“ หัวใจของสองเราได้คำตอบแล้วใช่ไหม เรกกะ ”   
“ อืม…ลาก่อน…ซาน ”
“ ลาก่อน….เรกกะ ”

เมื่อประตู ที่ประชุมเปิดออก ภายใน เหล่าสมาชิกอาณานิคม ต่างๆจากทั้งเทอร่า ได้มารวมกัน ณที่นี้
เพื่อเป็นสักขีพยานในการ ประกาศสันติอย่างเป็น เอกฉันท์

…………

ตอนนี้ ภายในห้องประชุม เรกกะได้มายืนอยูตรงแท่นที่กลางห้อง เพื่อเริ่มการเจรจา โดยมี
ลูเทเซีย และมาเรียลูส ที่นั่งอยู่คู่กัน ตรงโต๊ะที่ห่างออกไปด้านหน้าแท่นของเค้า เป็นประธานฝ่าย สหพันโลก

“ สหประชาคมโลกจะเข้าร่วมกับ สหพันโลก มติที่ประชุมจะใช้ระบบโหวตตามประชาธิปไตยใช่ไหม ”
เรกกะ กล่าวขึ้น

“ แต่ก่อนหน้านั้น เรามีบางอย่างอยากจะสอบถามคุณก่อน ”
มาเรียลูส กล่าวจบ ลูเทเซีย ก็ดีดนิ้วเป็นสัญญาณ ไม่นานที่พื้นรอบๆแท่นก็มีผนังโลหะล้อมขึ้นมาจน
บังมิดถึงหัวของ เขาทำให้ ที่ประชุมไม่อาจ มองเห็นตัวเค้าได้ แต่ที่แท่นที่ เรกกะ ยืนอยู่นั้น
มีจอมอนิเตอร์ อยู่ และกำลงัทำงานพร้อมกับ มอนิเตอร์ตัวบนขนาดใหญ่ ที่ห้อยลงมาจากเพดาน

เพื่อเจรจาผ่านทางมอนิเตอร์ ท่ามกลางความสับสนในที่ประชุมขณะนี้ที่ เริ่มสงสัยว่าเหตุใด
ต้องทำกันถึงขนาดนี้ ทว่า ลูเทเซีย ก็ปรามเพื่อให้ที่ประชุมสงบลงก่อนจะเริ่มการ เจรจาต่อ
กันเพียงแค่คัวเค้ากับ มาเรียลูส เท่านั้น

“ เราคิดว่าที่ตาขวาใต้หน้ากากปิดตานั่น คือ Genesis ใช่หรือไม่
กรุณาตอบคำถามของเราด้วยคำสัตย์ด้วย ”
ลูเทเซีย กล่าวถามผ่านทางมอนิเตอร์ ของเค้ากับ เรกกะ ซึ่งเรกกะ ก็ได้เปิด
 เอาหน้ากากออก เผยดวงตาที่มีสัญลักษณ์ของ Genesis ให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา

“ จริงๆด้วยสินะ…เรกกะ คุณใช้ Genesis นั่นในการครอบครอง ตำแหน่งของ ประธานสูงแห่ง
สหประชาคมโลกใช่ไหม ”
มาเรียลูส กล่าวด้วยท่าที ไม่พอใจ

“ ใช่…ผมใช้มันทำให้สมาคมมาอยู่ใต้อานัติ ”
เรกกะตอบ เสียงเรียบ

“ เป้าหมายของ นายไม่ใช่การเจรจาเข้าร่วมเพียงอย่างเดียวสินะ ”
ลูทเซีย กล่าวขณะที่ เรกกะ นันก็ไม่ได้ตอบอะไรพวกเขา

“ หากเราให้ สหประชาคมโลกเข้าร่วม กับ สหพันโลกตอนนี้ เท่ากับว่า คุณที่มีอำนาจ
เสียงของสมาคมสูงกว่าจะได้เข้ามา เป็นประธานของ สหพันโลกด้วยซึ่งนั้นเท่ากับ เทอร่า
 จะตกอยู่ในมือของคุณทันที ”
มาเรียลูส กล่าวแต่ เรกกะ ยังคงไม่ตอบโต้แต่อย่างใดราวกบกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่

“ ถ้าหากจะเข้าร่วมกับการจัดตั้งนี้ คงต้องขอให้ จำกัดการลงเสียงของคุณลง เหลือเพียง 20 % เท่านั้น ”
ลูเทเซีย กล่าวจบ เรกกะ ก็หัวเราะออกมานิดหน่อยทำให้ ทั้งสองหยุดยิงคำถามใส่เขาด้วยความแปลกใจ

“ ถ้าชั้นบอกว่าใช่ล่ะ…ถูกต้องเป้าหมายของชั้นคือ การเข้าเป็นประธานสูงของสหพันโลกและขึ้น
เป็นจ้าวโลกไปเลย เทอร่า จะอยู่ในกำมือของชั้นและจะไม่มีใครมาขวางทั้งนั้น ”
เรกกะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสต่อ คณะที่ประชุมแม้แต่น้อย

“ นี่นายเอาจริงหรือนี่ ”
ลูเทเซีย อุทานด้วยความไม่อยากเชื่อว่า เรกกะ จะยอมรับออกมาง่ายๆเช่นนี้

“ พวกคุณล่ะต้องการอะไรถึงได้จัดตั้งสหพันโลกขึ้นมา ”
เรกกะ ย้อนถามกลับไปใส่อีกฝ่ายบ้าง

“ แน่นอน เพื่อสร้างสันติโดยให้อำนาจที่เท่าเทียมกัน แก่ทุกฝ่าย ”
มาเรียลูส ตอบทว่าทันทีที่ได้รับคำตอบ เขากลับหัวเราะเยาะต่อความคิดของเธอ

“ สร้างสันติด้วยการแบ่งปันงั้นเหรอ สมเป็นเธอจริงๆ เหมือนกับ
พระแม่อลาน่า กลับมาเกิดอย่างที่เค้าลือกันซะจริง…แบ่งปันเหรอ เจรจาเหรอ ของแบบนั้นน่ะ
ทำให้ ทุกฝ่ายรวมกันเป็นหนึ่งไม่ได้หรอก ”

เรกกะ แย้งกลับไป

“ แล้วสำหรับนายอะไรคือสิ่งที่จะสร้างความสงบและสันติได้ล่ะ ”
ลูเทเซีย กล่าวถามกลับไปอีกครั้ง

“ นั่นก็คือความพร้อมที่จะทำลายยังไงล่ะ ”
เรกกะ ตอบกลับอย่างมั่นใจ

“ ความพร้อมที่จำทำลายงั้นเหรอ ”
ทางฝ่าย มาเรียอุทานกันยังไม่ทันจะจบดีอยู่ๆเพดานก็ถล่มลงมาก่อนที่
ผนังโลหะที่ครอบตัวของ เรกกะ ไว้
จะถูกทำลายจบขาดเป็นชิ้นๆ

“ ใช่..และจะไม่มีใครมาขวางด้วย ”
เรกกะ เปรยข้นขณะที่ เฟนท์ ซึ่งสวมเกราะ เจอรัลดีน เข้ามาก่อนแล้วได้ปรากฏตัวขึ้นกลางที่ประชุม

“ บังอาจมากไปแล้ว…เราจะไม่ยอมให้ลบหลู่ องค์ประธานของเราไปมากกว่านี้อีกแล้ว ”
เฟนท์ ประกาศเสียงกร้าว

“ ตอนนี้มีรายงานจากหอสังเกตการ กองทัพ จากอาณานิคม ของสหประชาคม
โลกกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาปิดล้อม
อ่าวของ เราทั้งหมดเลยครับ และมีกองทัพภาคอากาศบางส่วนกำลังตรงมาทางนี้ครับ ”
เสียงรายงานดังขึ้นมาจาก มอนิเตอร์ ของ ลูเทเซีย


“ เอาล่ะไม่ต้องตกใจไปทีนี้เรามาโหวตกันต่อเถอะ ”
เรกกะ กล่าวด้วยสีหน้าระรื่น ที่จัดการมัดมือมัดเท้า อีกฝ่ายได้หมดในคราเดียว

“ ที่แท้ก็เป็นการถ่วงเวลาเองงั้นหรอกเหรอ การจัดประชุมนี่เป็นแค่ฉากบังหน้าสินะ
ที่จริงแล้วแกต้องการจะยึดอำนาจด้วยกำลังอยู่แล้วงั้นสิ ”
ลูเทเซีย สบถเมื่อถูกต้อนจนมุมอย่างง่ายดาย

“ นายคงไม่รู้สินะ ก่อนจะเข้ามาในที่ประชุมนี้ เมื่อวาน ชั้นไปพบกับบรรดาผู้นำทั้งหมดแล้วจัดการด้วย Genesis
ของชั้นทั้งหมดแล้ว ดังนั้นก็เหลือแต่พวก นายเท่านั้น ที่มี Genesis จึงสามารถป้องกันจาก Genesis ของชั้นได้
การที่นายอ่านใจชั้นไม่ได้นั่นล่ะคือ คำตอบ ต้องขอบใจ เซโร่ ที่ให้ข้อมูลของพวกนายมา ”

เรกกะ พลางเย้ยหยันด้วยคำพูดที่รุนแรง ขณะที่เมื่อพวกเค้ามองไปยังดวงตาของบบรดาผู้ร่วมประชุมทุกคน
ต่างก็มี สัญลักษณ์ Genesis ทำงานขึ้นมาที่ดวงตากันทุกคน


“ หมายความว่า เซโร่ ทรยศพวกเรางั้นเหรอ ”
มาเรียลูส กล่าวขณะที่กำลัง ชุลมุน กันอยู่นี้ ก็มีการติดต่อเข้ามาในที่ประชุมก่อนที่
จะขึ้นภาพบนจอ ใหญ่ที่ผนังด้านหลังของ พวก ลูเทเซีย

“ โคร..โน่ ”
เรกกะ เปรย เมื่อได้เห็นฝ่ายผู้ติดต่อเข้ามา ซึ่งก็คือโครโน่ นั่นเอง

“ เรกกะ แย่แล้วเมื่อครู่มีการติดต่อมาจาก หอคอย แห่งนภา อิคดราซิล ทั้ง 6 ต้นของทุกทวีป
เริ่มเปล่งแสงแล้ว ”
เฟนท์ กล่าวหลังจากได้รับการติดต่อแล้ว

“ หมายความว่า พวกมันทำสำเร็จแล้วงั้นเหรอ นี่เราช้าไปจริงๆสินะ ”
เรกกะ คิดหาทางออกจากสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนที่สุดในขณะนี้

“ เจ้าพยายามได้ดี เรกกะ แต่เสียใจด้วย ตอนนี้ แรคนารอค สมบูรณ์แล้ว
ข้าได้ กุญแจแห่ง อามาเกดโดน มาไว้ในกำมือแล้ว จากนี้จงระวัง โอดิน กำลังจะแผลงฤทธิ์ ”
โครโน่ กล่าวขณะที่ เรกกะ ได้แต่เพียงกัดฟันด้วยความเจ็บใจ ที่ถูกโต้แผนกลับมา

“ เฟนท์ ข้าเสียดายจริงๆที่เจ้า ยอมทรยศลดตัวไปจากข้า ตอนนี้เจ้าจึงไม่ได้เป็น อานิม่า อีกต่อไปแล้ว ”
โครโน่ กล่าวซึ่ง เฟนท์ เองก็ได้แต่ ปั้นหน้าอยู่ใต้หน้ากากเกราะ ของ เจอรัลดีน

“ เรกกะ ถึงเจ้าจะเป็น อานิม่า ต้นแบบที่สมบูรณ์ยังไงแต่ สำหรับข้าเจ้านั้น
ไม่ได้อยู่ในสายตาเลย เพราะมีผู้ที่เหมาะสมที่จะปกครองโลกมากกว่าเจ้า ”
โครโน่ กล่าวต่ออย่างไม่หยุด ด้วยความเจ็บใจ เรกกะ จึงแกล้งตีสีหน้า นิ่งเรียบและย้อนถามกลับไป

“ แล้วใครล่ะที่จะเหมาะสมไปยิ่งกว่าข้า ”
เรกกะ กล่าวทว่าทันที โครโน่ ผายมือไปให้กล้อง ไปจับภาพที่อีกคนซึ่งอยูข้างๆ
ทั้ง เรกกะ และ เฟนท์ ก็ได้แต่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

“ เรกกะ…เฟนท์ ตอนนี้ พี่ คือศัตรู ของน้อง ”
เสียงนี้คือเสียงของ เซน่า ไฮเดย์ พี่สาวของ เรกกะ และที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอนั้น
คือ ไอ ที่ควรจะตายไปด้วยแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ มาธิอัส เองก็อยู่ที่ตรงนั้นด้วย

“ พ…พี่ ”  “ ไอ ”
เรกกะ และ เฟนท์ เปรยออกมาพร้อมกันด้วยความไม่อยากเชื่อในสายตา
บุคคลที่พวกตนต่างคิดว่าสูญเสียไปแล้วได้กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเค้า ทั้งหมด

ขณะเดียวกัน กำแพงพลังงานที่ปิดกั้น ทวีปเมอริเซีย มากว่าสองร้อยปีนับจากมหาสงครามแห่งเทอร่า
ได้สลายตัวลง พร้อมกับ เผยให้เห็น แผ่นดินและผืนน้ำที่คงรูป อยู่กลางอากาศกำลังลอยตัวขึ้นสูงจากพื้นผิว

ทวีป เมอริเซีย ทั้งทวีป กำลังลอยขึ้นไป พร้อมกับ อิคดราซิล ต้นที่ 7 ซึ่งเป็นของเมอริเซีย ได้เปล่งแสงขึ้น
และพร้อมจะประสานเสียงกับ ต้นอื่นๆที่ทวีปอื่นทั้งหมด


โปรดติดตามตอนต่อไป

Neat Saga

หากมนุษย์ ประกอบขึ้นด้วย ความปราถนา เวลา และ ความรู้สึก
แล้วเหตุใด ความปรารถนาจึงไม่สมหวัง เวลาจึงมิอาจหยุดรอ และ ความรู้สึกกลับถูกเมินเฉย

“ เซน่า ไฮเดย์ ผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์คนสุดท้ายแห่ง ทวีปเมอริเซีย ไม่สิตอนนี้เธอคือผู้นำสูงสุดของเรา
ตามแผนการณ์ของ อิสฮาน เจ้าหญิงแห่ง Valhala แผ่นดินสวรรค์อันเลื่อนลอยนี้ ”

“ พี่จะเป็นคนหยุดน้องเอง แม้การสังหารจะจำเป็นก็ตาม… ”

“ ผมจะเป็น ดาบที่คอยฟาดฟันศัตรูและความอ่อนแอ่ของเค้า R2 เธอก็ช่วยเป็นโล่ให้เค้าปกป้องเค้าด้วย ”

“ พอแล้วจะไม่ดีกว่าเหรอ นายน่ะทำดีที่สุดแล้ว…ไม่ต้องฝืนหรอก เพราะคนสุดท้ายที่จะอยู่กับนายคือฉันเอง ”


ความสับสน ทางเลือก เวลา คำตอบ….ม่านแห่งการตัดสินได้เปิดออกแล้ว Next Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ

เรกกะ เจ้าจงก้าวข้าม ชีวิตที่เป็นอมตะ และ เวลา ที่เป็นนิรันด์ไปสิ ข้างหน้าสิ่งที่รออยู่ คือ ห้วงแห่ง คาออส
จงเป็นดั่ง ผู้สร้าง จงเป็นพระเจ้า….


บทนี้ ปมหลายอย่างเปิดเผยแล้ว เริ่มด้วยชื่อ อาเจ๊ R2 ของเราไม่นึกเลยว่า เจ๊ จะมีเรื่องเศร้าแบบนี้
T_T ตำนานบางอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นแฮะ จากภาคแรกตำนานของ ทาลิวิลย่า
เป็นต้นกำเนิดของตระกูลซาราเบลด ส่วนที่มาของ ดาบมาคายาเดีย ยัง…เอ่อไม่พูดดีกว่า
เศร้าอ่ะ เนี่ยนะดาบวิเศษแห่งตำนาน ของอัศวินมังกรผู้เกรียงไกร นี่มานอะไรกานน

เรื่องที่สอง คืนชีพกับโผล่กันมา แบบนี้ ตกลงเรื่องนี้มันยังไงเนี่ย ที่สำคัญรอดกันมาได้ไง
พวกแกเป็น อานิม่า กันหมดเร้อ ยิ่งหนู ไอ เรกกะ เป็นคนลงมือฆ่าเอง ไหงไม่ตาย
เป็น งง อีกอย่าง คิดว่าคงลืมลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ เรกกะ กับ ซานไป
เลยไม่ได้รู้กันเลยว่าสองคนนี้เค้าเป็นยังไงกันมาแน่ เพราะดันซูมไปที่ เฟนท์ เต็มๆ

เรื่องที่สาม หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เรกกะ เฟนท์ ไปทำอะไรกันม้าาาา ไม่เชื่อหรอกว่าแค่ไปบุกสภามังกร
ทำไมดูสนิทชิดเชื้อเชื่อฟังกันดี ทั้งที่ตอกก่อนๆยังแค้นจะฆ่าจะแกงกันให้ได้ อันนี้คงต้องรอต่อไป

เรื่องที่สี่ คิดไงกับการเปลี่ยน look ของ เฟนท์ และ เรกกะ มั่งส่วนตัวผมคิดเองนะว่า
มันสวยดีอ่ะ แต่เฟนท์ นี่หน้าออกเกย์ไงมะรุ คิดไปเองอ้ะเปล่าเนี่ย

เรื่องสุดท้าย ตอนต่อไป ศึกหนักละสิ (ของคนเขียนนะ) เรกกะ เอ๋ยนายกะลังจาทำอาไรอ่า
ครองโลกเหรอ ภาพพจน์ อัศวินยึดมั่นคุณธรรมแตกเพล้งเป็นชิ้นๆ หลังๆ เรื่องนี้ตัวเอกมันชักจะเลวลงๆ
แล้วสิเนี่ย เฮ้อจบดีกว่า เตรียมไปเขียนบทที่ 19 ต่อละ

ป่ะ ถอนสมอ ติดเครื่องออกเดินทางได้  (ออกทะเล ซ่า……ซ่า….ซ่า….)


เกือบลืม ภาพโปรโมท ภาคสามเอาไปยั่วน้ำลายก่อนเน้อ

(http://images.temppic.com/26-04-2009/images_vertis/1240723670_0.78212900.jpg)




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: boy on April 26, 2009, 07:04:56 PM
น่าน D.N.Angel   ::010::

เรกกะ...ทำไมนายทำอย่างงี้  พระเอกน่ะ เลวบ้างสะใจดีแต่เลวตอนจบไม่เพอร์เฟ็คนะเรกกะ -*-

หนู R2 เป็นไงล่ะ  ไปป่วนงานพิเศษของเรกกะเค้า แฟนตายเลย  ::008::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: Gee on April 26, 2009, 07:09:57 PM
ง...งั้น ไอ้ภาพนั่นที่หนูเห็น ก็ใช่อย่างที่หนูคิดจริงๆอ่ะดิ กรี้ดดดดดด อยากจะร้องซะให้ตาย
หนู นิวะ คุง จะมาแปลงร่างเป็น ทาลิวิลย่า เหรอเนี่ยแถมลากคู่เกย์มาด้วย  ::010::เหอะๆ

ให้เดานะ ไอ้หัวดำที่อยู่ข้างซ้ายของภาพคือ ดาร์ค ใช่มะ ส่วนข้างขวาสุดหัวทอง ครัด
แล้วไหง หนูได มีสองง่า ว่าแต่ทำภาพออกมาได้ไงนิ เกือบเหมือนๆ




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: greamon on April 26, 2009, 07:17:02 PM
Quote
น่าน D.N.Angel
Quote

ง...งั้น ไอ้ภาพนั่นที่หนูเห็น ก็ใช่อย่างที่หนูคิดจริงๆอ่ะดิ กรี้ดดดดดด อยากจะร้องซะให้ตาย
หนู นิวะ คุง จะมาแปลงร่างเป็น ทาลิวิลย่า เหรอเนี่ยแถมลากคู่เกย์มาด้วย  เหอะๆ

ให้เดานะ ไอ้หัวดำที่อยู่ข้างซ้ายของภาพคือ ดาร์ค ใช่มะ ส่วนข้างขวาสุดหัวทอง ครัด
แล้วไหง หนูได มีสองง่า ว่าแต่ทำภาพออกมาได้ไงนิ เกือบเหมือนๆ

เฮ้ยเดี๋ยวไม่ช่าย ใครว่าเรื่อง d.n.angel จะมาอยู่ในทาลิวิย่า ชื่อ d.n.a.น่ะ
เป็นคำย่อไม่ได้มา จาก disuke niwa angel นะขอร้าบ แต่มาจาก dragoon nox Age

(ยุคมืดอัศวินมังกร) ว่าแต่ไอ้ D.N.Angel เนี่ย เรื่องไรอ่ะมะเคยดูเคยแต่
ภาคสามกะจะเขียนแหวกแนว เนื่องจากนิยม พระเอกเลวขึ้นมา เลยจะเอาเป็นไม่เป็นอัศวินละ
 เป็นโจรดีกว่า
55+ จะได้ไปทำงานกะหนู R2 ไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ เรกกะ ส่งเค้กมาซะดีๆ

ขออภัยนะ ไม่เคยดูเรื่องนี้เลยจริงๆ แค่ทำภาพออกมาตามอารมณ์ บวกชื่เรื่องมันจะยาว เลยย่อเอา ::010::
(แถ สุดชีวิต ที่จริงเค้ารู้กันให้ทั่ว สารทิศ แล้วว่าพี่ชอบการ์ตูนแแนวนี้)




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: cocka-c on April 26, 2009, 07:28:42 PM
ปากบอกไม่เคยดูแต่ไหง รู้ชื่อตัวเอกซะครบทุกตัวอักษรเลย  ::019::

ตกลงนี่ นี่ วาการุรุม่อน กับ ปิโยม่อน เค้าเอาจริงดิ
งี้ถ้าเอามาเรียงมันจะเป็นแบบนี้แล้วนานิยายพวกเราน่ะ

1 Legend of the Thaliwilya =Digimon เป็นแกนหลัก

2.Legend Thaliwilya of the Arimathea  = Code Geass เป็นแกนหลัก คู่กะ Gundam 00

3.Legend D.N.A. of Thaliwilya  = D.N.Angel เป็นแกนหลัก

4.War of Actor in terra  = Kamen Rider Kabuto (มารค์ไรเดอร์คาบูโตะ
กับพระเอกท่าชี้นิ้วขึ้นฟ้าสโลแกนคุณย่าเคยบอกไว้)

5. Multi Armor Actor V.O.W. กับ E.E.  = Gundam Seed Destiny+
 Mamotte Lollipop

6.Summonner VR!  = Negima + Yugi-oh +  Lylical Magical Nanoha+Pokemon+Rockman EXE  (อันนี้เยอะง่ะ)



ตายล่ะหว่าไหงพอมาดูๆมันเละเทะเงี้ย แต่พออ่านๆดูไหมมันสนุกได้หว่า ยังงกะตัวเอง
นี่ข้อมูลลับสุดยอดเลยนะเนี่ย (ตรงไหน)


 


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: ginn on April 26, 2009, 11:29:59 PM
เรกกะเปนคิงแล้วๆๆๆๆๆๆๆ



ปล.เหอะๆ

ทาลิวิลย่าไตรภาค

ป๋าสตีเว่น สปีลเบิร์กน่าจะเอาไปทำหนังได้แล้วนะ


5555



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: greamon on April 27, 2009, 04:43:06 PM
เอาฟะ ไหนๆความแตกแล้ว(อุตส่าห์ไม่เขียนลงไปตรงๆดันมีคนรู้จักเรื่องนี้อีก เรื่องตั้งเกือบ10ปีได้มั้ง)

ชื่อเต็มๆ Legend Daisuke Niwa Angel of Thaliwilya

เป็นไงล่ะ เหอๆเดี๋ยวพอจบครบไตรภาค ก็เตรียมพบกับการยำใหญ่นิยายตัวเอง
กับ Thaliwilya  Triangle Dragoon ป่ะเลยเป็นงิ น่าสนนะเนี่ยเหอๆ

เ้อ้า ภาพเปรียบเทียบความเหมือน

(http://www.cdjapan.co.jp/anime/essentials/dnangel/img/main.jpg)


(http://images.temppic.com/26-04-2009/images_vertis/1240723670_0.78212900.jpg)


สังเกตุคนผมแดงดีๆ มันคือ......ตัวเอกภาคถัดไป 555+

แหม่อุตส่าห์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นไม้ตายไม่เคยงัดออกมาใช้ สุดท้ายตกม้าตาย
ตรงนิทาน Ice and Snow ในเรื่องของมันเนี่ยแหละ ไม่รู้ป้า R2 จะทำอ่าไรดี บทน้อยขิงๆ

กะเลยจับป้าแกเปลี่ยนเป็น ฟรีเดอทร์  จับลอว์เรนซ์ พันปีก่อนเป็น เอเรียต แล้วเอาไปปนกะ โคดกีอัส
งามแท้ๆช่างเป็นงานศิลป์ ที่ชวนจิตตกมากมาย เหอๆเปรียบไปได้นะฉาน

เอาเถอะ เรกกะ มาเลวตอนปลายแบบนี้ก็ดีนะ เพราะที่แล้วมาประมาณครึ่งเรื่องก่อนค่อนข้างไร้สาระ
ยังไม่มีฉากเรียกน้ำตาซักกะหยด ว่าแต่ภาคที่แล้วก็ทีแล้วนิหว่า สดใสต้นๆแล้วมาหดหู่เอาตอนปลายๆ

มุขพระอาทิตย์ขึ้นนะเนี่ย ลูบหลังแล้วตบหัว เหอๆ หลอกให้คนอ่านโล่งไปกับเนื้อเรื่อง
แล้วจับกระชากน้ำตาตอนท้ายๆ (ฮา)

ช่างเถอะว่าแต่ บทที่ 19 ขอเตือนก่อน ผู้ที่สุขภาพตาไม่ค่อยดี แนะนำอ่านทีละน้อยจะดีกว่า เพราะมันยาว
แถมอ่านไปต้องคิดไปไม่งั้นไม่รู้เรื่องนะเออ

งั้นไหนๆรีไพกระทู้ทั้งทีขอแถมมันส์ๆหน่อยละกัน

เริ่มด้วยใครเป็นใครใน Code Geass (เอาเข้าไป ::010::)

เรกกะ = ลู...
เฟนท์= สุ...
ซาน=คา...
โครโน่= ชไน...

แค่นี่อนละกันเหอๆ
 


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: Gee on April 27, 2009, 05:16:54 PM
อ่ะหุ จะรอ Get ภาพการ์ด นิวะคุง แบบรีมิกซ์ละกันนะค้า
โอม ภาค3 จงมาไวๆ

กรี้ดดดดดดดดดดดดดดด น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: boy on April 27, 2009, 05:26:30 PM
Hawwww~Omochikaeriiiiiiiiii   ::003::

ไดจังน่าร้ากกกกพลังเคะ  ::009::  อยากอ่านไวๆ

Quote
น่าน D.N.Angel
Quote

ง...งั้น ไอ้ภาพนั่นที่หนูเห็น ก็ใช่อย่างที่หนูคิดจริงๆอ่ะดิ กรี้ดดดดดด อยากจะร้องซะให้ตาย
หนู นิวะ คุง จะมาแปลงร่างเป็น ทาลิวิลย่า เหรอเนี่ยแถมลากคู่เกย์มาด้วย  เหอะๆ

ให้เดานะ ไอ้หัวดำที่อยู่ข้างซ้ายของภาพคือ ดาร์ค ใช่มะ ส่วนข้างขวาสุดหัวทอง ครัด
แล้วไหง หนูได มีสองง่า ว่าแต่ทำภาพออกมาได้ไงนิ เกือบเหมือนๆ

เฮ้ยเดี๋ยวไม่ช่าย ใครว่าเรื่อง d.n.angel จะมาอยู่ในทาลิวิย่า ชื่อ d.n.a.น่ะ
เป็นคำย่อไม่ได้มา จาก disuke niwa angel นะขอร้าบ แต่มาจาก dragoon nox Age

(ยุคมืดอัศวินมังกร) ว่าแต่ไอ้ D.N.Angel เนี่ย เรื่องไรอ่ะมะเคยดูเคยแต่
ภาคสามกะจะเขียนแหวกแนว เนื่องจากนิยม พระเอกเลวขึ้นมา เลยจะเอาเป็นไม่เป็นอัศวินละ
 เป็นโจรดีกว่า
55+ จะได้ไปทำงานกะหนู R2 ไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ เรกกะ ส่งเค้กมาซะดีๆ

ขออภัยนะ ไม่เคยดูเรื่องนี้เลยจริงๆ แค่ทำภาพออกมาตามอารมณ์ บวกชื่เรื่องมันจะยาว เลยย่อเอา ::010::
(แถ สุดชีวิต ที่จริงเค้ารู้กันให้ทั่ว สารทิศ แล้วว่าพี่ชอบการ์ตูนแแนวนี้)




<---แถ? /me ดึงด้ายแดงใส่  ::015::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: greamon on April 28, 2009, 02:41:06 AM
ว่าจะถามนานแล้วล่ะขอรับ ท่าน Gee ท่านเป็นใครเหยอ ทำแต่อันใดมา ไหงดูรู้จักนิยายข้าน้อยดีจัง
ทั้งที่เมมท่าน หยั่งกะพึ่งสมัคร (โพสแค่ 3 กระทู้ ::010::)
ช่วยตอบข้าน้อยที

ว่าแล้วนอกเรื่อง หน่อยทุกท่านคงเริ่มเอะใจสินะ ที่ D.N.Angel ทำใหม่ถึงพึ่งจะมีผลกระทบเอาตอนนี้
จะบอกว่าข้าน้อยเก็บงำมันไว้ก็ใขช่ที แล้วมันยัง..โป็กกก

การุรุม่อน: แล้วจะไปพูดวกวนเป็นนิยายให้คนอ่านเค้างงทำม้าย

อ้าวเหรอโทษที อารมณ์มันพาไป ที่จริงพึ่งรู้ตัวเหมือนกันนะเนี่ย ว่าเรื่องนี้มันได้รับ ผลกระทบจากเรื่องข้างบน
ไปตั้งกะแรกแล้ว จำ แมกกี้ กันได้มิ เจ้ามังกรน้อยผู้ที่มีบทใหญ่เกินตัวแต่ดัน บทน้อยอีก (ยังไงเนี่ย)
ถ้าเปรียบตอนที่มัน พาเรกกะ บิน ท่องท้องฟ้าเนี่ยมัน เอ่อ เจ้า Wiz ใช่มะ....ใช่ป่ะ เรกกะ


เรกกะ:ไม่รู้ว้อย ตอนนี้จะครองโลกก่อนไม่สน รุ่นพี่ลอว์เรนซ์ จะตามมาทำไมวะซีรี่ย์เนี้ย
มาแย่งบทข้อยบ่ได้ดอก 555+

เออนั่นสิเนอะ ลอว์เรนซ์ มาทำไมหว่า มาแล้วมันดูกากๆชอบกล ::010::
แถมไปเป็น ให้ เรกกะ อีก แล้วตกลง เจ้า เฟนท์ กับ เรกกะ พวกแก๊ไปทำอะไรกันมา ถึงได้สนิทขนาดนี้ เก๊าะ รอดูตอนต่อไปไงคร้าบ 555(มายั่วเขาอีก)

อีกประเด็น Dragoon Requiem มันคืออะไรหว่า อันนี้เก๊าะไม่พูดละ คงรู้อยู่แล้ว

ไปก่อนเน้อ






Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: greamon on April 28, 2009, 03:18:27 AM
Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ

12 ปี ก่อน

“ นี่…เรกกะ มาเล่นด้วยกันสิ ”
น้ำเสียงใสซื่อของ เด็กสาวผมสั้นสีทอง ดวงตาของเธอเป็นสีน้ำเงิน เธอกำลัง นั่งสานมงกุฎดอกไม้อยู่ในสวน
ดอกไม้ที่ปลูกขึ้นบนแปลงขนาดใหญ่ใน ห้องกว้างที่ผนังเป็นโลหะ แสงสว่างที่ส่องลงมาในตอนนี้เป็นแสงจาก

หลอดไฟ ที่ให้คุณสมบัติเหมือนแสงอาทิตย์ เพื่อเลี้ยงดูดอกไม้เหล่านี้ ขณะที่ เรกกะ ในตอนนี้มีอายุมากกว่าเธอ 5 ปี
กำลังยืนมองเธอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย และเย็นชา

“ นี่มาเล่นด้วยกันสิ..นะ เรกกะ ”
เด็กสาวที่เรียกเค้าเมื่อครู่วิ่งเข้ามาจูงมือเค้า ด้วยสีหน้างอแง จะให้เค้าไปเล่นกับเธอให้ได้
เรกกะ ที่ยอมตามเธอไป ก็เข้าไปในแปลงสวนดอกไม้ ก่อนที่ เธอจะคะยั้นคะยอ ให้เค้านั่งลง

เล่นกับเธอ และแล้วเธอก็นำมงกุฎ ดอกไม้ที่สานไว้สวมให้แก่ เขาก่อนจะยิ้มด้วยสีหน้าที่เบิกบานสดใส
ราวกับ ต้นฤดูใบไม้ผลิ

“ แบบนี้มันจะดีหรือครับคุณหนู เซน่า ”
เรกกะ กล่าวเสียงเรียบยังคงสีหน้าที่เย็นชาเอาไว้ ทันทีที่ เด็กสาวได้ยินเธอ ก็ตีหน้าบูดใส่ทันที

“ บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกคุณหนูน่ะ เรกกะ เป็นน้องของพี่นะ ต้องเรียกพี่สิ ”
เด็กสาว กล่าวน้ำเสียงง้องอน ซึ่ง เรกกะ เองก็รู้สึกตะขิดตะขวงเล็กน้อย ที่จะเรียกแบบนั้น

“ ค..ครับพี่ ”
เรกกะ กล่าวด้วยทีท่าที่นอบน้อม ซึ่งเด็กสาวนั้นยังไม่ค่อยพอใจ ที่ค้าทำตัวเหมือนกับเป็น
เบี้ยล่าง มากกว่าเป็น น้องชายของเธอ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยอมที่จะเล่นด้วยทั้งๆอย่างนั้น

“ งั้นวันนี้ เรามาเล่นเป็น เจ้าชายกับเจ้าหญิงนะ..พี่ให้ เรกกะ เป็นเจ้าชาย ส่วนพี่ก็จะเป็นเจ้าหญิงเอง ”
เด็กสาวกล่าว ด้วยหน้าที่ยิ้มแย้ม ขณะที่ เรกกะ พยักหน้ารับ และสวมมงกุฎดอกไม้ที่เธอมอบให้
เด็กสาว นั่งเล่นกับเค้า ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเบิกบานอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เค้านั้นตีหน้าสงบเสงี่ยม
เย็นชาราวกับตุ๊กตาที่ไร้หัวใจ

“ นี่เรกกะ…จู๊บบบบ ”
เด็กสาวเรียกเค้าก่อนจะยื่นหน้ายื่นปากเข้ามาใกล้ใบหน้าของเค้า ที่สุดแล้ว เรกกะ ที่เผลอตกใจ
จนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ก็ถอยจนล้มหงายลง ด้วยความผวา ใบหน้าของเค้าแดงระเรื่อ ด้วยความเคอะเขิน
ขณะที่ยันตัวลุกขึ้นมา

“ คุณห…เอ้ย พี่ครับเมื่อกี้จะทำอะไรน่ะ ”
เรกกะ กล่าวถามตะกุกตะกัก ก่อนที่เด็กสาวจะยิ้มน้อยๆให้เค้า

“ ก็เล่นเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายอยู่นี่ พี่เป็นเจ้าหญิง เรกกะ เป็น เจ้าชาย เจ้าหญิงต้องจุมพิตเจ้าชายเพื่อ
ถอนคำสาปไม่ใช่เหรอ ”
เด็กสาวกล่าวอย่างอารมณ์ ในขณะที่ เรกกะ ตีสีหน้าเอือมๆด้วยความหน่ายใจ

“ พี่ครับ…เจ้าชายต้องเป็นฝ่ายมอบจุมพิตต่างหาก แล้วก็คำสาปอะไรกันล่ะครับ ผมไม่ได้ถูกสาปซะหน่อย ”
เรกกะ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย แต่ทั้งๆอย่างนั้น เด็กสาวกลับยืนซึมไป

“ เป็นอะไรไปเหรอครับพี่ ”
เรกกะ ถามขึ้นด้วยความกังวลเมื่อเห็น เธอซึมไปเฉยๆ

“ มีสิ…คำสาปน่ะ…เรกกะ น่ะไม่เคยจะยิ้มเลยไม่ใช่เหรอ พี่ก็เลยคิดว่าน้องโดนคำสาปจากแม่มดใจร้าย
ก็เลยจะจุมพิต เพื่อถอนคำสาปน่ะ  ”
เด็กสาวกล่าว ด้วยสีหน้าซึมๆ วินาทีนี้ เค้าได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเด็กสาวที่ปฏิบัติกับเค้า
เธออยากให้เค้าแสดงอารมณ์ที่แท้จริงและ เป็นน้องชายของเธอจริงๆไม่ใช่หุ่นรับใช้ที่ไร้อารมณ์
ไร้ความรู้สึก

“ งั้นผมขอโทษนะครับ…พี่ จากนี้ไปผมจะพยายามยิ้มให้ได้จะต้องเป็นน้องชายของพี่ให้ได้ ”
เรกกะ กล่าวจบเด็กสาว ก็หันกลับมามองเค้าด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส

“ นี่ เรกกะเจ้าชายน่ะต้องปกป้องเจ้าหญิงใช่ไหม ”
เด็กสาวถามเค้า ซึ่ง เรกกะ ก็ผงกหัวเป็นเชิงตอบให้แก่เธอ

“ งั้นสัญญากับพี่ได้ไหม…ว่าน้องจะเป็นเจ้าชายที่คอยปกป้องพี่และรักพี่เหมือนในนิทานน่ะ ”
เด็กสาวกล่าว ถามด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสา แม้จะเป็นความคิดของเด็กๆ
แต่ในขณะนั้น มันนับเป็น คำพูดที่มีค่ากับเค้ามาก ตัวเค้าเป็นเพียง ชีวิตเทียมที่ ถูกสร้างขึ้น

 เพื่อให้คอยรับใช้ และดูแล เธอ ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้นำ ในกาลข้างหน้า ดังนั้นชีวิตของเค้า
จึงมีไว้เพื่อมอบแด่เธอ เพื่อคอยปกป้องเธอด้วยชีวิต โดยไม่มีการตอบแทนใดๆ หัวใจของเค้า

ราวกับถูกผนึกด้วยน้ำแข็งที่เย็นเฉียบ เมื่อรู้ว่าชีวิตของตนไม่มีค่า แต่เธอ เป็นคนที่ละลาย
น้ำแข็งและมอบความอบอุ่นให้แก่เขา

“ ครับพี่ ผมสัญญา ”
เรกกะ ตอบด้วยน้ำเสียงเต็มใจ ซึ่งดังออกมาจากหัวใจของเค้า เด็กสาวยิ้มตอบด้วย
ทีท่าร่าเริง ก่อนจะยื่นนิ้วก้อย ขึ้นมา

“ งั้นมาเกี่ยวก้อยสัญญากัน..นะ ”
เด็กสาวกล่าว ขณะที่รอให้เค้า ยื่นนิ้วมาเกี่ยวก้อยกับเธอ


“ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่หัวใจอันเย็นชาของเราได้มีความอบอุ่นแทรกเข้ามา….ฤดูใบไม้ผลิคงมาพร้อมกับเธอสินะ ”
เรกกะ คิดขณะที่ ยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวสัญญากับเธอ นับแต่วันนั้น เธอและเค้าต่างก็อยู่ร่วมกัน
ราวกับป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง เวลาได้ล่วงเลยไปแม้สำหรับเค้าที่เป็น อานิม่า จะเป็นเพียงช่วงเวลา

สั้นๆเพราะเวลาที่เป็นนิรันด์ของเขา แต่ช่วงเวลานั้นก็ทำให้เค้าแทบจะลืมไปว่าตนไม่ใช่มนุษย์
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนย่อมเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเค้านั้นกลับหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่มีเวลาหรือ

การเปลี่ยนแปลงใดๆสำหรับเขา แต่กระนั้น เด็กสาวที่เติบโตขึ้นเป็นพี่ของเค้าอย่างแท้จริง
 ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ยังคงดูแลเค้าราวกับเป็นพี่แท้ๆ  จนเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น
 ทำให้พวกเค้าต้องระเห็จหนีกันออกมา และมาอยู่ที่ โลกอส ใช้ชีวิตอยู่กันเพียงแค่สองพี่น้อง

ช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกันนี้ได้ผ่านเลยไป ราวกับมันจะอยู่ไปตราบชั่วนิรันด์ แต่แล้ว
โชคชะตาก็ยังคงเดินต่อไปมิได้หยุดลง แม้ความปราถนาของพวกเค้าจะหยุดลงที่ช่วงเวลา

นั้นหากแต่ เวลาก็มิอาจหยุดตาม ความปราถนาจึงมิอาจคงอยู่ได้ตลอดไป นั่นคือช่วงของชีวิต
เพราะไม่อาจสมปราถณาได้ทั้งหมด และไม่ยั่งยืนตลอดกาล ถึงต้องดิ้นรนไปข้างหน้าเพื่อไปให้ถึงอนาคตที่
ความปราถนา นั้นมีอยู่ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า มนุษย์ …..



……………………….


“ เรกกะ โครโน่ ได้เล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว แต่พี่อยากจะฟังจากปากของน้องเอง
ทั้งหมดที่ทำอยู่นี่ เป็นสิ่งที่น้องทำเพื่อพี่ใช่ไหม….. ”
เซน่า ได้ถามคำถามกับน้องชาย ของเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง ต่อหน้า เรกกะ ที่ได้แต่ตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อเห็นว่า เรกกะ นั้นยังไม่ตอบอะไร เธอจึงแน่ใจและเริ่มกล่าวต่อ

“ ทำไมกัน เรกกะ พี่เคยขอแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่น่ะขอแค่ได้อยู่กับน้องตลอดไปก็…. ”
“ เพื่อเธอเหรอ…หึ ”
ขณะที่ เซน่า กล่าวด้วยความอาวรณ์อยู่นั้น เรกกะ ก็แย้งขึ้นมาทันที

“ อย่าคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นสิ ผมน่ะไม่ได้ทำเพื่อพี่ ซักหน่อยที่ผมทำก็เพื่อตัวผมเอง
คนอย่างพี่ที่เอาแต่ยึดติดอยู่กับอดีต น่ะเป็นผู้ปกครองไม่ได้หรอก ”
เรกกะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา พลางตีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าขณะที่พูดอยู่นี้
มือทั้งสองข้างของเค้านั้น ก็ได้แต่สั่นระริก ที่ต้องโกหกพี่ของตน ขณะที่ เซน่า ได้แต่
อึกอึงกับคำตอบของ เรกกะ

“ หากพี่ยืนยันจะขวางผม…ผมก็จะกำจัดพี่ด้วย ”
เรกกะ ตะคอกจบก็ หันหลังให้ ก่อนจะเดินจากออกไป
โดยไม่แยแส ว่าตอนนี้คำพูดของเค้าได้ ทำให้คนที่เค้าเป็นห่วงเป็นใยที่สุดกำลังเสียใจ
ภาพบนมอนิเตอร์ได้ย้ายกลับไปที่ โครโน่ อีกครั้ง ขณะที่เค้ากำลังจะเดินออกไป

“ เรกกะ เจ้าบังอาจทำให้ท่าน เซน่า ต้องเสียใจ ทั้งที่ท่านไว้ใจเจ้าที่สุด ตอนนี้เจ้าแสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าคือคนทรยศ ”
โครโน่ กล่าวโดยเอาความจงรักภักดีมาเป็นเรื่องังหน้าเพื่อจะผลักให้ เรกกะ กลายเป็นศัตรูโดยสมบรูณ์
และตอนนี้การกระทำของเค้าได้แสดงออกไปสู่สายตาของประชาชนทั้งหมดแล้ว การ

กระทำของเค้าทั้งหมดที่แสดงออกมาในที่ประชุมนี้ทั้งการ แทรกแซงด้วยกำลัง
และข่มขู่ด้วยอำนาจของเค้าได้ทำให้เค้ากลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกไปแล้ว

“ อีก ไม่นานเจ้าจะได้รู้ซึ้งถึงพลังของ โอดิน แล้วเจ้าจะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด ”
โครโน่ กล่าวจบก็ตัดช่องการสื่อสารไป ขณะที่ เรกกะ เดินออกไปโดยโบกมือเป็นสัญญาณให้

เฟนท์ เดินตามแผนต่อ ไม่นานนัก กองทัพของเขาก็เข้าปิดล้อมที่นี่ได้สำเร็จและจับตัวบรรดาผู้นำ
ไปเป็นตัวประกัน ก่อนจะถอยกลับไปเพื่อเตรียมรับมือกับ Empyrean Adjust

“ เรกกะ นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ ”
ซาน ที่ได้แต่ มองยานของ เรกกะ และกองทัพถอนตัวกลับไป พร้อมกับตัวประกัน
โดยที่ สุซาคุ และ เฟรเซีย องครักษ์ ทั้งสองได้แต่ขบฟันอย่างเจ็บแค้นที่ไม่อาจปกป้อง
 นายเหนือหัวของตนได้

…………………..

“ ไม่นึกเลยว่าพวกมันจะแอบไปสร้างของใหญ่ขนาดนั้นเอาไว้ ในทวีปที่
เวลาปิดตายอย่าง เมอริเซีย ได้เลยนะเนี่ย ”
R2 กล่าวขณะที่ จอมอนิเตอร์บนยาน ไซเบอทิก้า กำลังฉายภาพของ แผ่นเมอริเซีย ทั้งทวีปกำลังลอยตัวขึ้น
โดยมี ปราการลอยฟ้า ซึ่งลอยตัวอยู่เหนือ มหาพฤกษา อิคดราซิล ที่กำลังเปล่งแสง อยู่


“ ขนาดของป้อมปราการ โดยเฉลี่ยแล้วสัดส่วนน่าจะยาวกว่า สามกิโลเมตร
วงรอบเกือบๆสองกิโลเมตรได้แน่ะ ”
เรโค่ ที่ติดต่อเข้ามาจาก ยานคอสมิกที่บินตามกันมานี้ โดยมียานลำเลียงของกองทัพ
ที่พาตัวพวก ผู้นำตามมาด้วยติดๆ

“ ที่น่าสนใจน่ะคือทำไม พี่สาวของนายถึงได้ไปเป็นพวกของมันได้ล่ะ ”
เซโร่ แทรกเข้ามา ซึ่งภายในห้องบังคับการของ ยานไซเบอทิก้า เรกกะ ยังคงช๊อกกับ
การสนทนากับพี่สาวของเขาที่ โรงเรียนอยู่ไม่น้อย ทั้งที่ตัวเค้าคิดว่าพี่สาวของเค้า
 คงจะหายสาบสูญไปแล้ว

“ ถ้ายังไง ตอนนี้ขอเวลาให้เค้าซักหน่อยก็แล้วกัน ไว้ไปสมทบกับทัพใหญ่ที่ แหลมคาดาร่า
ก่อนแล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที  ”
R2 กล่าวจบก็ตัดการสื่อสารไป ก่อนจะหันไปเพื่อคุยกับ เรกกะ

“ ไม่นึกเลยว่า มาธิอัส จะทรยศเรา ที่เค้าหายตัวไปพร้อมกับ พี่สาวนายก็เพราะแบบนี้สินะ ”
R2 กล่าวขณะที่กังวลกับ ท่าที ของ เรกกะ อยู่หน่อยๆ

“ เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ นายจะช่วยตอบพวกเรามาหน่อยได้ไหม ”
เฟนท์ ถามขึ้นขณะที่ R2 เขม่นไปที่เค้า ด้วยสายตาหงุดหงิดหน่อยๆ เพราะรู้สึกว่า ตั้งแต่ที่ เค้าได้รู้ว่า
ซาน และ ไอ ยังมีชีวิตอยู่ เค้ากับ เรกกะ ก็เริ่มมีท่าทีแปลกๆไป

“ ที่จริง เซน่ากับ ชั้น เราหนีออกมาจาก Empyrean Adjust เพราะความเปลี่ยนแปลง
ภายในองค์กร ช่วงก่อนที่พวกนายจะถูกปลุกจาก Cold Sleep โครโน่ น่ะคิดจะฮุบอำนาจ

ไว้คนเดียว และเพื่อการนั้นมันจึงได้ขับไล่ พี่เซน่า ชั้นที่ต่อต้านก็เลยถูกพวกมัน
ทำร้ายจนสูญเสียความทรงจำ แต่พี่ ก็พาชั้นหนีรอดออกมาได้… ”

เรกกะ กล่าวตอบขณะที่ปิดหน้าปิดตาด้วยมือขวาส่วนมือซ้ายปล่อยตกแกว่งอยู่
ท่าทีของเขาตอนนี้ สลดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ แล้วทำไมตอนนี้พวกนั้นถึงได้ มาเอาตัวพี่นายกลับไปซะล่ะ ”
เฟนท์ ถามต่อโดยไม่แยแสว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกเช่นไร แต่คิดว่าเพราะตัว เรกกะ อยากที่จะเก็บงำ
ทุกอย่างไว้เป็นความลับ ถึงต้องพบกับความทรมานเช่นนี้

 “ เซน่า ไฮเดย์ ผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์คนสุดท้ายแห่ง ทวีปเมอริเซีย ไม่สิตอนนี้เธอคือผู้นำสูงสุดของเรา
ตามแผนการณ์ของ อิสฮาน เจ้าหญิงแห่ง Valhala แผ่นดินสวรรค์อันเลื่อนลอยนี้ ”
เรกกะ กล่าวไปก่อนจะหยุดและเงยหน้าขึ้นมองทั้งสอง

“ ถ้าเป็นมันคงพูดแบบนี้ล่ะแต่ที่จริงเจ้า โครโน่ มันรู้แล้วต่างหากว่าการจะเดินระบบ แรคนารอค
ได้เต็มอัตราจะต้องใช้ รหัสพันธุกรรมของพี่ในการ เปิดระบบสูงสุด เพราะงั้นแล้ว มาธิอัส เองก็คง

จะทำข้อตกลงกับมันแล้วก็ สืบหาที่อยู่ของพี่จากชั้น พร้อมกับเอา โซลการ์ดมาให้ชั้น
โดยไม่บอกถึงอันตรายของการใช้เพื่อปิดปากชั้นซะแต่นี่คงอยู่นอกเหนือ

การคาดการณ์ของพวกมันเพราะชั้นยังไม่ตาย และกำลังจะเป็นภัยคุกคามพวก
มันถึงได้รีบเร่งเดินระบบนี้กันยังไงล่ะ ”

เรกกะ ตอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เค้ารู้ออกมาทั้งหมด ซึ่งมาถึงตอนนี้ R2 และ เฟนท์ก็พอจะตีความได้แล้วว่า
เซน่า ถูกเป่าหูจนเชื่อว่า เจตนาของ เรกกะ นั้นคือสิ่งที่ขัดกันกับความต้องการของเธอ

“ แล้วนายจะเอายังไงต่อ ”
เฟนท์ ถามขึ้น ทว่า เรกกะ เองก็ตื้อตันเกินกว่าจะตอบได้ในสภาพนี้ เมื่อเห็นว่า เรกกะ ยังนิ่งซึมอยู่
เค้าจึงเข้าไปกระชากคอเสื้อ เรกกะ ขึ้นมา

“ มาถึงขั้นนี้แล้วเราจะถอยอีกไม่ได้แล้วนะไม่ว่ายังไงนายก็ต้องทำให้ Dragoon Requiem สมบรูณ์ให้ได้
ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกที่ต้องสู้กับคนที่ไม่อยากสู้… ”
เฟนท์ ตะคอกใส่ ก่อนจะโยนร่างของ เรกกะ ลงไปกระแทกกับเก้าอี้ ซึ่ง เรกกะ
ที่ตอนนี้ตัวเค้าไม่มีกำลังใจจะทำอันใดอีกแล้วก็ได้แต่นั่งแหมะอยู่บนเก้าอี้

โดยรับสายตาย่ำยีของ เฟนท์ ไปก่อน
ที่เฟนท์ จะสบถด้วยความหงุดหงิด ขณะที่ออกจากห้องไป โดยมี R2 เดินตามออกมาด้วย

 “ ไม่คิดว่าพูดแรงไปหน่อยเหรอ ”
R2 ถามขณะที่เดินตามออกมา

“ ผมจะเป็น ดาบที่คอยฟาดฟันศัตรูและความอ่อนแอ่ของเค้า R2 เธอก็ช่วยเป็น
โล่ให้เค้าปกป้องเค้าด้วย ”
เฟนท์ กล่าวก่อนจะเดิน ตัดออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบของเธอ

“ เอาแต่ใจซะจริงนะ ”
R2 เปรยก่อนจะมองไปที่ประตูห้อง ที่ เรกกะ อยู่ข้างในนั้น เธอกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไรในขณะนี้


……………
…………………………

“ ท่าน เซน่า โปรดอย่าเสียใจไปเลย ตอนนี้ท่านต้องยืนหยัดเพื่อสันติของ ทุกคนนะขอรับ ”
โครโน่ กล่าวปลอบ เซน่า ที่ยังคงช็อกกับคำตอบของเรกกะ อยู่บ้าง ในตอนนี้ที่มือของเธอ
ถืออุปกรณ์ที่คล้ายกับแท่งคริสตัล ซึ่งมีปุ่มกดติดตั้งอยู่

“ คือกุญแจอามาเกดโดน นี่ถ้ากดลงไปแล้ว จะทำให้อีกหลายชีวิตต้องสาบสูญไปใช่ไหมคะ ”
เซน่า ถามซึ่งโครโน่ ก็พยักหน้ารับว่าที่เธอรู้นั้นถูกแล้ว

“ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะขอเป็นคนถือเจ้าสิ่งนี้ไว้เอง เพราะตัวฉันนั้นไม่สามารถที่จะ
ทำสิ่งใดได้เลย ดังนั้นฉันจะขอเป็นคนแบกรับบาปนี้ไว้เองค่ะ ”
เซน่า กล่าวหลังจากที่เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า หากนี่คือสิ่งที่จะหยุด เรกกะ ได้
แม้จะต้องสูญเสียกันอีกมากมายซักเพียงใด เธอจะขอเป็นคนที่แบกรับมันไว้เอง

“ ท่าน เซน่า ความรับผิดชอบนี้ใหญ่หลวงนักท่านจะรับมันไว้แน่หรือ ”
โครโน่ กล่าวถามถึงความรู้สึกของเธอเพื่อเป็นการย้ำให้กับใจของเธอ
ยามที่เวลานั้นมาถึง

“ ค่ะนี่ก็เพื่อสิ่งที่พวกคุณพ่อตั้งใจเอาไว้…เพื่อสันติของทุกคน ”
เซน่า กล่าวอย่างมั่นใจที่จะแบกรับ บาปอันยิ่งใหญ่นี้

“ พี่จะเป็นคนหยุดน้องเอง แม้การสังหารจะจำเป็นก็ตาม… ”
เซน่า คิดและตัดสินใจแล้วว่าเธอจะไม่ลังเลอีก ต่อไปยามที่ต้องเผชิญหน้ากับ เรกกะ
ขณะที่ โครโน่ มองเธอด้วยสายตาแฝงเลศนัย ก่อนที่ พวกเค้าทุกคนจะขอตัว แยกกันไป

จัดการธุระของแต่ละคน และให้เธอรอ อยู่ภายในสวนแปลงดอกไม้
ที่เธอเคยเล่นด้วยกันกับ เรกกะ ในสมัยเด็กๆ ซึ่งภาพความทรงจำในตอนนั้นมันได้ผุดขึ้น
มาเมื่อครั้นที่เธอกลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง

“ เรกกะ ”
เซน่า เปรยด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจ

…………………..
………………………….

“ กองกำลังมังกร ที่เจ้าต้องการกับรหัสเดินเครื่องระบบ แรคนารอค ข้าก็ทำให้ตามที่สัญญาแล้ว…แล้วทำไม
เจ้าถึงไม่รักษาสัญญา ที่ว่าจะไม่ลาก ท่าน เซน่า มาเกี่ยวด้วยล่ะ ”
มาธิอัส กล่าวถามด้วยโทสะ ที่ โครโน่ ผิดสัญญากับเขา ทว่ายังไม่ทันที่เค้าจะได้ทำอะไรต่อไป
ลูกศรลำแสง สามดอกก็พุ่งทะลวงร่างของเค้าจากด้านหลัง จนล้มลงแน่นิ่งในพริบตา



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: greamon on April 28, 2009, 03:22:17 AM
“ ทำได้ดีมาก ผิง  ”
โครโน่ กล่าวชมขณะที่ ผิงสมาชิกทีมของ หลีเมย่ ซึ่งเป็นผู้ยิง ธนูมา
กำลัง เดินเข้ามาสมทบพร้อมกับ หลีเมย่ และ หลง สมาชิกทีมอีกคนของเธอ โดยมี ฮายาเตะ ตามาคนสุดท้าย

“ โอดิน พร้อมจะยิงแล้วค่ะ ”
ฮายาเตะ กล่าวจบ โครโน่ ก็ยิ้มขึ้นมาด้วยความกระหยิ่มในใจ ก่อนจะเอา วิทยุ ขึ้นมาแล้วต่อสายไปยัง
 ห้องของ เซน่า

“ ท่านเซน่า ขอรับเราเตรียมการพร้อมแล้วขอรับ ”
เสียงของ โครโน่ ดังขึ้นก่อนที่ เซน่า จะตั้งนิ้วขึ้นไว้บนปุ่มกด พร้อมกับพยายามจะลบเลือน
ความหลังทั้งหมดที่ผุดขึ้นมาเมื่อมาถึงสวนแห่งนี้ ไปกับการกดสวิตซ์ ที่จะพลิกโฉมหน้า

ประวัติศาสตร์ได้ในคราเดียว ทันทีที่ ปุ่มถูกกดลงไป มหาพฤกษาอิคดราซิล
ที่ใต้ปราการ นี้ก็หยุดเปล่งแสงก่อนที่แสงทั้งหมดจะไปรวมกันที่ ยอดแหลม ของปราการลอยฟ้า

 Valhala(ว่ากันว่าเป็นที่พักพิงของเหล่านักรบแห่งโอดิน) ก่อนที่ อิคดราซิล ที่ทวีปคาดาร่า
จะเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น ต่อมากองทัพขนานใหญ่ของ สหประชาคมโลกที่ เรกกะ สั่งให้มารวมกันเพื่อจะเปิดศึกกับ

Empyrean Adjust ที่แหลมทวีปคาดาร่า ก็ถูกลำแสงที่พุ่งขึ้นมาจาก อิคดราซิล
กลืนกิน จนหายไปในพริบตา ไม่เหลือแม้ร่องรอยว่า เคยมีกองเรือ และทัพศึกมากมายมหาศาล

อยู่ ณ ที่ตรงนี้ และแม้ กองทัพจะหายไปทั้งกอง แต่กลับไม่เกิดความเสียหายใดๆ แก่
พื้นที่บริเวณนั้นเลย เพียงแค่กองทัพของ เรกกะ เท่านั้นที่สลายหายไป

“ นี่ล่ะคือพลังของพระเจ้าพลัง ที่จะลิขิตทุกอย่างให้อยู่หรือไปได้อย่างอิสระ ลำแสงแห่งOdin ”
โครโน่ เปรยหลังจากที่ได้ดูผลอันเป็นที่น่าพอใจ จากมอนิเตอร์ ในห้องที่เค้าใช้จับตาดู เทอร่า มาตลอด

“ และด้วยป้อมปราการลอยฟ้า Valhala ที่ ยกทวีปเมอริเซียทั้งทวีปขึ้นมา นี้จะเป็น
ฐานป้องกันให้แก่เรา อย่างหนาแน่น ”
หลีเมย่ สำทับความต่อให้อีกที

“ จากนี้ไป Valhala จะลอยตัวสูงขึ้นจนถึงจุดเหนือชั้นบรรยากาศ เมื่อถึงตรงนั้นจะไม่มี
พาหนะใด ตามขึ้นมาได้และเราจะสามารถเชื่อมต่อกับ อิคดราซิล ทั้งหมดที่เหลือได้ซึ่ง
นี่ก็คือ แผนการ แรคนารอค(Ragnarok)  ”
ฮายาเตะ อธิบายแผนการทั้งหมดที่พวกเค้าวางมาอย่างเนิ่นนาน

“ แผนการของ อิสฮาน คือการทำให้เทอร่า รวมเป็นหนึ่งโดยการแทรกแซงด้วยกำลัง
จากนั้นเก็บรวบรวม God Send ซึ่งเป็นแกนพลังงานของระบบ แรคนารอค และใช้พลังของ

โอดิน กำราบความแข็งข้อของ เทอร่า ที่รวมเป็นหนึ่ง ให้จบลง และให้พวกเรา อานิม่า ที่มีชีวิตนิรันด์
ปกครอง เทอร่า ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นไปตลอดกาล นั่นก็จะเป็นสันติสุขที่แท้จริง

เพื่อให้แผนการนี้สำเร็จ จึงได้มอบ
 ทั้ง Valhala แทนประเทศ ลำแสงOdin แทนอำนาจ และ ฮูกีนมูนีน แทนปัญญา ”

โครโน่ กล่าวขณะที่ตอนนี้ ห้องที่มืดสนิท มาตลอดโดยมีเพียงแสงไฟจาก
จอมอนิเตอร์ประปรายเต็มห้องเท่านั้น ได้สว่างขึ้นจนเห็นสภาพของห้องทั้งหมด
แกนกลางของห้องเป็น เสาสูง ที่ซึ่งเก็บรบรวมข้อมูล และรักษาระบบประมวลผลอัจฉริยะ
 ฮูกีนมูนีน เอาไว้

“ อิคดราซิล ของ ทวีปโทร่า ที่จมไปจากการแทรกแซงของ ราฟ กำลังเริ่มเชื่อมต่อกับ อิคดราซิล ของเราแล้วค่ะ ”
ฮายาเตะ รายงานสถานะทั้งหมดจากการที่เธอสามารถติดต่อดดยตรงกับ ฮูกีนมูนีน ได้

“ ตอนนี้เท่ากับเราครอบครองไปได้ 2 ใน 7 ของเทอร่าแล้วสินะ เหลืออีก 5 ต้นก็จะครอบครองได้ทั้งหมด  ”
โครโน่ เปรยอย่างพึงพอใจ ต่อแผนการที่เดินหน้าไปได้ด้วยดี

“ เอาเถอะถึงตอนนี้ พวกแกจะมาชั้นก็มี เซอไพร์ ไว้รับมือพวกแกอยู่แล้ว ”
โครโน่ คิดขณะที่ ชายตามองไปยังมอนิเตอร์ หนึ่งซึ่งกำลังฉายภาพการ
เข้าร่วมกันของ กองทัพ สหพันโลก ที่นำโดย สุซาคุ และ เฟรเซีย ซึ่ง

สิ่งนี้จะเป็นกองหนุนให้แก่เขา ได้อย่างแน่นอน อีกทั้ง ซาน และ ไอ
ตอนนี้เท่ากับว่าพวกเธอตกอยู่ในมือของเค้าแล้ว ดังนั้น เฟนท์ จึงไม่ใช่ปัญหา
สำหรับเค้าอีกต่อไป 

………………..
…………………..

“ แย่แล้วล่ะ เมื่อกี้จับสัญญาณพลังงานมหาศาลไว้ได้มันปรากฏขึ้นตรงจุดรวมพละกำลังพอดีเลยลองเช็คดูน่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่ ยูปี้ กำลังง่วนอยู่กับแผงควบคุมเพื่อนำภาพสิ่งที่เกิดขึ้นฉายบนจอของยาน คอสมิคแสวน
ภาพที่ปรากฏขึ้นคือ บริเวณจุนัดหมายนั้นว่างเปล่าไม่มี กองกำลังหรือใครอยู่ตรงนั้น ทั้งที่ไม่ได้เกิด
ความเสียหายในบริเวณรอบๆเลยแม้แต่น้อย

“ อะไรกัน ที่ตรงนั้นป่านนี้มันน่าจะมีกองกำลังไปรวมกันตั้งมากมายแล้วนี่…แต่ทำไมถึงได้ไม่มีใครเลยล่ะ ”
อิจิกิ ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ ยูปี้ ลองประสานระบบย้อนเวลาเข้ากับกล้องที ย้อนกลับไปก่อนที่ พลังงานที่เาจับได้ จะหายไปซัก 10 วินาที ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบ มังกรภูต ยูปี้ของเขา ก็จัดการกดแผงควบคุมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ภาพบนจอ
จะเริ่มเปลี่ยนไป ภาพของ กองกำลังขนาดใหญ่ มากมายมหาศาล ที่มารวมกันในจุดนั้น กำลังถูกแสงสว่างที่
พุ่งตรงมาจาก อิคดราซิล ของทวีปคาดาร่า ได้เข้ามากลืนกินกองทัพทั้งหมดให้หายไปในพริบตา

“ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นก่อนที่เราจะรู้ตัวด้วยซ้ำ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าว ขณะที่ เซโร่ และพวกได้แต่อ้ำอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ แบบนี้มันไม่ใช่สงครามแล้ว…. ”
เซโร่ สบถพลางทุบกำปั้นลงกับโต๊ะข้างๆ พลังอำนาจของ ลำแสงOdin เป็นสิ่งที่ยากเกินรับมือหาก
มันถูกยิงมาอีกครั้ง พวกเค้าคงจบลงจริงๆ

“ นี่ชั้นมีเรื่องจะถามหน่อย ”
เสียงของ เฟนท์ ดังขึ้นก่อนที่ภาพของเขาจะถูกนำขึ้นจอ

“ นี่ตอนนี้เรามีสถานการณ์จะรายงานหน่อย เรกกะ เป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวโดยพยายามจะรายงานถึงเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

“ เรื่องนั้นเอาไว้พูดกับเค้าเองดีกว่า แต่ชั้นมีเรื่องจะถามพวกนาย สามคนนั้นหน่อย ”
เฟนท์ กล่าวพร้อมชี้ผ่านทางจอ ไปที่พวก เซโร่

“ ตอนที่ ชั้นอยู่ข้างในที่ประชุม ในภาพที่ โครโน่ ส่งมานอกจาก พี่เซน่า แล้วไอ ก็อยู่ตรงนั้นด้วย
 และชั้นก็เห็นดวงตาของเค้า เรืองแสงหน่อยๆเหมือนกับถูก Genesis ควบคุมอยู่
พวกนายเคยบอกใช่ไหมว่า Genesis พวกนั้นเป็นพลังที่พวกนายเองก็ใช้ได้ ”
เฟนท์ ถามซึ่ง เรโค่ เองก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้จอ เพื่อที่จะคุยกับเขา

“ หมายถึงไอ เลมูเรีย สินะ ที่จริงเธอไม่ได้ถูกควบคุมด้วย Genesis หรอกแต่เป็นพลังของเธอเอง
Genesis น่ะเป็นพลังเฉพาะตัวบุคคล ที่มีมาแต่กำเนิด หากแต่การจะปลุกพลังนั้นขึ้นมา จำเป็นต้อง

ปลดเงื่อนไข ของมันให้ได้ซะก่อน ยกตัวอย่าง ลูเทเซีย ที่มี Genesis ในการอ่านใจ
 เงื่อนไขการปลุกพลังก็คือความแค้นด้วยความแค้นของหมอนั่นที่

มีต่อราชวงศ์ ก็เลยทำให้ Genesis ตื่นขึ้น คิดว่าของ ไอ ก็
อาจเป็นความแค้นด้วยเหมือนกัน แต่เดิมพลังของพวกเค้าคงไม่ตื่นขึ้นง่ายๆหรอก
แต่เพราะพวกเราใช้พลังกระตุ้นมันอีกที ”

เรโค่ อธิบายอย่างช้าๆขณะที่ เฟนท์ เองเริ่มจะคิดแล้วว่าสาเหตุที่ ไอ เป็นอย่างที่เค้าได้
เห็นจากตอนที่ แลกเปลี่ยนความทรงจำกับ R2  นั้นเพราะความแค้นของเธอที่มีต่อ Empyrean Adjust
 ทำให้เธอเป็นแบบนั้น

“ เดิมที ไอ น่ะไม่ใช่มนุษย์แต่เป็น ชาวเลมูเรีย เธอถูกนำมาทดลองตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อใช้ Rider System
ในการต่อกรกับ อาคูม่า ที่เคยรุกราน นิคโคอุ หลังจากพวกมันถูกผนึกไป โครงการนี้จึงล้มไป

และเธอที่เป็นเพียงอาวุธ ก็เลยต้องถูกกำจัด แต่ว่าเรา ไปขอ มิโกะ ของนิคโคอุ ในการไว้ชีวิตเธอ
แล้วก็ให้ เรโค่ ผนึก Genesis ของเธอ ให้นำพลังออกมาใช้ยามที่ต้องจัดการกับ อาคูม่า ”

เซโร่ เล่าต่อจากนั้น เพื่อทำให้เรื่องเริ่มกระจ่างขึ้นไป

“ เดิมที Genesis ของ ไอ คงเป็น การเอาชีวิตรอด แต่เพราะเธอถูกจับทดลองมาหลายต่อหลายครั้ง
เพราะฉะนั้นอะไรรอบตัวเธอก็คือ สิ่งที่อันตรายทั้งนั้นสำหรับเธอ ทำให้เธอเป็นอันตรายกับ

 คนรอบข้างได้ ดังนั้นเราจึงต้องผนึกความทรงจำของเธอ ไปพร้อมกับ Genesis นั่นด้วย
เพราะเมื่อมันทำงานจะเพิ่มสมรรถนะให้แก่เธอเพื่อเอาชีวิตรอด ”

อิจิกิ ตอบต่อจาก เซโร่ อีกหน

“ ให้ สรุปง่ายๆ Ganesis ไม่ใช่พลังวิเศษ ที่รับมอบมาแต่มันคือ ปฏิธานที่แรงกล้าของ มนุษย์ที่ถูกกระตุ้นให้
มีตัวตนขึ้นมาในรูปของพลัง เหมือนที่ R2 เองได้รับการกระตุ้นจากการผนึกพลังของ อัลคารากอน

ทำให้ Genesis ของเธอตื่นขึ้น เป็นการถ่ายทอดความทรงจำให้แก่ผู้อื่นได้ ส่วนที่เธอเป็นอมตะก็คง
เพราะพลังของ รหัสคาทราโทฟี นั่นล่ะ ดังนั้น Genesis จึงไม่ใช่อะไรที่จะมอบให้กันได้  ”

เรโค่ กล่าวจบ เฟนท์ จึงเข้าใจได้ถึงเรื่องทั้งหมด ในทันที

“ บางที ตอนนั้น โครโน่ อาจจะเป็นคนคลายผนึกออก พอความทรงจำของเธอกลับมา บวกกับเธอ
ได้รู้ว่า เราเป็น Valkyrier ฆาตกรที่ พรากชีวิต พ่อบุญธรรม ที่เธอรักไป เธอก็เลย… ”
เฟนท์ คิดอยู่ในใจด้วยความรู้สึก เวทนาเมื่อคิดถึงความรู้สึกของ ไอ ในขณะนั้น
มันคงไม่แตกต่างไปจากตอนที่เค้าได้รู้ว่า คนที่ฆ่าพี่ของ เค้าจริงๆคือ ไอ

“ ถ้าอย่างนั้น พลัง Genesis ของ เรกกะ ก็อาจตื่นขึ้นเพราะถูกกระตุ้นจาก ทั้งพลังของ ทาลิวิลย่า แล้วก็ รหัส
คาทราสโทฟี ที่ถ่ายทอดมาส่วนหนึ่งในตอนนั้นสินะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวเมื่อได้กระจ่างในสิ่งที่เค้าสงสัยเกี่ยวกับ พลัง Genesis ของ เรกกะ

“ จริงสิ เรื่องรายงานเกือบลืมไปเลย เดี๋ยวชั้นจะส่งข้อมูลไปให้ ตอนนี้เรา ต้องหยุดขบวนรบเพื่อวางแผนก่อน ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็ ตรงไปที่แผงควบคุมก่อนจะ รัวแป้นบนแผง เพื่อส่งข้อมูลที่พวกเค้ามีไป

………………..
…………………………..

“ เรกกะ… ”
R2 เรียกเค้า ที่ตอนนี้ยังคงซึมเศร้าอยู่ บนโซฟา ยาวสองเก้าอี้ ในห้องพักที่อยู่ข้างๆห้องบังคับการ
 เพียงลำพัง

“ ก่อนที่ชั้นจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา ตอนที่เจอกับเธอ และ มาธิอัส ตอนนั้นชั้น
คิดแค่ว่าทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะช่วยทุกคน ความคิดในตอนนั้นก็คงประมาณอยากเป็น
วีรบุรุษ เหมือนกับในการ์ตูน เท่านั้นเอง…ไม่ได้
คิดหรอกว่ามันจะมาเป็นแบบนี้ ”

เรกกะ กล่าวขณะที่ตอนนี้ตัวเค้านั่ง หมดอาลัยพลางย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องก่อนๆนี้

“ ตอนนั้นนายนิสัยดีกว่าตอนนี้เยอะล่ะ ”
R2  กล่าวขณะที่เดินเข้ามานั่งลงข้างๆเค้า


“ พอมานึกย้อนดูมันก็น่าขำนะ ตอนนั้นชั้นเองไม่เคยคิดจะทำอะไรจริงๆจังๆเลย แค่คิดว่าให้
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆก็ดีแล้วแต่หลังจากความทรงจำเหล่านี้กลับมาชั้นถึงได้มีเป้าหมาย….
เป้าหมายที่ลืมไปเมื่อนานมาแล้ว ”
เรกกะ กล่าวด้วยน้ำเสียงทีไม่มั่นคง

“ เพื่อ พี่ของนาย…สินะ ”
R2 กล่าวขณะที่ก้มหน้าลง ก่อนจะหันหลังไปชนกับหลังของ เรกกะ

“ ชั้นเคยคิดแบบนั้นเพื่อพี่ที่ อาจจะยังอยู่ที่ไหนซักแห่ง จะไม่ต้องหนีจากการถูกไล่ล่าของ โครโน่ …..มันก็แค่นั้น ”
เรกกะ เปรยก่อนจะพิงหลังชนกับ R2 ไปในวินาที ความรู้สึกของพวกเค้าทั้งสองราวกับจะรวมเข้าด้วยกัน
เมื่อ R2 เข้าใจในตัวของ เรกกะ

“ แต่ตอนนี้ นายทำแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ ”
R2 ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น และเริ่มคิดถึง เดรค ที่เคยทำเพื่อเธอ
โดยที่ไม่รู้เลยว่าเธอนั้นต้องการสิ่งใด

ความรักของ เดรค ที่คือเอา คำสาปที่เธอให้เค้าไปนั้นกลับมา นั้นเหมือนกับ เรกกะ
 ที่พยายามจะทำสงครามชี้ขาดกับ Empyrean Adjust เพื่อ พี่สาวของเค้า แต่มันกลับทำ
ให้เค้ากลายเป็นศัตรูของเธอแทน

“ พอแล้วจะไม่ดีกว่าเหรอ นายน่ะทำดีที่สุดแล้ว…ไม่ต้องฝืนหรอก
เพราะคนสุดท้ายที่จะอยู่กับนายคือฉันเอง ”
R2 กล่าวก่อนจะขยับมือไปกุมมือของเค้า เพื่อจะปลอบโยนหัวใจที่เจ็บช้ำของเค้า
 เวลาได้เดินผ่านไปเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ ท่ามกลางความารู้สึกที่ราวกับจะจบลงตรงนี้
เสมือน เวลาของเค้าและเธอ จะหยุดอยู่ตรงนี้ไปชั่วนิรันด์

“ ขอบใจนะ…แต่ตอนนี้ชั้นไม่อาจให้สิทธิพิเศษกับพี่เพียงแค่คนเดียวได้อีกต่อไปแล้ว…. ”
เรกกะ กล่าวจบก็ ดึงมืออก่อนจะ ลุกขึ้นยืนหยัดใหม่อีกครั้ง

“ นี่ เรกกะ นาย….เกลียดฉันรึเปล่า ที่ทำให้นายต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องแบบนี้ ”
R2 ถามเค้าด้วยคำถามที่เธอต้องการคำตอบมานานแล้ว

“ เรื่องนั้นเองเหรอ….ชั้นต้องขอบคุณเธอมากกว่าถ้าไม่ได้เจอเธอ ชั้นเองคงมาไม่ถึงตรงนี้
ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมานะ ”
เรกกะ กล่าวจบก็เดินไปที่ ประตูที่จะเชื่อมไปยังห้อง บังคับการ

“ เรกกะ สัญญาแล้วนะว่าจะทำให้ฉันตายด้วยรอยยิ้มอย่าลืมซะล่ะเพราะฉนั้น…..นายต้องมีชีวิตต่อไปนะ ”
R2 กล่าวแม้เธอจะแกล้งยกเอาเรื่องสัญญานี้ขึ้นมาอ้าง แต่ความรู้สึกของเธอนั้น เพียงแค่
ไม่ต้องการจะสูญเสียเค้าไปอีกเหมือน ที่เธอสูญเสีย เดรคไป เรกกะ ไม่ตอบอะไรแค่
ผงกหัวก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป

“ เหมือนกันมากเลย นายกับ เดรค น่ะ แต่ตอนนี้…….ชั้นรู้แล้วว่าแค่ความคล้ายคลึงมัน
ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นายก็คือนาย เรกกะ อย่าตายซะล่ะ ”
R2 เปรยกับตัวเองขึ้นเพียงลำพัง ขณะที่ น้ำตาหยดแรก ตั้งแต่ที่เธอจะลืมเลือนความรู้สึกนี้ไปเมื่อ
นานมาแล้วได้ไหลลงอาบใบหน้าของเธออีกครั้ง  หลังจากที่เธอลบเอาความรู้สึกเหล่านั้นไปนานแล้ว


………………………..
………………………………….

เวลาได้ล่วงเลยไป จนในที่สุด…..

“ ตอนนี้ กองกำลังของเรายังพอมีอยู่บ้าง แต่ถึงส่งไปเพิ่มก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเดิมอยู่ดี
 มีแต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้นล่ะ ”
เรกกะ กล่าวหลังจากที่อธิบายแผนการณ์ ทั้งหมดแก่ พวก ลอว์เรนซ์ ผ่านจอมอนิเตอร์ของ ยาน
แล้ว

“ เราจะบินขึ้นไปพร้อมกองยาน ที่มากับเราในตอนนี้ จนถึงระดับหนึ่งจากนั้น ยานไซเบอทิก้าดราก้อน
จะแยกตัวฝ่าเข้าไปที่ Valhala พวกเราที่เหลือต้องคอยตัดกำลัง ของสหพันโลก ใช่ไหม ”
ลอว์เรนซ์ ทวนแผนการณ์ อีกครั้งเพื่อความแน่นอน

“ อืม..เพราะรอบๆ  Valhala น่าจะต้องมีอาณาเขตป้องกันไว้อยู่ คงจะเข้าไปกันไม่ได้ทั้งหมด
แน่เพราะฉะนั้น ชั้นจะให้ เฟนท์ ไป กับ ชั้นแค่สองคนเท่านั้น เพราะถึงเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีร่างของ
 ทาลิวิลย่า ช่วยสนับสนุนอยู่ ”

เรกกะ กล่าว ขณะนี้ที่ ด้านนอก ยาน เฟนท์ ซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ ในคอสของ Valkyrier ซึ่งนำอยู่หัวทัพ
ยานรบ นับร้อย ที่ระดมรวมกำลังใหม่ อีกครั้งจาก อาณานิคมทั้งหมดที่ เรกกะ ควบคุมอยู่

ในขณะที่ สุซาคุ ซึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ แทน ลูเทเซีย ชั่วคราวก็ จัดการระดมพลทัพทั้งหมดของ สหพันโลก
เข้ามาประจันด้วยเช่นกัน โดยมี ซาน คอยนำหน้าทัพ เพราะ ตัวสุซาคุ ต้องบัญชาการ การรบร่วมกับ เฟรเซีย

กองทัพของทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่เหนือมหาสมุทร ที่อ้างว้างจากการที่ ทวีปเมอริเซีย ถูกยกขึ้นไป
จนเกิดเป็นหลุม สูบน้ำทะเลลงไปเติมเต็มแทน  โดยเหนือขึ้นไปมี ปราการลอยฟ้า Valhala และ
แผ่นดิน เมอริเซีย กำลังลอยตัวไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

………………..
………………………..

“ ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ โคเว็ท รีบกลับเข้ามาก่อนเถอะ ”
มิมิ ตะโกน เรียกโคเว็ท อยู่หน้า ซุ้มหลบภัย ที่ทางโลกอส เตรียมไว้ในเขต โรงเรียน St. Magnus
เพื่อรองรับชาวเมืองที่อพยพ มา
จากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วภูมิภาค ทำให้ ผู้คนต่างหลั่งไหลกัน มาเรื่อยๆ

“ แต่พวก ชารี่ น่ะยังไม่มาเลยนะ ”
โคเว็ท แย้งขณะที่ตัวเธอนั้นพยายามออกตามหา บริเวณรอบๆที่ ผู้คนเริ่มทยอยกัน
มามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

“ แต่นี่ลมแรงมากแล้วนะ อีกเดี๋ยวพายุคงจะพัดมาแล้ว มันอันตรายน้า ”
มิมิ กล่าวพลางออกไปลาก ตัว โคเว็ท กลับเข้ามา

“ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า ไปไหนของพวกเธอกันนะ เวลาแบบนี้ด้วย ”
โคเว็ท คิดขณะที่ ยอมตาม มิมิ กลับไปในที่สุด

………………..
…………………………

ตอนนี้ระดับน้ำทะเลทั่วทั้งเทอร่า เริ่มลดลง ซึ่งเป็นผลกระทบกระทบที่มาจากการที่ เมอริเซีย ยกตัวขึ้นไป
จนเกิดเป็นหลุมสูบน้ำทะเล จนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ อากาศ ทั่วทั้ง เทอร่า
ก็พากันแปรปรวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ที่โลกอส เริ่มมีพายุลมโหมกระหน่ำ ซึ่งเป็นผลมาจาก อิคดราซิล
ของ อาริมาเทีย นั้นกำลังเปล่งแสงสีเขียวจางออกมา และเป็นผลให้เกิดลมพายุแปรปรวนไปทั่วทั้งทวีป

ทวีป เลาดิเชีย ซึ่งอยูท่างตะวันตกเฉียงใต้ เกิดความแห้งแล้งขึ้นอย่งรุนแรง ภูเขาไฟทั่วทั้งทวีป
เกิดการปะทุขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ต้นอิคดราซิล ของทวีปนี้ เรืองแสง สีแดง

ทวีป คาดาร่า ซึ่งอยู่ทางเหนือ เวลาของทวีป ไม่เปลี่ยนเป็นกลางคืนหากแต่สว่างของ ดวงอาทิตย์นั้น
เฉิดฉายเจิดจ้ากว่าทุกครั้ง และต้นอิคดราซิล ของที่นี่ เรืองแสงสีขาว

ทวีป ดิสอาปจูร่า ซึ่งอยู่ทางตะวันออก เกิดพายุฝนโหมกระหน่ำจนพื้นดินเละเป็นโคลน
เกิดน้ำท่วมและน้ำป่าไหลบ่า โดยที่ฝนไม่มีท่าทีจะหยุดลงเลย อิคดราซิล ของที่นี่เรืองแสง สีน้ำตาล

ทวีป มิสรายิม ซึ่งมีแผ่นติดกับทางตะวันออกของ ดิสอาปจูร่า แต่กลับเกิดพายุหิมะ
พัดอย่างต่อเนื่องจนทั้งทวีปจมอยู่ใต้กองหิมะสีขาว  อิคดราซิล ของทวีปนี้เรืองแสงสี ฟ้า

ห่างออกทางตะวันออกสุดจาก มิสรายิม อาณาเขตที่เคยเป็นพื้นที่ทวีป โทร่า ซึ่งถูก ราฟ
ทำลายไป เกิดคลื่นลมและกระแสน้ำวน มากมายทั่วน่านน้ำบริเวณนั้น ซึ่งในวังวนน้ำวน
ที่ใหญ่ที่สุด ต้น อิคดราซิล ที่จมอยู่กับแผ่นดิน ทวีปโทร่า เรืองแสงออกมาจาก ใจกลาง
น้ำวนนั้นแสงที่เปล่งออกมา เป็นแสงสีดำ 


“ เทอร่า กำลังปั่นป่วนเพราะการประสานเสียงของ อิคดราซิล ทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุต่างๆ
ทำให้เกิดมหันตภัยไปทั่วเลย นี่แสดงว่า แรคนาอค กำลังจะเริ่มแล้วล่ะสิ ”
ชารี่ กล่าวขณะที่เธอ และพวก พากันบินออก มาจากโลกอส และเริ่มตรวจสอบพื้นที่ต่างๆทั่วเทอร่า
ซึ่งผลจากการที่พลังของธาตุ ถูกกระตุ้นออกมาจากอิคดราซิล ทำให้ ทวีปทั้งหมดเริ่มเกิดมหันตภัย

“ และทันทีที่ อิคดราซิลของ เมอริเซีย ประสานเสียงด้วย จากตำแหน่งตรงนั้น จะ
สามารถใช้ลำแสงOdin ทำลายได้ทั้ง เทอร่า เลย ”
ซิกนัม เปรย เมื่อเริ่มที่จะเห็นแววหายนะที่กำลังจะเกิด

“ ถ…ถ้าอย่างนั้นก็แย่น่ะสิ… ”
เอลิต้า อุทานน้ำเสียงผวา

“ งั้นสิ่งที่เราต้องทำมีเพียงอย่างเดียวสินะ ”
ชารี่ ตอบก่อนที่พวกเค้าทั้งสามจะมุ่งหน้าออกเดินทางไป

………………….
…………………………

บัดนี้ ที่น่านน้ำเขต เมอริเซีย กองกำลังทั้งสองฝ่ายได้เข้าปะทะกัน อย่างเอาเป็นเอาตาย
นี่คือสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โดยมี เทอร่า เป็นเดิมพัน

“ Protection ”
เสียงกังวานขึ้นพร้อมกับ ที่กำแพงพลังงานสีน้ตาลถูกสร้างขึ้น กันกระสุนอนุภาค อิออน ของ ซาน ที่ระดมยิงมา
ซึ่งกระสุนนัดอื่นทั้งหมดพุ่งเข้าทำลาย กองยาน ด้านหลังของ เฟนท์ ที่เกราะป้องกันกางไม่ถึงแทน

“ ชิ…สู้กันบนฟ้าแบบนี้ Crisisor ของเราเสียเปรียบกว่า ”
เฟนท์ เปรยก่อนจะ ปลดเกราะลง

“ เฟนท์ น้องกับ เรกกะ รีบหยุดสงครามนี่เดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นพี่จะออมมือเหมือนกัน ”
ซาน กล่าวก่อนจะรวมประจุทั้งหมดไปไว้ที่ ปืนทั้งสองกระบอก ก่อนจะลั่นไกออกไป

“ Apollo Coffin ” (โลงศพเทพสุริยะ)
สิ้นเสียงจากปืนทั้งสองกระบอก มวลพลังงานที่สะสมไว้ก็กระจายตัว พุ่งออกไปเป็นลูกพลังงานเล็กๆ
วนเข้าชนทำลาย กองยานไปนับสิบลำ โดยที่ลำแสงของ ยานรบและ Gazor นั้นถูกลูกพลังงาน
ปัดทำลายจนไม่อาจเข้าถึงตัวเธอ



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: greamon on April 28, 2009, 03:25:15 AM
“ Ava-Trans ”
เสียงดังออกมาจากกลุ่มควันที่เกิดจากการระเบิดของยาน นับสิบ ก่อนที่ เฟนท์ ซึ่งสวมร่าง เจอรัลดีน
จะพุ่งออกมา พร้อมพลองยาว คาร์เนเลี่ยน  ขณะที่ ซาน ไหวตัวทันจึงยกปืนขึ้นเล็งจะยิงสวนกลับไป
ในขณะที่พลองได้พุ่งเข้ามาประชิดตัวเธอแล้ว

…………..

“ นี่เจ้ายังไม่ยอมแพ้ อีกงั้นเหรอ เรกกะ ทั้งที่เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าไม่มีทางชนะเราได้ หากลำแสงOdin สามารถยิงไป
ยังจุดนั้นได้เมื่อไหร่ แม้แต่เจ้าที่เป็น อานิม่า ถึงจะเป็นอมตะก็ต้องถูกลบหายไปอยู่ดี ”
โครโน่ กล่าวผ่านช่องการสื่อสารที่ต่อเข้ามาที่ยาน ไซเบอทิก้า ในขณะนี้

“ ทำแบบนั้นมันจะดีเหรอ แล้วชีวิตของ พวกผู้นำที่อยู่ในยานลำเลียงด้านหลังทัพหน้าเหล่านี้ล่ะ ”
เรกกะ ยกเอาเรื่องพวกผู้นำที่เค้า พามาด้วยอ้างเป็นตัวประกันต่อรอง ด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ
ราวกับไม่ใส่ใจว่าวิธีนี้คือการกระทำอันชั่วช้าไม่ต่างไปจาก ทรราชย์ เลยก็ว่าได้

“ ชีวิตเล็กๆน้อยๆพวกนั้นน่ะข้าไม่สนอยู่แล้วอย่าคิดเอามาต่อรองเลย ”
โครโน่ กล่าวอย่างไม่ใยดี เพราะเดิมทีเจตนาของเค้าคือการ ปกครองเทอร่า โดยใช้ เซน่า เป็นฉาก
ส่วนตัวเค้าจะบงการเองทั้งหมด ดังนั้นสำหรับเค้าแล้ว พวกผ้นำเหล่านั้น ก็นับเป็นตัวเกะกะที่จะต้องเก็บ
ไปด้วยอยู่แล้ว
 
“ เรื่องนั้นน่ะ ถึงเจ้าไม่สนแต่ข้าว่ามีคนที่สนอยู่นะ ”
เรกกะ กล่าวจบช่องการสื่อสารที่เปิดทิ้งไว้เพื่อให้ ได้ยินบทสนทนาของเขา กับ โครโน่ ก็เปิดขึ้นมา
มันเป็นช่องสัญญาณของ พวกสหพันโลก ซึ่ง สุซาคุ เป็นผู้ทำการติดต่อในขณะนี้

“ ไม่ได้นะ พระองค์กับเหล่าผู้นำคนอื่นยังอยู่ในนั้น หากคิดเช่นนั้น เราจะเลิกให้ความสนับสนุนท่าน ”
สุซาคุ แย้งในเรื่องนี้ ทว่าตัวโครโน่ นั้นไม่สนอยู่แล้วแต่หาก หมดการสนับสนุนในตอนนี้ เรกกะ
อาจเข้ามาขวางเค้าไว้ได้ เพราะ Valhala ยังขึ้นไปสูงพอจะพ้นจากการไล่ตาม ดังนั้นกำลังของ
สหพันโลกจึงยังจำเป็นอยู่  

“ พื้นที่นั้นเรายังยิงไม่ได้อยู่แล้วจนกว่า อิคดราซิล จะประสานเสียง ครบทั้งหมดเราจะ
ให้เวลาถึงแค่ตอนนั้นเท่านั้น…พวกท่านไม่มีสิทธิ แย้งในเรื่องนี้ หรอกนะ โลกอส เองอยู่ใน
เขตอาริมาเทีย ซึ่งตอนนี้ 4ต้นจาก 7 ต้นที่เหลือ เราประสานเสียงกับทาง อาริมาเทียไปแล้ว
 หากขัดขืน จะเป็นอย่างไรคงรู้นะ ”

โครโน่ กล่าวจบก็ตัดการติดต่อไป ด้านสุซาคุ ก็ได้แต่กัดฟันก้มหน้ารับ ความอัปยศนี้ก่อนจะตัดสายไป


“ เชอะ เจ้าโครโน่ ยังวางแผนเอาไว้เฉียบขาดเหมือนเดิมนะ เรื่องที่จะเอา สหพันโลก
มาเป็นพวกคงไม่สำเร็จแล้ว…ถ้าอย่างนั้น.. ”
เรกกะ คิดขณะที่กำลังตัดสินใจในการดำเนินแผนขั้นต่อไป ซึ่งตอนแรก เค้าตั้งใจจะใช้ ตัวประกัน
ในการต่อรอง เอาสหพันโลกมาเป็นพวก ทว่าตอนนี้คงไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะเกมไปอยู่ฝั่ง

 โครโน่ เกือบทั้งหมดเสียแล้ว หลังจากตัดสินใจแล้ว เค้าก็เปิดช่องการสื่อสาร ไปที่
 ยาน คอสมิกแสวนทันที


“ ตอนนี้ หมากของเราคงไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว เตรียมดำเนินตามแผนการขั้นต่อไปเลย ชั้นจะออกไปเอง ”
เรกกะ ส่งข้อความจบ ก็ลุกจากเก้าอี้ เพื่อจะออกจากยานไป ขณะที่ ลอว์เรนซ์ ซึ่งย้ายมาอยู่ที่ยานลำนี้แทน
ตั้งแต่ก่อนการรบจะเริ่ม โดย ให้ พวก เซโร่ ดูแลยานคอสมิคแสวน

“ ตอนนี้ให้ พวก เซโร่ เอายานคอสมิคแสวน ถอยไปแล้ว นายเองก็เตรียมการเดินแผน
ขั้นต่อไปเลย ยานลำเลียงที่พ่วงกับยานของเราอยู่จะนำลงจอดบนทะเล จากนั้นให้เริ่มแผนการ
ขั้นต่อไป ”
เรกกะ กล่าวจบก็เดินอุ้ม แมกกี้ ออกจากห้องไปพร้อมกับ R2 โดยให้ ลอว์เรนซ์ และยูปี้ คุมหางเสือยานแทน
เมื่อทั้งสองเดินมาถึง  ฐานยานแล้ว เรกกะ จึงเอ่ยปากขึ้น

“ นี่ R2 เรื่องในอีตของเธอน่ะคือ…..เอ่อช่างเถอะไม่มีอะไรหรอก ”
เรกกะ กล่าวออกไปแต่ก็ชะงักก่อนจะปัดไม่ถามต่อ

“ อยากให้ฉันเล่าสินะ ”
R2 กล่าว ซึ่ง เรกกะ ก็ทำตาโตด้วยความสงสัย ที่เธอรู้ความคิดของเขา

“ งั้นก็ต้องมีชีวิตกลับมาให้ได้นะ….แล้วฉันจะเล่าให้นายฟังทั้งหมดเองเพราะฉนั้นห้ามตายเด็ดขาด ”
R2 กล่าวซึ่ง เรกกะ เองหลังจากที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็รู้สึกดีกับเธอขึ้นมาบ้างหลังจากที่เค้าฟื้น
ความทรงจำแล้วเค้าและเธอแทบจะไม่ได้คุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน ซึ่งเป็นเพราะ
เรื่องที่เกิดขึ้นมากมาย และ

ความไม่ไว้ใจที่เกิดขึ้นมา ในระหว่างนั้น แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งกำลังจะจบลงในอีกไม่ช้า
 เลยทำให้พวกเค้ามีเวลาพอที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกของกันและกัน

“ ได้สิชั้นสัญญา…เธอเองก็ต้องรักษาสัญญาด้วยนะ…กลับมาเล่าให้ชั้นฟังให้ได้ล่ะ ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ เดินไปใกล้เธอ ก่อนจะยกมือขึ้นโอบไหล่ของเธอไว้

“ ฉันเป็นอมตะ นะนายนั่นล่ะ อย่าผิดสัญญาชิงตายซะก่อนล่ะ ”
R2 แย้งด้วยสีหน้าไม่จริงจังนัก ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นโอบ เขากลับ
ทั้งสองจ้องตากันอยู่สักครู่ ก่อนจะค่อยๆยื่นหน้าเข้าหากัน เพื่อที่จะแบ่งปันความรู้สึกของกันและกัน

“ Seraphic Pistol ”
เสียงดังวาลเข้ามาก่อนที่ ผนังยานจะระเบิดออก ทำให้ทั้งสองผละออกจากกันด้วยแรงสะเทือน

“ เรกกะ ฉันจะเป็นคน หยุดเธอเอง ”
ซาน ที่บุกเข้ามาจากรูที่ผนังยานซึ่งที่เธอพึ่งยิงไป กล่าวขณะหัน ปากกระบอกปืนมาที่เค้า

“ Great of Dragon ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ หอกซึ่งคลุมด้วยลำแสงมังกรจะพุ่งไปปัดปากกระบอกปืนจนเบนทิศ
ทำให้กระสุนพลาดเป้าไป ก่อนที่ลำแสงมังกรจะวนกลับมา หา R2 ที่แปลงเป็น ทาลิเลีย
แล้ว  ก่อนที่เธอจะรับหอกกลับมาและพุ่งเข้ากระแทก ซาน ให้ไปติดขอบยาน

“ รีบไปสิ นายมีเรื่องที่จะต้องทำไม่ใช่เหรอ ”
R2 ตะโกน ขณะที่พยายามกดตัว ซาน ไว้เพื่อถ่วงเวลา

“ อื้ม..ขอบใจนะ…มาเร็ว แมกกี้ ”
เรกกะ กล่าวขอบคุณเธอ ก่อนจะเรียกเจ้าลูกมังกรมา ร่างของมันก็เปล่งแสงและกลายเป็น โล่ มิคาเอล

“ Royal Form ”  “ Regeneration ”
สิ้นเสียง เรกกะ ก็เปลี่ยนร่างเป็น อัศวินทาลิวิลย่า แห่งจิตวิญญาณได้สำเร็จ ทันกับที่ ซาน หลุดจากการรวบของ R2
ได้แล้ว จึงระดมสาดกระสุนใส่ แต่ เรกกะ ก็ปัดออกไปได้หมด ก่อนพุ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว


“ เธอน่ะต้องมาเจอกับฉัน ”
R2 กล่าวพร้อมกับรวบตัวเธอ ออกพุ่งลงทะเลไปเพื่อให้ เรกกะ บินขึ้นไปต่อได้


“ เฟนท์ ตามฉันมาเร็ว ”
เรกกะ ตะโกน เรียก ขณะที่ เฟนท์ ซึ่งสลัดพ้นออกจาก การถูก กลุ่ม Gazor ล้อมเอาไว้
ด้วยการทำลาย Gazor ทั้งหมดทิ้งแล้วจึงไปสมทบกับ เรกกะ เพื่อตรงขึ้นไปที่ Valhala

ในขณะที่ ยานคอสมิคแสวนตอนนี้ ถอยไปไกลจาก สนามรบแล้ว ส่วนยาน ไซเบอทิก้า
 ก็ลงจอดสู่พื้นน้ำพร้อมกับ ยานลำเลียงเป็นที่เรียบร้อย

“ ยูปี้ มาเร็ว เราต้องรีบออกจากที่นี่ก่อน ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวขณะที่ วิ่งออกมาจากห้องบังคับการเพื่อไปยังประตูยาน โดยให้ แมกกี้ แปลงเป็นดาบมาคายาเดีย
ไปด้วย

“ Grand Form ” “ Evolution ”
สิ้นเสียง ลอว์เรนซ์ ก็เปลี่ยนเป็น อัศวินมังกรเทพ ทาลิวิลย่า และทะยานออกจาก
ไซเบอทิก้า ดราก้อน ก่อนที่มันจะระเบิดได้ทัน

“ ขอบอกเอาไว้ก่อนเลย พวกเราน่ะเก่งระดับเทพ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวประโยคประจำตัวก่อน วาดมือไปตามคมดาบ และเมื่อดาบเรืองแสง
แล้วเค้าก็ตวัดมันออกไป เกิดเป็นคลื่นพลังงานพุ่งออกมาเป็น ลำแสงมังกรนับร้อย
ทะลวงทำลาย กองยาน สหพันโลก ไปเป็นทาง และเปิด ทางให้ เรกกะ กับเฟนท์ ไปด้วย
ลำแสงทั้งหมดพุ่งไปจน เกราะ ที่คลุมทวีปและ Valhala ไว้

“ ตอนนี้ล่ะ เฟนท์ ”  “ เข้าใจแล้ว ”
เรกกะ กล่าวหลังจากที่เห็นลำแสงของ ลอว์เรนซ์ ซึ่งเป็นสัญญาณพวกเค้าทั้งสองก็เตรียมรวมพลังานเอาไว้ในทันที
และเมื่อลำแสงเริ่มอ่อนลง พร้อมกับที่ตัวเกราะพลังงานของ Valhala เริ่มผ่อนการป้องกัน

“ Great of Dragon ”  “ Geo Javalin ”
เสียง เรกกะ ก็ยิงส่งลำแสงมังกรสีรุ้งขนาดใหญ่ขึ้นไปจากโล่มิคาเอล ของเค้า พร้อมๆกับที่
หอกลำแสงที่เกิดจากมวลพลังงานอิออน ของเฟนท์ จะพุ่งไปพร้อมๆกัน การโจมตีประสานนั้น

ได้กระแทกเข้ากับเกราะที่กำลังอ่อนลง จนเกิดระเบิด ขึ้นเป็น ช่องโหว่ของเกราะพลังงาน
 พวกเค้าทั้งสองจึงจะอาศัยจังหวะที่ เกราะยังไม่อาจฟื้นตัวได้ทัน บุกเข้าไปในนั้น ทว่า

“ นั่นมัน ”
เรกกะ เปรยเมื่อได้เห็น ทัพมังกร ดำแห่กรูกันออกมาจากช่องว่างของเกราะนั้น พวกมันบินขึ้นมาจาก
พื้นของทวีป ที่อยู่ด้านล่าง Valhala และแห่กันออกมามากมายนับไม่ถ้วน
ซึ่งประกอบด้วย

จ้าวแห่งมังกรปีศาจ เบอซินซิเลออส(BurZinZileos, the Evil Dragon Lord)
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/63.jpg)
มังกรอำนาจมืด อินโกเรลู(Ingoleru, the Dark Force Dragon)
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/65.jpg)
มังกรอัสนีดำ อิสิโลเม่ (Isilome, the Black Thunder Dragon)
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/66.jpg)

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ก้มีลำแสงมังกรพุ่งขึ้นมาถึง 6 ลำ 6 สี ด้วยกันก่อนที่ลำแสงจะกวาดทำลายทัพมังกรดำจน
สิ้นหายไปในคราเดียว

“ รีบไปก่อนเลยที่นี่พวกเราจะจัดการเอง ”
เหล่า อัศวินทาลิวิลย่า ทั้ง 6 ธาตุ แห่งเมอริเซีย ของลอว์เรนซ์ ซึ่งสวมร่างของเหล่ามังกร ทั้งหกมา
ได้กล่าวขึ้นก่อนจะพากันตีฝ่า กองทัพ มังกรดำจนเปิดทางให้แก่พวกเค้าได้ในที่สุด

“ เกือบไม่ทันแน่ะ ”
ลอว์เรนซ์ เปรยพลางถอนหายใจ ด้วยความโล่งอก ที่เค้าส่งตัวช่วยไปทันพอดีทว่า
นอกจากทัพมังกรแล้วยังมีอีกสิ่งที่มาเป็นอุปสรรค์อีกชั้น เมื่อ
เหล่า Valkyrier ฝ่าย โครโน่ ที่ ยังเหลืออยู่ ได้ออกมารอต้อนรับเค้า

 แทน ซึ่งมี ฮายาเตะ(Hayate, the Valkyrier of Amber) ที่สวมชุดเกราะเป็นชุดสีดำตัดลายแดง
หลังของเธอมีปีกเหล็กกล้าสีดำสนิท กางอยู่และสร้างละอองอนุภาคอิออน ห่อหุ้มตัวเธอ
ไว้ไม่หล่นลงไป

(http://images.temppic.com/27-04-2009/images_vertis/1240848717_0.82810600.jpg)

 หลง(Long, the Valkyrier of Maya) ลูกทีมของหลีเมย่ ซึ่งสวมชุดเกราะเป็น
เสื้อเชิ้ตสีฟ้าและกางเกงขายาวผ้าสีดำ
Crisisor ของเค้าเป็น กรงเล็บแห่งทาปาส(Tapas Claw)

(http://images.temppic.com/27-04-2009/images_vertis/1240848714_0.95971300.jpg)

  ผิง(Ping, the Valkyrier of Dahna) ลูกทีมอีกคนของหลีเมย่ ซึ่งสวมชุดเกราะเป็นเสื้อกั๊กสีดำ
 และ Crisisor
ของเธอคือ ธนูแห่งเรย์ดอน(Raydon Arrow)

(http://images.temppic.com/27-04-2009/images_vertis/1240848716_0.24364200.jpg)

และสุดท้าย หลีเมย่ ที่ปล่อย bit ทั้งสี่ออกไปสกัดพวกเค้า

“ ชิ… ”
เรกกะ สบถก่อน ที่โล่จะเปล่งแสง และแล้วร่างบุคลิคของเค้า ก็แยกออกมาจากร่างและ
มีตัวตนกลายเป็นอัศวินทาลิวิย่าทั้ง 6 ของอาริมาเทียไป

“ จัดการที ”
เรกกะ สั่งขณะที่ พวกเค้ารีบเร่งความเร็วขึ้นไปอีก เพราะ เกราะกำลังจะหุบลงแล้ว

“ Vortex Blast ”  “ Burst Speed ”
สิ้นเสียง Crisisor ของ ผิง และ หลง ธนูของ ผิงที่ยิงออกมาด้วยการรวมประจุอิออนเป็นลูกธนู
ก็เกิดระเบิด ออกมาเป็นระเบิดคลื่นไฟฟ้า ขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา ขณะที่ หลง เข้ารัวกรงเล็บใส่ เรกกะ ทว่าเค้ายกโล่

ขึ้นกันไว้ทัน  แต่คลื่นไฟฟ้าก็กำลังจะมาถึงแล้ว ส่วน เฟนท์ ตอนนี้กำลังถูกไล่ต้อนโดย Bit ทั้งสี่
ของ หลีเมย่ และต้องคอยโยกตัวหลบพัดเหล็กที่เจ้าหล่อนขว้างมาด้วย

“ เฟนท์ คิดแล้วเชียวว่าเธอต้องทรยศ…พวกอัศวินมังกรนั่นก็ด้วยฉันจะไม่มีวันยกโทษ
ให้กับคนที่ก่อสงครามเด็ดขาด ”
หลีเมย่ ตะโกน ขณะที่รุกไล่ เฟนท์ ไป

“ หลีเมย่ ที่เธอคิดอยู่น่ะมันเป็นแค่ความแค้นเท่านั้นนะ ตาสว่างได้แล้ว โครโน่ กำลังหรอกใช้เธออยู่
หมอนั่นมันไม่ได้ต้องการสร้างสันติ แต่เป็นการครองโลก ถึงเธอจะแค้นในโชคชะตา แค่ไหนก็ตาม
แต่เธอก็ไม่ควรเอาอารมณ์เป็นตัวตัดสินนะ ”
เฟนท์ กล่าวทว่า หลีเมย่ กลับไม่ยอมฟัง

“ ไม่ต้องมาพูด คนทรยศอย่างนาย กับ อัศวินมังกรที่ดีแต่สร้างภาพ
นั่นฉันจะไม่มีวันเชื่อคำพูดพวกนายเด็ดขาด….ทั้งหมดก็เพราะสงครามเพราะ
แกด้วยเจ้าอัศวินมังกร ทำไมวันนั้นแก ถึงไม่ช่วยฉันช่วยเหลือ
หมู่บ้านของฉันที่ถูกข่มเหงด้วยอำนาจ ของ บริทเทเนอร์ ”

หลีเมย่ ตะคอกพลางอ้างถึงเหตุผลที่เธอต้องมาเป็น Valkyrier และโทษใส่พวกเขาแทน

“ นี่มันเห็นแก่ตัวชัดๆ หลีเมย่เธอไม่ได้ต้องการ สร้างสันติเลยที่เธอทำมันก็แค่การสนองความ
ต้องการของเธอเองเท่านั้น ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ควงพลองปัดพัดเหล็กจนกระเด็นตกน้ำไป แต่หลีเมย่ ก็ได้ให้ Bit ทั้งหมดสะสมพลังงาน
เตรียมยิงลำแสงพิฆาตแล้ว

“  อย่างนายจะมาเข้าใจอะไรฉันเล่า”  “ Extream Charge ”
หลีเมย่ กล่าวจบพร้อมกับ เสียงกังวาลของ Bit ทั้งสี่ ลำแสงพิฆาตก็พร้อมที่จะถูกยิงออกมา
ขณะเดียว กัน เรกกะ ก็ถูก หลงไล่ต้อนด้วยความเร็วจนปลีกตัวไปไม่ได้ อีกทั้งระเบิดคลื่นไฟฟ้า

ที่ ผิง ปล่อยออกมาตอนนี้ ทำให้ เหล่าอัศวินทาลิวิลย่า ทั้งของ เค้า และ ลอว์เรนซ์
ขยับไม่ได้ ทั้ง 12 ตนพร้อมกัน ในขณะที่ เหล่ามังกรดำได้กรู ทยอยกันออกมาเรื่อย
ก่อนที่เกราะคุ้มกันจะปิดลงในที่สุด

………………
……………………..
ขณะเดียวกัน ด้านล่างตอนนี้ กองทัพของ เรกกะ ได้ถูกตีแตกจนต้องถอยร่นไปแล้วเพราะไม่มีผู้บัญชาการ
สุซาคุ และ เฟรเซีย จึงนำ Iris และ Caribur ออกมารับ ลูเทเซีย มาเรียลูส และคนอื่นๆ
หนีออกจากยานลำเลียง

“ ตอนนี้ มาเรีย ล้าง Genesis ของ เรกกะ ออกจากบรรดาสมาชิกทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้เราต้องรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุดเลย ”
ลูเทเซีย กล่าวขณะที่ ตอนนี้บรรดาสมาชิก ต่างๆได้หลุดจากการควบคุมของ เรกกะ เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย
Genesis Cancel ของ มาเรียลูส ซึ่ง เฟรเซีย กำลังช่วยนำทางเหล่าสมาชิกออกไปยังยานลำเลียงอีกลำที่นำมา
จอดข้างยาน

“ แปลกมากเลยนะครับที่ เรกกะ จะทิ้งท่านกับสมาชิกท่านอื่น เอาไว้ที่นี่ ”
สุซาคุ กล่าวด้วยความสงสัย ถึงการกระทำของ เรกกะ

“ ช่างมันเถอะตอนนี้เราไม่มีเวลามาคิดแล้วรีบออกจากที่นี่ก่อนเถอะ ”
ลูเทเซีย กล่าวจบ พวกเค้าก็ตามกันออกไปจากยาน


…………………..


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 18 Emperor Recca
Post by: greamon on April 28, 2009, 03:25:46 AM
ด้าน เรกกะ ที่ตอนนี้ถูกคลื่นไฟฟ้า ตรึงเอาไว้แล้วส่วน เฟนท์ ก็กำลังต้านทานลำแสงพิฆาต
ของหลีเมย่  ด้วยเกราะพลังานเต็มกำลัง แต่ก็ถูกผลักจนถอยร่นมาเรื่อยๆ

“ นี่เราต้องมาจบแค่นี้หรือเนี่ย ”
เรกกะ คิดเมื่อตอนนี้เค้าถูกต้อนจนมุมอย่างสู้ไม่ได้ ขณะที่ ลอว์เรนซ์ ซึ่งจะตามขึ้นมาช่วยก็ต้องรับมือกับ ฮายาเตะ

“ ชั้นคือ อานิม่า ฮายาเตะ ไฮเดย์ (Hayate Highday) รับมือ ”  “ Sorrow Book ”
สิ้นเสียง ฮายาเตะ Crisisor ของเธอซึ่งอยู่ในรูป ของหนังสือสีดำจะกังวานเสียงออกมา และเปลี่ยนรูปเป็น
หอกเกฮาน่า ของเอมิล

“ Gahana Spear ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ ฮายาเตะ ดึงพลังจาก Crisisor ของเอมิล ที่เปลี่ยนมาจาก Crisisor ของเธอ
ออกมาใช้ได้ เหมือนกับตัวเธอเป็น เอมิล เองเลยทีเดียว

“ นี่มัน… ”
ลอว์เรนซ์ อุทานหลังจากยกดาบขึ้นประกับหอกของเธอ ก่อนจะผละออกจากกัน


“ Sorrow Book ”  “ Seraphic Pistol ”
สิ้นเสียง หอกในมือก็เปลี่ยนเป็น ปืนคู่ของ ซาน ทันทีก่อนที่ เธอจะระดมยิงกระสุน แบบที่ ซาน ทำได้
ลงมา แต่ลอว์เรนซ์ ก็สามารถ บินหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด

“ รู้ไว้ซะ Crisisor ของชั้นคือ Sowrow Book ที่แปลงมาจาก แส้ Sorrow Soul
ของ Amber Valkyrie ลำดับที่ 13 ซึ่งพลังของมันคือการจำลองรูปแบบและพลังของ Crisisor
ที่เคยเห็นมาได้ ”
ฮายาเตะ กล่าวอธิบายถึงพลังของเธอ ซึ่งเป็นพลังของ  Valkyrier คนที่ 13

“ ลำดับที่ 13 เหรอ แต่Valkyrier มีแค่ 12 คนที่ตาม God Send ที่ต้องพิทักษ์เท่านั้นนี่ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวด้วยความสงสัย

“ Valkyrier มีทั้งหมด 12 คนนั่นล่ะ เพียงแต่ลำดับที่ 1 ของ Valkyrier ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในตอนนี้ ”
โครโน่ เปรยขณะที่จับตาดูการต่อสู้ด้านนอกอยู่ภายใน ห้องที่เก็บรักษา ฮูกีนมูนีน และด้านล่าง
ใต้สะพานทางเดินที่ทอดยาวนี้ ด้านล่าง มีเครื่องแกนพลังงานทรงกระบอก ที่ติดตั้ง ลูกแก้ว God Send
ทั้ง 12 ลูกเอาไว้ในช่องรอบตัวถัง ซึ่งตรงกลางของ แกนนี้ มีเครื่อง Crisis Terminal เก็บไว้เครื่องหนึ่ง
บนถังแกนพลังงานนี้ 



“ จะ…ไม่ไหวอยู่…แล้ว ”
เฟนท์ ที่ต้านลำแสงไว้อย่างสุดกำลัง เริ่มจะอ่อนแรงลง จนในที่สุดเกราะพลังงานก็แตกออก
ทว่าก่อนที่ ลำแสงพิฆาตจะคร่าชีวิตเขาไปนั้น


“ Magma Tear Axe ”
เสียงกังวานขึ้นก่อนที่ ขวานซึ่งลุกด้วยเพลิงโหม จะถูกเหวี่ยงมาปัดลำแสงพิฆาต จนเบนทิศออกไป
ส่วนตัวขวานก็ วนกลับไปหาเจ้าของอีกที

“ อะไรกัน ”
หลีเมย่ อุทานขึ้นขณะที่ ทุกคนเองต่างก็ประหลาดใจกับสิ่งที่เกิด ขึ้น

“ Krustalalos Rod ”
เสียงกังวานขึ้นอีก ก่อนที่ เอลิต้า จะบินเข้ามายังจุดที่คลื่นไฟฟ้าแผ่ออกมา
และโปรยละอองอนุภาคสีฟ้าที่ไหลออกมาจาก คฑาของเธอ ลงไปคลื่นไฟฟ้า พลันหายไปในบัลดล
ยังผลให้ อัศวินทาลิวิลย่า ทั้ง 12 หลุดจากพันธนาการพร้อมกับ เรกกะ ขณะที่ ซิกนัม รับขวาน
ที่เธอขว้างไปช่วยเฟนท์กลับมา

“ เอลิต้า ซิกนัม ”
Valkyrier ฝ่ายโครโน่ ทั้งหมดอุทานขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นพวกเธอทั้งสอง
ด้าน ผิง ที่เตรียมจะยิงใส่พวกเธอนั้น กลับถูกจานร่อนสีฟ้า ของ ชารี่ ที่เขวี้ยงมาปัด

จนศรเบนทิศพลาดเป้าไปอีก แล้ว ชารี่ ก็เปิดกระเป๋าออกและหยิบเอาแท่งโลหะ แท่งที่สามที่
เธอยังไม่เคยใช้ออกมามันเป็นแท่งโลหะ สีขาว

“ Pagoda Form ”
เสียงกังวานขึ้น พร้อมกับที่ชุดของเธอเปลี่ยนเป็นชุดเกราะ สีขาวแบบอัศวินและแท่งโลหะ กลายเป็นดาบ
ขนาดเหมาะมือแก่เธอ

(http://images.temppic.com/27-04-2009/images_vertis/1240848720_0.94633200.jpg)

“ Five Horn Strike ”
สิ้นเสียง ชารี่ ก็พุ่งเข้าไปโดยแทงดาบไปข้างหน้า ละอองอนุภาครอบตัวเธอจับกลุ่มกันกลาย
ใบดาบแหลม 5 เล่ม พุ่งออกไปแบบควบคุมได้เหมือนกับ Bit ทั้งสี่ของ หลีเมย่

“ พวกทีม ฮาร์ทไฟล์ นี่พวกมันยังอยู่อีกเหรอ ”
หลีเมย่ สบถขณะที่ หลบดาบของ ชารี่ ส่วนใบดาบทั้งห้านั้น ได้แทงเข้ากับ Bit ทั้งสี่จนระเบิดในทันที

“ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า…พวกเธอ ”
เรกกะ กล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจที่พวกเธอมาช่วยเค้าไว้ได้ทันพอดี


“ รีบไปสิคะ ท่านเรกกะ มีสิ่งที่ต้องไปทำอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ”
ชารี่ กล่าวจบก็ ถอยกลับมาขวาง พวกเค้าจาก อีกฝ่าย

“ เอลิต้า จะรักษาให้นะๆๆ ”
เอลิต้า กล่าวพลางโบกคฑาเล่นไปมา ด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนทุกครั้งก่อนที่ละอองซึ่งโปรยออกมาจาก
คฑของเธอจะ ช่วยรักษาและฟื้นฟูพลังแก่พวกเค้า

“ ว้าวสุดยอดเลยน้องสาวรู้สึกประปรี้กระเป่า ขึ้นเยอะเลย ”
ทาลิคนัส กล่าวด้วยท่าทีฟิตปั๋ง หลังจากที่ได้รับการรักษา

“ ปกติ เค้ามีแต่เจ้าชายมาช่วยเจ้าหญิงไม่ใช่เหรอ ”
ทาไนซ เอ่ยด้วยความสงสัยแบบเด็กๆ

“ ช่างน่าอายอะไรเช่นนี้ต้องให้สตรีมาช่วย เรานี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ ”
ทาลูคัส เปรยด้วยท่าทีเศร้าสลด

“ ทำไมมากันช้านักย้าาาา ”
ทาลิควอส บ่นใส่ด้วยความไม่พอใจ

“ ต้องลำบากพวกคุณแท้ ขอโทษจริงๆนะขอรับ ”
ทาเวนทอส กล่าวพลางโค้งให้อย่างสุภาพ

“ อิสตรี นี่แหละคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง ”
ทาโซรอส เอ่ยขึ้นทว่าประโยคที่พูดออกมานั้นเหมือนจะชวนให้เข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย

“ มันพูดอะไรของมัน ”
เสียงของ เหล่า อัศวิน ทาลิวิลย่า ของเมอริเซีย ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน หลังจาก
การสนทนาอันแสนวุ่นวายของ พวก ทาลิคนัส จบไป

“ พวกเธอแน่ใจ แล้วหรือที่จะช่วยชั้นน่ะ ”
เรกกะ กล่าวถามกับพวกเธอ ว่ารู้ถึงสิ่งที่พวกเค้าทำอยู่หรือไม่

“ ค่ะ เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ท่าน เรกกะ ทำอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้ท่าน โครโน่
เองก็ไม่ได้ถูกไปซะหมดทีเดียว ดังนั้นการกระทำนี้พวกเราทำเพื่อตอบแทน ท่าน…ท่านเรกกะ
ที่อบอุ่น คนก่อน ”
ซิกนัม กล่าวถึงความตั้งใจของพวกเธอ นี่เป็นการตอบแทนความหวังดีของเค้าคนเดิม
ที่สูญเสียความทรงจำไป ก่อนที่เค้าจะได้ความทรงจำกลับคืนมา

“ พวกเธอ…ขอบใจมากนะที่ยังเชื่อในตัวชั้น ”
เรกกะ กล่าวออกมาจากใจจริง นี่ไม่ใช่การเสแสร้งเพื่อหาตัวหมากมาใช้ แต่เป็นความรู้สึกจริงๆของเค้า

“ ก็พวกเรา เป็น เพื่อนกันนี่คะ ”
เอลิต้า กล่าวเสียงร่า

“ อืม….พวกเราช่วยที เปิดทางออกให้ชั้นที ”
เรกกะ ตะโกนก่อนที่ ทาลิวิลย่า ทั้ง 12 จะรับคำ และเตรียมใช้ท่าพิฆาตเพื่อโจมตีเกราะพลังงาน
ของValhala

“ แย่ล่ะสิหยุดพวกมันไว้ ”
ฮายาเตะ ออกคำสั่งแต่ก่อนที่เธอจะได้ทันกลับไปขวาง ก็ถูก ลอว์เรนซ์ รั้งลงมา ก่อนจะอัดด้วย ลำแสงมังกรที่
ยิงออกจากฝ่ามือ แต่เธอก็สร้างเกราะพลังงานขึ้นมากันได้ทัน

“ ขอบอกไว้ก่อนเลย ไม่ให้ไปขวางหรอกน่า คู่ต่อสู้ของเธอคือชั้น ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวจบก็พุ่งเข้าไป กระหน่ำดาบใส่เธอเป็นพัลวัล

“ Great of  Dragon… ”
ขณะที่เสียง เรกกะ และเสียงของเหล่า ทาลิวิลย่าทั้ง 12 ประสานขึ้นพร้อมกันนั้น
พวก หลีเมย่ที่คิดจะเข้ามาขวาง ก็ถูก ชารี่ ซิกนัม เอลิต้ าและ เฟนท์ ขวางเอาไว้

ขณะเดียวกันที่ด้านล่างนั้น กองเรือและยานทั้งหมดเริ่มถอยออกห่างเมื่อได้เห็น
แสงสว่างที่เปล่งวาบอกมาจากการรวมพลังของ เหล่า ทาลิวิลย่า


“ นั่นมันแย่แล้ว รีบออกยานเร็ว ”
ลูเทเซีย ที่เห็น แสงสว่างที่เปล่งวาบขึ้นท่าม กลางสนามรบได้สั่งการให้ออกยานหลบหนีทันที
โดยมี Iris และ Caribur ของ สุซาคุ และ เฟรเซีย ช่วยกันคุ้มกัน

“ G.O.D.!!!! ”
สิ้นเสียงลำแสงมังกรพลังงาน ทั้ง 13 สายก็รวมเข้าเป็นหนึ่งก่อนจะเจาะทะลวงเกราะป้องกัน
ของ Valhala ไปจนถึง ส่วนของอุปกรณ์ที่สร้างเกราะ ของ ป้อมปราการ จนพังในครั้งเดียว

ทำให้เกราะพลังงานที่หุ้ม ป้อมปราการ และ ทวีปเมอริเซียทั้งทวีปไว้ พังทลายลงแผ่นดิน
เมอริเซีย ได้ร่วงหล่นลงในทันทีโดยที่ ทัพมังกร ดำบางส่วนซึ่งยังอยู่ใต้ เมอริเซีย นั้นต่างโดน

แผ่นดินทั้งแผ่นทับกดลงไปด้วยกัน และความเร็วในการตกนั้น ได้พัดเอา เหล่ามังกรดำที่
ยังตกค้างอยู่ออกจากผืนทวีปที่ซึ่งแห้งแล้ง และดินเป็นสีดำ มีเพียง ต้น อิคดราซิล ที่เปล่งแสง

อยู่เท่านั้น จนหมด แผ่นดินแห่งเมอริเซีย ได้หวนคืนกลับสู่ เทอร่า แล้วทันทีที่ ผืนดิน
ประกบเข้ากันอีกครั้ง ก็เกิดแรงกระทบพัดเอาน้ำที่อยู่ด้านล่างจนเกิดคลื่นยักษ์

พัดไปรอบๆ แผ่นดินได้ประกบเข้าด้วยกันก่อนจะเชื่อมต่อสนิทดังเดิม ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็วในพริบตา เป็นผลให้ คลื่น พัดเข้าไปยังส่วนของ ทวีปอื่นที่จะได้รับผลกระทบ
ทว่า ผู้คนได้อพยพไปยังส่วนที่ปลอดภัยกันก่อนอยู่แล้วความเสียหายจึงมีแค่ส่วนน้อย

ตอนนี้ เหลือ เพียงแค่ปราการ ลอยฟ้า Valhala เท่านั้น ที่ต้องจัดการ เมื่อไร้เกราะคุ้มกัน เรกกะ กับ เฟนท์
ก็บุกเข้าไปข้างในได้ทันก่อนที่มันจะขึ้นไปในระดับที่สูงกว่านี้จนไม่อาจตามได้ทันพอดี

“ จากนี้ไปจะเป็นการตัดสิน ของพวกเราแล้วนะ เฟนท์ ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ เฟนท์ เดินตามเข้ามา

“ จากนี้ไปก็ขึ้นกับพวกเราแล้วล่ะ ”
เฟนท์ ตอบกอ่นที่พวกเค้า จะออกวิ่งไปตามทางสู่ห้องใจกลางของ Valhala หัวใจแห่งOdin


“ เข้ามาเลยเจ้าพวกแมงเม่า ชั้นจะเผาให้วอดไปเลยหึๆๆฮ่าๆๆๆ ”
โครโน่ กล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ขณะที่ตัวเค้าเปลี่ยนไปสวมชุด เกราะ Valkyrier ของเค้า
ซึ่งเป็นเสื้อโค้ท สีดำสนิท พร้อมหมวกทรงเรือ สีขาว และCrisisor รูปร่างคฑา ที่มีอัญมณีสีแดง

เรียงตัวลอยกันอยู่รอบอัญมณี ที่เชื่อมกับคฑา ส่วนมือซ้ายนั้นติดโล่ สีแดงทองซึ่งปล่อยละอองอนุภาค
ออกมาเรื่อยๆ  (Chrono, the Valkyrier of Odin)

(http://images.temppic.com/27-04-2009/images_vertis/1240848720_0.26508900.jpg)

…………..


“ Charge Rider Water Blade ”
สิ้นเสียงคลื่นดาบสีฟ้าสองลำก็พุ่งตัดหน้าพวกเขาไปแบบฉิวเฉียด

“ จากตรงนี้ไปชั้นจะให้ใครผ่านไปไม่ได้ทั้งนั้น ”
ไอ ซึ่งสวมเกราะอัศวินมังกรวารี ขณะที่ยืนขวางทางไปสู่ห้องหัวใจแห่ง Odin


“ เรกกะ ไปก่อนเลย ที่นี่ชั้นจะจัดการเอง ”
เฟนท์ กล่าวจบ เรกกะ ก็รับคำก่อนจะ พุ่งฝ่าออกไป ครั้น ไอ จะเข้าไป ขวาง เฟนท์ ก็
กระชากตัวเธอ ออกมาจากทาง


“ ที่ต้องสู้กับคนที่ไม่อยากสู้ด้วยไม่ใช่แค่ชั้นคนเดียวแต่นายด้วย เฟนท์
พยายามเข้าล่ะ ชั้นเองก็จะไม่ยอมให้มันล้มเหลวอีกเด็ดขาด ”
เรกกะ คิดขณะที่มุ่งตรงไปสู่ห้อง หัวใจแห่ง Odin ที่ โครโน่ รออยู่

โปรดติดตามตอนต่อไป

Final Saga

ทุกคนชั้นมาคิดดูแล้วบางที ตัวชั้นที่เป็นเพื่อนกับทุกคน อาจจะเป็น ชั้นที่เป็น ซาราเบลด แต่ตอนนี้
ในตัวชั้นยังมี ไฮเดย์ ที่เป็นชั้นอีกคน ระหว่างสองทางเลือกชั้นคงไม่อาจกลับไปเป็นซาราเบลด ได้อีก
แต่สิ่งที่ชั้นทำในตอนนี้ขอให้พวกนาย เชื่อในตัวชั้นด้วย นี่คือสิ่งที่ ซาราเบลด บอกกับชั้นในหัวใจ...

Final Saga Requiem ............ ด้วยบทเพลงส่งวิญญาณ  ลาก่อนทุกคนชั้นไม่อาจก้าวไปในแสงสว่างได้อีกแล้ว...



และแล้วก็ช่วงสครีมจ้า ทำไม๊ทำไม เรกกะ จ๋า ทำไมยังไม่บอกอีกหนอ ว่าเจ้าต้องการอันใด
ทั้งที่ เพื่อนๆต่างแห่กันมาช่วยประคบประหงม นายแท้ๆแต่ยังแข็งใจชั่วต่อไป เป้าหมายนายคืออะไรกันล่ะเนี่ย
แล้วยังชื่อตอนต่อไปอีก นายสัญญาแล้วน้า ว่าจะไม่ตายอ่ะ เดี๋ยวป้า เสียใจไม่รู้นะเออ พูดถึงป้า

โอ้ แฟนกะกิ๊ก ตีกัน ตอน ซานโผล่มานี่ นึกว่าจะพูดแบบนี้น่ะเนี่ย “ หนอย เรกกะนอกใจฉันเรอะ ” ฮาเหอๆๆ
กำลังจา Love seen แต่พี่ท่านโผล่มาขวาง ซะก่อน เลยค้างคาเลย ว่าแต่นี่สินะ เหตุซึนามิ ถล่มตุลาฯ
เตือนภัย โปรดระวัง ทวีปกำลังหล่นจากฟ้า ขอให้อพยพด่วนเนื่องด้วย ฮานามิ เอ๊ยซึนามิ จะมาเยี่ยมบ้านท่าน



คิดเหมือนกันมะ ว่าก่อน เรกกะ จะความทรงจำกลับมา รู้สึกตอนนั้นจะโง่กว่าตอนนี้นะ
เนี่ย พอความจำฟื้นพี่แกฉลาดเป็นกรดเลย เหอๆ เอาเถอะตอนหน้า อวสานแล้ว มาเอาใจ

ช่วยกันว่า เรกกะ จะครองโลกได้ไหม เอ๊ะ หรือต้องเชียร์ โครโน่ ให้ขวางเรกกะ ให้สำเร็จ
 แต่รายนี้สำเร็จก็ครองโลกนิหว่า เอาเข้าไป เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงประโยคของท่าน เจ้า หลิงเฉินในเนกิมะ

“ ธรรมมะ ปะทะ อธรรม อะไรนั่นไม่มีอยู่หรอก ความจริงโลกนี้คือการต่อสู้กันของฝ่ายธรรมมะ นับร้อยที่
ไม่ลงรอยกัน และผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์ ”

ช่างตรงจริงๆ ว่าแล้วจะให้ใครเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ดีล่ะ เรกกะ ...โครโน่


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: boy on April 28, 2009, 11:56:44 AM
อ๊ากกก  การ์ดครบแล้วล่ะ

แต่การ์ดผิงหน้าบีบเหมือนจงใจยัดใส่ปลากระป๋อง  ::010::    ผมกะว่าจะถามว่า  ..ทำไมหนูชารี่มีหลายฟอร์มจัง?

ครั้งหน้าตอนสุดท้ายแล้วววว  ::006::


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: Gee on April 28, 2009, 12:16:29 PM
Quote
ทำไมหนูชารี่มีหลายฟอร์มจัง?

สงสัยจะเป็นเพราะว่า ชารี่ จังมีต้นแบบมาจาก เกรซ นี่ล่ะมั้งคะ
 (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n004/5.jpg)

ซึ่งเกรซ เป็น Valkyrie ที่มีอสูรพิทักษ์ 3 ตัว คือ
1. ใช้ดาบ
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n004/15.jpg)
2.ใช้หน้าไม้
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n004/16.jpg)
3.ใช้แส้
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n004/14.jpg)


คิดว่า ฟอร์มเหล่านี้น่าจะมีที่มาแบบนี้ล่ะค่ะ สังเกตุจากชื่อฟอร์ม จะเป็นชื่อของอสูร ทั้งสามตัวค่ะ
(ละเอียดจริงนะฉัน) ที่จริงคิดเหมือนกันว่า ทำไมหลีเมย่ ที่เป็นตัวแทน ฟีโอโดร่า ถึงไม่มีมังกรพิทักษ์4ตัว
เข้ามาเกี่ยวด้วย แต่พอจะนึกเอาทำเนาอ่ะนะคะ ว่า ไอ้แท่งๆบินได้คือตัวแทน มังกรทั้ง 4

ผิดถูกประการใด ขออภัยด้วยนะคะ


ส่วนที่หนูรู้เรื่องของนิยาย ท่านเกรม่อน ดีเนี่ย เพราะที่จริงหนูตามเรื่องท่านมาตั้งกะเรื่องแรกแย้ว
แต่เมมเก่า จำพาสบ่ได้ เลยสมัครใหม่ค่ะ (ที่เมมหายเพราะคุณเกรม่อนหยุดพิมพ์ไปช่วงนั่นล่ะค่ะ)

ส่วนตัวจะมิกซ์เอาการ์ตูนมาเยอะหนูไม่ซีเรียสค่ะ แต่หนูชอบตรงการผูกเรื่องอ่ะ นักรบตัวแทนของ Valkyrie
แต่ล่ะตัวมีเอกลักษ์ที่บ่งบอกความเป็น Valkyrie ตัวนั้นๆด้วย ถึงบางส่วนจะดูความสามารถมันมั่วๆอ่ะนะคะ
แต่ส่วนใหญ่ ค่อนข้างมีจุดเชื่อมกับ Valkyrie มาก อยู่เหมือนกัน

ว่าแต่ตอนหน้าอวสานแย้ว


Quote
โอ้ แฟนกะกิ๊ก ตีกัน ตอน ซานโผล่มานี่ นึกว่าจะพูดแบบนี้น่ะเนี่ย “ หนอย เรกกะนอกใจฉันเรอะ ” ฮาเหอๆๆ

โอย ตอนหน้า R2 จังกับ ซาน จัง จะตบกันแย่ง เรกกะ ไหมคะเนี่ย (แอบฮา)

เผลอแปปเดียวนี่พิมพ์มาขนาดนี้แล้วเรอะ ::006:: เอาเป็นว่าแล้วจะรอดูผลงานท่านต่อไปเรื่อยๆนะค้า




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: cocka-c on April 28, 2009, 12:48:43 PM
โห ละเอียดแท้ ทีมงานเองยังอาย ทำไมรู้ดีจังจ๊ะหนูจ๋า  ถูกค่า เจ็ตอบแทนเกรม่อนคุงเลยเอ้า
ชารี่ ได้ต้นแบบมา  จาก เกรซ ซึ่งมีอสูร3ตัวพิทักษ์ วิหารที่เก็บ God Send ไว้
ดังนั้น ชารี่ ก็เลยมี ฟอร์ม 4ฟอร์ม คือ ฟอร์ม ต้นแบบที่ไม่มีพลังอะไร
ส่วนอีก3จะแยกเป็นอย่างนี้

1 Pagoda ฟอร์มนี้ใช้ดาบในการต่อสู้ จะถนัดในการรบประชิด หรือเวลาปะทะซึ่งๆหน้า

2.Zephyr ฟอร์ม นี้ใช้จู่ระยะไกล ซ฿่งเป็นรูปแบบที่ ชารี่ จะใช้เมื่อ ศัตรูถนัดการสู้ประชิด อย่างตอน
สู้กับ เฟนท์ เป็นต้น เพราะ เฟนท์ ถนัดการสู้ประชิดตัว

3.Raydawn ฟอร์ม นี้ไม่ได้ใช้ไว้ต่อสู็แต่ใช้สำหรับสนับสนุนการจู่โจม ด้วยการตรึงศัตรูไว้ด้วยแส้ หรือ
ใช้ในงาน จิปาถะ เช่นการเอาตัวรอดจากกับดักในวิหาร God Send ดังนั้นฟอร์มนี้จึงเหมาะ
เอาไว้ลุยดันเจี้ยนมากกว่า

ส่วน ฟีโอโดร่า ตีความได้ถูกอีกเหมือนกัน Bit ทั้งสี่แทนตัวของเหล่ามังกร 4 ตัว
ส่วนพัดเหล็กแทนตัวของ ฟีโอโดร่า

พูดถึง ฮายาเตะ จังไหงหนังสือเจ็แก ดูจะโกงสุดในเรื่องเลยมั้งเนี่ยเอาพลังของ Valkyrier
คนไหนมาใช้ก็ได้ ขอแค่เคยเห็นก็พอ แล้ว ลอว์เีรนซ์ คุงจะชนะไหมเนี่ย

ว่าแต่เจ็แกโกงแบบนี้ แล้วโครโน่ จะเออะไรไปโกงล่ะเนี่ย แต่ดูจากชื่อท่าพอจะทำเนาเอาได้ว่า เกรม่อนคุง
คงให้ใช้พลังจาก God Send ทั้ง 12 ซึ่งท่าแต่ละอย่างมีพลังต่างกันจะเท่ากับ ว่า
ท่าเดียวแยกออกเป็น 12 ท่า  ::007::


กลายเป็นโกงกว่าพระเอกอีก พูดก็พูดนะ ทำไมตอนนี้เรกกะ เหมือนจะโง่
 ตัวเองมี Genesis ตอนสู้กับพวก Valkyrier ไม่สะกดเอามาเป็นพวกซะล่ะ
หรือว่าลืมว่า ตัวเองมี Genesisห๊า ช่างดีกว่า รีบไปเตรียมบทเตรียมภาพ

มาเขียน วาย ได คุง กะฮิวาตาริคุง ก่องล่ะ ตายล่ะ แล่้วนี่เดี๊ยนจะทำภาพ ดาร์ค คุงออกมายังไงดีเนี่ย
เวอชั่นนี้ ทำยากนะว้อย ไดคุง ยังพอว่า(ทำอยู่ทุกวันแอบเอาหนุ่มๆที่ทำมาวายเล่น) แล้วยังเจ้า แครด
อีก  ::008::






Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: boy on April 28, 2009, 01:04:28 PM
^
^
มีตอนนึง หนูมาเรียใช้ genesis สะกด genesis คนอื่นไม่ให้ทำงานได้ในอาณาเขตนึงไม่ใช่เหรอครับ?   ???


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: greamon on April 28, 2009, 01:58:01 PM
Quote
มีตอนนึง หนูมาเรียใช้ genesis สะกด genesis คนอื่นไม่ให้ทำงานได้ในอาณาเขตนึงไม่ใช่เหรอครับ?

เอ่อ คือ genesis ของ มาเรียลูส นั้น คือการล้างผลอำนาจของ genesis ที่คนได้รับมานะครับ ไม่ใช้่การ
สะกด แต่ว่าที่เขียนบอกว่าป้องกัน genesis คือ ผู้มี genesis จะไม่ถูกผลกระทบจาก genesis
ของคนอื่น เหมือนมีภูมิคุ้มกันอะไรประมาณนั้น ส่วนที่ เรกกะ ไม่ใช้ genesis นั้นคาดว่า

จากตอนที่ บุกการประชุมสากล ที่ราฟ เข้าไปฆาตกรรมหมู่ คางุยะไม่สามารถ สะกดให้ ราฟ
หยุดนิ่งได้ ส่วน ลูเทเซ๊ย นั้นก็อ่านใจไม่ได้ทั้งหมด สาเหตุเป็น อานิม่า นั้นน่ามีความต้าน genesis ในระดับหนึ่ง แต่ราฟ ไม่ได้เป็น อานิม่า ที่สมบูรณ์ เลยถูก ลูเทเซีย อ่านใจได้แต่ไม่ได้ทั้งหมด

ดังนั้นที่เรกกะ ไม่ยอมใช้ genesis ในตอนนี้ เนื่องมาจากว่า อีกฝ่ายมี ฮายาเตะ
ที่ป้องกัน Genesis สมบรูณ์แน่นอน เพราะเธอเป็น อานิม่า แท้ แต่เหตุผลจริงๆที่ไม่ใช้
ทั้งที่ท่าใช้แล้วน่าจะได้พวก
หลีเมย่ มาเป็นพวกแน่นอนคือ

เรกกะ : สู้กันบนฟ้าอ่ะ ขืนใช้ Genesis ก็ต้องกลับร่างเดิมก่อน แล้วระยะสะกด มันแค่ เมตรกว่าๆเองแถมต้องมองตาอีกฝ่ายด้วย ถ้ากลับร่างเดิมกลางอากาศก็โดนมันหลับตายิงม่องเท่งก่อนใช้พอดี
ไม่ก็โหม่งโลกตาย


อืม สรุป ตอนสู้จะทำให้ใช้ไม่ได้สินะ  (ไมเหตุผลมันแปลกๆหว่า ::011::)

ว่าไปแล้ว ตอนหน้าอวสานแล้ว คงจะได้เฉลย สาเหตุที่ชื่อเรื่องมันเป็น R.R. แล้วสินะ
หึๆปมสุดท้ายที่ยังไง้ยังไง ก็ยังไม่คลายจะได้รู้กันตอนหน้าแล้วว่าหมายถึงอะไร ชื่อเจ๊ R2 เหรอ อันนั้นมันคลายไปแล้ว
หรือหมายถึง Dragoon Requiem งั้นต้องเป็น D.R. สิเอ หรือว่า Rashap X Recca กันหนอ
เหอๆแล้วแต่จะคิดนะเออ




 


Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: Gee on April 28, 2009, 06:23:18 PM
จะละเอียดก็ไม่แปลกนิคะ การ์ดซํม ซีรี่ย์ 12 Valkyrie เราตามซื้อเก็บจนครบเลย ชอบมากๆภาพสวย
โดยเฉพาะ Byna (เขียนถูกป่ะมะแน่ใจมันนานละ) กับดาบ Alex... อะไรนั่น ดูขลังมากๆ
เสียดาย ดาบราคาแพงเว่อเลยต้องตัดใจ พูดถึง 12 Valkyrie

ตอนนี้ valkyrier ออกมาแล้ว 13แต่ โครโน่ คุงไม่ใช่ Valkyrier ของ 12 Valkyrie นิ
แต่เป็นของ Odin แล้วจากที่นับดูมันขาด Byna ไปนิ แสดงบว่า Valkyrier ลำดับที่1 ที่บอกว่า
ไม่มีตัวตนอยู่
กับเครื่อง Termi อะไรนั่น เป็นของ Byna ใช่ป่ะ ว่าแต่ใครจะใช้ล่ะ ไม่ใช่มะมีบทน้า

Valkyrie จะออกไม่ครบ 12 ตัวก็ไม่ใช่ Valkyrie สิ

อีกหนึ่งปม เครื่อง termi ที่ใช้แปลงร่างของซาน เรกกะ เก็บไปไม่ใช่เหรอ
 ตอนส่งเมลล์ไปนัดเฟนท์ มาหาที่ท่าเรืออ่ะ บทที่ 16 อ่ะค่ะ แล้วไหงเครื่องยังไม่ได้คืนแต่แปลงร่างได้เฉย




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: greamon on April 30, 2009, 03:07:53 PM
Final Saga Requiem ....

........ ด้วยบทเพลงส่งวิญญาณ  ลาก่อนทุกคนชั้นไม่อาจก้าวไปในแสงสว่างได้อีกแล้ว...

…………………………………………………………………………………………………..

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ลำแสงมังกรนับสิบสาย ก็พุ่งออกจากดาบมาคายาเดีย ที่ ลอว์เรนซ์ ฟาดออกไป
ทั้งหมดมุ่งตรงไปที่ ฮายาเตะ ซึ่งกำลังคอยท่าอยู่

“ Sorrow Book ”  “ Carnalian Gauntlet ”
เสียงกังวาล ขึ้นจากปืนคู่ที่อยู่ในมือของเธอ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปเป็น
สนับมือ แบบของ เฟนท์ ทันทีที่เธอยื่มันมันออกไปสร้างเกราะพลังงาน อนุภาคของเธอก็เปลี่ยนเป็น
สีน้ำตาล และสร้างกำแพงพลังงานจำลองรูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุดใน Valkyrier คนอื่นที่พึงจะมีได้
เกราะสามารถทานการโจมตีทั้งหมดของ ลอว์เรนซ์ ไว้ได้แต่แรงกระทบก็ทำให้เธอถอยครูดไปไกล
เช่นกัน

“ อึก…พลังรุนแรงอะไรแบบนี้ เกราะของ เฟนท์ เป็นเกราะที่แกร่งที่สุดในบรรดา
พวกเราแล้วแท้ๆยัง… ”    “ Sorrow Book ”
ฮายาเตะ คิดขณะที่ เธอปลดกำแพงพลังงานออก พร้อมกับที่ สนัมมือทั้งสองข้างรวมกลับไปเป็น
หนังสืออีกรอบ

“ แย่ล่ะสิอีกฝ่ายมีรูปแบบการต่อสู้ที่มากกว่า 5 รูปแบบขึ้นไป ถึงพลังของเราจะเหนือกว่า
แต่อีกฝ่ายสามารถพลิกแพลงการจู่โจมได้ ทำให้ส่วนต่างของพลังที่ว่านั่น หายไป ”
ลอว์เรนซ์ คิดขณะที่จับดาบให้กระชับขึ้นไปอีก


“ เท่ากับว่าตอนนี้พลังของเราสูสีกัน… ”
ทั้งสองคิดด้วยความคิดที่เหมือนกัน ขณะที่ดูเชิงกันอยู่ในตอนนี้ เหนือน่านฟ้า ทวีปเมอริเซีย ที่ตอนนี้ถูกปลดลงไปจาก
Valhala แล้ว
 

…….

“ ก็าซซซซซซซซซซซ ”
เสียงคำรามอันดังกึกก้อง ดังกังวานขึ้นมาจากด้านล่าง สนามรบแห่งฟากฟ้า บนทวีปเมอริเซีย
ที่พื้นผิว ทวีป ราบเป็น แถบนั้น มังกรกายสีแดง และ ฟ้า กำลังอาละวาดด้วยความโกรธและสับสน

ที่สภาพรอบๆตัวของพวกมัน เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งการตกลงมาพร้อมกับ ผืนทวีป จากValhala
และสงครามที่เป็นกันอยู่ตอนนี้ ได้เร่งความเครียดของพวกมันจน อาละวาดด้วยพลังเต็มที่

เมฆพายุ และ ลมร้อนอันแห้งแล้ง ได้แผ่รัศมี ออกมา นี่เป็นการปะทะ กันอีกครั้งของ
มังกร ทาราสควีย์ และ นิลคาบาลนอร์ ที่สืบเนื่องยาวนานมาตั้งแต่เมื่ป สองร้อยปีที่แล้ว

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/44.jpg)  
(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n024/51.jpg)

การอาละวาดของ พวกมัน ทำให้บรรดา กองทัพ สหประชาคมโลก และสหพันโลก
ต้องถอนกำลังถอยห่างออกจาก จุดนั้น ทั้งที่ยังไม่ทันตั้งตัวหลังจาก รับคลื่นยักษ์ที่เกิดจาก
การร่วงหล่นของแผ่นทวีปทั้งแผ่น


“ เฮ้ๆ ดูท่าจะไม่ดีแล้วแฮะ ”
ไลท์ ที่กลายเป็น ทาลูคัส ของ เมอริเซีย กล่าวขณะที่ เห็นสภาพการณ์ เบื้องล่าง
ซึ่งกลุ่มพลังอำนาจของ มังกรทั้งสองตัวนั้น กำลังแผ่ขยายมาครอบคลุมถึง
น่านฟ้าที่พวกเค้ากำลังปะทะกันอยู่

“ ดูเหมือน ว่ามังกรสองตัวนั่นก็จะอยู่ในแผนของพวกมันด้วย ล่ะมั้งเพราะถ้าพวก
มันเสียแผ่นดินเมอริเซียไปก็จะมีการ อาละวาดของ มังกรสองตัวนั่น ป้องกันไม่ให้
 อิคดราซิล ถูกแทรกแซงได้กลับกัน พวกเราก็จะตามขึ้นไปไม่ได้ด้วย ”
ดาร์ค เปรยในตอนนี้ พวกเค้าอัศวินทาลิวิลย่า ทั้ง 12 ตน คือกลุ่มที่ว่างมือที่สุดแล้วหลังจาก
จัดการกับกองทัพ มังกรดำ ทั้งหมดที่กรูกันออกมาลงแล้ว

“ งั้นมัวรออะไรอยู่เล่า ที่นี่ก็กำลังตึงมืออยู่พวกเรารีบลงไปจัดการ ให้มันเสร็จๆเถอะ ”
ไฟร์ กล่าวซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ดังนั้น อัศวิน ทาลิวิลย่า ทั้ง 12 จึงลงไปจัดการกับ
มังกรทั้งสอง แทนและทิ้งให้ ลอว์เรนซ์ กับ พวก ชารี่ รับมือ กับ พวกของ ฮายาเตะ ไป

“ ทำไม….ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้…..ทั้งที่พวกเธอเองก็มีเป็าหมายเพื่อสันติของโลกไม่ใช่รึไง ”
หลีเมย่ ตะคอกขณะที่ เรียกเอาพัดเหล็กที่ ถูกลอว์เรนซ์ ปัดทิ้งไปตอนแรกกลับขึ้นมาจากทะเล
ก่อนจะ เร่งสร้างอนุภาคจาก พัดอีกที อนุภาคที่หลั่งไหลออกมา
ได้จับตัวอัดแน่นกันจน กลายเป็น Bit สี่อันดังเดิม

“ แล้วทำไม…ทำไม…ถึงได้ไม่เข้าใจกัน~~~ ”
หลีเมย่ ตะโกนเสียงหลง ท่ามกลางความสับสนต่อ สถานการณ์รอบตัวเธอที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้
อารมณ์กำลังตีกับอุดมการณ์ หัวใจของเธอถูกบีบคั้น ด้วยสถานการณ์ รอบตัว จนตอนนี้เธอไม่อาจรู้ดีชั่วอีกแล้ว
มีเพียงความแค้น ต่อสงครามเท่านั้นที่เป็นแรงผลักให้เธอ เดินหน้าต่อไป

“ ท่าน หลีเมย่ ”
หลงและผิง เอ่ยขึ้นพร้อมกัน พวกเค้ารู้สึกเป็นห่วงต่อสภาพจิตใจของ หลีเมย่ ดังนั้น จึงพยายามจะ
จบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ด้วยสายสัมพันธุ์ ที่อยู่ร่วมงานกันมานาน กับ หลีเมย่ ความต้องการของพวกเค้าทั้งสองจึง
เป็นความต้องการของ หลีเมย่ เช่นเดียวกัน

“ เพื่อ หลีเมย่ พวกเราจะแพ้ไม่ได้ ”
ทั้งสองกล่าว ก่อนจะ เริ่ม จู่โจมประสาน กับ หลีเมย่ โดยที่ Bit ทั้งสี่จะคอยยิง
ต้อนทางหนี ของพวก ชารี่ เอาไว้ส่วน หลง ใช้ความเร็วของเขา ลากเอา ซิกนัม ที่มีพลังมากที่สุด
 ออกจากกลุ่ม และให้ ผิง สร้างคลื่นไฟฟ้า ตรึงอีกสองคนที่ ด้อยกว่าไว้

“ นี่มัน….การโจมตีประสาน ”
ซิกนัม กล่าวขณะที่ ยกขวานรับการบุกของ หลง ที่ต้อนเธออกห่างจาก กลุ่มส่วน เอลิต้า ที่ต้องกางกำแพง
อนุภาค คุ้มกันการยิงของ Bit ทั้งสี่ เอาไว้ จึงไม่สามารถ สนับสนุนได้ และ ชารี่
ที่ต้องสู้กับอาวุธกินระยะ อย่างธนูของ ผิง จึงทำให้เธอลำบากไม่น้อย

“ ซิกนัม เอลิต้า ใจเย็นๆไว้ก่อน พวกเราก็โจมตีประสานบ้างสิ  ใช้ฟอร์เมชั่น A ”
ชารี่ สั่งจบ ซิกนัมกับ เอลิต้า ก็รับคำก่อนจะเริ่มทำตาม
ซิกนัม ออกแรงเหวี่ยงขวานไปรอบๆ จน หลง ต้องผละตัวออกห่าง ในช่วงวินาที
นี้ ชารี่ ก็พุ่งเข้ามา พร้อมกับคมดาบอนุภาค อีกห้าเล่มที่สร้างขึ้น

ขณะที่ Bit ทั้งสี่ของ หลีเมย่กำลังจะตามมา คุ้มกันนั้น ขวานของ ซิกนัมก็ถูกขว้างออกมา
กวาดทำลาย ทีเดียวจนหมด ในช่วงนั้น ผิง ที่ไม่ทันระวัง จึงถูกกระสุนพลังงาน

ที่รวมจากอนุภาคยิง กระแทกจนไปชนกับ หลง ทันทีที่รูปขบวนของอีกฝ่าย
แตกไม่เป็นท่า ชารี่ก็ เปลี่ยนฟอร์มของตัวเองกลับ ก่อนจะหยิบเอาแท่งโลหะ
สีเขียวออกมาแล้วกดปุ่มลงไป

“ Zephyr Form ”
สิ้นเสียง ชารี่ ก็เปลี่ยนชุดเกราะใหม่พร้อมกับ แท่งโลหะเปลี่ยนเป็น หน้าไม้

“ Golden Feather ”
สิ้นเสียง ชารี่ก็ลั่นไกหน้าไม้ลงไป ลูกดอกอนุภาครูปขนนก ถูกยิงออกมาครั้งละสามดอก
 และยิงรัวออกมาราวกับห่าฝน

“ Bit Recovery จากนั้น Ex-Charger จัดการเลย ”
หลีเมย่ สั่งจบพัดของเธอ ก็เปล่งแสงเร่งสร้างอนุภาคขึ้นมา

“ Bit Recovery ”
สิ้นเสียงจากพัด อนุภาคก็รวมตัวเป็น  Bit ทั้ง 4 อันอีกครั้ง
ก่อนที่พวกมันจะไปตั้งขบวน เป็นลำกล้องสำหรับยิงลำแสงพิฆาต

“ Extream Charge ”
สิ้นเสียง ลำแสงพิฆาต ก็พุ่งออกไปกวาดล้าง ลูกดอกทั้งหมดแต่เพราะการโจมตีนี้เป็นสวนกลับเพื่อป้องกันเท่านั้น
ดังนั้น ชารี่ จึงหลบมาได้ และยิงลูกดอกต่อ แต่คราวนี้ ผิงที่ ตั้งตัวได้แล้วจึงยิงศรอนุภาคสวนออกไป

กลายเป็นการดวลอาวุธเน้นระยะ ไปแทน ส่วน เอลิต้า ตอนนี้ ก็รวบรวมอนุาคแล้ว ยิงส่งออกปเป็นช่วงๆ
อยู่ด้านหลัง ซิกนัมที่คอย รับมือ กับ หลง ในขณะที่ หลีเมย่ คอยสวนการจู่โจมของ เอลิต้า พร้อมหาจังหวะจู่โจม

การปะทะของ ทั้งสอง ทีมนี้ สูสีกันเนื่องจาก ความสามัคคีของแต่ล่ะทีม ต่างแน่นแฟ้นไม่แพ้กันและกัน
ทำให้การต่อสู้ไม่อาจรู้ผลได้โดยเร็ว

 “ เก่งจริงๆ….สมแล้วที่เป็นทีมตัวจริง คุณหลีเมย่ ทั้งการวางแผนจู่โจมแล้วก็แก้ลำกลับ ”
ชารี่ คิดขณะที่ เธอยังคงต้องเพ่งสมาธิไปที่การ ดวลลูกศร กับ ผิง

“ ไม่เบาเลยนี่คือฝีมือของ ทีมนอกคอกงั้นเหรอ ทั้งสติปัญญา การตัดสินใจนับว่าเฉียบแหลม
ไม่ได้ด้อยไปกว่าเราหรือ เสนาธิการ เอลิซ่า ของทีม Celestial Saber เลย ”
หลีเมย่ เองก็คิดว่า ชารี่มีความสามารถในการเป็นผู้นำที่สูง ไม่น้อยไปกว่ากัน

…..

“ เธอน่ะชอบ เรกกะ อยู่ไม่ใช่เหรอ ”
R2 กล่าวขณะที่ควงหอกเพื่อปัดลำแสงกระสุน ที่ระดมยิงมาของ ซาน พลางถอยห่างเพื่อหาช่องจู่โจม
พวกเธอทั้งสอง สู้กัน อยู่เหนือน่านน้ำ ใต้ น่านฟ้า ที่พวก ลอว์เรนซ์ กำลังปะทะกัน
ซึ่งการ ปะทะของพวกเธอก็ไม่ได้ ด้อยไปกว่ากันและกันเลย

“ เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน นี่คือความปรารถนาของคุณพ่อและคุณแม่ ที่ฝากฝังให้ฉันขจัดสงคราม ”
ซาน กล่าวขณะที่กัดฟันข่มความรู้สึก ของตัวเองเอาไว้แล้วลั่นไกออกไปด้วย ความมุ่งมั่นต่ออุดมการณ์

“ งั้นเองสินะ เธอยังสับสนอยู่ล่ะสิระหว่าง หน้าที่กับหัวใจ แต่ปากก็บอกอยู่ป่าวๆว่าไม่สน
จะลั่นไกแต่ละทีกลับต้องข่มน้ำตา จนแทบร้องออกมาเป็นเลือดเชีวนะ ”
R2 เปรยจากที่เห็นสภาพของ ซานตลอดช่วงที่สู้อยู่กับเธอ คำพูดของเธอ
ทำให้ซาน ฉุนขึ้นมาชั่วขณะ เธอจึงหยุดระดมยิง แล้วเปลี่ยนมาโจมตีเต็มกำลังแทน

“ Apollo Coffin ”
สิ้นเสียง ลูกพลังงานนับร้อย ก็พุ่งออกไปโดยการควบคุมของเธอ ทว่าR2 ก็บินฉวัดเฉีวยน
หลบได้อย่างคล่องแคล่ว

“ เธอน่ะจะคิดเข้าข้างตัวเองไปถึงไหนกัน อ้างแต่อุดมการณ์ ปฏิเสธหัวใจของตน แล้วมา
ระบายความเสียใจกับฉันแทน แบบนี้มันลำบากนะ ”
R2 กล่าวยั่วเธอต่อไป จนในที่สุดเมื่อ ซาน คุมลูกพลังงานทั้งหมดรวมศูนย์ไปที่เธอที่อยู่กลางวงล้อม
เธอ จึงเริ่มร่ายคาถาออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา ทันทีที่ลูกพลังงานทั้งหมดพุ่งเข้าหา ร่างของ R2 กลับหายไปจาก
ตรงนั้นและมาโผล่ด้านหลัง ซาน แทน

“ เวทมนต์ งั้นเหรอ ”
ซาน คิดขณะที่ตอนนี้ตัวเธอเอง ไม่สามารถป้องกันตัวได้ เพราะพลังงานและ
สมาธิทั้งหมดต้องส่งไปกับการควบคุมลูกพลังงาน จากการใช้ท่าเมื่อครู่ ทำให้ หอกของ R2
สามารถเข้าประชิดตัวเธอได้อย่างไม่ยาก

“ เธอน่ะไม่เคยเข้าใจในตัว เรกกะ เลยแม้แต่น้อย ”
R2 กล่าวขณะที่รวมพลังไปไว้ที่หอกเพื่อใช้ ลำแสงมังกร

“ พูดอย่างกับเข้าใจเค้าดีนักล่ะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่หอกของเธอ จะถูก ชูริเคน พุ่งปัดหอกของ เธอจนหลุดมือไป

“ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ”
R2 อุทานเมื่อเห็น ผู้ที่เข้าแทรกการดวลระหว่างเธอ ซาน และก็ต้อง ตกตะลึงเข้าไปด้วยกันทั้งคู่
เมื่อผู้ที่มาช่วยนั้น คือ เอมิล และ ไรด์

“ ถึงจะเป็นศึกของความรักแต่ขอโทษด้วยนะ ที่พวกเราต้องเข้ามาแทรกเพราะเราคง
ให้เธอทำร้ายเพื่อนของเราไม่ได้หรอก ”
เอมิล กล่าวขณะที่กระชับหอกในมือขึ้นมา ส่วน ไรด์ ก็รับ ชูริเคน ที่ขว้างไปคืนมา

“ ให้ตายสิ จะรุมกันงั้นเหรอไม่สิที่ต้องแปลกใจมากกว่าทั้งที่
ฉันเป็นคนช่วยพวกเธอให้รอดมาได้แท้ แต่ก็ยังเลือกจะเข้าฝ่ายกับ พวกนั้นอีกรู้งี้ให้
เรกกะ ใช้ Genesisซะก็สิ้นเรื่องไปแล้ว ”
R2 เปรยขณะที่ ยกมือขอยอมแพ้ ด้วยสีหน้าไม่จริงจังอะไร

“ ก็จริงนะถ้าตอนที่อยู่ เกาะหลักศิลา ไม่ได้เธอช่วยไว้ล่ะก็พวกเราคง
ไปสวรรค์กันก่อนใครเพื่อนแล้วล่ะ แต่ไม่ต้องห่วงเราจะไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก
สบายใจได้ ”
ไรด์ กล่าวหยอกๆ

“ ไรด์ เอมิล...ดีล่ะถ้ามีพวกเธอ...ถ้ามีพวกเธอล่ะก็ ”
ซาน เปรยด้วยความปลื้มปิติ ที่ได้พบกับ เพื่อยของเธอ อีกครั้งทว่า ความยินดีนั้นกลับกลายเป็นความ
แปลกใจเมื่อ ไรด์ และ เอมิล เดินเข้ามาล็อคแขนเธอ แล้วพาถอยห่างออกจาก R2 สร้างความประหลาดใจ
ให้ทั้งกับ R2 และ ซาน

“ เดี๋ยวสิ นี่พวกเธอจะทำอะไรน่ะ ”
ซาน เริ่มโวยวาย เมื่อเห็นท่าทีแปลกของพวกเขา ซึ่ง R2 ก็มองด้วยสายตาที่อยากรู้เช่นกัน

“ แล้วพวกนายจะเอายังไงกับฉันล่ะ ”
R2 ถามเมื่อเห็นพวกเค้าทำท่าแปลกๆ

“ ก็ไม่ทำอะไรทั้งนั้นล่ะ ”
ไรด์ ตอบเสียงใส ทำเอา ซาน และ R2 งงเข้าไปอีก

“ ชั้นก็บอกไปแล้วนี่ว่าจะไม่ให้เธอทำร้าย เพื่อนของเรา แต่ไม่ได้บอกซักหน่อยว่า
จะขวางเธอน่ะ อยากทำอะไรก็เชิญ ”
เอมิล กล่าวจบ ซาน ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ แต่ริมฝีปากของ R2 กลับเหยียดยิ้มด้วยความขบขัน
เล็กน้อย

“ งั้นก็ขอบใจ.. ”
R2 กล่าวจบหอกของเธอที่ตกน้ำไปก็ลอยกลับขึ้นมา ก่อนเธอจะท่องคถา และเมื่อบริกรรมพิธี
ร่างของเธอ ก็พุ่งทะยานขึ้นไปเป็นแสง ที่รวดเร็ว มั่งขึ้นไปยัง Valhala ที่กำลังจะ ออกนอกชั้นบรรยากาศไปแล้ว

“ แปลกคนซะจริงเลยนะยัยนั่นน่ะ ทั้งที่ปากบอกว่าจะจับพวกเราเป็น ตัวประกันแต่สุดท้าย ดันเก็บเอา
เครื่อง Terminal ที่เราทำตกไปมาคืนให้เฉย แล้วก็บอกให้พวกเราทำตามใจ เนอะ ”
ไรด์ เปรยด้วยยิ้ม ใสๆที่ไม่เคร่งเครียดไปกับสถานการณ์

“ น..นี่มันยังไงกัน ”
ซาน กล่าวขณะที่มองหน้าทั้งสองคน เลิกลั่กไปมาด้วยความ งง งวย

“ ก็ไม่อะไรทั้งนั้นล่ะ ซาน นี่เธอยังคิดว่าตอนนี้พวกเราจะเปลี่ยนแปลงอะไร
ได้อีกงั้นเหรอ...นอกจากคอยดูผลที่จะเกิดต่อไปจากนี้ ”
เอมิล กล่าวเสียงเรียบ ทำให้เธอนิ่งไปซักครู่ แม้หลังจากขบคิดอยู่นาน แต่เธอก็ยังทำใจยอมรับ
ความเป็นจริงในตอนนี้ไม่ได้ตามนิสัยที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆของเธอ
“ แล้วสิ่งที่พวกคุณพ่อฝากฝังไว้กับพวกเราล่ะ ”
ซาน อ้างถึงอุดมการณ์ ของพวกเธอขึ้นมา แต่ เอมิล กลับส่ายหน้าเบาๆ

“ ซาน อุดมการณ์พวกเราน่ะ จบลงไปแล้ว พวกเราแพ้ตั้งแต่ที่ถูก โครโน่ หลอกใช้แล้ว ตอนนี้เรา
ได้แต่รอดูผลจะเกิดต่อไป ”
เอมิล กล่าวตัดกำลังใจของเธอ จนสิ้นในครั้งเดียว ซาน ที่รู้สึกหมดหวังจนถึงกับทำให้เธอทรุดตัวลง
โชคดี ที่ เอมิล กับ ไรด์ รับไว้ทัน ไม่งั้นเธอคงจมลงไปในทะเล ซาน ชะโงกหน้าดู
เงาตัวเองอยู่บนผิวน้ำที่ห่างไปจากใบหน้าของเธอไม่

มากนัก แต่สำหรับเธอในตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันห่างออกไป ไกลแสนไกล
ตัวตนของเธอทำเพื่อสิ่งใดคำตอบที่ควรจะสะท้อนออกมาจากเงาของเธอ แต่มันกลับเรือนลาง

“ เฟนท์ ถ้าเป็นน้อง....จะทำยังไงนะตอนนี้น้องตั้งใจจะทำอะไรกัน ”
ซาน คิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง ไปยัง ปราการ Valhala ที่ลอยตัวสูงไกลออกไปทุกทีๆ

............................
......................................




Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: greamon on April 30, 2009, 03:08:34 PM
“ Attack Ride Time Walk ”
สิ้นเสียง ไอ สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างรวดเร็วเหนือกาลเวลา ไปชั่วขณะ ในวินาทีนั้น
เฟนท์ ต้องรับเอาคมดาบของ เธอ ที่กระหน่ำฟันมานับร้อยครั้ง ในชั่วเสี้ยววินาที
 ก่อนที่เธอ จะตวัดดาบครั้งสุด กระแทกจนร่างของเค้า ปลิวกระเด็นไปกระแทกกับผนังทางเดิน

แต่ยังไม่ทันที่จะได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กำลังจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง หัวของเค้าก็ถูกมือของเธอจับ
 กระแทกเข้ากับผนังอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จนจมลงไปในผนังนั้น เธอจึงปล่อยมือออก ถุงมือเหล็กของเธอนั้น

ฉีกขาดไปกับการเสียดสีทุกครั้งที่ต้องจับหัวของ เฟนท์ กระแทกซ้ำไปมาและการเหวี่ยงดาบ ที่จับไว้อย่าง
แนบแน่น จนตอนนี้มือของเธอแดงและระบบไปทั้งสองข้างแล้ว

ส่วนเฟนท์ ที่ตอนนี้ยังคงสลึมสะลือ อยู่จากการถูกจับกระแทกไปมา จนลืมความเจ็บจากแผลถูก
ดาบของเธอ บาดลึกลงไปใต้ชุดเกราะ

“ ไอ...เธอกำลัง...ถูกหลอก..อยู่นะ ”
เฟนท์ กล่าวเสียงตะกุกตะกัก ขณธที่ หน้ากากของเกราะ ส่วนหนึ่งแตกร้าวออกมา เผยใบหน้าของของเค้า
ที่บอบช้ำจาการปะทะกับเธอ ที่ริมฝีปากนั้นมีเลือดไหลซึมออกมาหน่อยๆ

“ ถูกหลอก..งั้นเหรอ..ใช่สิฉันน่ะถูกหลอกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด
เห็นฉันเป็นแค่เครื่องมือ ไม่สนเลยว่าฉันจะรู้สึกยังไง..แม้แต่เธอเอง..เฟนท์ แม้แต่เธอก็ยังหลอกลวง ”
ไอ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ อยู่ภายใต้หน้ากากของชุดเกราะอัศวินมังกรวารี

เฟนท์ ที่ได้ยินแบบนั้นก็พยายามจะยันตัวลุกขึ้นมาโดยเอา พลองช่วยค้ำเพื่อยกตัวขึ้น
ถึงกระนั้นเค้าก็ยังคงเซถลาไปมาอยู่ จากอาการมึน

“ ไม่ใช่นะ ไอ ชั้นน่ะ.. ”
“ ใช่สิ... ”
เฟนท์ พยายามจะแย้งแต่ก็ถูกเธอขัดขึ้นมาซะก่อน

“ ทั้งเธอทั้ง เรกกะ ทุกคนต่างก็หลอกลวงฉัน โกหก ฉัน ไม่มีใครสนใจความรู้
สึกของฉันเลย..ถ้าจะอยู่ต่อไปแบบนี้ล่ะก็สู้ลบมันให้หมดไปซะยังจะดีกว่า ”
ไอ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้

“ ไอ... ”
เฟนท์ เปรยถึงสีหน้าของเธอจะถูกหน้ากากบดบังเอาไว้ แต่การแสดงออกของเธอได้ทำให้เค้ารู้ว่า เธอกำลังสับสน
จากอดีตที่ผ่านมา

“ การที่ความทรงจำที่คิดว่าไม่เคยมีกลับคืนมา มันคงทำให้เธอสับสนมากเลยสินะ..
บางทีเรกกะ เองก็อาจจะเหมือนกัน ”
เฟนท์ คิดและเมื่อลองจินตการดูว่าหากเค้าเป็นเธอ ก็คงจะสับสนเช่นเดียวกัน

“ อย่างที่ เรกกะ บอกไว้ ตอนนี้โลก มันสับสนวิปริตไปหมดแล้ว ไม่ว่า ไอ พี่ หรือคนอื่นๆ
ต่างก็ถูกปั่นหัวไปจนหมด มีวิธีเดียวที่จะจบเรื่องนี้ได้ ”
เฟนท์ คิดขณะที่ กระชับ พลองไว้ด้วยสองมือ

“ โลกที่สับสนเกิดจาก ความพยายามที่คิดจะทำให้ โลกกลายเป็นสวรรค์ แต่มันกลับสร้างสรรค์นรกขึ้นมา
โลกที่จองจำผู้คนเหล่านี้ไว้ วิธีที่จะปลดปล่อยผู้คนไม่ให้ขังตัวเองไว้ในอดีตก็คือ.. ”
เรกกะ คิดขณะที่กำลัง ตรงไปตามทางเดินที่มืดสลัวนี้ จนมาหยุดอยู่ที่บานประตูขนาดใหญ่ ซุ่งอยู่สุดทาง

“ Dragoon Requiem ”
ความคิดของ เรกกะ และ เฟนท ์ ในตอนนี้ได้พ้องเข้าด้วยกัน เฟนท์ ตัดสินใจลบภาพของ ไอ ออกไปจากหัว
เพื่อจะสู้ตัดสินกับเธอ เพื่อให้แผนการดำเนินต่อไป ในขณะที่ เรกกะ ตัดสินใจและเลือกที่จะเผชิญหน้า กับ
โชคชะตา ของเค้า

“ ไอ...ที่เธอพูดมามันเห็นแก่ตัวเกินไป...เกินไปจริงๆนั่นแหละ ”
เฟนท์ ฝืนใจกล่าวเสียงแข็งออกมา พร้อมกับตีสีหน้า เย็นชาออกมาให้เธอเห็น และหลบซ่อนความรู้สึกของตนเอาไว้

“ ด้วยการตัดสินใจ นี้มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชั้นจะทำได้เพื่อเธอ.. ”
เฟนท์คิด ขณะที่ ไอ ที่ได้ยิน คำพูดของเค้า ก็นิ่งชะงักไปเมื่ออยู่ๆท่าทีของเค้ากลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ เห็นแก่ตัวงั้นเหรอ...พูดมาได้นะ..ทุกคนก็เห็นแก่ตัวเองกันทั้งนั้นล่ะ ถึงหลอกลวงย่ำยีหัวใจของคนอื่น ”
ไอ ตะหวาดก่อนจะควงดาบสองปลายขึ้นมากระชับไว้

“ เพราะงั้นก็เลยอยากจะลบมันทิ้งไปงั้นเหรอ...แบบนั้นน่ะ มันก็แค่หนีไปจากความจริงเท่านั้น ”
เฟนท์ กล่าวทำให้เธอ อึกอึงไปด้วยคำพูดของเขา

“ ถึงโชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอ มามากมายแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ จะมาลบความ
ปราถนาของคนอื่นหรอกนะเธอเองก็มีเหมือนกันใช่ไหมล่ะความปรารถนาน่ะ ถึงได้พยายามที่จะ
มีชีวิตอยู่เรื่อยมา ”
เฟนท์ กล่าวจบ ทั้งสองต่างก็มองหน้ากันอยู่สักพักก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกัน

..........................
..................................
แอ๊ดดดดด  ครืนนนนน ปึง!~

เสียงครางที่ดังขึ้นจากการลากประตู บานยักษ์ทั้งสองที่ค่อยเปิดออก ที่อีกฟากของประตู เป็นห้องที่ส่องสว่าง
ด้วยแสงไฟจนกลายเป็นสีส้ม ทั้งห้องภายในนั้นโอโถง มุมของห้องและผนังทั้งหมด เว้าโค้ง จนทำให้ห้อง

มีลักษณะเป็นเหมือนข้างในทรงกลมของลูกบอล ขนาดใหญ่ ที่ใจกลาง มีเสาเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่
สายไฟของมันเชื่อมต่อระโยงระยาง ขึ้นไปบนเพดาน และที่บริเวณ ฐานเครื่องใกล้ๆกันนั้น

มีแกนแท่งโลหะ ทรงกระบอก
ซึ่งติดตั้ง God Send ทั้ง 12 เอาไว้เชื่อมติดกับพื้น โดยที่ มีสายไฟจาก เสาเครื่องจักรเชื่อมต่ไปที่มันด้วย

ระหว่างประตูนี้และประตูอีกฟากเชื่อกันไว้ด้วยสะพานทางเดินสีขาวไร้ราวกั้นที่ทอดยาวไป
ไกลจนถึงอีกฝั่ง เส้นทางนั้นไม่กว้างและก็ไม่แคบจนเกินไป รอบๆของห้องนั้นยังเต็มไปด้วย

จอภาพโฮโลแกรม ลอยค้างติ่งอยู่ในอากาศ ประปรายและบดบังผนังของห้องจนแทบมองไม่เห็น
บนจอภาพเหล่านั้น ฉายสภาพ จากทั่วทั้งเทอร่า ให้เค้าได้เห็นในเวลาเดียวกันทั้งหมด

“ ยินดีต้อนรับกลับมานะ พี่น้องของเรา...เรกกะ ไฮเดย์ ”
เสียงของโครโน่ ดังมาจาก กลางสะพานที่ทอดยาวนี้ เรกกะ ที่มองเห็นอีกฝ่ายอยู่ก็ไม่รีรอที่จะ
ฟังสุรเสียงใดของอีกฝ่ายต่อไป

“ Great of Dragon ”
สิ้นเสียง ลำแสงมังกรก็พุ่งออกจาก โล่ ออกมานับ สิบสาย ลำแสงทั้งหมดพุ่งตรงไปยัง โครโน่ ทว่าก่อนที่
จะเข้าถึงตัวของอีกฝ่าย

“ God Send ”  “ Gate of Valhal ”
สิ้นเสียงที่กังวานมาจาก เสาจักรกล สภาพของห้องก็เปลี่ยนไป กลายเป็น หุบเขาที่ มีคลื่นไฟฟ้า สถิตย์
อยู่ทั่ว สภาพที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้ สร้างความประหลาดใจให้ แก่ เรกกะ จนถึงกับต้องนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

“ อัศนีแห่ง ทอร์ เอ๋ยจงคำรามเพื่อข้า ”
สิ้นคำของ โครโน่ คลื่นไฟฟ้า รอบก็ผันเป็น สายฟ้า ก่อนจะพุ่ง มาสลายลำแสงมังกรจน หายไปหมดในคราเดียว
แล้วสภาพห้องก็ เปลี่ยนกลับมาดังเดิม


“ เมื่อกี้นี้มัน...อะไรกัน ”
เรกกะ คิดด้วยใจที่สับสนไปชั่วขณะ กับสิ่งที่พึ่งเกิดไป

“ นี่คือพลังของ God Send หัวใจแห่งหุบเขา Valhal อันเป็นที่สถิตของ เทพแห่งอัศนี ทอร์ (Thor) ยังไงล่ะ ”
โครโน่ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ เรกกะ เริ่มแสดงออกมาอย่างเห็นชัดถึงความสงสัยของเขา

“ God Send ชิ้นนี้ถูกพิทักษ์ ในานมของ Brightte ซึ่งมีหน้าที่ปกปักษ์รักษาทางเข้าแห่งหุบเขา Valhal
สภาพที่เปลี่ยนไปเมื่อครู่คือพลังของ God Send ชิ้นนี้ที่จะสามารถเรียกใช้พลังจาก Valhal ได้ ”
โครโน่ อธิบาย จบเรกกะ ก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้แล้ว ว่าพลังของเค้าในตอนนี้ ไม่อาจเทียบเคียง
กับ โครโน่ ได้แม้แต่น้อย

“ นายเองก็คงจะรู้สินะ ชิ้นอื่นๆก็เหมือนกันต่างมีพลังที่จะควบคุมหรือเรียกใช้ พลังอันกล้าแข็งได้
พูดได้เลยว่า หากควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ ข้าก็ไม่ต่างไปจากพระเจ้า ”
โครโน่ กล่าวก่อนจะทยอยสำแดงอำนาจของ God Send แต่ละชิ้นขึ้นมา

“ God Send Sword of Adamas ”
สิ้นเสียง ก็ปรากฏดาบขนาดใหญ่ ลอยขึ้นอยู่เหนือพวกเขา

“ นี่คือ ดาบแห่งชัยชนะ อาดามาส ที่ปกป้องในนามของ  Bryna เมื่อมีพลังของสิ่งนี้ข้าคือผู้กุมชัยชนะต่อทุกสิ่ง ”
โครโน่ เปรยก่อนจะ ดีดนิ้วเคาะไม้เท้าของตน อีกทีอัญมณี ทั้งสี่รอบหัวไม้เท้าก็เริ่มหมุน
อีกครั้งก่อนจะหยุดและส่งเสียงออกมา

“ God Send World of Dream ”
สิ้นเสียง ดาบแห่งชัยชนะได้จางหายไป ก่อนที่สภาพของห้องจะเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้
ห้องกลายเป็นมิติที่เวิ้งว้าง และมีประกายแสงที่ลอยละล่อง ออกมาเรื่อยๆคละคลุ้งไปทั่ว

“ นี่คือมิติแห่งความฝันที่ถูกพิทักษ์ โดยนามแห่งDaniella มิตินี้หากจินตนาการซึ่งสิ่งใดมันก็จะ
ปรากฏขึ้นมายกตัวอย่างเช่น ที่นี่กำลังมีฝนตกลงมา  ”
โครโน่ กล่าวจบน้ำฝนก็เริ่มโปรยปรายลงใน มิตินี้ทั้งที่ไม่มีเมฆ หรืออะไรเลยที่จะทำให้ฝนตกลงมาได้
หากแต่ฝนนั้นเมื่อต้องเนื้อถูกตัวกลับไม่เปียกหรือชื้นเลยแม้แต่น้อย

“ ถึงมันจะบันดาลสิ่งใดได้แต่ที่จริงมันก็แค่ความฝันเท่านั้น
แต่ด้วยพลังนี้ข้าจะควบคุมความฝันของผู้คนได้  ”
โครโน่ กล่าวจบก็เรียกใช้ God Send อันต่อไปทันที มิติได้จางหายไปและกลับมาเป็นห้องเดิม

“  God Send Genevieve Orb ”
สิ้นเสียงก็เกิดทรงกลมพลังงานใสขึ้นห่อล้อมตัวของ โครโน่ ไว้

“ นี่คือ God Send ที่ถูกพิทักษ์ ในนามแห่ง Geraldine มันคือลูกแก้วเจนนะวีฟ ซึ่งกลั่นตัวขึ้นมาจาก
กระแสแห่งชีวิต (Life Stream) ที่จะปกป้องผู้ครอบครองจากพิษภัย ความเจ็บป่วย ได้ทุกชนิด

ด้วยพลังนี้ข้าจะไม่มีวันทรมานด้วยพิษร้ายหรือโรคภัยใด ก็มิอาจกร้ำกรายข้า ความเป็นอมตะ
ของข้าจะไม่มีวันอยู่อย่างทุกข์ทรมาน เพราะโรคร้าย  ”

โครโน่ กล่าวจบก็ยกเลิกพลังนี้และเปลี่ยนไปใช้อันต่อไป


“ God Send Emblame of Unholy Gods ”
สิ้นเสียง ก็ปรากฏลายเส้นตราสัญลักษณ์ วาดขึ้นในอากาศ ก่อนที่ตราจะเปล่งแสง
ปีศาจ และ เทวทูต ได้ปรากฏขึ้น จาก ตรานั้น แต่ทั้งสองกลับเป็นดั่งหุ่นเชิด เพราะต่างไม่มี
ท่าทีของการมีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อยนิด

“ นี่คือ ตราเทพมาร ซึ่งถูกปกป้องในนามแห่ง Grace ผู้ครอบครองมันจะสามารถอัญเชิญได้ทั้ง
เทพและปีศาจแลกกับอายุขัย ของตน แต่ข้าคือ อานิม่า ผู้เป็นอมตะ จึงไม่มีวันสูญเสียสิ่งใดเป็น
ข้อแลกเปลี่ยนทั้งนั้นด้วยอำนาจนี้ข้าจะอยู่เหนือสวรรค์และนรก ควบคุมได้ทั้งเทพและมาร ”

โครโน่ เปรยจบก็ เปลี่ยนไปยังอันต่อไป ทันที

“ God Send Flare of Soul ”
สิ้นเสียง สภาพห้องก็เปลี่ยนไปอีกครั้งคราวนี้ พวกเค้าได้เข้ามาใน ถ้าภูเขาไฟอันร้อนระอุ ที่
ประปรายไปด้วยดวงไฟ ซึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ นับล้านๆดวง

“ นี่คือ God Send ที่ถูกพิทักษ์ โดย Brenda มันสามารถเรียกใช้พลังแห่งภูเขาไฟ Badia ดวงไฟเหล่านี้คือ
ดวงไฟแห่งชีวิต เมื่อดับลง 1 ดวงแปลว่าสิ่งมีชีวิตได้ตายลง1สิ่ง หากดวงไฟส่องสว่างขึ้น 1 ดวง แปลว่า

มีชีวิตเกิดขึ้นใหม่ 1 ชีวิต ด้วยพลังนี้ข้าควบคุมชีวิตของทุกสิ่งในเทอร่า และรังสรรค์เป็นจ้าวแห่งชีวิต
 แต่เสียดายที่ทั้งเจ้าและข้า เราต่างก็เป็น อานิม่า ที่สมบูรณ์ ดังนั้นไฟของข้าและของเจ้าจึงไม่อยู่ในที่นี้ด้วย ”

โครโน่ กล่าวจบ God Send ชิ้นถัดไปก็ทำงาน

“ God Send Mirror of Mandara ”
สิ้นเสียงสภาพของ ภูเขาไฟ Badia ได้จางหายไปกลับมาเป็นดังเดิม ก่อนจะปรากฏ
บานกระจกใส ขนาดใหญ่ขึ้นขวางกั้นระหว่างพวกเค้าทั้งสองไว้ และแม้จะ
มองทะลุผ่านกระจกเห็นอีกฝ่ายแล้ว บนกระจกยังมีภาพสะท้อนของพวกเค้าทั้งสองคนอยู่ด้วย

โดยภาพของ เรกกะ และ โครโน่ ที่สะท้อนออกมานั้น เป็นร่างของพวกเค้าสองร่างที่เหมือน
กันหากร่างหนึ่งนั้นดำมืด และมีสีหน้าที่เย็นชาต่างกับอีกร่างหนึ่งที่สว่างสดใสและมีใบหน้าที่อ่อนโยน

“ นี่คือ God Send ที่ถูกปกป้องโดย Maya กระจกแห่งสรวงสวรรค์ มีพลังในการสะท้อนภาพจิตใจ
ส่วนลึกของผู้ที่ส่องมันออกมา ด้วยอำนาจนี้ข้าจะมองทะลุซึ่งจิตใจของผู้คน ที่ภาพบนกระจกไม่สะท้อน
ด้านใดด้านหนึ่งของทั้งเจ้าและข้านั้นเพราะเราเป็น อานิม่า สิ่งที่อยู่สูงกว่าจิตใจของตน กระจกนี้จึงไม่อาจ
สะท้อนด้านใดของเราได้ หากแต่มีพลังนี้ข้าก็สามารถล่วงรู้ได้ถึง ความคิดของผู้อื่น ”

สิ้นคำของ โครโน่ God Send ชิ้นต่อไปก็สำแดงพลัง พร้อมกับที่ บานกระจกได้หายไป

“ God Send Circle of Time ”
สิ้นเสียง ก็ปรากฏ จักรกลซึ่งประกอบด้วงวงแหวนฟันเฟือง และส่งเสียงติ้กตอก ออกมาเหมือน นาฬิกา

“ คิดว่าเจ้าคงเคยเห็นมันมาแล้ว เพราะตอนที่ไปนำมันออกมาจาก มิติแห่งกาลเวลา กับทีมฮาร์ทไฟล์
เจ้าก็อยู่ด้วยนี่เนอะ ”
โครโน่ กล่าว ซึ่ง เรกกะ เอง ก็จำได้ถึงรูปลักษณ์ ของเครื่องนี้ เค้าเคยพบมันตอนที่ช่วย พวก ชารี่ ไปเก็บกู้มันมา
ตอนที่เค้าสูญเสียความทรงจำไป

“ คิดว่าเจ้าคงรู้ถึงพลังของมันมาบ้างแล้ว สิ่งนี้พิทักษ์อยู่ในนรามแห่ง Josslyn มันคือวงแหวนแห่งกาลเวลา
แต่อำนาจของมันไม่ใช่การควบคุมเวลาหรอกนะ หากแต่เป็นการล่วงรู้ซึ่งเวลา ทั้งในอดีตและอนาคต แน่นอน

พลังของมันก็เป็นดั่งความทรงจำให้แก่ผู้ครอบครอง เพราะเวลาทั้งหมดนั้น ข้าจะรับรู้มันได้ก่อนทุกคน
 เวลาของทุกสิ่งก็จะเป็นดั่งความทรงจำของข้าเท่านั้น ”

โครโน่ เปรย และแล้ว วงแหวนแห่งกาลเวลาก็หายไป ก่อนที่ ชิ้นต่อมาจะเริ่มทำงาน

“ God Send Cup of Bless ”
สิ้นเสียง เหยือจอกซึ่งรูปลักษณ์นั้นทพออกมาด้วยความประณีต และงดงาม ได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าพวกเขา

“ นี่คือ จอกแห่งพระพรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถูกปกป้องโดยนามแห่ง  Anita ด้วยอำนาจของสิ่งนี้ ข้าจะสามารถรักษา โรคภัยได้ทุกชนิด เมื่อรวมกับลูกแก้วเจนนะวีฟ อันก่อนแม้ข้าจะพลาดท่าถูกวางพิษ ข้าก็สามารถรักษาได้ สมดั่งปราถนา ”
โครโน่ กล่าวจบชิ้นถัดไก็ทำงานต่อ จอกได้หายไป

“ God Send The Forbidden Book ”
สิ้นเสียง หนังสือเล่มหนา ก็ปรากฏขึ้นในมือของโครโน่ เมื่อพลิกหน้ามันออกมา ก็ปรากฎ แสงที่ฉายออกมา
เป็นศัพท์ วิชาชั้นสูง ทั้งมนตราคาถา แผนที่เก็บสิ่งลับ หลักการใช้อาวุธชั้นสูง

“ นี่คือ หนังสือต้องห้าม ซึ่งปกป้องโดย Dahna สิ่งนี้ได้บันทึกสรรพวิชาชั้นสูง
 ทุกแขนงเอาไว้ทั้งหมด แน่นอนต่อให้เป็นข้าก็คงมิอาจเรียนรู้ได้ทั้งหมดแต่หากใช้คู่กับสิ่งนี้ล่ะก็ ”
โครโน่ กล่าวจบ ก็สั่งให้ ชิ้นต่อไปทำงานต่อทันที

“ God Send Hemelt of Absolute Knowledge ”
สิ้นเสียง ก็ปรากฏหมวก รูปทรงประหลาดซึ่งติดปีกนกเอาไว้ที่ปีกหมวกทั้งสองข้าง

“ สิ่งนี้คือ หมวกรู้แจ้ง ถูก พิทักษ์โดย Feodora มันคือของที่จะนำมาใช้คู่กับ ตำราต้องห้ามเล่มนี้อย่าง
ดีเลยทีเดียว เพราะหมวกนี้มีอำนาจที่จะทำให้ผู้สวม เรียนรู้ สรรพวิชาที่ตัวเองได้เห็นได้อย่างถ่องแท้ในครั้งเดียว”
โครโน่ กล่าวจบก็ ส่งของทั้งสองกลับไป ก่อนจะเดิน God Send ชิ้นสุดท้าย

“ God Send Gate of Hell ”
สิ้นเสียง สภาพห้องก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้มันกลายเป็นความมืดมิด ที่ว่างเปล่าไป

“ พลังของสิ่งนี่คือ ประตูไปสู่ยมโลก หากข้าต้องการทำลาย เทอร่า เพียงเปิดประตูนี้เหล่า
วิญญาณร้ายก็จะแห่กันขึ้นมาบนโลก และนำ เทอร่า เข้าสู้หายนะ
มันเป็นประตูที่ปกป้องในนามของ Cynthia เป็นอาวุธสุดท้ายที่ข้าจะใช้.. ”

โครโน่ เปรยจบ ห้องก็กลับคือสู่สภาพเดิม ก่อนที่เค้าจะยิ้มกระหยิ่มในชัยชนะที่แทบไม่ต้องลงแรงอะไรเลย หาก
ต้องสู้กับ เรกกะ ด้วยพลังที่เขามีในตอนนี้



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: greamon on April 30, 2009, 03:09:14 PM
“ และสุดท้าย เมื่อรวมพลังของทั้ง 12 สิ่งเข้าด้วยกันกับการประสานเสียง
 ของ อิคดราซิล ลำแสงโอดีน ที่จะบันดาลและสลายทุกสิ่งได้ดั่งใจก็จะทำให้ข้าเป็นพระเจ้า
ถึงพวกอแกจะ ตัดส่วนของ เมอริเซ๊ย ลงไปจาก Valhala ได้แต่ลำแสงโอดินก็ยังยิงได้อยู่ดี เรกกะ
เจ้าไม่มีวันชนะข้าอย่างเด็ดขาด ”

โครโน่ ข่มหลังจากที่สำแดงอำนาจทั้งหมดออกมา ให้เป็นที่ประจักษ์ ทว่า ใบหน้าที่หวาดกลัวหรือยอมจำนน ที่เค้าต้องการเห็น กลับไม่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ เรกกะ

“ คิดจะปกครองผู้คนด้วยของแบบนั้นน่ะเหรอ...ความคิดเจ้าช่างไม่ต่างไปจากเด็กๆเลยนะ น้องของข้า ”
เรกกะ กล่าวพลางยกโล่ขึ้นกระชับไว้ เพื่อรับการบุก

“ คนที่ทำตัวเหมือนเด็กท่านพี่เองไม่ใช่เหรอ ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างผู้ใหญ่ซะจะดีกว่าไหม ”
โครโน่ กล่าวจบ ทั้งสองก็ปะทะกันโดยงัดเอาพลังทั้งหมดที่มีออกมาใช้
ทันทีที่ โครโน่ ปลดปล่อยพลังของ God  Send ทั้งหมดออกมา สภาพรบอห้องก็สลับผลัดเปลี่ยนกันไปมา
อย่างรวดเร็ว เพื่อใช้พลังของแต่ละชิ้น รวมทังอาวุธวิเศษ เครื่องป้องกันครอบจักรวาลต่างก็ถูกงัดออดมา

...................
..................................

“ นี่ มิมิ เราสองคนเนี่ยเหมือนคนนอกไงก็ไม่รู้เนอะ.. ”
โคเว็ท เปรยขึ้นอย่างเงียบๆขณะที่ นั่งแกว่งขาเล่นอยู่บนโต๊ะ ไปพลางๆโดยมี มิมิ
กำลังดูอัลบั้มรูปถ่ายที่พวกเธอถ่ายด้วยกันไว้ เมื่อก่อนนี้ ทั้งรูปรวมในห้องเรียน รูปตอนกิจกรรมต่างๆ

แม้แต่รูปตอนที่ เฟนท์ ไป เดทกับ ไอ ที่พวกเธอแอบไปตามถ่ายโดยไม่ได้บอก ทั้งสองคน หรือ
ตอนเตรียมงานโรงเรียน มี่ภาพนั้นได้สิ้นสุดลงเพียงแค่วันนั้น เพราะหลังจากนั้น เป็นวันที่พวกเค้าต้องพบ

กับความเปลี่ยนแปลงหลังจาก วันที่ ไอ เสียพ่อบุณธรรมไปพวก เฟนท์ ก็เปิดเผยตัวเป็น Valkyrier พร้อมกับที่
เรกกะ หายตัวไป และกลับมาอีกครั้งในฐานะ ของประธาน สหประชาคมโลก 

“ ไหงพูดแบบนั้น โคเว็ท.. ”
 มิมิ กล่าวเสียงทุ้ม ด้วยความสงสัย

“ ไม่อยากจะเชื่อเลยเนอะ ว่าตอนนี้เพื่อนของเรา กำลังสู้กับคนทั้งโลกอยู่น่ะ ”
โคเว็ท เปรย หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเธอแล้ว มิมิ ก็ถึงกับถอนหายใจ

“ เฮ้อ..ก็ทำไงได้ล่า พวกเราน่ะไม่ได้มีพลังอะไรแบบนั้นกันซักหน่อยนี่เนอะ ”
มิมิ บ่นอุบอิบ ขณะที่มองผ่านหน้าต่างซุ้มหลบภัยออกไป ด้านนอก
ท้องฟ้ายังคงมืดมัวไปเมฆหมอก และแสงที่วาบมากับเสียงระเบิดที่แว่วมาจากสนามรบ
ที่ห่างไกลออกไป

.........................
................................

“ แฮ่กๆ...ดูท่า...ฉฮ่ก..จะต้องตัดสินกัน...ในกระบวนนี้สินะ ”
ลอว์เรนซ์ กล่าวไปหอบไปพลาง ก่อนจะจับดาบให้กระชับขึ้น

“ แต่ ฉันว่าคงไม่ต้องแล้วล่ะ ”
ฮายาเตะ กล่าวเสียงเรียบก่อนจะลดมือลง และ คืนกลับ Crisisor ของเธอสู่รูปเดิม
สร้างความประหลาดใจให้แก่ ลอว์เรนซ์ ไม่น้อย

“ นี่มันอะไรกัน ”
ลอว์เรนซ์ ถามด้วยความสงสัย ซึ่งเธอก็ยิ้มน้อยๆก่อนตอบ

“ ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะฉันชอบเธอขึ้นมาก็ได้มั้ง ”
ฮายาเตะ กล่าวหยอกเล่นๆขึ้นมาทำเอา ลอว์เรนซ์ ถึงกับเสียหลักไม่เป็นท่า

“ ล้อเล่นหรอกน่า...แผนของฉันสำเร็จด้วยดีแล้ว การแสดงนี่ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ”
ฮายาเตะ กล่าวแก้ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียง กลับมาเหมือนเดิม ทำให้ ลอว์เรนซ์ สงสัยใน
ความหมายของสิ่งที่เธอพูด

“ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่าฉันไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ทั้งนั้นล่ะ แต่กับเขาล่ะก็ไม่แน่... ”
ฮายาเตะ เปรยออกมาพร้อมกับ รอยยิ้มที่มุมปากของเธอ

“ เขา....งั้นเหรอ.. ”
ลอว์เรนซ์ ถามขึ้นโดยที่ ไม่ระวางต่อท่าทีของเธอยังคงเตรียมจับอาวุธเพื่อสู้อยู่

“ ใช่เพราะถ้า เขา จะต้องนำมันออกมาแสดงจนครบหมดเพื่อข่ามขู่เป็นแน่ เพราะอย่างนั้นล่ะ
 แผนของฉันถึงได้สำเร็จแล้วยังไง ”
ฮายาเตะ กล่าวพลางจ้องมาที่เค้า ด้วยสายตาที่ไม่มีอะไรแอบแฝงไว้ เพื่อจะให้ เค้าเชื่อ

“ ถึงจะไกลไปหน่อยสำหรับตอนนี้ แต่ยังไงก็ต้องกลับขึ้นไปก่อนล่ะ ” “ Sorrow Book ”
สิ้นคำ หนังสือของเธอก็ส่งเสียงขึ้นมา ก่อนมันจะเปลี่ยนรูปเป็น หอกของ เอมิล

“ ไปก่อนล่ะโชคดีนะ ”
ฮายาเตะ กล่าวจบก็ยกหอกตั้งหัวขึ้นก่อนจะรวมประจุอนุภาคไปที่หัวหอก และอาศัยแรง
พุ่งของหอกลากตัวเธอขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อตรงไปยัง Valhala

“ ไหงมาทิ้งกันเฉยๆงี้ล่ะ ”
ลอว์เรนซ์ บ่นทว่าในใจลึกๆแล้วเค้าก็รู้สึกโล่งอยู่เหมือนกัน แต่พอมาคิดทบทวนอีกที
หากนั่นเป็นข้ออ้างของเธอ เพื่อขึ้นไปช่วย โครโน่ ทาง เรกกะ ก็คงลำบากพอกัน แต่ด้านล่างของเขาตอนนี้
 เหล่า ทาลิวิลย่าทั้ง 12 เองก็เริ่มต้าน พวก ทาราสควีย์ กับ นิลคาบาลนอร์ เอาไว้ไม้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจลง
ไปช่วยแทน
...................
.........................


“ อ็าคคคคค ”
เสียงร้องของ เรกกะ ดังก้องไปทั่วห้องหัวใจแห่ง โอดิน ที่กำลัง แปรปรวนด้วยพลังจาก God Send ทั้ง 12
เรกกะ ที่ไม่อาจสู้พลังของ โครโน่ ที่ได้รับการหนุนด้วย God Send ได้ จึงเป็นฝ่ายถูกรุกไล่ จนในที่สุดก็ถูก

ดาบแห่งชัยชนะ Sword of Adamas  เสียบทะลุอกไป ติดเข้ากับผนังห้อง ในที่สุด โดยที่โครโน่ ไม่ได้เป็น
ผู้จับดาบเข้าไปแทงเองหากแต่ดาบนั้นถูกควบคุมให้ ลอยไปสู้กับเขาเท่านั้น

“ ที่จริงไม่เห็นจะต้องฝืนเลยนี่ ยังไงซะเราก็เป็น อานิม่า ทั้งคู่อยู่แล้วไม่มีวันตาย แต่ก็ไม่ได้ หายทรมาน
แล้วท่านพี่เล่าจะ สู้ต่อไปทำไมลืมความบาดหมางในอดีต แล้วมาร่วมมือกันซะดีกว่าไหม ”
โครโน่ กล่าวขณะที่ ค่อยบีบมือเข้าหากัน เพื่อ เป็นการ กดให้ดาบแทงลึกลงไป
กระตุ้นความเจ็บปวดให้ เรกกะ ตัดสินใจออกมาโดยไว

“ อึก...แบบนั้นน่ะไม่มีวันซะล่ะ...อัก ”
เรกกะ ที่ตอบกลับไปนั้นทำให้ โครโน่ หงุดหงิดจนออกแรงบังคับให้ ดาบกดลึกลงไปอีก
จนเรกกะ คืนร่างกลับจากการ เป็น ทาลิวิลย่า ก่อนจะร้องโหยหวนอย่างทรมาน ส่วน แมกกี้ ที่หลุด
จาการรวมร่างก็หล่นลงมานอนสลบกับพื้นห้อง


“ เลิกถือถิฐิ แล้วยอมซะไม่ดีกว่าเหรอ เพื่อท่าน เซน่า ด้วยไง ท่านพี่จะได้ อยู่กับ ท่านเซน่า แล้วก็ปกครอง
เทอร่า ไปพร้อมกับพวกเรา แบบนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งความตั้งใจขององค์กรก็สัมฤทธ์ผล ท่านเซน่า กับ
 ท่านพี่ ก็ได้อยู่ด้วยกันสมปรารถนา กันทั้งสองฝ่าย แบบนั้นน่ะไม่ดีหรอกเหรอ  ”

โครโน่ กล่าวยื่นข้อเสนอ ที่คิดว่า เรกกะ ยากจะปฏิเสธเขาได้ขึ้นมา นั่นได้ทำให้ เรกกะ ต้องกัดฟันด้วย
สีหน้าที่เคียดแค้น

“ อย่ามาทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย...เจ้ามันก็เห็นคนอื่น..เป็นแค่เครื่องมือ..อย่างเจ้าทำให้
ความปรารถนาของใครเป็นจริงไม่ได้ทั้งนั้น โลกที่เจ้าจะสร้างมันก็เป็นเพียงแค่..คำหลอกลวง

ถ้าตัวเจ้าจะปกครองด้วยอำนาจนั้นก็ไม่ต่างไปจากเจ้าถูกอำนาจของเจ้าปกครองไปด้วย เป็นเพียง
แค่เครื่องมือของพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีทางเป็นพระเจ้าได้ และไม่มีทางสร้างอะไรขึ้นมาได้ทั้งนั้นแม้แต่จะทำลายก็ยังไม่ได้...อ็าคคค ”

เรกกะ กล่าว คำพูดของเค้าได้ทำให้ ความอดทนที่ โครโน่ มีหมดไปคมดาบได้ฝังลึกลงไปจนมิดด้าม
จน เรกกะ กระอักออกมา เป็นสายเลือด ทั้งความทรมาน ความ เจ็บปวดที่เป็นอยู่ตอนนี้ น่าจะเกินขีดจำกัดที่ทำให้

มนุษย์ตายได้อย่างง่ายๆไปแล้ว แต่ด้วยความ เป็น อานิม่า เค้าจึงไม่อาจตาย ได้แต่รับเอาความทรมาน
และความเจ็บปวดที่สะสมเพิ่มเข้ามา

“ สร้างไม่ได้ ทำลายไม่ได้ งั้นเหรอตอนนี้ข้ามีพลังของ God Send อยู่ในกำมือแล้ว
ข้ามีพลังที่จะลิขิตทุกสิ่ง ข้าเป็นพระเจ้า ที่บันดาลสิ่งใดทำลายสิ่งใดก็ได้ เจ้ายังคิดว่าจะมีสิ่งใด
ที่ข้าทำลายไม่ได้แล้ว สร้างไม่ได้อีกล่ะ ”

โครโน่ ย้อนถามกลับไปเพื่อที่จะต้อนให้ เรกกะ จนมุมในที่สุด ทว่า สิ่งที่ ออกจาก ปากของ เรกกะ นั้น
คือคำตอบที่เค้า ไม่อาจคาดถึง

“ สิ่งนั้น...อึก..คือ..ความปรารถนา...ยังไง...ล่ะ... ”
เรกกะ กล่าวด้วยน้ำเสียง ตะกุกตะกัก ขณะที่เอื้อมมือ ลงมาจับที่ด้ามดาบ


“ ความปราถ..นา...งั้นเหรอ ”
โครโน่ เปรยขณะที่ทบทวนในคำพูดของ เรกกะ ด้วยความสงสัย

“ ใช่แล้ว..ความปรารถนา ถึงเจ้าจะลิขิต ชีวิต ลิขิตชะตา ของใครได้ตามใจเจ้า แต่เจ้าไม่อาจ
ลิขิตความปรารถนาของ ผู้คนได้ ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดขณะที่ดึงดาบออกจาก ร่าง


“ เหลวไหลน่ะ...ความปรารถนางั้นเหรอ...นั่นมันก็แค่กิเลสของ มนุษย์ เท่านั้นโลกที่ข้าจะ
สร้างขึ้นมา มันจะไม่มี
ซึ่งกิเลส ที่เห็นแก่ตัวของ มนุษย์ ความปรารถนา อะไรนั่น ข้าจะทำลายมันเอง ”

โครโน่  ตะหวาดด้วยเสียง อันดัง ขณธที่ เรกกะ ดึงดาบออก มาได้สำเร็จ ก่อนจะ กระโดลงมา
 ที่สะพาน แล้วปักดาบลงไปกับพื้น

“ ความปรารถนา ไม่ใช่กิเลส แต่เป็นความหวัง ที่จะนำพามนุษย์ก้าวไปข้างหน้า..นั่นคือสิ่งที่มนุษย์
มีเพื่ออยู่ต่อไป  ”
เรกกะ กล่าวขณะที่ บาดแผลได้จางหายไปและฟื้นคืนสภาพด้วยพลังของ อานิม่า

“ แล้วไม่ใช่เพราะ ความปรารถนาพวกนั้นหรือไง มนุษย์ ถึงได้ทำสงครามถึงได้
สร้างความขัดแย้ง วิธีที่จะจบมันก็คือการทำลาย ความปรารถนา ไม่ใช่หรือยังไง ”

โครโน่ พยายามจะแย้งกลับไป เมื่อตอนนี้ อุดมการณ์อันหนักแน่นของเค้าเริ่ม จะสั่นคลอน
ซึ่งในจุดนี้ เรกกะ รู้ดีว่า โครโน่ จะถือเอา อุดมการณ์ของตนเป็นจุดยืนก่อนเสมอ
ดังนั้นหากทำให้มันสั่นคลอนได้เพียงน้อย ไม่นานมันก็จะพังทลายลงมา และเมื่อนั้นชัยชนะจะเป็นของเขา

“ นั่นมันเป็นมุมมองของ อานิม่า ที่ได้แต่เฝ้ามองเวลาของมนุษย์ที่ผ่านไปเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น
แต่เพราะมนุษย์มีเวลาและชีวิตที่จำกัด พวกเค้าถึงขวนขวาน และ ปรารถนาที่จะไปยังอนาคต
ชั้นที่ เคยได้ลองเป็น มนุษย์มาแล้ว ย่อมเข้าใจดี ถึงสิ่งที่เรียกว่าความใฝ่ฝัน ”

เรกกะ กล่าวซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ตัวเค้าค้นพบระหว่างที่ ความทรงจำตอนเป็น อานิม่า
ยังไม่กลับฟื้นคืน ตัวเค้าจึงได้ใช้ชีวิต และ รับรู้และเข้าใจ ในตัวของ มนุษย์

“ ความใฝ่ฝันงั้นเหรอ มันก็แค่เรื่องเพ้อฝัน ที่มนุษย์สร้างขึ้น สุดท้ายแล้วมันก็จะนำมาแต่ความสิ้นหวัง
เมื่อไม่อาจทำให้สำเร็จได้ แล้วมนุษย์ก็จะดำดิ่งลงสู่ความมืด พวกเราถึงต้องขึ้นเป็นผู้นำ เพื่อนำเหล่ามนุษย์
ออกมาสู่แสงสว่าง..ห๊ะ..นี่ข้า.. ”

โครโน่ พยายามจะเอา อุดมการณ์ และ ทฤษฎีของตน ขึ้นมาอ้างต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ตัวว่า
สิ่งที่เขาพูดมานั้นเริ่มที่จะบรรจบกับ หลักการของ เรกกะ ทีละน้อยๆ เรกกะ ที่เห็น แบบนั้นก็
ยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นว่า โครโน่ เริ่มจะแสดงถึงจุดยืนของตัวเองออกมาให้เด่นชัด

“ หึ..โครโน่ โลกที่ เจ้า ปรารถนา น่ะมันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่ พี่คิดหรอก..เพียงแต่
เจ้าถูกอำนาจของ God Send ครอบงำ จนหลงเดินผิดทางก็เท่านั้น ”
เรกกะ กล่าวขณะที่พยายามจะเข้าใกล้ โครโน่ ที่เริ่มสับสนในความคิดของตัวเองขึ้นมา

............

“ ทุกคนต่างก็มีความฝันมีความปรารถนา และต้องการจะไปให้ถึงจุดนั้นเหมือนกัน จึงมีการปฏิวัติเรื่อยมา ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ ประพลองกับคมดาบของ ไอ ที่ฟาดลงมา ก่อนจะ งัดขึ้นจน ไอ เสียหลัก
แล้วจึงถอยห่างออกจาก ไอ
........

“ แต่เพราะผู้คนกับ โลกนี้ไม่เป็นอย่างที่เราต้องการจะให้เป็น ”
เรกกะ กล่าวขึ้นเพื่อที่จะให้ โครโน่ ยอมรับถึงความตั้งใจของตนเอง
................

“ เพราะงั้น เธอถึงอยากจะสร้างมันขึ้นมางั้นเหรอ..แต่ว่า ”
ไอ ที่ตั้งหลักได้กล่าวก่อนจะ คว้าเอาอัญมณี ออกมาจากกล่องเก็บ
...............

“ พอ..พอได้แล้วข้าไม่อยากจะฟังอะไรจากเจ้าอีกต่อไปแล้ว อ็าคคคค ออกไป..ออกไปให้ห่างจากข้า ”
โครโน่ กล่าวก่อนจะกุมขมับและเริ่มมีอาการเสียสติ การควบคุม God Send จึงเริ่ม สะเปะสะปะ
ทำให้ทั้งห้องเกิดความโกลาหล ไปหมด เรกกะ ที่พยายามจะเข้าไปหา โครโน่ กลับถูก
คลื่นความแปรปรวนของพลังที่ควบคุมไม่อยู่นี้เล่นงานเอา

“ ชิ..แย่ล่ะสิ สับสนจนเสียสติเลยควบคุม God Send เอาไว้ไม่อยู่แล้วงั้นเหรอ ”
เรกกะ สบถ ขณะนั้นเอง ก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่ ปลายสะพานอีกด้าน จนตอนนี้ทำให้สะพานเอียงถล่มลง
จนพวกเค้าทั้งสอง เซถลาลงไปกับแรงเหี่ยวของสะพาน ไม้เท้าของ โครโน่ จึงได้หลุดมือ ออกไปในตอนนี้ด้วย

“ ครืนนนนนนนนนนน ”
เสียงคำรามที่ดังกึกก้องขึ้นมาจาก คลื่นพลังที่แปรปรวนซึ่งกำลังจะไปรวมกันที่กลางห้อง
กังวานขึ้นก่อนจะเกิด กระแสลมพัดผวนไปทั่ว จนเรกกะ และ โครโน่ ปลิวไปกระแทก กับผนัง

ห้อง ในตอนนี้กลุ่มพลังงานได้ก่อรูปขึ้นกลายเป็น ทูตสวรรค์ ขนาดกายใหญ่โต สวมหมวกเขาสัตว์
ดวงตาซ้าย นั้นปิดสนิท องค์ทรงถือดาบขนาดใหญ่ไว้ในพระหัตถ์  ครั้นเมื่อ ทรงผายพระหัตถ์
ก็เกิดลมกรรโชก พัดไปทั่วทั้งห้อง 

“ น..นี่มัน..โอดิน(Odin) ”
เรกกะ เผยอด้วยความตกตะลึง เมื่อตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเค้าคือ เทพแห่งนอร์ท โอดิน

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/99.jpg)

“ เป็นเพราะ หลุดการควบคุมก็เลยกลายเป็นอัญเชิญ เทพ โอดิน ลงมาแทนงั้นเหรอ..แต่ทำไมกัน... ”
เรกกะ สบถขณะที่พยายามจะลุกขึ้นสายตาก็สอดส่องหาตัว แมกกี้ เพื่อจะรวมร่างเป็น ทาลิวิลย่า ทว่า แมกกี้ก็
 อยู่ไกลเกินไป ที่ใกล้ที่สุด ตอนนี้ ก็คือ แกนพลังงานของห้องที่ ติดตั้ง God Send ทั้ง 12 ชิ้นไว้กับ Terminal Crisis

อีกเครื่องหนึ่งที่ วางอยู่บน เครื่องนั้น

“ จริงสิ ถ้าเอา God Send  ออกจากเครื่องได้ล่ะก็ ”
เรกกะ คิดก่อนจะเอื้อมมือไปจับ God Send ทว่าทันทีที่ แตะถูก
ร่างของเค้าก็ร้อนวูบขึ้นมาจนต้องปล่อยมือ ออกทันที

“ ครืนนนนนนน ”
โอดิน คำรามก้องขึ้นมาอีกครั้งก่อน สายฟ้า จะฟาดลงมาทั่วห้องอย่างบ้าคลั่ง

“ ท่านพี่ เรกกะ เอา Terminal Crisis บนแกนหลักออกมาใช้สิคะ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น มาจาก ฝั่งประตู ที่เค้าเข้ามา เมื่อมองขึ้นไปปรากฏว่า ฮายาเตะ นั่นเอง ที่ตะโกนลงมา
วินาที นี้เค้าไม่คิดจะระแวงอะไรอีกแล้ว มือของเค้าทุบลงไปที่กระเปราะแก้ว ซึ่งครอบ เครื่อง Terminal Crisis
เอาไว้บนแกนพลังงาน  ก่อนจะหยิบมันออกมา

“ Code Number คือ Faiz ”
ฮายาเตะ ตะโกน ขณะที่ เธอเดินฝ่าลมลงมาตามสะพานที่ถล่มทอดลงมาด้านล่าง เพื่อไปหา โครโน่
ด้าน เรกกะ ที่ได้รหัสสำหรับเดินเครื่องมาแล้ว ก็กดหมายเลข 5 บนเครื่อง 3 ครั้งทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

“ นี่ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ ”
เรกกะ หันไปถาม ฮายาเตะ ขณะที่ต้องเอี้ยบตัวหลบ สายฟ้าที่ฟาดลงมานี้ด้วย

“ ไม่จริงน่า..ก็ Terminal เครื่องนั้น เป็น ของ พี่ เรกกะ นี่ แล้วทำไม....หวา ”
ฮายาเตะ เปรยด้วยความแปลกใจที่อะไรๆก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ขณะที่พยุงร่างของ โครโน่ ออกมาเพื่อ สายฟ้า
ที่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งนี้
............
......................



Title: Re: Legend Thaliwilya of Alimathea:R.R. Saga 19 Odin จงเป็นดั่งทวยเทพ
Post by: greamon on April 30, 2009, 03:09:38 PM
“ อึกทำไมถึงได้แเก่งแบบนี้...ไอ นี่เธอเก่งขนาดนี้เลยงั้นเหรอ...นี่เป็นพลังของเธอหรือพลังจากการทดลองกันแน่ ”
เฟนท์ คิดขณะที่รับการโจมตีสองชั้นของ ไอ เอาไว้แม้จะไม่พลาดท่าแต่
การโจมตีนั้น ก็หนักหน่วงเสียจนเค้าเองเกือบทานเอาไว้ไม่อยู่

“ ไม่ยอมแพ้หรอกน่า..เอ๋ เดี๋ยวนี่ฉันมาคิดเรื่องแพ้ชนะตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..ไม่สินี่ไม่ใช่
เวลามาคิดนะจะให้ เฟนท์ ชนะไม่ได้ ถ้าเค้าชนะ สิ่งที่คุณพ่อพยายามทำมา.. ”
ไอ คิดก่อนจะตัดใจ คว้าเอาอัญมณี สีแดงออกมาจากกระเป๋าเก็บด้านข้างเข็มขัด
ก่อนจะบรรจุ มันลงไป

“ Final Attack Ride   Golden Crusher !!!! ”
สิ้นเสียง ดาบปลายสองคมก็เปล่งแสงวาบขึ้น พร้อมๆกับที่ มวลพลังงานของ เฟนท์ รวมไว้เสร็จพอดี

“ Geo… ” 
เฟนท์ กล่าวได้ยังไม่ทันจบ ไอ ก็กระแทกตัวเข้ามาจนเค้ากระเด็นออกไปจาก ช่องทางเดิน ออกมาด้านนอกยาน
และกำลังถูกแรงดึงดูด ดึงลงไปข้าล่างเนื่องจากอยู่สูงเกินกว่าที่ทั้งสองจะลอยตัวได้

“ ..Javalin... ”
เฟนท์ กล่าวต่อโดยฝืนความจุกจากการถูกกระแทกออกมา

“ แย่ล่ะถ้าตำแหน่งนี้ล่ะก็..ท่าของเราปล่อยได้เร็วกว่า เฟนท์ อยู่แล้วแต่ถ้าใช้ตรงนี้ล่ะก็ เฟนท์ อาจจะ... ”
ไอ คิดขณะที่ลังเลอยู่นั้น ความลังเลของเธอก็ส่งผ่านออกมาทางสายตาโดยที่ไม่รู้ตัว
เฟนท์ ที่เห็นว่าเธอ ยังลังเล อยู่จึงพยายาามยื้อ การยิงของเค้าไว้ก่อนจะมจ้องมองไปที่เธอ

“ เป็นอะไรไปล่ะ..ยิงมาเลยสิ..เธอตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ...เธอเลือกอุดมการณ์
มาก่อนหัวใจตั้งแต่แรกแล้วนี่..ก็แค่อ้างเรื่องความรู้สึกแต่ที่จริงเธอทำเพื่อใครซักคนใช่ไหมล่ะ ”
คำพูดดังแว่วขึ้นมาในหัวเมื่อเธอได้เห็นสายตาของ เฟนท์ ที่จ้องมาที่ เธอขณะที่ พวกเขากำลัง
ร่วงหล่นลงไป หัวหันทิศลงเบื้องล่างเรื่อยๆ จนพวกเค้าทั้งสองใกล้กันจนสบตากันได้

“ สายตาของ เฟนท์ กำลังบอกอะไรเราอยู่ เค้ารู้อยู่ก่อนแล้ว...ถึงหัวใจของเรา ”
ไอ คิดขณะที่ กำดาบในมือแน่น จนเหงื่ออาบชุ่มมือที่แดงและระบบนั้น

“ ถ้าเธอทำเพื่อสิ่งนั้นล่ะก็...ยิงมาเลย ชั้นจะรับเอาความรู้สึกนั้นไว้เอง...ไอ ”
สายตาของ เฟนท์ บอกเช่นนั้น ในที่สุดเธอก็เผยอ ออกมาโดยไม่รู้ตัว


“ …Strike… ”
สิ้นคำคมดาบทั้งสองปลายก็ขยายออกจน กลายเป็นคมดาบแสงสีทองที่มีขนาดใหญ่
ก่อนที่เธอจะยกมันขึ้นแนบกับตัว เฟนท์ ที่เห็นว่าเธอตัดสินใจได้แล้ว ก็ยิ้มส่งให้เธอเป็น
ครั้งสุดท้าย ก่อนจะยกมวลพลังงานขึ้นมา

“ ....Hyper!!!! ”
สิ้นเสียง หอกลำแสงขนาดยักษ์ก็พุ่งออกมา แรงสะท้อนของการยิงส่งผลให้ร่างของ เฟนท์ กระเด็นถอยออกมา
ในขณะที่ ไอ ก็เหวี่ยง ดาบออกไปดาบสองปลายได้หมุนควงออกไปเป็นวงจักร พัดผ่าหอกลำแสงของ

เฟนท์ ไล่ไปเรื่อยจนเกือบจะถึงตัวของ เฟนท์ ทว่ามันกลับหยุดลงเนื่องด้วยพลังงานนั้น
ใช้ไปกับการต้านลำแสงแล้ว แต่ ไอ ที่ออกแรงพุ่งตัวลงมารับดาบของเธอก่อนจะ เสียบมันเข้าไป
ที่อกของ เฟนท์ จนมิดด้าม

“ เธอ...ทำสำเร็จ..แล้วนะ..ไอ... ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่เอามือ ขึ้นมาจับมือของ ไอ แยกออกจากด้ามดาบ ขณะที่ เลือดไหลออกมาจาก ปากเรื่อยๆนั้น

“ เฟนท์ ...นี่หรือว่าเธอ.... ”
ไอ เปรยเมื่อได้รู้ถึงความตั้งใจแต่แรกของ เฟนท์ แล้วในตอนนี้ก่อนที่เธอจะถูก ปล่อยมือ ให้ปลิวออกห่างไปจากเค้า

“ ลาก่อน...ไอ..เธอ คือคนที่ชั้นรักที่สุด...ตลอดมาและตลอดไป ”
เสียงอันแผ่วเบาของ เฟนท์ ที่ดังก่อนจะแผ่วไปตามระยะทางที่ออกห่างจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนที่ ร่างของ เฟนท์ จะกระแทกเข้ากับ ผนังของยานอนุภาครอบๆตัวที่ถูกกระตุ้นจากสะเก็ดไฟ

ที่เกิดจากการเสียดสี ทำให้เกิดระเบิดขึ้น ก่อนที่จะมีเพียง คมดาบของ
ไอ เท่านั้นที่ กระเด็นปลิวออกมา

“ เฟนท์!!!!!.... ”
ไอ ตะโกนสุดเสียง ขณธที่พยายามจะเอื้อมมือไปให้ถึงทั้งที่รู้อยู่ ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว
เธอได้เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า รัก ในตอนที่เธอได้เสียมันไปแล้ว ในตอนนี้

ขณะที่ร่างของ เธอ ค่อยๆร่วงหล่นลงมา คนที่มารับเธอไว้ ก็คือ ลอว์เรนซ์ ที่บินสวนขึ้นมา

“ เฟนท์ ... ”
ไอ ครวญทั้งน้ำตาด้วยเสียงสุดท้ายที่เธอจะเปล่งออกมาไหว ก่อนจะหมดสติไป

“ หลับให้สบายเถอะนะ แต่อย่าตยซะล่ะเพื่อชีวิตคนที่สำคัญของเธอที่เค้าขอมมอบให้ ”
ลอว์เรนซ์ เปรยขณะที่มองลงไปด้านล่างนั้น มังกร ทาราสควีย์ และนิลคาบาลนอร์
ต่างถูกจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ กองทัพของสหพันบุกโลกเข้าควบคุมตัว

Valkyrier ทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างซึ่งมีเพียว กลุ่มของ ชารี่ และ หลีเมย่ เท่านั้น
ส่วน ซาน  เอมิล และ ไรด์ ยืนดูการตัดสินสุดท้ายของศึกนี้อยู่บริเวณ
หน้าผาของเกาะร้างใกล้ๆแห่งหนึ่ง ส่วนอัศวินทาลิวิลย่า ทั้ง 12 นั้นค่อยๆจางหายไปเพราะ
พลังที่มีนั้นถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว

“ เหลือแต่ข้างบนนั่นสินะ...เรกกะ ”
ลอว์เรนซ์ เปรยขณะที่ ทอดสายตามองขึ้นไปด้านบนที่ตอนนี้ Valhala ลอยขึ้นไปสูงจนเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ
เท่านั้น

......................

“ เอ๋ นี่มันอะไรกันน่ะ ”
ซาน เปรยขึ้นเมื่อเห็นว่า เครื่อง Terminal ที่เธอปลดออกมาถือไว้นั้น กำลังทำงานด้วยตัวเอง

“ บนหน้าจอมีอะไรเขียนไว้ด้วยน่ะ ”
ไรด์ เอ่ย ขณะที่ชี้ไปทีเครื่องของเค้าที่เป็น เช่นเดียวกับ ซาน

“ บางทีนี่อาจเป็นระบบ ที่องค์กรทิ้งเอาไว้เพื่อกรณี ที่แผนการณ์เปลี่ยนไปก็ได้นะ ”
เอมิล กล่าวขณะที่ยกเครื่องของเค้าขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นแบบเดียวกัน
 ไม่เพียงแต่พวกเขา  ด้านพวกชารี่ เองก็ เริ่มทำงานแบบเดียวกัน
บนหน้าจอ เครื่องนั้น มีเพียงตัวเลข 5 เขียนเอาไว้สามตัวเท่านั้น

ที่จริงแล้วตอนนี้ เครื่อง Terminal ทั้งหมด กำลัทำงานขึ้นพร้อมกันทั้ง 12 เครื่อง
เครื่องของ ราฟ ที่ถูกทิ้งไว้ที่สนามรบของ เกาะหลักศิลา ก็เริ่มทำงานเช่นกัน
แม้แต่เคครื่อง ของ เฟนท์ ที่เหลือรอดมาจากการระเบิด ก็ด้วย

......

“ นี่มัน... ”
ฮายาเตะ เปรยก่อนที่ ชุดเกราะและ Crisisor ของ เธอจะกลับคืนเป็นเครื่อง Terminal และเริ่มทำงาน
แบบเดียวกับ เครื่องอื่นๆ อีก 11 เครื่องที่ยังอยู่ข้างล่าง

“ นี่หรือว่า เจ้าเครื่องนี่มัน ”
เรกกะ กล่าวขณธที่แสดง เครื่องที่เค้าถืออยู่ในมือมันกำลัง ทำงานเช่นเดียวกัน

“ ถึงเหล่า Valkyrier ทั้งหมดของ Empyrean Adjust ”
เสียงดังขึ้นจากเครื่อง ทั้ง 13 เครื่องพร้อมกัน

“ นี่มันเสียงของ อิสฮาน นี่ ”
เจ้าของที่อยู่กับเครื่องทุกคนเปรยขึ้นพร้อมกัน

“ เมื่อใดที่ระบบนี้ทำงานขึ้นนั่นแปลว่า เทอร่า ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ด้วย การแทรกแซงของเรา
แต่การจะตัดใจยอมแพ้เลยซะทีเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมกันได้ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ระบบนี้ทำงาน ั่นแปลว่า

ยุคสมัย กำลังจะล่มสลายลง ก่อนจะถึงเวลานั้น Valkyrier คนสุดท้าย ที่เราจะขอฝากฝัง เทอร่า ไว้กับเจ้า นี่คือพลังที่จะยุติ ทุกสิ่งและนำไปสู่การเริ่มต้นอีกครั้ง มันคือ Crisisor อาวุธแห่งวิกฤติ ดาบ Alexandrite ขอจงใช้หัว
ใจของเจ้าชี้นำยุคสมัยของมนุษย์ด้วย ”

สิ้นเสียง เครคื่องทั้งหมดก็ ได้พุ่งขึ้นไปยัง Valhala และมารวมกันที่ เครื่องของ เรกกะ
ก่อนที่มันจะหลอมรวมเป็นเครื่องเดียว

“ 555...Faiz...Code Standing By ”
เสียงดังกังวานขึ้นจาก ตัวเครื่อง ก่อนที่ เรกกะ จะกดปุ่มด้านข้างเครื่องลงไป

“ Code Slash ”
สิ้นเสียง ชุดเกราะValkyrier สีเงินก็ออกมาประกอบเข้ากับร่างของเขา
ก่อนที่ ปีกสีขาวซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ ประจุอิออน จะสยายออกมา



“ มานี่ แมกกี้ ”
สิ้นคำของ เรกกะ แมกกี้ ก็ฟื้นขึ้นมาก่อนที่มันจะเปลี่ยนร่างของตัวเอง กลายเป็นโล่ และลอยไปเข้ามือของ
เรกกะ เองและเมื่อ โล่ห์ สัมผัสถูก ละอองอิออน มันก็เปลี่ยนเป็นดาบ
สีแดงเพลิงที่มีรูปลักษณ์ประนีต วิจิตรตาราวดับดาบวิเศษของทวยเทพ

“ ในที่สุด Valkyrier ลำดับที่หนึ่งก็ กลับมาแล้วสินะ Valkyrier แห่ง Bryna เรกกะ ไฮเดย์ ”
ฮายาเตะ เปรยขณะที่ จับจ้องไปยังร่างอันงดงามราวกับทูตสวรรค์ ที่อยู่ตรงหน้า
(Recca, the Valkyrier of Bryna)

(http://images.temppic.com/30-04-2009/images_vertis/1241063758_0.12465000.jpg)

...............................

“ นี่เห็นฉันเป็นหน่วยกู้ภัยหรือไงกัน งานนี้ฉันช่วยคนไปตั้ง 3 คนแล้วนะ ทั้ง Valkyrier สองหน่อนั่น
แล้วยังมานายอีกนะ มาธิอัส ให้ตายสิ ”
R2 บ่นอุบอิบ ขณะที่ พยุงร่างซึ่งเวื้อผ้าอาบด้วยเลือดไปหมด ทว่าร่างของ เจ้าของกลับ
ไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย

“ นี่เธอ ถ่อมาถึงนี่เพื่อจะช่วยชั้นงั้นเหรอ ”
มาธิอัส กล่าวถามด้วยสภาพที่อิดโรย

“ เปล่าหรอกแค่อยากจะมาด่านายเท่านั้นล่ะ อานิม่า ขั้นทดลองอย่างนายถึงไม่เป็น
อมตะแต่การฟื้นตัวก็เร็วอยู่แล้ว ”
R2 บ่นขณะที่ พยุง มาธิอัส ออกเดินไปตามทาง

“ นั่นสินะ..ที่จริง ตัวตนจริงๆของชั้น มาธิอัส ไบทร์ ตัวจริง ยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ ชั้นมันก็แค่ มาธิอัส ไฮเดย์ ล่ะน่ะ ”
มาธิอัส กล่าวขณะที่ R2 เหล่มามองเค้าด้วยสายตาเอือมๆ

“ น่าอิจฉาจังเลยนะพวก อานิม่า อย่างนายเนี่ย มีนามสกุล ไฮเดย์ กันหมดนี่กะจะเป็นพี่น้องกับ
เรกกะ ให้หมดเลยรึไงนะ ไม่ใช่ Code Geass ซะหน่อย ”
R2 บ่น ไปเรื่อยเปื่อยขณะที่ยังคงแบกเค้าเอาไว้อยู่

“ โรคบ้า การ์ตูนของเธอนี่แก้ไม่หายจริงๆแหะ เรื่องมันจบไปตั้งกะร้อยปีที่แล้วยังไปขุดมาอีกนะ
ขนาดชื่อแฝงตัวเองยัง ไม่ลงทุนคิดเลย..เหะๆ ”
มาธิอัส กล่าวหยอกกลับใส่ ขณะที่ R2 เบือนหน้าหนีอย่าง งอนๆ

............................
.....................................

“ พลังที่จะยุติทุกสิ่งงั้นเหรอ ”
เรกกะ คิด จนถึงตอนนี้ตัวเค้าก็ยัง คงยืนนิ่งอยู่ก่อนจะ ขยับคมดาบชี้ออกไป

“ Dragon Stinger ”
สิ้นเสียง ละอองอนุภาคก็รวมเข้าด้วยกันที่ดาบก่อนจะพุ่งออกไปเป็นลำแสง แทงทะลุร่างของ โอดิน
และสลายไปพร้อมๆกับ ชุดเกราะของ เค้า ก่อนที่ แมกกี้ จะคืนร่าง

“ นี่ ฮายาเตะ เธอใช่ไหม... ”
เรกกะ เปรยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาเธอสะดุ้งไปหน่อย

“ Shut Down System น่ะเธอไม่ได้ลบมันออกจาก ฮูกีนมูนีน ทั้งที่ถ้าเป็น โครโน่ จะต้องลบมันออกไปแน่ ”
เรกกะ กล่าว ซึ่ง ฮายาเตะ ก็ผ่อนสีหน้าลงก่อนจะตอบอกกไป

“ ฉันไม่เห็นด้วยกับโครโน่ ตั้งแต่ตอนที่เค้าเริ่มเปลี่ยนไป เพราะพลังของ  God Send แล้วเพื่อไม่ให้ เค้า ต้องทำผิดไปจนถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีก ... ”
ฮายาเตะ กล่าวขณะที่วางร่างของ โครโน่ ลง

“ เธอก็เลยซ่อนระบบนั้นไว้แทนที่จะลบมันทิ้ง เพราะมีเธอคนเดียวที่สามารถเชื่อมกับ
ฮูกีนมูนีน ได้โดยตรงถ้าไม่ใช่เธอก็ไม่มีทางรู้ได้..แต่ว่าแบบนี้จะดีแล้วเหรอ ระบบนี้น่ะ... ”
เรกกะ กล่าวก่อนจะถามเธอโดยที่ไม่หันไปมอง

“ อืม...ระบบนี้เมื่อทำงาน มันจะทำให้ พลังของ อานิม่า ทั้งหมดหายไปพร้อมๆกับ Crisisor ทั้งหมด
ตอนนี้พวกเราก็เป็นได้เพียง มนุษย์ ธรรมดาๆเท่านั้น ”
ฮายาเตะ กล่าวขณะที่ลูบลบเอาเขม่าออกจากใบหน้า ของ โครโน่

“ แต่เท่านี้เราก็จะได้รู้ถึงความหมายของ ชีวิตซักที... ”
ฮายาเตะ เปรยอย่างโล่งใจ ที่ตอนนี้ ทุกอย่างได้จบลงไปอย่างที่เธอต้องการแล้ว

“ นี่ ฮายาเตะ ... ”
เรกกะ เรียกเธอก่อนจะหันกลับมา

“ ชั้นไม่คิดว่า โครโน่ จะยอมรับการกระทำของตัวเองต่อไปจากนี้ได้หรอกนะ เพราะงั้นเธอสัญญาได้
ไหมว่าจะอยู่เคียงข้าง เซน่า ตลอดไป ”
เรกกะ ถามคำถามของเค้า ทำให้ ฮายาเตะ สงสัยอยู่บ้างแต่เธอก็ พยักหน้ารับ

“ ฉันสัญญา... ”
ฮายาเตะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ออกมาจากใจจริง

“ ถ้าอย่างนั้ชั้นขอเชื่อเธอ... ”
เรกกะ กล่าวจบ ก็ก้มลงเอือมมือไปเปิดเปลือกตาของ โครโน่ ขึ้นก่อนที่ จะถอดเอาหน้ากากที่ ตาขวาออก

“ โครโน่ จงมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อรับใช้ Dragoon รับใช้ เซน่า ”
สิ้นเสียง Genesis ของเรกกะ ก็ทำงานก่อนจะปรากฏ สัญลักษณ์ ขึ้นที่ดวงตาของ โครโน่ อันเป็น
สัญญาณว่า เค้าได้รับซึ่งคำสั่งที่จะอยู่ไปตลอดชีวิต

“ นี่คือสิ่งที่ชั้นจะทำให้ได้ในตอนนี้...หลังจากนี้ ชั้นขอฝาก พี่เซน่า ด้วย ”
เรกกะ  กล่าวจบ ฮายาเตะ ที่อึ้งไปได้ซักพัก ก็ตั้งสติได้

“ ท่านพี่ เรกกะ แล้วหลังจากนี้พี่จะไปไหนล่ะ จะไม่อยู่ร่วมกับพวกเรางั้นเหรอ ”
ฮายาเตะ ถามด้วยความสงสัยต่อคำสั่ง Genesis ของเค้าที่ บอกให้ เชื่อฟังในตัวของ
 เซน่า และ Dragoon แต่กลับไม่มีเค้า

“ นี่ ลำแสงโอดิน ยังยิงได้ใช่ไหม ”
เรกกะ ถามขึ้นโดยที่ไม่ตอบคำถามของเธอ เมื่อเห็นว่า เรกกะ คงจะไม่ยอมตอบ
เธอจึงเลือกที่ตอบคำถามของเค้าก่อน

“ ก็ยิงได้อยู่หรอก แต่สวิตซ์ทำงานน่ะมันอยู่ ที่ เซน่า  ”
ฮายาเตะ กล่าวจบ เรกกะ ก็ออกเดิน ไปยังบันไดลิง ที่ทอดขึ้นไปด้านบน

“ ฮายาเตะ คำขอสุดท้ายช่วยฟังชั้นทีได้ไหม..เชื่อในตัวชั้นให้ถึงที่สุดทีเถอะ ”
เรกกะกล่าวจบ ก็ออกไต่บันได ลิงขึ้นไป
โดยมีสายตา ขอบคุณ ของ ฮายาเตะ ส่งไล่หลังไป

.........................


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: greamon on April 30, 2009, 03:43:48 PM
................................

แอ๊ดดดดดด
เสียงประตูห้องเปิดออกดังขึ้นก่อน ที่สวนดอกไม้ด้านหลังบานประตูจะปรากฏขึ้น พร้อมกับ
ใบหน้าของ พี่สาวของเค้า เซน่า ที่กำลังรออยู่ข้างใน

“ เป็นเวลา 4 เดือนแล้วสินะ เราไม่ได้พบหน้ากัน เรกกะ...นี่คือโฉมหน้าของคนที่เป็นฆาตกรสินะ ”
เซน่า กล่าวขณะที่เค้าค่อยๆเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เย็นชา ไม่แยแสต่อคำพูดของเธอ โดยมี แมกกี้ บินตามมาต้อยๆ

“ พี่ เป็นคนกดสวิตซ์ กุญแจแห่ง อามาเกดดอนสินะ ”
เรกกะ ถาม ด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ เป็นดั่งตัวเค้าในอดีต ก่อนจะได้กลายเป็น น้องชายของเธอ

“ ใช่ พี่เองก็ไม่ได้มีโฉมหน้าที่ต่างไปจากน้องเลย โฉมหน้าของฆาตกร ”
เซน่า กล่าวขณะที่ เรกกะ เดินเข้ามา จนอยู่ห่างจากเธอแค่เพียง ขั้นบันไดของ พื้นต่างระดับ

“ ไม่ว่าจะยังไงพี่ก็จะไม่มอบ กุญแจแห่งอามาเกดดอน นี่ให้ เด็ดขาด พี่จะไม่ยอม
ให้น้องทำผิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว แม้ เรกกะ จะใช้ Genesis กับพี่ก็ตาม... ”
เซน่า กล่าวพลางกำสวิตซ์เอาไว้แน่น คำพูดของเธอ ทำให้ เรกกะ ฉุกคิดขึ้นมา

“ หากเราจะให้ พี่ส่ง อามาเกดดอน มามันก็เป็นเรื่อง่าย แต่ว่าจะทำได้งั้นเหรอ
 ถ้าต้องเหยียบย่ำแม้ปฏิพานของ พี่ แล้วเราจะต่างอะไรไปจาก ปีศาจล่ะ ”
เรกกะ คิดท่ามกลางความลังเล ที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้น

“ เรกกะ น้องไม่มีสิทธิ์ จะควบคุมโลกใบนี้ ภายใต้หน้ากากของ Dragoon น้องไม่มีสิทธิ์ จะบงการใครต่อใคร ”
เซน่า กล่าว

“ แล้วการพี่ พอใจกับการที่ต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ ไปตลอดงั้นเหรอต้องการที่จะหวาดกลัว
 ว่าจะมีคนมาตามล่าตัวไปแบบนั้นดีแล้วเหรอ ”
เรกกะ แย้งขึ้นทว่า คำตอบของ เซน่า นั้นกลับทำให้เค้า ต้องชะงักไป

“ แล้วพี่ ขอให้ น้องทำแบบนั้นเมื่อไหร่กัน... ”
เซน่า กล่าว ตอนนี้ภายในใจของเขาจากความลังเล กลายเป็นความสับสนไป
ระหว่างอุดมการณ์และหัวใจ ที่เริ่มจะขัดกันเอง อยู่ลึกๆ

“ ทั้ง Genesis ทั้งอำนาจที่น้องใช้ มันเป็นการเหยียบย่ำ ความรู้สึกของผู้คน ”
เซน่า กล่าว ทว่า เรกกะ ก็ตะคอกกลับมา

“ แล้ว Valhala นี่ล่ะ มันไม่ใช่อำนาจที่น่ารังเกียจหรอกหรือ มันเป็นการฝืนจิตใจผู้คน
ปกครองด้วยความกลัวของผู้คน ”
เรกกะ แย้งขึ้น มา การโต้เถียงของ ทั้งสองทำให้ แมกกี้ ตกใจ

“ เรกกะ ... ”
แมกกี้ ร้องออกมาแผ่วๆด้วยความเป็นห่วง เพราะ แม้ตอนนี้จะพูดออกไปเสียงแข็ง แต่ขาของ
เค้าตอนนี้ก็สั่นสะท้านไปหมด

“ ไม่ Valhala จะเป็นดังตัวแทนแห่งความเกลียดชัง ความอาฆาตทั้งหมดจะมุ่งมา
ที่มันและรวม หัวใจของทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน ”
ทันทีที่ได้คำตอบจาก เซน่า ในที่สุดเค้าก็เข้าใจถึงความต้องการของ เซน่า แล้ว

“ พี่เองก็คิดเหมือนกันกับ..เรา..ถ้าอย่างนั้น ”
เมื่อคิดได้แล้ว เรกกะ จึงเปิดตาขวาออก

“ ในนามของเรา เรกกะ ไฮเดย์ ขอบัญชาจงส่ง อามาเกดดอน ให้แก่เราซะ ”
เรกกะ กล่าวจบ พลังของ Genesis ก็ทำงาน มือของ เซน่า เริ่มจะขยับยื่นออกไป
แต่เธอพยายามขัดขืน เอาไว้ แต่ท้ายที่สุดพลังก็สะกดเธอเอาไว้จน สำเร็จ

“ นี่ค่ะรับไปสิ เรกกะ ”
เซน่า กล่าวออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะมนต์สะกดของ Genesis ขณะที่ เรกกะ ก้มลงรับ กุญแจแห่งอามาเกดดอน

“ ตั้งแต่วันแรกที่ผมถูกสร้างขึ้นผมก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้จิตใจ
ความทรงจำก็ถูกปลูกฝังมาจากคนอื่นไม่ได้มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่ง
หลอกลวงสำหรับผม”

เรกกะ กล่าวน้ำเสียงนั้นสั่นเครือ ออกมาราวกับกำแพงที่ขวางกั้นซึ่งความรู้สึกได้พังทลายลงไปแล้ว
ในช่วงที่มนสะกดยังทำงานอยู่นี้ แม้คำพูดของเค้าจะออกมามากมายเพียงใด มันก็ไม่อาจส่งไปถึงเธอได้

“แต่เพราะพี่ได้ทำให้ โลกของผมเปลี่ยนไปนับแต่วันนั้น ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับพี่นั้นเป็นความจริง
ความทรงจำที่ได้รับจากพี่มานั้น...”
แม้จะรู้อยู่เต็มอก ว่าพี่ คงไม่มีวันได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่นี่ก็เป็นเพียงโอกาสเดียวโอกาสสุดท้ายที่จะได้
เล่าผ่านความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด ผ่านช่วงความทรงจำและวันเวลาที่ผ่านมา ตลอดชีวิต

“พี่ทำให้ผมที่ไร้ซึ่งทุกสิ่ง ได้มีเป้าหมาย...เป้าหมายในการมีชีวิต...”
เรกกะ ยังคงกล่าวต่อไป ขณะที่ตอนนี้ หยาดน้ำตาได้ค่อยๆไหลรินออกมาจากหัวใจ
น้ำตาที่ไม่ใช่การเสแสร้ง เซน่า คือคนสุดท้ายที่เค้าจะร้องเพื่อเธอได้

“ที่พี่ถามว่าทำไมผมถึงได้ทำมันลงไปทั้งที่พี่ไม่ได้ขอ.....นั่นเป็นสิ่งที่หากเป็นตัวผมในอดีต....ก็คงเป็นเพียงแค่การทำ...ตามคำสั่งที่ได้รับมา...”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้หลังจากที่ก้มหน้าไม่มองเธออยู่นาน เค้าก็เงยหน้าขึ้น
เพื่อสบตากับ เธอ ที่เค้าไม่ได้พบกันมากว่า 4 เดือนช่วงเวลาการต่อสู้ในระหว่างที่ไม่มี
เธอมันช่างยาวนานราวกับไม่ได้พานพบกันเป็นปี

“แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมอยากทำ...ด้วยตัวเอง...เพื่อคนที่ผม...รัก...”
เมื่อได้สบตากับเธอ อีกครั้ง นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่เค้าจะได้เห็นใบหน้าของเธอ

“..ในที่สุดผมก็...กลายเป็นมนุษย์ ได้ทั้งจิตใจ และ ร่างกาย....”
เรกกะ กล่าวออกมาโดยพยายามจะจดจำใบหน้าของพี่สาว ที่เค้าและเธอดูแล ซึ่งกันและกันมาตลอด
มาถึงตอนนี้ เค้าได้เห็นแล้วว่าเธออาจไม่ได้เป็นเจ้าหญิง ที่เอาแต่รอคอยการปกป้องจากเค้า

 แต่เธอได้เติบโตขึ้นและสง่าผ่าเผยราวกับ ราชินี และจะปกครองดูแลผู้คนต่อไปจากนี้ในกาลข้างหน้า
เธอไม่ต้องการ การดูแลจากเขาอีกต่อไปแล้ว

“ ..ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา...ผมรักพี่มากนะครับ...แม้เราจะไม่ได้เป็นพี่น้อง
กันจริงๆ....แต่พี่ก็จะเป็นพี่คนเดียวของผมตลอดไป... ”

เรกกะ กล่าวจบก็รับเอา กุญแจแห่ง อามาเกดดอนมา ไว้ในมือก่อนจะลุกขึ้นปาดน้ำตา
 และสวมหน้ากากกลับอีกครั้ง
พร้อมกับตีสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม ครั้นเมื่อมนต์สะกดคลาย เซน่า ที่เห็น กุญแจแห่ง
 อามาเกดดอน ไปอยู่ในมือของ เรกกะ ก็ถึงกับใจเสียไปทันที

“ เอาคืนมานะ.. ”
เซน่า ตะคอกพร้อมกับลุกขึ้น จะเอากุญแจคืน ทว่า เรกกะ ก็เดินจากออกไป

“ แมกกี้....อย่าให้เธอตามมา ”
เรกกะ กล่าวจบ แมกกี้ ก็เข้าไปขวางเธอไว้ ด้วยปีกขยายใหญ่ขึ้นก่อนจะรวบตัวเธอไว้

“ น้องมันเป็นปีศาจ ปีศาจที่น่ารังเกียจ คนเจ้าเล่ห์ คนหลอกลวง ”
เสียงด่าทอของ เซน่า ที่ดังไล่ลับหลังเขามานั้น กลับได้คำตอบแค่เพียงสายตาที่ชายมอง
กลับมาเท่านั้นก่อนจะเดินจากออกไป

......................
.................................

วู้มมมมมมมมมมมม

เสียงดังขึ้นก่อนที่จะเกิดระเบิดแสงขึ้นกลางอากาศ เหนือน่านฟ้า เมอริเซีย
อันเป็นสัญญาณแล้วว่าตอนนี้ ลำแสงโอดิน สามารถยิงไปยังที่ใดก็ได้แล้ว

“ ตอนนี้ Valhala ตกอยู่ในมือของเราแล้ว...จงฟังสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในเทอร่า นับแต่บัดนี้ไป
ข้าคือ เรกกะ ไฮเดย์ จักรพรรดิ ของเทอร่า แห่งนี้..ฮ่าๆๆๆๆ ”
เรกกะ กล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกระหายในอำนาจ  
ซึ่งเสียงได้กระจายออกมาตามช่องการสื่อสารทั้งหมดที่ส่งลงมาจาก Valhala

.........................
.......................................

สองเดือนต่อมา หลังจากสงคราม Delantion ระหว่าง เทอร่า กับ  Empyrean Adjust

ณ สวนสุสานที่ๆ เคยมีแผ่นป้ายไว้อาลัย ของ พวก ซาน ได้ถูกรื้อถอนออกและเปลี่ยนเป็นป้ายที่
สลักชื่อของ เฟนท์ แทน..........

ณ ถนน ใหญ่ เขตที่ 4 ของ โลกอส ขบวนบวนแห่ที่ ยิ่งใหญ่ซึ่งประกอบด้วย Gazor อารักขา 2-3 เครื่อง
และรถแห่ขบวนใหญ่ ที่ด้านบนนั้น มีเหล่าผู้ต่อต้าน เรกกะ ในสงครามครั้งนั้นมัดกับแท่นไม้เรียงรายอยู่เต็มคันรถ

ตั้งแต่ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า หลีเมย่ หลง ผิง ฮายาเตะ โครโน่ มาธิอัส ลูเทเซีย มาเรียลูส
และนอกจากนี้บรรดาผู้นำอาณานิคมของทั้ง เทอร่า ก็ถูกจับใส่กรงขัง

ขนาดใหญ่ติดล้อลากมากับขบวนแห่เสด็จนี้ด้วย โดย ที่กลางขบวนนั้น มี เรกกะ นั่งอยู่
บนบัลลังค์ จักรพรรดิ
ที่ตั้งอยูบนพื้นรถที่ยกขึ้นสูง ส่วน เซน่า ก็ถูกจับมัดอยู่ที่ ฐานของ ขบวนรถที่ เรกกะ นั่งอยู่
โดยมี แมกกี้ และ ยูปี้ นั่งอยู่ข้างๆ ที่ด้านหน้าขบวนนำอารักขา โดย ลอว์เรนซ์


“ องค์ประธานสูงสุด สหประชาคมโลก ประธานสูงสุดของ สหพันโลก และจักรพรรดิ
 แห่งเทอร่าของเรา ท่านจักรพรรดิ เรกกะ ไฮเดย์ ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วครับ
พร้อมกับขบวนแห่ที่จะนำตัว นักโทษไปยังลานประหาร ”

เสียงรายงานดังขึ้นผ่านไปตามช่องการถ่ายทอดของทุกสถานีทั่วทั้ง เทอร่า
กับการปรากฏตัวของ เรกกะ ท่ามกลางเสียง ก่นด่าของ ประชาชนที่เป็นเสียงกระซิบกระซาบ

“ ใช้อำนาจข่มขู่กันชัดๆ ใครไม่เข้าข้างตัวเอง ก็จัดการทิ้ง ”
“ ชู่ว เบาๆสิ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องขึ้นมาหรอก ”
เสียงกระซิบกระซาบดังไปมาแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน

“ นี่คือสิ่งที่เธอต้องการ เหรอ เรกกะ ”
โคเว็ท เปรยขณะที่ เธอกับ มิมิ ตามมาดูขบวนแห่นี้ด้วยความสลดกับสิ่งที่เรกกะ ทำอยู่
ขณะเดียวกันที่ อาคารสำนักงานด้านข้าง ถนนเส้นที่ใช้แห่นั้น บนชั้นสอง กลุ่มของ ซาน เอมิล ไรด์
และ ไอ ก็กำลังจับตาดูผ่าน ม่านหน้าต่าง ไรด์ ที่ทำท่าจะลงไปขวาง ก็ถูก เอมิล ยื้อไว้ก่อน

แต่แล้ว พวกเค้าก็ต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ๆเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมาจาก รอบถนน
ต้นเหตุที่ทำให้เสียงเหล่านั้นดังไม่ใช่อื่นใด นอกจากมีใครคนหนึ่งกำลังเดินสวน ขบวนเสด็จมา
 
“ ป...เป็นไปไม่ได้... ”
เรกกะ เปรยเสียงแผ่ว ต่อหน้าเงา ที่เห็น

“ นั่นมัน Dragoon นี่ ”
“ Dragoon จริงๆด้วย ”
“ ยังไม่ตายหรอกเหรอ Dragoon ”
เสียง กระซิบกระซาบของ ผู้คนรอบถนน ดังขึ้น ขบวนเสด็จ ต้องหยุดการเคลื่อน
กะทันหัน

“ ด...ได้ไงกัน..ก็เรกกะ ยังอยู่ตรงนี้ ”
ไอ เอ่ยด้วยความประหลาดใจ ขณธที่ทุกคนเองต่างก็แปลกใจไม่แพ้กัน


……………
ภายในวิหาร แห่งโลกอส ด้านในเป็น โถงพิธี สำหรับร่วมพิธีกรรมทางศาสนา มีม้านั่งไม้
ที่เรียงรายทอดต่อกันไป จนเต็มห้อง ที่ด้านหน้า เป็นแท่นศักการะ ที่มีแผ่นกระจกสีแต่งเป็นรูปนกพิราบขาว(Logos)
อันเป็นเป็นตัวแทนแห่งสันติ
R2 กำลังสวดวิงวอนภาวนาอยู่ บนแท่นศํกการะนี้

(http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p004/119.jpg)
....
ขณะเดียว กัน Dragoon ก็ได้วิ่งตรงเข้าไป ขบวนแห่ เหล่า Gazor ทั้ง3 เครื่อง จึงการดยิงเพื่อปกป้อง จักรพรรดิ
ทว่า Dragoon กับเคลื่อนไหวหลบกระสุนไปมาอย่างรวดเร็ว เกินมนุษย์ธรรมดา

“ หยุดยิงก่อน...เดี๋ยวพระองค์จะเป็นอันตราย...ชั้นจะออกไปเอง ”
ลอว์เรนซ์ สั่งให้หยุดการยิง เพราะDragoon เข้ามาใกล้ขบวนมากเกินไป ก่อนที่ ยูปี้ จะเปลี่ยนเป็น มาคายาเดีย
แต่ตัวเค้าก็รับมาใช้โดยไม่แปลงเป็นทาลิวิลย่า แต่บุกเข้าไปสู้ซึ่งหน้าทั้งอย่างนั้น
แต่กลับถูก Dragoon ใช้เป็นแท่นกระโดดเหยียบไหล่ ขึ้นไปหา เรกกะ แทน

“ ไปเลย..วีรบุรษสวมหน้ากาก ”
ลอว์เรนซ์ กระซิบในวินาที ที่ Dragoon ได้ขึ้นไปอยู่ต่อหน้า เรกกะ แล้ว
เรกกะ ลุกขึ้นจะชักเอาปืนที่เก็บไว้ในเสื้อ ออกมา แต่กลับถูก ดาบที่ Dragoon ชักสวน
ออกมาปัดจน ปืนกระเด็นหลุดมือไป  ก่อนจะหงายคมดาบจ่อมาที่เค้า
ในขณะ ที่ เรกกะ  หรี่ตาลงด้วยมีเลศนัยแอบแฝง

..............
..................
3 ชั่วโมงก่อน การออกขบวนแห่

ณ ห้องที่ เรกกะ ใช้เป็นที่ออกอากาศตอนสั่ง สหประชาคมโลกเข้าร่วมกับ สหพันโลก
ที่นี่ มีเพียงเค้า และ เฟนท์ ที่รอดมาอย่างปาฏิหาริย์  สองคนเท่านั้นในตอนนี้

“ เฟนท์ ตามสัญญา นายต้องฆ่าชั้นซะ ”
เรกกะ กล่าวพร้อมกับ ยื่น หน้ากากของ Dragoon ให้แก่ เฟนท์

“ เรกกะ นาย...ต้องการแบบนี้จริงๆเหรอ ”
เฟนท์ ถามด้วยความลังเล ที่เวลานี้ได้มาถึง

“ ทั้ง เทอร่า จะมุ่งความอาฆาต ความเกลียดชัง ทั้งหมดมาที่ชั้น จากนั้นที่นายต้องทำก็คือ
 ลบตัวตนของชั้นออกไปซะพร้อมกับทำลายบ่วงกรรมแห่งความอาฆาตนี้ลง ”
เรกกะ กล่าวในขณะที่ เฟนท์ รับเอา หน้ากาก และดาบมา

“ จากนี้ เทอร่า จะมีตำนานของ Dragoon สืบไป และหลอมรวมเป็นหนึ่ง เดียวกันไม่ใช่
เพราะกำลังอำนาจทางทหาร แต่เป็นการเข้าหากันด้วยการ เจรจา ไม่ใช่สงคราม นี่ก็คือ อนาคต
ที่Empyrean Adjust หวังเอาไว้แต่แรก ”
เรกกะ กล่าวหลังจากที่ เฟนท์ รับเอาทั้งสองสิ่งไปจากเขา พลางนึกถึง คำพูดที่เค้าเคยบอกว่า จะเป็นผู้ถือคมดาบปลิดชีวิตของเรกกะ เอง(อ่านได้จาก บทที่14) ในวันนี้ เวลาที่ว่านั้นมาถึงแล้ว

“ นั่นก็คือ...Dragoon Requiem(บทเพลงส่งวิญญาณแด่อัศวินมังกร) ”
เฟนท์ กล่าวขณะที่ก้มมอง หน้ากากที่รับมาด้วยความรู้สึกที่ยังเกร็งๆอยู่ในตอนนี้


“ เรารู้จาก คาทราสโทฟี ว่าผู้คนปรารถนา ในอนาคต ในเวลาที่ ความปราถนาสามารถเดินควบคู่ไปกับเวลาได้ ”
เรกกะ กล่าวเพื่อที่จะให้ เฟนท์ หายเกร็ง และสามารถลงมือได้อย่างไม่ติดขัด

“ เฟนท์ ...นายคิดไหมว่า Genesis มันก็เหมือนกับความปรารถนา...ทุกคนที่มีมันต่างก็มีความปรารถนาที่ต่างกันออกไปแต่ สุดท้ายที่ปลายทางของความปรารถนานั้นก็คือ...อนาคต  ”
เรกกะ กล่าว ขณธที่ เฟนท์ ได้ยินก็เปรยขึ้นมาด้วยความสงสัย



Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: greamon on April 30, 2009, 03:44:19 PM
“ ความปรารถนาเหรอ.. ”
เฟนท์ เปรยขณะที่เงยหน้าขึ้นมอง เรกกะ

“ อืม ชั้นจะเสี่ยงกับความปรารถนา ของผู้คนที่เป็น Genesis ผลักดันไปสู่อนาคต ”
คำพูดสุดท้าย ที่เรกกะ ได้พูดออกมา นั้นคือส่วนสนับสนุนทั้งหมดของแผนการที่วางไว้
และเริ่มมาเนิ่นนาน ในที่สุดมันกำลังจะจบลงในไม่ช้านี้
................
......................
.............................



“ เรกกะ...นี่เป็นค่าตอบแทนที่นายต้องชดใช้ให้กับการ เหยียบย่ำจิตใจผู้อื่น.... ”
R2 เปรยออกมาเพียงลำพัง ในวิหารที่ไม่มีใครนี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง แสงสว่างที่ทอดผ่านกระจกลงมา

“ ....นาย.... ”
น้ำตาที่ไหลรินออกมาพร้อมกับ คำพูด ในขณะที่ สัญลักษณ์ คาทราสโทฟี ของเธอ
ได้ปรากฏขึ้นบนร่างกายอีกครั้งก่อนที่มัน จะสลายหายไป ตอนนี้เธอได้คืนความเป็นอมตะ
ไปแล้ว

...............


“ คนที่พร้อมจะฟันก็ควรพร้อมที่จะถูกฟันด้วย ”
เรกกะ คิดขณะที่คมดาบของ เฟนท์ กำลังจะแทงเข้ามา

“ เฟนท์ นายจะกลายเป็นวีรบุรุษ กลายเป็น Dragoon ผู้กอบกู้โลกใบนี้
ช่วยทุกคนจาก ศัตรูของโลก จักพรรดิ์ ปีศาจ เรกกะ ไฮเดย์ คนนี้ ”

คำพูดสุดท้าย ที่เค้าได้พูดไว้กับ เฟนท์ ในตอนที่ มอบหน้าที่ให้สานต่อแทนเค้า
ดังขึ้นในหัวของ เฟนท์ ก่อนที่คมดาบจะทิ่มทะลุผ่านร่าง เข้าไป


“ เรกกะ... ”
เฟนท์ กระซิบขึ้นมาเบาๆ ภายใต้หน้ากากที่สวมอยู่ น้ำตาที่ไหลรินเพื่อเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว
ที่ร่วมทุกข์สุขกันมา พร้อมๆกับ โลหิตที่ ซึมออกมาบนเสื้อของ เรกกะ และดาบที่ฝังลึกจนมิดด้าม
ลงไปนั้น

“ นี่ก็เป็น..บทลงโทษสำหรับนาย..ด้วย ”
เรกกะ กระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบา ขณะที่เอามือกุมท้องที่ถูกฟันเอื้อมไปแตะที่หน้ากาก
ของ Dragoon

“ นายจะเป็นผู้พิทักษ์ ที่สวมหน้ากากนั่นไปชั่วชีวิต....ไม่สามารถกลับไปเป็น เฟนท์ นีโอเวล ได้อีก
นายจะต้อง....สละความสุขของตัวเอง...ทั้งหมดเพื่อ..ความสุขของ..ทุกคน..ชั่วนิรันด์ ”
เรกกะ กล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา ขณะที่ไฟชีวิตค่อยๆมอดลง มือที่แตะหน้ากากของ Dragoon ได้ลื่นไหลงแนบตัวอย่างอ่อนแรง เลือดที่เปรอะมืออยู่นั้นจึงขีดลากไปบนหน้ากากด้วย

“ ชั้นยอมรับความปรารถนานี้.. ”
เฟนท์ กระซิบตอบ ก่อนจะชักเอาดาบออกจากร่างของ เรกกะ และเดินถอยออกไปด้านข้าง ในขณะที่ เรกกะ ซ฿่งกำลังจะหมดลมหายในนั้น ได้เซถลาไหลลงไปตามทางลาดของ คันรถ จนลงมากองอยู่ข้างๆ เซน่า

“ เรกกะ.. ”
เซน่า เปรยด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปแตะร่างของ น้องชาย อย่างช้าๆ
เสี้ยววินาทีที่เธอสัมผัสกับตัวของ เรกกะ จี้ห้อยคอ รูปนาฬิกาทราย ที่ เรกกะ ห้อยเอาไว้ตลอด

ก็ เรืองแสงอ่อนออกมา เมื่อ เซน่า ได้จ้องมองไปที่แสงนั้นเธอจำได้ถึง นาฬิกา ห้อยคอตัวนี้
เธอเป็นคนที่มอบมันให้ เรกกะ มนวันที่เค้าถูกสร้างขึ้น ก่อนจะถูกปลูกความทรงจำและคิดว่ามัน
เป็นของ ลอว์เรนซ์ ที่เป็นพ่อของเขา

“ นี่..หรือว่า ”
เซน่า เปรบก่อนจะย้ายไปจับที่ นาฬิกานั้น ความทรงจำทั้งหมดที่ เรกกะ คุยถึงแผนการ Dragoon Requiem
กับเฟนท์ ก็ได้ผุดขึ้นมา ในหัวของเธอ

“ ไม่จริง...ตลอดเวลา...เรกกะ น้อง.... ”
เซน่า เปรยด้วยเสียงอันสั่นเทา ขณธที่มองดวงตาของ น้องชายที่ค่อยๆริบหรี่ลง

“ เรกกะ...พี่เองก็รักน้อง..มากนะ น้องเป็นน้องของพี่จริงๆ... ”
เซน่า กล่าวออกมาด้วย้ำเสียงที่สั่นเครือ ขณธที่ เรกกะ ซึ่งกำลังจะหมดลมหายใจได้ ชายตามามองเธอเป็นครั้งสุดท้าย

“ ผม...ทำลาย..โลก ”
เสียงอันแผ่วเบาของ เรกกะ ที่หลุดลอยออกมา ขณะที่ภาพความหลังทั้งหมดค่อยๆปรากฏขึ้นในหัวของเขา
ช่วงเวลาทั้งหมดที่ได้มีชีวิตมา กำลังหลั่งไหลขึ้นมาในจิตใจ

“ และ...ผม..สร้าง...โลก... ”
สิ้นคำ ดวงตาของ เรกกะ ก็ปิดสนิทไม่มีสุรเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาอีก

“ ไม่นะ...เรกกะ..ลืมตาขึ้นมาสิ..เรกกะ! ”
เซน่า กล่าวน้ำเสียงสั่นเทา ขณะที่น้ำตาของเธอไหลรินรดลงบนใบหน้าของ เรกกะ ผู้เป็นน้อง

“ ปีศาจร้าย เรกกะ ได้สิ้นใจลงแล้ว พวกเราออกไปช่วยตัวประกันทั้งหมดเร็ว ”
เสียงของ เอมิล ดังขึ้นจากที่หน้าอาคาร พร้อมกับที่ ซาน ไรด์ ไอ ได้ออกจากอาคารตรงไปยังขบวนรถ
ขณะที่ บรรดาผู้มาร่วมงาน ก็พากันเข้าก่อเหตุชิงตัวประกันออกมา กันอย่างพร้อมเพรียง

“ แย่ล่ะ ถอยก่อน ”
ลอว์เรนซ์ สั่งจบ Gazor ทั้ง3 เครื่องก็พา เค้าหนีขึ้นฟ้าหายลับไป

“ จบซะทีสินะ ”
เสียงของ เรโค่ ดังขึ้นจาก Gazor ที่ ลอว์เรนซ์ เกาะอยู่ที่ไหล่

“ จะได้กลับบ้านกันซักที ”
เซโร่ บ่นออกมาจาก Gazor อีกเครื่องที่อยู่ข้างๆ

“ เอาน่าไม่ต้องบ่นไปหรอก...อีกเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้วล่ะ.. ”
เสียงของ อิจิกิ ก็ดังจากอีกตัวเช่นกัน พวกเซโร่ ทั้งสามคนนั้น ได้ขับอยู่ใน Gazor แต่ล่ะตัว ตั้งแต่แรกแล้ว
(มิน่าถึงยิงยังไงก็ยิงไม่โดน)


“ ไม่ยุติธรรมเลย...ทั้งที่พี่แค่ได้อยู่กับน้องก็มีความสุขแล้ว..แต่ทำไม..พี่จะอยู่ได้ยังไง
ในอนาคตของเรกกะ ที่ไม่มีเรกกะ อยู่ด้วย...ไม่นะ..เรกกะ.. ”
เสียงของ เซน่า ดังขึ้นอย่างสั่นเทา ขณะที่เธอทำได้เพียงแค่กุมมือที่ เย็นเชียบของ น้องชายเอาไว้เท่านั้น
ด้าน Dragoon เฟนท์ ก็ได้ยกดาบสะบัดเอาเลือดของ เรกกะ ออกท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างยินดีของผู้คนทั่วทั้งท้องถนน

“ Dragoon! ”    “ Dragoon!! ”  “ Dragoon!!! ”   “ Dragoon!!!! ”
เสียงเรียกชื่อสรรเสริญ ดังขึ้นทั่วทั้งท้องถนนตัดกับเสียงกรัดร้อง ที่ขมขื่นของ เซน่า ที่ดังก้องระงม
ท่ามกลางเวลาของยุค สมัยที่ได้เปลี่ยนไปแล้ว

.......................
...................................

 นี่ เรกกะ หลังจากนั้น เทอร่าก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ ความพยายามทั้งหมดที่เคยทุ่มให้กับสงคราม
ถูกนำมาใช้เพื่อการ บำรุงและฟื้นฟู ความยานแค้นของประชาชนแทนแล้วล่ะ

ความอาฆาตแค้นทั้งหมดมันถูกผลักให้เป็น ภาระของนายแทน...บางทีมันอาจ
จะง่ายกว่าที่จะจดจำ ชื่อของ คนๆหนึ่งมากกว่าระบบ ที่ชื่อ Valhala คงจะฟังดูเลิศเลอเกินไปสินะ

 แต่มันเป็นความจริง บางทีตอนนี้ เธออาจจะนั่งยิ้มน้อยๆแล้วก็บอกว่าเป็นไปอย่างที่เธอคาดเอาไว้อยู่ก็ได้
เพราะนาย ทุกคนจึงไม่ยึดติดกับ อดีต และไม่ขังตัวเองเอาไว้กับเวลา สามารถที่จะไปยังอนาคตได้ โดยที่ไม่ลังเล

 จริงสิ ฉันเกือบลืมแน่ะ พวกเรา เรียนจบมหาลัยกันแล้วนะ ฉันได้เป็นทนาย อย่างที่ฝันเอาไว้แล้วล่ะ
ไรด์ เองก็เปิดร้านขายของสะสมน่ะนะ ช่วงนี้ บาร์ซิงเซย์ เลยคึกคักยิ่งกว่าเดิมอีก เนอะว่างั้นไหมล่ะ

เอมิล เองก็เพิ่งเริ่มงานตุลาการได้ไม่นาน ฉัน เองก็ดีใจนะที่เวลาอยู่ในศาลจะได้ไม่ต้องเกร็งมาก
แต่กลับกันน่ะสิ ดู เอมิล จะเกร็งกว่าฉันซะอีกเนอะ ฮะๆๆ

ไอ เองก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ แล้วล่ะ อีก 3 วันข้างหน้านี่เธอจะแต่งงานแล้วนา...
เธอในชุดเจ้าสาวน่ะสวยมากๆเลย มิมิ กับ โคเว็ท เองก็จะมาร่วมงาน ด้วย

ฉันเองก็ อยากให้เธอกับ เฟนท์ ได้มารด้วยจริงๆมันคงดีไม่น้อยเลย เนอะ....

.................................................
Send
………..
Yes
…………………………
การบันทึกข้อความสมบูรณ์
…………………..

“ ซาน สายแล้วนาคณะลูกขุนเค้ามากันแล้ว ไม่รีบเดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก ”
เสียงของ เอมิล ดังมาก่อนที่ ซานจะรีบ ปิด มือถือของตน แล้วรีบวิ่งตามไปสมทบ

“ แหมแล้ว เธอ เป็น ตุลาการยังอยู่ตรงนี้ ถึงฉันไปก็เปิดศาลไมม่ได้หรอกน่า ”
ซาน เถียงกลับขณะที่ พวกเค้า รีบวิ่งกันไปยัง อาคารศาลยุติธรรมแห่งเมอริเซีย
ในขณธที่ เหนือน่านฟ้านั้น มีประกายแสงบางอย่างที่พุ่งผ่านหายลับไป
..............

เรกกะ ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าเธอคิดอะไร ทำอะไร มาตอนนี้ฉันถึงได้เข้าใจ
ในความหมายที่เธอพูดแล้วล่ะ บางทีทุกสิ่งอาจไม่เปลี่ยนแปลง หากไม่กล้าที่จะก้าวออกไป

ตอนนี้ถึงตาฉันที่จะก้าวออกไปบ้างแล้วล่ะ  การเจรจาเพื่อเชื่อมพันธไมตรีกับ เมอริเซีย ที่บูรณะขึ้นใหม่
ฉันเองยังกังวลนิดหน่อยตอนที่ได้พบกับ ท่านมหาราชินี เซน่า ไฮเดย์ แต่ว่า ท่าน ใจดีมากเลย
ดูแล้วสมภูมิกับความเป็น มหารานี ของ เมอริเซีย เลยนะว่าไหม

.............

สนามบินท่าอากาศยานหลัก โลกอส


“ เป็นอะไรไปน่ะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ มาเรีย..กำลังคิดถึงใครอยู่เหรอ ”
เสียงขอ ลูเทเซีย ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เธอ สะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับไป
ยิ้มให้พี่ชายเธอ

“ นิดหน่อยน่ะค่ะ..แหะๆ..อ..อ้าว ”
มาเรียลูส แก้ตัวด้วยความเขอะเขิน ก่อนจะอุทานเมื่อเห็น สุซาคุ กับ เฟรเซีย กำลัง
จดๆจ้องๆ กันด้วยการชายตา ทว่าใบหน้าที่แดงรเรื่อ ของพวกเค้าทั้งก็บ่งบอกอยู่เป็นนัย

“ นี่แล้ว สุซาคุ กับ เฟรเซีย น่ะเมื่อไหร่จะได้ำตอบกันซักทีล่ะ แบบนี้มันอึดอัดคนดูนะรู้ไหม ”
มาเรีย ลูส กล่าวหยอกใส่ ทำเอาทั้งสอง เลิกลั่กรีบแก้ตัวกันเป็นการใหญ่

“ ค..คำตอบอะไรกัน ครับ/คะ ”
ทั้งคู่รีบออกปากขึ้นแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะหยุดกึกหันมามองหน้ากันซักพักแต่ก็กลั้นความ
ตื่นเต้นไม่ไหวจน ต้องหันหน้าแยกกันอีกรอบ ทำ เอาคู่พพี่น้อง อดที่จะหัวเราะไม่ได้
เลยยิ่งทำให้ ทั้งสองหน้าแดงขึ้นไปอีก


“ อ้าวนั่น ท่านมหารานี เซน่า เสด็จมาแล้ว เราอย่าให้ท่านรอเลย ”
ลูเทเซีย กล่าวเมื่อเห็น คณะของ เซน่า ที่มาพร้อมกับ Dragoonเฟนท์ ชารี่ ซิกนัม เอลิต้า
 หลีเมย่ หลง ผิง ฮายาเตะ และ โครโน่ ซึ่งเป็นคณะทูตของ เมอริเซียในตอนนี้
เซน่า ที่ตอนนี้เธอดูสง่างามในฉลองพระองค์ อันงดงามสมเกรียติ และใบหน้าอันคมคายของเธอที่ทำให้ดูเป็นคนสุขุม

“ เรกกะ โลกที่น้องสร้างขึ้นมานี้ ถึงคราวของพี่บ้างที่จะรักษามันเอาไว้ให้ได้ คอยดูพี่ให้ดีนะ ”
เซน่า คิดขณะที่แหงนเงยหน้ามองขึ้น ฟ้า ซึ่งได้มีประกายแสง บางอย่างพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

(http://images.temppic.com/30-04-2009/images_vertis/1241063757_0.06092800.jpg)
.......................

“ ..ไม่รู้ทำไมถึงต้องมาเยี่ยมด้วยน้าไม่ใช่เวลาของเราซักหน่อย ”
เซโร่ ที่เอาแต่บ่นอยู่บน ยาน คอสมิกแสวนซึ่งตอนนี้จอดอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่งในเขตภูเขา คีรีบันดา
ที่บัดนี้คืนความสวยงานทั้งป่าไม้และธารน้ำ ทะเลสาบนีรันด้ากลับมาใสสะอาดดังเดิม

และ ราชอาณาจักร ฟูดินันที่ บูรณะขึ้นใหม่ ไปจนถึง มิราบิลิส ฟีเลเซีย ซาโลม
ลาซาล แอนดิซอง และ เมืองหลักการปกครองใหม่ของ ทวีป เมกกะโทโปลิส ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็น
ตัวแทนการปกครองทวีป เมอริเซีย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เมื่อ ลอว์เรนซ์ ได้ข้ามกาลเวลากลับมาเพื่อชื่นชม
มันอีกครั้งโดยคราวนี้เค้าพา เจนัส ลากูน่า นีน่า มาด้วย

“ หึ..อนาคตนี่มันก็ไม่เลวไปซะทีเดียวเนอะ ”
เจนัส หันไปกล่าวกับ เรกกะ ขณะที่ เค้ามองยิ้มๆตอบกลับมา

“ หวาอย่า ผลักสิ พี่นีน่า มันสูงนะ ”
“ อ้าว ลากุจัง กลัวความสูงเหรอ ฮิๆ ”
ด้าน นีน่า กับ ลากูน่า ก็กำลังหนอกกันเหมือนพี่น้องเช่นเคย

โดยมี อิจิกิ กับ เรโค่ ยืน ดูอยู่ตรงบันได ยาน ที่ เซโร่ นอนหน้าบึ้งหน้าบูดอยู่
ขณะที่ ลอว์เรนซ์ แหงนหน้ามองท้องฟ้า ก็มีประกายแสงอะไรบางอย่างแบบเดียวกับที่ พุ่งผ่าน ท่าอากาศยานโลกอส บินผ่านไปหายลับไปอย่างรวดเร็ว
...................

นอกเขตชั้นบรรยากาศ ห่างออกไปจาก เทอร่า 92ล้าน กิโลเมตร
ใกล้รัศมี บรรยากาศของ ดวงอาทิตย์ Valhala ได้ลอยเข้ามาใกล้พระอาทิตย์ ไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดก็ถูกความร้อนของดวงอาทิตย์ แผดเผาทำลายไปพร้อมๆกับ God Send ทั้ง12 ชิ้น
เป็นอันคืน ของวิเศษ 12 สิ่งจากพระองค์คืนสู่พระองค์ บัญญัติแห่งการล้างโลก ทั้ง 21 ประการ
ตราบาป 7 ตรา
แตรสวรรค์  7 คัน
ขันชำระบาป 7 ใบ

บัดนี้ เทอร่า ไม่อาจตกเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว หากแต่เป็นส่วนหนึ่งที่พระองค์ต้อง
คอยจับตาดูต่อไป เมื่ออำนาจของ พระองค์ ไม่อาจตัดสิน เทอร่า นี้ได้

.............................

ประกายแสงที่พุ่งแหวกท้องนภา ไปทั่ว ผืนแผ่นดิน ที่เกิดใหม่นี้ ได้คอยจับตาดูความเป็นไปของ เทอร่า
ที่เกิดขึ้นใหหม่ นั้นคือ ยาน รูปร่างมังกรจักรกลเทียม ไซเบอริก้าดราก้อน

“ นี่ มาธิอัส  ”
“ อะไรอีกล่ะ ถ้าจะกิน แอปเปิลล่ะก็ปอกเองสิ ชั้นขับยานอยู่ไม่เห็นรึไง ”

“ เปล่าไม่ใช่เรื่องนั้น..แค่จะถามดูน่ะ...ไอ้การใช้ชีวิตเนี่ย มันต้องทำยังไบ้างพอจะรู้ไหม ”
“ อะไรเล่าเรื่องแบบนี้เธอยังต้องมาถามอีกเหรอ ”

“ ก็แหมที่แล้วมาฉันไม่เคยสนนี่นา
ว่าเวลามันจะผ่านไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่น่ะสิ อุ้ย ”

“ อ้าวเป็นอะไรอีกล่ะ ”

“ แค่มีดบาดน่ะ ”
“ ไม่ได้นะ R2 เอ้านี่ พลาสเตอร์ยา ปิดปากแผลไว้ก่อนสิ ”

“ ปล่อยไว้เดี๋ยวมันก็หายเองล่ะน่า ”
“ ไม่ได้นะ เธอไม่ได้เป็น อมตะแล้วนะอย่าลืมสิ มานี่มาทำแผลก่อน ”
“ หึๆ..ให้ตายสินายเนี่ยน้า อันไหนเป็นหน้ากาก อันไหนเป็นหน้าจริง
ฉันชักจะสับสนกับนายแล้วนะ ....เรกกะ.... ”

........................................................................
เพราะไม่อาจสมดังปรารถนาได้ทั้งหมด มนุษย์จึงต้องขวนขวายอนาคต
นั่นคือคำตอบที่ เวลา ไม่อาจหยุดเดินลงได้
........................................................................
Legend Thaliwilya of Arimathea จบบริบูรณ์
.........................................................................

Next Chapter

ผม Daisuke Niwa อายุ 14 ปี ในวันครบรอบวันเกิดของผม ก็อกหักจาการถูกปฏิเสธรักแรก
โลกที่เหมือนจะแตกดับสลายไปเลยในขณะนั้น กลับมีเรื่องวุ่นมายุ่งให้ป่วนซะอีก อะไรน่ะเหรอไม่อยากจะพูดถึงมันเล้ย...



และแล้วก็จบกันไปแล้วกับ อีกบทนึงของ ตำนานที่ไม่นึกว่าจะลงเอยแบบนี้
สุดท้ายพอได้ดูตอนนี้ทุกคนคงพอจะเข้าใจแล้วสินะ ว่า เรกกะ ทำทั้งหมดไป

เพื่ออะไร ที่จริงฉากซึ้งที่สุดน่าจะเป็นตอน เรกกะ บอกลา พี่สาวตัวเองตอนรับ
อามาเกดดอน มานั่นล่ะครับ หมดทิชชู่ไปหลาย... แล้วผู้อ่านคิดว่าไงบ้างครับกับฉากนั้น

ที่จริงตอนจบแบบนี้อาจไม่ค่อยดีเท่าไหร่(มั้งนะ) เพราะมันเหมือนกับว่า ทั้ง โลกโดน
 เรกกะ ต้มซะเปื่อยเลย (คนอ่านก็โดนเสียน้ำตาไปกี่เม็ดจ้ะ)

การุรุม่อน:~ แล้วตกลง เรกกะ ตายไม่ตายเนี่ย คำพูดที่ ป้าแกพูดมันมีแต่บทพูดอ่ะไม่มีบรรยาย เลยไม่รู้ป้าแก พูดกะมาธิอัส หรือ เรกกะ กันแน่

ปิโยม่อน: นิยายบทนี้สอนให้รู้ว่า เกิดเป็นมนุษย์นั้น ยากหนักหนาขนาดไหน
 ไม่เชื่อดูสิ กว่า เรกกะ จะเปลี่ยนจาก อานิม่า มาเป็นมนุษย์ได้ยังแทบตาย

ดังนั้นท่านที่อ่านแล้ว พึงสังวรไว้ก็ดีนะคะ ว่าเป็นคนน่ะดีแล้ว มีเวลาที่จำกัดดีกว่ามี
ไม่มีวันให้หยุดนะ(ฉันพูดอะไรอยู่เนี่ย งง ไปกะเค้า)

ก็นะ เรกะ  ตายไม่ตายแล้วแต่ ท่านผู้อ่านจะคิดจะวิเคราะห์ เน้อส่วน ภาคสามรอต่อไป ไม่รู้จาเสดวันไหน
 เหนื่อยกะซีรี่ย์นี้จริงๆ หลั่งน้ำตาตัวเองเป็นว่าเล่น ตาแห้งมา 3 วันแล้วเนี่ย

.......................
Thank for ....

Story by Greamon

Art & Graphic by Cocka-C(Garurumon),War Garurumon ,ginn(Tentomon)

Check Word & Web Server by Piyomon

Card picture by Database Phenomenon,SED4Musician By (http://www.santoninogame.com/images/sign_inty.gif) Zero

............................


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: greamon on April 30, 2009, 03:45:52 PM
ขอแจ้งการแก้ไขหน่อย ท่านที่ได้อ่าน บทอวสานก่อน เวลา 11.45น. ขอให้รีรันอ่านใหม่อีกรอบเนื่องจากเนื้อหาขาดหายไปบางส่วนระหว่าง การอัพกระทู้ ตอนนี้เราแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

ขออภัยในความไม่สะดวก


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: Nihil on April 30, 2009, 04:26:28 PM
อย่างยาวเฟื้อย  ::006::


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: boy on April 30, 2009, 04:58:37 PM
ไม่อ่ะ  ไม่ใช้ทิชชู่ เหอๆ

สรุปโลด-------->อานตอนจบนี่ ได้ความคิดมาอย่างนึง.................................อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก

ข้าพเจ้าจำความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวไม่ได้  ::006::  me/งี่เง่าอีกแล้ว -*-

เศร้า........เฟนท์ตาย              ทุกคนเค้าคิดถึงเรกกะรู้ม้ายยย ฯลฯ  ::008::

สนุกมากครับ  รอซีรี่ย์อันต่อปาย~ 


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: Gee on April 30, 2009, 05:07:47 PM
แง...เรกกะ คุงที่แท้แอบแฝงเงื่อนงำไว้แบบนี้เอง ตอนนี้พี่สาวได้รู้ความจริงแล้วน้า
ว่าแต่ไม่กลัวพี่สาวฆ่าตัวตายเหรอ อีสควอเทียก็เตือนไปหยกๆ อย่าเลือกความตาย

ปล. คุณ Boy คะ เฟนท์ ไม่ตายนะ แต่ต้องเป็น Dragoon ไปชั่วชีวิต
ส่วน เรกกะ คุงในที่สุดก็ได้ออกท่องเที่ยวไป R2 มาธิอัส ตลอดไป
เปนตอนจบที่ อ่า บันไซ~~~~

ว่าแต่ทั้งเรื่องตกลงตายคนเดียว คือ อี ราฟ ใช่มะเนี่ย เอาเถอะดีแล้ว หมันไส้มัน


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: cocka-c on April 30, 2009, 05:21:44 PM
Quote
ว่าแต่ทั้งเรื่องตกลงตายคนเดียว คือ อี ราฟ ใช่มะเนี่ย เอาเถอะดีแล้ว หมันไส้มัน

อันนี้เจ๊เองเห็นด้วยนะ ราฟ นี่มันเลวบริสุทธิ์มาก แต่คนที่ตายคนอื่นน่ะยังมีอีกจ้ะ ลืมพลพรรค ประจำยาน Albus กันหมดแล้วเหรอฮ่ะ 4 คนตายอนาถสุดๆ ทั้งที่เป็นคงดีแท้ๆ แต่ตายแบบไม่เห็นว่าตายยังไง

สรุปทั้งเรื่อง จะสงสารใครดีเนี่ย เรกกะ หรือ เฟนท์  ดี เฟนท์ ตัวตนถูกคิดว่าตายไปแล้ว
ต้องสวมหน้ากากไปชั่วชีวิต และทำหน้าที่ช่วย เซน่า เพื่อสานต่อ เจตนารมณ์ องค์กร

แถม ไอ จังจะแต่งงานใหม่อีก  ::008:: (แต่เอาเถอะ เจ๊ เค้ามิรู้นิว่า เฟนท์ ยังไม่ตาย)

ส่วน เรกกะ ต้องระเห็จหนีไปเรื่อยๆออกมาปรากฏตัวไม่ได้อีกต่อไป แต่ยังดีได้ไปอยู่กับป้า สรุปเรื่องนี้นางเอก
คือ ป้า ใช่ม้ายยยยยย ::019::

แล้ว ซาน ขาบุคลิค น้องอ่ะไม่เหมาะเป็นทนายหรอกค่ะ เจ๊ว่านะ จะไปไต่สวนดันตื่นสายอีก ไม่มี เฟนท์ คอยปลุกแล้วนา


สรุป ตอนนั่งตรวจต้นฉบับกับ พี่ ปิโย นั่งน้ำตาซึม ทิชชู่ หมดไป 3แพค กะ 3บทสุดท้าย
นั่งสั่งน้ำมูก(เปฌนหวัดกันทั้งกรมจ้า แต่ไม่ใช่ไข้หวัดหมูน้า)

ไว้เจอกัน ภาคสามน้า


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: greamon on April 30, 2009, 05:39:19 PM
ลืมเฉลยปมสุดท้าย เรืือ่งทำไมถึงต้อง R.R. แต่เอาไว้ก่อนเดี๋ยวบอกตอนท้าย

ก่อนอื่น
Quote
สรุปโลด-------->อานตอนจบนี่ ได้ความคิดมาอย่างนึง.................................อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก

ข้าพเจ้าจำความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวไม่ได้    me/งี่เง่าอีกแล้ว -*-

เอ่อ มันเยอะมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ  ::010::

ที่จริงจะว่าไปนี่มันจะน้องๆ สามก๊กแล้วมั้งเนี่ย
ตัวละครเยอะเว่อร์ที่สุด

ภาคที่แล้ว มัน 12 ตัวร้าย พอใกล่้จบเขี่ยทิ้งสบายหน่อย แต่ภาคนี้ 12ตัวมันเป็นฝ่ายกลาง
เขี่ยทิ้งไม่ได้อีก

เลยต้องมากันหมด ก็เอาเป็นว่า จำหลักๆไว้นะขอรับ

เรกกะ คู่ ซาน (แต่ใจน่ะอยากได้ป้า)

เฟนท์ คู่ ไอ (พระองค์เล่นตลกอะไรอีกเนี่ย เค้าเลยไม่อาจรักกันได้)

โครโน่ คู่ ฮายาเตะ (คู่นี้เค้าเป็นห่วงกันและกัน แต่โดนอำนาจ God Send ไปคน อีกคนเลยต้องช่วย)

ก็แค่นี้มั้งนะที่สำคัญๆ เพราะตอนนี้ พวก เอมิล โดนถอดเป็นตัวประกอบ
ต้องกะตอนที่ตายแล้วรอดเพราะป้าช่วยน่ะแหล่ะ

หลายคนอาจจะคิดก็ได้ว่า
เรกกะ เห็นแก่ตัวมากๆ

เห็นแก่ตัว ที่ทิ้งความสุขของพี่สาว ที่อยากจะอยู่กับน้องชายเท่านั้น
เห็นแก่ตัว ที่บังคับให้เพื่อนคนหนึ่งต้องฆ่าเพื่อนรักด้วยมือของตัวเอง
เห็นแก่ตัว ที่ทิ้งทุกคนไว้
เห็นแก่ตัว ที่ทิ้งให้เพื่อนแบกรับภาระของโลกเอาไว้ จนเค้าไม่อาจกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้

นายมันเห็นแก่ตัวที่สุดเลย เรกกะ

นี่เป็นความคิดอีกด้านหนึ่งหลังจากที่อ่าน ส่วนตัวผมรู้สึกว่า เรกกะ น่ะ เลวนะเห็นแก่ตัวแบบนี้
แต่เอาเถอะสถานการณ์ต่างๆมันบีบบังคับ เพราะตอนแรก เรกกะ คงไม่คิดว่าตัวเองเหลือ

อะไรสำคัญพอจะอยู่ต่อไปแล้ว เลยตั้งใจจะตายให้หายๆไป แต่เจอช็อตเด็ด พี่สาว ยังอยู่
 แฟนเพื่อนยังไม่ตาย แฟนตัวเองก็รอด

งานเข้าแผนเดินไปจนจะสมบรูณ์แล้ว ถอยไม่ได้แล้ว
สุดท้ายเลยต้องฝืนตัวเองเดินต่อไป


สุดท้ายปมของ R.R. ก็ไม่มีอะไรมากอยากรู้ใช่มะเลื่อนลงไปๆ











ลงไปอีกนิด












































ถึงแล้วข้างล่างโน่น







Recca Requiem.......... ::020::


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: ginn on May 01, 2009, 01:22:18 AM
จบเสียที

นึกว่าจะเอาแบบ

ทาลิทั้ง 12

วัลคีรี่ทั้ง 13

บุชายัญให้เรกกะนะเนี่ย

เหอะๆ

ปล.ตอนจบยาวดีจริงๆ อ่านจนหลง


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: boy on May 02, 2009, 11:16:38 PM
ว่าจะเซฟรูปของซีรี่ย์  รูปเรกกะเจ๊งครับ  ::008::

ปล.ทำไมซานไม่มี ability แต่ใส่เป็นคำพูดแทนล่ะครับ   ::010::


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: cocka-c on May 02, 2009, 11:27:28 PM
รูปเรกกะ เดี๋ยว จะแก้กับรวมมาให้โหลดทีเดียวทุกรูปเลยละกันนะจ้ะ คิดว่าคงมาแปะพรุ่งนี้ที่กระทู้นี้


ส่วนที่ไม่มี ability น่ะไม่ใช่ซานนะจ๋า แต่เปนเซน่า พี่สาวของ เรกกะ จ้า

ดูท่า จะมีดการสับสน บทของตัวละครกันซะแล้วงั้นเดี๋ยวแจงให้ก่องน้าว่า ใครมีความสัมพันธุ์ยังไง

เรกกะ ตัวเอกของเรื่อง
เฟนท์ เพื่อนพระเอก ตอนจบคนอื่นคิดว่าตายไปแล้วแต่ตัวจริง ใส่หน้ากากDragoon
คอยช่วย เซน่า บริหาร เมอริเซีย

ซาน เป็นแฟนกับ เรกกะ แต่พี่แกไม่ค่อยจะคุยกันให้เห็น

เอมิล ตัวประกีอบตัวประกอบ ที่ไม่มีบทพอๆกับ ไรด์ แต่สองคนนี้ก็เป็น เพื่อนกับ ซาน และ เฟนท์

เดี๋ยวรายละเอียดที่เหลือจะมาแจงพรุ่งนี้ล่ะกันนะวันนี้มะไหวแล้วเอาไปแค่นี้ก่อนนะบาย


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: greamon on May 03, 2009, 04:19:59 AM
โอ้ พึ่งรู้นะเนี่ยว่า ลิงค์ภาพเสียไปเยอะหลายตัวเลย
พอดีปกติจะใช้ fire fox เข้ามาดูอ่ะนะเลยมะรุว่า ลิงค์ไหนเสียไปแล้วมั่งเพราะมันจะ
เซฟค่าของเวบไว้แล้วโชว์ให้ดูตลอด นี่ก็พึ่งรู้ว่ากระทั่ง Sig ตัวเองยังพังกระจุยเลย
 ::010::

ขอเวลาปรับปรุงแปปนะคร้าบบ แต่คงแก้รูปที่ผ่านมาไม่ไหวแล้วอ่ะ เพราะงั้นเดี๋ยวจะรวมมาโหลดทีเดียวแต่คงไม่แปะล่ะครับเหนื่อย ตั้งเป็นสิบใบแน่ะ กว่าจะเสร็จง่อยกินพอดี ::010:: ::008:: ::006::

เซ้งกะเรื่อง ลิงค์ภาพเจ๊งเจงๆ เป็นงี้มาตั้งกะภาคแรกละ ป่านนี้มันจะเหลือเร้อพวก เจนัส ลากูน่า เนี่ย ภาพเจ๊งบ๊งหมดแล้วมั้ง ว่าไงครับสนใจเอาของภาคแรกด้วยมั้ยจะรวมมาให้ทีเดียวเลย ท่าไฟล์มันยังอยู่นะ (เหอๆๆ เสียว)

แล้วเดี๋ยวจะแถมภาพบางใบที่ไม่ได้ลงแต่ทำไว้แล้วให้ด้วย ส่วน เพลง ประกอบคงไม่เอามาอ่ะนะหรือถ้าอยากได้ก็บอกละกันครับ จะได้เอามาแปะให้(แต่คงหนักอ่ะ จะโหลดหรือเปล่าเหอะ
หรือว่าจะดูดจาก youtube เอาก็ได้นะ)

แล้วก็จะแถมprofile ย่อยของแอต่ละตัวละครทั้งภาคแรกและภาคสองไปในวันพรุ่งนี้ด้วย

ก็รอซักหน่อยนะครับ เพราะงานนี้มันยุ่งเหมือนกันนะเนี่ย ต้องรื้อโฟลเดอร์ก่องว่ายังเหลืออยู่ไหม

ว่าแล้วพรุ่งนี้เตรียมโหลดละกันนาครับ


ตอบเรื่องที่ เซน่า ไม่มี ability อยากรู้ล่ะซี่ นึกออกไหมว่า ว่าภาคแรกก็มีไปทีนึงที่มีการ์ดที่ไม่มี
 อะบิลิตี้แต่เป็นบรรยาย

อะฮ้า ถ้ายังจำกันได้มันคือ พระเจ้าแห่งเทอร่า ไงครับ การ์ดพวกนี้เรียกว่า Joker ครับ
  ภาคนี้ให้ เซน่า เป็น Joker ไพ่ joker เนี่ย คือไพ่ที่เราทำขึ้นมาหนึ่งชุดของแต่ล่ะภาคนั้น

จะทำใบพิเศษที่ เรียกว่า Joker ซึ่งอาจเป็นทั้ง Secret หรือ Limited ภาคที่แล้วถ้าจำไม่ผิดน่าจะ Secret ส่วนภาคนี้ Secret มันเป็น เรกกะ จักรพรรดิ์ กับ เฟนท์ องครักษ์ ไปแล้ว

ภาคนี้เลยเป็น Limited แทนส่วน Limited ภาคที่แล้วคือ เซโร่ แบบใหม่กับ อิจิกิ
ครับ แล้วเจ้า joker เนี่ยทำไมถึงต้องมีด้วยคำตอบหรือครับ เพราะไพ่ joker เป็นใบสุดท้ายของ ซีรี่ย์นั้นๆ

หรือใบปิดชุดนั่นเองก็เลยทำอะไรให้แตกต่าง ซึ่งทั้งนี้ใบปิดชุดนั้น ตัวละครที่นำมาทำเป็น joker
จะไม่มีความสามารถที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน สังเกตุได้ว่า เซน่า จะมีบทน้อยมาก แต่เป็นตัวละครสำคัญ

ซึ่งเธอก็คือบอสของภาคนี้น่ะเอง(จริงดิ ::006::) ส่วนภาคที่แล้ว พระเจ้าแห่งเทอร่า ไม่ได้สำแดงพลังออก

มาแบบเป็นรูปธรรมที่อธิบายได้ แต่เพียงแค่จุติลงมา เทอร่า ก็จะพินาศแล้ว
ถ้าไม่ได้ดาบแรงอธิษฐาน ของ ลอว์เรนซ์ ช่วยไว้ป่านนี้คงไม่มีภาคสองนี้หรอก(ฮา)


ดังนั้นการที่ เซน่า ไม่มีability จึงเป็นเพราะเธอไม่ได้มีความสามารถที่แสดงออกมาต่อเนื้อเรื่อง อย่างเห็นชัดจึงกลายเป็น joker Card ไปครับ
 


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: greamon on May 03, 2009, 06:29:35 PM
มาแล้วคร้าบ Set Pack รวมรูปทั้งหมดใน ซีรี่ย์นี้
อีกทั้งด้านใน PAck จะแถม รูปการ์ดที่ทำไว้แต่ไม่ได้ลงในนิยายด้วย

เช่น เอมิล ที่เคยพิมพ์ผิด อีกทั้งยังมี รูปการ์ดของ มิมิ และ โคเว็ท ที่ไม่ได้ลง
ใส่ให้ไปในแพคนี้ด้วยครับ นอกจากนี้ก็มีอีกหลายใบกับ Wallpaper แล้วก็

Profile พร้อมอธิบายประกอบเตือนความจำ แนบไปด้วยเนื่องจากพบปัญหา
 ผู้อ่านสับสนคาแรกเตอร์ของ ตัวละคร ในภาคนี้ ดังนั้น ผมจึงได้เขียนแนบให้ไปอ่านด้วย

 มีประมาณ  หน้าครับ ถ้าอ่านตรงหมดนั่น เรียกว่า อ่าน ซีรี่ย์นี้จบเลยก็ได้ เหอๆ
อีกทั้งมีสรุป อย่างละเอียดว่าตัวละครแต่ละตัวทำอะไรในตอนที่ เรกกะ ตายไปแล้ว

ก่อนจะมาโผล่ในช่วงทิ้งท้าย นั้นและเหตุผลที่ เรกกะ รอดตายมาได้ ราวMiracle อะไรอย่างนั้น

โหลดได้เลยคร้าบ

Link1 http://www.uploadtoday.com/download/?287954&A=938643

สำหรับผู้ที่มาโหลดหลังจากนี้ไปในอนาคต หากไฟล์เจ๊ง โหลดไม่ได้ pm มาหาหรือ ส่ง mail มาหาผมที่ greamon@hotmail.com ก็ได้นะครับ ผมจะส่งลิงค์ให้

ว่าแล้วขอให้สนุกนะคร้าบ ขนาดไฟล์ ไม่ใหญ่เท่าไหร่ 3 mb กว่าๆ ::010::

แล้วอย่าลืมติดตาม ภาค 3 กันเน้อ Legend D.N.A. of Thaliwilya


ขอตัวไปเขียนต่อเน้อ


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: boy on May 03, 2009, 06:46:05 PM
เนื้อหายาวมากๆ  แต่อ่านล่างสุด เข้าใจแล้วหนอ  ::010::

สะสมรูปครบแล้วจ้า   ::003::


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: cocka-c on May 03, 2009, 06:53:24 PM
ลืมบอกเจ้าเกรม่อยนตอนให้ไฟล์มันไปว่า ภาพของภาคแรก ไม่ได้ใส่ไปด้วยหาไม่เจอ  ::008::

เลยเอาprofile ของภาคสองกับรูปของภาคสองเท่านั้น ภาคแรกไม่มีหาไม่เจอจ้ะ
ก็นะมันตั้งนานแล้วอ่ะเน้อ เครื่องที่ใช้ทำมันก็เก่าๆ จนไปลงวินใหม่แล้วใหม่อีกมันก็ยังเจ๊งอีก
ข้อมูลมันเลยหายไปเยอะอ่ะน้า เหอๆ ::003::

รวบแทบแย่


Title: Re: (จบบริบูรณ์) Legend Thaliwilya of Alimathea:Final Saga ...Requiem...
Post by: Gee on May 03, 2009, 07:16:53 PM
ขอบคุงค่า เย้จะได้เซฟให้ครบซะที แถมได้รูป มิมิ กับ โคเว็ท ที่ไม่ได้โผล่ด้วย

พอเอามาเปิดดูแล้ว รูปเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย

ว่าแต่ Wallpaper รูปเที่ยวเกาะน่าจมีเยอะๆหน่อยน้า เฟนท์ คุง น่าจับโฮกมาก
อ๊ายนี่ฉันพูดไรไปเนี่ย  ::017::

เอาเป็นว่า ภาคสาม จะรอเซ้ตต่อไป ล่ะกันนาค้า

ฮึๆๆๆ รูปท่าน ฮิวะจัง เข้าไปรีบหาก่องใครเลย แล้วตามด้วย ไดจัง (ไม่ค่อยปลื้มดาร์คเท่าไหร่
 แต่ภาพก็ ok ค่ะ แต่ แครด นี่ เออ ภาพGood job แต่บท - -)