Summoner Master Forum

Summoner Master => Summoner Novel => Topic started by: Little Lamb, the Little Angel on September 14, 2006, 07:49:08 PM



Title: @@ นิยายSMN Chapter48 หมัดทะลายภูผา @@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on September 14, 2006, 07:49:08 PM
Chapter 48  หมัดทะลายภูผา


                        เมืองอาวีเลีย เมืองสุดท้ายที่ซาโลมยังคงครอบครองอยู่กำลังวุ่นวายและสับสนอลหม่านอย่างที่สุด   เมื่อจู่ ๆ กองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินันก็บุกโจมตีประตูเมืองด้านทิศใต้และทิศตะวันตกอย่างหนักพร้อมกันจนประตูและกำแพงเมืองใกล้จะพังแล้ว   ซ้ำร้ายจุดสำคัญต่าง ๆ ในเมืองยังถูกลอบวางเพลิงพร้อม ๆ กันจากกองกำลังลึกลับ   เสียงระเบิดภายในเมืองดังขึ้นสลับกับเสียงระเบิดนอกกำแพงเมืองไม่หยุด   เพราะหลังจากที่กองทัพร่วมสามารถพิชิตเมืองโครีธาคืนได้เพียงวันเดียว   กองทัพก็ออกเดินทางเพื่อตีเมืองอาวีเลียคืนต่อทันที   ในขณะที่เหล่านักฆ่าแห่งฟีเลเซียที่ทราบข่าวการบุกนี้ก็ฉวยโอกาสลอบเข้าโจมตีเมืองอาวีเลียในเวลาเดียวกัน   การถูกโจมตีพร้อมกันเช่นนี้ทำให้เหล่าแม่ทัพซาโลมตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะจัดการเรื่องใดก่อนดี   ทหารทั้งกองทัพที่ควรจะอยู่สู้รบป้องกันเมืองจากกองทัพร่วมก็กลับต้องถูกแบ่งออกมาช่วยกันดับไฟในเมืองและอยู่อารักขาโรงเก็บเสบียงอาหารที่ปล้นมาได้จากเมื่อคราวบุกฟูดินัน   
                        ฝ่ายซาโลมนั้นแทบไม่ทันได้ตั้งตัว   แม้จะได้ทราบข่าวการบุกโจมตีจากบลาส เซจแล้ว   แต่ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วันทำให้การเตรียมการป้องกันยังไม่แน่นหนาพอ   อีกทั้งการบุกโจมตีของกองทัพร่วมก็ยากแก่การคาดเดาและยังถูกปั่นป่วนจากกองทัพลึกลับ   เมืองอาวีเลียตอนนี้จึงตกอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างที่สุด   บลาส เซจและแบล็ค ไวเซอร์นั้นถูกกำหนดให้อยู่ควบคุมการเร่งสร้างกองทัพผีที่นอกกำแพงเมืองอาวีเลีย   ในขณะที่จอมทัพราโชยูถูกตามตัวเข้าเมืองเพื่อให้เข้านำทัพของซาโลมทันที   ข้างฝ่ายกษัตริย์ซาดินนั้นด้วยความเป็นห่วงในทรัพย์สมบัติและเสบียงที่ปล้นมาได้มากกว่า   เนื่องจากที่เก็บเสบียงอาหารอยู่ใกล้กับจุดที่ถูกวางเพลิงและกำแพงเมืองฝั่งทิศตะวันตกมาก   อย่างน้อยเสบียงอาหารที่จะใช้หล่อเลี้ยงทั้งกองทัพจะต้องปลอดภัย   ดีกว่าสูญเสียเสบียงไปโดยยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาเมืองไว้ได้หรือไม่?   แม้จะโปรดการสู้รบและการสงครามแค่ไหน   แต่เพราะความเป็นชาวทะเลทรายที่อดยากและลำบากมาชั่วชีวิต   พระองค์จึงเห็นความสำคัญของปากท้องและความอยู่รอดมาก่อนความสนุกในการเข่นฆ่าศัตรู   กษัตริย์เพลิงจึงมัวแต่สาระวนอยู่กับการควบคุมการลำเลียงเสบียงและทรัพย์สมบัติออกจากเมืองอาวีเลีย   

                        จอมทัพทมิฬราโชยูไม่ชอบใจในภาพที่เห็นยิ่งนัก   กองทัพฟีเลเซียที่โหมบุกจากทุกทิศทุกทางนั้นช่างอ่านเกมการรบได้ยากเหลือเกิน   หนำซ้ำยังมีกองทหารประหลาดที่มีรูปแบบการรบแปลก ๆ ยากแก่การคาดเดา   สู้ ๆ อยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็หายไป   แต่เพียงพริบตาเดียวก็โผล่ออกจากอีกทาง   เสียงเป่าใบไม้ แตรเขาสัตว์ กรับไม้ และ กลองหนัง ก็ดังเป็นสัญญาณดังรับส่งกันไปมาตลอดเวลา   ฝ่ายทหารผีก็เสียเปรียบอย่างหนักเพราะธนูแบบใหม่ของทหารฟีเลเซียที่เปลี่ยนหัวธนูให้กลายเป็นกระเปาะกลมซึ่งบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้ภายใน   ทันทีที่ธนูถูกยิงใส่ทหารผีกระเปาะกลมนั้นก็จะแตกออกและน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในก็กระจายออกกัดกร่อนหลอมละลายทหารผีจนสลายกลายเป็นควันเดือด   ทั้งบนท้องฟ้าก็ถูกทั้งทัพนก ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัสบุกอย่างหนัก   ในขณะที่อีกฟากของเมืองก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง   รองแม่ทัพให้คนมาแจ้งข่าวว่าทหารฝ่ายตรงข้ามซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นคนหรือสัตว์วิ่งไต่กำแพงขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้เชือกหรือบันไดราวกับเป็นผู้วิเศษ   จอมทัพทมิฬต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากองทัพฟีเลเซียกองทัพนี้รับมือยากเหลือเกิน
                        ราโชยูมองประตูเมืองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและเหงื่อโทรมกาย   ประตูเมืองทิศใต้ใกล้จะพังแล้ว   สิ่งที่ทำได้คือใช้สิ่งกีดขวางต่าง ๆ มาสร้างความแน่นหนาให้ประตูเมือง   ทว่าแม้ประตูยังไม่ถูกทำลายแต่ก็เหมือนเมืองแตกแล้วไม่มีผิด   เพราะภายในเมืองก็ยังถูกลอบวางเพลิงและเสียงระเบิดก็ยังมีให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ๆ   ต่อให้เขาเก่งกาจสักแค่ไหน   แต่เขาก็ไม่สามารถแยกร่างออกไปจัดการปัญหาต่าง ๆ พร้อมกันได้   คงทำได้อย่างเดียวคือถ่วงเวลาให้นานที่สุด   เพื่อให้กษัตริย์ซาดินลำเลียงสมบัติและเสบียงอาหารออกนอกกำแพงเมืองให้ทันก่อนที่เมืองจะแตก
                        ขณะที่กำลังคิดหาวิธีรับมือกองทัพฟีเลเซียอยู่นั้นเอง   พลันสายตาของเขาก็มองเห็นใครคนหนึ่งที่กำแพงฝั่งขวาไม่ห่างจากเขาไปมากนัก   มีทหารในชุดสีน้ำตาลหลายนายยืนคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา   ราโชยูหรี่ตาดูด้วยความหวั่นวิตกว่ากำลังจะมีเรื่องเลวร้ายที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกแล้ว   ผู้ชายที่ยืนอยู่กลางวงล้อมนั้นอายุไม่มากนักคงไม่เกินยี่สิบ   ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วก็คงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงอยู่ไม่น้อย   โล่ที่แขนทั้งสองข้างมีสัญลักษณ์เป็นรูปดาวและต้นไม้อะไรสักอย่าง   ซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่ใช่สัญลักษณ์ของฟีเลเซียแน่ ๆ   เมื่อเห็นชายหนุ่มง้างมือขึ้นทำท่าเหมือนจะชกกำแพง   ราโชยูไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะความตั้งใจนั้นหรือว่าจะหวั่นเกรงดี   มันช่างเป็นเรื่องโง่เง่าเสียเหลือเกินที่ใครสักคนคิดจะทำลายกำแพงหินที่แข็งแรงนี้ด้วยมือเปล่า   เว้นเสียแต่ว่าเขาจะสามารถทำได้จริง ๆ   แต่แล้วราโชยูก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกจากเบ้า   เมื่อทันทีที่กำปั่นของชายหนุ่มกระแทกเข้ากับกำแพง   เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาลทันที   และมันกำลังสั่นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด   
                        “บัดซบ!” ราโชยูสบถเสียงดังรีบลงจากกำแพงทันที


Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter48 หมัดทะลายภูผา @@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on September 14, 2006, 07:51:30 PM
                        กองทัพฝั่งทิศใต้นำทัพโดย ชาร์ล ฮารีซัน และ ดามิก้า   ในขณะที่กองทัพฟีเลเซียฝั่งตะวันตกนำทัพโดยกษัตริย์ซิกมันด์ที่สาม คาร์น และทราเฮิร์น   กองทัพทางทิศใต้ซึ่งนำโดยชาร์ลกำลังพยายามบุกโจมตีกำแพงเมืองอย่างหนัก   ทว่าการบุกก็เป็นไปอย่างล่าช้าเพราะกำแพงเมืองอาวีเลียนั้นแข็งแรงมาก   เพราะเป็นเมืองหน้าด่านกำแพงเมืองจึงถูกสร้างให้แข็งแกร่งที่สุดเพื่อป้องกันศัตรู   ทำให้การจะบุกทำลายนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก   ทหารฟีเลเซียนั้นพยายามใช้เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ ทำลายประตูเมืองแต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่สำเร็จง่าย ๆ   เพราะธนูจากทหารซาโลมที่อยู่บนกำแพงและทหารผีที่ออกวิ่งพล่านไปทั่วบริเวณแนวกำแพงเมืองเป็นอุปสรรคใหญ่   เสียงสัญญาณเร่งให้ทำลายประตูเมืองดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า   
                        ฮารีซันมองกองทัพฟีเลเซียที่พยายามทำลายประตูเมืองอย่างหนักด้วยความวิตก   ยิ่งเข้าประตูเมืองได้ช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งสูญเสียทหารไปมากขึ้นเท่านั้น   เขารู้ดีว่าจอมทัพชาร์ลเองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกันเพราะเสียงแตรสัญญาณเร่งให้ทำลายประตูเมืองดังขึ้นเป็นระยะ ๆ   แต่ประตูเมืองนี้ก็แข็งแกร่งจริง ๆ   การเสี่ยงสูญเสียทหารมากมายไปกับการรบที่ยืดเยื้อย่อยไม่เป็นผลดี   ฮารีซันให้สัญญาณเหล่าทหารชาวป่าก่อนพยายามบุกเข้าประชิดกำแพงเมือง   
                        ทันทีที่ไปถึงก็เห็นว่านักรบในเผ่าฟูดินันและเผ่าป่าทมิฬที่อยู่ละแวกนั้นบุกไปถึงกำแพงเมืองแล้วเช่นกัน   ทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตนโดยไม่ต้องออกคำสั่ง   ต่างก็ล้อมวงเข้าคอยคุ้มกันผู้นำทัพของพวกเขาจากทหารผีและฝนธนูจากทหารซาโลม   ฮารีซันตรงไปยังกำแพงเมืองพลางยืนสำรวมจิตอยู่พักใหญ่ก่อนจะง้างหมัดกระแทกเข้าใส่กำแพงหินเต็มแรงจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว   กำแพงหินสะเทือนเหมือนถูกจับเขย่า   เสียงหินแตกภายในชั้นกำแพงหนาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อม ๆ กับรอยร้าวที่ปรากฏเป็นวงกว้างและขยายออกไปเรื่อย ๆ   
                        ฮารีซันยังคงกระแทกหมัดใส่กำแพงหินไม่หยุด   ฝุ่นหินร่วงกราวเหมือนสายน้ำตกและฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ   
“หลบออกจากที่นี่เร็ว” ฮารีซันตะโกนสั่งขณะที่ทุกคนถอยออกมาจากม่านฝุ่นที่ฟุ้งตลบหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเสียงปริแตกของหินร่วงกระทบพื้น   เพียงพริบตาเดียวกำแพงหินที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยุบตัวเกิดเป็นช่องกลมขนาดใหญ่ในกำแพง   ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างยินดีของทหารฟีเลเซียและฟูดินันที่ดังลั่น                                                 
                        แต่ไม่ทันที่ฝุ่นหินจะจางหายไป   เคียวขนาดมหึมาก็พุ่งผ่านม่านฝุ่นเข้าใส่ฮารีซันอย่างรวดเร็ว   ท่ามกลางความตกตะลึงของทหารฟีเลเซียและฟูดินันที่อยู่บริเวณนั้น   
                        ตูม!
                        เสียงคมเคียวฟาดใส่โล่ที่ฮารีซันยกขึ้นรับดังสนั่น   ทุกคนต่างตกตะลึง   โดยเฉพาะทหารฟีเลเซีย   ไม่มีใครคิดว่าผู้นำทัพชาวป่าจะรับคมเคียวของจอมทัพทมิฬโดยตรงเช่นนี้   และดูเหมือนว่าผู้นำแห่งฟูดินันจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย   ราโชยูตวัดเคียวกลับด้วยความประหลาดใจ  หรี่ตามองชายหนุ่มผู้อ่อนวัยตรงหน้า     
                        “ไม่เคยมีใครรับเคียวของข้าตรง ๆ อย่างนี้มาก่อน   เจ้าเป็นใคร?” ราโชยูอดถามไม่ได้
                        “ข้าคือ ฮารีซัน บันดารา   ผู้นำทัพแห่งฟูดินัน”
                        “ที่แท้กองทัพประหลาดนี่คือกองทัพของเจ้านี่เอง” ราโชยูแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมรับผลที่เจ้าก่อขึ้นเสียเถอะ   ฮารีซัน บันดารา”
                        “ฝันไปเถอะ!” ดามิก้าบนหลังอลูปัสกระโจนเข้าขวางทำให้บุคคลทั้งสองต้องแยกออกจากกัน “ท่านฮารีซัน   ทางนี้ข้าจัดการเอง   เจ้ายักษ์นี่ขวางทางไว้แบบนี้คงอีกนานกว่าพวกเราจะเข้าเมืองได้    ข้าว่าท่านไปจัดการประตูเมืองดีกว่า”
                        “แต่ว่า ดามิก้า...” ฮารีซันไม่คิดจะให้ดามิก้ารับมือกับจอมทัพของซาโลม   เพียงแค่เขารับคมเคียวเมื่อสักครู่ก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่เกินกำลังของดามิก้า
                        “ไปสิ   ไม่ต้องห่วงข้า   โทนิม่ากำลังมาช่วยเสริมอีกแรง   พวกทหารนั่นต้องการความช่วยเหลือของท่านนะ” ดามิก้าหมายถึงบรรดาทหารที่พยายามทำลายประตูเมืองอยู่
                        ในนาทีนั้นเอง   พานาเทอเรี่ยน (Panatherion, the Companion of Tonima) เสือเขี้ยวดาบสีเทาเงินสองตัวซึ่งเป็นสัตว์คู่กายของโทนิม่าก็กระโจนเข้ามาล้อมราโชยูไว้   เป็นสัญญาณว่าโทนิม่าอยู่ใกล้ ๆ นี้แล้ว
                        “เร็วสิ!” ดามิก้าเร่ง
                        “ก็ได้   ระวังตัวด้วยนะ” ฮารีซันเมื่อเห็นว่าดามิก้ามีโทนิม่ามาช่วยแล้วจึงยอมวางมือในที่สุด
                        “ปากเก่งจริงนะ   เจ้าคิดว่าจะขวางข้าได้รึ?” ราโชยูเหลือบตาไปมองฮารีซันที่กำลังมุ่งตรงไปที่ประตูเมือง “อย่างเจ้า   นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำก็คงตายอยู่ใต้คมเคียวของข้าแล้ว” ราโชยูกล่าวเย้ย
                        “หุบปากเหม็น ๆ ของเจ้าแล้วลงมือเลย  เจ้ายักษ์” ดามิก้าตวัดดาบเตรียมพร้อม
                        ราโชยูตวัดเคียวใส่ดามิก้าอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับที่อลูปัสขยับหลบได้ทัน   เสียงเคียวเจาะพื้นหินดังสนั่น   ดามิก้ามองเคียวที่เจาะทะลุหินด้วยความตกตะลึง   
                        “ไม่ปากเก่งอย่างเมื่อกี้แล้วสิ” ราโชยูยิ้มเยาะเมื่อเห็นดามิก้าพูดไม่ออก   ก่อนจะง้างเคียวขึ้นอีกครั้ง
                        “โจมตี!” ดามิก้าตะโกนสั่งพานาเทอเรี่ยนทั้งสองตัวทันที
                        พานาเทอเรี่ยนตัวหนึ่งกระโจนขึ้นขย้ำแขนข้างที่ถือเคียวของราโชยู   ขณะที่อีกตัวขย้ำขาของราโชยูเต็มแรง   แต่เพราะชุดเกราะที่แข็งแกร่งทำให้คมเขี้ยวเจาะเข้าได้ไม่ลึกนัก   ราโชยูตวัดสันเคียวใส่พานาเทอเรี่ยนที่ขาก่อนจะใช้แขนอีกข้างที่เป็นอิสระกระแทกกำปั่นใส่พานาเทอเรี่ยนที่แขนอีกข้าง   พานาเทอเรี่ยนร้องด้วยความเจ็บปวดกระเด็นไปคนละทิศละทาง   จอมทัพทมิฬตวัดเคียวใส่ดามิก้าทันที   ดามิก้ารีบยกดาบจะป้องกัน   แต่พลังของราโชยูก็ส่งให้ดามิก้ากระเด็นตกจากหลังอลูปัสไปไกล   อลูปัสจึงกระโจนใส่ราโชยูทันทีเพื่อปกป้องเจ้านาย   พร้อม ๆ กับที่พานาเทอเรี่ยนทั้งสองกระโดดเข้าจู่โจมจอมทัพทมิฬพร้อมกัน   สัตว์ทั้งสามกระโดดเข้ารุมราโชยูจนดูชุลมุนไปหมด   แต่แล้วเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวราโชยูก็ควงสะบัดเคียวจนสัตว์ทั้งสามกระเด็นออกไปคนละทิศละทางอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวด   พานาเทอเรี่ยนหนึ่งในสองตัวตายทันที   ขณะที่อีกตัวมีแผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่   ส่วนอลูปัสนั้นถูกคมเคียวบากหน้าเป็นทางตั้งแต่หน้าผากลงมา   เลือดสด ๆ ไหลหยดเป็นทาง   


Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter48 หมัดทะลายภูผา @@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on September 14, 2006, 07:54:32 PM
                           เมื่อราโชยูสะบัดพวกสัตว์ออกไปได้แล้วก็พุ่งไปหาดามิก้าทันที   ดามิก้าเหลือบไปมองดาบของตนที่กระเด็นหลุดจากมือไป   ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหันหลังวิ่งไปคว้าดาบของตน   อลูปัสรีบกระโจนเข้าขวางดามิก้าไว้เพื่อปกป้องเจ้านาย   มันแสยะเขี้ยวและคำรามขู่กรรโชกด้วยความโกรธเกรี้ยวและไม่ยอมขยับไปไหนทั้งสิ้น
                           “ภักดีนักรึ?  งั้นก็ไปรอนายแกในนรกก่อนได้เลย” ราโชยูสะบัดเคียวเข้าใส่ทันที
                           “อลูปัส!” ดามิก้าร้องลั่นด้วยความตกใจ
                           แต่ในวินาทีนั้นเอง   คมขวานขนาดยักษ์ก็ตวัดปัดเคียวของราโชยูจนพลาดเป้าไปกระแทกกับพื้นโครมใหญ่
                           “โทนิม่า” ดามิก้าร้องเรียกอย่างโล่งอก   แต่แล้วใบหน้าที่เบิกบานอย่างโล่งอกนั้นจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อจอมทัพทมิฬใช้เท้าเตะขวานยักษ์ออกอย่างรวดเร็วก่อนสะบัดเคียวอีกครั้ง 
                           “โทนิม่า!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียง

                           เสียงกลองรบดังระรัวขึ้นเป็นจังหวะขณะที่ฮารีซันทำลายประตูเมืองได้สำเร็จพร้อม ๆ กับทหารซาโลมที่เริ่มถอยร่นออกจากกำแพงเมือง   ทหารฟีเลเซียและฟูดินันไม่รอช้าต่างเฮโลกันเข้าไปภายในเมืองอาวีเลีย   และแล้วเสียงแตรก้านยาวก็ดังขึ้นจากทางทิศตะวันตก   อันเป็นสัญญาณว่ากองทัพร่วมที่นำโดยกษัตริย์ซิกมันด์ก็สามารถผ่านเข้าประตูเมืองมาได้แล้วเช่นกัน   เพียงเวลาไม่กี่ชั่วยามภายในเมืองอาวีเลียก็ไม่เหลือทหารซาโลมอยู่ภายในเมืองอีกเลย   เสียงแตรเงิน แตรก้านยาว เขาสัตว์ กรับ กลอง และ เสียงร้องอย่างยินดีดังสนั่นจนเมืองทั้งเมืองแทบจะระเบิดด้วยเสียงโห่ร้องของทหารนับแสนนาย   บัดนี้กองทัพเถื่อนของจักรวรรดิซาโลมถูกผลักดันออกจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ฟีเลเซียแล้ว


s



                             ภายในห้องทรงหนังสือวันนี้   เจ้าชายน้อยแห่งจักรวรรดิซาโลมดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ   หลังจากที่ดูเหงาหงอยเศร้าซึมอยู่เป็นเดือน   ซึ่งก็คงเป็นเพราะพระราชินีเนริมอร์กลับมาจากสนามรบนั่นเอง   เจ้าชายน้อยอยากจะให้ท่านราชครูนาริสมีเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับความตั้งใจเรียนของพระองค์เอาไว้เล่าให้พระราชินีฟังเวลาถูกถามถึง   วันนี้พระองค์จึงรีบเข้ามาประจำที่ในห้องทรงหนังสือตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเรียน   นาริสพอจะดูออกว่าเจ้าชายน้อยอยากจะประจบเอาใจพระมารดาจึงได้แต่ยิ้มด้วยความเอ็นดู
                           “วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องอุปนิสัยใจคอของคนหลาย ๆ แบบกันดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
                           “อุปนิสัยของคนหลาย ๆ แบบอย่างนั้นรึ?   ทำไมเราต้องเรียนรู้นิสัยของคนอื่นด้วยเล่า?” เจ้าชายน้อยตรัสถามด้วยความสงสัย
                           “เราต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้หาวิธีรับมือกับคนแต่ละคนได้อย่างถูกต้องอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ   ในสถานการณ์คล้าย ๆ กันคนแต่ละคนก็มีวิธีรับมือเหตุการณ์นั้น ๆ ไม่เหมือนกัน   ผลที่ได้จากการกระทำนั้นก็แตกต่างกัน   ถ้าเราสามารถวิเคราะห์นิสัยใจคอหรือความคิดของเขาได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้นเท่าไหร่?   เราก็จะสามารถรับมือกับเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”
                           เจ้าชายน้อยทำท่าสนใจขึ้นมาทันที ตรัสถามด้วยความกระตือรือร้น “ใช้ได้กับทุกคนเลยหรือเปล่าท่านนาริส?”
                           “ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระองค์วิเคราะห์ได้แม่นยำขนาดไหน” นาริสทูลตอบด้วยรอยยิ้ม
                           “ถ้าเช่นนั้นเราจะเรียนรู้นิสัยของใครก่อนดี?” เจ้าชายอิสฮานถามอย่างตื่นเต้น
                           “จริง ๆ แล้วหม่อมฉันมีเรื่องตัวอย่างของบุคคลสามคนที่ประสบปัญหาอย่างเดียวกัน   แต่เลือกวิธีที่จะรับมือกับปัญหาด้วยวิธีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงให้พระองค์ได้พิจารณาเปรียบเทียบดู” เมื่อเห็นว่าเจ้าชายน้อยชักจะสนอกสนใจขึ้นมาแล้วจึงยิ้มทูล “เรื่องของ บลาส เซจ จอมทัพราโชยู และ เยซีฮาน”
                           นาริสทูลพลางคอยจับจ้องความรู้สึกของพระโอรส   เจ้าชายน้อยได้ยินชื่อเท่านั้นก็เบ้หน้าทันที   ทำให้นาริสอดหัวเราะออกมาไม่ได้และอยากจะรู้สาเหตุของพระโอรส “ทำไมพระองค์ทรงทำหน้าเช่นนั้น?”
                           “ก็เยซีฮานเป็นศัตรูกับจักรวรรดิของเรา   ใคร ๆ ก็บอกว่าเขาเป็นคนทรยศ  ส่วนแม่ทัพราโชยูเราคิดว่าเขาตัวใหญ่หน้าตาก็ดูน่ากลัว   ...แต่เราไม่ชอบมหาอุปราชที่สุด   เสด็จแม่บอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีชั่วช้า   เป็นอสรพิษปลิ้นปล้อน  เป็น...” เจ้าชายน้อยหยุดพูดเมื่อเห็นว่านาริสพยายามกระแอมไอหนัก ๆ แต่ดวงตากลับพราวระยับเหมือนคนหัวเราะ
                           “พวกเขาคงไม่ชอบใจถ้าได้ยินดังนั้น...โดยเฉพาะมหาอุปราช” นาริสแสร้งเอ็ดเสียงดุ แม้ดวงตายังฉายแววขบขันอยู่   เจ้าชายน้อยลอกคำพูดของพระราชินีมาทุกคำเลย
                           เจ้าชายน้อยยักไหล่ “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่นิ   และเราก็ไม่คิดจะบอกเขาอยู่แล้ว   และท่านก็คงจะไม่เอาไปบอกเขาด้วยใช่ไหม? ท่านนาริส” เจ้าชายน้อยยิ้มแป้นพูดดักคอแอบคาดหวังว่านาริสจะสนับสนุนความคิดของพระองค์   
นาริสหัวเราะ หึ หึ ในลำคอไม่ยอมตอบ   หมายจะแกล้งให้พระโอรสกระวนกระวายใจเพื่อสอนให้พระองค์รู้ว่าแม้พระองค์จะเป็นเจ้าชาย  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะได้ทุกอย่าง ๆ ที่ต้องการ “นั่นขึ้นอยู่กับว่าวันนี้พระองค์ตั้งใจเรียนแค่ไหน?”
เจ้าชายน้อยหน้าเสีย   เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี   ทรงเงยหน้ามองนาริสตาละห้อยอย่างน่าสงสาร   ซึ่งนาริสก็เกือบใจอ่อนอยู่แล้ว...แต่ก็แค่เกือบเท่านั้นล่ะ   นาริสเริ่มบทเรียนในวันนี้ทันทีโดยพยายามไม่สนใจสายตาละห้อยนั้น
                           “พระองค์ยังทรงจำได้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ   ว่าจักรวรรดิซาโลมของพวกเราต้องผ่านสงครามมามากมายกว่าจะเป็นปึกแผ่นอย่างทุกวันนี้   เราต้องต่อสู้กับเผ่าต่าง ๆ มากมาย   ซึ่งทั้งเยซีฮาน ราโชยู และ บลาส เซจ ก็ล้วนมาจากเผ่าต่าง ๆ ที่เราต้องต่อสู้ด้วย   เยซีฮานนั้นเป็นนักรบระดับสูงของเผ่าลาซาลทางเหนือ   แรกเริ่มนั้นเผ่าของเขายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ซาดินด้วยดี   เช่นเดียวกับเผ่าของราโชยูที่มาจากตะวันตก   ทันทีที่เสด็จพ่อของพระองค์ยกทัพไปถึง   เผ่าของเขาก็ยอมสวามิภักดิ์โดยดีเช่นกัน   ทั้งสองคนจึงเข้ามารับราชการรับใช้องค์ซาดินเป็นขุนศึกที่เป็นกำลังสำคัญให้แก่กองทัพ   ทว่าหลังจากที่องค์ซาดินกำลังปราบปรามเผ่าน้อยใหญ่ทางตะวันออกจนมิได้ให้ความสนใจกับเผ่าอื่น ๆ ที่ได้เข้ามาสวามิภักดิ์จักรวรรดิซาโลมแล้ว   จู่ ๆ ก็ทรงได้ทราบข่าวว่าเผ่าทางเหนือเริ่มแอบซ่องซุ่มกำลังจากเผ่าต่าง ๆ ทางเหนือเพื่อที่จะปลดปล่อยเผ่าให้เป็นอิสระจากองค์ซาดิน   ฝ่าบาททรงกริ้วมากและได้มอบหมายให้เยซีฮานยกทัพไปปราบเผ่าทางเหนือ   พร้อมทั้งมีคำสั่งให้สังหารล้างเผ่าเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง   แต่ที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้เยซีฮานผู้ซึ่งมาจากเผ่านั้นให้ไปสังหารล้างเผ่าของตัวเองนั้น   จะเพื่อลองใจเขาหรือเพราะเขารู้จักการรบของเผ่าตนเองดี   หรือจะเพราะเขามีทักษะฝีมือด้านการรบเป็นเลิศ...จะเป็นด้วยเหตุผลใดก็สุดจะคาดเดาได้   เยซีฮานนั้นเมื่อต้องเลือกระหว่างเผ่าซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนกับฝ่าบาทที่ไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งเกินกว่าผู้ปกครองกับข้าบริวาร   ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องเลือกเผ่าของตนก่อน   นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เยซีฮานก่อกบฏและตั้งตนเป็นผู้นำของเผ่าลาซาลจนถึงทุกวันนี้


Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter48 หมัดทะลายภูผา @@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on September 14, 2006, 07:56:15 PM
                         ข้างฝ่ายราโชยูนั้น   เผ่าของเขาแทบไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการรุกรานของจักรวรรดิซาโลมเลย   จึงไม่ได้คิดจะต่อต้านใด ๆ ต่อฝ่าบาท   ตรงกันข้ามการรับราชการเข้ามารับใช้ฝ่าบาทก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น   ใช้ความสามารถด้านการรบของตนไต่เต้าจนได้เป็นถึงจอมทัพของจักรวรรดิซาโลม   แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยความจงรักภักดี   แต่ก็อยู่ด้วยความนิยมชมชอบในความเก่งกาจสามารถด้านการศึกขององค์ซาดิน และด้วยผลประโยชน์ที่เอื้ออำนวยให้เขานั่นเอง”
                         “แล้วมหาอุปราชเล่า   เขามาทำงานรับใช้เสด็จพ่อได้อย่างไร?” เจ้าชายน้อยตรัสถามด้วยความสนใจ
                         “มหาอุปราชบลาส เซจนั้นมาจากเผ่าเล็ก ๆ ทางตะวันตกไม่ใกล้ไม่ไกลจากเผ่าของราโชยูนัก   จากที่กระหม่อมทราบมา   เขาเป็นพวกนักเวทย์ในเผ่าแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่าเท่าที่ควรนัก   ทำให้เขาชิงชังเผ่าของตัวเอง   เมื่อตอนที่เสด็จพ่อของพระองค์บุกโจมตีเผ่าของเขา   เขาแทบจะเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทเป็นคนแรกเลยด้วยซ้ำ   เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้เสด็จพ่อของพระองค์เห็นถึงความสามารถและยอมรับเขา...โดยไม่เลือกวิธีว่าจะดีหรือเลวสักแค่ไหน” นาริสยิ้มให้พระโอรส “พระองค์เห็นไหมพ่ะย่ะค่ะ   คนสามคนที่อยู่ในภาวะสงครามเหมือน ๆ กัน   แต่กลับมีวิธีรับมือกับเหตุการณ์นั้นต่างกัน   นั่นก็เพราะความคิดและอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน”
                         “แล้วท่านล่ะ   มีอุปนิสัยด้านใดที่เป็นจุดอ่อน?” เจ้าชายน้อยตรัสถามหน้าซื่อ
                         นาริสหัวเราะเสียงดัง  ขำที่เจ้าชายน้อยยังไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอที่จะปกปิดความอยากรู้จุดอ่อนของเขา จึงทูลตอบ “จุดอ่อนของหม่อมฉันรึ?   ก็คงเป็นการเชื่อในส่วนดีของคนอื่นมากจนเกินไป   ไว้วางใจคนมากจนเกินไป   เหมือนที่หม่อมฉันเชื่อว่าแม้หม่อมฉันบอกจุดอ่อนของหม่อมฉันให้พระองค์ทราบ   พระองค์ก็จะไม่เอามาใช้เป็นข้อได้เปรียบในคราวหน้า”
                         เจ้าชายน้อยหน้าแดงที่ถูกพูดดักคอ  ตรัสอย่างสำนึกผิด “ท่านมองคนในด้านดีมากเกินไปจริง ๆ ด้วย   ท่านพูดเช่นนี้แล้วเราจะกล้าเอาจุดอ่อนของท่านมาใช้หรือ?”
                         “นั่นแปลว่าจุดอ่อนของหม่อมฉันยังไม่ถือว่าเลวร้ายนัก” นาริสทูลยิ้มอย่างเอ็นดูที่พระองค์ทรงยอมรับอย่างซื่อสัตย์   เขาจะไม่รักเจ้าชายน้อยพระองค์นี้ได้อย่างไรกัน
                         “แต่ก็แปลกจริง   ทำไมการเชื่อในด้านดีของคนอื่นถึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีไปได้?” เจ้าชายน้อยทรงขมวดคิ้วยุ่ง
                         “หม่อมฉันไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ   เพียงแต่ว่าเมื่อเราเชื่อในส่วนดีของคนอื่นแล้ว   เราก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย   เพราะบางครั้งผลก็ออกมาไม่ดีอย่างที่เราเชื่อหรือหวังไว้สักเท่าไหร่” นาริสมีสีหน้าเหม่อลอยคล้ายทบทวนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต
                         “ท่านเคยผิดหวังกับการเชื่อในด้านดีของผู้อื่นหรือ?” เจ้าชายน้อยเอียงคอตรัสถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นนาริสมีสีหน้าแปลก ๆ
                         “ก็มีบ้างพ่ะย่ะค่ะ   ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงไม่รู้ว่ามันเป็นจุดอ่อนของหม่อมฉัน”
                         เจ้าชายน้อยรอที่จะให้นาริสเล่าความผิดหวังให้ฟังบ้าง   แต่เมื่อเห็นว่านาริสยังคงนิ่งเงียบจึงเลิกล้มความตั้งใจ   เปลี่ยนมาตรัสถามเรื่องอื่นแทน “ถ้าเช่นนั้นเมื่อท่านรู้แล้วว่าสิ่งนี้เป็นจุดอ่อนของท่าน   ท่านก็ปรับปรุงแก้ไขอย่าให้มันเป็นจุดอ่อนสิ”
                         นาริสยิ้มอย่างเอ็นดู “ฝ่าบาท   บางครั้งนิสัยที่ติดตัวมายาวนานเหลือเกินก็ยากนักที่จะแก้ไขได้   นิสัยนี้มันติดตัวตาแก่อย่างหม่อมฉันมานานเหลือเกินแล้ว   หม่อมฉันต้องยอมรับว่ามันลำบากอยู่ไม่น้อยที่จะเปลี่ยนแปลง”
                         อิสฮานน้อยพนักหน้าช้า ๆ ทำความเข้าใจในสิ่งที่มหาอำมาตย์อธิบาย “ถ้าเช่นนั้น   หากท่านมีอะไรให้เราช่วย   เราหมายถึงถ้าท่านมีปัญหากับจุดอ่อนของท่าน   แล้วอยากให้เราช่วยเหลืออะไรก็บอกเราได้นะ”
                         “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” มหาอำมาตย์เฒ่ายิ้มอย่างซาบซึ้งใจ
                         “ขอประทานอภัยเพคะ” นางกำนัลนางหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง “พระราชินีเนริมอร์ให้มาเรียนถามท่านมหาอำมาตย์ว่าพระโอรสทรงเรียนเสร็จรึยังเพคะ   พระองค์มีรับสั่งให้หา”
                         เจ้าชายน้อยได้ยินดังนั้นก็ยื่นตัวขึ้นมองมหาอำมาตย์เฒ่าด้วยความคาดหวัง   นาริสยิ้มอย่างเข้าใจ   เวลาที่พระนางเนริมอร์ประทับอยู่ที่วัง   เขาจะผ่อนปรนการเรียนการสอนเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าเวลาทุกนาทีมีค่าสำหรับแม่ลูกคู่นี้
                         “พระองค์จะทรงรักษาสัญญาไหมพ่ะย่ะค่ะ?   ว่าพระองค์จะทบทวนการร่ายเวทย์ที่หม่อมฉันสอนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแทนการที่หม่อมฉันงดการสอนร่ายเวทย์ในวันนี้”
                         “แน่นอนท่านนาริส” พระโอรสทรงรับปากด้วยความยินดี   
                         “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็อนุญาตให้พระองค์เลิกเรียนเร็วในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ” มหาอำมาตย์ยิ้มตอบ
                         “ไชโย!” เจ้าชายน้อยกระโดดตัวลอยวิ่งไปทางประตู   แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาขอบคุณนาริส   ก่อนที่จะพ้นประตูไป   แต่ก็ดูเหมือนพระองค์จะนึกอะไรได้บางอย่างจึงทรงหยุดฝีเท้าและหันมาหานาริสพลางตรัสเสียงเบา “ท่านจะไม่บอกมหาอุปราชใช่ไหม?”
                         มหาอำมาตย์เฒ่างุนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกได้ว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไรจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พ่ะย่ะค่ะ   หม่อมฉันไม่บอกเขาหรอก”
                         พระโอรสอิสฮานทรงยิ้มจนแก้มแทบปริก่อนจะหายลับไปจากประตู   ปล่อยให้มหาอำมาตย์เฒ่าหวนกลับไปนึกถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่อีกครั้ง   ความผิดพลาดที่เกิดจากความไว้วางใจคนมากเกินไป   ทำให้เขาไม่ได้ชะล่าใจเลยว่าเผ่าเล็กเผ่าน้อยที่มาขออาศัยโอเอซิสร่วมกับพระบิดาขององค์ซาดินจะทรยศหักหลังแทนที่จะสำนึกในบุญคุณและอยู่ร่วมอย่างสันติ     แต่กลับอาศัยความรักสันติของฝ่าบาทองค์ก่อนขับไล่พระองค์ออกจากโอเอซิสโดยที่เขาไม่ได้เตรียมการป้องกันไว้เลย   จนสุดท้ายพระองค์ก็ต้องถูกฆ่าตายในที่สุด   นาริสสะบัดหน้าแรง ๆ เหมือนจะไล่ภาพในอดีตออกไป   เห็นทีวันนี้ต้องทำงานให้หนักขึ้นสักหน่อยจะได้ไม่มีเวลาว่างมานั่งนึกถึงอดีตมากนัก   คิดดังนั้นแล้วจึงเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ


Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter48 หมัดทะลายภูผา @@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on September 14, 2006, 07:59:05 PM
                        “อย่าเสียใจไปเลยดามิก้า” ฮารีซันพูดปลอบ   ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วหลังจากที่กองทัพร่วมบุกยึดเมืองอาวีเลียได้สำเร็จ   แต่ดามิก้าก็ยังนิ่งเงียบผิดจากนิสัยโผงผางของเธอ
                        “โทนิม่าเป็นลูกน้องที่จงรักภักดี   เขาตายเพราะช่วยข้า   จะไม่ให้ข้าเสียใจได้อย่างไร?” ดามิก้าพูดไม่มองหน้าคนปลอบ   มือทั้งสองยังลูบอลูปัสและพานาเทอเรี่ยนข้างละตัว   ซึ่งตอนนี้พานาเทอเรี่ยนกลายเป็นสัตว์คู่ใจของเธอไปอีกตัว   
                        “เจ้าเสียใจได้   แต่อย่างนานนัก   เขาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมเกียรติแล้ว   เอาความเสียใจของเจ้ามาเปลี่ยนเป็นพลัง   เราต้องล้างแค้นให้เขาแน่ ๆ “ คาร์นคำรามเบา ๆ ในลำคอ
                        “ข้ารู้   แต่เจ้ายักษ์นั่นก็แข็งแกร่งเหลือเกิน   ถ้าไม่มีเสียงกลองถอนทัพของพวกมันดังขึ้นเสียก่อน   ข้าก็คงตายไปด้วยแล้ว   น่าเจ็บใจจริง ๆ “ ดามิก้ากระแทกเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อนึกถึงว่าตนรอดคมเคียวของแม่ทัพทมิฬมาได้หวุดหวิดแค่ไหน
                        “อย่าคิดมากเลย   เรายังมีโอกาสแก้แค้นอยู่   เพราะดูท่าทางพวกซาโลมจะไม่ยอมกลับทะเลทรายง่าย ๆ แน่ ๆ   ดูเอาเถอะ   จนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังไม่ไปไหนเลย   ยังตั้งค่ายอยู่นอกกำแพงเมืองและดูเหมือนกำลังทำอะไรกันอยู่ตลอดเวลา   ไม่รู้ว่ากำลังเตรียมสร้างกองทัพประหลาดอะไรกันอีกรึเปล่า” ทราเฮิร์นกล่าวพลางทำหน้าพยักเพยิบไปทางทิศเหนือ
                        “อืม... พูดถึงเรื่องนี้   พวกฟีเลเซียคิดจะทำอะไรต่อรึ?   ข้าเห็นมีการเรียกประชุมแม่ทัพขนานใหญ่เลยนิ” คาร์นเอ่ยถาม
                        “ข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ซิกมันด์ต้องการหาวิธีป้องกันพวกกองทัพซาโลมที่ประสิทธิภาพมากกว่าแค่กำลังทหารเพียงอย่างเดียว” ฮารีซันตอบหลังจากพยายามนึกถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา
                        “อะไรที่ดีกว่ากองทัพน่ะอะไรล่ะ?” ดามิก้าอดโพล่งถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้แม้จะเสียงไม่ดังเหมือนทุกที
                        “นกสายฟ้าธันเดอริก(Thunderix)ของเทพเจ้าแห่งสายฟ้า ทอร์(Thor, the Thunder God)ยังไงล่ะ” เสียงใสของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น   ทำให้ทุกคนหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว   
                        “เจ้าหญิงเรจิน่า?!” ฮารีซันรีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นว่าเป็นเจ้าหญิงเรจิน่าและแนนเนตนางกำนัลส่วนพระองค์   พร้อม ๆ กับที่คนอื่น ๆ ก็ลุกตามด้วย   ดูเหมือนพวกฮารีซันจะปฏิบัติตามมารยาทของราชวงศ์มากขึ้น   คงเป็นเพราะโดนซิกมันด์เหน็บตลอดช่วงที่ออกรบด้วยกัน
                        “ตามสบายเถอะ   ฉันเพิ่งเดินทางมาถึงหลังจากที่ได้รับแจ้งข่าวไปว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว” เจ้าหญิงหันไปทางดามิก้า “ฉันได้ยินว่าเจ้าเสียลูกน้องคนสนิทไป   ฉันเสียใจด้วยนะ”
                        ดามิก้าออกจะผิดคาดที่ได้ยินเจ้าหญิงพูดเช่นนั้นจึงทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยักไหล่เหมือนไม่ต้องใส่ใจมากนัก   แต่ที่สุดแล้วก็ตอบขอบคุณเสียงอุบอิบ
                        “เจ้าหญิงพูดถึงนกสายฟ้า” ทราเฮิร์นเอ่ยด้วยความสนใจ
                        “ใช่ข้าพูดเช่นนั้น” เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้อย่างที่พวกฮารีซันนั่งอยู่   ทำให้พวกฮารีซันมองดูด้วยความแปลกใจ   แต่ที่แปลกใจที่สุดคงจะเป็นแนนเนตที่อ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยความตกใจที่เห็นนายของตนนั่งล้อมวงกับพวกชาวป่า
                        “นั่งลง   แนน...”
                        “เนต เพคะ” แนนเนตรีบนั่งลงทันทีพร้อมกับพูดแทรกขึ้นเพราะกลัวว่าเจ้าหญิงจะเรียกตนว่าแนนซี่ หรืออาจจะประหลาดกว่านั้น   เจ้าหญิงเรจิน่าทรงยิ้มอย่างรู้ทันแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
                        “กษัตริย์ซิกมันด์จะเดินทางไปพบเทพเจ้าธอร์ ที่เขาวาฮาล(Vahal Hill) เพื่อขอยืมสัตว์กึ่งเทพมาช่วย” เจ้าหญิงทรงอธิบาย “นกสายฟ้านั้นมีพลังมหาศาล มีฤทธิ์เดชช่วยเสริมกองทัพของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้   ซิกมันด์คงจะรอดูความเรียบร้อยทางนี้อีกสักพักก่อนจะออกเดินทาง   เพราะท่าทางคงจะต้องมีการปะทะกับทหารซาโลมอีกแน่   กำแพงเราแข็งแกร่งก็จริง   แต่รอบคอบไว้ดีกว่า” ถึงแม้ว่าน้องชายของพระองค์จะไม่ค่อยชอบความคิดที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น   ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็เถอะ   เขาไม่ชอบรู้สึกว่าตนอ่อนแอจนต้องของความช่วยเหลือ   แต่บรรดาแม่ทัพรวมถึงตัวพระองค์เองก็เห็นด้วยว่าหากมีนกสายฟ้ามาช่วย   การจัดการกับกองทัพซาโลมคงง่ายขึ้น
                        “ท่านจะเดินทางไปกับกษัตริย์ซิกมันด์ด้วยหรือไม่?   แล้วใครจะดูแลกองทัพทางนี้ล่ะ?” ฮารีซันพยักหน้ารับทราบข้อมูลก่อนจะเอ่ยถาม
                        “ข้าจะไปได้ยังไง   ข้ามีหน้าที่ดูแลกองทัพฟูดินันยังไงล่ะ   ส่วนเรื่องกองทัพฟีเลเซียก็ให้จอมทัพชาร์ลดูแล” เจ้าหญิงตรัสตอบ   แม้จริง ๆ แล้วน้องชายของพระองค์ตั้งใจให้พระองค์คอยจับตาดูพวกคนป่า   เผื่อว่าพวกคนป่าจะลุกฮือเข้ายึดเมืองเสียเองต่างหาก   แม้พระองค์จะอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกฟูดินันมีน้ำใจมาช่วยจริง ๆ แต่ดูเหมือนกษัตริย์น้องชายจะไม่ยอมเข้าใจเท่าไหร่
                        “แล้วเนินเขาที่ว่านี่อยู่ไกลมากไหม?” คาร์นเอ่ยถาม
                        “จากที่นี่มุ่งหน้าไปทางตะวันตก   ถ้าขี่ม้าก็เดินทางหลายวันเหมือนกัน   แต่ซิกมันด์คงจะขี่เปกาซัสไป   น่าจะไปถึงได้เร็วขึ้น” เจ้าหญิงทรงคะเน   ในขณะที่คนอื่น ๆ พยักหน้ากับข้อมูลที่ได้รับ
                        “เอาละ...ทีนี้” เจ้าหญิงเอ่ยขึ้น “ถ้าพวกท่านไม่มีอะไรจะถามแล้ว   ทีนี้เล่าเรื่องการตีเมืองอาวีเลียคืนให้ข้าฟังหน่อย   ข้าได้ฟังจากผู้ส่งสารและบรรดาแม่ทัพฟีเลเซียมาบ้างแล้ว   แต่ออกจะเป็นการเป็นงานอยู่สักหน่อย   แต่ข้าอยากจะฟังจากมุมมองของพวกท่านที่ลงไปรบจริง ๆ ดูบ้าง   การรบแบบของพวกท่านน่ะแปลกประหลาดน่าสนใจมากเชียวล่ะ” เจ้าหญิงตรัสเสียงระรื่น
                        คาร์นหัวเราะในลำคอ  ขณะที่คนอื่น ๆ ยิ้มอย่างยินดี   แม้แต่แนนเนตก็อยากจะฟังด้วยเช่นกัน
                        “ถ้าเช่นนั้น   ข้าขอรับเกียรติเป็นคนเล่าเองแล้วกัน” ทราเฮิร์นยืดตัวขึ้นและเริ่มต้นเล่าอย่างสนุกสนาน 
                        และแล้วเสียงเล่าเกี่ยวกับการรบที่ดุเดือดและน่าตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่เจ้าหญิงเคยได้ยินมาก็ดังขึ้นชนิดที่เรียกว่าฟังไม่รู้เบื่อ   ท่ามกลางเสียงสนับสนุนและเสียงหัวเราะของทุกคน     
   


Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter48 หมัดทะลายภูผา @@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on September 28, 2006, 12:37:41 AM
มาเม้าท์กันต่อ  ที่นี่  ที่นี่

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=24921.0