Title: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 06, 2006, 06:07:01 AM Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ เสียงกลองศึกของจักรวรรดิซาโลมดังขึ้นในสายของวันน็อกซ์ (Nox)วันแห่งธาตุมืดตามคัมภีร์การสร้างโลกที่มีบันทึกไว้ตั้งแต่อดีตกาล ยอดธงวิหคเพลิงปรากฏขึ้นที่ยอดเนินปลายสุดของสนามรบ ด้วยความที่เมืองคามินยาร์ดเป็นเมืองที่อยู่ติดเทือกเขาคีรีบันดาจึงทำให้เมืองตั้งอยู่บนเนินสูงและสามารถมองเห็นกองทัพของจักรวรรดิซาโลมได้เกือบทั้งกองทัพอย่างชัดเจน กษัตริย์ซิกมันด์ เจ้าหญิงเรจิน่าและ ชาร์ล คลาแรนซ์ยืนอยู่เหนือป้อมกำแพงพร้อมกับเหล่านายพลแห่งฟีเลเซีย เสียงแตรสัญญาณของฟีเลเซียดังรับเป็นทอด ๆ จนกระฮึ่มไปทั่วทั้งเมือง ช่างเลือกวันรบได้เหมาะกับความชั่วของพวกมันจริง ๆ กษัตริย์ซิกมันด์ทรงเหยียดปากด้วยความชัง นั้นมันตัวอะไรกัน เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสด้วยความตกใจ ทรงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูกองทัพของซาโลม ซึ่งพระองค์เพิ่งจะเคยเห็นทหารผีดิบของซาโลมเป็นครั้งแรก ดูท่าพวกมันจะเพิ่มจำนวนทหารผีขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย ชาร์ลมองตาม กล่าวอย่างหนักใจ พวกซาโลมมีนักเวทย์สายมนต์ดำที่ใช้วิชาสร้างทหารจากซากศพ ดังนั้นยิ่งมีคนตายมาก พวกมันก็ยิ่งมีทหารมากขึ้น น่าขยะแขยงจริง ๆ เจ้าหญิงทรงเบ้ปากเมื่อพิจารณาทหารผีอย่างละเอียด อย่าว่าแต่พระองค์เลย กระหม่อมเป็นผู้ชายอกสามศอกยังอดคลื่นไส้ไอ้ตัวพวกนี้ไม่ได้ ชาร์ลกล่าวติดตลก แต่เจ้าหญิงขำไม่ออกเลยจริง ๆ ข้ายังไม่เห็นพวกกองทัพคนป่าเลย? กษัตริย์ซิกมันด์ทรงยกกล้องขึ้นส่องดู ไม่ใช่ว่าพวกมันหนีไปกันหมดแล้วหรือ? หลายวันมานี่พวกมันออกมาทำอะไรกันนอกกำแพงเมืองทุกวัน ข้าไม่เห็นมีสิ่งใดแตกต่างไปจากเดิมเลย พวกเขาก็อยู่ข้างนอกนั่นแหละ เจ้าหญิงตรัสแม้พระองค์จะไม่เห็นร่องรอยของกองทัพฟูดินันเลย แต่พระองค์มั่นใจว่าพวกเขาอยู่ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา พระองค์เห็นว่ากองทัพฟูดินันทำงานกันหนักขนาดไหน พวกเขาแทบจะกินอยู่หลับนอนกันนอกกำแพงเมืองตลอดเวลา แม้พระองค์จะไม่รู้ว่าพวกฟูดินันกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม กระหม่อมก็มั่นใจว่าพวกเขาอยู่พ่ะย่ะค่ะ สนามรบมันมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่กระหม่อมก็ไม่อาจทูลได้ว่ามันคืออะไร? ชาร์ลทูลตอบพลางกวาดตาไปรอบ ๆ สนามรบ ก็ดี ข้าจะคอยดู กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก สายตาก็พลันกวาดมองกองทัพซาโลมที่เคลื่อนใกล้เข้ามา สั่งพลธนูเตรียมพร้อม ข้าอยากจะให้มันจบเร็วที่สุด พ่ะย่ะค่ะ ชาร์ลรับคำพร้อมกับให้สัญญาณแก่พลธนู พร้อมกับเหล่าพลธนูซึ่งเข้าประจำที่ทันที เดี๋ยวก่อน...นี่มัน! กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุด เมื่อกองทัพซาโลมปล่อยทหารผีดิบเป็นทัพหน้าและให้พวกทหารมนุษย์อยู่ทัพหลังโดยปักหลักไกลเกินว่าพลธนูจะยิงไปถึง เพราะความที่ฟีเลเซียรบอย่างเป็นระเบียบแบบแผนทำให้ฝ่ายซาโลมสามารถอ่านกลยุทธของฟีเลเซียได้ไม่ยากนัก นั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟีเลเซียที่แม้จะจู่โจมได้รวดเร็ว ฉับไวและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถชิงเมืองคืนได้สักที เพราะฟีเลเซียถูกเดารูปแบบการโจมตีและวางกำลังดักทางได้ตลอด เวลานี้ดูเหมือนซาโลมจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียแล้ว ในเมื่อซาโลมไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกโจมตีจากพลธนูบนกำแพงเมือง กองทัพก็มีเวลาจัดการกับพวกทัพนก ทัพมังกร และ ทัพเปกาซัสได้ง่ายขึ้น เหล่าฝูงทหารผีดิบที่ไม่กลัวต่อกองทัพลูกดอกที่พุ่งปักลงจนพรุนก็ดาหน้ากันมาอ้ออยู่ที่ประตูเมืองเพราะรู้ดีว่าอีกไม่นาน ฟีเลเซียจะต้องส่งเหล่าอัศวินออกมาจากประตูเมืองแน่นอน พวกมันจึงรอคอยอย่างหื่นกระหายอยากจะฉีกทึ้งกัดกินร่างของมนุษย์จนแทบทนไม่ได้ และเริ่มทุบทำลายบานประตูอันแข็งแกร่งของเมืองคามินยาร์ด ฝ่าบาท ชาร์ลกล่าวอย่างร้อนรน เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนที่พวกมันจะทำลายประตูเมืองเข้ามาได้ Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 06, 2006, 06:08:31 AM ไปตามพวกนักบวชมา เราต้องกำจัดไอ้ผีพวกนี้ให้ห่างจากประตูก่อน ไม่อย่างนั้นกองทัพอัศวินจะออกจากประตูไม่ได้เลย กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสอย่างเร่งรีบ
นักบวชหลายร้อยรูปถูกพาขึ้นมาบนยอดกำแพงโดยมีเหล่าอัศวินคอยอารักขาอย่างเต็มที่ เพราะก้อนหินก้อนแล้วกันเล่าที่ทหารฟีเลเซียขว้างลงไปใส่พวกทหารผี ก็ถูกพวกทหารผีเหวี่ยงคืนกลับมาจนเหล่าทหารบนกำแพงสับสนอลหม่านอยู่ไม่น้อย ทั้งหินก้อนใหญ่ที่ถูกดีดขึ้นมาจากเครื่องดีดหินของฝ่ายซาโลมก็สร้างความปั่นป่วนให้ฝ่ายฟีเลเซียไม่น้อยเช่นกัน บรรดานักบวชต่างก็พุ่งเป้าไปที่ทหารผีหน้าประตูเมือง แสงสีขาวจากพลังเวทย์ของเหล่านักบวชพุ่งใส่ทหารผีที่ออกันอยู่หน้าประตูจนควันโขมงไปทั่วบริเวณนั้น แต่จำนวนทหารผีที่มีมากเป็นหมื่นนายทำให้ดูเหมือนว่าจำนวนของพวกมันไม่ได้ลดลงเลย ซิกมันด์ มันอาจจะฟังดูไม่เข้าท่าในเวลาขับขันอย่างนี้ แต่ในเมื่อผีดิบพวกนี้กลัวของศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหญิงเรจิน่าพูดรัวแทบจะไม่หายใจ เจ้าเคยลองเอาลูกธนูอาบน้ำเสกศักดิ์สิทธิ์(Holy Water)ดูรึยัง? กษัตริย์ซิกมันด์ทรงมองเจ้าหญิงขมวดคิ้วแน่น ยัง เสด็จพี่ไปได้ความคิดนี่มาจากไหน? พี่เพิ่งคิดได้เดี๋ยวนี้เอง จะลองดูไหม? เจ้าหญิงตรัสถาม ก็น่าสนใจอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ชาร์ลกล่าวอย่างเร่งรีบ ลำพังนักบวชเพียงแค่นี้คงไม่พอแน่ ได้ จัดการเลย กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสเสียงเฉียบ เพียงไม่นานถังบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรมของโบสถ์ถังแล้วถังเล่าจากโบสถ์ทั่วเมืองคามินยาร์ดก็ถูกลำเลียงขึ้นมาถึงบนป้อมกำแพง ลูกธนูนับพันดอกถูกแช่ลงในถังน้ำศักดิ์สิทธิ์จนมิดดอก หัวหน้าพลธนูหยิบลูกธนูขึ้นประทับเล็ง ทันทีที่ลูกธนูพุ่งออกจากคันศรและปักร่างของทหารผีตัวหนึ่งท่ามกลางสายตาคาดหวังจากทุก ๆ คนบนป้อมกำแพง เสียงร้องแหลมและกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาก็สร้างความยินดีให้กับทั้งกองทัพ แต่ฤทธิ์ของลูกธนูมีไม่มากพอจะทำลายร่างขนาดใหญ่ของทหารผีได้ ทำได้แค่สร้างความเสียหายให้กับร่างเนื้อของพวกมันเท่านั้น หัวหน้าพลธนูเล็งธนูอีกสามดอกเจาะหัวทั้งสามของมันก่อนที่มันจะเดินสะเปะสะปะเพราะขาดหัวที่คอยชี้ทาง ก็ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เพียงแต่ใช่ลูกธนูมากหน่อย กษัตริย์ซิกมันด์กล่าวเสียงเครียด คงพอจะกันพวกผีพวกนี้ให้ห่างจนประตูเมืองได้ ทิโมธีน่าจะทำให้มันได้ผลดีกว่านี้ได้ในศึกครั้งต่อไป เจ้าหญิงเรจิน่าตรัสขณะจ้องมองผลที่เกิดขึ้น ถ้าเราสามารถใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้ ท่านพร้อมรึยัง? กษัตริย์ซิกมันด์ตรัสถามจอมทัพแห่งฟีเลเซีย พ่ะย่ะค่ะ ชาร์ลรับคำเสียงหนักแน่นพลางค้อมศีรษะขอตัวก่อนจะเดินลงจากป้อมกำแพงไปสมทบกับกองทัพอัศวินที่จัดเตรียมไว้เบื้องล่าง ชาร์ลขึ้นยืนตระหง่านเหนือรถม้าศึก ดาบคูนิกุนเดส่องประกายวับพร้อมจะฟาดฟันใส่อริศัตรู เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นบอกให้รู้ว่าประตูเมืองพร้อมที่จะเปิดแล้ว ชาร์ลชูดาบคูนิกุนเดขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย! เสียงตะโกนของเขาดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงตอบรับของกองทัพแห่งฟีเลเซียดังสนั่น เพื่อศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย! เพื่อศักดิ์ศรีแห่งฟีเลเซีย! ทันใดนั้นบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับกองทัพอัศวินที่พุ่งทะยานออกไปอย่างไม่กลัวเกรง เสียงศัตราวุธกระแทกเข้าใส่กันดังอย่างดุเดือด กองทัพอัศวินพุ่งทะลวงผ่านกองทัพหน้าของซาโลมไปจนถึงกองทัพตอนกลาง ทั้งสองกองทัพต่างเข้าห่ำหันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทว่ากองทัพซาโลมดูจะอ่านเกมของฝ่ายฟีเลเซียออกเมื่อกองทัพผีนรกกลับหยุดโจมตีกำแพงเมืองเสียดื้อ ๆ และหันกลับมาตลบหลังกองทัพอัศวินแทน ทำให้กองทัพของฟีเลเซียตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูโดยสมบูรณ์ กองทัพซาโลมคงจะหวังกำจัดกองทัพอัศวินเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีกองทัพอัศวินคอยต้านในเมืองอีก ในเวลาที่ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงทุกขณะ แต่แล้วจู่ ๆ เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังระงมไปทั่วทั้งสนามรบ เสียงขู่คำรามของสัตว์ป่าและเสียงเป่าใบไม้ดังหวีดหวิวมาจากทุกทิศทุกทาง และในทันใดนั้นเองผืนดินทั่วทั้งสนามรบก็ดูเหมือนจะยุบฮวบและเคลื่อนไหวได้ แม้แต่ก้อนหินโดยรอบก็ยังขยับเขยื้อน เพียงชั่วเสี้ยววินาทีกองทัพแห่งฟูดินันก็กระโจนออกมาจากใต้ผืนดินบ้าง ก้อนหินบ้าง บนต้นไม้บ้าง ต่างพุ่งเข้าโรมรันพันตูใส่กองทัพซาโลมจากทุกทิศทุกทางจนทั้งสนามรบมองดูสับสนและยุ่งเหยิงไปหมด นี่มันการรบอะไรนี่? ไร้ระเบียบที่สุด กษัตริย์ซิกมันด์ทรงกวาดตาไปทั่วทั้งสนามรบ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะดูการต่อสู้ที่จุดไหนดี เจ้าหญิงเรจิน่าทรงพยายามกวาดตามองหาเหล่าขุนพลแห่งฟูดินันและฮารีซัน พระองค์ปรารถนาจะเห็นการรบของพวกเขาเป็นที่สุด เพียงครู่เดียวพระองค์ก็ได้เห็นดามิก้าบนหลังอาลูปัสสัตว์หน้าขนขนาดใหญ่สีขาวปลอดของเธอซึ่งบัดนี้ขนของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมแดงเพราะเลือดของศัตรูที่สาดกระเซ็น ดามิก้าควบอาลูปัสตรงเข้าใกล้กำแพงเมืองอย่างรวดเร็วโดยมีทหารซาโลมบนหลังนกโมฮาวิ่งตามติด ๆ และดูเหมือนว่าเจ้านกพวกนั้นไม่ได้ฟังคำสั่งของทหารซาโลมเลยสักนิด เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกทหารควบคุมพวกมันไม่ได้เลย และเพียงพริบตาเดียวอาลูปัสก็ควบขึ้นกำแพงเมืองจนเหมือนมันไต่กำแพงได้แล้วจึงกระโจนกลับหลังข้ามศีรษะพวกทหารซาโลมไป และในเสี้ยววินาทีนั้นทหารซาโลมก็ถูกคมดาบสะบัดฟันจะกลิ้งตกจากหลังนก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่อาลูปัสก็ขย้ำคอนกโมฮาตัวแล้วตัวเล่าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งตัวหายเข้าไปในคลื่นสงครามอีกครั้ง ซึ่งตลอดทางที่ผ่านไปก็มีอันต้องเห็นอาวุธหรือชิ้นส่วนของร่างกายใครบางคนลอยขึ้นมาเหนือหัว Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 06, 2006, 06:09:42 AM เสียงคำรามของนักรบเผ่าสมิงดังขู่คำรามสร้างความตื่นตกใจให้ทหารที่อยู่ใกล้ได้ตลอดเวลา การจู่โจมแบบเผ่าสมิงยิ่งสร้างความหลากหลายให้แก่การรบจนยากที่จะบอกได้ว่าเป็นการรบชนิดใด คาร์นนั้นด้วยกำลังและกล้ามเนื้อที่เหนือว่ามนุษย์จนมีความคล่องตัวสูงผนวกกับการจู่โจมที่มีกลิ่นอายของสัตว์ป่าเยี่ยงราชสีห์ ทำให้การจู่โจมนั้นดูดุดันรุนแรงราวกับโถมเข้าใส่อย่างไม่ปรานี ดาบ โล่ กงเล็บ และคมเขี้ยว ถูกใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งกระโจนขึ้นจู่โจมจากที่สูง โถมเข้าใส่จากระยะประชิด หมอบต่ำก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่ สารพัดวิธีการจู่โจมจนไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะป้องกันและต่อกรด้วยวิธีใด
เซนทอร์ทราเฮิร์นควงทวนผ่านกองทัพเพลิงไปอย่างคล่องแคล่ว ทวนขนาดใหญ่ตวัดเข้าใส่ทหารซาโลมอย่างพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต ความคล่องแคล่วในการใช้ทวนของเขาทำให้ทหารซาโลมไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้เลย แต่แล้วสายตาเขาก็พลันได้เห็นอัศวินคนหนึ่งถูกจู่โจมจนพลาดตกจากหลังม้า ขาของเขาคงจะหักและกำลังจะตกเป็นเหยื่อของกงเล็บพิฆาตของมือเพชฌฆาตแห่งซาโลม ด้วยการตวัดทวนเพียงครั้งเดียวนายพลทราเฮิร์นก็สังหารมือเพชฌฆาตได้ทันก่อนที่เขาจะถูกเด็ดหัว ท่านมาช่วยข้าทำไม? อัศวินแห่งฟีเลเซียมองเขาด้วยความงุนงง ก็เรารบร่วมกันไม่ใช่หรือ? ทราเฮิร์นมองเขาด้วยความประหลาดใจพอกัน ม้าของเจ้าวิ่งเตลิดไปแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่ประตูเมืองแล้วกัน นายพลเซนทอร์ดึงเขาขึ้นมานั่งบนหลัง เอาข้าขึ้นไว้บนหลังอย่างนี้จะทำให้ท่านโดนโจมตีได้ง่ายไม่ใช่รึ? อัศวินมองทราเฮิร์นด้วยสีหน้าประหลาดใจมากขึ้นกับการกระทำของนายทัพเซนทอร์ เจ้าก็ระวังหลังให้ข้าก็แล้วกัน พูดเสร็จทราเฮิร์นก็ควบกลับมุ่งสู่กำแพงเมืองคามินยาร์ด ตลอดทางอัศวินแห่งฟีเลเซียบนหลังทราเฮิร์นสังเกตเห็นว่าพวกชาวป่าช่วยชีวิตเหล่าอัศวินไว้หลายคราด้วยกัน และมีหลายครั้งที่ทวนของทราเฮิร์นสังหารศัตรูที่พุ่งเข้าทำร้ายอัศวินหรือชาวป่าจากทางเบื้องหลัง ซึ่งแม้จะดูไม่มีแบบแผนที่แน่นอนในการรบแต่ดูจะเป็นการรบที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างแท้จริง ผิดกับนักรบแห่งฟีเลเซียที่จะสู้จนตัวตายโดยไม่สนใจอย่างอื่นรอบตัว พวกเขาจะสนใจแต่คำสั่งของผู้บังคับบัญชาและศัตรูตรงหน้าเท่านั้น เมื่อมาถึงริมกำแพงเมือง อัศวินแห่งฟีเลเซียก็ได้เห็นว่าบรรดานักรบชาวป่าค่อย ๆ ลำเลียงคนเจ็บออกมาจากสนามรบบ้างก็หิ้วปีกกันมา บ้างก็แบกขึ้นหลัง เมื่อมาส่งถึงหน้ากำแพงแล้วต่างก็แยกย้ายกันเข้าไปในสนามรบอีก บรรดานายทหารต่างก็งงงวยและประหลาดใจอย่างยิ่งเพราะไม่คิดว่าพวกตนจะได้รับความช่วยเหลือจากนักรบชาวป่าหลังจากที่ชาวฟีเลเซียดูถูกดูแคลนพวกเขา แม้แต่พวกทหารบนป้อมกำแพงก็ยังอดประหลาดใจกับการกระทำของชาวฟูดินันไม่ได้ ทหารที่บาดเจ็บถูกลำเลียงมาเรื่อย ๆ จนมีเป็นร้อยคน ประตูเมืองค่อย ๆ เปิดออกเพื่อลำเลียงผู้บาดเจ็บเข้าไปรักษาในเมือง แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อทหารผีดิบกว่าร้อยตัวฉวยโอกาสที่ประตูเปิดพุ่งเข้ามาหมายจะอาศัยจังหวะนี้เข้าไปภายในเมือง ด้านหน้าประตูก็มีแต่ทหารที่บาดเจ็บออกันอยู่ทำให้ไม่สามารถส่งกองกำลังออกมาขวางไว้ได้ เสียงแตรสัญญาณปกป้องประตูเมืองดังขึ้นทันที ขณะที่ชาร์ล คลาแรนซ์กำลังโรมรันพันตูอยู่กับทหารซาโลมที่ทัพหลัง แต่เมื่อได้ยินเสียงแตรสัญญาณนั่นก็ชักม้าตะบึงฮ้อกลับมาทันที เขาไม่เสี่ยงที่จะให้ทหารผีเข้าเมืองไปได้ แค่ที่เมืองวอลเนียก็มากเกินพอแล้ว ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงนั้นเอง พลันทุกคนก็ได้ยินเสียงร่ายเวทย์จากทุกทิศทุกทางซึ่งดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ใกล้กับกำแพงนั้นนักเวทย์ชาวฟูดินันประมาณห้าคนหรืออาจจะมากกว่านั้นยืนกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณโดยรอบกำแพง คนหนึ่งยืนขวางทางระหว่างทหารที่บาดเจ็บของฟีเลเซียและทหารผีดิบของซาโลม เสียงเป่าใบไม้ซึ่งเหมือนจะเป็นสัญญาณอะไรสักอย่างดังขึ้นจากบริเวณใกล้ ๆ นั้น ซึ่งก็ไม่อาจเห็นตัวคนเป่าได้ นักเวทย์ชาวป่าชูไม้เท้าขึ้นสูงจนสุดแขน และทันทีที่กระแทกไม้เท้าลงบนผืนดิน แผ่นดินบริเวณนั้นก็ดูเหมือนจะอัดแน่นเข้าและเปลี่ยนสีเป็นสีเทาเหมือนก้อนหินไม่มีผิดเพี้ยน และไม่ใช่เพียงแค่พื้นดินเท่านั้น แม้แต่กายเนื้อของทหารผีดิบแห่งซาโลมก็ยังถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นสีเทาเหมือนหินและแข็งค้างหยุดนิ่งอยู่ในข่ายเวทย์ที่ถูกกางขึ้น และแล้วเสียงเป่าใบไม้ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของฮารีซัน ที่แท้สัญญาณนี้เป็นสัญญาณแจ้งข่าวแก่ฮารีซันนั่นเอง ฮารีซันซึ่งได้ยินสัญญาณแจ้งข่าวฉุกเฉินจากเสียงเป่าใบไม้ก็รีบตรงมายังหน้ากำแพงเมืองทันที ดีที่เขาซุ่มวางกำลังส่วนหนึ่งไว้ค่อยป้องกันประตูเมือง ไม่เช่นนั้นหากพวกซาโลมเข้าประตูเมืองไปได้ การฆ่าล้างเมืองอย่างโหดเหี๊ยมเหมือนที่พวกซาโลมทำกับค่ายผู้อพยพชาวป่าคงต้องเกิดขึ้นอีกแน่ ฮารีซันยืนอยู่หน้ากองทัพผีดิบที่ถูกนักเวทย์สาปให้เป็นหินไปชั่วขณะ วิธีที่จะทำลายปีศาจกระหายเลือดพวกนี้ได้ คงไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่าทำให้พวกมันแหลกเป็นผุยผง คิดได้ดังนั้นก็หลับตาลงยกกำปั้นขึ้นสูง เพ่งฌาณเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดิน(Geo Meditation) ก่อนจะรวบรวมสมาธิทั้งสิ้นไว้ที่มือของเขาจนเกร็งสั่น มัดกล้ามขยายตัวและแข็งขึ้นราวกับหินผา ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นสามารถรู้สึกได้ว่าพื้นรอบ ๆ ตัวสั่นสะเทือน ก้อนหินเล็ก ๆ บริเวณนั้นเริ่มเต้นและสั่นระริก Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 06, 2006, 06:11:14 AM ย้ากกกกกกกกกกกก
ตูม!!! ฮารีซันตะโกนสุดเสียงก่อนจะกระแทกกำปั่นใส่พื้นสุดแรงเกิด จนเสียงดังราวกับเสียงระเบิด แรงกระแทกอันมหาศาลทำให้ทุกคนที่อยู่บนกำแพงรู้สึกว่าพื้นสะเทือน ร่างหินของทหารผีดิบสั่นเหมือนกับเกิดแผ่นดินไหวที่พื้นใต้เท้าที่ยืนอยู่ ร่างที่เป็นหินเหล่านั้นค่อย ๆ แตกออกจากกัน และด้วยแรงสั่นสะเทือนที่ดูเหมือนจะยังไม่ยอมหยุดง่าย ๆ นั้นทำให้ก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ ค่อย ๆ แตกออกเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยลงเรื่อย ๆ ย้ากกกกกกกกกกกก ตูม!!! ฮารีซันกระแทกหมัดใส่พื้นดินอีกครั้ง คราวนี้แรงสั่นสะเทือนที่เกิดถึงขนาดทำให้ก้อนหินแตกละเอียดจนกลายเป็นผงทรายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน ชาวฟีเลเซียที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับตะลึงงันพูดไม่ออกกันเป็นแถว ต่างเงียบสนิทจ้องมองฮารีซันเป็นตาเดียว แม้แต่กษัตริย์ซิกมันด์และเจ้าหญิงเรจิน่า หรือแม้แต่ชาร์ลที่ควบรถศึกจนกลับมาทันได้เห็นเหตุการณ์นี้ก็ถึงกับตะลึงงันกับสิ่งที่ได้เห็น วิชายุทธของพวกชาวป่ารุนแรงร้ายกาจอย่างคาดไม่ถึงจริง ๆ แม้แต่ทหารซาโลมที่อยู่บริเวณนั้นก็อดประหวั่นไม่ได้ ทว่าเสียงไชโยโห่ร้องอย่างยินดีของพวกชาวป่าทำให้พวกเขาได้สติอีกครั้ง แม้แต่พวกทหารฟีเลเซียหลาย ๆ คนก็อดทึ่งในฝีมือของผู้นำทัพชาวฟูดินันและร่วมไชโยโห่ร้องไปกับพวกชาวป่าด้วย เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ทำให้ขวัญและกำลังใจของทหารทั้งฟูดินันและฟีเลเซียเพิ่มขึ้นทันที ในขณะที่ทหารของซาโลมกลับถูกบั่นทอนกำลังใจจนแพ้ไม่เป็นท่า และเริ่มแตกทัพถอยร่นไปในที่สุด การรบของฟีเลเซียที่เป็นระเบียบและแบบแผน แม้จะทำให้การรบเกิดประสิทธิภาพสูงแต่ก็ถูกอ่านเกมได้อย่างง่ายดาย ทว่าเพราะกองทัพของฟูดินันที่มีวิธีการรบที่ดูจะไม่มีระเบียบแบบแผน แต่ที่จริงแล้วนี่คือแบบแผนการรบที่เป็นระบบระเบียบในแบบของชาวป่าเอง ฝ่ายซาโลมจึงไม่สามารถอ่านเกมการรบได้ออก เพราะการรบของกองทัพฟูดินันได้ปิดจุดอ่อนของกองทัพฟีเลเซีย ทำให้กองทัพร่วมระหว่างฟีเลเซียและฟูดินันเวลานี้กลายเป็นกองทัพที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง s เวลาเช้าตรู่ซึ่งเป็นเวลาสิบสองวันหลังจากการรบที่เมืองคามินยาร์ด ทหารซาโลมที่เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองโครีธาต่างช่วยกันลำเลียงซากศพที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าเดินเข้าประตูเมืองจนแถวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา จุดหมายปลายทางของซากศพเหล่านี้คือค่ายทำทหารผีดิบที่เมืองอาวีเลีย เมืองหน้าด่านที่อยู่ติดกับดินแดนทะเลทรายนั่นเอง ส่วนบรรดาทหารที่บาดเจ็บต่างมุ่งเดินหน้าผ่านประตูเมืองไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย อ่อนระโหยโรยแรงราวกับซากศพ ทุกคนหิวและต้องการการรักษาพยาบาลโดยด่วน แต่การรักษาก็คงไม่ได้มีให้มากนักเพราะแบล็ค ไวเซอร์อยากได้ทหารที่ตายมากกว่าทหารที่บาดเจ็บ กองทัพเพลิงที่เป็นหนึ่งในดินแดนทะเลทรายไม่เคยพ่ายแพ้ให้ศัตรูหน้าไหนกลับต้องมาพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งเหล่านี้บั่นทอนกำลังใจของเหล่าทหารหาญของซาโลมลงไปเรื่อย ๆ แม้รบจนตัวตายก็เหมือนไม่ตายเพราะวิญญาณก็ยังถูกกักเก็บมาทำเป็นทหารผีดิบ ต้องวนเวียนอยู่กับการฆ่าฟันที่ไม่รู้จบ คำกล่าวที่ว่าความกดดันทำให้คนคลุ้มคลั่งและขาดสตินั้นไม่ไกลจากความเป็นจริงเลย ทหารซาโลมเวลานี้จิตใจเริ่มห่างไกลจากความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีแล้ว ระหว่างที่เหล่าทหารซาโลมกำลังลำเลียงซากศพเข้าประตูเมืองอยู่นั้น พลันทุกคนก็ได้ยินเสียงร้อง ปี๊บ ปี๊บ จากเกวียนสามเล่มที่กำลังถูกเข็นผ่านประตูเมือง ปี๊บบบบบบบบบบบบบ ๆ ๆ ตูม! ตูม! ตูม! เสียงระเบิดดังขึ้นติด ๆ กันถึงสามครั้ง ประตูเมืองทั้งบานหักพับและแตกเป็นเสี่ยง ๆ คานประตูยุบตัวและถล่มลงมาอย่างรวดเร็วจนเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเมือง ทหารซาโลมถูกเกณฑ์ให้มาลำเลียงซากปรักหักพัง บางส่วนก็ถูกส่งออกไปไล่ล่าหามือวางระเบิด บางส่วนก็ต้องรีบลำเลียงคนเจ็บและซากศพที่มีเพิ่มมากขึ้น จนดูวุ่นวายและชุลมุนไปหมดทั้งบริเวณ แต่แล้วพลันเสียงแตรก้านยาวก็แผดดังประสานกับเสียงแตรเขาสัตว์จนดังระงมทุ่ง กองทัพฟีเลเซียและกองทัพฟูดินันที่เคลื่อนทัพหลังจากชัยชนะที่เมืองคามินยาร์ดสามวันก็สามารถไล่ทันกองทัพซาโลมในที่สุด กองทัพแห่งสายลมพุ่งทะยานเต็มอัตราศึกหมายจะทะลวงผ่านช่องประตูเมืองที่ถูกเปิดออกเข้าจู่โจมกองทัพเพลิงภายในเมืองแบบม้วนเดียวจบ ทหารซาโลมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต่างวิ่งหาอาวุธไว้ป้องกันตัวกันอลหม่าน ชาร์ล คลาแรนซ์ออกนำขบวนรถศึกควบฮ้อผ่านประตูเมืองไปอย่างรวดเร็ว กองทัพฟีเลเซียทะยานผ่านแถวทหารซาโลมภายในกำแพงเมืองราวกับสายลมแห่งความตายที่พัดกระชากวิญญาณของทหารเพลิงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ขณะเดียวกัน บรรดานักรบแห่งฟูดินันทันทีที่ไปถึงกำแพงเมืองก็กระจายตัวกันเข้าจัดการทหารซาโลม บรรดาเผ่าสมิงวิ่งไต่ผนังขึ้นไปถึงยอดกำแพงตรงเข้าจัดการพลธนูของซาโลมราวกับมีพลังวิเศษ ขณะที่บางพวกก็กระโดดลงจากหลังกริฟฟินพุ่งเข้าจู่โจมทหารเพลิงจากทางอากาศ บ้างก็มุดดินรอดกำแพงเข้าไปได้อย่างน่าประหลาด Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 06, 2006, 06:12:36 AM ดามิก้าขี่อาลูปัสซึ่งกระโจนเพียงสองครั้งก็ไปถึงยอดกำแพงได้อย่างง่ายดายตรงเข้าสังหารทหารซาโลมบนป้อมกำแพงทันทีเพื่อเปิดทางให้กองทัพเข้าเมืองได้สะดวกยิ่งขึ้น อีกฟากของกำแพงเมืองคาร์นซึ่งก็กำลังฟาดฟันทหารซาโลมอย่างดุเดือดก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน ทหารซาโลมถูกฟาดตะปบกระเด็นออกจากยอดกำแพงเป็นว่าเล่น ใครที่รอดผ่านการจู่โจมด้วยกงเล็บของเขาไปได้ก็ต้องโดนคมดาบฟันแทงอยู่ดี จนดูเหมือนเหยื่อที่ไม่เคยรอดพ้นจากการไล่ล่าของพญาราชสีห์ กองทัพเซนทอร์ซึ่งนำโดยทราเฮิร์นก็ควบวิ่งไปทั่วภายในกำแพงเมืองไล่ดักบรรดาทหารซาโลมจากทุกทิศทุกทางก่อนจะพลัดกันพุ่งเข้าจู่โจมจนไม่อาจหนีไปทางไหนได้ ในขณะที่เสียงรัวหมัดของฮารีซันก็ดังไม่หยุดเลยเช่นกัน และบ่อยครั้งที่ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน
ฝ่ายจอมทัพชาร์ลนำทัพอัศวินพุ่งควบทะยานรถศึกลัดเลาะถนนต่าง ๆ ไปอย่างรวดเร็ว ผ่านอาคารบ้านเรือนที่มีร่องรอยของความเสียหายจากการทำลายล้างตั้งแต่เมื่อคราถูกราชินีเนริมอร์จู่โจมด้วยกองทัพมังกรไฟครั้งแรก เมืองที่เคยเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่เรียบสง่าและทิวทัศน์ที่เห็นเทือกเขาลดหลั่นซ้อนตัวกันอย่างสวยงาม บัดนี้เหลือเพียงซากกองอิฐ กองขยะและความเลอะเทอะสกปรกที่ทหารซาโลมทำไว้ จอมทัพแห่งฟีเลเซียควบฮ้อรถศึกให้เร็วขึ้น เป้าหมายของเขามีเพียงที่เดียวเท่านั้นคือจวนของเจ้าเมืองแห่งโครีธา เขาหวังจะได้เห็นแม่ทัพราโชยูที่นั่น ความหวังที่จะได้กุ้ศักดิ์ศรีที่สูญเสียไปเพราะแม่ทัพทมิฬชิงหนีการประลองไปถึงสองครั้งนั้นมีมากจนคับอก ทันทีที่มาถึงจวนของเจ้าเมือง เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าสามารถยึดกำแพงเมืองและเมืองส่วนหน้าไว้ได้แล้ว ชาร์ลตวัดดาบคูนิกุนเดด้วยความฮึกเหิม ถ้าปราบแม่ทัพที่คุมเมืองนี้และยึดจวนได้เมื่อไหร่? เมืองในส่วนที่เหลือก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ คิดเพียงเท่านั้นทหารผีดิบก็วิ่งพรวดพราดออกมาจากประตูของจวนเจ้าเมืองตรงเข้าจู่โจมกองทัพอัศวินแห่งฟีเลเซียทันที เรียงแถวกันเข้ามาเลย! ชาร์ลกระโดดออกจากรถศึกพุ่งเข้าฟาดฟันใส่ทหารผีดิบในชั่วเสี้ยววินาที เพียงพริบตาเดียวทหารผีดิบก็สลายกลายเป็นไอเดือดร่างแหลกเหลวเจิ่งนองไปทั่วลานหน้าจวน ชาร์ล คลาแรนซ์พร้อมกับเหล่าอัศวินต่างวิ่งกรูกันเข้าไปในจวนทันที ที่ห้องชั้นบนสุดนั้นเอง เมื่อประตูถูกกระแทกเปิดออก ผู้ที่คุมเมืองโครีธาหาใช่ราโชยูแต่กลับเป็นบลาส เซจ อุปราชเฒ่าแห่งซาโลมคอยท่า อยู่ข้างกายนั้นมีทหารสองนายที่ดูเหมือนกึ่งเป็นกึ่งตายยืนตาขวางจ้องเขม็งมาทางชาร์ล เสียงลมหายใจฟืดฟาดเหมือนคนเสียจริต เก่งนี่ที่ขึ้นมาถึงที่นี่ได้ แม่ทัพแห่งฟีเลเซีย บลาส เซจเอ่ยชมแต่สีหน้าไม่รู้สึกชื่นชมเหมือนปากพูดเลยสักนิด เจ้าคือ...บลาส เซจ? ชาร์ลเอ่ยชื่ออุปราชของซาโลมออกมาตามที่หน่วยสอดแนมรายงาน ถูกต้อง บลาส เซจกระแทกเสียงตอบอย่างกร้าวกระด้าง และรางวัลของเจ้าที่ทายถูกคือความตาย ฆ่ามัน! ทหารต้องสาป(Last Dance Soldier)ของข้า บลาส เซจ ตะโกนสั่งสุดเสียงพร้อมกับที่ทหารต้องสาปทั้งสองพุ่งเข้าใส่จอมทัพแห่งฟีเลเซียอย่างบ้าคลั่งทันที ชาร์ลขยับหลบอย่างรวดเร็วพลางสะบัดคูนิกุนเดเพียงไม่กี่ครั้ง ร่างทหารต้องสาปก็ถูกตัดเป็นท่อน ๆ ร่วงลงกองอยู่แทบเท้า บลาส เซจตะลึงงันไปชั่วขณะที่ทหารต้องสาปของตนถูกกำจัดอย่างง่ายดาย ดูท่าเขาคงจะประมาทจอมทัพแห่งฟีเลเซียมากเกินไป นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความงี่เง่าโลภมากของกษัตริย์ซาดินที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานที่จะให้บุกฟีเลเซียต่อไปของเขาตอนที่อยู่ในเขตป่าฟูดินัน ป่านนี้ฟีเลเซียคงแตกพ่ายไปนานแล้ว และไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ทัพราโชยูอยู่ที่ไหน? ชาร์ลถามขณะกระชับคูนิกุนเดก้าวอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้บลาส เซจ บลาส เซจใบหน้าบึ้งตึงมากขึ้น ไอ้แม่ทัพร่างยักษ์ไร้ประโยชน์นั่นก็เหมือนกัน เพราะความงี่เง่าของมันถึงทำให้เสียเมืองไปถึงสองเมืองอย่างน่าเสียดาย ทหารซาโลมหลายแสนนายจึงไม่อาจจะอยู่กันอย่างแออัดในเมืองอาวีเลียและเมืองโครีธาเมืองที่ตีมาได้ซึ่งเหลือเพียงแค่สองเมือง จึงต้องแบ่งกำลังบางส่วนออกไปนอกกำแพงเมืองอาวีเลีย โดยที่แม่ทัพร่างยักษ์นั่นออกไปควบคุมการตั้งค่าย แต่ที่น่าทุเรศที่สุดก็เห็นจะเป็นความไร้สมองของกษัตริย์ซาดินอีกนั่นแหละ ไม่รู้ว่าไปเอาความคิดมาจากไหนที่ต้องให้ข้ามาตีเมืองคืนเพื่อกุ้หน้าที่พ่ายแพ้พวกกองทัพฟูดินันกลางป่านั่น บลาส เซจคิดอย่างฉุนเฉียว ข้าเป็นอุปราชนะไม่ใช่แม่ทัพ ให้ข้าเป็นคนวางแผนการรบทั้งหมดเสียเองยังจะดีซะกว่า ความคิดที่อยากจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในกองทัพเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ จู่ ๆ ภาพเขานั่งบนบัลลังก์เหนืออาณาจักรทั้งปวงก็ปรากฏบนมโนจิตของเขา บลาส เซจ หัวเราะลั่น ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกวิชามารกับแบล็ค ไวเซอร์ เขารู้สึกว่าบ่อยครั้งที่จู่ ๆ ก็มีความคิดหรือภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาในสมองของเขาเองโดยอัตโนมัติ แต่ช่วงนี้มันถี่ขึ้นเรื่อย ๆ นี่จะต้องเป็นภาพที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคตแน่ ๆ การฝึกวิชามารคงทำให้เขามองเห็นอนาคตได้ แต่ก่อนอื่นเขาต้องกำจัดเสี้ยนหนามข้างหน้านี่ให้ได้เสียก่อน บลาส เซจจมอยู่ในความคิดอันชั่วร้ายและสับสน ชาร์ลมองอุปราชเฒ่าด้วยความงุนงงไม่เข้าใจกับท่าทางที่แสดงออกของเขา ดวงตาของอุปราชเฒ่าจ้องตรงมาที่เขาแต่กลับดูเหมือนเขามองเห็นอย่างอื่นมากกว่าจะเห็นตัวเขาเอง ชาร์ลขยับเข้าไปใกล้อีกนิด แต่แล้วเท้าก็ไปสะดุดกับดาบของทหารต้องสาปที่กองเป็นชิ้น ๆ อยู่บนพื้น เสียงดาบกระทบกับเกราะที่เท้าดังขึ้นจนบลาส เซจได้สติ Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 06, 2006, 06:13:14 AM บลาส เซจ จ้องชาร์ลด้วยดวงตาที่หรี่แคบและแข็งกร้าวก่อนจะตะโกนร่ายมนตร์เสียงดัง และยกขวดพกสีดำสนิทสาดของเหลวบางอย่างใส่แม่ทัพชาร์ลทันที แต่ชาร์ลมีประสาทตอบรับที่ไวกว่าจึงตวัดคูนิกุนเดขึ้นป้องกันตนเองอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ของเหลวสีดำสนิทกระทบถูกดาบคูนิกุนเดแล้วก็เดือดพล่านพร้อมกับมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบไปหมด เมื่อบลาส เซจเห็นดังนั้นใบหน้าก็ยิ่งบูดบึ้งขึ้นอีก ดูท่าทางจะไม่ดีเสียแล้ว เขาไม่ถนัดการสู้แบบซึ่ง ๆ หน้าเสียด้วย คิดได้ดังนั้นก็ยกคทาขึ้น
มีลูกเล่นอะไรอีกล่ะ? ชาร์ลเอ่ยเยาะ ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง บลาส เซจร่ายคาถาเสียงดังอีกครั้งพร้อมกับควงคทาเป็นวง จู่ ๆ ร่างของบลาส เซจก็เริ่มดูไม่คงรูปเหมือนอย่างเดิม แล้วร่างกายของอุปราชเฒ่าก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ เสร็จกัน ชาร์ลประมาทบลาส เซจเกินไปเสียแล้ว เขารีบวิ่งตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับสะบัดดาบใส่เต็มแรง ทว่าเขาพบแต่ความว่างเปล่าในร่างที่จางลงนั้น พวกซาโลมมันทำเป็นแต่หนีหรือยังไงกัน?! ชาร์ลกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิดมองพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้า การเฉลิมฉลองย่อย ๆ ถูกจัดขึ้นกลางลานใหญ่ของเมืองโครีธาในค่ำคืนวันนั้นเอง กองทัพฟีเลเซียและกองทัพฟูดินันสามารถยึดเมืองคืนได้สำเร็จในบ่ายวันนั้นเอง เป็นการเข้ายึดเมืองคืนที่รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว กองทัพแห่งซาโลมที่เคยแต่บุกชิงเมืองต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน แต่กลับไม่เคยได้เป็นฝ่ายตั้งรับปกป้องเมืองจากศัตรูเลย ทำให้ขาดความชำนาญในการรับมือกับกองทัพร่วมของฟีเลเซียและฟูดินัน ซ้ำยังถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้เสียเมืองโครีธาคืนให้แก่ฟีเลเซียไปอย่างรวดเร็วเหมือนครั้งที่ซาโลมชิงโครีธามา ทว่าการฉลองนี้กลับเริ่มมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะไม่ใช่ว่ากองทัพทั้งสองจะต่างคนต่างฉลองชัยชนะของพวกตนอีกแล้ว แต่เริ่มมีทหารฟีเลเซียบางกลุ่มร่วมฉลองกับฝ่ายกองทัพฟูดินัน ทหารฟีเลเซียพวกนี้ส่วนมากเป็นคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากทหารฟูดินัน บ้างก็เป็นพวกที่นิยมชมชอบในฝีมือการสู้รบของนักรบชาวป่า โดยเฉพาะฮารีซันและเหล่าขุนพลทั้งสาม ซึ่งเป็นไปตามนิสัยของอัศวินนักรบที่มักชื่นชมและให้เกียรติแก่ผู้ที่ตนประจักษ์ในฝีมือ แต่ก็ยังมีอีกพวกที่เริ่มจะชิงชังและหมั่นไส้พวกกองทัพชาวป่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกนายทหารที่มียศและตำแหน่งในกองทัพ เพราะผลงานของกองทัพชาวป่าทำให้พวกเขาเสียหน้าและอับอาย ความขัดแย้งเหล่านี้ค่อย ๆ เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ และคงจะเริ่มมีใครสังเกตเห็นในไม่ช้า Title: Re: @@ นิยายSMN Chapter 47 หนักแน่นดุจภูผา โหมกล้าดั่งพายุ @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 25, 2006, 09:50:05 PM มาเม้ากันต่อที่นี่นะตัวเอง
http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2.0 |