Title: @@ นิยาย Epi9 Chapter 4 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on November 28, 2008, 02:59:03 AM Chapter 4 ภายในพระราชวังแห่งอาณาจักรวรรดิซาโลมที่ถูกบูรณะสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเก่าที่ถูกระเบิดเผาทำลายไป เวลานี้กำลังมีงานเลี้ยงฉลองการสถาปนาตั้งตัวเป็นกษัตริย์ของเบลซ เซจ เป็นวันที่สิบแล้ว กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงบัญชาให้มีการเลี้ยงฉลองถึงสิบห้าวันสิบห้าคืน ทั่วทั้งปราสาทถูกประดับประดาด้วยผ้าสีแดงและดำอันเป็นสีที่กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงเลือกให้เป็นสีประจำพระองค์ ตัวปราสาทที่เคยงดงามถูกแทนที่ด้วยอาคารปิดทึบแลดูชวนอึดอัด ไม่มีดอกไม้ต้นไม้ที่สวยงามประดับ มีแต่เพียงภาพวาดรูปเหมือนของกษัตริย์เบลซ เซจ ในชุดเครื่องทรงเต็มยศแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ประดับตามผนังกำแพง หรือไม่เช่นนั้นก็จะเป็นภาพวาดฉากสงครามหรือการทรมานเข่นฆ่าเชลยศึกและบรรดาผู้ต่อต้านพระองค์ ทั้งนี้ก็เพื่อเตือนใจบรรดาข้าราชบริพารให้รู้สึกถึงความโหดเหี้ยมของพระองค์และตระหนักถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากคิดเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผลดีทีเดียว เพราะตั้งแต่บรรดาผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อกษัตริย์ซาดินถูกสังหารโหดด้วยวิธีต่าง ๆ นานา กลางลานหน้าปราสาทต่อหน้าประชาชนซาโลม ก็ทำให้บรรดาผู้ที่รักตัวกลัวตายทั้งหลายยอมเข้าพวกสวามิภักดิ์ต่อพระองค์แทบจะทันที ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ก็ถูกติดตามไล่ล่าอย่างหนัก บรรดาขุนนางใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งแทนต่างก็พยายามประจบสอพลอเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์องค์ใหม่ ไม่ใช่เพราะจงรักภักดีแต่เพื่อรักษาชีวิตและแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น ฝ่ายกษัตริย์เบลซ เซจ เมื่อทรงแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว ก็หลงระเริงในอำนาจ นอกจากจะทรงเลี้ยงฉลองทั้งวันทั้งคืนยาวนานหลายวันติดต่อกันแล้ว ยังทรงขึ้นภาษีประชาชนและสั่งเกณฑ์ทหารเพิ่มขึ้นอีกทำให้ประชาชนที่อยู่อย่างลำบากยากแค้นกันอยู่แล้วยิ่งมีชีวิตลำบากลำเข็ญกันมากขึ้น เมื่อมีชีวิตที่ลำบากมากขึ้นผนวกกับความกังขาในการหายตัวไปอย่างลึกลับของรัชทายาท ซ้ำยังเรื่องการสวรรคตอย่างน่าสงสัยของราชินีเนริมอร์ จึงทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจ และกระด้างกระเดื่องต่อกษัตริย์เบลซ เซจ แม้จะเพิ่งสถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพียงไม่กี่วัน มีการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์องค์ใหม่แห่งซาโลมอย่างกว้างขวาง และแผ่ไปทุกเขตแคว้นภายใต้อาณาเขตของจักรวรรดิซาโลมอย่างรวดเร็ว ขณะที่กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงกำลังทอดพระเนตรการร่ายรำจากบรรดานักเต้นแห่งซาโลม (Zalom Dancer) ท่ามกลางอาหารการกิน และสุราเลิศรสมากมายจนเรียกได้ว่าสามารถเลี้ยงกองทัพย่อย ๆ หนึ่งกองทัพได้อย่างสบาย ๆ กษัตริย์เบลซ เซจทรงหัวเราะร่าอย่างมีความสุข มีนางกำนัลคอยปรนนิบัติพัดวีขนาบข้างทั้งซ้ายและขวา แต่แล้วก็มีนายทหารรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงอย่างกระหืดกระหอบตรงไปหาหัวหน้าองค์รักษ์ เมื่อหัวหน้าองค์รักษ์ได้รับเรื่องแล้วก็รีบเข้าไปกระซิบที่ข้างพระกรรณกษัตริย์เบลซ เซจ พระองค์จึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้น ทันใดนั้นทุกอย่างในห้องก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างลง ทั้งดนตรี การร่ายรำ การพูดคุยหรือกินดื่ม ทุกคนต่างก็เงียบมองกษัตริย์องค์ใหม่ว่าจะทรงกระทำหรือตรัสใด ๆ ด้วยใจระทึก เพื่อว่าจะได้สามารถคล้อยตามอารมณ์ของเหนือหัวได้ถูกต้อง เพราะต่างก็อยากจะประจบเอาใจกษัตริย์องค์ใหม่กันทั้งนั้น เสียงหัวเราะดังลั่นไม่หยุดของกษัตริย์เบลซ เซจ สร้างความงุนงงให้แก่ทุกคนในห้อง ต่างก็มองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าทรงหัวเราะด้วยเรื่องอะไร และพวกตนสมควรจะร่วมหัวเราะไปด้วยหรือไม่ “พวกเจ้าฟังทางนี้ ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสด้วยความขบขัน “เวลานี้ ท่านมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน ยกทัพกลับมาจากทางเหนือ โดยที่ยังไม่ได้สู้กับแคว้นลาซาลเลยสักแอะ ซ้ำยังไม่ยอมเข้าเมืองกลับตั้งค่ายอยู่กลางทะเลทรายนั่น ร้องแร่แห่กระเชิงให้ข้าออกไปพบ ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” ทุกคนพากันหัวเราะตามแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทรงหัวเราะเพื่ออะไร ซ้ำยังมีอีกหลายคนที่ต่างมองหน้ากันด้วยความไม่สบายใจ เพราะรู้ว่ากษัตริย์เบลซ เซจ และมหาอำมาตย์นาริสไม่ถูกกันไม่ต่างจากลิ้นกับฟัน ยิ่งมหาอำมาตย์มีกองทัพกว่าสองหมื่นนายตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเช่นนี้ ดูท่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกเป็นแน่ Title: Re: @@ นิยาย Epi9 Chapter 4 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on November 28, 2008, 03:00:32 AM “จงไปบอกเจ้านาริส ว่าข้า...จะออกไปพบเมื่อข้าทำภารกิจต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสทิ้งท้ายโดยไม่ยอมบอกระยะเวลาที่แน่นอนเพราะหมายจะแกล้งมหาอำมาตย์เฒ่า “พวกเจ้าจงดื่มกินกันต่อไป ข้าจะไปจัดการอะไรซักหน่อย”
กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสด้วยน้ำเสียงร่าเริงพลางโบกพระหัตถ์ให้ทุกคนนั่งลง ทันทีที่กษัตริย์เบลซ เซจ เสด็จคล้อยหลังไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้อง ที่ภายนอกกำแพงเมืองแห่งจักรวรรดิซาโลม ท่ามกลางทะเลทรายอันแสนร้อนระอุ กลับมีชายผู้หนึ่งในชุดผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อนยืนนิ่งจ้องมองบางส่วนของปราสาทหลังใหม่ที่อยู่สูงเลยล้ำฉากกำแพงและอาคารบ้านเรือนอยู่ลิบ ๆ ผ้าคลุมนั้นปกปิดมิดชิดจนเห็นแต่ส่วนตาที่แดงก่ำจ้องมองตรงไปทางปราสาทเท่านั้น ริ้วรอยเหี่ยวย่นและหมองคล้ำรอบดวงตานั้น บ่งบอกมากกว่าแค่ความชรา แต่มันบอกถึงความเหนื่อยล้า ความทุกข์โศก เสียใจ ความเครียดขึง ความโกรธ และความอัปยศอดสู มันเป็นความผิดพลาด ครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา เขามันโง่งี่เง่าที่หลงไว้ใจ หลงเชื่อว่าเบลซ เซจ จะมีสำนึกในบุญคุณของกษัตริย์ซาดินที่คอยคุ้มหัวตน และไม่เคยคิดว่า เบลซ เซจ จะกล้าทำการใหญ่ถึงเพียงนี้เพียงลำพัง เพียงแค่เขาจมอยู่กับอารมณ์เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของกษัตริย์ซาดิน ทำให้เขาสติปัญญาบอดได้ถึงขนาดไม่ทันเฉลี่ยวใจกับเล่ห์เพทุบายของจิ้งจอกเฒ่า ระหว่างที่เขากำลังเตรียมจะโจมตีแค้วนลาซาลอยู่แล้ว ข่าวการสวรรคตของราชินีเนริมอร์และการหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยขององค์รัชทายาททำให้เขาหัวใจสลาย สำหรับคนไร้ครอบครัวเช่นเขา การได้ดูแลรับใช้ตระกูลอิบริดอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้เขารู้สึกผูกพันเหมือนดั่งเป็นครอบครัว ยิ่งได้ถวายการดูแลอบรมสั่งสอนเจ้าชาย ซาร์ อิสฮาน พระโอรสเพียงองค์เดียวของกษัตริย์ซาดินและราชินีเนริมอร์มาตลอดแปดปี ทำให้เขารักพระองค์ไม่ต่างจากหลานแท้ ๆ ของตน เขายังจำวันสุดท้ายของการจากลาได้ดี พระองค์ทรงร้องไห้กอดเขาและเรียกเขาว่าท่านปู่ คิดได้เพียงเท่านั้นก็ทำให้เขาถึงกับต้องกลั่นสะอื้นด้วยความเจ็บปวด ทั้ง ๆ ที่เขาสาบานกับตนเองว่าจะถวายการดูแลและอารักขาพระองค์ด้วยชีวิต.... การตัดสินใจพลาดของเขาแลกมาด้วยราคาที่สูงลิ่วเหลือเกิน เขาหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่ทรราชกลับเสวยสุขขึ้นแท่นครองบัลลังภ์ “ท่านนาริส” นายทหารนายหนึ่งทำความเคารพก่อนจะเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง พลางแจ้งสารของกษัตริย์องค์ใหม่อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งรายงานสถานการณ์ภายในเมืองและชะตากรรมของเหล่าผู้ต่อต้านให้นายของตนทราบ มหาอำมาตย์หรี่ตาแคบ ขณะฟังทุกถ้อยคำด้วยความตั้งใจ “สั่งทหารทุกนายให้เตรียมพร้อม เราอาจจะต้องสู้เร็ว ๆ นี้” มหาอำมาตย์นาริสตอบ โดยที่สายตายังคงจ้องมองไปทางปราสาทหลังใหม่อย่างไม่วางตา “ฮี่!ฮี่!ฮี่! เจ้านาริสหน้าโง่ มันคงกลัวจนหัวหดเลยสินะ ถึงไม่กล้ายกทัพเข้าเมืองมา” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสพลางทอดพระเนตรผ่านช่องหน้าต่างทรงโค้ง พระองค์ทรงยิ้มกริ่มอย่างปรีดิ์เปรม แม้จะไม่ทรงมองเห็นได้จากระยะไกลเช่นนี้ แต่เพียงแค่เห็นค่ายทหารคล้ายเป็นกลุ่มก้อนสีแดงเล็ก ๆ กลางทะเลทรายสีขาวทองอันเวิ้งว้างพระองค์ก็ทรงลิงโลดด้วยความยินดี “ข้าคอยเวลานี้มานานเหลือเกิน คอยวันที่เจ้าสุนัขรับใช้นาริสจะมาก้มกราบแทบเท้าข้า มาขอร้องข้าให้เมตตามัน ให้รับมันกลับเข้ามารับตำแหน่ง คนในวัยเช่นนั้นจะไปทำมาหากินอะไรได้อีกเล่า? หากไม่ได้รับตำแหน่งข้าราชการคืน มันก็คงเป็นได้แค่ขอทานข้างถนน ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” “เจ้าประมาทเกินไปแล้ว เจ้าโง่ ฮี่!ฮี่!ฮี่!” เสียงหัวเราะแหบแห้งดังออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงหันควับด้วยความตกพระทัย ทรงหันซ้ายหันขวามองว่ามีใครอยู่แถวนั้นหรือไม่ เมื่อพระองค์แน่พระทัยว่าทรงอยู่ในห้องทรงงานเพียงลำพัง ทว่าเพราะทั้งตกพระทัยและกริ้วโกรธเหมือนเด็กเกเรที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด พระองค์ทรงตวาดด้วยความโกรธ “อย่าจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาสิ!?” “ยังไม่ชินอีกหรือ? ข้าว่าเจ้าน่าจะชินกับการที่มีข้าอยู่ในตัวเจ้าได้แล้ว” พระโอษฐ์ของพระองค์ขยับอีก ทว่าใบหน้าของพระองค์กลับแสดงสีหน้าเหมือนสับสน และตื่นตระหนกอยู่ในที “ข้าจะชินได้อย่างไร? ใคร ๆ ต้องคิดว่าข้าเป็นบ้า พูดเองตอบเอง ซ้ำเสียงที่ออกมาก็ไม่ใช่เสียงของข้า ไม่เหมือนเลยสักนิด ข้าเป็นถึงกษัตริย์นะ จะให้ข้ามีท่าทางเหมือนคนวิกลจริตหรืออย่างไร?” ได้เป็นใหญ่ไม่ทันไรก็กำแหงกล้าขึ้นเสียงกับข้า ลืมนายของเจ้าแล้วรึ?” เสียงแหบแห้งนั้น แปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงแข็งกร้าวดุดันจนกษัตริย์เบลซ เซจ ถึงกับพระพักตร์ซีด เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งสั่นอยู่กับพื้น “ทะ...ทะ...ท่าน...ท่านอวารูเซจ” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสออกมาจากริมพระโอษฐ์ที่สั่นเทา “โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่เคยลืมท่านอยู่แล้ว ข้ายังนมัสการท่านทุกคืน” “เจ้ายังจำได้ใช่ไหม? ว่าใครกำจัดศัตรูให้แก่เจ้า?” “ข้าจำได้” “แล้วเจ้าจำได้ใช่ไหม? ว่าใครมอบชีวิตและร่างใหม่ให้แก่เจ้า?” กษัตริย์เบลซ เซจทรงตกพระทัยยิ่งกว่าเดิม “ข้าจำได้ ข้าไม่เคยลืม” Title: Re: @@ นิยาย Epi9 Chapter 4 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on November 28, 2008, 03:02:00 AM “ฮี่!ฮี่!ฮี่! ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าจำได้ ข้าแค่ถามลองใจเจ้าเท่านั้น” เสียงหัวเราะชวนขนลุกดังขึ้น “ลุกขึ้นสิ เบลซ เซจ เดี๋ยวใครเข้ามาเห็นกษัตริย์แห่งซาโลมนั่งสั่นเป็นลูกนกเช่นนี้จะเอาไปนินทาเอาได้ ฮี่!ฮี่!ฮี่!”
กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงได้ฟังดังนั้นก็ทรงรีบตะเกียดตะกายลุกขึ้นทันที พระพักตร์แดงซ่านด้วยความอับอาย “เจ้ากลัวสายตาคนรอบข้างด้วยรึ? ที่ข้าพูดกับเจ้าผ่านปากของเจ้าเอง มันสะดวกดีออกไม่ใช่รึไง? เจ้าเป็นถึงกษัตริย์ของซาโลม ใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์เจ้า...ก็กำจัดมันทิ้งเสียสิ จะทนฟังพวกมันพูดทำไม? มีอำนาจแล้วไม่ใช่ให้เต็มที่... ก็เหมือนข้ารับใช้ที่ได้เป็นเจ้าของมหาสมบัติ ข้ารับใช้โง่เง่า กลัวแต่จะมีคนขโมยสมบัติไป เลยเลยไม่ยอมใช้...แต่เอาไปฝั่งดินไว้จนหมด” “ข...ข้า....ข้าเพียงแต่ไม่ได้คาดคิดว่าท่านจะเข้ามาอยู่ในร่างของข้า?!” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสด้วยความตระหนก “แน่นอน... เจ้าคิดว่าลำพังแค่เศษซากไหม้ ๆ สองซากจะทำให้เจ้ามีชีวิต มีพลังอำนาจได้ถึงเพียงนี้หรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอำนาจของข้าที่อยู่ในตัวเจ้า เมื่อตอนคืนร่างด้วยการทำสัญญาปีศาจของเจ้าคราวนั้น เจ้าคงเป็นได้แค่เพียงชายแก่ผอมแห้งไร้พลังชีวิต แต่เวลานี้ ดูเจ้าสิ! ร่างกายแข็งแรงกำยำขึ้นขนาดไหน? กำลังวังชาต่างกับร่างเก่าของเจ้าแค่ไหน? เจ้ารู้สึกได้ใช่ไหมล่ะ? ฮี่!ฮี่!ฮี่!” เสียงหัวเราะแทรกออกมาในขณะที่กษัตริย์เบลซ เซจ ทรงแสยะยิ้ม ใช่! พระองค์ทรงรู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงและพลังที่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เหมือนพระองค์ทรงพระเยาว์วัยขึ้นสิบหรือสิบห้าปี ไม่สิ... อาจถึงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ “และต่อไปนี้...ข้าจะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องมีที่ปรึกษาคนสนิทที่ไหน... อุปราชรึ? อำมาตย์รึ? แผ่นดินนี้มีผู้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจแค่คนเดียวก็พอแล้วไม่ใช่รึ? เจ้าอยากแบ่งอำนาจให้ใครอีกรึไง?” ปีศาจอวารูเซจ พูดโน้มน้าวต่อ กษัตริย์เบลซ เซจมีสีพระพักตร์เคร่งครึมขึ้นทันทีที่ได้ฟังเช่นนั้น ไม่... พระองค์ไม่อยากแบ่งอำนาจนี้ให้ใคร “เบลซ เซจ เพราะเจ้านมัสการข้าไม่ได้ขาด ข้าจะช่วยสงเคราะห์เจ้าสักครั้ง” เสียงพูดฟังดูเหมือนผู้ที่เป็นต่อกล่าวทับถมผู้ที่ด้อยกว่า “สงเคราะห์ข้างั้นรึ?” กษัตริย์เบลซ เซจ ตรัสแฝงแววไม่ใคร่ชอบพระทัยคำพูดที่ได้ยิน แต่ก็ทรงไม่กล้าจะแสดงอาการใด ๆ มากนัก เพราะทรงเกรงว่าปิศาจอวารูเซจ จะไม่ช่วยเหลือพระองค์อีกต่อไป “อย่าคิดว่านาริสจะยอมสวามิภักดิ์กับเจ้า” เสียงของปีศาจอวารูเซจดังขึ้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจคำพูดหรือปฏิกิริยาต่อตอบของกษัตริย์เบลซ เซจ “ทำไม? มันคิดจะต่อต้านข้างั้นหรือ? มันคิดว่าทหารแค่หยิบมือเดียวจะเอาชนะทหารร่วมแสนของข้าได้หรือ?” กษัตริย์ เบลซ เซจ ตรัส ทรงประหลาดพระทัยในความโง่เง่าสิ้นคิดของมหาอำมาตย์เฒ่า “ไม่จริง ท่านต้องเข้าใจผิดแน่ ๆ มันไม่น่าจะโง่บังอาจมาต่อกรกับกษัตริย์ซาโลมอย่างข้า ตำแหน่งของมันทั้งสมบัติพัสถานของมันก็ล้วนอยู่ในกำมือของข้าทั้งนั้น มันกล้าเสี่ยงสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปหรือ?” “ถ้าเช่นนั้น... เจ้าคิดจะให้มันกลับมารับราชการรับใช้เจ้าอย่างนั้นหรือ?” กษัตริย์ เบลซ เซจ ทรงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายกับไม่ได้ทรงคิดถึงการกลับเข้าประจำการของมหาอำมาตย์เฒ่าไว้เลย “... ไม่” กษัตริย์เบลซ เซจทรงแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “ข้าแค่อยากเห็นมันคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องข้าเท่านั้น จากนั้นข้าก็จะจัดการกำจัดมันทิ้งซะ จัดการมันด้วยเครื่องทรมานที่ท่านแนะนำข้าให้ใช้จัดการพวกผู้ต่อต้าน ให้มันได้รู้ซึ้งถึงโทษทัณฑ์ของมันที่บังอาจอวดดีกับข้ามาตลอดหลายปี ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า!” “ฮี่!ฮี่!ฮี่!” เสียงหัวเราะอย่างชอบใจดังขึ้น “ถ้าเช่นนั้นก็จงจัดการตามที่เจ้าพอใจเถิด ฮี่!ฮี่!ฮี่!” เสียงของอวารูเซจค่อย ๆ เบาลงจนเหมือนเสียงกระซิบก่อนจะกลายเป็นเงียบสนิท และกลายเป็นเสียงหัวเราะลั่นไม่หยุดของกษัตริย์ เบลซ เซจ เอง ภายในบ้านบันดารา วูจิน ฮารีซัน วานาอัน และเจ้าหญิงเรจิน่า กำลังนั่งปรึกษาหารือกันอยู่ในห้องรับรอง ห้องนั้นถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยดอกไม้บ้าง เขาสัตว์บ้าง งานแกะสลักไม้บ้าง ซึ่งไม่ว่าจะดูทางไหนก็ดูเหมือนบ้านชาวป่าธรรมดามากกว่าจะเป็นปราสาทของกษัตริย์แห่งอาณาจักร แต่นี่ก็เป็นความเรียบง่าย ไม่ถือตัวของครอบครัวบันดารา ที่ไม่ได้สนใจในลาภยศหรือความยิ่งใหญ่ในอำนาจ แม้จะได้รับตำแหน่งสูงสุด ได้เป็นถึงกษัตริย์และเจ้าหญิง ทว่าครอบครัวบันดาราก็ยังคงดำเนินชีวิตเช่นเดิมเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าหญิงเรจิน่าทรงอดชื่นชมในความสมถะและเรียบง่ายไม่ได้ “เจ้าหญิงมีเรื่องด่วนหรือ?” ผู้เฒ่าวูจินเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงทรงมาหาโดยมิได้นัดหมาย “ข้ามาช่วยดูความเรียบร้อยของกองทัพฟูดินันและก็มาแจ้งข่าวความเป็นไปต่าง ๆ ทางฟากนู่นให้พวกท่านได้ทราบ ข้าคิดว่าข่าวของข้าน่าเชื่อถือมากกว่าข่าวลือของพวกพ่อค้าเร่แน่ ๆ” Title: Re: @@ นิยาย Epi9 Chapter 4 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on November 28, 2008, 03:03:09 AM “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าหญิงเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ไวจริง ๆ สมแล้วที่เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย” วูจิน กล่าวชื่นชมอย่างอารมณ์ดี และดูจะนิยมชมชอบเจ้าหญิงผู้มีนิสัยแปลกประหลาด แตกต่างจากชาวฟีเลเซียทั่วไปผู้นี้
เจ้าหญิงทรงร่วมหัวเราะไปด้วย พลางทรงส่ายพระพักตร์ “ท่านพูดเกินไปท่านผู้เฒ่า วัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของพวกท่านนั้นน่าสนใจไปหมด ข้าจึงสนใจศึกษาเป็นพิเศษ” ทุกคนหัวเราะร่าและลงความเห็นในใจกันว่า เธอแตกต่างจากชาวฟีเลเซียโดยทั่วไปจริง ๆ นั่นแหละ “ถ้าเช่นนั้น ข่าวอะไรที่ทำให้เจ้าหญิงคิดว่าพวกเราควรจะได้รับรู้หรือ?” วูจินกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เรื่องกษัตริย์ซาดินแห่งจักรวรรดิซาโลมเสียชีวิตพวกท่านคงจะทราบแล้ว... แต่เรื่องราวหลังจากนั้นคงยังไม่มีใครทราบอะไรเท่าไหร่” “พวกเราอยู่ทางนี้ ไม่ค่อยได้ข่าวอะไรจริง ๆ อย่างที่เจ้าหญิงว่า” ฮารีซันกล่าว “มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั่นหรือ?” วูจินถามขึ้น “เมื่อสัปดาห์ก่อน หน่วยสอดแนมของเรารายงานว่า เกิดความไม่สงบภายในจักรวรรดิซาโลม มีการแย่งชิงอำนาจ และอาจเกิดสงครามกลางเมืองในจักรวรรดิซาโลม ทั้งนี้เพราะประชาชนไม่พอใจที่อุปราชเบลซ เซจ ขึ้นครองราชย์แทนรัชทายาทที่ถูกต้องของกษัตริย์ซาดิน ซึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับ ทั้งยังมีการซุบซิบกันว่าอุปราชเบลซ เซจ เป็นผู้สังหารราชินีเนริมอร์ เพราะมีการปะทะกันของทั้งสองจนปราสาทพังราบไปทั้งหลังในวันที่พระนางสวรรคต และอุปราชนั่นก็เตรียมแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของซาโลมแล้ว “เฮ้อ แม้สิ้นกษัตริย์เพลิง แต่สงครามและความวุ่นวายกลับไม่ยอมยุติไปด้วย มนุษย์นี้ช่างเห็นแก่ตัวและหลงอยู่ในกิเลสจริง ๆ” วูจินรำพัน “แล้วอุปราชเบลซ เซจ ผู้นี้....” “ท่านปู่ เขาคือคนที่เผามหาพฤกษาอิกดราซิลจนทำให้มังกรมารัคที่ฝั่งตัวอยู่ในมหาพฤกษาตื่นขึ้นมา” ฮารีซันให้ความกระจ่าง วูจินพยักหน้าช้า ๆ หวนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ในขณะที่วานาอันสะดุ้งเฮือกคว้าแขนของวูจินไว้ด้วยความประหวั่นและวิตกกังวล เหตุการณ์ในวันนั้นเปรียบเสมือนฝันร้ายในชีวิตของเธอ ภาพใบหน้าผอมตอบซีดแสยะยิ้มและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เธอนอนฝันร้ายบ่อย ๆ วูจินใช้มือตบหลังมือหลานสาวเบา ๆ เพื่อปลอบใจ ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจมากไปกว่าหลานสาวสักเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนกษัตริย์องค์ใหม่ของซาโลมก็ดูจะร้ายกาจไม่แพ้กษัตริย์องค์เก่าเลยสักนิด “แล้วรัชทายาทของกษัตริย์เพลิงที่ว่าหายสาบสูญไป เขาถูกเบลซ เซจกำจัดไปแล้วรึ?” วูจินถามต่อ “พวกเราคิดว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีการพบเห็นว่ามีการลอบส่งกองทัพย่อย ๆ ออกไล่ล่าตามหาเขา” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัส “อืม... ถ้าเทียบกับวัยของกษัตริย์ซาดิน ทายาทของเขาคงจะอายุไม่มากเท่าไหร่ น่าเศร้าที่ต้องระหกระเหินโดนไล่ล่าตั้งแต่อายุยังน้อย” วูจินกล่าว “ตามที่หน่วยสืบมา ก็น่าจะประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองปีได้” เจ้าหญิงตรัสเมื่อทรงนึกขึ้นได้ “ยังเด็กอยู่แท้ ๆ พวกเจ้าจำเอาไว้ การกระทำที่ไร้สำนึกของผู้ใหญ่ ผลกระทบมันก็จะตกอยู่กับผู้ที่อ่อนแอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่างพวกเด็ก ๆ เสมอ ดูอย่างสงครามนี้ มีเด็ก ๆ มากมายแค่ไหนที่ต้องพลัดพรากและเป็นกำพร้า” ผู้เฒ่าวูจิน กึ่งสอนหลานและรวมไปถึงเจ้าหญิงเรจิน่าด้วย เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวของผู้เฒ่าวูจินก็มักจะสั่งสอนศีลธรรม ข้อคิดต่าง ๆ ให้แก่ลูกหลานและบรรดาสมาชิกในเผ่ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งเจ้าหญิงเรจิน่าก็ไม่ได้ทรงถือองค์โกรธเคืองใด ๆ เพราะทรงรู้ถึงอุปนิสัยของผู้เฒ่าและทรงให้ความเคารพผู้เฒ่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และทุกสิ่งที่ผู้เฒ่าวูจินสอนก็ล้วนเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แตกต่างกับแนวคิดของชาวฟีเลเซียนัก เจ้าหญิงจึงทรงยินดีที่ได้ฟังการสั่งสอนของผู้เฒ่ามากกว่าจะทรงคิดโกรธเคือง “จริงสิ พูดถึงเด็กขึ้นมาก็ทำให้ข้านึกได้ เจ้าหนูผิวเข้มที่ลานยานั่นเป็นใครหรือ? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เจ้าหญิงตรัสถามเสียงใสเหมือนทรงพบเรื่องน่าสนุกอีกหนึ่งอย่างในอาณาจักรฟูดินันแห่งนี้ “เด็กรึ? โอ้!เจ้าหญิงคงหมายถึงอิสฮานสินะ” ผู้เฒ่าวูจินยิ้มตอบ “อิสฮานรึ?!” เจ้าหญิงทรงอุทานด้วยความตกพระทัย รงยืดองค์ขึ้นจนหลังตั้งตรง ทำให้พระองค์ดูองค์สูงขึ้นกว่าที่ทรงเป็นจริง ทุกคนต่างก็ตกใจกับท่าทีของเจ้าหญิงจึงได้แต่นิ่งเงียบมองพระพักตร์ของเจ้าหญิงกันเป็นตาเดียว “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องตกใจด้วย?” ฮารีซันซึ่งตั้งสติได้ก่อนถามขึ้น “เขาเป็นใคร? เป็นญาติของพวกท่านรึ?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสอย่างลังเล “ไม่ใช่หรอก เขาเป็นเด็กที่วานาอันช่วยเหลือไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน” ฮารีซันยิ้มตอบ “เจ้าพบเขาที่ไหนรึ? แล้วหมายความว่าอย่างไรที่ว่าช่วยเหลือเขา? แล้วเจ้าพบใครอื่นด้วยรึเปล่า?” เจ้าหญิงทรงถามรัวจนแทบไม่หายพระทัย Title: Re: @@ นิยาย Epi9 Chapter 4 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on November 28, 2008, 03:05:15 AM “เออ...คือ...ข้า....” วานาอันซึ่งโดยปกติจะเคยชินกับการดำเนินชีวิตเรียบ ๆ เรื่อย ๆ พูดจาเนิบ ๆ ช้า ๆ ตามแบบชาวฟูดินัน จู่ ๆ ก็ถูกรัวยิงคำถามใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว จากเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซีย ซึ่งได้ชื่อว่ามีความกระฉับกระเฉง รวดเร็ว และว่องไวกว่าใคร ๆ ในฟีเลเซีย ก็ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งหน้าแดงจนรนตอบเสียงอึกอัก
“เอาล่ะ เอาล่ะ...ใจเย็น ๆ กันก่อน” วูจินยกมือขึ้นปราบทุกคน “ทำไมจู่ ๆ เจ้าหญิงถึงสนใจอิสฮานขึ้นมาหรือ? เจ้าหญิงรู้อะไร หรือ สงสัยอะไรในตัวเขาเป็นพิเศษรึ?” “ขออภัยท่าวูจินและท่านทั้งสอง ข้ามักจะคิดและทำอะไรเร็วไปหมด คงจะทำให้ท่านตามความคิดของข้าไม่ทัน ใคร ๆ ก็มักจะพูดเสมอ ๆ ว่าความเร็วของข้านั้น...มันเร็วเกินไป ข้าอาจจะรีบคิดรีบสรุปเองเร็วไปสักหน่อย ก็อะไร ๆ ดูเหมือนจะประจวบเหมาะเกินไป” เจ้าหญิงตรัสพลางหัวเราะเสียงใสเหมือนสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่พัดพาเอาความสดชื่นมาให้อย่างไม่ทันรู้ตัว สมาชิกบ้านบันดาราทั้งสามต่างก็พยายามตั้งใจฟังว่าเจ้าหญิงจะตรัสอะไร ฮารีซันนั้นอาจจะเริ่มชินกับการเปลี่ยนความคิดที่รวดเร็วของเจ้าหญิงขึ้นมาบ้างหลังจากที่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยใกล้ชิดกันบ่อย ๆ แต่วูจินและวานาอันยังตามความคิดที่แสนรวดเร็วของเจ้าหญิงไม่ค่อยทันสักเท่าไหร่ “ข้าติดใจเรื่องของอิสฮานขึ้นมาเพราะข้าเห็นว่าเขารูปร่างหน้าตาไม่เหมือนชาวฟูดินัน ดูออกจะเหมือนพวกชาวทะเลทรายมากกว่า ซ้ำชื่อของเขายังเหมือนกันชื่อราชโอรสของกษัตริย์ซาดินที่หายสาปสูญไป อีกทั้งวัยก็ใกล้เคียงกัน ข้าก็เลยสงสัยว่า...” “จะเป็นคนเดียวกันรึเปล่า อย่างนั้นใช่หรือไม่?” ฮารีซันพูดต่อให้ ซึ่งก็ทำให้เจ้าหญิงทรงพยักพระพักตร์พร้อมกับยิ้มให้เขาเพื่อยืนยันในคำพูดนั้น “ที่เจ้าหญิงพูดมาก็เป็นไปได้หากจะคิดเช่นนั้น” วูจินพยักหน้าเมื่อได้รับฟังคำวิเคราะห์ของเจ้าหญิง “แต่เด็กตัวเท่านี้จะเดินทางจากซาโลมมาถึงที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร?” “พวกท่านพบเขาอยู่เพียงลำพังรึ?” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสถามด้วยความใคร่รู้และประหลาดพระทัยไม่น้อย “ถูกแล้ว เมื่อประมาณสองเดือนก่อน วานาอันพบเขานอนหมดสติอยู่ใต้มหาพฤกษาอิกดราซิลเพียงลำพังในสภาพบาดเจ็บสาหัส” ฮารีซันขยายความโดยมีวานาอันพยักหน้าสำทับ “เขาถูกใคร หรือ อะไรทำร้ายอย่างนั้นหรือ? หรือว่าโดนสัตว์ป่าทำร้าย?” เจ้าหญิงทรงถามด้วยสีพระพักตร์ตกพระทัย “คงไม่ใช่สัตว์ป่า เพราะในเขตมหาพฤกษาอิกดราซิลไม่มีสัตว์ดุร้ายถึงขนาดทำให้มนุษย์บาดเจ็บสาหัสได้ ถ้าเป็นสัตว์ป่าทำร้ายจริง... เขาอาจจะโดนทำร้ายจากที่อื่นแล้วหนีมาถึงที่นั่น” ฮารีซันตอบ “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าท่านเชื่อว่าไม่ใช่สัตว์ป่าทำร้าย?” เจ้าหญิงทรงวิเคราะห์คำพูดของฮารีซัน “แล้วเขาบอกพวกท่านว่าอย่างไร?” “พวกเราไม่รู้อะไรมากนักหรอก พวกเราเคยถามเขาอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ไม่ค่อยได้คำตอบที่เป็นเรื่องเป็นราวสักเท่าไหร่” ฮารีซันแจง “แต่เขาก็พูดภาษาฟูดินันได้...” เจ้าหญิงตรัสขึ้นพลันก็หลุบพระเนตรลงเล็กน้อยคล้ายกับทรงวิเคราะห์ตัวแปรอีกชิ้น ซึ่งก็มาจากคำพูดของพระองค์เอง “พวกเราไม่อยากจะคาดคั้นอะไรเขามาก เพราะเขาเพิ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน บาดแผลกายอาจจะทุเลาแล้ว แต่บาดแผลใจยังคงสาหัส เขาดูเหมือนจะเจอเรื่องราวสะเทือนใจมาพอสมควร เจ้าหญิงคงพอจะทราบ...ที่ฟูดินันมีเด็กกำพร้าจากภัยสงครามมากมาย เด็กพวกนี้ล้วนมีบาดแผลในจืตใจ เราจะสัมผัสได้ว่าพวกเขามีอารมณ์และห้วงความคิด ความรุ้สึกบางอย่างที่แตกต่างจากเด็กที่เติบโตอย่างมีความสุขและไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากภาวะสงคราม” วูจินเอ่ยขึ้น “ข้าก็พอจะทราบ เพราะเด็ก ๆ จากเมืองวอลเนียที่รอดจากการฆ่าล้างเมืองอย่างโหดเหี้ยมของกองทัพปีศาจแห่งซาโลมก็มีสภาวะจิตใจที่แตกต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไปในวัยเดียวกันจริง ๆ เหล่านักบวชต้องช่วยกันเยียวยารักษาจิตใจของพวกเขาอยุ่นานทีเดียวกว่าจะสามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง แต่ภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ฝั่งแน่นอยุ่ในจิตใจของพวกเขาอย่างไม่อาจลบเลือนได้... ท่านวูจินหมายความว่าอิสฮานคนนี้ก็เป็นเช่นนั้นหรือ?” เจ้าหญิงตรัสถาม ผู้เฒ่าวูจินพยักหน้า “ข้าสัมผัสได้ถึงความทุกข์บางอย่างที่ฝั่งแน่นอยู่ในจิตใจของเขา ข้าคิดว่าจากอาการบาดเจ็บของเขา เขารอดมาได้ก็นับว่าโชคดีมากอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปขุดคุ้ยเรื่องที่เจ็บปวดของเขาถ้าเขายังไม่พร้อมจะเปิดเผยมัน” “ก็จริงของท่าน ในเมื่อท่านผู้เฒ่าพูดเช่นนี้ข้าก็ไม่ควรจะเข้ามาวุ่นวายถามซอกแซกเอากับพวกท่านอีก ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในความดูแลของพวกท่าน หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือน่าสงสัย ก็คงไม่พ้นสายตาของพวกท่านไปได้” เจ้าหญิงทรงค่อย ๆ คลี่ยิ้มทำหน้าเป็น “อันที่จริง ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่วานาอันพบเขา ก็ตรงกับช่วงเวลาที่เจ้าชายแห่งซาโลมหายตัวไปพอดี ถึงอย่างไรเขาก็คงไม่มีทางข้ามทะเลทรายและเทือกเขาสูงอย่างคีรีบันดาได้ในระยะเวลาสั้นเช่นนั้นได้ แล้วอีกอย่าง...ใครจะรู้...ชื่อ อิสฮาน อาจจะเป็นชื่อที่นิยมตั้งกันมากก็ได้ ข้ายังเคยเจอคนชื่อเดียวกันกับข้าตั้งหลายคน” “เท่าที่พวกเราสังเกตดู เขาก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ไม่เคยแสดงนิสัยป่าเถื่อนหรือดุร้ายอะไร แถมยังขยันชอบช่วยงานคนนู่นคนนี้ หากเขาเป็นรัชทายาทที่หายตัวไปของอาณาจักรซาโลมจริง ๆ ละก็...” ฮารีซันคิดตาม “เขาก็คงจะเป็นลุกไม้ที่หล่นได้ไกลต้นมาก ๆ เลยใช่ไหมล่ะ?” ทุกคนต่างก็พากันยิ้มไปกับข้อสรุปของหญิงและท่าทางของพระองค์ จะมีใครในฟูดินันที่วูบไหวเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วเท่าเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียพระองค์นี้อีก Title: Re: @@ นิยาย Epi9 Chapter 4 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on November 28, 2008, 03:07:06 AM มาเม้าท์ที่นี่จ้า
http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=46253.0 |