Summoner Master Forum

Summoner Master => Summoner Novel => Topic started by: Little Lamb, the Little Angel on May 06, 2006, 08:31:20 PM



Title: @@ นิยายSMN Chapter 43 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ
Post by: Little Lamb, the Little Angel on May 06, 2006, 08:31:20 PM
Chapter 43 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ
[/b]


                      “นี่มันเรื่องตลกรร้ายกาจของเสด็จพี่รึไง?” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงหน้านิ่วคิ้วขมวดตรัสอย่างฉุนเฉียวทันทีที่คณะนายทหารจากเมืองเอรีมอ่านสารจากเจ้าหญิงเรจิน่าจบ
                       “เวลานี้กองทัพชาวป่ากว่าห้าหมื่นคนตั้งค่ายคอยท่าอยู่ที่นอกกำแพงเมืองเอรีมและพร้อมจะเคลื่อนพลทันทีพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้านายทหารจากเอรีมทูลรายงาน
                       “นี่มันเป็นการดูถูกกันอย่างชั่วร้ายที่สุด พวกมันคิดว่าข้าจะก้มกราบขอบคุณพวกมันด้วยความซาบซึ้งหรือไงที่ยกโขยงกันมาเสนอหน้าช่วยรบอย่างนี้   ฟีเลเซียไม่จำเป็นต้องให้ไอ้พวกคนป่าชั้นต่ำอย่างพวกมันมาช่วยหรอก   ไล่พวกมันกลับป่าไปให้หมด!” กษัตริย์ซิกมันต์ตรัสด้วยน้ำเสียงดุเดือด
                       “ฝ่าบาท...” ชาร์ลเอ่ยขึ้น “กระหม่อมเห็นว่าเราควรรับน้ำใจของพวกชาวป่า”
                       “ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึไง!?” กษัตริย์ซิกมันต์แทบจะสำลักเสียงตะคอกออกมา   ทรงจ้องหน้าชาร์ลราวกับเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปต่อหน้าต่อตา
                       “มิได้ ฝ่าบาท” ชาร์ลยังคงใจเย็นแม้จะถูกตะคอกและจ้องมองเช่นนั้น   เขารู้จักรับมือกับนิสัยและอารมณ์ของกษัตริย์ผู้อ่อนวัยกว่าตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยถวายการสอนเชิงยุทธ์ให้ “กระหม่อมเพียงแต่เห็นว่าเราไม่ควรจะสร้างศัตรูเพิ่มในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้   หากเราปฏิเสธพวกเขา   พวกเขาอาจจะรู้สึกโกรธที่ถูกหักหน้าแล้วหันมาแก้แค้นเอากับเราได้   เราไม่พร้อมที่จะรับศึกสองด้านในเวลานี้”
                       “หึ ไอ้คนป่าที่ขี้ขลาดพวกนั้นนะรึ?” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงหัวเราะเสียงขึ้นจมูก ตรัสเชิงดูแคลนเมื่อทรงนึกถึงพวกชาวป่าที่มักแอบลอบมองดูคณะล่าสัตว์ของพระองค์เมื่อสมัยที่มักข้ามไปล่าสัตว์ในเขตป่าทึบอีกฟากของวอลเนีย
                       “ก็มีโอกาสเป็นไปได้อย่างที่ท่านจอมทัพว่านะพ่ะย่ะค่ะ” นายทัพนายหนึ่งทูลสนับสนุนความคิดของชาร์ล   ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย   เพราะตามวิสัยของเหล่านักรบแห่งฟีเลเซียที่เห็นเกียรติและศักดิ์ศรีสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด   หากตนถูกปฏิเสธน้ำใจอย่างไม่มีเยื่อใยก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกู้ศักดิ์ศรีคืนเป็นแน่
                       “อย่างพวกมันจะมีปัญญาทำอะไรได้!” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงกระแทกเสียง
                       “แต่กำลังพลตั้งห้าหมื่นก็สร้างความเสียหายให้ได้ไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ   ต่อให้เป็นพวกล้าหลังเช่นนั้นก็เถอะ” นายทัพอีกคนเอ่ยทูล
                       “เมืองเอรีมเองก็ยังบูรณะซ่อมแซมไม่เรียบร้อย   หากถูกจู่โจมขึ้นมาก็คงยากจะรับมือได้อย่างเต็มที่” แม่ทัพมังกรออกความเห็นบ้าง
                       “เรื่องนี้มันบ้าชัด ๆ “ กษัตริย์ซิกมันต์ทรงกระแทกตัวใส่พนักเก้าอี้อย่างแรง   ใบหน้าแดงจัดขึ้น “ชาตินักรบอย่างฟีเลเซียต้องพึ่งความช่วยเหลือของพวกชาวป่า   ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบกับวิญญาณของเหล่าบรรพกษัตริย์กัน”
                       ที่ประชุมต่างก็พากันเงียบเสียงลง   ต่างก็มีสีหน้าอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย   ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์   ฟีเลเซียยืนหยัดด้วยกำลังของตนเสมอมา   ปราบทั้งผู้รุกรานและสัตว์ประหลาดน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน   เป็นความภาคภูมิใจในความเก่งกล้าสามารถของเหล่านักรบแห่งฟีเลเซีย   แต่มาวันนี้เป็นการยากเหลือเกินที่ทุกคนจะทำใจยอมรับเรื่องนี้   โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กษัตริย์ของพวกเขาเอง



s


                        เป็นเวลาโพล้เพล้   ขณะที่ฮาริซันพร้อมกับเหล่าขุนพลจากเผ่าต่าง ๆ กำลังนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟภายในค่ายทหารของฟูดินัน   เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเอรีม   พวกเขามีโอกาสได้เข้าไปภายในกำแพงเมืองครั้งหนึ่ง     ซึ่งก็เพราะเป็นคำเชื้อเชิญของเจ้าหญิงเพื่อเลี้ยงต้อนรับพวกเขา   ซึ่งเจ้าหญิงบอกว่าเป็นการรับประทานอาหารธรรมดา ๆ  เนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม   แต่ก็ดูหรูหราและมากไปด้วยพิธีการสำหรับเขาและเหล่าขุนพล   หลายครั้งที่ฮาริซันสังเกตเห็นสายตาขบขันหรือไม่ก็สมเพชดูแคลนในความไม่รู้มารยาทบนโต๊ะอาหารและมารยาทต่อเชื้อพระวงศ์   ซึ่งก็ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย   ยิ่งคาร์นและดามิก้าซึ่งถูกจ้องมองมากเป็นพิเศษ   นั่นก็เพราะความเป็นสมิงของเขา   ในขณะที่ดามิก้าถูกมองเพราะความที่เธอเป็นผู้หญิงแต่กลับมีรอยสักสีแดงตามตัวของเธอ   ซึ่งออกจะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับชาวฟิเลเซียที่จะมีรอยสักบนส่วนใดของร่างกาย     จนคาร์นและดามิก้าประกาศทันทีที่กลับมาถึงค่ายพักว่าจะไม่ร่วมโต๊ะกับพวกชนชั้นสูงของฟิเลเซียอีก    


Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter42 มาแล้ว..@@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on May 06, 2006, 08:35:30 PM
                      ฮาริซันนั่งมองกองไฟที่รุกโชติช่วงพลางหักเศษกิ่งไม้โยนเข้าไปในกองไฟ   ท้องฟ้าเริ่มสลัวลงแล้วและอากาศก็เริ่มเย็นตัวลงเรื่อย ๆ    เสียงพูดคุยหยอกล้อจากเหล่าขุนพลที่ดังอยู่รอบ ๆ กองไฟเงียบลงเมื่อนายทหารฟีเลเซียชั้นผู้น้อยสองนายเดินเข้ามาใกล้   ฮาริซันลุกขึ้นยืนช้า ๆ รับนายทหารทั้งสอง
                       “สารจากเจ้าหญิงเรจิน่า”   นายทหารคนหนึ่งประกาศพลางหยุดรอให้ทุกคนลุกขึ้นรับสารของเจ้าหญิง   แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนั่งรอฟังอยู่กับที่   จึงได้แต่หันไปมองเพื่อนทหารอีกคนไม่รู้จะเอาอย่างไรดี
                       “สารว่าอย่างไรล่ะ?”    ดามิก้านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น  เอาศอกวางบนเข่าขวาใช้มือท้าวคางรอฟัง   ถามอย่างตั้งใจเมื่อเห็นว่าทหารยังคงไม่แจ้งสารเสียที
                       “เออ....”   นายทหารตอบอึกอัก   “พวกท่านต้องลุกขึ้นยืนฟังสารของเจ้าหญิงเพื่อเป็นการแสดงความให้เกียรติเจ้าหญิง “
                       ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างงง ๆ ก่อนจะยักไหล่และยันตัวขึ้นอย่างช้า ๆ   เมื่อทุกคนยืนขึ้นแล้วนายทหารก็เริ่มกล่าวเสียงดังอย่างภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติอัญเชิญสารของเจ้าหญิง
                       “เจ้าหญิงเรจิน่า อรีธาทรงมีรับสั่งว่าให้กองทัพแห่งฟูดินันเตรียมตัวออกเดินทาง   เนื่องจากกษัตริย์ซิกมันต์ที่สามทรงมีพระบัญชาให้กองทัพแห่งฟูดินันร่วมออกเดินทางพร้อมกับกองทัพแห่งฟีเลเซียมุ่งสู่เมืองคามินยาร์ดในเวลาย่ำรุ่งในอีกสองวันข้างหน้า” นายทหารกล่าวจบก็ทำความเคารพอย่างหนักแน่น  
                       “นั่นหมายความว่าให้เราร่วมรบด้วย หรือให้เราร่วมเดินทางไปด้วยเฉย ๆ ล่ะ?” ดามิก้าโพล่งถามตามนิสัยที่มักชอบพูดทันทีตามที่คิด   ซึ่งก็ทำให้ทหารทั้งสองเงียบอึ้งไปทันที        
                       “ขอบใจที่มาแจ้งข่าวนะ” ฮารีซันกล่าวแทรกขึ้นเพื่อช่วยกู้สถานการณ์   พร้อมกับยื่นไมตรีให้ “พวกเจ้ากินอะไรกันรึยังล่ะ?   มานั่งกินมื้อค่ำกับพวกเราไหม?”
                       เมื่อนายทหารทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองกันไปมาด้วยความประหลาดใจ   นายทหารชั้นผู้ใหญ่ไม่เคยร่วมโต๊ะกับทหารชั้นไปปลายแถวอย่างพวกเขา   ทั้งสองจึงค่อนข้างประหลาดใจเมื่อฮารีซันผู้นำทัพฟูดินันเอ่ยปากชวนอย่างไม่มีการเสแสร้ง  
                       “ข้า...เออ...พวกเรา โอ๊ย!” นายทหารสะดุ้งเมื่อเพื่อนทหารใช้ศอกกระทุ้งเอวเข้าให้    
                       “พวกเราอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่   คงจะรับ...เออ...น้ำใจของท่านไม่ได้   แต่ถึงอย่างไรก็...ขอบคุณที่ชวน” นายทหารอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประดักประเดิดก่อนจะทำความเคารพอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วเดินจากไป
                       “คนพวกนี้แก่มารยาทและมากพิธีการกันจริง ๆ “ ดามิก้าว่าอย่างเซ็ง ๆ
                       “ช่วยไม่ได้   พวกเขาก็มองว่าพวกเราไร้มารยาทเหมือนกันนี่” ทราเฮิร์นพูดติดตลกท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างขบขันจากคนอื่น ๆ
                       “ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะร่วมรบกับคนพวกนี้ไปตลอดช่วงสงครามด้วยความรู้สึกยังไง” คาร์นคำรามเสียงขึ้นจมูกพลางโบกมือเหมือนปัดรำคาญ   แต่เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำว่าสงครามเสียงตลกขบขันก็เงียบหายไป  
                       “ข้าคิดว่าเราแยกย้ายกันไปแจ้งให้ทุกคนเริ่มเก็บสัมภาระเตรียมเดินทัพดีกว่า” ฮารีซันกล่าวขึ้น ซึ่งทุกคนต่างคนก็ยักไหล่เหมือนหมดคำพูดเช่นกัน
                       “ก็ดี   ข้าจะได้สั่งโทนิม่าให้บอกทุกคนในเผ่าให้เริ่มเก็บสัมภาระบางส่วนคืนนี้   พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องวุ่นวายมากนัก” ดามิก้าเห็นดีด้วย
                       “มีมือขวาอย่างโทนิม่าติดตามมาด้วยมันสะดวกดีอย่างนี้นี่เอง” คาร์นพูดเรื่อย ๆ เหมือนบ่น
                       “อิจฉาข้าละสิที่มีผู้ช่วย   ท่านไม่มีใครมาด้วยก็ต้องเหนื่อยหน่อยล่ะ” ดามิก้ากอดอกพูดยิ้มร่า
                       “พอแล้ว พอแล้ว   โต้กันไปโต้กันมาอย่างนี้เดี๋ยวก็มืดกันพอดี” ฮารีซันแสร้งเอ็ดยิ้ม ๆ  ทั้งคู่จึงยักไหล่เหมือนยอมแพ้ขณะที่ทราเฮิร์นเอาแต่หัวเราะคนทั้งสองก่อนจะลุกขึ้นแยกย้ายไปตามที่ตั้งของรบเผ่าของเผ่าตน

                       การเดินทัพของทั้งสองฝ่ายนั้น   แม้จะเคลื่อนทัพได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว   แต่ก็ดูเหมือนเป็นการเดินทัพที่แปลกประหลาดที่สุด   อีกทั้งบรรยากาศก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายจนไม่อาจจะบรรยายได้ถูกต้องและครบถ้วนเมื่อกองทัพของทั้งสองฝ่ายเดินเคียงข้างกันไปตลอดเส้นทาง   ธงสีเขียวรูปเปกาซัสและธงสีน้ำตาลรูปมหาพฤกษาโบกสะบัดอยู่เคียงข้างกันอย่างสวยงามและเปี่ยมไปด้วยความหมายต่อวัฒนธรรมที่แทบจะเรียกได้ว่าต่างกันอย่างสุดขั้ว  
                       ตลอดเส้นทางหลายวันที่ผ่านมา   ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็ลอบมองกันไปมาด้วยความรู้สึกต่าง ๆ สารพัดปนเปกันไปหมด   ฝ่ายฟูดินันนั้นมองเห็นความมุ่งมั่น   ความภาคภูมิในชาตินักรบของทหารฟีเลเซีย      แต่ก็มากด้วยวินัยสารพัดของทหารที่ต้องปฏิบัติ   ทั้งความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเดินทัพ   การตั้งค่าย   การเก็บกวาดพื้นที่   และที่สำคัญความถือดีในตัวที่ดูจะมากจนล้นปรี่   จนชาวฟูดินันต่างคิดกันไม่ออกเลยว่าคนพวกนี้เขาใช้ชีวิตประจำวันกันอย่างไร   ในขณะที่ข้างฝ่ายฟีเลเซียเองก็มองเห็นถึงความไม่มีระเบียบวินัยของพวกคนป่า   ความไร้วัฒนธรรม   ชาวฟูดินันนอกจากจะเป็นคนป่าด้อยความรู้แล้วยังมีความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์มากเกินไป   จนดูเหมือนว่า คน เซนทอร์ สมิง และ สัตว์ อยู่ร่วมกันจนยุ่งเหยิงไปหมด   ทหารฟีเลเซียบ้างก็มองดูพวกชาวป่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น   บ้างก็มองดูด้วยความสนใจใคร่รู้และตื่นตากับความแปลกประหลาดของชาวฟูดินัน   ซึ่งคนที่ลอบมองดูด้วยความสนอกสนใจมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียนั่นเอง


Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter42 มาแล้ว..@@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on May 06, 2006, 08:37:00 PM
                    เมื่อถึงเวลาเย็นของวันเดินทัพวันหนึ่งซึ่งก็ใกล้จะถึงจุดหมายเต็มทีแล้ว   ทหารทั้งสองฝ่ายก็หยุดเดินทัพและเริ่มลงมือตั้งค่ายที่พักกัน   ซึ่งแม้แต่การตั้งค่ายก็ยังดูแบ่งแยกและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง   กองทัพฟีเลเซียตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือในขณะที่กองทัพของฟูดินันตั้งอยู่ทางทิศใต้   ที่พักของเหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ   มีการล้อมวงแบ่งยศตำแหน่งโดยทหารชั้นผู้น้อยจะอยู่รอบนอกคอยป้องกันอันตรายต่าง ๆ และอารักขานายทหารชั้นที่สูงกว่าที่อยู่ด้านใน   แน่นอนว่ากระโจมที่พักของเจ้าหญิงแห่งฟีเลเซียนั้นย่อมอยู่ ณ ใจกลางของค่ายและต้องมีการอารักขาที่แน่นหนาและรัดกุมที่สุดด้วย   ทว่าข้างฝ่ายฟูดินันนั้นการตั้งค่ายกลับดูกระจัดกระจายไร้ระเบียบ   กระโจมดูจะเป็นหย่อม ๆ เหมือนแบ่งไปตามเผ่าเสียมากกว่า   สมาชิกจากแต่ละเผ่าต่างก็ตั้งที่พักอยู่ใกล้ ๆ กันแล้วใช้วิธีจัดเวรยามเดินตรวจตราเอาแทน
                     ขณะที่ฮารีซันกำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยรอบ ๆ ค่ายที่พักและออกแวะทักทายสมาชิกเผ่าต่าง ๆ อยู่นั้นเอง   พลันสายตาก็ไปพบกับเงาตะคุ่ม ๆ ที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ข้างหลังกระโจมที่ใช้เก็บเสบียงใกล้กับกองเกวียนที่ตั้งเรียงรายอยู่ในมุมอับของค่ายพัก   เพราะเป็นเวลาที่ดวงตะวันเริ่มอับแสงแล้วจึงทำให้เขามองเห็นไม่ค่อยถนัดนัก   เขากวาดตามองดูเจ้าของร่างจากทางด้านหลังแล้วก็คะเนเอาว่าคงจะเป็นสมาชิกจากเผ่าเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของฟูดินัน   เนื่องจากผ้าคลุมที่ใช้ห่อหุ้มตัวซึ่งมีลวดลายค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์   ฮารีซันสงสัยจริง ๆ ว่าฝ่ายเสบียงแจกอาหารกันอย่างไรถึงทำให้มีคนไม่อิ่มท้องจนถึงขนาดจะมาขโมยอาหารถึงที่กระโจมเสบียง
                     ฮารีซันขยับเข้าไปช้า ๆ ด้วยท่าทางที่ไม่รีบร้อนนัก   แต่เพราะความช้านี้เองที่ทำให้เสียงฝีเท้าของเขาเงียบกริบจนเจ้าของร่างที่หลังกระโจมไม่ได้ทันรู้สึกตัว   เมื่อเดินใกล้เข้าไปจนห่างไปอีกไม่กี่ก้าว   เขาจึงสังเกตว่าเจ้าของร่างนั้นมีรูปร่างเล็กกว่าเขาอยู่ไม่น้อย   ฮารีซันเอื้อมมือจนเกือบจะไปถึงไหล่เล็ก ๆ นั้นแล้ว   แต่แล้วอย่างไม่ทันตั้งตัว   ในชั่วพริบตานั้นเองที่เจ้าของร่างก็เอี้ยวตัวกลับมาพร้อมกับตวัดปลอกดาบเข้าประชิดถึงลำคอแกร่งของเขา   แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่น่าตกใจเท่ากันสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว
                     ผู้นำเผ่าฟูดินันถึงกับอ้าปากค้างดวงตาเบิกขึ้นเหมือนกับต้องการจะดูให้แน่ใจว่าตาของตนนั้นไม่ฝาด   ร่างกายแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ไปชั่วขณะ
                     “เจ้า...เจ้าหญิงเรจิน่า?!”
                     “โอ้!!” เจ้าหญิงอุทานได้เพียงเท่านั้นก็รีบชักปลอกดาบกลับทันทีพลางยืดตัวขึ้นตรงวางมาดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   เจ้าหญิงทรงยิ้มมุมปากอย่างหญิงสูงศักดิ์ผู้ไว้ตัวซึ่งไม่เข้ากันเลยกับผ้าคลุมซอมซ่อที่คลุมตัวอยู่   แต่ก็ทำให้คนมองสามารถมองเห็นภาพเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และผ้าคลุมผืนนั้นก็กลายเป็นผ้ากำมะหยี่ราคาแพงไปได้ชั่วขณะหนึ่ง   เจ้าหญิงตรัสทักทายด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ “สายัณห์สวัสดิ์   ท่านฮารีซัน”  
                     “สะ สายัณห์สวัสดิ์” ฮารีซันงุนงงกับท่าทีที่ไม่รู้ไม่ชี้ของเจ้าหญิงที่แสร้งทำได้อย่างลื่นไหลจนตอบทักทายอย่างกระท่อนกระแท่น
                     “ท่านคงจะสงสัยว่าทำไมข้ามาอยู่ที่นี่!” เจ้าหญิงตรัสเสียงเรียบด้วยอาการนิ่งสงบ   ทรงปัดผ้าคลุมออกให้พ้นตัวเผยให้เห็นชุดกระโปรงผ้าเนื้อดีราคาแพงที่สวมอยู่   แต่ในท้องนั้นเหมือนมีผีเสื้อสักสิบตัวบินว่อนเร็วจี๋เลยทีเดียว   กระนั้นพระองค์ก็ยังวางท่าอย่างสง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเอง   แต่ครั้นเมื่อเห็นฮารีซันยังคงนิ่งเงียบและจ้องมองพระองค์ตรง ๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่แสดงทีท่าว่าจะถามหรือจะตอบให้พระองค์พอจะเดาความคิดของเขาได้   พระองค์ก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรจะบอกเหตุผลจริง ๆ หรือจะแต่งเรื่องขึ้นมากลบเกลื่อนพฤติกรรมที่น่าสงสัยนี้ดี   คิดแล้วพระองค์ก็เกิดนึกโทษนิสัยกระตือรือร้นในการอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ของพระองค์ว่าเป็นความสอดรู้สอดเห็นที่มากเกินขนาดโดยแท้   จึงทำให้พระองค์ต้องมาพบกับสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้อยู่ในใจ
                     “ข้า... ข้ามา... ข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยรอบ ๆ ค่ายแล้วก็เผอิญหลงมาทางนี้” ตรัสจบก็ต้องนึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองที่หาเหตุผลได้พิลึกจริง ๆ
                     “ข้าพาท่านเดินชมรอบ ๆ ค่ายก่อนจะไปส่งที่ค่ายฝั่งฟีเลเซียดีไหม?” ฮารีซันเอ่ยยิ้ม ๆ
                     “ทำไมถึงเสนอพาข้าชมค่ายล่ะ?” เจ้าหญิงอดที่จะตรัสถามไม่ได้   นี่ใบหน้าของพระองค์แสดงออกมากเกินไปหรือว่าอยากจะชมภายในค่ายของฟูดินัน   แต่พระองค์ทรงถูกฝึกมาอย่างดีเรื่องการระวังการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าและท่าทาง   พระองค์มั่นใจว่าไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าหรือท่าทางแน่ ๆ
                     “ข้ารู้สึกว่าท่านคงจะอยากชมค่ายจึงได้เสนอเช่นนั้น” ฮารีซันตอบ
                     เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบขึ้นเหมือนเด็กที่โดนผู้ใหญ่จับได้ว่าแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นตามลำพัง   แล้วก็นึกหมั่นไส้ที่ชาวบ้านป่าผู้นี้ช่างผู้ตรง ๆ โดยไม่รักษาหน้าคนฟังเลย   ทั้ง ๆ ที่คนทั่วไปคงจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อรักษาหน้าของเจ้าหญิง   แต่ข้อเสนอที่จะพาชมค่ายโดยที่พระองค์ไม่ต้องมาลอบด่อม ๆ มอง ๆ อย่างนี้ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย   เพียงแต่อย่างน้อยก็ขอให้พระองค์ได้แก้เผ็ดสักหน่อยเถอะ  
                     “ท่านรู้สึกเอาเองรึ? แล้วทำไมข้าจะต้องอยากชมค่ายทหารของท่านด้วยล่ะ?” เจ้าหญิงแกล้งขมวดคิ้วถามอย่างตกใจ   ซึ่งก็ทำให้ผู้นำชาวป่าต้องประหม่าไปเหมือนกันที่ดูเหมือนตนเองจะเข้าใจผิดอย่างแรง
                     “ถ้าเช่นนั้น...”
                     “แต่ก็เอาเถอะ   ในเมื่อท่านมีน้ำใจชวน   ข้าจะปฏิเสธก็คงจะเป็นการเสียมารยาท   เชิญท่านนำทาง” เจ้าหญิงตรัสอย่างรวดเร็วพร้อมกับผายมือให้ฮารีซันนำทางทันที


Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter42 มาแล้ว..@@
Post by: Little Lamb, the Little Angel on May 06, 2006, 08:39:04 PM
                    ฮารีซันยืนนิ่งไปชั่วขณะเพราะตามความคิดอันปุบปับของเจ้าหญิงไม่ทัน   ทีแรกดูเหมือนเจ้าหญิงจะอยากสำรวจค่ายพัก   แต่แล้วก็ทำท่าราวกับไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นอยู่ในสมอง   แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจอยากจะเดินชมขึ้นมาเสียดื้อ ๆ   ช่างเป็นเจ้าหญิงที่วูบไหวไปมาเหมือนสายลมที่ไม่ยอมหยุดนิ่งจริง ๆ   ฮารีซันผ่อนลมหายใจน้อย ๆ เหมือนกับจะปัดเป่าความคิดเหล่านั้นออกไป   เขายิ้มให้เจ้าหญิงอย่างเป็นมิตรก่อนจะผายมือให้เจ้าหญิงออกเดินนำ
                     สองหนุ่มสาวเดินเคียงคู่กันไปตามกระโจมที่พักหลังต่าง ๆ ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของบรรดานักรบชาวป่า   ก็ใครเล่าจะไม่เหลียวดูหญิงสาวผู้งามสง่าและเดินเยื้องย่างราวพญาหงส์ผู้นี้   ฮารีซันแนะนำเจ้าหญิงให้รู้จักกับกระโจมของเผ่าต่าง ๆ และบอกวิธีการสังเกตสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อแยกสังกัดเผ่า   เจ้าหญิงมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงบแต่นัยน์ตานั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นและสนใจใคร่รู้   ทว่าก็ยังคงรักษากิริยาไว้ได้อย่างดี  
                     ตลอดเส้นทางนั้นบรรดานักรบต่างก็ทักทายฮารีซันด้วยอัธยาศัยไมตรีอย่างดี   แต่กับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์   พวกเขาเพียงแค่ค้อมศีรษะลงและเลี่ยงหลบสายตา   บ้างก็แสร้งหลบเข้ากระโจมก็มี
                     “ข้าสังเกตเห็นว่าทุกคนรู้จักท่านและทักทายท่านราวกับเป็นเพื่อนกัน   ท่านรู้จักพวกเขาทุกคนหรือ?” เจ้าหญิงทรงอดถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้
                     “ไม่หรอก   เพียงแต่พวกเรามีอุปนิสัยที่เข้ากับคนง่ายและอยู่กันเหมือนพี่น้อง” ฮารีซันตอบอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับยกมือขึ้นทักทายกับนักรบจากเผ่าหนึ่ง
                     “แต่ไม่มีใครกล้าสบตาข้า” เจ้าหญิงตั้งข้อสังเกต   ดวงเนตรยังคงกวาดตามองไปรอบ ๆ เหมือนพยายามสบตากับใครสักคน
                     “พวกเขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไรมากกว่า” ฮารีซันตอบ
                     “ทำไม?”
                     ฮารีซันเหลือบมองเจ้าหญิงแวบหนึ่งก่อนจะตอบเสียงเรียบ “เพราะท่านเป็นเจ้าหญิง”
                     “แต่ท่านก็เป็นถึงกษัตริย์ของคนพวกนี้มิใช่หรือ?”  
                     “ไม่ใช่หรอก   สำหรับข้าฐานะหัวหน้าเผ่าก็ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเท่าไหร่หรอก   เป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวที่มีครอบครัวที่ใหญ่มากเท่านั้นเอง”
                     “น่าอิจฉาจริง   ข้าก็อยากจะเป็นคนธรรมดาบ้าง...” เจ้าหญิงตรัสเพียงเท่านี้ก็หยุดฝีเท้าลง   สายตามองตรงไปที่ฮารีซันเหมือนครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
                     “เจ้าหญิง?!” ฮารีซันเรียกอย่างไม่แน่ใจ
                     “ไม่มีอะไรหรอก   ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าข้าเคยพูดอะไรที่คล้าย ๆ กับบทสนทนาเมื่อครู่นี้มาก่อนเท่านั้นเอง” เจ้าหญิงเรจิน่าทรงใช้นิ้วมือข้างที่ถือดาบเคาะกับปลอกดาบเป็นจังหวะเพื่อเรียกความคิด “พูดกับใครที่ไหนสักแห่ง” เจ้าหญิงตรัสเหมือนกับจมอยู่ในความคิดของตัวเอง   แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับดวงตาสีน้ำตาลของฮารีซันที่จ้องมองเธอเหมือนจะมีคำถามบางอย่าง
                     “อะไรหรือ?” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความไม่แน่ใจ
                     “ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนจะเคยสนทนากับใครแบบนั้น” ฮารีซันพยายามนึกบ้าง
                     “กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชายป่าเผ่าสมิง” / “กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งในป่า” ทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกันและก็ต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
                     “เป็นท่านรึ!?!” ทั้งสองพูดพร้อมกันอีกด้วยน้ำเสียงที่ตกใจไม่แพ้กัน   ต่างคนต่างก็มองหน้ากันไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีความบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกตน
                     “ท่านเป็นเด็กผู้ชายเมื่อตอนนั้นนั่นเอง   ช่างบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ” เจ้าหญิงเรจิน่าที่ตั้งสติได้ก่อนเปรยออกมาด้วยความประหลาดใจ
                     “ใช่   บังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ” ฮารีซันตอบรับยังมีอาการงง ๆ อยู่
                     “แล้วเด็กหญิงขี้อายคนนั้นล่ะ?   น้องสาวของท่านใช่ไหม?   เธอเป็นอย่างไรบ้าง?   ชื่ออะไรนะ?” เจ้าหญิงเริ่มจำเรื่องราวและบุคคลต่าง ๆ ในเหตุการณ์ได้
                     “วานาอันนะรึ?” ฮารีซันยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงน้องสาว “เธอสบายดี   แม้สงครามจะทำให้วานาอันสลดหดหู่ไปบ้าง...   และก็ยังขี้อายเหมือนเดิม”
                     “แล้วนกตัวนั้นละ...หลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าหญิงยังทรงถามต่ออย่างใคร่รู้
                     “หลังจากที่ท่านปู่รักษาให้   มันพักฟื้นอีกประมาณเดือนหนึ่งก็บินจากไป”
                     “อืม   ดีจริง” เจ้าหญิงตรัสด้วยน้ำเสียงยินดีไม่น้อย
                     ฮารีซันมองเจ้าหญิงเรจิน่าอย่างพินิจพิเคราะห์   ทั้งสองต่างก็รู้สึกถึงมิตรภาพเมื่อวัยเยาว์เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง   ทั้งสองหนุ่มสาวเดินมาถึงชายเขตของค่ายฟูดินันพอดี   ซึ่งเหล่าทหารฟีเลเซียต่างตกใจเมื่อเห็นเจ้าหญิงอยู่ในเขตของค่ายฟูดินันเพียงลำพังโดยไม่มีองครักษ์และผู้ติดตาม   จึงทำให้เกิดความแตกตื่นรีบออกมารับเสด็จกลับเป็นการใหญ่  
                     “ข้ายินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง   ขอบใจนะที่พาข้าเดินชมค่ายพัก   วันนี้สนุกดีทีเดียว” เจ้าหญิงตรัสก่อนที่เหล่าองครักษ์จะมาถึง   ซึ่งฮารีซันก็ก้มหน้ารับคำขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มอย่างยินดีที่ได้พบเด็กหญิงที่เขารู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่ผ่านประสบการณ์น่าระทึกใจในวัยเด็กมาด้วย   แม้ทั้งคู่เกือบจะลืมมิตรภาพในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นไปแล้ว
                     เจ้าหญิงเรจิน่ายืดตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้สูงศักดิ์เมื่อนายทหารมากันพร้อมหน้า  
                     “ขอบใจที่พาข้าเดินชมค่ายพัก   อีกหนึ่งวันเราก็จะเข้าเขตเมืองคามินยาร์ดแล้ว   แล้วเราจะนำท่านเข้าพบกับน้องชายของเรา   ซิกมันต์ที่ 3 กษัตริย์แห่งฟีเลเซีย”  ตรัสดังนั้นแล้วก็เอียงศีรษะน้อยเป็นเชิงบอกลาก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเหล่าบรรดาองครักษ์
                     ฮารีซันมองตามหลังเจ้าหญิงไป   แต่ในใจกลับเห็นภาพเด็กชายที่มองดูเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม   ในมือถือดาบกวัดไกวมาทางเขาและวานาอัน   เด็กชายคนนั้นเติบโตจนได้เป็นกษัตริย์ของฟีเลเซียแล้วหรือนี่   เขาจะเติบโตมาเป็นกษัตริย์แบบไหนกันนะ?   ฮารีซันคิดก่อนจะเดินกลับกระโจมที่พักท่ามกลางแสงดาวที่เริ่มส่องประกาย      


Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 43 เมื่อสายลมและผืนดินมาบรรจบ
Post by: Little Lamb, the Little Angel on May 06, 2006, 08:41:24 PM
มาเม้าท์กันต่อที่นี่กั๊บ

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=21272