Title: @@ นิยายSMN Chapter 53 ราชาแห่งทะเลน้ำแข็ง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 01, 2007, 06:25:38 AM Chapter 53 ราชาแห่งทะเลน้ำแข็ง เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่คณะของฮารีซันเดินทางมุ่งสู่เมืองท่าแห่งแอนดิซอง เสียงฟองคลื่นแตกที่หัวเรือบ่งบอกว่าลมทะเลเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ฮารีซันและทราเฮิร์นกำลังดูแผนที่การเดินเรือในห้องกัปตันอยู่นั้น พลันลูกเรือคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ท่านฮารีซัน ต้นหนเรือให้รีบมาแจ้งท่านว่าเมฆพายุกำลังลอยตรงมาทางนี้ ดูท่าว่าจะมีพายุใหญ่ เราจะเอายังไงกันดี? ทราเฮิร์นถามเพราะพอจะรู้อยู่ว่าพายุในทะเลนั้นอันตรายอยู่ไม่น้อย ใกล้ ๆ นี้มีเกาะเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง เราคงพอจะใช้จอดเรือหลบพายุได้ กัปตันเรือบอกเมื่อมองดูแผนที่บนโต๊ะ ดี ทำตามที่ท่านว่าแล้วกัน ฮารีซันเห็นดีด้วย ก่อนจะแยกย้ายกันออกไปช่วยทุกคนหันใบเรือตรงไปยังเกาะเล็ก ๆ ทางตะวันออก เมื่อเรืออ้อมมาถึงทางด้านหลังเกาะซึ่งมีลักษณะเป็นเชิงผาสูงชันได้ ฝนก็เริ่มเทลงมาแล้วและตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ สมอเรือใหญ่ถูกทิ้งลงเพื่อถ่วงเรือทันที เสียงคลื่นลมและเสียงฟ้าคะนองจากอีกฟากของเกาะทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดที่สามารถอ้อมมาด้านหลังของเกาะได้ทันการณ์ ต้นหนเรือคาดการณ์ว่าพายุจะยังคงความรุนแรงเช่นนี้ไปอีกเกือบอาทิตย์ ทุกคนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ารอให้พายุผ่านไปอย่างสงบในที่พักของตน วันรุ่งขึ้นที่ยังคงเต็มไปด้วยคลื่นลมและฝนกระหน่ำ แทบไม่มีใครย่างกรายออกไปที่ดาดฟ้าเรือ ทั้งวันทุกคนต่างก็มารวมกันที่ห้องที่ใหญ่ที่สุด กินอาหารและหาเรื่องสนุกมานั่งคุยกันเพื่อฆ่าเวลา แต่เมื่อเข้าวันที่สอง ทุกคนเริ่มเบื่อที่จะทำเช่นนั้น จึงมีบางคนที่พอกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายกลับไปนอนเล่นภายในห้องของตนเอง ทว่าพอล่วงเข้าวันที่สาม แม้สภาพอากาศภายนอกจะยังคงเฉอะแฉะไปด้วยสายฝนที่โปรยปราย แต่ภายในเรือกลับมีเรื่องที่น่าตกใจเกิดขึ้น เมื่อลูกเรือสองคนมีอาการประหลาดเกิดขึ้นคือทั้งคู่นั่งเหม่อลอยเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ บางครั้งก็ยิ้มและพูดงึมงำคนเดียวโดยที่ฟังแทบไม่รู้เรื่องว่าพวกเขาพูดอะไร เมื่อฮารีซันพยายามซักถามคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครทราบสาเหตุเท่าใดนัก นอกเสียจากว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นทั้งสองยังปรกติอยู่คือตอนที่ทั้งสองคนเดินออกไปที่ดาดฟ้าเพื่อไปปลดทุกข์แล้วไม่กลับมาอีกเลยจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ฮารีซันและทราเฮิร์นหรือแม้แต่หมอประจำเรือก็ไม่อาจหาสาเหตุได้ จึงได้แต่จัดเวรยามคอยเฝ้าอาการไว้ เผื่อว่าเมื่อไปถึงแอนดิซองอาจจะมีหมอเก่ง ๆ ที่สามารถวินิจฉัยอากรของโรคได้ แต่แล้ววันถัดมาทุกคนก็ต้องว้าวุ่นหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อจู่ ๆ อาการประหลาดนี้ดูเหมือนจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเพราะมีคนที่ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงสิบคน ที่หนักไปกว่านั้นคือชายสองคนแรกพยายามออกไปที่ดาดฟ้าเรือและพยายามกระโดดลงทะเล จนฮารีซันต้องตัดสินใจใช้เชือกมัดทั้งสองติดกับเสาต้นหนึ่งภายในเรือนั้น และเมื่อถามถึงสาเหตุ คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าว่าแรกทีเดียวนั้น ชายคนหนึ่งในสิบคนบอกว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงอยู่นอกเรือ เป็นเสียงที่ไพเราะมากอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจึงได้ชวนเพื่อนอีกสองคนออกไปด้วย ทว่าจนเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นว่าทั้งสามจะกลับมาเสียที หนึ่งในนั้นจึงออกไปตามแต่ก็ไม่กลับมาอีก อีกคนหนึ่งจึงออกไปตามอีก แล้วเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิมอีกจนเมื่อลูกเรือหายไปจนถึงสิบคนแล้ว จึงไม่มีใครกล้าออกไปตามหาอีกจนกระทั่งรุ่งเช้าจึงได้พบว่าทั้งสิบคนนอนหมดสติอยู่ที่ท้ายเรือ ฮารีซันมองทราเฮิร์นอย่างสงสัย ทั้งคู่ต่างเชื่อว่าการออกไปนอกดาดฟ้าต้องเกี่ยวข้องกับอาการประหลาดของลูกเรือทั้งหมดแน่ แล้วเสียงเพลงที่พวกเขาบอกว่าได้ยินเล่า ที่เกาะร้างกลางพายุเช่นนี้จะมีใครมาร้องเพลงอยู่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจหรือทะเลนี้มีลับลมคมนัยที่พวกเขาไม่รู้จัก เมื่อมองจากสภาพอากาศในเวลานี้ดูท่าพายุคงใกล้จะผ่านไปแล้วและคงจะสงบลงอีกในวันสองวันข้างหน้า เขาจะออกเดินทางต่อทั้ง ๆ ที่ลูกเรือกว่าสิบคนมีอาการเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างน้อยถ้ารู้สาเหตุก็อาจจะพอหาวิธีแก้ไขได้ง่ายขึ้น ดังนั้นทราเฮิร์นและฮารีวันจึงตกลงใจกันว่าคืนนี้พวกเขาจะเป็นคนอยู่ยามเอง ตกดึกคืนนั้นเป็นเวลากว่าเที่ยงคืนแล้ว และเสียงฝนเริ่มซาลง ขณะที่ทั้งคู่กำลังรู้สึกล้าและหนังตาเริ่มจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จู่ ๆ พลันหูของทราเฮิร์นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ใบหูที่กว้างและตั้งขึ้นอย่างม้าของเขาขยับไปมาเหมือนพยายามหันไปหาที่มาของเสียง Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 53 เดินทางสู่แอนดิซอง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 01, 2007, 06:27:04 AM มีอะไรรึ? ฮารีซันหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อสังเกตเห็นท่าทางผิดปรกติของนายทัพครึ่งม้า
ข้าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลง ทราเฮิร์นพูดขึ้น ฟังสิ มันไพเราะมากจริง ๆ ใครเป็นคนร้องนะ? ทราเฮิร์นนั้นมีหูที่ไวกว่ามนุษย์ธรรมดาจึงได้ยินก่อน ฮารีซันพูดเตือนสตินายทัพเซนทอร์ทันที ระวัง ทราเฮิร์น ท่านพูดเองว่าที่เกาะร้างกลางพายุไม่น่าจะมีใครมาร้องเพลงได้ ถูกของท่าน ข้าต้องตั้งสติให้แน่วแน่กว่านี้ซะแล้ว...ว่าแต่ท่านไม่ได้ยินอะไรเลยรึ? ทราเฮิร์นอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นว่าหัวหน้าเผ่าฟูดินันยังคงนิ่งอยู่ ข้าเริ่มได้ยินแผ่ว ๆ แต่ข้าพยายามไม่สนใจ เพื่อที่จะได้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของเสียงนั้น ฮารีซันกล่าวตอบ คราวนี้ท่านได้เปรียบข้าเต็ม ๆ เลย หูของข้ามันไวกว่ามนุษย์เช่นท่านอยู่ไม่น้อยเลยนะ ทราเฮิร์นพูดแสดงท่าทางหงุดหงิดแต่ดวงตายังมีแววยิ้มขำ เขามองหาเศษผ้ามาชิ้นหนึ่งก่อนจะฉีกครึ่งแล้วชุบน้ำแล้วยัดใส่หูของตน ดีขึ้นหน่อย แต่เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วคงต้องรีบทำความสะอาดหูของข้าทันทีเลย เอาหล่ะ! จะไปลุยกันรึยัง? ฮารีซันอดหัวเราะการกระทำของนายทัพเซนทอร์ไม่ได้จึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงักแทนคำพูด แล้วจึงนำเศษผ้าที่เหลือมาทำตามดูบ้าง ทำให้ ทราเฮิร์น อดหัวเราะบ้างไม่ได้ ทั้งสองถือคบเพลิงเดินไปจนถึงท้ายเรือตรงที่พบร่างของลูกเรือที่นอนหมดสติอยู่ และเริ่มสอดส่ายสายตามองสำรวจรอบ ๆ บริเวณเพื่อหาที่มาของเสียงเพลงนั้น ทันใดนั้นเองก็มีคลื่นน้ำโถมขึ้นสูงจนกระเซ็นสาดไปทั่วท้ายเรือ คบไฟของฮารีซันที่ถูกน้ำสาดจนดับส่งเสียงดังพร้อมกับมีควันกรุ่น ในขณะที่คบเพลิงของทราเฮิร์นยังคงติดอยู่แม้จะกระพริบถี่ ๆ เหมือนไฟที่พยายามสู้กับน้ำและลมที่ราดรดตัวมันแต่ก็ยังคงลุกโชติช่วงอยู่ได้ เมื่อทั้งคู่ดูจนแน่ใจแล้วว่าคบไฟยังคงใช้งานอยู่จึงหันหน้ากลับมาที่ท้ายเรืออีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้ทั้งคู่ต้องตกตะลึงจนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นอึดใจใหญ่ ๆ ทีเดียว เพราะเบื้องหน้าคนทั้งคู่มีหญิงสาวสวยผมสีฟ้าเหลือบเขียว นั่งส่งยิ้มหวานมาให้ทั้งคู่อยู่ที่บนขอบรั้วตรงท้ายเรือนั้นเอง หญิงสาวนางนั้นยิ้มพลางยกมือขวาขึ้นกวักเรียกให้คนทั้งสองเข้าไปใกล้ ๆ ทั้งสองเหมือนจะค่อย ๆ หลงลืมตัวเองและความตั้งใจต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นและเริ่มขยับเข้าไปใกล้ แต่เผอิญที่จู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาบนยอดผาที่พวกเขาจอดเรือไว้พอดี จึงทำให้ทั้งสองสะดุ้งและได้สติ ซึ่งคงต้องขอบคุณฟ้าผ่าเมื่อสักครู่จริง ๆ ฮารีซันและทราเฮิร์นพยักหน้าให้สัญญาณกันแล้วรีบก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันทีคว้าแขนทั้งสองกึ่งจูงกึ่งลากมาที่กลางลำเรือ ถ้านางเป็นสาเหตุของอาการประหลาดที่เกิดขึ้นกับลูกเรือทุกคน นางก็คงต้องมีเรื่องคุยกันยาวเชียวล่ะ ทันทีที่ทราเฮิร์นและฮารีซันหันกลับมาสำรวจหญิงสาวให้ถ้วนถี่ก็ต้องตกใจแทบจะพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าท่อนล่างของเธอเป็นหางปลาขนาดใหญ่แทนที่จะเป็นขาสองข้างอย่างมนุษย์ทั่วไป เจ้าเป็นเงือกรึ?! ทราเฮิร์นอุทานด้วยความตกใจเพราะไม่เคยเห็นนางเงือกมาก่อนเลยในชีวิต เงือกสาวสะบัดหางไปมา มองทั้งสองด้วยความหวาดระแวงสายตาเหลือบมองเศษผ้าที่ทั้งสองใช้อุดหู ฮารีซันย่อเข่าลงข้างหนึ่งจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับนาง ก่อนจะค้อมศีรษะกล่าวขอโทษ ขออภัยที่ล่วงเกินท่านเช่นนี้ แต่ข้าขอคุยกับท่านสักหน่อยจะได้ไหม? ฮารีซันถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ เงือกสาวมองฮารีซันเหมือนจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าตกลง ทั้งสองจึงเอาเศษผ้าชุบน้ำออกจากหูของตน ข้าคือ ฮารีซัน บันดารา และนี่สหายของข้าชื่อ ทราเฮิร์น ฮารีซันแนะนำตัว ข้าชื่อ มารีน่า (Marina, The Mermaid) เสียงของนางเงือกใสราวกับหยดน้ำ ท่านเป็นคนทำร้ายลูกเรือของข้าใช่หรือไม่? ฮารีซันถาม มารีน่าเหลือบมองคล้ายจะอ่านความรู้สึกบนใบหน้าของชายหนุ่มก่อนจะตอบ ใช่ข้าทำเช่นนั้น พวกเราไม่ได้มีความแค้นต่อกันไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านต้องทำร้ายพวกเรา? พวกเจ้าล่วงเกินข้าต่างหากข้าถึงต้องทำเช่นนี้ เงือกสาวแจ้ง พวกเราล่วงเกินท่านเมื่อไหร่กันหรือ? ทราเฮิร์น ถามอย่างตกใจหรือจะมีลูกเรือคนใดไปล่วงเกินนางเข้า พวกเจ้าทอดสมอขวางทางเข้าถ้ำของข้า มารีน่าพูดด้วยน้ำเสียงกล่าวหา ใต้เชิงผานี้มีถ้ำของท่านอยู่รึนี่?! ข้าต้องขออภัยท่านจริง ๆ พวกเราหวังเพียงแต่จะหาที่หลบพายุ ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าได้สร้างความเดือดร้อนให้กับท่านเช่นนี้ ท่านจะโกรธก็สมควรแล้ว ขอให้ท่านโปรดอภัยให้พวกเราด้วยเถิด ข้าจะรีบให้คนถอนสมอจากที่ตรงนี้ทันที ฮารีซันกล่าวอย่างร้อนรน ขณะก้มศีรษะขอขมานางเงือกสาว มารีน่ามองจ้องจับสังเกตความรู้สึกบนใบหน้าของฮารีซันตลอดเวลา นางค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาในที่สุด เจ้ารู้สึกเสียใจต่อเรื่องที่ทำลงไปจริง ๆ ข้ารู้สึกได้ เอาเถิดข้ายกโทษให้ ทันทีที่พวกเจ้าถอนสมอเรือข้าจะคลายคำสาปให้บรรดาลูกเรือของเจ้า ข้าขอขอบคุณแทนพวกข้าทุกคนด้วย ฮารีซันกล่าวขอบคุณด้วยเต็มใจ พวกเจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน? มารีน่าอดถามไม่ได้ นางไม่เคยเห็นมนุษย์ที่มีนิสัยเช่นฮารีซันมาก่อน หรือถ้าจะมีก็คงนานมากแล้ว พวกเราเดินทางจากฟีเลเซียและกำลังเดินทางไปแอนดิซอง ทราเฮิร์นเอ่ยตอบ พวกเจ้าไม่ใช่ชาวฟีเลเซีย แม้เรือจะมีสัญลักษณ์ของฟีเลเซียอยู่ แต่พวกเจ้าไม่ใช่ มารีน่าตั้งข้อสังเกต ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นชาวฟูดินัน ฮารีซันตอบ ชาวฟูดินันมาทำอะไรบนเรือของชาวฟีเลเซีย แล้วเจ้าจะไปแอนดิซองทำไม? มารีน่ายิ่งสงสัย เรื่องมันค่อนข้างยาว แต่ข้าจะอธิบายให้ท่านได้เข้าใจ ฮารีซันเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้เงือกสาวฟัง ตั้งแต่ที่เผ่าถูกรุกรานจนมาถึงการเข้าร่วมรบกับฟีเลเซียและความตั้งใจที่จะมาขอความช่วยเหลือจากแอนดิซอง ทันทีที่เงือกมารีน่าได้ฟังเรื่องต่าง ๆ จนจบ ก็อดนิยมชมชอบผู้นำชาวฟูดินันผู้นี้ไม่ได้ ท่านเป็นคนที่ซื่อตรงจริงใจและมีน้ำใจมาก มารีน่ากล่าวชมด้วยจริงใจ ท่านคิดถูกแล้วที่มาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงอลาน่าแห่งแอนดิซอง แม้ในทวีปเลอมูเรียดินแดนแห่งเงือกนี้ ชื่อเสียงของนางก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึง ทั้งฮารีซันและทราเฮิร์นได้ยินดังนั้นก็ยิ่งใจชื้นขึ้น พวกเขาคิดถูกแล้วที่ดั้นด้นเดินทางมาทั้งสองหันมามองและยิ้มให้กัน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างมีความหวัง Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 53 เดินทางสู่แอนดิซอง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 01, 2007, 06:28:12 AM พรุ่งนี้เช้าพายุก็คงอ่อนกำลังจนพวกท่านสามารถออกเดินทางต่อไปได้ มารีน่าเงยหน้าขึ้นสังเกตเมฆและบรรยากาศเบื้องบน ก่อนจะหันหลับมายังชายทั้งสอง เส้นทางที่พวกท่านกำลังจะมุ่งไปเป็นเส้นทางผ่านของเรือผี(Ghost Ship) เรือของเหล่าวิญญาณที่ตายอยู่ในทะเลนี้ มันจะเข้าโจมตีและจมเรือทุกลำที่ผ่านหน้ามันเพื่อหาสมัครผีไปเพิ่มบนเรือของพวกมัน ข้าจะบอกเส้นทางที่ปลอดภัยและนำพวกท่านไปถึงแอนดิซองได้เร็วขึ้นให้
ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความยินดี ขอบคุณ ขอบคุณท่านมาก ขณะที่อองเดรกำลังเตรียมตัวออกตรวจตราความสงบเรียบร้อยในเมืองท่า หรือที่จริงก็คือการลอบสำรวจความเป็นไปของเจ้าหญิงอลาน่าที่ทรงไปขลุกอยู่ในค่ายผู้อพยพทุกวันต่างหาก เพราะทันทีที่ค่ายอพยพถูกสร้างเสร็จเขาก็แทบจะไม่ได้เห็นเจ้าหญิงในวังอีกเลย วันนี้แหละที่เขาจะต้องหาโอกาสพาเจ้าหญิงกลับมาพักผ่อนในวังให้ได้ ทันใดนั้น ทหารยามนายหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาอองเดรอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ทำความเคารพเสร็จนายทหารก็รีบยื่นสารฉบับหนึ่งให้เขา อองเดรจำได้ทันทีว่าเป็นสารจากแม่ทัพเงือกอิริคนั่นเอง ชายหนุ่มรีบเปิดอ่านข้อความที่อยู่ภายในทันที พวกตัวยุ่งยาก... อองเดรกำมือแน่นจนสารยับยู่คามือ เขามองออกไปทางทะเลน้ำแข็งอันหนาวเย็น ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมหมุนตัวเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว วิโอเรียตรวจดูเครื่องประดับและการแต่งกายของตนในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายพลางประพรมน้ำหอมราคาแพงลงบนผิวกายก่อนจะยิ้มให้ตัวเองในกระจก ในที่สุด เจ้าก็ต้องมาหาข้า พูดแล้วก็กลับหลังหันเดินนวยนาดไปที่ประตู วิโอเรียค่อย ๆ เดินลงบันไดอย่างช้า ๆ ด้วยมั่นใจว่าท่วงท่าการเดินของตนนั้นทรงเสน่ห์อย่างที่สุด มีรอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏอยู่บนใบหน้า ในขณะที่มองเห็นบุรุษที่ยืนรอตนอยู่ที่โถงหน้าประตูวังของตน กระแสน้ำพัดพาท่านราชองครักษ์มาเกยฝั่งที่หน้าวังของข้าหรืออย่างไร? วิโอเรียถามพลางหัวเราะร่วน แต่เมื่อเห็นว่าองครักษ์หนุ่มยังคงนิ่งเงียบจึงพยายามต่อ หรือว่าท่านคิดถึงข้าขึ้นมาจึงมาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้ วิโอเรียพูดโดยไม่ทันคิดว่าตนตื่นสายจนเกือบเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ข้ามีงานหนึ่งอยากจะให้ท่านทำ อองเดรตอบเสียงเย็นเยียบไม่สนใจคำพูดใด ๆ ก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายเลย ข้าเป็นหนี้เจ้าเมื่อไหร่ถึงต้องทำตามที่เจ้าสั่ง วิโอเรียเสียงแข็งขึ้นทันที เมื่อถูกอองเดรเพิกเฉย แต่เมื่ออองเดรยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นราวกับไม่สนใจอารมณ์ขึงโกรธของวิโอเรีย หญิงสาวจึงเริ่มพิจารณาชายที่อยู่เบื้องหน้าด้วยดวงตาที่หรี่แคบก่อนจะเหยียดปากอย่างเย้ยหยัน งานที่สำคัญถึงขนาดที่คนอย่างเจ้าอุตส่าห์มาขอให้ข้าทำ คงเป็นงานที่เกี่ยวกับอลาน่าละสิ อองเดรมองวิโอเรียด้วยสายตาเย็นยะเยือก เมื่อหญิงสาวเรียกเจ้าหญิงของเขาเพียงแค่ชื่อเฉย ๆ วิโอเรียกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีการถอยกลับแล้วสำหรับเธอ หญิงสาวจึงเชิดหน้าขึ้นแสร้งทำเป็นตกใจกับสายตาแข็งกร้าวของอองเดรแม้ในใจจะอยากวิ่งหนีไปตั้งหลักให้ไกลกว่านี้อีกสักหน่อย มองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ คิดจะทำร้ายข้าหรือไง? ทำ หรือไม่ทำ? อองเดรถามย้ำโดยไม่สนใจคำพูดวิโอเรียแม้แต่น้อย วิโอเรียกัดฟันแน่น ทำไมนะ หล่อนถึงไม่เคยได้รับความสนใจใด ๆ จากชายคนนี้เลย ไม่ว่าหล่อนจะทำอะไร จะพูดอะไรก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาใด ๆ นอกจากคำพูดที่เย็นชาและท่าทางที่เฉยเมยเสมอ หล่อนต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกร้องความสนใจใด ๆ จากเขาได้ ถอดหน้ากากของท่านออกซิ วิโอเรียทำใจกล้าออกคำสั่ง ความทรงจำเมื่อคราวพบกันครั้งแรกหวนกลับมาอีกครั้ง ครั้งนั้นหล่อนถูกเมินเฉยราวกับเป็นอากาศธาตุ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนก่อนแล้ว ครั้งนี้หล่อนมีข้อต่อรองที่องครักษ์หนุ่มต้องการ วันนี้แหละหล่อนจะต้องเห็นใบหน้าของเขาชัด ๆ ให้ได้ เพราะตั้งแต่เขามาที่นี่หล่อนแทบจะไม่เคยเห็นใบหน้าของเขา อย่าว่าแต่หล่อนเลยแม้แต่คนอื่น ๆ ก็แทบจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าของราชองครักษ์ผู้นี้ อย่างมากก็เห็นไกล ๆ ชั่วแวบเดียวหนึ่งในราชพิธีสำคัญ ๆ ที่จะจัดนาน ๆ ครั้ง ใช่สิคนที่ได้เห็นใบหน้าเขาชัด ๆ ก็คงมีแต่แม่อลาน่ากับบริวารใกล้ชิดอย่างยัยซิสเตอร์โรซาน่านั่น Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 53 เดินทางสู่แอนดิซอง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 01, 2007, 06:29:25 AM ทำไม? ราชองครักษ์ถามเสียงเย็นจนแทบจะหนาวไปถึงกระดูก
เพราะข้าอยากเห็นนะสิ ถ้าท่านเปิดหน้ากากให้ข้าดู ข้าจะช่วยทำงานนั่นให้ก็ได้ วิโอเรียทำใจกล้าพูดออกไป ราชองครักษ์มองวิโอเรียด้วยแววตาที่แทบจะลดอุณหภูมิในห้องจนแตะจุดเยือกแข็ง เขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นานจนวิโอเรียคิดว่าหล่อนอาจโดนฆ่าในอีกวินาทีข้างหน้าก็ได้ แต่แล้วชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นจับที่เกระหน้าและขยับเปิดออก วิโอเรียสูดหายใจเข้าและหยุดค้างอยู่เช่นนั้น ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้น พอใจรึยัง? อองเดรถามด้วยใบหน้าเฉยเมย วิโอเรียได้สติจึงผ่อนหายใจอย่างแรงแล้วรีบพยักหน้าเร็ว ๆ เป็นคำตอบแทน อองเดรจึงปิดหน้ากากกลับไปเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะกล่าวต่อ อย่าลืมสัญญาของท่าน แล้วข้าจะส่งข่าวมาอีกครั้ง กล่าวจบอองเดรก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองวิโอเรียอีกเลย ทันทีที่อองเดรเดินหายลับไปแล้ว วิโอเรียก็เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น แข้งขาอ่อนพับจนเหมือนจะหมดแรงหญิงสาวพยายามสำรวจความรู้สึกของตัวเองเป็นการใหญ่ หล่อนกลัวรึ? แน่ล่ะ! ก็ใครบ้างที่ถูกจ้องด้วยสายตาเช่นนั้นจะไม่รู้สึกกลัว แต่ไม่ใช่เท่านั้นมันมีความรู้สึกอื่นอีก...ร้อนรุ่มหรือ? ความอยากหรือ? ใช่...หล่อนอยากจะให้ใบหน้านี้มองหล่อนด้วยความเทิดทูนและจงรักษ์ภักดีเหมือนที่มองอลาน่า จิตใจของหล่อนร้อนรุ่มราวกับเพลิงสุมอก ไม่สิ...มันต้องมากกว่าอลาน่า ต้องมากกว่านั้น คอยดูเถอะ ผ่านมาสามวันแล้วนับจากวันที่พวกฮารีซันแยกจากเงือกสาวมารีน่า ลูกเรือทุกคนที่ตกอยู่ใต้คำสาปของมารีน่าหายเป็นปรกติทันทีที่ถอนสมอเรือขึ้นตามคำที่มารีน่าสัญญาไว้ ยังความโล่งใจและยินดีมาให้แก่คณะชาวป่าเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นการออกเดินทางตามเส้นทางที่นางเงือกมารีน่าบอกไว้ซึ่งก็ราบรื่นจนอดที่จะรู้สึกขอบคุณเธอในใจไม่ได้ ทั้งกระแสน้ำและคลื่นลมล้วนช่วยส่งเรือให้เข้าใกล้เมืองท่าแอนดิซองได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในท้องทะเลเริ่มมองเห็นแมวน้ำสองหาง (Two Tail Seal) และ สิงโตทะเลขนฟ้า (Blue Fur Sea Lion) ที่ออกมาหากินนอกชายฝั่ง อันมีความหมายว่าแผ่นดินคงอยู่อีกไม่ไกล แต่แล้วจู่ ๆ เมฆลมก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณใด ๆ มาก่อน เรือรบเริ่มโคลงเคลงและท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มจนดูเหมือนเป็นเวลาใกล้ค่ำ คลื่นในทะเลเริ่มก่อตัวสูงขึ้น และสาดเข้าใส่กราบเรือทั้งซ้ายและขวา ทุกคนบนเรือถูกเหวี่ยงไปมาจนยืนแทบไม่อยู่ เสียงตะโกนโหวกเหวกสั่งการให้เก็บใบเรือดังลั่นแข่งกับเสียงคลื่น นี่มันอะไรกันนี่? ทราเฮิร์นเสียหลักเซถลาไปกระแทกกับกราบเรือด้านซ้ายเพราะความที่เซนทอร์มีเท้าเป็นกีบเหมือนม้า จึงไม่มีอุ้งเท้าไว้ยึดเกาะพื้นผิวได้ดีเท่ามนุษย์ เขาจึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น ๆ ในการที่จะทรงตัวให้อยู่บนพื้นเรือที่เปียกโชกและโคลงเคลงเช่นนี้ ทราเฮิร์นกระชากตัวเองขึ้นแล้วใช้แขนเหนี่ยวราวโลหะที่ติดไว้ตามแนวรอบนอกห้องเครื่อง พูดเสียงลอดไรฟันแต่แววตาแฝงแววหยอกล้อไว้ เตือนข้าด้วยนะว่า ต่อไปจะไม่ลงเรือล่องทะเลอีก จู่ ๆ ทะเลก็คลั่งคลื่นลมแปรปรวนไปหมด เหมือนมีใครมากวนน้ำเล่นยังงั้นแหละ ฮารีซันพยายามปิดหน้าต่างและช่องระบายอากาศรอบเรือเพื่อไม่ให้น้ำทะเลเข้าไปในตัวเรือได้ ท่านฮารีซัน! ท่านฮารีซัน! เสียงลูกเรือชาวป่าตะโกนด้วยความหวาดกลัวจนสุดเสียงดังมาจากทางหัวเรือ ทำให้ฮารีซันและทราเฮิร์นรีบมุ่งไปทางหัวเรือทันที ณ ที่นั้นทุกคนต่างต้องตกตะลึงจนสุดขีด เมื่อเห็นมังกรน้ำสีน้ำเงินขนาดใหญ่ ลำตัวยาวกว่าเรือรบสิบลำเรียงต่อกัน เสียงแผดร้องของมันทำให้ทุกคนบนเรือต้องรีบเอามันปิดหู มันว่ายตรงรี่เข้ามาหาอย่างมาดร้ายและรวดเร็วจนน้ำทะเลเต้นเร่าแตกฟองราวน้ำมันเดือด ทันทีที่หางของมันส่ายสะบัดน้ำทะเลก็เกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่หมุนวนไปรอบ ๆ ตัวของมัน แม้จะยังอยู่ห่างในระยะไกล แต่เรือทั้งลำก็โคลงเคลงจนน่ากลัวเหมือนกับว่ามันจวนจะแตกออกจากกันในเวลาอันใกล้ เหล่าชาวป่าทั้งลำเรือจากพยายามทรงตัวต้านแรงคลื่นอย่างสับสนอลหม่านพร้อม ๆ กับเสียงตะโกนเปลี่ยนทิศทางเรือดังไปทั่วเรือรบ เวลานั้นเจ้าหญิงอลาน่ากำลังทรงแจกจ่ายอาหารให้แก่บรรดาผู้อพยพในค่ายที่เพิ่งสร้างเสร็จ ค่ายแห่งนี้นับเป็นความสำเร็จและเป็นย่างก้าวที่สำคัญสำหรับจุดหมายของพระองค์ มันช่วยให้พระองค์เข้าใกล้ความฝันมากขึ้นหว่าครั้งไหนๆ ผู้อพยพทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มและมีความสุข หลายคนเริ่มหางานประจำในเมืองท่าได้แล้ว เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือและ อีกหลาย ๆ คนได้ฝึกอาชีพ อีกทั้งบรรดาคนเจ็บป่วยก็ได้รับการรักษาจนเกือบจะหายดีและสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้ว ผลจากความพยายามอย่างสุดกำลังของพระองค์และซิสเตอร์กำลังออกดอกออกผล ทันใดนั้นจู่ ๆ ก็เกิดลมหนาวกรรโชกแรงจนทุกคนสั่นสะท้าน เมฆบนท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เสียงคลื่นสาดกระทบฝั่งดังจนได้ยินมาถึงค่ายผู้อพยพ มีกะลาสีเรือหลายคนวิ่งมาจากทางท่าเรือ ร้องตะโกนโหวกเหวกเตือนว่าพายุหลงฤดูกำลังเข้ามา ทำให้ทุกคนแตกตื่นรีบวิ่งกลับเข้าที่พักบ้างก็หาที่หลบพายุกันเป็นการใหญ่ แปลกจริง ฤดูนี้ไม่น่ามีพายุนี่นา เจ้าหญิงอลาน่าทรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและหวั่นวิตก อย่างไรก็หาที่หลบพายุก่อนเถอะเพคะ ซิสเตอร์โรซาน่าทูล มันออกจะผิดธรรมดาอยู่นะคะ ซิสเตอร์ เจ้าหญิงยังคงสงสัย เพคะ แต่เราต้องรีบกลับก่อนที่พายุจะเข้านะเพคะ เดี๋ยวพระองค์จะล้มป่วยเอาได้ เจ้าหญิงอลาน่าลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินทางกลับแต่โดยดี ทันทีที่เสด็จถึงวังเจ้าหญิงอลาน่าก็ทรงขึ้นไปยังห้องทรงงานของพระองค์ที่หันหน้าเข้าทะเลและสามารถมองเห็นท่าเรือได้อย่างชัดเจน ทะเลและท้องฟ้าดูผิดปรกติมากนะคะ ซิสเตอร์ มันดูเหมือนช่วงเดือนที่เรากักมังกรจอร์มันกาน์ดให้ว่ายวนอยู่หน้าอ่าวของเมืองท่าเลย เจ้าหญิงตรัสด้วยความกังวล จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ นี่ไม่ใช่ช่วงเดือนที่เราร่ายมนต์สะกดมังกรจอร์มันกาน์ดให้ว่ายวนในข่ายเวทย์ที่เราวางไว้นิเพคะ ซิสเตอร์สูงวัยแย้ง ใช่ ฉันถึงบอกว่ามันผิดปรกติมากเกินไปอย่างไรเล่าคะ ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรไม่รู้ค่ะ ซิสเตอร์ เจ้าหญิงอลาน่ามีสีหน้ากังวลมากยิ่งขึ้น ทรงเริ่มเดินกลับไปกลับมาอย่างคนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่สุดพระองค์ก็หยุดคล้ายจะตัดสินใจบางอย่างได้ในที่สุด Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 53 เดินทางสู่แอนดิซอง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 01, 2007, 06:30:42 AM ซิสเตอร์รออยู่ที่นี่ก่อนนะคะ ฉันจะไปที่สระหลวงในโบสถ์ประจำตำหนักชั้นใน เจ้าหญิงตรัส
พระองค์จะทำอะไรรึเพคะ? ซิสเตอร์โรซาน่าทูลถาม ฉันจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกค่ะ แล้วฉันจะรีบกลับมา เจ้าหญิงตรัสจบก็เสด็จออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ที่โบสถ์ประจำตำหนักชั้นในนั้น เป็นโบสถ์เล็ก ๆ ที่มี่ไว้สำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเข้ามาสวดมนต์ภาวนาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ภายในโบสถ์นั้นถูกตกแต่งด้วยสีขาว เงิน และทองโดยเสริมความหรูหรางดงามด้วยเพชรหลากสี ขนาดใหญ่ ทางปีกขวาของตัวโบสถ์นั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่จนเกือบจะเท่ากับความกว้างของโบสถ์ ซึ่งมีไว้สำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ ทางศาสนา เจ้าหญิงอลาน่าทรงเดินตรงไปยังสระน้ำหลวงอย่างสำรวม ในมือของพระองค์ถือถ้วยทองอันงดงามที่ถูกตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่า ถ้วยนี้เป็นถ้วยที่พระองค์ได้รับเมื่อคราวรับตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการด้วยวัยสิบสี่ชันษานั่นเอง เจ้าหญิงตรงย่อตัวลงนั่งที่ขอบสระพลางใช้ถ้วยทองนั้นตักน้ำที่ใสไม่ต่างกับคริสตัลของสระหลวงขึ้นมา เจ้าหญิงทรงยกถ้วยชูขึ้นต่อสัญญาณแห่งแสงและทรงอธิษฐาน พระเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดทำให้น้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยพระอานุภาพของพระองค์ ให้น้ำนี้เป็นดังดวงตาของพระองค์ที่จะทำให้ลูกได้เห็นความจริง ตรัสเช่นนั้นแล้วเจ้าหญิงก็ทรงค่อย ๆ เทน้ำออกจากถ้วยทองคำ น้ำที่ไหลออกมาเป็นสายกลับหยุดอยู่กลางอากาศและค่อย ๆ แผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง ก่อนจะแผ่ออกเป็นแผ่นกลมขนาดใหญ่อยู่กลางอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่ามีกระจกที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ จงเผยให้ฉันเห็นสาเหตุแห่งความแปรปรวนของคลื่นลมที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นแผ่นน้ำก็สว่างเรืองรองเป็นประกายระยิบระยับก่อนจะแหวกเป็นวงที่ใจกลางจากจุดเล็ก ๆ และขยายใหญ่จนเต็มแผ่นน้ำ เหลือเพียงขอบเรืองรองที่กลายเป็นขอบวงแหวนรอบแผ่นน้ำ ณ วงกลมที่เพิ่งปรากฏใหม่นี้เองก็เผยให้เห็นภาพที่เจ้าหญิงต้องอุทานด้วยความตกใจจนถ้วยทองคำเกือบหลุดจากมือ ภาพที่ปรากฏนั้นคือ เรือรบของฟีเลเซียลำหนึ่งกำลังแล่นฝ่าคลื่นอันบ้าคลั่งโดยมีมังกรน้ำจอร์มันกาน์ดที่ว่ายหมุนวนจนทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในทะเลเป็นการใหญ่ เรือของฟีเลเซียถูกพัดออกห่างจากท่าเรือไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าเรือจะพยายามมุ่งหน้าเข้าท่าเรือเก่าที่อยู่ห่างจากท่าเรือปัจจุบันพอสมควร ซึ่งท่าเรือนั้นแทบจะไม่ได้ใช้แล้วเว้นแต่เรือประมงและเรือโดยสารเท่านั้นที่ยังใช้ท่าเรือนั้นอยู่ เรือฟีเลเซียพยายามแล่นหนีมังกรน้ำและคลื่นยักษ์สุดกำลังแต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะคลื่นลมดูแปรปรวนไปหมด เรืออยู่ใกล้ท่าเรือแล้วเจ้ามังกรน้ำก็เช่นกัน เจ้าหญิงทรงวิตกกังวลมากขึ้น เมื่อเห็นมังกรจอร์มันกาน์ดเข้าใกล้ท่าเรือมากเกินไปจนอาจเป็นอันตรายต่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบท่าเรือได้ ภาพในวงกลมนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางไปยังยอดผาน้ำแข็งที่ขั้นกลางระหว่างท่าเรือเก่าและใหม่ ที่ยอดผานั้นปรากฏร่างของวิโอเรียพร้อมคทาน้ำแข็งที่กำลังโบกสะบัดร่ายเวทย์แห่งแม่มดน้ำแข็งบังคับมังกรจอร์มันกาน์ดและคลื่นลมในทะเลอย่างสุดกำลัง เมื่อภาพกลับมายังเรือฟีเลเซียอีกครั้ง เรือเข้าใกล้ท่ามากแล้ว แต่แล้วที่บนท่าเรือนั้น เจ้าหญิงอลาน่าก็ทรงเห็นร่างของชายที่จะยิ่งสร้างความวิตกให้พระองค์เป็นทวีคูณ ราชองครักษ์อองเดรยืนกระชับดาบในมือมั่น สายตาจับจ้องเรือรบฟีเลเซียที่กำลังเข้าใกล้ท่ามากขึ้นทุกที โดยที่ไม่สนใจน้ำทะเลอันหนาวเหน็บและลมกรรโชกเย็นยะเยือกที่พัดสาดอยู่รอบ ๆ ตัว ดูเหมือนว่าน้ำและอากาศที่เย็นจัดยังไม่สามารถเอาชนะความมุ่งมั่นของเขาได้ อองเดรตวัด ดาบคริสเตลาร์เม (Cristalarme, the Sword of Andre) ในมือขึ้น ใช้สองมือยกดาบน้ำแข็งชูขึ้นเหนือศีรษะท่ามกลางสภาพอากาศอันเย็นยะเยือก น้ำฝนและน้ำทะเลที่สาดซัดเข้ามาถูกดาบคริสตัลที่เย็นจัดเปลี่ยนให้เป็นน้ำแข็งเกาะอยู่บนแผ่นดาบจนมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่เรือแล่นมาอยู่ในระยะใกล้พอ อองเดรก็ฟาดดาบใส่พื้นน้ำที่เชี่ยวกราดจนสุดแรง น้ำทะเลกระจายตัวออกและกลายเป็นเหมือนดาบน้ำแข็งพุ่งเป็นทางตรงไปยังเรือรบฟีเลเซียในพริบตา น้ำแข็งจับน้ำรอบลำเรือและบริเวณโดยรอบจนกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด เรือรบฟีเลเซียบัดนี้เหมือนติดอยู่ในกับดักของแมงมุมร้ายจนไม่สามารถแล่นไปทางไหนได้ และแล้วโดยที่ไม่มีใครทันคาดคิด มังกรน้ำจอร์มันกาน์ดก็พุ่งเข้าโจมตีเรืออย่างแรงจนเรือรบแตกเป็นเสี่ยง ๆ บรรดาลูกเรือต่างว่ายน้ำขึ้นฝั่งหนีตายกันจ้าละหวั่น นอกจากจะต้องว่ายหนีมังกรน้ำแล้ว น้ำทะเลที่เย็นจัดยังทำให้การเคลื่อนไหวในน้ำยิ่งยากลำบากเป็นทวีคูณ ซ้ำยังต้องว่ายหลบดาบน้ำแข็งที่พุ่งมาจากท่าเรือที่คอยสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นฝั่งได้อีก เวลานี้ฮารีซันและบรรดาลูกเรือเหมือนเหยื่อที่จนตรอก ทุกคนต่างพยายามอย่างสุดกำลังที่จะว่ายไปให้ถึงฝั่ง เสียงร้องของบรรดาลูกเรือชาวป่าดังโหวกเหวกแข่งกับเสียงคลื่นและพายุจนสับสนอลหม่าน ฮารีซันที่เปียกโชกและหนาวสั่นพยายามมองหานายทัพเซนทอร์เป็นการใหญ่เพราะรู้ดีว่าเขาเสียเปรียบกว่าคนอื่นหากต้องว่ายอยู่ในน้ำเช่นนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นานฮารีซันจึงเห็นว่าทราเฮิร์นกำลังว่ายตรงเข้าหาฝั่งโดยแขนข้างหนึ่งเกาะถังไม้ไว้ ส่วนอีกข้างพยายามว่ายพาตัวเองขึ้นฝั่ง ฮารีซันว่ายตรงเข้าไปหาทันที เสียงร้องของมังกรจอร์มันกาน์ดที่ดูเหมือนจะเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำลายเรือรบให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่วอ่าวที่ยังไม่หายคลั่ง และกำลังมุ่งเป้ามายังพวกตนแทน ทุกคนต่างรีบว่ายเอาชีวิตรอด แต่ก็มีหลายคนที่ถูกดาบน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่จนจมหายไปต่อหน้าต่อตา ทันทีที่ฮารีซันว่ายไปถึงทราเฮิร์นเขาก็รีบคว้าแขนนายทัพเซนทอร์และออกว่ายตีขาอย่างแรง เพื่อหนีมังกรน้ำที่ว่ายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่แล้วพลันสายตาทั้งคู่ก็เห็นน้ำทะเลแหวกกระจายขึ้น สายน้ำพุ่งเป็นทางยาวและกลายเป็นน้ำแข็งในบัดดลและกำลังพุ่งตรงมาหาพวกตน ฮารีซันรีบยกโล่ขึ้นป้องกันทันที ดาบคลื่นน้ำแข็งกระแทกถูกโล่เต็มแรงก่อนจะแตกกระจายกลายเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อยไปทั่วบริเวณ Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 53 เดินทางสู่แอนดิซอง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 01, 2007, 06:32:10 AM รู้สึกว่าเราจะไม่เป็นที่ต้อนรับอย่างยิ่งเลย ถึงได้รับการต้อนรับสุดโหดขนาดนี้ ทราเฮิร์นกัดฟันออกแรงว่ายน้ำหนักขึ้นด้วยความหนาว
อดทนอีกนิด ใกล้จะถึงแล้ว ฮารีซันมองตรงไปข้างหน้าเห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีน้ำเงินวาวมองตรงมายังพวกตนด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกในมือของเขาตวัดดาบขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนแท่งผลึก ถ้าเจ้าพวกดื้อด้านนี่อยากจะขึ้นฝั่งมากันให้ได้ ก็จงขึ้นมาอย่างร่างไร้วิญญาณเสียเถิด ราชองครักษ์หรี่ตาแคบมองความสับสนอลหม่านกลางท้องน้ำ เขาจะไม่ยอมให้ใครหรือสิ่งใดก็ตามมาเพิ่มภาระให้เจ้าหญิงต้องแบกรับอีก อองเดรตวัดดาบฟาดขนานไปกับพื้นน้ำเป็นแนวขวางเต็มแรงทำให้น้ำทะเลระเบิดขึ้นก่อให้เกิดน้ำแข็งพุ่งขึ้นจับเป็นกำแพงขวางระหว่างท่าเรือและบรรดาพวกชาวป่าไว้ทันที บรรดาชาวป่าที่กระเสือกกระสนหนีตายว่ายเข้ามาใกล้ฝั่งพอเห็นกำแพงน้ำแข็งเบื้องหน้าก็แทบจะถอดใจ มังกรน้ำก็อยู่ใกล้เข้ามาทุกที ท่านพาเรามาตายหรือ? พวกเรากำลังจะตาย ชาวป่าบางคนร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง บางคนก็พยายามใช้เศษซากเรือที่ตนอาศัยเกาะว่ายเข้าฝั่งทุบน้ำแข็งอย่างจนตรอก ไม่! พวกเราต้องไม่ตาย ฮารีซันสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนง้างกำปั้นควงหมัดกระแทกใส่น้ำแข็งสุดแรงเกิด ทันใดนั้นเสียงปริร้าวก็ดังกระจายไปทั่ว รอยร้าวเริ่มจากจุดที่ฮารีซันกระแทกหมัดใส่และแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ย๊าาาา...! ฮารีซันร้องเสียงลั่นก่อนจะกระแทกหมัดใส่กำแพงน้ำแข็งอีกครั้ง กำแพงน้ำแข็งก็ระเบิดกระจายกลายเป็นน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อยลอยเกลื่อนทะเล ทุกคนจึงรีบต่างรีบจ้วงแขนว่ายเข้าฝั่งด้วยความยินดีและโล่งใจ ทว่าบนฝั่งยังมีเรื่องให้หนักใจไม่แพ้กัน ทันทีที่บรรดาชาวป่าที่สามารถรอดพ้นจากการโจมตีของจอร์มันกาน์ดตะเกียดตะกายขึ้นฝั่งมาได้ ราชองครักษ์อองเดรก็พุ่งเข้าโจมตีทันที ราชองครักษ์อองเดรก็ตวัดดาบพุ่งเข้าจู่โจมในทันใด ชาวป่าเคราะห์ร้ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดแต่แล้วปากก็เริ่มสั่นเหมือนคนหนาวจนจับขั้วหัวใจ ใบหน้าเริ่มซีดขาวละริมฝีปากเขียวคล้ำเพราะความหนาวยิ่งเข้มขึ้นจนกลายเป็นม่วงคล้ำ ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดลงไปกองกับพื้นและตัวแข็งราวกับถูกแช่เย็นไปในทันที ฮารีซันไม่รอให้ใครต้องสังเวยดาบน้ำแข็งอีกจึงรีบพุ่งตัวยกโล่ขึ้นรับดาบผลึกน้ำแข็งอย่างแรงจนเสียงดังสะท้อนไปไกลกระทั่งทุกคนในบริเวณนั้นได้ยินกันทั่ว ท่านนายทหาร ได้โปรดฟังพวกเราก่อน พวกเราไม่ใช่ศัตรูของอาณาจักรนี้ ได้โปรดเก็บดาบของท่านก่อนเถิด ฮารีซันรีบกล่าวอย่างร้อนรน กลับไป หรือจะตายอยู่ที่นี่ จงเลือกซะ! อองเดรตวัดดาบพร้อมอีกครั้ง ท่านนายทหาร เราเพียงแค่มาขอความช่วยเหลือ... อองเดรตวัดดาบผลึกหมายจะให้เจาะเข้าที่หัวใจของฮารีซันทันทีโดยไม่ฟังเสียง ฮารีซันจึงรีบยกโล่ขึ้นปัดป้องทันทีเช่นกัน พวกเราไม่มีเจตนาร้าย พวกเราเพียงแค่อยากมาพบเจ้าหญิงอลาน่า ฮารีซันพยายามอีกแต่ยิ่งพูดชื่อเจ้าหญิง ก็ยิ่งเหมือนพายุโถมใส่ทะเลคลั่ง อองเดรยิ่งจู่โจมใส่ฮารีซันหนักหน่วงขึ้นจนดาบผลึกเกิดประกายไฟทุกครั้งที่กระทบกับโล่ของฮารีซัน ซึ่งหัวหน้าชาวป่าก็พยายามปกป้องสุดกำลัง ผ้าคลุมสีขาวของอองเดรพริ้วสะบัดตามจังหวะการลุกไล่ของเขาจนมันโบกสะบัดราวกับมีชีวิต ทุกครั้งที่กวัดแกว่งดาบ ไอเย็นจัดจะแผ่ซ่านออกมาจากดาบคริสเตลาเมจนทุกคนรู้สึกได้ ดาบผลึกกระทบถูกแสงทุกครั้งที่ตวัดดาบจนเกิดประกายสะท้อนแวบวับอยู่ตลอดเวลา เสียงแหวกอากาศของดาบผลึกก่อนกระแทกใส่โล่ที่ยกขึ้นป้องกันชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านต่างกับเสียงพายุหิมะ ฮารีวันรู้ตัวดีว่าดาบในมือของนายทหารชาวแอนดิซองนั้นมีอานุภาพร้ายกาจเพียงใด จึงพยายามยกโล่ปัดป้องอย่างเต็มที่ ความพยายามที่จะพูดให้นายทหารผู้นี้เข้าใจดูจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย ในเมื่อไม่ยอมรับฟังกัน การต่อสู้ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว อองเดรพยายามเล็งดาบไปที่อกซ้ายของฮารีซันอีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบได้ อองเดรก็พลิกข้อมือตวัดกลับโดยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ลำคอแทน ฮารีซันยกหมัดขึ้นขวางพลางตวัดขาเตะใส่สีข้างของอองเดรเต็มแรง แต่อองเดรเอี้ยวตัวหลบก่อนจะตวัดดาบใส่ท่อนขาของฮารีซันแทน ฮารีซันกระโดดหมุนตัวหลบก่อนจะเตะขาอีกข้างขึ้นสวน อองเดรยกดาบขึ้นรับทำให้ดาบพลาดเป้าฟาดลงกระแทกพื้น พื้นบริเวณท่าเรือก็ทะลุเป็นรูกว้างจนน้ำทะเลพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าราวกับน้ำพุที่มีแรงขับเคลื่นมหาศาล และทันใดนั้นน้ำทะเลที่พุ่งขึ้นก็แปรสภาพกลายเป็นน้ำแข็งทันที ฮารีซันหมุนตัวกลับมายืนเหนือนายทหารก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดคล้ายรวมพลังทั้งหมดก่อนจะกระแทกเข้าใส่อองเดร ทว่าอองเดรเอี้ยวตัวหลบในชั่วเสี้ยววินาที ทำให้หมัดของฮารีซันพลาดเป้าไปถูกพื้นท่าเรือ ทันใดนั้นทั่วทั้งท่าเรือก็สั่นสะเทือน สะพานเรือแตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยจมลงไปในท้องทะเลอันเชี่ยวกราด บรรดาชาวป่าต่างก็รีบวิ่งหาพื้นที่ที่มั่นคงพอจะทนต่อแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น แรงสั่นสะเทือนแผ่ขยายวงกว้างจนไปถึงพื้นทะเล เกิดคลื่นปั่นป่วนไปทั่วผิวน้ำ เกลียวน้ำม้วนตัวสูงกระแทกออกไปทุกทิศทุกทาง แรงสั่นสะเทือนนั้นมีมากถึงขนาดทำให้มังกรจอร์มันกาน์ดตกใจว่ายหนีไป บรรดาชาวป่าต่างมองดูการต่อสู้ของคนทั้งสองอย่างด้วยใจระทึก เรือรบฟีเลเซียก็แตกและอับปางไปแล้ว มังกรน้ำก็คงยังคลุ้มคลั่งอยู่ที่ไหนสักแห่งกลางทะเล ที่พึ่งสุดท้ายก็คืออาณาจักรแอนดิซอง ทว่าพวกเขากลับต้องเผชิญกับการขับไล่ไสส่งอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกมืดแปดด้านและสับสนด้วยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อองเดรยังคงโจมตีใส่ฮารีซันอย่างดุเดือดและไม่ลดละ ข้างฮารีซันก็ได้แต่ยกโล่ขึ้นปัดป้องไม่สามารถจู่โจมกลับได้แต่อย่างใด ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ กับฝ่ายตรงข้ามได้ จนที่สุดเมื่ออองเดรฟาดดาบเหมือนจะวัดพลังของอีกฝ่ายว่ายังเหลือแรงอีกสักแค่ไหน ต่างฝ่ายต่างก็ยันกันด้วยแรด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฮารีซันรู้สึกได้ถึงไอเย็นจัดที่แผ่ซ่านมาจากดาบผลึกผ่านโล่มาสู่แขนของเขา ความเย็นที่แทรกผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เขารู้สึกว่าแขนของเขาเริ่มเย็นจัด หากอยู่นานกว่านี้อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าความเย็นคงเข้าไปแทรกถึงในกระดูก และแขนของเขาคงจะต้องเริ่มชาและหมดความรู้สึกแน่ ฮารีซันสังเกตเห็นว่าโล่ของเขาเริ่มมีละอองคล้ายเกร็ดน้ำแข็งเกาะตามความโค้งของผิวโล่ทั้งด้านในและด้านนอก หยุดนะ อองเดร! เสียงหญิงสาวดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงในทันที และทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหญิงสาวผู้งดงาม ใบหน้าหมดจดและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี ทว่าแววตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อมองมายังสภาพท่าเรือที่ถูกทำลายจนแทบพินาศย่อยยับเพราะชายทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้า ฮารีซันเหลือบมองสตรีผู้มาใหม่แวบหนึ่ง ก่อนจะมองกลับมาที่นายทหารตรงหน้าอีกครั้ง แววตาของนายทหารมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป ทันทีที่สตรีผู้มาใหม่เรียกชื่อเขา นายทหารจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยแววตาแข็งกระด้างเย็นชาแต่เหมือนมีความลังเลอยู่ในใจ ก่อนจะตวัดดาบเก็บเพื่อยุติการต่อสู้แทบจะทันที สตรีผู้นี้คือใครกันหนอ? เพียงแค่คำพูดคำเดียวก็สามารถยุติการต่อสู้นี้ได้ Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 53 เดินทางสู่แอนดิซอง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 01, 2007, 06:32:37 AM เม้าส์แตกที่นี่จ๊ะ
http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=27952.0 |