Title: @@ นิยายEpi9 Chapter 3 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on October 13, 2008, 08:16:24 PM Chapter 3 ณ เมืองอาวีเลียแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย ซึ่งมีกองกำลังทหารทั้งฝ่ายฟูดินันและฟีเลเซียจำนวนหลายแสนนายประจำการณ์อยู่ ทำให้ทั้งเมืองค่อนข้างที่จะแออัดยัดเยียดกัน และแลดูไม่เหลือเค้าเมืองชนบทอันสวยงามอีกแล้ว รอบกำแพงเมืองอาวีเลียที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ภายในเวลาไม่กี่เดือน เวลานี้สูงลิ่วและแน่นหนาแข็งแรงยิ่งกว่าเมืองใด ๆ ในอาณาจักรฟีเลเซีย หากใครสักคนจะมองดูยอดกำแพงเมืองก็ต้องเงยหน้าจนคอตั้งบ่าจึงจะมองเห็นได้ และความหนาของกำแพงก็กว้างขวางเสียจนสามารถนำมังกรขนาดโตเต็มวัยขึ้นไปยืนได้อย่างสบาย ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการโจมตีที่แสนจะหนักหน่วงของกองทัพเพลิงแห่งซาโลมนั้นเอง หากเป็นกองทัพจากอาณาจักรขนาดกลางและขนาดเล็กได้มาเห็นความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองแห่งอาวีเลียก็คงแทบสิ้นหวังและถอดใจ ถ้าจะต้องทลายกำแพงนี้เพื่อพิชิตเมืองอาวีเลียที่อยู่ภายใน แต่กับมหากองทัพที่มีจำนวนมากมายมหาศาล และแปลกประหลาดราวกับกองทัพจากขุมนรกของจักรวรรดิซาโลมซึ่งไม่กลัวแม้ความตาย ทำให้กำแพงเมืองแห่งนี้ต้องรับศึกหนักมากมายหลายครั้งหลายครา จนปรากฏร่องรอยการสู้รบมากมายที่ผิวกำแพงด้านนอก และต้องทำการซ่อมแซมอยู่เสมอทุกครั้งที่มีโอกาส ที่อีกฟากของเมืองอันเป็นที่ตั้งของจวนเจ้าเมือง ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นศูนย์บัญชาการรบของกองทัพฟีเลเซียตั้งแต่กองทัพร่วมฟีเลเซียและฟูดินันสามารถยึดเมืองคืนจากกองทัพซาโลมได้สำเร็จ เวลานี้ภายในห้องโถงใหญ่เนืองแน่นไปด้วยบรรดาแม่ทัพนายกองจากทั้งฝ่ายฟีเลเซียและฟูดินัน เสียงพูดคุยถึงข่าวสารการรบต่าง ๆ ดังเซ็งแซ่ไม่หยุด “กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามเสด็จแล้ว” เสียงแจ้งการมาถึงของกษัตริย์ซิกมันด์ที่สามทำให้เสียงเซ็งแซ่ภายในห้องโถงสงบลง กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามเสด็จเข้ามาอย่างรวดเร็วจนชายผ้าคลุมสีเหลืองโบกสะบัด สีพระพักตร์ยังคงฉายแววหยิ่งทะนง และภาคภูมิใจในเลือดสีน้ำเงินของพระองค์ เฉกเช่นสายลมโหมกล้าที่พัดผ่านอาณาจักรฟีเลเซียไม่เคยเปลี่ยน “ถวายบังคม ฝ่าบาท” เสียงจากเหล่าแม่ทัพทหารดังขึ้นแทบจะพร้อมกันเพื่อรับเสด็จ กษัตริย์ซิกมันด์ที่สามทรงก้าวขึ้นประทับบนบัลลังก์อย่างองอาจท่ามกลางรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจในองค์กษัตริย์ของตนจากบรรดาแม่ทัพนายกองฟีเลเซีย “ข่าวจากหน่วยสอดแนมยังมาไม่ถึงอีกหรือ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบ “ทูลฝ่าบาท คงใกล้จะมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะหัวหน้าหน่วยสอดแนมให้คนมาแจ้งตั้งแต่ชั่วยามที่แล้ว ว่าสายสืบที่ส่งไปจวนจะเข้าเขตเมืองอาวีเลียแล้ว” จอมทัพชาร์ล คาร์แลนซ์ ทูลในขณะที่องค์กษัตริย์ทรงพยักพระพักตร์ตอบ “แล้วสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง ? ทุกอย่างเรียบร้อยดีอยู่หรือไม่?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถาม “ฝ่าบาท ปีกกำแพงฝั่งซ้ายที่ถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อการศึกที่แล้ว เวลานี้เราสามารถซ่อมแซมจนเกือบสมบูรณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” กองแม่ทัพทูลขึ้น “ในส่วนของเสบียงคลัง ขณะนี้ลดน้อยลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ เพราะเราเพิ่งจะผ่านฤดูหนาวมา ทำให้การปลูกพืชเก็บเกี่ยวไม่ค่อยได้ผลดีนัก แต่กระหม่อมเพิ่งจะสั่งการเร่งด่วนให้พวกชาวบ้านในเขตทางใต้เร่งการเพาะปลูกให้ทันฤดูเก็บเกี่ยวในอีกสามเดือนข้างหน้านี้ หากได้ผลผลิตตรงตามเป้า เราก็น่าจะมีเสบียงพอเลี้ยงกองทัพจนถึงฤดูหนาวหน้า” แม่ทัพฝ่ายเสบียงคลังทูล “ข้าต้องการความมั่นใจจากเจ้าว่า เราจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ตามจำนวนที่วางไว้ และหากเก็บเกี่ยวไม่ได้ตามที่คาดไว้ เจ้าจะทำอย่างไร? จงหาเสบียงสำรองเผื่อไว้ด้วย ข้าต้องการแน่ใจว่ากองทัพของเราจะไม่ต้องอดอยากในฤดูหนาวหน้า” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบอีกครั้ง “พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพฝ่ายเสบียงคลังขานรับเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมกำลังเตรียมประกาศเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มอีกหลายหมื่นนายเพื่อเสริมกำลังทัพ เพราะการศึกที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เราเสียกำลังพลไปไม่น้อยเลยทีเดียว” แม่ทัพชาร์ลกล่าวทูล “มันน่าโมโหนัก ไอ้พวกเถื่อนนั่น แทนที่กษัตริย์ของพวกมันตายจะทำให้กองทัพอ่อนแอลง ที่ไหนได้! กลับกลายเป็นมีกองทัพแปลกประหลาดและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังมีแม่ทัพประหลาดที่ให้ความรู้สึกชวนขนลุกนั้นอีก แทนที่เราจะสามารถตีโต้ผลักดันพวกกองทัพเพลิงนี่ออกจากเขตแดนของเรา กลับต้องมาผลัดกันรุกผลัดกันรับแย่งชิงดินแดนกันไปมาอยู่เช่นนี้” ตรัสพลางก็ทรงทุบพระหัตถ์ลงกับที่เท้าแขนด้วยความกริ้วโกรธ “หัวหน้าหน่วยสอดแนม ฟลอคเนอร์ ขอเข้าเฝ้า” เสียงประกาศการมาถึงของหัวหน้าหน่วยสอดแนมยังความยินดีมาให้ทุกคน เพราะต่างก็อยากรู้ความเป็นไปของฝ่ายศัตรูเพื่อหาข้อได้เปรียบ ฟลอคเนอร์ชายวัยหนุ่มฉกรรจ์ในชุดเกราะครึ่งท่อนสีเขียวอ่อนแค่ช่วงอก มีผ้าสีแดงสดพันอยู่รอบคอ สวมกางเกงผ้าเนื้อหนาสีน้ำตาล ใบหน้ามีรอยบากเหนือตาขวาอันบ่งบอกถึงการผ่านสถานการณ์คับขันมาแล้วไม่น้อย ฟลอคเนอร์ก้าวเท้าเข้ามาอย่างเงียบเชียบจนไม่มีใครได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา หากทุกคนในห้องนี้ปิดตาลง คงยากที่ใครจะบอกได้ว่าชายผู้นี้เดินมาถึงส่วนใดของห้องแล้ว ฟลอคเนอร์ถวายความเคารพก่อนจะยืนตัวขึ้นตามสัญญาณมือของกษัตริย์ซิกมันด์ Title: Re: @@ นิยายEpi9 Chapter 3 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on October 13, 2008, 08:21:30 PM “เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าต้องการรู้ทั้งหมดเดี๋ยวนี้” กษัตริย์ซิกมันด์ไม่ทรงรีรอแม้เสี้ยววินาที
“ทูลฝ่าบาท เวลานี้อุปราชเบลซ เซจ กำลังเตรียมสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของจักรวรรดิซาโลมพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าหมายถึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนอย่างนั้นรึ?” จอมทัพชาร์ล อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “มิใช่เช่นนั้น ท่านแม่ทัพ ข้าหมายถึงกษัตริย์องค์ใหม่จากราชวงศ์ใหม่” ฟลอคเนอร์กล่าวแก้ “อะไรกัน? ข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ซาดิน อิบริด มีโอรสที่เกิดกับมเหสีมิใช่หรือ?” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงทักทวงขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาท ซาร์ อิสฮาน ซึ่งเกิดจากราชินีเนริมอร์ ทว่าทั้งพระโอรสและพระมเหสีหายสาบสูญไปพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ว่าหายสาบสูญ?” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยความสงสัย “ทูลฝ่าบาท จากเสียงร่ำลือกันในหมู่ขุนนาง มหาดเล็กและนางกำนัลในปราสาท ว่ากันว่าในวันที่พระศพของกษัตริย์ซาดินเคลื่อนมาถึงพระราชวัง พร้อมกับอุปราชเบลซ เซจ ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นหลายครั้งภายในตัวปราสาททำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ไฟไหม้รุนแรง จนปราสาททั้งหลังพังราบเป็นหน้ากลอง และไม่มีใครพบเห็นองค์รัชทายาทและราชินีอีกเลย” “น่าแปลก เป็นการลักพาตัว หรือหลบหนีเพราะถูกปองร้ายรึ? แต่ราชินีแห่งซาโลมก็มีฝีมือร้ายกาจ นางสามารถถล่มเมืองหน้าด่านของเราได้ถึงสามเมืองในวันเดียว นางไม่น่าจะเสียทีง่าย ๆ” กษัตริย์ซิกมันด์วิเคราะห์ “ยังมีข่างลืออีกว่า การระเบิดนั้นเกิดจากการต่อสู้ระหว่างอุปราชเบลซ เซจ และราชินีพ่ะย่ะค่ะ เพราะก่อนที่ขบวนพระศพจะเคลื่อนมาถึงเขตตัวเมือง ราชินีเนริมอร์ ได้สั่งอพยพข้าราชบริพารออกจากตัวปราสาททั้งหมด เหลือไว้เพียงที่มีหน้าที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วในวันนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่เป็นที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่า ราชินีเนริมอร์และอุปราชเบลซ เซจ ไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเกิดการปะทะกันระหว่างคนทั้งสอง และฝ่ายอุปราชเป็นผู้ได้รับชัยชนะ” “ซึ่งก็อาจหมายความว่า เจ้าอุปราชนี่ อาจสังหารราชินีไปแล้ว และก็อาจจะกำจัดโอรสของนางไปแล้วด้วยใช่หรือไม่?” แม่ทัพชาร์ลตั้งข้อสันนิษฐาน “ไม่ถูกเสียทั้งหมดขอรับท่านแม่ทัพ จริงอยู่ว่าราชินีอาจถูกกำจัดไปแล้ว ทว่าโอรสของพระนางหายสาบสูญไปเฉย ๆ เพราะอุปราชเบลซ เซจ ก็ได้ลอบสั่งกำลังพลออกติดตามค้นหาตัวองคืรัชทายาทอยู่เช่นกัน” “อืม” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์ “แล้วเหตุการณ์อื่น ๆ ล่ะ?” “พ่ะย่ะค่ะ” เวลานี้บรรดาขั้วอำนาจเก่าที่ยังคงจงรักภักดีกับกษัตริย์ซาดิน ก็เริ่มมีอาการกระด้างกระเดื่องต่ออุปราชเบลซ เซจ เพราะเริ่มมีการจำคุกและประหารขุนนางบางคนแล้ว แต่มีอีกผู้หนึ่งที่มีตำแหน่งใหญ่คานอำนาจของเบลซ เซจ ได้ คือมหาอำมาตย์นาริส สุไลมาน ซึ่งได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดีกับราชวงศ์อิบริดมาก ทว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่ภายในเมืองเพราะยกทัพไปปราบแคว้นหนึ่งทางเหนือ แต่ก็ลือกันว่ามหาอำมาตย์ผู้นี้กำลังยกทัพกลับมาทวงบัลลังก์ ดังนั้นจึงอาจมีการปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายในเร็ววันนี้” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงพยักพระพักตร์รับทราบข้อมูลอีกครั้ง “ความวุ่นวายภายในอาณาจักรนั้นเป็นผลดีกับเรา กองทัพเพลิงคงจะทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะขาดการสั่งการที่ต่อเนื่อง และจากที่สายของเรารายงานมาว่าในกองเพลิงเอง เวลานี้ก็มีความขัดแย้งระหว่างแม่ทัพราโชยูกับแม่ทัพประหลาดนั่นด้วยเช่นกัน นับว่าพระเจ้ายังเมตตาเราอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ให้เรามีเวลาเตรียมกำลังเสริมทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” กษัตริย์ซิกมันด์ทรงโบกพระหัตถ์ให้หัวหน้าหน่วยสอดแนม “ให้สายสืบเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ในซาโลมต่อไป มีอะไรไม่ชอบมาพากลให้รีบรายงานทันที เจ้าไปได้แล้ว” หัวหน้าหน่วยฟลอคเนอร์ กล่าวถวายพรพร้อมกับทำความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไป ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบจากบรรดาแม่ทัพนายกองถึงข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยิน ขณะนี้เด็กชายลึกลับที่วานาอันได้พบ แข็งแรงพอที่จะเดินเหินไปไหนมาไหนรอบ ๆ บริเวณบ้านบันดาราได้แล้ว บรรดาชาวบ้านบริเวณนั้นที่ได้พบเห็นเด็กชายแปลกหน้าต่างก็มองอยู่ไกล ๆ ด้วยความสงสัย และอยากรู้อยากเห็น ทุกคนต่างเรียกเขาว่าเด็กบ้านบันดารา เนื่องจากไม่มีใครรู้ชื่อของเขา เพียงแต่ได้ยินสมาชิกบ้านบันดาราเรียกเขาว่าเจ้าหนูบ้างบางครั้ง แรกทีเดียวบรรดาชาวบ้านดูจะสงสัยในตัวของเด็กชาย ทั้งรูปร่างหน้าตาที่ไม่อาจระบุได้ว่ามาจากเผ่าใด และพฤติกรรมของเขา เพราะนอกจากจะไม่ยอมพูดจาแล้ว บางครั้งก็เหมือนเขาพยายามฟังและระแวดระวังบุคคลที่เข้ามาใกล้อยู่บ้าง แต่พอผ่านไปได้สองอาทิตย์ บรรดาชาวบ้านก็เริ่มชินกับการมีเด็กชายเพิ่มเข้ามาในบ้านบันดารา เพราะหลังจากการโจมตีของกองทัพซาโลมเมื่อสองปีก่อน ทำให้เกิดเด็กกำพร้ามากมาย ที่ครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวในฟูดินันรับเลี้ยงไว้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ้านบันดาราจะรับเลี้ยงไว้สักคน และอีกสิ่งหนึ่งที่เริ่มกลายเป็นภาพชินตาของบรรดาชาวบ้าน คือ ภาพเด็กบ้านบันดาราเดินตามวานาอันไปแทบทุกที่ราวกับเงาตามตัวนั่นเอง เช้าวันหนึ่งที่บรรยากาศแสนสดชื่น วานาอันจัดเตรียมตะกร้าเปล่าใบใหญ่พร้อมกับหยิบอาหารแห้งห่อด้วยใบไม้สองห่อใส่ลงไปในตะกร้า หญิงสาวยิ้มอย่างยินดี เพราะหลายวันมาแล้วที่ไม่ได้ออกไปเก็บใบสีเงินของมหาพฤกษาอิกดราซิล การเก็บใบไม้สีเงินเพื่อมาทำเป็นยาสมุนไพรนั้นเป็นหน้าที่ที่เธอชื่นชอบ เพราะเธอชอบบรรยากาศอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนที่เธอสัมผัสได้จากมหาพฤกษา ที่จริงวันนี้เธอตั้งใจจะไปคนเดียว เพราะเห็นว่าเด็กชายเพิ่งจะหายดี อาจจะยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินไปถึงเขตของมหาพฤกษา แต่ถ้าจะทิ้งไว้ลำพังที่บ้านก็ดูจะน่าสงสารเกินไป เพราะถ้าเป็นเธอเป็นเขา เธอก็คงจะรู้สึกเหงาที่ต้องอยุ่บ้านคนเดียว หญิงสาวจึงคิดจะหยุดพักกลางทาง คิดแล้วก็เงยหน้าส่งยิ้มให้เด็กชายที่นั่งรอเธออย่างอดทนที่อีกฟากหนึ่งของห้อง ทันทีที่เห็นเธอหันมาเด็กชายก็จะยิ้มอย่างยินดีทุกครั้ง ซึ่งทำให้เธอรู้ว่าเด็กชายไว้วางใจเธอมากกว่าใคร ๆ และนั่นก็ทำให้เธออดภาคภูมิใจไม่ได้ว่า บัดนี้เธอไม่ได้เป็นน้องคนเล็กอีกแล้ว แต่เป็นพี่สาวที่น้องชายไว้วางใจ หญิงสาวยิ้มกว้างหยิบตะกร้าขึ้นพลางกวักมือเรียก “ไปกันเถอะ” Title: Re: @@ นิยายEpi9 Chapter 3 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on October 13, 2008, 08:22:50 PM เด็กชายลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าวันนี้หญิงสาวคงจะเดินทางไปไกลสักหน่อย เพราะเธอเตรียมอาหารไปด้วย เขาเดินอย่างยินดีเพราะอยากจะสำรวจสถานที่ต่าง ๆ ในฟูดินันให้มากขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาแข็งแรงพอจะเดินเล่นรอบ ๆ บ้านบันดารา เขาก็ต้องอ้าปากค้างยืนนิ่งเมื่อเห็นความเขียวชอุ่ม ชุ่มชื้น และร่มรื่น จนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ เขาไม่เคยนึกภาพอาณาจักรฟูดินันออกเมื่อเวลาท่านนาริส เอ่ยถึงอาณาจักรแห่งนี้แล้วอธิบายสภาพความเป็นอยู่ของบ้านเมือง และภูมิประเทศ แต่เวลานี้เขาสามารถบอกได้เลยว่า แม้แต่ท่านนาริสก็ไม่อาจบรรยายถึงความอุดมสมบูรณ์และสวยงามของอาณาจักรฟูดินันได้ครบถ้วน
แต่เมื่อได้หวนคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียพระมารดาก็กลับมาเชือดเฉือนหัวใจของเขาอีกครั้งจนทำให้น้ำตาไหลทุกครั้ง เพราะเขาเองทำให้เสด็จแม่ต้องตาย การเกิดมาของเขาเป็นเหตุให้คนจำนวนมากต้องตาย ยิ่งคิดก็ยิ่งโศกเศร้า ชิงชังตัวเองเหลือจะกล่าว และในวันนั้นเองที่เขาตัดสินใจละทิ้งชีวิตขององค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิซาโลม จะมีเพียงเด็กชายธรรมดาที่ชื่ออิสฮานเท่านั้น อิสฮานเมื่อตัดสินใจละทิ้งตัวตนแล้ว ก็พยายามเรียนรู้ทุกอย่างรอบตัวให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรฟูดินันอันแสนสวยงามนี้ให้ได้ เขาพยายามสังเกต จดจำคำพูดและการดำรงชีวิตต่าง ๆ ภายในครอบครัวบันดารา แต่บุคคลที่เขาให้ความไว้วางใจมากที่สุดก็คือวานาอัน เพราะนอกจากกิริยาท่าทางการพูดจา และรอยยิ้มที่อ่อนหวานในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน หญิงสาวยังดูแลเขาอย่างดีคอยเป็นห่วงเป็นใย ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนแปลกหน้า ทำให้อิสฮานซาบซึ้งในความมีน้ำใจและความจริงใจของเธอ ซ้ำตั้งแต่เห็นใบหน้าของหญิงสาวจนกระทั้งเวลานี้ ใบหน้าของเธอจะอมยิ้มตลอดเวลา ไม่ว่าจะหงุดหงิด สนุกสนาน โกรธ เศร้า มีความสุข เมื่ออารมณ์ต่าง ๆ แสดงออกมาทางสีหน้าแล้ว ใบหน้าของเธอก็จะกลับมาอมยิ้มอีก ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างรวมทั้งตัวเขามีความสุขและสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ รวมถึงในวันนี้เช่นกันที่เขาตั้งใจจะติดตามเธอไปทุกที่ เพราะแม้เธอจะไม่เหมือนมารดาของเขา แต่เธอก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเป็นคนพิเศษเหมือนเวลาอยู่กับมารดา ตลอดหนทางที่เดินไป เธอจะหันมาพูดคุยและยิ้มให้เขาเป็นระยะ ๆ แม้เขาจะฟังไม่เข้าใจแต่เขาก็จะยิ้มตอบเธอทุกครั้ง เพื่อให้เธอเข้าใจว่า เขามีความสุขที่จะฟังแม้จะไม่เข้าใจเลยก็ตาม เพราะอย่างน้อยเสียงและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอก็ทำให้เขาไม่เหงา ระหว่างทางนอกจากหญิงสาวจะหันมาพูดคุยกับเขาบ้าง เธอก็มักจะพูดทักทายสัตว์ป่าหน้าตาประหลาด ๆ ในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ซาโลมมาก่อน หรือบางครั้งก็พูดทักทายต้นไม้ เขาเชื่อเช่นนั้น เพราะทิศทางที่หญิงสาวพูดทักทายนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ นอกจากต้นไม้ที่โบกสะบัดไปมาเบา ๆ ตามแรงลม ทำให้เขาทั้งประหลาดใจและพิศวงอยู่ไม่น้อยที่เธอสามารถพูดกับต้นไม้ได้ด้วย เขาไม่เคยเห็นใครที่ทำแบบนี้ที่ซาโลมเลย ขณะที่เดินไปเขาก็มองธรรมชาติ รอบ ๆ ตัวไปด้วยเช่นกัน ความชุ่มชื่นและความอุดมสมบูรณ์ทำให้เข้ารู้สึกสดชื่นเย็นสบาย ช่างแตกต่างจากที่ ๆ เขาจากมาเหลือเกิน เขาอยากจะให้เสด็จแม่และท่านนาริสได้มาเห็นอย่างที่เขาได้เห็นนี้เหลือเกิน เมื่อคิดดังนั้นความเศร้าเสียใจก็เข้าจู่โจมเขาอีกครั้ง ทำให้เด็กชายหยุดเดินเสียดื้อ ๆ วานาอันรู้สึกว่าเด็กชายไม่ได้เดินตามเธออีกแล้ว จึงได้หันกลับไปดู เด็กชายยืนนิ่งอยู่ห่างจากเธอประมาณ 5 - 6 ก้าว ในขณะที่ใบหน้ามีสีหน้าเศร้าสลดลงและเริ่มก้มลงต่ำ หญิงสาวสามารถสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจใหญ่หลวงที่แผ่ออกมาจากตัวของเด็กชาย แต่เธอไม่เข้าใจว่าความทุกข์นั้นคืออะไร เธอเคยสัมผัสได้ถึงความทุกข์ของผู้คนที่ประสบภัยสงคราม ครอบครัวที่พลัดพราก แต่เด็กชายคนนี้ดูเหมือนจะมีความทุกข์มากกว่า เหมือนเขาแบกความทุกข์มากมายมหาศาลไว้ ทำให้เธอรู้สึกสงสารเขาเหลือเกิน วานาอันเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเด็กชาย เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองเธอ แต่ดูเหมือนจิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ตาของเขาว่างเปล่าเหมือนมองไม่เห็นเธอด้วยซ้ำ ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็เหมือนกับห้วงแห่งความทุกข์นั้นหลบหายเข้าไปซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอีกครั้ง เพราะเด็กชายเอียงคอมองเธอพร้อมกับส่งยิ้มให้ “อีกนิดเดียวเราก็จะถึงเขตของมหาพฤกษาอิกดราซิลแล้ว แข็งใจเดินอีกนิดเดียวนะจ๊ะ” วานาอันกล่าวพลางชี้นิ้วขึ้นเหนือยอดไม้ที่เปิดโล่ง เพื่อให้เด็กชายมองเห็น เด็กชายมองตามก่อนจะเบิกตากว้างพร้อมกับอ้าปากตกตะลึงในความใหญ่โตของต้นไม้ยักษ์ ที่ปรากฏเพียงบางส่วนผ่านช่องว่างที่เปิดออกของยอดไม้ วานาอันเห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ “มาซิ ถ้าเจ้าเห็นท่านมหาพฤกษาใกล้กว่านี้เจ้าจะยิ่งตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ของท่านอิกดราซิล แต่เจ้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและใจดีของท่านด้วย แม้แต่สัตว์ที่ดุร้ายก็ยังสงบลงได้เมื่ออยู่ใต้ร่มเงาของท่านอิกดราซิล” วานาอันยิ้มและเริ่มออกเดินอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าเด็กชายยังคงเงยหน้ามองความใหญ่โตของต้นไม้ยักษ์อยู่จึงยิ้มกว้างและคว้ามือเด็กชายแล้วจูงเดิน ปล่อยให้เด็กชายเงยหน้ามองเหนือยอดไม้ต่อไป Title: Re: @@ นิยายEpi9 Chapter 3 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on October 13, 2008, 08:24:28 PM ทันทีที่เดินเข้ามาในเขตของมหาพฤกษา เด็กชายก็ยิ่งตกตะลึงในความใหญ่โตมโหฬารของมหาพฤกษาที่กินอาณาเขตกว้างไกล และสูงลิบเทียมฟ้า จนดูเหมือนภูเขาสีเงินลูกโตที่เปล่งประกายระยิบระยับหยอกล้อแสงอาทิตย์ตลอดเวลา ใบสีเงินที่ร่วงโรยหลุดจากต้นลงมามองดูเหมือนละอองดาวที่ปรายลงมาจากท้องฟ้าสีเงินยวง บรรยากาศรอบ ๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสงบอย่างน่าประหลาด แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันให้ความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยอย่างเหลือเกินกับเขา เด็กชายเดินตามหญิงสาวไปเรื่อย ๆ จนเดินมาหยุดที่รากแขนงหนึ่งของอิกดราซิล วานาอันหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับดึงเด็กชายลงนั่งด้วย
“เจ้าหิวรึยัง? นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เรามากินอาหารกันก่อนดีไหม ?” วานาอันชวนพลางก้มลงง่วนกับการจัดสำรับอาหารที่เตรียมมา อิสฮานลงเดินไปที่แขนงรากที่ใกล้ที่สุด และวางมือสัมผัสแขนงรากนั้น เขาลูบมันช้า ๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยนี้ มันทำให้เขารู้สึกสงบลงและอบอุ่นใจเหลือเกิน และแล้วเด็กชายก็ยิ้มกว้าง ใช่แล้วเปลไม้สลักขนาดใหญ่ที่เขาเคยใช้จนถึงสี่ขวบ และยังแอบเข้าไปนอนเล่นเสมอ ๆ เวลาที่คิดถึงเสด็จแม่ เขารู้แต่ว่าเปลหลังนั้นทำมาจากไม้พิเศษมาก ๆ ที่แท้ก็ทำมาจากต้นไม้นี้นี่เอง เขาแนบใบหน้ากับแขนงรากด้วยความคิดถึงและขอบคุณเสด็จแม่ที่เสาะหาสิ่งที่แสนพิเศษนี้ให้เขา โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเป็นกษัตริย์ซาดินต่างหากที่ฆ่าล้างเมืองทั้งเมือง เพื่อชิงเปลหลังนั้นมาให้เขา “มากินข้าวกันเถอะ” วานาอันกล่าวขึ้นพร้อมกับกวักมือเรียกเด็กชาย อิสฮานมองท่าทางก็เข้าใจจึงเดินกลับมานั่งที่ที่ของตนโดยมีดวงตากลมโตสดใสมองสังเกตท่าทางของเขา คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ “นี่ พ่อหนูน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าพูดได้นะ แต่ที่เจ้าไม่ยอมพูดเพราะเจ้าพูดภาษาของเราไม่เป็นใช่ไหมหล่ะ? เพราะทั้งท่านปู่ และพี่ฮารีซันก็บอกว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้ารวมถึงเสื้อผ้า ไม่ใช่คนจากเผ่าที่เรารู้จัก ถ้าอย่างนั้นข้าจะสอนให้เจ้าเองนะ” วานาอันพูดพลางยิ้มอย่างกระตือรือร้น “ข้าจะสอนให้เจ้าพูดภาษาของเราให้ได้ พอเจ้าพูดได้เมื่อไหร่ เจ้าก็ไปพูดกับท่านปู่และพี่ฮารีซัน ให้พวกเขาตกตะลึงกันไปเลย” วานาอันพูดพลางตบมืออย่างยินดี ภาพความประหลาดใจระคนยินดีของบุคคลทั้งสอง และเด็กชายที่สามารถติดต่อสื่อสารกับพวกเธอได้ด้วย ยังความตื่นเต้นยินดีมาให้กับหญิงสาว เมื่อวานาอันคิดได้ดังนั้นก็เริ่มลงมือทันที “เริ่มจากชื่อเจ้าก่อนดีไหม? เจ้าอยู่ที่นี่มาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว พวกเรายังเรียกเจ้าว่าเจ้าหนูอยู่เลย เจ้าคงอยากให้เรียกชื่อของเจ้าเองมากกว่าใช่ไหมล่ะจ๊ะ?” ว่าแล้ววานาอันก็ชี้นิ้วใส่ตัวเอง “ข้าชื่อวานาอัน วา – นา – อัน” แล้วเธอก็ชี้กลับไปที่เด็กชาย อิสฮานยิ้มกว้าง เขารู้ว่าเธอชื่อวานาอัน เพราะได้ยินคนในบ้านบันดาราเรียกเธอบ่อย และเข้าใจว่าเธอกำลังต้องการอะไร เด็กชายลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะตอบเธอดีหรือไม่ หญิงสาวก็พยายามอีก “วา – นา – อัน” หญิงสาวชี้ที่ตัวเธอ แล้วชี้กลับไปที่เด็กชาย “อิส..ฮาน” เด็กชายตอบเสียงเบาเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ “อิสฮานเหรอ ?” วานาอันพูดทวนอย่างตื่นเต้น ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มละไมทำให้เด็กชายพลอยยิ้มไปด้วย “เจ้าชื่อ อิสฮาน ข้าชื่อวานาอัน วา – นา – อัน” “วา – นา – อัน” อิสฮานพูดทวนชื่อหญิงสาวช้า ๆ พลางยิ้มและหัวเราะไปกับเธอ เขาไม่เคยคิดเลยว่าชื่อเขาจะนำความตื่นเต้นยินดีมาให้ใครได้นอกจากเสด็จแม่ หญิงสาวชี้นิ้วไปที่ตะกร้าบ้าง “ตะกร้า” “ตะ – ก้า” อิสฮานพยายามออกเสียงตาม “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ตะ – กร้า” วานาอันพยายามเน้นเสียง “ตะ – กร้า” อิสฮานเน้นเสียงตาม และดูเหมือนวานาอันจะพอใจ จึงเปลี่ยนคำใหม่ โดยการชี้ที่ใบไม้แทน “ใบไม้” หญิงสาวพูดอย่างกระตือรือร้น “ไมไม้” “ไม่ใช่จ๊ะ ใบ – ไม้” “ใบไม้” “ถูกต้อง” หญิงสาวหัวเราะชอบใจ และแล้วตลอดการเก็บสมุนไพรของคนทั้งคู่ในวันนั้นจึงได้ยินแต่เสียงพูดคำศัพท์ต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัว และเสียงหัวเราะ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วานาอันก็จะพยายามสอนคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้อิสฮานทุกวัน ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจ้าชาย และด้วยการพยายามเอาตัวรอดของเขา เพียงไม่กี่อาทิตย์เขาก็สามารถพูดเป็นประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ และเริ่มพูดคุยกับสมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านบันดารา ซึ่งก็นำความตื่นเต้นยินดีมาให้แก่ทุกคนในครอบครัวบันดาราอย่างยิ่ง แต่เมื่อถูกถามคำถามยาก ๆ หรือเขาไม่สามารถตอบได้ ก็จะเงียบหรือเลี่ยงออกจากการสนทนานั้น ๆ เสมอ ทว่าทุกคนก็ไม่ได้ติดใจใด ๆ มากนัก เพราะเด็กชายก็ดูกระตือรือร้นและร่าเริงมากขึ้น ให้ความสนิทสนมกับทุกคนในบ้าน เปิดใจยอมรับไมตรีที่ทุกคนยื่นให้ ทุกคนจึงไม่ได้ให้ความสนใจในพฤติกรรมแปลก ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเด็กชาย พออยู่ได้ราวสามเดือนเด็กชายก็พูดได้คล่องแคล่ว แม้จะมีพูดไม่ชัดบ้างบางคำก็ไม่ได้มีใครติดใจ ทุกคนในเขตบ้านบันดาราก็ไม่รู้สึกแปลกแยกเพราะเด็กชายได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกตนไป และด้วยความที่เป็นเด็กช่างใฝ่รู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ช่างซักช่างถาม และเข้าไปขันอาสาช่วยเหลืองานต่าง ๆ เพราะสำหรับเขานั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนได้ไม่อยาก Title: Re: @@ นิยายEpi9 Chapter 3 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on October 13, 2008, 08:25:34 PM เช้าวันหนึ่ง ขณะที่คนอื่น ๆ ในบ้านบันดารากำลังง่วนอยู่กับงานของตน เพราะใกล้เวลาที่กองทัพใหญ่ของฟูดินันจะเคลื่อนทัพกลับสู่ชายแดนฝั่งฟีเลเซีย โดยฮารีซันไปตรวจดูความเรียบร้อยในการตระเตรียมเสบียงอาหาร ส่วนวูจินและวานาอันก็ยุ่งอยู่กับการปรุงยาสมุนไพรในโรงเก็บยา อิสฮานซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำความสะอาดลานตากสมุนไพร ซึ่งเวลานี้ไม่มีสมุนไพรใด ๆ เหลือทิ้งค้างอยู่ภายในลานนี้อีกแล้ว วัตถุดิบต่าง ๆ ถูกเก็บเข้าห้องยาเพื่อใช้ปรุงยาสมุนไพรเพื่อตระเตรียมให้กองทัพนำไปใช้ที่เขตชายแดน ส่วนลานตากพืชสมุนไพรนี้ ก็ต้องเตรียมเก็บกวาดให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมรับพืชวัตถุดิบจากที่ต่าง ๆ ที่บรรดาชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บของป่าจะนำมาส่งให้ครอบครัวบันดารา
ที่จริงแล้วไม่ใช่เพียงบ้านบันดาราเท่านั้นที่สามารถปรุงยาสมุนไพรได้ ยังมีครอบครัวอื่นอีกหลายครอบครัวที่มีความสามารถด้านการปรุงยาสมุนไพร ดังนั้นบรรดาชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บของป่าจะทยอยนำวัตถุดิบต่าง ๆ ไปส่งตามบ้านที่อยู่ใกล้ในอาณาบริเวณเขตของแต่ละคน อิสฮานเคยเห็นและช่วยวานาอันทำความสะอาดลานตากยาบ่อย ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเด็กชายวัยสิบสองปีเช่นเขาหากจะทำความสะอาดลานว่าง ๆ นี้เพียงลำพัง หน้าที่ของเขาคือ เก็บกระจาดที่ทำจากไม้สานออกมาจากราวไม้ที่สูงถึงระดับอกของเขา แล้วนำไปปัดทำความสะอาดจนครบทุกใบ ก่อนจะกวาดทำความสะอาดพื้นลานอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จหน้าที่ของเขา เด็กชายพยายามเร่งมือเก็บกวาดอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง เพราะอยากจะเข้าไปนั่งในห้องปรุงยากับวานาอันและท่านปู่มากกว่า ขณะที่กำลังกวาดลานอย่างขมักเขม่นพลางรวบรวมเศษผงและเศษใบไม้มากองไว้ที่บริเวณกลางลานกว้าง แต่แล้วพอหันกลับมา เขาก็เห็นว่ามีลูกไม้ประเภทสนตกอยู่ตรงช่องทางเดิน อิสฮานยักไหล่เบา ๆ เขาคงจะรีบมากจนมองข้ามเจ้าลูกสนนั้น อิสฮานเดินไปหยิบมันขึ้นมาก่อนจะออกเดินสองสามก้าว แล้วเขวี้ยงลูกสนโดยเล็งไปที่กองเศษผงอย่างนึกสนุก ลูกสนตกลงไปบนกองขยะได้พอดิบพอดี เรียกรอยยิ้มจากเด็กชายได้ไม่น้อย แต่แล้วเด็กชายก็ได้ยินเสียงบางอย่างหล่นตุ๊บใกล้ ๆ ตน จึงรีบหันกลับไปดู ก็ได้พบว่ามีลูกสนอีกลูกมาอยู่ตรงที่เดิมเมื่อสักครู่ อิสฮานหันกลับไปมองกองเศษผงอีกครั้ง ทีนี้มันกลับมีลูกสนสองลูกอยู่บนกองขยะ เด็กชายยืนหันกลับไปกลับมาอยู่เป็นนาน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเผื่อว่าจะเป็นเพราะลูกไม้ร่วงลงจากต้น แต่ยอดไม้ที่แผ่ปกคลุมอยู่บริเวณโดยรอบ ไม่มียอดไหนแผ่เลยเข้ามาในเขตลานตากยา เด็กชายเริ่มหันไปมองรอบ ๆ เพราะคิดว่าอาจมีใครกำลังล้อเล่นกับเขา แต่เขาก็มองไม่เห็นใครสักคนอยู่บริเวณนั้น อิสฮานเดินอย่างลังเลไปที่ลูกสนลูกใหม่ พลางหันซ้ายหันขวาตรวจเช็คให้แน่ใจอีกครั้งว่า คราวนี้ไม่มีลูกสนอยู่บริเวณนั้นอีกแล้ว แล้วจึงออกแรงขว้างมันลงกองเศษขยะ แต่ยังไม่ทันที่ลูกสนจะตกถึงกองขยะ ก็กลับมีลูกสนอีกลูกพุ่งมากระแทกลูกสนของเขาออกนอกทิศทางจนร่วงหล่นไปตกนอกกองเศษขยะ ในขณะที่ลูกสนลึกลับนั้นกลับร่วงลงไปบนกองขยะและกลิ้งไปรวมกับสองลูกแรก “นั่นใครน่ะ!?” เวลานี้อิสฮานมั่นใจแล้วว่าต้องมีใครแกล้งเขาแน่นอน เด็กชายกระโดดหันหน้าเข้าหาทิศทางที่ลูกสนลึกลับพุ่งออกมาด้วยท่าทางเตรียมกับอะไรหรือใครก็ตาม “แฮ่!” จู่ ๆ ก็มีมือมาจับไหล่เขาจากทางด้านหลังพร้อมกับร้องเสียงดัง จนเด็กชายสะดุ้งโหยงร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจถอยหลังล้มลงไปนั่งอยู่บนกองเศษขยะ แล้วเสียงหัวเราะของผู้หญิงก็ระเบิดออกมาแทน เด็กชายรีบกระโดดขึ้นพร้อมกับหันกลับไปดู จึงได้พบหญิงสาวผมสีทองอร่ามอย่างที่เขาไม่เห็นมาก่อน ก้มหน้ากุมท้องหัวเราะคิกคักจนท้องคัดท้องแข็ง “ฮา ฮา ฮา ขอโทษที! แต่...ฮา ฮา ฮา เจ้าเนี่ยมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่ตลกมากเลย” เสียงหญิงสาวฟังดูไพเราะ แม้จะไม่ค่อยชัดตามสำเนียงของฟูดินัน แต่เขาก็ไม่อาจจำแนกได้มากมาย เพราะตัวเขาเองก็ยังพูดไม่ค่อยชัดด้วยเหมือนกัน ชุดที่หญิงสาวใส่ก็ดูแตกต่างจากชาวบ้านชาวฟูดินันที่อาศัยอยู่รอบ ๆ นี้มากทีเดียว แต่สิ่งที่โดดเด่นจนทำให้อิสฮานต้องมองจนตาค้างก็คือดวงตาสีเขียวและผมสีทองอร่ามนั่นเอง เขาไม่เคยเห็นใครที่มีสีผมและสีตาเช่นนี้มาก่อนในซาโลม เด็กชายจึงได้แต่ยืนจ้องมองดูเงียบ ๆ เมื่อเด็กชายยืนนิ่งไม่หัวเราะร่วมไปด้วย เจ้าหญิงเรจิน่าแห่งอาณาจักรฟีเลเซียจึงเงียบเสียงลง วันนี้พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนข่าวสารและรวมไปถึงตรวจดูความเรียบร้อยของกองทัพฟูดินันเพื่อนำกลับไปรายงานทางฝั่งฟีเลเซีย แต่เมื่อเสด็จมาถึงแล้วไม่พบใครพระองค์จึงทรงออกตามหาและทรงเห็นเด็กชายแปลกหน้ากำลังตั้งหน้าตั้งตาเก็บกวาดลานหลังบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงนึกสนุกอยากจะทรงหยอกล้อเด็กชายเพื่อฆ่าเวลาระหว่างที่รอครอบครัวบันดารา เมื่อเด็กชายเงียบเสียงไม่โต้ตอบใด ๆ พระองค์จึงทรงเริ่มคิดว่าพระองค์อาจจะทรงหยอกล้อเล่นมากไปสักหน่อย “ขอโทษนะ เจ้าโกรธหรือเปล่า?” เจ้าหญิงทรงถามด้วยสีพระพักตร์มีแววสลดลงเล็กน้อย “ฮะ...อ่ะ...เปล่าครับ” อิสฮานอึกอักตอบ เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้หญิงผมทองเข้าใจผิดว่าที่เขาเงียบเพราะโกรธ “เจ้ามองอะไรหรือ? หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไง?” เจ้าหญิงตรัสด้วยความขบขันเมื่อเด็กชายเอาแต่จ้องมองพระองค์ “ขออภัยด้วย ข้าเพียงแต่คิดว่าผมของท่านเหมือนเส้นไหมทองเลย” เด็กชายพูดขึ้นขณะมองแพรผมที่เป็นประกายเพราะแสงแดด เจ้าหญิงทรงได้ยินดังนั้นก็ทรงหัวเราะร่าอย่างชอบพระทัยและทรงเริ่มนึกเอ้นดูเด็กชายหน้าตาคมคายผู้นี้ มิใช่เพราะเขาพูดชมพระองค์หรือเพราะหน้าตาคมคายของเขา แต่เพราะเขาดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมารยา ทั้งการพูดจาท่าทางก็ดูเรียบร้อยคล้ายได้รับการอบรมมาดี เจ้าหญิงทรงตบบ่าเด็กชายอย่างเป็นกันเองพลางตรัสถาม “ข้ามีธุระกับท่านวูจินและท่านฮารีซัน ไว้เสร็จธุระแล้วข้าจะออกมาเล่นกับเจ้าใหม่ บ้านเจ้าอยู่แถวนี้ใช่รึเปล่า?” “ข้าอยู่ที่นี่” เด็กชายยิ้มตอบ เขากำลังจะมีเพื่อนเล่นเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว อิสฮานคิดอย่างยินดี “หมายความว่ายังไง? เจ้าอาศัยอยุ่ในบ้านบันดาราเหรอ?” เจ้าหญิงตรัสถามอย่างแปลกพระทัย เด็กชายไม่น่าจะเป้นญาติกับครอบครัวบันดาราได้ เขาแทบจะไม่มีเค้าหน้าส่วนใดคล้ายกับครอบครัวบันดารา แต่ยังไม่ทันจะตรัสถามต่อ ก็ทรงได้ยินเสียงเปิดบานประตูจากอีกฟากของประตู “อ๊ะ คงเป็นท่านวูจินหรือไม่ก็ท่านฮารีซัน งั้นเดี๋ยวข้าไปจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยออกมาเล่นกับเจ้า อย่าไปไหนเสียล่ะ!” เจ้าหญิงตรัสก่อนจะทรงหันกลับ “เอ่อ...” เด็กชายเอ่ยรั้งหญิงผมทองไว้ “ท่านปู่อยุ่ในห้องปรุงยากับพี่วานาอัน เสียงนั่นคงจะเป้นพี่ฮารีซัน” เจ้าหญิงทรงยิ้มกว้างก่อนจะทรงทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ทรงหยิบถุงผ้าเล็ก ๆ สีเขียวอ่อนที่มัดอยุ่ที่ขอบเข็มขัดของพระองค์ แล้วทรงโยนให้เด็กชาย ซึ่งเขาก็รับได้ในทันทีเช่นกัน “เอาไว้กินเล่น ๆ ระหว่างรอข้า” ตรัสแล้วก็ก็ฮัมเพลงเสด็จจากไป เด็กชายมองถุงผ้าสีเขียวอ่อนปักลายเล็ก ๆ ที่ขอบทั้งสี่ด้าน มันแลดูเรียบ ๆ แต่ก็หรูหราต่างจากถุงผ้าทั่ว ๆ ไป เมื่อเปิดถุงออก เขาก็เห็นลูกกวาดสีต่าง ๆ อยุ่ในถุงนั้นเกือบเต็มถุง เด็กชายยิ้มกว้างเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว ซึ่งบัดนี้เดินหายลับเข้าประตูไปแล้วพลางคิดในใจว่า เขาจะเก็บลูกกวาดนี้ไว้กินกับพี่วานาอันเวลาไปเก็บสมุนไพรด้วยกัน Title: Re: @@ นิยายEpi9 Chapter 3 @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on October 13, 2008, 08:25:59 PM มาเม้ากันที่นี่จ้า
http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=44976.0 |