Title: @@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on June 03, 2006, 08:00:03 PM Chapter 44 น้ำตานางเงือก [/size]สายวันหนึ่งท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวกลางดินแดนทะเลทราย ภายในอุทยานหลวงของจักรวรรดิซาโลมที่ดูจะชุ่มชื้นกว่าส่วนอื่น ๆ ในดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้ เจ้าชายองค์น้อยผู้เป็นรัชทายาทหนึ่งเดียวของจักรวรรดิกำลังประทับนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างสระน้ำขนาดย่อม ๆ ที่มีร่มเงาพอจะปกป้องผิวบาง ๆ ของเด็กชายให้พ้นจากพิษแดดที่แผดเผาได้พอสมควร เจ้าชายน้อยดูจะเซื่องซึมและมีสีหน้าอมทุกข์ ไร้ความสุข เอาแต่จ้องมองผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกเพราะแรงลม นาริส สุไลมาน ผู้ซึ่งยืนสังเกตดูอยู่ห่าง ๆ มาได้ครู่ใหญ่แล้วจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พระองค์ไม่ได้เล่นกับพวกบรรดาลูก ๆ ของเหล่าเสนาฯอำมาตย์และเริ่มเก็บตัวอยู่คนเดียวเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาอยู่ในห้องเรียนก็ดูกระตือรือร้นดี เพียงแต่บางครั้งเท่านั้นที่พระองค์ดูเหม่อลอย ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นเพราะพระโอรสทรงคิดถึงพระมารดามาก เด็กเล็ก ๆ มักจะรู้สึกไวต่อความว้าเหว่เมื่อต้องอยู่ห่างกับแม่ผู้เป็นที่รัก ต่อให้จะเข้มแข็งสักเพียงไรเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ จะทนความกดดันเช่นนี้ไปได้สักกี่เดือนกัน ถึงเขาดูแลอย่างใกล้ชิดแต่ก็ยังไม่อาจทดแทนความรักของผู้เป็นมารดาอย่างราชินีเนริมอร์ได้ มหาอำมาตย์เฒ่าเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ พระโอรสน้อยอย่างเงียบ ๆ พลางพิจารณาดูใบหน้าเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างกาย เจ้าชายน้อยเมื่อรู้สึกถึงการมาของนาริสก็รีบเบือนหน้าแอบเช็ดคราบน้ำตาบนสองแก้มออกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงก้มหน้าอยู่เพื่อจะซ่อนรอยแดงที่ขอบตาและจมูกเพราะการร้องไห้ไว้ นาริสโอบหลังเจ้าชายน้อยด้วยความห่วงใยพลางลูบหลังช้า ๆ เอ่ยถามเสียงเบา ๆ คิดถึงพระมารดารึพ่ะย่ะค่ะ? เจ้าชายน้อยไม่ตอบแต่ใช้การพยักหน้าแทน เมื่อไหร่ เสด็จแม่จะกลับมา? เจ้าชายอิสฮานเอ่ยถามเสียงเบาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้า ถ้าเทียบกับเวลาที่พระองค์ทรงจากไป....นี่ก็คงใกล้เวลาที่จะเสด็จกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ นาริสทูลตอบแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย เขาไม่อยากให้เจ้าชายน้อยต้องรอคอยด้วยความกระวนกระวายเพราะความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคำพูดของเขาที่หยิบยื่นให้ เราหมายถึงกลับมาจริง ๆ ต่างหาก ไม่ใช่ไป ๆ มา ๆ อย่างนี้ เมื่อไหร่สงครามจะจบเสียที? เจ้าชายน้อยวางคางลงบนเข่าที่เขาคู้กอด เปรยด้วยน้ำเสียงอึดอัดและระทมทุกข์จนนาริสสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเจ้าชายที่เพิ่งจะอายุเต็มแปดชันษาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นทุกข์ลึกเกินเด็กธรรมดาเช่นนี้ ราวกับพระองค์กำลังแบกโลกทั้งใบไว้เลยทีเดียว เมื่อนาริสยังไม่ได้ทันตอบอะไร เจ้าชายน้อยก็เปรยเสียงเศร้า ถ้าเราไม่เกิดมาคงจะดีกว่านี้ใช่ไหม? ท่านนาริส เจ้าชายน้อยตรัสจบก็ทรงเบือนหน้าไปจ้องมองระลอกคลื่น ทรงกัดริมฝีปากล่างแน่นเหมือนพยายามจะไม่ร้องไห้ ฝ่าบาท ทำไมตรัสเช่นนั้น ? นาริสสัมผัสถึงดวงใจน้อย ๆ ที่กำลังจะแตกสลาย เกิดความเงียบไปพักใหญ่เมื่อเจ้าชายน้อยเอาแต่นั่งนิ่งเม้มริมฝีปากแน่น พระองค์ไม่ทรงเหลียวมองนาริสสักนิด น้ำตาค่อย ๆ ไหลลงมาตามร่องแก้ม มือน้อย ๆ กำแน่นจนสั่นเทิ้มด้วยพยายามอดกลั้นจนไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมา เมื่อเจ้าชายยังคงไม่ยอมตรัสใด ๆ นาริสจึงยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น ฝ่าบาท!?! เพราะเราเป็นต้นเหตุของสงคราม เพราะคำทำนายที่บอกว่าเราเป็นดวงอาทิตย์ เจ้าชายน้อยระเบิดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดและอัดอั้นตันใจพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะซบหน้าลงกับเข่าทั้งสองข้างสะอึกสะอื้นจนตัวโยน นาริสใจหายวาบรีบคว้าตัวเจ้าชายน้อยมากอดไว้รู้สึกสงสารพระโอรสจับใจ พระองค์ยังเล็กเกินไปที่จะแบกรับความจริงนี้ พระองค์ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ นาริสถามเมื่อเสียงสะอึกสะอื้นเริ่มเบาลง เรา...เรา...ฮึก เจ้าชายน้อยพยายามหยุดเสียงสะอื้น เราได้ยินพวกนางกำนัลคุยกัน...พวกนาง...พวกนางเพิ่งจะเสียลูก สามีและญาติพี่น้องไปในสนามรบ พวกนาง...ฮึก...พวกนางร้องไห้และพูดว่าเราเป็นเหตุ...เป็นเหตุแห่งความพินาศของผู้คนมากมาย ตรัสแล้วก็ทรงสะอื้นไห้อีกครั้งพลางทุบขาของตนครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนทรงรังเกียจตัวพระองค์เอง เราไม่อยากเป็น! เราไม่อยากเป็น! Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on June 03, 2006, 08:02:14 PM นาริสกอดพระโอรสผู้เต็มไปด้วยความสับสนโยกตัวไปมาเพื่อปลอบประโลม ได้แต่นึกขุ่นเคืองเหล่านางกำนัลในใจที่ช่างสับเพร่าจนไม่ระวังคำพูดให้มาเข้าหูพระโอรสได้ ทว่าใครเหล่าจะตำหนิพวกนางได้ในเมื่อเหตุที่กษัตริย์ซาดินตัดสินใจทำสงครามครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะคำทำนายนั่นและก็เพื่อพระโอรสโดยแท้ นาริสรอจนเสียงสะอื้นเบาลงจึงเอ่ยขึ้น
ฝ่าบาท บางครั้งโชคชะตาก็ดูเหมือนจะโหดร้ายกับเรานัก เวลานี้พระองค์ยังเล็ก ยังไม่มีพลังมากพอที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมัน แต่อนาคตเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ เมื่อถึงเวลาที่พระองค์เติบใหญ่และมีพลังแข็งแกร่งกว่านี้ พระองค์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้นได้ อย่าทรงโศกเศร้ากับโชคชะตาเลยพ่ะย่ะค่ะ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและก้าวผ่านมันไปให้ได้ เราไม่เห็นเข้าใจเลย เรียนรู้ยังไง? ก้าวผ่านมันไปอย่างไร? เจ้าชายน้อยทรงจับแขนนาริสเขย่า ถามด้วยความท้อแท้และจนหนทาง เหมือนคนจมน้ำที่พยายามคว้าทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อให้พ้นจากความอึดอัดทรมาน ยิ่งพระองค์ท้อแท้และหดหู่เช่นนี้ พระองค์ก็จะยิ่งไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรได้เลย พระองค์ต้องเปลี่ยนความท้อแท้นี้ให้เป็นพลัง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้มากที่สุด รอเวลาที่พระองค์จะได้เปลี่ยนแปลงแผ่นดินนี้ให้ดีขึ้น นาริสประคองมือน้อย ๆ ทั้งสองของพระโอรสขึ้น โชคชะตาจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยสองมือนี้ของพระองค์ เราต้องทำเหมือนเสด็จพ่อใช่มั๊ย? เจ้าชายน้อยเบ้ปาก ต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เราต้องไม่เป็นเหมือนเสด็จปู่ที่ก้มหน้ารับโชคชะตาใช่มั๊ย? แต่เราไม่อยากเป็นเหมือนเสด็จพ่อ เจ้าชายน้อยเต็มไปด้วยความสับสน ทรงหันไปหยิบก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนั้นปาลงสระน้ำอย่างแรงจนน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกกว้าง ด้วยเพราะอึดอัดในความไร้กำลังและความสามารถของตัวเอง มหาอำมาตย์เฒ่ารีบคว้าอุ้งมือที่กำลังจะเขวี้ยงก้อนหินอีกก้อนหนึ่งไว้และคลายมันออก พระองค์ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยความรุนแรงเสมอไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ การเป็นนักปกครองที่ดี เราจะต้องรู้ว่าเวลาไหนควรอ่อนโยน เวลาไหนควรแข็งกร้าวเด็ดขาด ไม่ใช่แข็งกร้าวตลอดหรืออ่อนโยนตลอด ยากจัง แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเวลาไหนต้องใช้แบบไหน? เจ้าชายทรงขมวดคิ้วยุ่ง สูดจมูกแรง ๆ เพราะมั่วแต่คิดตามคำพูดของมหาอำมาตย์นาริสจนทำให้น้ำตาแห้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะอย่างนี้พระองค์ถึงต้องตั้งใจเรียนอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ เพื่อที่พระองค์จะได้รู้ว่าสิ่งไหนควรจัดการอย่างไร นาริสทูลยิ้มอย่างให้กำลังใจ มองดูเจ้าชายน้อยค่อย ๆ เติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างเข้มแข็ง ท่ามกลางความทารุณของสงคราม ความจริงที่แสนโหดร้าย การพลัดพรากและความเจ็บปวดจากผลแห่งสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ชะตากรรมเช่นนี้จะหล่อหลอมให้พระองค์กลายเป็นกษัตริย์ที่มีอุปนิสัยเช่นไร? คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ มหาอำมาตย์กระชับมือพระโอรสพร้อมกับดึงตัวเจ้าชายน้อยให้ลุกขึ้น เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้เวลาที่ฝ่าบาทจะต้องเริ่มต้นเรียนรู้วิธีแยกแยะเรื่องต่าง ๆ แล้วพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งห้องทรงหนังสือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อิสฮานพยักหน้าเงียบ ๆ แม้จะยังคงมีแววหมองเศร้าอยู่บนใบหน้า ก็ใครเล่าจะลืมคำพูดที่แสนเจ็บปวดนั้นไปได้ ทว่าพระองค์ก็ยอมให้นาริสจูงมือเดินออกจากอุทยานไปแต่โดยดี กลางดึกในดินแดนอันแสนโหดร้ายเช่นนี้ เวลากลางวันก็ร้อนจนสุดขีดเช่นเดียวกับเวลากลางคืนที่หนาวเหน็บจนสุดขีดเช่นกัน ในคืนเดือนมืดท่ามกลางอากาศที่หนาวจนถึงกระดูกของทะเลทรายแห่งจักรวรรดิซาโลมอย่างเวลานี้ ยามค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ยิ่งทำให้บรรยากาศของทะเลทรายหนาวเหน็บยิ่งขึ้น เจ้าชายน้อยแห่งราชวงศ์อิบริดประทับนั่งคุดคู้ทอดสายตาออกไปยังความมืดมิดภายนอกราชวังหลวง พระองค์กระชับผ้าห่มแน่นอยู่ข้างหน้าต่างยอดโค้งที่หันหน้าสู่ทิศใต้ บานหน้าต่างฉลุถูกเปิดออกไปจนสุดทั้งสองบาน ทั้งนี้ก็เพื่อที่พระองค์จะสามารถมองเห็นกองทัพหลวงได้ทันทีหากมีการยกทัพกลับนั่นเอง แต่สายตาของพระองค์ก็จับภาพใด ๆ ไม่ได้มากไปกว่าแค่ความมืดในยามราตรี ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าชายน้อยทรงประทับนั่งอยู่เช่นนี้จนดึกดื่นทุกคืน พระองค์หวังจะได้เห็นเสด็จแม่และกองทัพของซาโลมที่เดินทัพกลับมา พระองค์ทรงหดตัวลงด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องแหลมสูงของเฟียสเทอเรียน (Fierce Therion) สัตว์ดุร้ายแห่งท้องทะเลทรายที่มีปีกสีขาวขนาดใหญ่พร้อมกงเล็บสีแดงคมกริบและใบหน้าแข็งเหมือนหินสีแดงก่ำซึ่งออกหากินเฉพาะเวลาค่ำคืนที่ดึกสงัด เสียงร้องของมันทำให้เจ้าชายน้อยต้องตัวสั่น พระองค์ทราบดีว่าพระองค์ทรงปลอดภัยอย่างที่สุดเมื่ออยู่ในพระราชวัง แต่ในความมืดเพียงลำพังพระองค์เดียวในห้องอันใหญ่โตเช่นนี้ ก็ทรงอดกลัวไม่ได้ เหมือนเด็ก ๆ ที่กลัวสิ่งเร้นลับในความมืดมิด น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้น ถ้าเพียงแต่เสด็จแม่อยู่ที่นี่ เจ้าชายน้อยตรัสเสียงเบากระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้น พยายามห่อตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นที่ปลายหางตาของพระองค์ อิสฮานผวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ถอยหลังไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับความเย็นเชียบของกำแพง พระองค์ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะวิ่งหนีออกจากห้องหรือจะยกผ้าห่มคลุมตัวให้มิดดี แต่ก็ได้แค่คิดเพราะพระองค์ตกใจจนตัวแข็งไปทั้งตัว จึงได้แต่ยืนนิ่งจ้องมองแสงสว่างตรงมุมห้องนั้นแทบจะทรงลืมหายใจ ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองแสงวาบที่ค่อย ๆ จางลง แต่ทันทีที่ดวงตาหายพร่า รอยยิ้มก็ค่อย ๆ คลี่ออกจนกลายเป็นเสียงหัวเราะและตะโกนร้องอย่างดีใจสุดขีด เสด็จแม่!! Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on June 03, 2006, 08:04:43 PM ฝ่าบาทเพคะ ท่านราชครูโรซาน่าขอเข้าเฝ้าเพคะ
เจ้าหญิงอลาน่าทรงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะพลางยิ้มให้นางกำนัล ขอบใจจ๊ะ เชิญซิสเตอร์เข้ามาเลยนะจ๊ะ ฉันตั้งใจว่าจะพักสายตาอยู่พอดี เมื่อนางกำนัลออกจากห้องไปแล้ว เจ้าหญิงจึงทรงวางปากกาขนนกลง ลุกขึ้นเดินตรงไปยังชุดเก้าอี้ที่อยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งมีชุดน้ำชาวางอยู่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เจ้าหญิงต้องทรงงานชดเชยวันที่พระองค์ออกไปช่วยเหลือคนยากจนและผู้อพยพ การตรวจเอกสารจำนวนมากในวันเดียวแทบจะสูบเอาความสดชื่นไปจากตัวของพระองค์ ดังนั้นการที่ซิสเตอร์โรซาน่ามาขอเข้าพบจึงนำความกระปรี่กระเปร่ากลับคืนมาให้พระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก เจ้าหญิงก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ยินดีต้อนรับที่สุดเลยคะ ซิสเตอร์โรซาน่า ซิสเตอร์เหมือนเรือช่วยชีวิตที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยฉันก่อนที่จะจมมิดอยู่ในกองเอกสารเลย เจ้าหญิงทรงหัวเราะเสียงใส มานั่งดื่มน้ำชาด้วยกันตรงนี้สิคะ ซิสเตอร์ ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มไม่เต็มที่นัก เดินตรงไปยังเก้าอี้ข้างที่ประทับ เจ้าหญิงทรงจับสังเกตได้ทันทีจึงขมวดคิ้วน้อย ๆ วางถ้วยน้ำชาลงที่ข้างซิสเตอร์ มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าคะ? เจ้าหญิงถามเสียงเครียดขึ้น เรื่องผู้อพยพรึคะ? ไม่ใช่หรอกเพคะ ซิสเตอร์หยุดคิดครู่หนึ่งใบหน้าเคร่งเครียดขึ้น แต่ก็มีส่วนอยู่บ้าง จริง ๆ แล้วก็เนื่องมาจากการที่สภาศาสนาและสภาขุนนางลงนามเห็นชอบในการใช้กฎหมายบังคับเวนคืนที่ดินนั่นแหละเพคะ พระองค์ก็ทราบว่ารูฟัสนั้นมีสายคอยเป็นหูเป็นตาอยู่ทุกที่ รูฟัสรู้ดีว่าพระองค์ไปพบท่านคาร์ดินัลก่อนการเปิดประชุมสภา และยังรู้อีกด้วยว่าพระองค์ต้องการที่ดินผืนนั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพมากแค่ไหน เขาตั้งใจจะโก่งราคากับพระองค์เต็มที่อยู่แล้ว แต่เพราะกฎหมายเวนคืนทำให้เขาไม่สามารถโก่งราคากับพระองค์ได้ ซ้ำยังถูกบังคับให้ขายตามราคาจริง ค่าตอบแทนจากการชดเชยโกดังในพื้นที่นั้นก็น้อยนิด แม้จะเป็นไปตามสภาพความเป็นจริงก็เถอะ นิสัยพ่อค้าถ้าไม่ได้กำไรมาก ๆ ก็ไม่อยากจะขาย ยิ่งเป็นรูฟัสด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะทั้งเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ทั้งเสียหน้า ทั้งเจ็บใจ ฉันทราบดีคะว่าสิ่งที่ฉันทำเหมือนเป็นการท้าทายเขา ก็เราไม่อาจทำสิ่งใดให้ถูกใจคนทุกคนได้นี่คะ ฉันเลือกที่จะทำประโยชน์ให้คนหมู่มาก ดังนั้นคนที่เสียผลประโยชน์ก็เป็นธรรมดาที่ต้องแค้นเคือง ฉันเตรียมใจไว้อยู่แล้วคะว่าจะต้องเจ็บตัวบ้าง แต่รูฟัสยิ่งทียิ่งเล่นงานพระองค์หนักข้อขึ้นทุกวัน ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวด้วยเสียงวิตกกังวล คราวนี้พ่อค้าใหญ่เล่นงานฉันอย่างไรคะ? เจ้าหญิงตรัสถามด้วยรอยยิ้มแม้เสียงจะเครียดขึ้น คราวนี้เขาถึงขนาดบั่นทอนความมั่นคงของสถานภาพเจ้าหญิงและตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของพระองค์ ซิสเตอร์ทราบได้อย่างไรคะ? เจ้าหญิงตรัสถามอย่างตื่นตระหนก หลายวันมานี้หม่อมฉันสังเกตเห็นทหารรักษาการณ์ออกเดินตรวจพื้นที่ถี่และมากเกินปกติ ก็นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วเมื่อวันก่อนตอนที่หม่อมฉันออกจากอารามหลวงมาได้สักพัก หม่อมฉันก็ทันได้เห็นราชองครักษ์อองเดรกระชากคอชายคนหนึ่งลากถูลู่ถูกังไปตามพื้นก่อนจะเหวี่ยงขึ้นรถขังนักโทษอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถ้าลองราชองครักษ์โกรธได้ถึงขนาดนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์แน่ ซ้ำในรถยังมีคนที่ถูกจับอยู่ก่อนอีกสองสามคนด้วย หม่อมฉันจึงให้คนเข้าไปสืบเรื่องนี้ดู ถึงได้รู้ว่าคนพวกนั้นคือพวกที่ปล่อยข่าวเพื่อทำลายพระองค์ ข่าวเพื่อทำลายฉันรึคะ? เพคะ แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นมั่นเหมาะ แต่ก็เชื่อได้ว่าเวลานี้รูฟัสส่งคนไปทั่วเมืองปล่อยข่าวว่าพระองค์เอาเงินภาษีของประชาชนชาวแอนดิซองมาผลาญใช้กับพวกต่างชาติ แทนที่จะเอามาช่วยเหลือชาวแอนดิซองด้วยกัน เพราะการใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินแปลว่าเราได้ใช้งบประมาณแผ่นดินในการจ่ายเงินชดเชยให้เจ้าของที่ อีกทั้งการเอางบประมาณแผ่นดินมาช่วยพวกต่างชาติก็ยังทำให้ประชาชนที่ยากจนในประเทศแอนดิซองเริ่มไม่พอใจด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาเริ่มรู้สึกว่าความช่วยเหลือที่ควรเป็นของเขา ตอนนี้กลับต้องแบ่งให้พวกต่างชาติ ข่าวต่าง ๆ เหล่านี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองท่าและเริ่มไปถึงแผ่นดินใหญ่แล้วด้วย สร้างความไม่พอใจให้ทั้งชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่หลงเชื่อเป็นอย่างมาก ไม่อยากจะเชื่อเลย! เจ้าหญิงทรงตกใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้างามซีดขาวไร้สีเลือด ทำไมเขาช่างแปลงเจตนาดีของฉันไปได้อย่างร้ายกาจอย่างนี้? เมื่อแรกเริ่มเดิมที ทุกคนก็ล้วนแต่ชื่นชมกับสิ่งที่พระองค์ทำ แต่พอมีคนมาจุดประกายความคิดที่ร้ายกาจเช่นนี้ พวกชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ต้องเสียภาษีก็เริ่มไม่พอใจ ส่วนพวกคนจนคนจรจัด...พวกเขาไม่ได้เสียภาษี ดังนั้นก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรพวกเขา แต่พวกเขาเริ่มอิจฉาที่พวกต่างชาติได้รับความช่วยเหลือจากเงินภาษีอย่างเต็มที่ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on June 03, 2006, 08:06:41 PM ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ทำศูนย์ช่วยเหลือเพื่อผู้อพยพเท่านั้น ฉันจะเปิดให้ชาวแอนดิซองที่ยากจนมีโอกาสเข้ามารับความช่วยเหลือด้วย ฉันไม่เคยคิดจะแบ่งแยกพวกเขาอยู่แล้ว
ถ้าเช่นนั้นเราก็คงจะแก้ปัญหาชนชั้นล่างได้ และพวกเขาก็คงไม่คิดจะต่อต้านพระองค์อีก แต่สำหรับพวกชั้นชนที่เสียภาษีจำนวนมาก หม่อมฉันยังทราบมาว่าในหมู่ชนชั้นสูงเริ่มมีการปลุกปั่นยุยงให้มีการถอดถอนพระองค์แล้วเพคะ ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ลำพังรูฟัสเองไม่น่าจะมีอำนาจพอที่จะยุยงบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงได้ขนาดนี้ แม้เวลานี้บรรดาขุนนางฝ่ายพระองค์จะยังมากกว่า แต่ต่างก็แบ่งเป็นสองฟักสองฝ่ายวุ่นวายกันไปหมด เรื่องราวมันชักจะรุนแรงใหญ่โตมากขึ้นทุกทีนะคะ เหมือนกับว่ายิ่งฉันออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งถูกขัดขวางมากขึ้นเท่านั้น... เจ้าหญิงตรัสพลางขมวดคิ้วลุกขึ้นตรงไปยังริมหน้าต่างห้อง ทอดสายตามองไปยังบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่นอกเขตรั้ววัง ในยามที่มนุษย์เดือดร้อน ลำบาก ทุกข์ยากแสนเข็ญ และกำลังร้องหาพระเมตตาของพระเจ้าเช่นนี้ เจ้าพวกซิน(SIN)จ้าวแห่งความบาปชั่วช้าทั้งหลายก็อาศัยช่วงเวลานี้ พยายามใช้ความอ่อนแอและความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์มาทำให้มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้าอย่างสุดกำลังเช่นกัน ซิสเตอร์โรซาน่าเอ่ย ยิ่งพระองค์นำพระพรของพระเจ้ามาสู่มวลมนุษย์และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเช่นนี้ พวกซินก็ยิ่งโกรธเกลียดพระองค์มากขึ้นเป็นทวีคูณ และค่อยหาโอกาสที่จะเล่นงานพระองค์โดยอาศัยคนรอบข้างพระองค์นี่แหละเป็นอาวุธ พระองค์อย่าเพิ่งกลัวหรือท้อแท้หมดกำลังเลยนะเพคะ พระเจ้าไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของพระองค์ต่อสู้เพียงลำพัง ฉันไม่กลัวและไม่คิดที่จะยอมแพ้พวกซินหรอกคะ เจ้าหญิงทรงหันมายิ้มตอบอย่างกล้าหาญ ฉันก็จะยิ่งช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากขึ้นและมากขึ้นไปอีก ฉันหวังแต่เพียงว่าบรรดาคนที่ตกเป็นเครื่องมือของซินจะรู้ตัวสักวันว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มอย่างชื่นชม พระองค์ไม่เคยกล่าวโทษใคร ไม่เคยย่อท้อที่จะทำความดี และไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเหลือทุกคน จะมีเจ้าหญิงพระองค์ใดที่ประเสริฐเท่ากับเจ้าหญิงพระองค์นี้อีก หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะที่ได้ยินเช่นนั้น การให้อภัยเป็นสิ่งประเสริฐ แต่การรักแม้กระทั่งศัตรูนั้นประเสริฐยิ่งกว่า พระองค์เป็นห่วงเขาที่ตกอยู่ใต้อำนาจซินจนมองข้ามความผิดของเขาได้ แสดงว่าหัวใจของพระองค์เปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า ไม่หรอกคะซิสเตอร์ ฉันยังเป็นมนุษย์ธรรมดายังมีอารมณ์โกรธโมโหอยู่ แต่ถ้าฉันมั่วแต่จมอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น ฉันจะทำกิจการที่ดีงามใด ๆ ไม่ได้เลย เจ้าหญิงทรงยิ้มกว้างขึ้น เราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่าคะ เรามาหาวิธีจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้กันดีกว่า สรุปว่าถ้าฉันไม่ใช้เงินภาษีของพวกเขาก็เป็นพอใช่มั๊ยคะ? จู่ ๆ ฉันก็มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาภายในสมองของฉันคะซิสเตอร์ และมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเชียวคะ เจ้าหญิงทรงเดินกลับมายังที่ประทับและเริ่มเล่าถึงแผนของพระองค์ s [/b]แกพูดว่าอะไรนะ!? เสียงหญิงสาวตะโกนอย่างเกรียวกราด ทำเอาเจ้าของบ้านร่างอ้วนสะดุ้งโหยงรีบเหลียวซ้ายแลขวาด้วยเกรงว่าจะใครได้ยิน ท่านจะเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า ข้าเป็นถึงพระญาติสนิทขององค์กษัตริย์นะ! วิโอเรียยังคงใช้เสียงระดับเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน พ่อค้าร่างยักษ์หน้าแดงด้วยความโกรธแต่แล้วก็กลายเป็นซีดขาวด้วยความกลัวสลับไปมา ได้แต่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพยายามปรามเสียงของหญิงสาวให้เบาลง ข้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าท่านมาที่นี่ ถึงขนาดให้บรรดาคนรับใช้ลงไปที่เรือนหลังเล็กจนหมด แต่เสียงตะโกนของท่านพาลจะได้ยินกันทั้งคฤหาสน์แล้วกระมัง? หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงได้เบาเสียงลง ข้าลืมไปเสียสนิทเลย มัวแต่ตกใจกับข่าวของเจ้า บ้าที่สุด...ทำไมอลาน่าถึงเจ้าเล่ห์อย่างนี้ ฉันเกือบจะได้ทุกอย่างมาอยู่ในมือแล้วเชียว ข้าก็ไม่นึกว่าจู่ ๆ เจ้าหญิงนั่นจะประกาศโครมออกมาว่าจะใช้ทรัพย์สินส่วนตัวออกมาซื้อที่ดินนี้ การใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์อย่างนี้ นอกจากจะไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงนั่นสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว แล้วแถมประกาศอีกว่าจะจัดสรรที่ส่วนหนึ่งตรงนั้นสำหรับคนจน พวกเร่ร่อนจรจัดในแอนดิซองด้วย แบบนี้มีแต่คะแนนนิยมจะพุ่งขึ้นเท่านั้นเอง ข้าอุตส่าห์ลงทุนลงแรงสร้างกระแสต่อต้านเจ้าหญิงไปตั้งเท่าไหร่ ดูสิ!เสียแผนหมด เสียเวลาจริง ๆ รูฟัสกล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียด [/size] Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on June 03, 2006, 08:08:07 PM แต่อลาน่าไม่น่าจะมีทรัพย์สมบัติเยอะแยะขนาดนั้นนี่ ข้ารู้ว่าหล่อนแทบจะไม่มีสมบัติล้ำค่าใด ๆ เลย ห้องของหล่อนยังเหมือนแค่ห้องนอนของยาจกเลย ห้องของข้าสิหรูหรากว่าเป็นไหน ๆ วิโอเรียกระหยิ่มอย่างชอบใจ
ท่านประมาทเจ้าหญิงนั่นเกินไปแล้ว เจ้าหญิงจะเอาสมบัติส่วนพระองค์ออกมาประมูล แล้วถ้าการประมูลครั้งนี้สำเร็จละก็ คะแนนนิยมคงยิ่งท่วมท้น แล้วยิ่งถ้าโครงการที่วางไว้สำเร็จ นอกจากตำแหน่งเจ้าหญิงแสนดีในดวงใจของประชาชนจะไม่ถูกเราทำลายแล้ว ยังจะยิ่งพุ่งขึ้นไปจนไม่มีใครลากหล่อนลงมาได้อีก รูฟัสพูดเสียงรอดไรฟันด้วยความเจ็บแค้น แล้วหล่อนเอาสมบัติอะไรมากมายมาประมูลกัน? วิโอเรียสะบัดเสียงถามอย่างฉุนเฉียว ส่วนใหญ่จะเป็นสมบัติที่ได้รับพระราชทานหรือไม่ก็เป็นของกำนัลจากพวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด และมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีค่ามหาศาลเป็นหนึ่งในของมีค่าไม่กี่อย่างที่หาไม่ได้อีกแล้วในอาณาจักรนี้ นั่นก็คือ... รูฟัสกล่าวด้วยเสียงมาดมั่น น้ำตานางเงือก(The Tear of Mermaid) น้ำตานางเงือกหรือ? ทำไมถึงมีค่านัก? มีนางเงือกอยู่ในมหาสมุทรเยอะแยะไป วิโอเรียเบ้ปากยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง นี่ท่านไม่รู้อะไรจริง ๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่? รูฟัสชักจะหงุดหงิด พลางคิดว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ประสาอะไรถึงไม่รู้จักน้ำตานางเงือก น้ำตานางเงือกคืออัญมณีต่างหากล่ะ มันคือเพชรสีน้ำเงินเข้มรูปหยดน้ำขนาดใหญ่ ใหญ่มากเสียจน...โอ้...มันอยู่ในอุ้มมือทั้งสองของข้าได้พอดีเลย ข้าอยากจะใช้สองมือนี่ถือมันไว้ทั้งวันทั้งคืนเลยเชียวล่ะ รูฟัสใช้สองมือทำท่าเหมือนถืออัญมณีในจินตนาการไว้หลับตาพริ้มอย่างฝันหวาน อลาน่าได้มันมาได้ยังไงกัน? วิโอเรียถาม เริ่มมีน้ำโหเมื่อรู้ว่าอลาน่ามีของที่ล้ำค่ามากกว่าที่ตนมีอีกแล้ว รูฟัสเหมือนโดนฉกน้ำตานางเงือกออกไปจากมือในทันทีทันใดเมื่อได้ยินวิโอเรียถามเช่นนั้น พ่อค้าร่างอ้วนชักอารมณ์บูด ท่านควรจะสนใจเรื่องอื่นรอบ ๆ ตัวบ้างนะ ท่านไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับน้ำตานางเงือกสักอย่างเดียว ถ้าเจ้าปากมากอีกทีละก็ ข้าจะร่ายมนตร์แช่แข็งเจ้าแล้วโยนลงทะเลน้ำแข็งไปเสียเลย ว่าอย่างไร? อลาน่าได้มันมาได้อย่างไร? วิโอเรียขึ้นเสียงข่มอย่างวางอำนาจ รูฟัสหน้าบูดโมโหที่หญิงสาววัยคราวลูกวางอำนาจใส่ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากร่วมมือกับวิโอเรีย แผนการของเขาก็จะง่ายขึ้น เพราะเธอมีอำนาจมากพอสมควร โดยเฉพาะกับบรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ น้ำตานางเงือกนั้นเป็นสมบัติของตระกูลโอดิลอน(Odilon) ซึ่งได้ถวายเป็นของกำนัลแด่เจ้าหญิงตั้งแต่เมื่อคราวที่รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ข้าจะต้องได้มันมา น้ำตานางเงือกต้องเป็นของข้า วิโอเรียประกาศ แต่...แต่ข้าก็อยากได้มันเหมือนกันนะ รูฟัสใจหายวาบเมื่อคิดว่ามีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาอีกคน เจ้าจะเอาไปทำอะไร? เพชรพลอยเจ้าก็มีอยู่เยอะแยะแล้วไม่ใช่รึ? วิโอเรียหัวเราะเสียงแหลมชี้ไปที่อกเสื้อและที่มือทั้งสองข้างของรูฟัส เจ้าจะเอาไปห้อยไว้ที่ไหนอีก ไม่มีที่ให้เจ้าประดับเพิ่มได้มากไปกว่านี้แล้ว แล้วท่านล่ะ? ท่านจะเอาไปทำอะไร? ท่านถือมันทั้งวันไม่ไหวหรอก รูฟัสพยายามต่อ ใครว่าข้าจะถือมันทั้งวันล่ะ เจ้าอ้วน? ฉันไม่ได้สนใจมากมายนักหรอกว่ามันวิเศษขนาดไหน แต่ของ ๆ อลาน่าข้าจะต้องได้มันมา ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร...ข้าจะต้องมีเหมือนกันและต้องมีมากกว่าด้วย ถ้าอย่างนั้น เราหาทางกำจัดคนที่หมายตาน้ำตานางเงือกก่อนดีกว่า ของชิ้นอื่น ๆ แม้จะมีค่า แต่ไม่น่าจะมีราคาสักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับน้ำตานางเงือกซึ่งคงมีมูลค่ามหาศาลทีเดียว แค่ชิ้นเดียวก็คงพอจะซื้อที่ดินและโกดังทั้งหมดในแถบนั้นได้เลย เราต้องช่วยกันกดราคาให้ต่ำที่สุด แล้วจากนั้นเราค่อยมาตกลงกันว่าใครจะได้น้ำตานางเงือกไป รูฟัสเสนอความคิดทันทีโดยไม่ทิ้งลายพ่อค้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองให้มากที่สุด ก็ได้ ยังไงก็ต้องทำให้การประมูลครั้งนี้ล้มเหลวให้ได้ก่อน ไม่งั้นความนิยมในตัวอลาน่าคงท่วมท้นอีกแน่ วิโอเรียกัดเล็บอย่างเจ็บใจ เจ้าไปสืบมาให้ได้ว่ามีใครจะไปงานประมูลครั้งนี้บ้าง ที่เหลือข้าจัดการเอง Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on June 03, 2006, 08:09:16 PM ภายในอารามประจำคณะของซิสเตอร์โรซาน่า วันนี้เจ้าหญิงทรงมาอธิษฐานภาวนาเพื่อให้การประมูลในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าประสบความสำเร็จอย่างดี อารามแห่งนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาอธิษฐานภาวนาด้วยเช่นกัน แต่คนที่มาก็แลดูบางตาเพราะไม่ใช่อารามหลวงและเป็นอารามที่ค่อนข้างเงียบสงบ ขณะที่เจ้าหญิงอลาน่ากำลังคุกเข่าภาวนาอยู่นั้นเอง ซิสเตอร์โรซาน่าก็เดินตรงมาทางพระองค์ฝีเท้าแต่ละก้าวดูเชื่องช้าแต่ก็สม่ำเสมอ
ท่านเสนาบดีกระทรวงศึกษามาแล้วเพคะ ซิสเตอร์กล่าวเบา ๆ ขณะที่เดินผ่านพระองค์ไปทางประตูข้างโบสถ์และหายเข้าไปในนั้น เจ้าหญิงอลาน่าทรงเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ รออยู่อีกหลายอึกใจก่อนจะลุกจากไปเงียบ ๆ สู่ห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ ถวายบังคมฝ่าบาท เสนาบดีวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานโค้งคำนับ ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้แก่ซิสเตอร์โรซาน่าซึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ ที่มุมห้อง ท่านราชครู ตามสบายเถอะคะ ท่านเสนาฯ เจ้าหญิงผายมือเชื้อเชิญไปทางเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ คาดว่าท่านคงพอจะทราบว่าฉันเชิญท่านมาด้วยเรื่องอะไร? พ่ะย่ะค่ะ เรื่องน้ำตานางเงือกที่พระองค์จะทรงนำออกประมูล เสนาบดีจากตระกูลโอดิลอนทูลตอบ ฉันหวังว่าตระกูลโอดิลอนจะเข้าใจในความจำเป็นของฉัน เจ้าหญิงตรัสเสียงเบา ตระกูลโอดิลอนทุกคนเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ เราชื่นชมที่พระองค์ทรงเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์และยินดีช่วยเหลือพระองค์อย่างเต็มที่เช่นกัน เพียงแต่เราไม่อาจให้น้ำตานางเงือกตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่เหมาะสม เรื่องนี้เราจำเป็นต้องขอให้ท่านเป็นตัวแทนของฉัน เพื่อชี้แจงตระกูลโอดิลอนให้เข้าใจถึงทางเลือกอันน้อยนิดที่ฉันมี ฉันเข้าใจว่าน้ำตานางเงือกมีค่าและมีความสำคัญมาก เจ้าหญิงพยายามอธิบายถึงความจำเป็นของพระองค์ ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ในที่ประชุมของตระกูลโอดิลอน ทุกคนมีมติให้กระหม่อมเป็นตัวแทนของตระกูลในการประมูลน้ำตานางเงือกกลับคืนมา ไม่ว่าจะใช้เงินมากแค่ไหนก็ตาม เสนาบดียิ้มตอบอย่างมีความหมาย โอ้... ดวงหน้าอันงดงามที่เต็มไปด้วยความเครียดเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เบิกบานขึ้นในทันทีที่เข้าใจในความนัยนั้น ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณสวรรค์ที่ทรงส่งท่านมาแจ้งข่าวที่น่ายินดีแก่ฉันในวันนี้คะ ฉันกำลังวิตกอยู่เชียวเพราะได้ข่าวว่าทางรูฟัสกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง ซึ่งคงไม่พ้นเรื่องกดราคาการประมูลในครั้งนี้ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งได้รับเทียบเชิญให้ไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านของเขาวันนี้เอง เสนาบดีทูลตอบ กระหม่อมตั้งใจจะส่งสารปฏิเสธเขาไปเย็นนี้ อย่าเพิ่งคะ เจ้าหญิงรีบร้องห้าม ฉันอยากจะขอความร่วมมือจากท่านอีกสักหน่อย พระองค์ต้องการให้กระหม่อมรับคำเชิญของรูฟัสหรือพ่ะย่ะค่ะ? เสนาบดีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ฉันอยากให้ท่านรับคำเชิญ และแสร้งตกลงกับทุกแผนที่เขาวางไว้คะ ฉันเกรงว่าถ้าท่านปฏิเสธเขา เขาคงจะต้องดิ้นรนทางวิธีอื่นเพื่อที่จะก่อกวนงานประมูลในครั้งนี้ โอ้ กระหม่อมเข้าใจแล้ว เสนาบดีกล่าวและยิ้มขำเมื่อนึกถึงแผนดัดหลังพ่อค้าใหญ่ในครั้งนี้ การประมูลในครั้งนี้คงจะสนุกน่าดูชมทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีกล่าวจบก็ลุกขึ้น ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมคงต้องรีบกลับไปเตรียมตัวสำหรับอาหารค่ำมื้อนี้เสียแล้ว ท่านเสนาฯ ฝากบอกทุกคนด้วยนะคะว่าฉันขอบคุณและซาบซึ้งในน้ำใจของโอดิลอนอย่างยิ่ง เจ้าหญิงย่อเข่าลงด้วยความขอบคุณอย่างจริงใจ มิได้ฝ่าบาท เสนาบดีรีบย่อตัวลงเช่นกัน ตระกูลของเรายินดีที่ได้มีโอกาสรับใช้พระองค์ แต่กระหม่อมจะนำคำขอบคุณของฝ่าบาทไปถึงทุกคนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ขอบคุณคะ ท่านเสนาฯ เจ้าหญิงตรัสอีกครั้ง ก่อนที่ท่านเสนาบดีจะโค้งคำนับและจากไป พระเจ้าทรงเมตตาฉันเสมอเลยนะคะ เจ้าหญิงตรัสเมื่อประตูปิดลงสนิท พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งผู้ที่วางใจในพระองค์เพคะ ซิสเตอร์โรซาน่าทูลตอบอย่างยินดี Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 44 น้ำตานางเงือก @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on June 03, 2006, 08:09:45 PM มาเม้าส์กันต่อที่นี่เลยนะจ๊า~~~~~~~~
http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=21817 |