Title: นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่2 Post by: ค.คนขาจร on March 27, 2006, 10:51:31 PM เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเอง มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่ บุคคล หรือเหตุการณ์จริงแต่ประการใด และอาจมีบางช่วงบางตอนที่ขัดแย้งกับนิยายที่ทางบริษัทแต่งเอาไว้แล้ว เพราะฉะนั้นกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
บทนำ ��� หลังศึกสุดท้าย ณ ทะเลทรายที่รกร้างแถบชายแดนของซาโลม ที่เป็นอันยุติสงครามสี่อาณาจักรอันยาวนานผ่านความตายของอลาน่า เจ้าหญิงแห่งแอนดิซอง ผู้ที่ภายหลังได้รับชื่อว่านักบุญ ต่างฝ่ายต่างก็ถอยทัพกลับไปยังอาณาจักรของตน เป็นเวลายี่สิบปีที่ความสงบสุขเบ่งบานอยู่บนทวีปอันกว้างใหญ่ของเมอร์ริเซีย เรื่องราวดังต่อไปนี้คือความเปลี่ยนแปลงไปของอาณาจักรทั้งสี่ในช่วงเวลายี่สิบปีนี้ ฝ่ายซาโลม ภายใต้การนำของจักรพรรดิหนุ่มอิสฮานได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่อิสฮานไม่มีทางได้ลิ้มรสกับความสุขสบายหลังสงครามแน่ หากปัญหาหลายๆอย่างยังไม่จบ อย่างน้อยก็เรื่องความรักของเขา ผู้คนในอาณาจักรซาโลมล้วนต้องการให้อิสฮานแต่งงานเสียที นี่เป็นเรื่องที่กดดันเขามาตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ขุนนางเกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่เห็นด้วยที่เขาจะแต่งงานกับเจ้าหญิงซูไลก้าแห่งลาซาล เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับแคว้นลาซาลที่อยู่ใกล้เคียงกับซาโลม และเพื่อความมั่นคงทางการเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากที่ซาดิน จักรพรรดิองค์ก่อนได้ทำลายความสัมพันธ์กับลาซาลจนขาดสะบั้นลงในช่วงสงคราม แต่อิสฮานไม่ได้มีใจรักซูไลก้าเลย เขาเห็นว่าเธอเป็นเพื่อนเท่านั้น เพราะเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับวานาอันมาก่อนหน้านี้นานแล้ว นางเป็นน้องสาวของฮารีซัน หัวหน้าเผ่าฟูดินันแห่งป่าทางใต้ เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปด้วยความงามทั้งกายและใจ แต่ทุกคนอาจไม่ยอมรับในฐานะที่เธอเป็นชาวป่าต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์ ขุนนางส่วนใหญ่คัดค้านในเรื่องที่อิสฮานจะแต่งงานกับวานาอัน เพราะมันอาจทำให้การเมืองระหว่างซาโลมกับลาซาลตึงเครียดขึ้นอีกก็เป็นได้ ประชาชนทุกคนล้วนหวังในเรื่องการแต่งงานว่าจะแต่งงานกับซูไลก้า นั่นทำให้เขากดดันและเครียดอย่างมาก เขานึกถึงคำพูดของอลาน่าที่ฝากเขาไว้ก่อนจะไปสู่สวรรค์ว่า จงเชื่อเสียงในใจลึกๆของตนเอง ดังนั้นในขั้นสุดท้ายเขาจึงตัดสินใจได้ เขาเลือกที่จะแต่งงานกับวานาอัน เขาประกาศต่อหน้าขุนนางทุกคน และเขาจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเหล่าขุนนาง ประชาชนอย่างมาก รวมถึงกับตัวซูไลก้าเองด้วย หลังจากแต่งงานกับวานาอันแล้ว เขาจึงเริ่มการฟื้นฟูประเทศที่บอบช้ำจากสงครามทันที เขารวบรวมเงินในท้องพระคลังเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดให้ประชาชนยืมไปใช้สำหรับลงทุนทำอาชีพต่างๆ ทั้งการทำเหมืองในทะเลทราย การปลูกหาอาหารในแถบที่ราบลุ่มใกล้กับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทะเลทราย การปลูกเครื่องเทศ และอะไรอีกหลายๆอย่างที่จะผลักดันให้ประเทศฟื้นขึ้นจากความแร้นแค้นในขณะนี้ และสามารถคงอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องปล้นฆ่าใครเหมือนที่พ่อของตนทำ แต่ก็มีอีกปัญหาใหญ่หนึ่ง จะมีอาหารเพียงพอสำหรับประชานไหม ในเมื่อเสบียงส่วนใหญ่ถูกใช้ไปแทบจะหมดแล้วในช่วงสงคราม ฉะนั้นวานาอันจึงขอร้องไปยังพี่ชายของตนให้คอยส่งเสบียงมาเลี้ยงดูชาวซาโลม จนกว่าผู้คนในซาโลมจะสามารถปลูกหาอาหารเองได้ ซึ่งฝ่ายฮารีซันเองก็ตอบตกลงเพื่อช่วยเหลือ แต่แล้วปัญหาเก่าที่ค้างคาอยู่ก็ตามมา ซึ่งนี่ก็เป็นบททดสอบบทสำคัญของการเป็นจักรพรรดิของอิสฮาน เมื่อวิโอเรียซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะพระราชินีแห่งแอนดิซองได้ส่งหนังสือฉบับหนึ่งมาทางซาโลม มีใจความว่าต้องการให้ฝ่ายซาโลมชดใช้ค่าปฎิกรณ์สงครามแก่ฝ่ายแอนดิซองที่เสียไปในสงคราม และอิสฮานต้องยอมรับว่าตนเป็นผู้แพ้สงคราม การที่เขายอมรับว่าตนเป็นผู้แพ้สงครามนั้นเป็นเรื่องง่าย หากแต่เรื่องเงินค่าปฎิกรณ์สงครามที่ต้องชดใช้แอนดิซองนั้นเป็นเงินจำนวนมหาศาล ซาโลมในตอนนี้อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูประเทศ แค่การจะใช้จ่ายภายในประเทศก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว เงินจำนวนมากมายมหาศาลที่ฝ่ายแอนดิซองเรียกร้องมานั้นทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก เงินมากมายมหาศาลขนาดนั้นไม่มีทางที่เขาจะจ่ายให้อยู่แล้ว ต่อให้ขูดรีดภาษีจากประชาชนในทุกประเทศก็ยังต้องในเวลาเป็นปีกว่าจะครบ ซึ่งเขาไม่ต้องการเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงเขียนหนังสือตอบไปว่า จะขอยืดเวลาในการชดใช้ค่าปฎิกรณ์สงครามกับฝ่ายแอนดิซองออกไปก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อขอเวลาสำหรับการหาเงินมาใช้ค่าปฎิกรณ์สงครามกับทางแอนดิซอง แต่วิโอเรียไม่ยอม อิสฮานจึงระบายออกมาถึงความแร้นแค้นของอาณาจักรออกมาในหนังสือตอบกลับฉบับที่สอง ทำให้วิโอเรียต้องตอบตกลงโดยไม่เต็มใจนัก โดยมีระยะเวลาจากวันที่ตกลงกัน เป็นเวลายี่สิบปี ฉะนั้น จักรพรรดิหนุ่มต้องรีบเร่งหาทางฟื้นฟูประเทศ และหาเงินมาชดใช้ค่าปฎิกรณ์สงครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งถือว่าเป็นงานที่หนักหนาเอาการทีเดียว และในช่วงเวลายี่สิบปีนั้น อิสอานและวานาอันได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งขึ้นมา ซึ่งโหรหลวงในราชวังได้มอบนามของเจ้าชายองค์นั้นว่า ซาลาดิน ทางด้านชาวป่า หลังสิ้นสุดสงคราม เหล่านักรบผู้เกรียงไกรต่างก็กลับมาถึงบ้าน ได้พบกับบุคคลผู้เป็นที่รัก และได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้นภายใต้ร่มไม้ของมหาพฤษาที่กินเวลานานหลายวัน แต่ถึงกระนั้นเหล่าผู้นำของแต่ละเผ่าก็ถูกผู้เฒ่าวูจินแห่งฟูดินันเรียกมาประชุม วูจินเองก็รู้สึกยินดีที่จบศึกลง แต่เขารู้ดีว่าสงครามไม่จบลงแค่นี้แน่ เขากล่าวในที่ประชุมว่า มีโอกาสที่จะเกิดสงครามขึ้นมาได้อีก จึงขอร้องให้แต่ละคนเตรียมพร้อมหากเกิดสงครามขึ้นอีกครั้งโดยไม่คาดคิด เพราะยังมีปัญหาบางอย่างยังไม่จบลง ทำให้แต่ละคนเริ่มวิตกถึงอนาคตข้างหน้า คาร์น ผู้ได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้นำแห่งป่าทมิฬได้เสนอว่า ควรจะรวมทุกเผ่าที่อยู่ใต้ร่มเงาของมหาพฤกษาอิกดราซิลเข้าด้วยกันเป็นประเทศขึ้น และประกาศตั้งตนเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับผู้ใด เพื่อไม่ให้ผู้ที่จะรุกรานได้ใจว่าเป็นแค่ชาวป่า ไม่ใช่ประเทศแล้วจะเข้ามาโจมตีกันได้ง่ายๆ ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่เผ่าใด และใครที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งเหล่าชาวป่า ซึ่งมีการเสนอหลายๆเผ่าขึ้นมา แต่ว่าก็ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยนัก การประชุมจึงสิ้นสุดลงโดยให้เผ่าฟูดินันซึ่งเป็นเผ่าใหญ่ที่สุดมาเป็นผู้นำ และให้ฮารีซันในวัยหนุ่มเป็นผู้นำแห่งเหล่าชาวป่า ซึ่งเขาก็รับตำแหน่งนี้ไปท่ามกลางความไม่มั่นใจของเขาเองว่าจะสามารถนำประชาชนของเขาให้อยู่ในเส้นทางที่สงบสุขและชอบธรรมได้หรือไม่ ฮารีซันได้รับหนังสือขอร้องจากน้องสาวให้ช่วยเหลือเรื่องเสบียงกับทางซาโลม เขาจึงตอบตกลงไป และเขาก็ส่งหนังสือขอให้ทางฟีเลเซียส่งคนมาช่วยพวกตนจะฟื้นฟูผืนป่าที่เสียหายและถูกทำลายในช่วงสงคราม เพราะเหตุนั้นเจ้าหญิงเรจิน่าจึงได้อาสานำคนมาช่วยฟื้นฟูป่าแห่งฟูดินันด้วย เพราะการนี้เองที่ทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกัน จริงๆแล้วทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลยเป็นเวลานานจนกระทั่งบัดนี้ พวกเขาต้องร่วมงานฟื้นฟูผืนป่าด้วยกัน ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ความรักของทั้งคู่ก็เบ่งบาน ไม่นานนักทั้งคู่ก็แต่งงานด้วยกัน โดยเรจิน่าจะขออาศัยอยู่ที่ฟูดินันกับชายคนรัก สร้างความไม่พอใจแก่ซิกมุนด์ผู้เป็นน้องชายอยู่บ้าง ที่พี่สาวผู้เป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์แห่งฟีเลเซีย ไปแต่งงานอยู่กินกับชาวป่าแห่งฟูดินัน แต่ไม่นานนักเขาก็ลืมเรื่องนี้ไป ทั้งฮารีซันและเรจิน่าให้กำเนิดลูกชายชื่อคีรีลัน และลูกสาวชื่อคาลีน่า ที่ฟีเลเซีย ไม่ค่อยได้รับความเสียหายจากสงครามมากนัก ยกเว้นในแถบชายแดนที่ติดกับซาโลม ซึ่งได้รับความเสียหาย แต่ในระหว่างสงครามนั้นก็ได้ทำการซ่อมแซมไปแล้วส่วนหนึ่ง เมื่อความสงบกลับมากษัตริย์ซิกมุนด์ที่สามจึงสั่งให้ซ่อมแซมป้อมปราการและบ้านเมืองที่เสียหายจากการรุกรานให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด และได้จัดเตรียมซื้ออาวุธ และชุดเกราะด้วยเงินจากท้องพระคลังเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมหากมีสงครามเกิดขึ้นอีก แม้จะเป็นไปได้ยาก แต่เขาก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน เขาลดค่าภาษีที่ประชาชนในแถบชายแดนที่ติดกับซาโลมลงเพื่อให้คนเหล่านั้นลดภาระค่าใช้จ่ายลง หลังจากที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปจากการรุกรานในช่วงสงคราม และได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้คนในแถบนั้นที่ถูกฝ่ายซาโลมในสมัยก่อนปล้นทรัพย์สินไป แม้เพราะฟีเลเซียไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แต่ก็ได้รับความเสียหายจากการรุกรานไปพอสมควร ที่หนักที่สุดคือป้อมปราการแถบชายแดนที่ได้รับความเสียหายอย่างมาก จะต้องใช้เวลาในการปรับปรุงซ่อมแซม เป็นเวลาหลายปี และเงินสำหรับการซ่อมแซมมากมายทีเดียวกว่าจะกลับมาอยู่ในสภาพดีดังเดิม และในตอนนี้เพิ่งจะสงบศึก ผู้คนยังคงหวาดกลัวสงครามอยู่ เขาจึงขอร้องไปทางศาสนจักรของฟีเลเซียให้ช่วยรักษา และฟื้นฟูจิตใจประชาชน ด้วยการเผยแพร่คำสอนของศาสนา และจัดพิธีการต่างๆขึ้นเพื่อให้ผู้คนลืมความโหดร้ายของสงครามไปให้ได้โดยเร็วที่สุด ระหว่างการฟื้นฟูประเทศ เขาได้พบรักกับสตรีชาวฟีเลเซียคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ที่เมืองเอรีม ตอนนั้นเขาได้ไปตรวจสภาพบ้านเมือง ระหว่างนั้นเขาได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ของสตรีคนนั้นที่สามารถยิงพลุขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ เขาจึงรู้สึกสนใจขึ้นมา เขาจึงลองไปที่บ้านของเธอ เขาพบว่าสตรีคนนี้เป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และสรรสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆเสมอ รู้สึกถูกใจผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อพบว่าสภาพบ้านนั้นเป็นบ้านหลังเล็กๆแถบชานเมืองที่รกรุงรัง และดูซอมซ่อ จึงรู้สึกสงสาร ผนวกกับความถูกใจในสติปัญญาของเธอ จึงรับตัวมาเลี้ยงดูที่วัง และมักจะคอยเฝ้าดูการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆของเธอเสมอ บางครั้งเขาเองก็เข้าไปพูดคุยกับเธอด้วย และเพราะเธอทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆหลายอย่าง ณ เวลานั้นเองที่ทั้งคู่เกิดความรักกัน จนกระทั่งทั้งคู่แต่งงานกันในเวลาไม่นานนัก และได้ให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง และลูกสาวฝาแฝดอีกสองคนขึ้นมา ทราบภายหลังว่าผู้หญิงคนนั้นมีชื่อว่านาตาลี และสุดท้าย อาณาจักรแอนดิซอง หลังข่าวการตายของเจ้าหญิงอลาน่ารู้เข้าถึงหูของพระราชา และราชินีแห่งแอนดิซอง ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเป็นทุก และต่อมาไม่นานก็ตรอมใจตาย ในเมื่อพระราชาและพระราชินีสวรรคตไป บัลลังค์ก็ย่อมว่างเปล่า และในเมื่ออลาน่า พระราชวงศ์อันดับหนึ่ง ที่มีสิทธิที่จะได้นั่งบัลลังค์ต่อก็ได้สละชีพเพื่อหยุดสงครามไปแล้ว ฉะนั้นพระราชวงศ์อันดับสองอย่างวิโอเรียจึงมีสิทธิที่จะได้นั่งบัลลังค์ บัญชาอาณาจักรการค้าแห่งแอนดิซองแทน นางรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ได้นั่งบัลลังค์แห่งแอนดิซอง และตอบตกลงแทบจะในทันที เมื่อวิโอเรียได้กลายเป็นราชินีแห่งแอนดิซอง อองเดรจึงได้ขึ้นนั่งเป็นกษัตริย์องค์ใหม่แห่งแอนดิซองทันที เพราะความที่เขาถูกกล่าวหาว่าร่วมห้องกับวิโอเรีย จึงต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับนาง เมื่อภรรยาได้ขึ้นมาเป็นราชินี จึงไม่ผิดความคาดหมาย ว่าเขาจะได้กลายมาเป็นกษัตริย์ หลังความตายของอลาน่า เขาก็เป็นทุกข์มาตลอด เขาเงียบขรึมยิ่งกว่าแต่ก่อน และเก็บตัวมากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองผิดที่ทำให้อลาน่าต้องตาย เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นคนที่ฆ่าเจ้านายอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาเป็นทุกข์และตรอมใจ แต่เพราะคำสั่งเสียของอลาน่าก่อนที่จะจากไปสู่สรวงสวรรค์ที่ฝากแอนดิซองเอาไว้ในมือเขา ทำให้เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของเจ้านายตน ดังนั้นในบางเรื่องเขาจึงมีความคิดที่ขัดแย้งกับวิโอเรีย อย่างน้อยก็เรื่องค่าปฎิกรณ์สงครามที่วิโอเรียทวงไปทางฝ่ายซาโลม เขาเห็นว่าไม่ควรที่จะไปเรียกเงินจากซาโลม ที่ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ยากจนแร้นแค้น มีหลายครั้งที่ทั้งคู่ทะเลาะกันเพราะความคิดที่ไม่ลงรอยกันเสมอๆ ดังนั้น เพื่ออำนาจทั้งหมดในราชวังจะได้อยู่ในมือของนางคนเดียว วิโอเรียจึงตัดสินใจ ร่ายมนต์สะกดใจของอองเดรเอาไว้ และสั่งให้เขาเชื่อฟังนาง ทำให้ในระยะหลังๆนี้ อองเดรไม่เคยเถียงวิโอเรียสักคำ นางพูดอะไรเขาก็จะเห็นดีด้วยเสียทุกเรื่อง ทำให้บางคน เป็นคนกลุ่มน้อยผู้รู้ความจริงว่าวิโอเรียนั้นเป็นเหมือนนางแม่มดร้าย เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ และนึกเสียใจที่ไม่ยอมคัดค้านที่จะให้แม่มดผู้นี้ขึ้นมาเป็นราชินี วิโอเรียใช้เส้นสายแต่งตั้งญาติพี่น้องของตนตามอำเภอใจ เพื่อที่อำนาจทั้งหมดในราชวังจะได้อยู่ในมือของนางแต่เพียงผู้เดียว แต่ทว่าศัตรูสำคัญของนางที่สุดก็คือฝ่ายศาสนจักรของแอนดิซอง พวกนี้รู้ว่านางมีอำนาจเวทมนต์ และรู้วิธีที่จะต่อกรกับอำนาจของนาง และความเห็นส่วนใหญ่ก็มักขัดแย้งกับความเห็นของนางเสมอๆ ดังนั้นนางกับสภาศาสนาจึงไม่ค่อยถูกกันเท่าใดนัก นับวันอำนาจก็ยิ่งอยู่ในมือนางมากขึ้น เพราะสภาพ่อค้านั้นก็ตกอยู่ในกำมือของนางแล้วเช่นกันในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ อาจจะกล่าวได้ว่า หากแอนดิซองไม่มีศาสนจักรอยู่แล้วล่ะก็ แอนดิซองก็คงไม่พ้นต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของราชินีผู้นี้โดยสมบูรณ์เป็นแน่ และก็คงจะถูกนางบัญชาการตามอำเภอในอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวในช่วงยี่สิบปีหลังสิ้นสุดสงคราม แม้ว่าทั้งสี่ประเทศจะกลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่ว่า... ความสงบสุขไม่ยั่งยืน เมื่อเป็นศึก นานเข้าก็สงบ เมื่อสงบ นานเข้าก็เป็นศึก สงครามครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้น และครั้งนี้จะไม่ได้เกิดจากฝ่ายซาโลม ปล.จะมีตัวละครใหม่โผล่มาบ้าง ซึ่งแต่งขึ้นเอง หากใครคิดชื่อที่ดูเหมาะสมได้ กรุณาแนะนำมาด้วยครับ มีข้อติชมอะไรโพสต์เข้ามาได้ครับ ขอบพระคุณทุกท่านที่อ่าน Title: Re:นิยายSMN(คิดชื่อเรื่องไม่ออก ช่วยตั้งหน่อยครับ) Post by: SuperJong on March 28, 2006, 07:33:50 PM ก็ดีแล้วนะ แต่งต่อสิ
Title: Re:นิยายSMN(คิดชื่อเรื่องไม่ออก ช่วยตั้งหน่อยครับ) Post by: ค.คนขาจร on April 18, 2006, 07:46:49 PM ตอนที่1 นิมิตภาพ
อิสฮานยืนอยู่ ณ ที่ใดสักที่หนึ่งในที่ราบลุ่มแห่งซาโลม ที่มีต้นหญ้าสั้นๆขึ้นอยู่ เขายังสงสัยอยู่ว่าตนเองมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดและตอนไหน เขาแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าที่เป็นสีส้ม ปุยเมฆที่สะท้อนกับแสงแดดยามเย็นนั้นเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มให้ความรู้สึกเศร้าๆ ราวกับจะเกิดเรื่องน่าโศกสลดขึ้น เหมือนเมื่อครั้งนั้น เมื่อครั้งที่อลาน่าสละชีพไปเพื่อหยุดสงคราม เสียงลมพัดผ่านตัวเขาดึงสติของเขาให้กลับมา เขามองไปรอบๆและพบว่าตัวเองยืนอยู่บนเนินเขาที่อยู่สูงพอจะมองเห็นพื้นที่ราบลุ่มเบื้องล่างที่มีต้นหญ้าสั้นๆสีเขียวซีดขึ้นอยู่ สายลมเบาๆพัดผ่านทำเอาต้นหญ้าลู่ไปตามลมดูสวยงาม แต่ก็ให้บรรยากาศที่ดูโศกเศร้าเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกเพ่งมองจากใคร หรืออะไรบางอย่าง บางสิ่งที่เขาไม่รู้ เขารู้สึกได้ว่าดวงตาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่นั้นมาจากตรงกลางที่ราบลุ่มจึงเพ่งมองไปทางนั้น เมื่อเขามองไปก็พบว่ามันมีนกอยู่ตัวหนึ่ง เป็นอีกาสีดำตัวเล็กๆ เขานึกสงสัยขึ้นมาเพราะนกตัวนั้นเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และในสถานที่แห้งแล้งแบบนี้ไม่เคยมีนกตัวเล็กสีดำเช่นนั้นปรากฎตัวออกมาให้เขาเห็นเลย นกตัวนั้นมองมาทางเขา ดวงตาของมันดูน่าพิศวง เหมือนกับดวงตาของบุคคลที่ เห็นอนาคต หรืออะไรทำนองนั้น เขารู้สึกได้ถึงการมองอันมีพลังจากนกตัวเล็กๆนั่น หลังจากที่จ้องมองกันอยู่สักพัก มันก็สยายปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า อิสฮานมองตามนกตัวนั้นไปจนกระทั่งมันบินหายไปในท้องฟ้าสีส้มที่อยู่ตรงข้ามกับเขา ในตอนนี้ทุกอย่างเงียบสนิท มีเพียงสายลมเบาๆที่พัดผ่าน และมีเพียงตัวเขาคนเดียวยืนอยู่ในสถานที่นั้น โดยไร้ซึ่งเสียงแห่งสรรพสิ่งใดๆอีกเลย นี่เราอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน เขาพูดกับตัวเอง ที่นี่มันที่ไหน แล้วนกตัวนั้นมันอะไรกัน มีคำถามมากมายถาโถมเข้ามาในตัวเขาท่ามกลางความสับสน นี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ เขาเองก็ยังแยกไม่ออก ไม่รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังฝันอยู่เลย เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นจากทั้งสองฝั่งของที่ราบลุ่ม เป็นเสียงฝีเท้าที่มากมาย ยิ่งกว่าฝูงสัตว์ที่กำลังวิ่งอย่างแตกตื่น พลันเขาก็ได้ยินเสียงแว่วๆมาแต่ไกล เป็นเหมือนเสียงโห่ร้อง ยิ่งเงี่ยหูฟัง มันก็ยิ่งดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนกระทั่งได้ยินชัด เป็นเหมือนเสียงโห่ร้องขณะกำลังออกศึกสงคราม เขาแทบไม่เชื่อในเสียงที่ได้ยิน สงครามจบลงไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนหน้านี้ และถึงอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเกิดสงครามขึ้นอีก แต่ทว่าเสียงโห่ร้องนั้นก็ยังคงดังกึกก้องอยู่ และยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น หวาดกลัวว่าจะได้เห็นการนองเลือดอีก แต่เขาก็พยายามหลอกตัวเองว่านี่เป็นแค่ความฝันแน่ แต่ถึงกระนั้นเสียงโห่ร้องจริงๆนั้นก็ยังคงดังเข้าหูเขาตลอด จนเขาสับสนไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้เขาจึงเริ่มครุ่นคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโผล่มาที่นี่ ทันใดนั้นระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในความสับสน ก็ได้มีผู้คนจำนวนมากมายปรากฎออกมาจากทั้งสองฝั่งของที่ราบลุ่ม แต่ละคนล้วนเป็นทหาร มีธงจำนวนมากมายโบกปลิวไสวไปทั่ว เหนือท้องฟ้าของฝั่งตะวันออกนั้นมีจุดเล็กๆเหมือนนกมากมายกำลังบินว่อนอยู่บนท้องฟ้า แต่เมื่อเขาเพ่งมองดูดีๆก็พบว่านั่นไม่ใช่นก เมื่อพวกมันเริ่มเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะที่เขาจะเพ่งมองจนเห็น เขาก็จำพวกนั้นได้ทันที มันคือกองทัพม้าเปกาซัสแห่งฟีเลเซีย แต่จำนวนมากมายยิ่งกว่าที่เขาเคยเจอ มากมายเสียจนเขาบรรยายไม่ถูก และผู้ที่เป็นผู้นำขบวนกองทัพม้าบินอยู่ข้างหน้าสุดนั้นเขาจำได้ไม่ผิดคนแน่ ชายคนนั้นก็คือกษัตริย์ซิกมุนด์ที่สามแห่งฟีเลเซีย ซึ่งนั่นทำให้เขาตกใจอย่างยิ่ง เมื่อมองลงมายังกองทหารที่มาจากฝั่งตะวันออก เขาก็ได้เห็นทหารแต่งเครื่องแบบแตกต่างกันไปสามแบบ ซึ่งแต่ละแบบเขาจำได้แม่นยำนัก พวกแรกก็คือทหารของชาวฟูดินัน ซึ่งมีบางส่วนขี่หมาป่าขนสีดำที่มีขนาดตัวพอๆกับม้า แต่ละคนถือดาบใหญ่เท่าตัว เขาไม่เคยเห็นหน่วยรบนั้นมาก่อนเลย พวกฟูดินันแต่งตัวด้วยเครื่องแบบที่เป็นสีน้ำตาล ขณะที่อีกพวกหนึ่งสวมเครื่องแบบทหารสีเขียว ทหารของฟีเลเซียที่สวมชุดเกราะเต็มยศ ขี่ม้าศึกอันสง่างามอยู่ และกำลังควบมันเข้าสู่สนามรบ และสุดท้ายที่เขารู้ได้ทันทีตั้งแต่เห็นแว่บแรก เครื่องแบบที่ใช้สีแดงดุจเปลวไฟ นั่นคือ กองทัพซาโลมของเขาเอง บนภาคพื้นดินทหารวิ่งกันเป็นรูปขบวน แต่ด้วยจำนวนคนที่มากมายเข้าแถวเรียงกัน เขาจึงไม่สามารถเพ่งมองใครเป็นพิเศษได้ เมื่อเปลี่ยนสายตาจากฝั่งตะวันออกไปฝั่งตะวันตก เขาก็ได้เห็นกองทัพทหารที่สวมเครื่องแบบสีน้ำเงิน พวกนั้นก็คือฝ่ายแอนดิซองนั่นเอง ธงชาติของแอนดิซองปลิวไสวอยู่ท่ามกลางเสี่ยงโห่ร้องของพวกทหารจำนวนมากมาย เขามองไปเห็นได้เห็นดาบเล่มหนึ่งในมือของชายที่ควบม้านำหน้ากองทัพแอนดิซอง ดาบคริสตัลที่งอกออกมาจากถ้วยนั้นเขาเคยเห็นมาแล้ว ดาบที่มีคนเพียงคนเดียวในแอนดิซองที่จะใช้งานมันได้ เจ้าของดาบเล่มนั้นสวมชุดเกราะสีน้ำเงินมิดชิด รวมทั้งปิดบังหน้าตาด้วย แต่ดาบของเขาก็คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเขาคือ อองเดร กษัตริย์คนปัจจุบันแห่งแอนดิซอง เขาแทบไม่เชื่อสายตา กองทัพของสามอาณาจักรกำลังจะเข้าห้ำหั่นกับกองทัพของแอนดิซอง เมื่อทหารของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน เขาก็ได้เห็นการตะลุมบอนอันชุลมุนวุ่นวาย เสียงโห่ร้องท่ามกลางการฆ่าฟันดังกันกึกก้อง นี่คือภาพที่เขาไม่อยากจะได้เห็นอีกชั่วชีวิต แต่บัดนี้เขากลับได้เห็นมันอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งของเหล่าทหาร เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ดังมาจากบนท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงอย่างช้าๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ตัวว่ามันเริ่มมืดลงตั้งแต่เมื่อใด เขารู้สึกเหมือนเห็นหน้าของอะไรสักอย่าง ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่เขารู้จักแต่เขาเคยเห็นใบหน้านั้นมาก่อน เหมือนกับเป็นใบหน้าของปีศาจตัวหนึ่งที่เขาเคยพบ แต่เขาจำไม่ได้และไม่แน่ใจ เสียงหัวเราะนั้นดังกึกก้องขึ้น หากฟังดูดีๆจะมีอยู่หลายเสียงด้วยกัน และดูเหมือนจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเสียงหนึ่งนั้นดังเข้ามาในสมอง ซึ่งดังชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่!!!!! เขากุ่ร้องออกมาสุดเสียง อิสฮานลุกพรวดขึ้นจากความฝันอันสมจริงที่แสนน่ากลัวนั่น เขาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนของเขา นอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับภรรยาและลูกชาย หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกเหนื่อยหอบ ดวงตาของเขายังคงเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว เหงื่อออกท่วมตัว และรู้สึกว่าร้อนตัวไปหมด เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่เบื้องหน้า แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาภายในห้องนอน เขาจึงเหลือบไปมองใบหน้าของภรรยาของตน ใบหน้าอันแสนงามที่กำลังหลับไหลอย่างมีความสุขของวานาอัน ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะฝันร้าย และเขาคงจะคิดว่านี่เป็นแค่ฝันร้ายที่น่ากลัวแน่ หากไม่ได้เหลือบไปเห็นนกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ประตูหน้าต่างถูกเปิดตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีใครรู้ตัวเลยแม้แต่คนเดียว อิสฮานจำได้ และเริ่มรู้สึกหวาดกลัวจับใจ นกตัวนั้นเป็นนกตัวเดียวกับที่เขาเห็นในความฝันอันน่ากลัว และพลังในการมองของมันมาทางเขายังคงเหมือนเดิม เหมือนกับในความฝันไม่มีผิดเพี้ยน ตกใจ งั้นรึ? เสียงพูดหนึ่งดังขึ้น อิสฮานจะไม่ตกใจเลยหากเสียงที่ถามเขาไม่ได้มาจากนกตัวนั้น เขามีท่าทีตกใจและระแวงนกตัวนั้นขึ้นมา เราควรออกไปคุยกันข้างนอกที่ริมสระน้ำจะดีกว่า ข้าเกรงว่าจะเป็นการรบกวนภรรยา และลูกชายเจ้า พูดจบมันก็บินออกไป อิสฮานรู้สึกสงสัยว่าทำไมนกตัวนั้นถึงรู้เรื่องนี้ได้ แต่เขาก็รีบตามออกไปทันที เพื่อต้องการคำตอบสำหรับคำถามมากมายในหัวของเขา เพราะนกตัวนั้นอาจจะรู้สิ่งท่าเขากำลังสงสัยทั้งหมดก็ได้ เขารีบมาที่ริมสระน้ำ ที่อยู่ตรงกลางสวนในราชวังของเขา แม้จะมีแท่นน้ำพุอยู่ตรงกลางสระน้ำ แต่มันก็ถูกปิดลงแล้ว ผืนน้ำนั้นสงบนิ่ง สะท้อนแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เมื่อเขาชะโงกหน้ามองลงไปเขาก็เห็นภาพของตัวเองได้ชัดเจน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าผืนน้ำในสระน้ำนี้จะสะท้อนภาพได้เหมือนกระจกเมื่อเข้าสู่ยามค่ำคืนเช่นนี้ ข้าอยู่ทางนี้ เสียงเดิมดังขึ้น เมื่อเขามองไปทางเจ้าของเสียงก็พบกับนกตัวเดิม นี่มันอะไรกัน เขาพูด นี่ข้ากำลังฝันซ้อนฝันอยู่อย่างนั้นสินะ ฝัน? นกตัวนั้นทวน เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ไม่หรอก นกอย่างเจ้าจะพูดได้อย่างไรกัน ในความเป็นจริง อิสฮานว่า ข้ายังไม่เคยเห็นนกตัวไหนที่พูดได้เลย เจ้านกสีดำหันมองร่างกายตัวเอง แล้วมันก็พูดขึ้น นั่นสินะ ขืนอยู่ในร่างนี้เจ้าคงไม่เชื่อสิ่งที่ข้าพูดแน่ พูดจบก็มีแสงสีเขียวเปล่งออกมาจากดวงตาของนกตัวนั้น ขนด้านหลังและขนปีกของมันยาวขึ้นเป็นเส้นยาวเหมือนริบบิ้น และแสงสีเขียวก็ส่องสว่างขึ้น ทันใดนั้นหัวนกก็กลายมาเป็นฮู้ดสีดำ และขนนกที่งอกยาวออกมาจากปีกและขนที่แผ่นหลังก็หลายเป็นผ้าคลุมสีดำ เจ้านกตัวนั้นกลายร่างเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ในมือมีไม้เท้าที่เป็นรูปหัวนกอยู่ และมีลูกแก้วฝังอยู่ข้างในเหมือนเป็นลูกตา เขาคนนั้นค่อยๆดึงฮู้ดลง และอิสฮานก็ได้รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขาเป็นผู้หญิง! หญิงสาวผู้มีผมยาวสีดำขลับ และดวงตาสีดำที่ดูลึกลับ ชุดคลุมของนางนั้นทำให้นางดูลึกลับอย่างมาก อิสฮานได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ตกใจงั้นรึ? นางถาม รึว่ากลัว? อิสฮานสงบสติอารมณ์ลง ก่อนที่จะเอ่ยปากถามหญิงสาวลึกลับผู้นี้ ท่านเป็นใครกัน รู้แต่ว่าข้าชื่อไกอา แค่นั้นก็พอ นางตอบ ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นใครมาจากไหน นางรีบตัดบททันทีเพราะรู้ว่าอิสฮานจะถามอะไรต่อ ท่านคือนกที่อยู่ในความฝันนั่นนี่? เขาพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ ความฝัน? ไกอาทวน เจ้าคิดว่านั่นคือความฝันอย่างนั้นรึ อิสฮานก็พยักหน้าเป็นคำตอบ นางก็หัวเราะเบาๆ มีสิ่งใดน่าตลกหรือ เขาพูดอย่างสงสัย ความฝันที่ไหน ที่จะมีความรู้สึกสมจริง จนน่ากลัวขนาดนั้น ไกอาตอบ เหมือนว่านางจะรู้เรื่องความฝันของอิสฮานด้วย ท่านรู้ได้อย่างไร อิสฮานถามอีก ข้ารู้สิ ไกอาตอบ ก็เพราะข้าบันดาลให้มันเกิดขึ้นเอง มันก็คือนิมิตที่เตือนเจ้านั่นแหละ แต่ว่าเจ้าตื่นไวกว่าที่ข้าคาดคิด เราเลยได้มายืนคุยกันอยู่ตรงนี้ จริงๆแล้วท่านเป็นใครกันแน่ อิสฮานถามอย่างระแวง นั่นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะพูด ข้ารู้ว่าเจ้าสงสัยหลายอย่าง แต่ตอนนี้จงเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน ไกอาตอบ ข้าจะตอบเจ้าเรื่องสิ่งที่เจ้าเข้าใจว่ามันคือความฝัน จริงๆแล้วมันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือนิมิตภาพของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่านบอกว่าจะเกิดสงครามขึ้นอย่างนั้นรึ อิสฮานพูด ใช่ แต่เมอร์ริเซียสงบสุขมานานร่วมยี่สิบปีแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดสงครามขึ้นมาได้อีกแน่ อิสฮานปฎิเสธเสียงแข็ง ดูเจ้ามั่นใจนะ ไกอาตอบ พร้อมกับมองดูท่าทางของอิสฮานที่ไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด เมื่อใดที่ใกล้จะเกิดสงคราม เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้ว่าข้าน่ะพูดความจริง ข้ามาเตือนด้วยความหวังดี หวังจะให้เจ้าเตรียมพร้อมรับมือ ไม่ให้อาณาจักรที่เจ้ารักนักหนาต้องถูกทำลายลง หรือตกอยู่ใต้การปกครองของใคร ขออภัย แต่ข้าไม่เชื่อท่านเลย แม้แต่นิดเดียว อิสฮานตอบ ไม่เลยรึ? ไกอาว่า อิสฮานก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ ข้ารู้สึกผิดหวังนะ อิสฮาน ที่เจ้าไม่เชื่อข้า นางตอบด้วยความผิดหวัง ทำให้อิสฮานแปลกใจที่นางรู้ชื่อของเขา เพราะเท่าที่ดูนางไม่ใช่ชาวซาโลม และไม่น่าจะรู้จักหน้าตาของจักพรรดิแหงซาโลมด้วย จะบอกอะไรดีๆให้อีกอย่างก็แล้ว คำพูดอะไรของท่าน ข้าไม่สนใจ ดูเหมือนว่าท่านจะรบกวนเวลานอนของข้ามากเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้าขอตัวก็แล้วกัน พูดจบเขาก็หันหลังจะเดินกลับไปที่ห้องนอน หากเจ้ายังคงอ่อนแอ และหวาดกลัวต่อสงคราม ก็จงเตรียมได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าตอนที่แม่เจ้าตายเสียอีก เจ้าจะไม่เหลือครอบครัวอันเป็นที่รักเลยซักคนเดียว และอาณาจักรที่แม่เจ้าฝากฝังเอาไว้ ก็คงตกอยู่ใต้การปกครองของผู้อื่น ซึ่งเจ้าคงไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ใช่ไหม? ไกอาพูดโดยไม่สนใจท่าทีเบื่อหน่ายของเขา และคำพูดนั้นทำให้อิสฮานต้องหยุดเท้าทันที และหันขวับกลับมาหา ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน อิสฮานถาม ข้าก็หมายความตามที่พูดเมื่อครู่น่ะแหละ ไกอาตอบ เจ้ามันเป็นคนที่มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ จึงไม่มีบาปตนใดสามารถครอบงำตัวเจ้าได้ แต่ถึงกระนั้น เพราะเจ้าจิตใจอ่อนแอ จึงได้ถูกบาปแห่งการละเลยที่มีรูปร่างคล้ายกับเทวทูต ชักจูงให้เจ้าเข้าสู่สงครามก่อนที่ศึกสุดท้ายจะเปิดฉากขึ้น ท่านรู้ได้ยังไง! อิสฮานถามด้วยความตกใจ ผู้หญิงคนนี้ แล้วท่านบอกว่าเทวทูตนั่นเป็นบาปอย่างนั้นรึ มีเทวทูตที่ไหนที่มีรูปร่าง คล้ายมนุษย์ แต่ไม่ได้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ล่ะ ไกอาตอบ นึกดูให้ดีๆสิ อิสฮานนึกครุ่นคิดอยู่ เขานึกถึงใบหน้าของบาปแห่งการละเลยได้ แม้ตอนนั้นมันจะปรากฎในภาพอันสว่างไสวดุจเทวดา แต่ใบหน้าของมันนั้น ดูยังไงก็แค่คล้ายมนุษย์ แต่ไม่เหมือนมนุษย์ ก็เพราะเจ้าถูกหลอกให้เข้าร่วมสงครามไม่ใช่รึ จึงเกิดสงครามต่อ และซิสเตอร์อลาน่าถึงต้องตาย ไกอาย้ำคำพูดลงไป ท่านจะบอกว่าข้า เป็นคนทำให้ซิสเตอร์ต้องตายงั้นรึ! อิสฮานเริ่มโมโหเมื่อถูกกล่าวหา จะว่าใช่ รึไม่ใช่ดีล่ะ ไกอาตอบ เจ้าคิดว่าสาเหตุมาจากอะไรล่ะที่ทำให้สงครามดำเนินต่อไป เพราะฝ่ายแอนดิซองไม่ยอมหยุดสงคราม ความต้องการของเหล่าขุนพลที่จะสู้ต่อ หรือเพราะบาปแห่งการละเลย ต้องการจะพูดอะไรกันแน่ อิสฮานถามเสียงแข็งด้วยใบหน้าที่บึ้งตีง เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกแหย่อยู่ แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะพูดอะไรกันล่ะ ไกอาย้อนถาม เหมือนว่านางจะรู้ว่าอิสฮานกำลังรู้ว่านางจะพูดอะไรต่อ ข้าไม่สนุกกับเจ้าด้วยหรอกนะ อิสฮานตอบ เลิกพูดกวนประสาทข้าสักที อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมา งั้นข้าจะตอบตรงๆเลยก็ได้ ไกอาตอบ เพราะจิตใจที่อ่อนแอของเจ้าทำให้ถูกบาปแห่งการละเลยหลอกลวงให้เจ้าร่วมสงคราม ทำให้อลาน่าต้องตายเพื่อหยุดสงคราม เพราะถ้านางไม่ทำสงครามก็คงไม่จบใช่ไหมล่ะ อิสฮานหลบสายตา เขารู้แล้วว่าคำพูดของไกอานั้นน่าเชื่อถือ เขารู้แล้วว่าเพราะจิตใจอันอ่อนแอของเขาทำให้อลาน่าต้องตาย เขาไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ หากเจ้ายังคงอ่อนแอต่อไป บาปแห่งการละเลยก็จะสามารถหลอกลวงเจ้าให้กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ และอาจทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนหรือล้มตายได้ หรืออาจจะทำให้เกิดปัญหาบานปลายจนต้องมีผู้ที่ต้องพลีชีพเพื่อยุติ เหมือนที่เคยเกิดมาแล้วครั้งนึง ไกอาพูด แล้วท่านรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร อิสฮานถาม เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของบาป จนทำให้ใครต้องเป็นอะไรไปอีก ไกอาพูด พร้อมกันนั้นก็มองหน้าอิสฮานเพื่อรอคำตอบจากเขา และอิสฮานก็พยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ ฉะนั้นข้าจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง ขอให้เจ้าเชื่อคำพูดของข้าตรงนี้ด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสับสนในชีวิต เมื่อนั้นเจ้าก็จะมีโอกาสได้พบกับบาปแห่งการละเลย เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่ามันจะกล่าวเหตุผลใดออกมาก็ตาม จงตั้งสติเอาไว้ให้ดี และอย่าเชื่อมันเด็ดขาด เพราะคำพูดของบาปแห่งการละเลยนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดหลอกลวงเจ้า จงอย่าเชื่อและทำตามคำพูดของพวกมัน เจ้าต้องเข้มแข็งและมีสติอยู่ตลอดเวลา แล้วคำกล่าวของมันก็จะไม่สามารถสั่นคลอนจิตใจของเจ้าได้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าบาปคือตนไหนกัน อิสฮานถาม เจ้าเคยพบเจอมันมาครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าน่าจะรู้ ไกอาตอบ บาปที่ปรากฎออกมาในรูปลักษณ์ที่คล้ายกับทูตสวรรค์ ที่ชักจูงให้เจ้าเข้าร่วมสงครามด้วยเมื่อตอนนั้น นั่นมันทูตสวรรค์ไม่ใช่เหรอ! เขาถาม ผิดแล้ว รูปลักษณ์นั้นเป็นรูปลักษณ์แท้ๆของมันที่คล้ายกับทูตสวรรค์ แต่ทูตสวรรค์นั้นไม่ได้มีร่างกายสีขาวทั้งตัว หากแต่มีร่างกายเหมือนกับมนุษย์ ส่วนจะมีปีกหรือไม่ก็แล้วแต่ ไกอาตอบ และที่สำคัญ ทูตสวรรค์จะไม่ชักจูงเจ้าไปสู่เส้นทางที่ผิด เจ้าก็เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ทำไมเจ้าถึงลืมคิดข้อนี้ไป อิสฮานแทบไม่เชื่อ เขาถูกบาปหลอกให้เข้าร่วมสงครามจนต้องมีคนตายเพิ่มมากเข้าไปอีก ทั้งๆที่มันก็อยู่ในจุดที่ควรจะจบสิ้นลงแล้วแท้ๆ แม้ใจจะไม่เชื่อ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าทูตสวรรค์ที่มาพบเขาตอนนั้นไม่ได้มีร่างกายเหมือนมนุษย์จริงๆอย่างที่ไกอาตอบ และในจุดนี้เขาก็คงต้องยอมรับความจริงว่าเพราะจิตใจที่อ่อนแอของเขา จึงทำให้อลาน่าต้องตายจากไป ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ แต่ข้ามีเรื่องที่จะพูดกับเจ้าเพียงเท่านี้ ลาก่อน พูดจบก็แปลงร่างเป็นนกสีดำตัวเดิม จงจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี จงเข้มแข็งและมีสติ แล้วบาปแห่งการละเลยจะไม่อาจหลอกลวงเจ้าได้ ว่าจบแล้วนางก็บินจากไป ปล่อยให้อิสฮานยืนมองนางบินไปจนลับตาในยามค่ำคืนนี้ ปล.เอ่อ วิจารด้วยก็ดีนะครับ ขอบคุณครับ Title: Re:นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่1 Post by: SuperJong on April 19, 2006, 11:29:08 AM โอ้ สุดยอดมากครับบ ดีกว่าตอนแรกมาก
เรื่องราวจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วว Gaia ดูแก่ๆนะ - - Title: Re:นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่1 Post by: Amankris,the Ultimate Evolution on April 20, 2006, 10:35:49 PM หนุกดีงับ แต่งต่อเลย เว้นบรรทัดบ้างสิตาลาย
Title: Re:นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่1 Post by: ХeЯхe$-КunG АррЯeйтiсЕ $Аiйт on April 24, 2006, 05:07:55 AM โอ้ สุดยอดมากครับบ ดีกว่าตอนแรกมาก ก็อันนี้ตอนแรกไม่ใช่หลอคับอันข้างบนเป็นบทนำ ;D ;Dเรื่องราวจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วว Gaia ดูแก่ๆนะ - - ขอค้านนิสนึงซิกมันต์ที่สามหยิ่งในศักดิ์ศรีทำไมไปแต่งงานกับนักประดิษฐ์ง่ะถ้าเป็นลูกเจ้าเมืองที่เป็นนักประดิษฐุ์ก็อีกเรื่อง ::) ::) ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเป่าแต่เรจิน่าเป็นคนแนะนำให้ฮารีซันแต่งตั้งฟูดินันเป็นประเทศไม่ใช่หลอคับไม่ใช่คาร์น :P :P <ไม่แน่ใจนะงับ> เนื้อเรื่องสนุกมากครับ ;D ;D Title: Re:นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่1 Post by: ค.คนขาจร on May 01, 2006, 12:19:20 PM ต้องขออภัยด้วยครับ
เพราะความจริงแล้วผมไม่ได้อ่านนิยายในตอนแรกๆน่ะครับ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องราวจริงๆมากนัก จึงมีตรงบางส่วนที่อาจเป็นจุดใหญ่หรือจุดเล็กที่ขัดแย้งกับที่ทางบริษัทเขียนเอาไว้อย่างที่ผมออกตัวไปในบทนำ ต้องขอบคุณ คุณอาคามุมากครับที่ช่วยแก้ไขให้ในบางจุด และทุกท่านที่อ่านเรื่องที่ผมแต่งมานี้และสำหรับคำติชม(ทุกคำติที่ไม่ใช่การด่า แต่ติเพื่อก่อ) ขอบคุณมากครับ ปล.สงสัยคงต้องค่อยๆอ่านนิยายของทางบริษัทดูแล้วแฮะ แต่ว่าไม่ค่อยมีเวลาเลย ปล.2สงสัยคงต้องแก้เรื่องของซิกมุนด์นิดหน่อยซะล่ะมั้งเนี่ย ??? Title: Re:นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่1 Post by: ХeЯхe$-КunG АррЯeйтiсЕ $Аiйт on May 02, 2006, 07:29:35 PM ไม่เป็นไรคับ
แต่งต่อเลยก็ได้งับไม่ต้อง ;D ;Dแก้แล้วแบบนี้ก็มันดี -*- :P :P ::) ::) Title: Re:นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่1 Post by: ค.คนขาจร on May 02, 2006, 11:10:51 PM ตอนที่2 สาส์นถึงจักรพรรดิ
หลังกจากเหตุการณ์ที่อิสฮานได้พบกับหญิงสาวปริศนาที่ชื่อไกอาในคืนนั้น เขาก็พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้คนรอบข้างผิดสังเกต แต่เมื่อใดที่เขาอยู่คนเดียว ก็มักจะรู้สึกกังวลถึงคำพูดของหญิงสาวแปลกหน้า คำเตือนที่ว่าสงครามจะเกิดขึ้น และคำแนะนำสำหรับเขา ดูเหมือนนางจะรู้อะไรมากมาย อาจเป็นไปได้ว่านางอาจจะรู้ทุกเรื่องในสงครามที่เคยเกิดขึ้น หรือไม่ก็ทุกเรื่องในโลก ทั้งเรื่องที่เขารู้และไม่รู้ อิสฮานได้นำคณะจากทางราชวังเดินทางไปยังทะเลทรายอันแห้งแล้งกันดารที่อยู่ทางตอนใต้แถบชายแดนติดกับฟูดินันซึ่งยังไม่ได้รับการฟื้นฟูหลังสงคราม คณะของอิสฮานได้ตั้งค่ายอยู่ข้างแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลมาจากฟูดินัน ซึ่งก็อยู่นอกเมืองเพื่อจะได้สะดวกสำหรับการทำงาน ทุกๆวันเขาจะต้องออกไปสำรวจพื้นที่ พร้อมทั้งให้เหล่าทหารแจกสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นและฝึกงานให้แก่ประชาชนในเมืองนี้ และบริเวณใกล้เคียงเพื่อที่จะได้สามารถประกอบอาชีพในอนาคตได้ มันเป็นแผนการระยะยาวสำหรับการฟื้นฟูบ้านเมืองเพื่อที่จะให้ประชาชนทุกคนสามารถเอาตัวรอดได้เอง เช้าวันหนึ่ง มีผู้คนมากมายต่างก็มาที่ค่ายของอิสฮาน เพื่อขอเสบียงอาหารเพื่อการยังชีพ รวมทั้งผู้คนที่เดินทางมาเพื่อเรียนรู้การประกอบอาชีพต่างๆที่ทางการจะสอนให้ เพราะมีผู้คนอยู่มากที่แม้จะรู้วิธีการทำอาชีพต่างๆ แต่ก็ไม่ได้รู้จริง และยังต้องได้รับการเรียนรู้อีกมากมายหลายอย่าง รวมไปถึงผู้คนที่มาขอเงินทุนจากทางการสำหรับนำไปประกอบอาชีพของตน เพราะจำนวนผู้คนมากมายนี้เองทำให้ค่ายพักขนาดใหญ่ที่ถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกสอนอาชีพด้วยแห่งนี้ดูเล็กลงไป มีผู้คนต่อแถวยาวเหยียดอยู่หน้าเต็นท์หลังใหญ่ ซึ่งเป็นเต็นท์สำหรับแจกสิ่งของยังชีพให้แก่ผู้คน ผู้คนที่ยืนรอต่างก็รอคอยอย่างมีความหวัง ขณะที่ผู้ที่ออกมาจากเต็นท์ก็มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างยินดีโดยที่ในมือมีถุงยังชีพซึ่งใส่อาหารเอาไว้ ดูเหมือนว่าการฝึกสอนจะได้รับความสนใจอย่างมาก มีผู้คนจำนวนมากต่างก็มาเข้าเรียนวิธีการประกอบอาชีพต่างๆกันไป ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมืองในทะเลทราย การปลูกพืชให้ขึ้นในเขตทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย การสร้างผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในครัวเรือน หรือส่งขาย ดูเหมือนว่านโยบายฟื้นฟูประเทศของอิสฮานจะดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างยิ่ง ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกดีใจและไม่รู้จะอธิบายยังไงดีกับความรู้สึกที่ได้เห็นผู้คนมีความสุขกันอีกครั้งหลังจากความเหนื่อยยากในช่วงสงคราม แม้ภาพนี้เขาจะเห็นมาร่วมยี่สิบปีแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ยิ้มอะไรรึ วานาอันยื่นหน้าออกมาถาม เธอสวมชุดเหมือนกับนักเดินทางชาวอาหรับทั่วๆไป เป็นชุดสีขาวสะอาดที่มีฮู้ดปกคลุมหน้าเพื่อป้องกันแสงแดดอันร้อนแรงของทะเลทราย แม้จะผ่านมานานยี่สิบปี แต่ถึงกระนั้นสำหรับอิสฮานแล้ว เจ้าสาวของเขาก็ยังคงดูสวยน่ารักเหมือนเช่นเดิม เปล่านี่ อิสฮานตอบ ข้าแค่ ดีใจที่ได้เห็นผู้คนมีความสุข ก็เท่านั้น ว่าจบเขาก็บิดขี้เกียจนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้น ได้เวลาทำงานแล้ว เมื่อวานาอันได้ยินเข้าก็คว้ามือของอิสฮานเอาไว้ วันนี้ไม่ต้องออกมาทำงานหรอก พักซักวันเถอะ เธอว่า ตลอดเวลาตั้งแต่เดินทางมาที่นี่เขาแทบไม่ได้พักเลย ต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกวัน ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่หลายครั้ง คนรอบข้างจะเห็นเขามีท่าทางที่เหนื่อยล้าจากการโหมงานหนักเพื่อจักรวรรดิของเขา ข้าเห็นเจ้าเหนื่อยมาตั้งหลายวัน นอนก็ดึก ทั้งยังต้องตื่นแต่เช้าอีก วันนี้เจ้าพักอยู่ในเต็นท์ให้สบายซักวันเถอะนะ ไม่ได้หรอก ข้ายังมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องทำนะ อิสฮานตอบ ไม่ได้เด็ดขาด วานาอันว่าพร้อมกับมองหน้า ดวงตาของเธอแสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว พักสักวันก็ไม่มีใครว่าหรอก ทุกๆคนก็รู้ดีว่าเจ้าทำเพื่อซาโลม แต่การโหมงานหนักจะทำให้ร่างกายเจ้าอ่อนแอลงนะ ได้โปรด เจ้าพักซักวันเถอะ เธออ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเห็นห่วงสามี อิสฮานมองดูดวงตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของภรรยา ก่อนจะพูดขึ้น นั่นสินะ พักสักวันก็ได้ อิสฮานตอบพร้อมกับเดินตามวานาอันเข้ามาในเต็นท์ เขาปิดเต็นท์ลง ทำให้ภายในนั้นดูมืดสลัวลง แต่ก็ยังคงมีแสงสว่างมากพอที่จะเห็นใบหน้าของกันและกันได้ เพราะแสงแดดยามเช้านั้นยังคงสาดส่องผ่านผืนผ้าใบเข้ามาได้นิดหน่อย นี่ วานาอัน อะไรรึ? นางหันกลับมาถาม และได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนของอิสฮาน เขาค่อยๆสวมกอดภรรยาของเขาอย่างช้าๆ ซึ่งทำให้นางดูแปลกใจไม่น้อย มีอะไรหรือ คือว่า...เราสองคนไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน สองต่อสองเลย ตั้งนานแล้ว อิสฮานตอบ วานาอันนิ่งอึ้งไปสักพักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้น เจ้าไม่คิดจะพักรึ คิดสิ อิสฮานตอบ ข้าคิดว่าข้าทำแบบนี้จะมีความสุขมากกว่าได้นอนอยู่บนเสื่อทั้งวันเสียอีก เหนื่อยกายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ข้าแค่อยากจะพักใจที่เหนื่อยล้าจากการทำงานกับเจ้าเท่านั้นเอง ไม่เอาน่า เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี วานาอันว่า ได้โปรดเถอะ เราไม่ได้สวมกอดด้วยกันแบบนี้มานานมากแล้วนะ อิสฮานว่า และไหนๆตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันแล้ว โอกาสเช่นนี้ไม่ค่อยได้มีบ่อยนัก ว่าจบเขาก็กอดผู้เป็นภรรยาแน่นขึ้น ก็ได้ วานาอันพูดขึ้นพร้อมกับสวมกอดอิสฮานบ้าง ทั้งคู่กอดกันแน่น ต่างก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของความรักที่ทั้งคู่มีให้กัน สักพักทั้งสองต่างก็จ้องมองเข้าไปยังดวงตาของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าวานาอันจะเข้าใจว่าอิสฮานคิดจะทำอะไร และนางก็ยินดี ทั้งคู่ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ สวมกอดกันแน่นขึ้น ไม่รู้สึกได้ยินถึงเสียงจอแจข้างนอกนัก เหมือนกับว่าในโลกใบนี้มีเพียงเขาทั้งคู่เท่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็ยื่นหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ แต่ทว่าเสียงหนึ่งก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ฝ่าบาท! ทรงอยู่ข้างในที่ประทับหรือไม่พะย่ะค่ะ เสียงเรียกนั้นดังออกมาจากข้างนอกเต็นท์ ทำให้ทั้งคู่ถึงกับสะดุ้ง และรีบผละออกจากกันทันทีอย่างตกใจ ทั้งคู่ตั้งสติสักพักหนึ่งก่อนที่วานาอันจะถามกลับไป มีอะไรน่ะ มีทูตจากแอนดิซองมาขอเข้าพบพะย่ะค่ะ เสียงนั้นตอบกลับมา อิสฮานถอนหายใจอย่างเสียดายโอกาสก่อนจะตอบออกไป เข้ามาได้ แล้วก็มีคนสองคนเข้ามาในเต็นท์ คนหนึ่งสวมเครื่องแบบทหารซาโลม แต่ไม่เรียบร้อยนัก เสื้อออกนอกกางเกง และดุมบางเม็ดก็ไม่ได้ติด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักสำหรับอิสฮาน เพราะเขาไม่ได้เข้มงวดในเรื่องนี้อยู่แล้วเพราะไม่ใช่ในเวลาสงคราม แต่อีกคนต่างหากที่ดูแปลกในสายตาของเขา ชายที่เข้ามาด้วยนั้นสวมชุดแบบนักเดินทางชาวอาหรับ แต่งตัวมิดชิดเรียบร้อย แต่หน้าตานั้นไม่ใช่ชาวซาโลม สีผมก็เป็นสีเหลืองแปลกแตกต่างออกไป สวมเสื้อผ้าข้างในเป็นชุดสีน้ำเงิน ดูๆไปก็คล้ายกับชุดของทหารในยามปกติ ในมือของชายคนนั้นมีม้วนกระดาษอยู่ม้วนหนึ่งซึ่งคงจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะดูท่าทางทหารคนนั้นจะพยายามรักษาม้วนกระดาษนั้นอย่างดี ถวายบังคมพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ชายคนนั้นกล่าว เจ้าเป็นใครรึ หน้าตาไม่ใช่คนซาโลมเลย อิสฮานถามอย่างแปลกใจ กระหม่อมเป็นทูตเดินสาส์นที่ทางราชสำนักแห่งแอนดิซองส่งมาพะย่ะค่ะ ทูตจากประเทศแห่งน้ำตอบ ได้รับคำสั่งจากองค์ราชินีวิโอเรียให้นำพระราชสาส์นฉบับนี้มาถวายแก่ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ พูดจบเขาก็คุกเข่าลงและใช้สองมือยื่นม้วนกระดาษส่งให้อิสฮาน สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อทูตเดินสาส์นตอบว่าวิโอเรียเป็นผู้ส่งหนังสือฉบับนี้มาให้เขา เขารู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาในทันทีทันใด และหัวใจก็เต้นรัวอย่างตื่นเต้น เขาหวังว่าเนื้อความข้างในจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด จะเป็นเรื่องอื่นหรืออะไรก็ได้ แต่ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขากำลังคิดและกลัวอยู่ เขาค่อยๆหยิบสาส์นนั้นมาจากมือทั้งสองของทูตแห่งแอนดิซอง และค่อยๆคลี่ออกอ่านเบาๆด้วยใจที่เต้นระรัว ความกลัวคืบคลานเข้าในจิตใจเขาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ถึงองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิซาโลม นี่ก็เป็นเวลาผ่านไปนานยี่สิบปีแล้ว ครบกำหนดเวลาที่ท่านได้สัญญากับเราเอาไว้ว่าจะหาเงินค่าปฎิกรณ์สงครามที่ซาโลมจะต้องชดใช้ในช่วงสงครามให้กับทางแอนดิซอง ข้าหวังว่าท่านคงจะไม่ผิดสัญญาที่จะหาเงินจำนวนนั้นมาชดใช้ให้กับทางเราที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินและผู้คนไปเพราะสงครามที่บิดาของท่านเป็นผู้ก่อขึ้น มันอาจจะเป็นการยากที่จักรวรรดิที่ได้รับความเสียหายจากสงครามอย่างหนักหนาสาหัสจะสามารถหาเงินมากมายมหาศาลขนาดนั้นมาชดใช้ได้ ฉะนั้นเราจึงยอมอ่อนข้อยืดเวลาให้ท่านหาเงินมาชดใช้ความเสียหายที่ทางแอนดิซองได้รับ และเราก็คาดการณ์ไว้ว่าเวลายี่สิบปีนั้นอาจจะไม่สามารถหาเงินมากมายขนาดนั้นมาชดใช้ให้กับทางเราได้ ฉะนั้นเราจึงคิดทางเลือกใหม่ให้ท่านได้เลือกในกรณีที่ท่านไม่สามารถหาเงินมาชดใช้ค่าปฎิกรณ์สงครามได้ นั่นก็คือ ซาโลมจะสามารถค่อยๆทยอยส่งเงินชดใช้คืนมาให้กับทางแอนดิซองปีละหนึ่งครั้งจนกว่าจะสามารถชดใช้เงินทั้งหมดได้ครบ ระหว่างนั้นทางแอนดิซองจะต้องได้รับสิทธิที่จะได้ผูกขาดการค้ากับซาโลมแต่เพียงผู้เดียว ห้ามมิให้ซาโลมทำการค้าขายกับอาณาจักรใดๆทั้งสิ้น แอนดิซองจะต้องได้รับความสะดวกในการค้ากับซาโลมในด้านต่างๆทุกด้าน และซาโลมจะสามารถขายสินค้าให้กับเราได้ในราคาที่ทางแอนดิซองเป็นคนกำหนด โดยเงินตราที่ใช้จะต้องเป็นเงินตราสากลที่ทางแอนดิซองกำหนดไว้เท่านั้น ทั้งหมดที่กล่าวไปในย่อหน้าข้างบนนี้ ก็คือตัวเลือกใหม่สำหรับท่านนอกเหนือจากการจ่ายเงินมหาศาลนั้นในวันเดียว มันคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับท่านแน่นอนในการหาเงินขนาดนั้นมาชดใช้ให้กับแอนดิซอง และหวังว่าท่านจะยอมตกลงด้วยความยินดี เพราะนั่นเป็นทางเลือกที่เราอ่อนข้อกับท่านอีกครั้งหนึ่งแล้ว วิโอเรีย เมื่ออ่านจบ อิสฮานถึงกับหน้าซีดไปในทันทีทันใด เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยหลังจากอ่านจบ ท่าทีของเขาแปลกออกไปอย่างเห็นได้ชัด และหลังจากที่เขาได้สติ ความกังวลก็ถาโถมเข้ามาในตัวเขาราวกับพายุที่บ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าเขาจะจมลงไปในห้วงความคิดจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความคิดมากมายที่ถาโถมเข้ามาในสมองตน ได้แต่นิ่งเงียบพยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้ วานาอันเห็นท่าทีที่แปลกไปของเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าอิสฮานอ่านจดหมายจบแล้ว และเริ่มกลัดกลุ้มกับปัญหาจนดูเหมือนจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว และเธอก็รู้ได้ทันทีว่าเนื้อความข้างในต้องเป็นปัญหาใหญ่มากแน่จึงทำให้อิสฮานเงียบไปในทันที จึงกล่าวกับทูตจากแอนดิซองแทนเขา เราไม่รู้ว่าข้อความในนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง แต่ว่ามันย่อมเป็นเรื่องที่จะต้องคิดทบทวนไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนอย่างแน่นอน ข้าพอจะรู้คร่าวๆว่าเนื้อความข้างในเขียนอะไรเอาไว้บ้าง และข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญอย่างยิ่งต่อซาโลม จึงจำเป็นที่จะต้องหารือกับฝ่ายต่างๆก่อนที่จะได้ผลสรุปออกมา ฉะนั้นจึงต้องให้ท่านพักอยู่ในซาโลมสักระยะหนึ่งก่อน หวังว่าท่านคงจะไม่ขัดข้อง กระหม่อมมิขัดข้องประการใดพะย่ะค่ะ ทูตเดินสาส์นกล่าว เอาล่ะ เจ้าช่วยพาเขาไปยังเต็นท์ที่พักชั่วคราวก่อนก็แล้วกันนะ วานาอันบอกกับทหารซาโลมที่เข้ามาด้วย พะย่ะค่ะ ทหารคนนั้นรับคำแล้วก็พาทูตเดินสาส์นออกไป ทิ้งให้อิสฮานกับวานาอันอยู่ด้วยกันสองต่อสองในเต็นท์อีกครั้ง อิสฮาน เธอเรียกเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินคำพูดของเธอเลย อิสฮาน! วานาอันเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้ยินอยู่ดี นี่! อิสฮาน! เธอเรียกเสียงดังที่ข้างหูเขา ทำให้ผู้ถูกเรียกเกิดสะดุ้งขึ้น เอ้อ...มะ...มีอะไรรึ อิสฮานได้สติ และเมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าทูตเดินสาส์นได้ออกไปแล้ว และได้มองหน้าวานาอันที่ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เรียกเขาแล้วเขาไม่ได้ยิน เอ่อ...ข้าขอโทษ มัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปหน่อย ในหนังสือมีเนื้อความอะไรบ้างรึ วานาอันถามอย่างใคร่รู้ มันถึงได้ทำให้เจ้าถึงกับไม่ได้สติเลยเช่นนี้ ทางแอนดิซองทวงสัญญาที่ข้าให้ไว้ว่าในยี่สิบปีจะหาเงินมาชดใช้ค่าปฎิกรณ์สงคราม จึงส่งจดหมายฉบับนี้มา ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะรู้ว่าเราไม่มีทางหาเงินมาชดใช้ได้ทันแน่ จึงได้เสนอทางเลือกใหม่มาให้กับเรา อิสฮานตอบ แล้วยังไงต่อรึ วานาอันถาม เจ้าลองอ่านดูเถอะ อิสฮานพูดพลางยื่นหนังสือให้แก่วานาอันก่อนที่จะนั่งเงียบและครุ่นคิดหาทางออก วานาอันค่อยๆอ่านอย่างช้าๆเพื่อจับใจความสำคัญทั้งหมด และเมื่อนางอ่านจบก็พูดขึ้นอย่างตกใจ ทางเลือกใหม่นี้หมายความว่าเราจะต้องไปเป็นเมืองขึ้นของทางแอนดิซองนี่! ใช่ อิสฮานตอบ ในตอนนี้แอนดิซอง ไม่ใช่สิ วิโอเรียคงจะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาแล้ว นั่นก็คือการที่จะยึดซาโลมไปเป็นของนาง เขาพูดอย่างเคร่งเครียด จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าเรายอมตกลงรับข้อเสนอนี้ล่ะก็ เราก็เหมือนกับกลายเป็นเมืองขึ้นของแอนดิซองทันที วานาอันพูดอย่างวิตก ข้อเสนอนี้จะทำให้เราเสียเปรียบทางการค้า และส่งผลเสียหายอย่างมากต่อประเทศเลยทีเดียว อีกทั้งอำนาจทางทหารของแอนดิซองในตอนนี้ก็สามารถจะยึดซาโลมได้อย่างง่ายดาย หากเราเกิดไปขัดใจกับทางนั้นขึ้นมาก็คงไม่พ้นจะต้องเกิดสงครามขึ้นอีกแน่ ข้าถึงได้วิตกอยู่กับเรื่องนี้ อิสฮานตอบ นี่สินะเหตุผลที่นังปีศาจวิโอเรียอ่อนข้อให้เราครั้งหนึ่ง รอเราฟื้นฟูประเทศขึ้นมาก่อน แล้วก็ฉวยโอกาสใช้สัญญาที่เราเคยทำเอาไว้มาเป็นเหตุผลที่จะใช้ดึงเราไปเป็นเมืองขึ้นของนาง เขาพูดอย่างวิตกพร้อมกับถอนหายใจ ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้มาก ต้องรีบกลับไปที่ราชวัง แล้วเรียกประชุมขุนนางระดับสูงทุกคนเป็นการด่วน หวังว่าคงจะมีใครสักคนที่สามารถคิดหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้ ใช่ ก็มีแต่ต้องทำเช่นนั้นก่อน วานาอันเสริมอย่างเห็นด้วย กลางดึกคืนนั้น อิสฮานเกิดตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยความที่เขายังคงกังวลอยู่กับปัญหาใหญ่ที่ตามมาทำให้เขานอนไม่หลับ รู้สึกรำคาญใจ และกระสับกระส่ายเป็นเวลาพักหนึ่ง เขาจึงค่อยๆยันกายขึ้นนั่ง มองดูใบหน้าของภรรยาเพื่อให้แน่ใจว่านางหลับสนิทดีแล้วและจะไม่ตื่นขึ้นมาตลอดทั้งคืน เขาจึงลุกขึ้นและเดินออกไปนอกเต็นท์ ท้องฟ้าในทะเลทรายอันแห้งแล้งตอนนี้ปลอดโปร่งจนมองเห็นแสงดาวระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม อากาศหนาวเย็นผิดกับตอนกลางวันลิบลับ ทำให้เขาต้องสวมเสื้อผ้าสองชั้นเพื่อให้ทนกับความหนาวเย็นในเวลากลางคืนได้ เขาเดินเรื่อยเปื่อยไปอย่างไร้จุดหมายพร้อมกับคิดหาวิธีที่จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ จนกระทั่งสายตาไปมองที่ประตูค่าย ซึ่งมีทหารยามที่เข้าเวรกลางคืนจุดคบเพลิงสว่าง และต่างก็นั่งเล่นเกมเบาๆ กินอาหารว่าง หรือไม่ก็คุยเรื่อยเปื่อยกันไปอย่างมีความสุขเพื่อเป็นการฆ่าเวลา เมื่อเขาได้เห็นภาพเช่นนี้เขาก็รู้สึกเสียดายที่มันอาจจะต้องหายไปหากสงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาเดินหนีไปทางอื่นที่พวกทหารยามจะมองไม่เห็นเขา เขาเดินไปถึงลานกลางค่ายพักที่เงียบสงัด ไม่มีใครอยู่ มีแต่เพียงความมืดที่ปกคลุมเท่านั้น พลันทันใดนั้นคำว่าสงครามก็แว่บเข้ามา และนั่นที่ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่ไกอาเตือนเอาไว้ จริงๆแล้วมันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือนิมิตภาพของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่านบอกว่าจะเกิดสงครามขึ้นอย่างนั้นรึ ใช่ ทันใดนั้นเองเขาก็สะดุ้งโผลง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ สิ่งที่หญิงสาวปริศนาบอกกำลังจะกลายเป็นความจริง เพราะว่าเหตุการณ์ในขณะนี้ก็ส่งเค้าลางให้เขาเริ่มรู้ตัวแล้ว เขารู้ว่าวิโอเรียมีเป้าหมายที่จะยึดซาโลมไปเป็นเมืองขึ้นของแอนดิซอง เหตุผลก็ไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจากจะเป็นการหาเงินไปสู่ตัวนางเอง เขากัดฟันกรอดเพราะเจ็บใจที่หาทางออกไม่ได้ การเป็นเมืองขึ้นหลีกเลี่ยงสงครามได้ แต่แน่นอนว่าประเทศต้องลำบาก และความสุขของผู้คนก็หายไป เฉกเช่นเดียวกับการที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น แอนดิซองย่อมต้องยกทัพมาตีแน่นอน และสงครามก็จะเกิดขึ้นอีกเช่นเดียวกับที่ไกอาพูดเอาไว้ และจะมีผู้คนที่ต้องล้มตายไปมากมายในสงคราม และผู้คนจำนวนมากมายจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุขแน่นอน เขานั่งลงกับลังไม้ที่อยู่ข้างๆเต๊นท์ใหญ่กลางลานนั้นอย่างอ่อนล้าและท้อแท้ เขาแทบไม่มีทางออกเลย ในยามนี้เขากุมมือทั้งสองเอาไว้ที่หน้าอกพร้อมกับพูดพึมพำและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ณ เวลานี้ท่านอยู่แห่งใด ได้โปรดทรงชี้ทางที่จะทำให้ข้าพเจ้าพบกับทางออกของปัญหาที่ข้าพเจ้ากำลังเผชิญนี้ด้วยเถิด เขาพูด แต่ทุกสิ่งก็เงียบสงัด เขาแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญหานี้หากไม่ได้รับการแก้ไขด้วยสันติวิธี แต่เขาก็ยังคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ได้โปรดองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงคำวิงวอนของข้าพเจ้าเสมอมา มาบัดนี้พระองค์โปรดทรงคำวิงวอนของข้าพเจ้าอีกครั้งเถิด ทุกสิ่งรอยกายยังคงเงียบสงัดเช่นเดิม เขาคอตกลงและหมดสิ้นความหวังไปในทันที เป็นอะไรไปรึ เสียงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินดังขึ้นในความเงียบสงัด อิสฮานรีบหันขวับไปหาเจ้าของเสียงนั้นและเขาก็ได้พบกับสิ่งที่เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ ต่อมาเขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ไกอา! เขาอุทาน ท่าน...มาทำไม อยากจะรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนความคิดมาเชื่อข้ารึเปล่า นางตอบ แต่ดูท่าเจ้าคงจะเริ่มเชื่อข้าบ้างแล้วสินะ ท่านเป็นใครกันแน่ อิสฮานถามคำถามนี้อีกครั้ง ทำไมท่านถึงได้ล่วงรู้เรื่องราวไปเสียทุกเรื่อง ข้าเคยบอกแล้ว ว่าไม่จำเป็นต้องตอบ ไกอาตอบอย่างเย็นชา ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่เจ้าจะต้องรู้ แต่ว่า ดูท่าทางเจ้าตอนนี้คงกำลังท้อมากเลยสินะ แน่นอน อิสฮานตอบ ท่านคงรู้แล้วล่ะมั้ง ว่าอีกไม่นานซาโลมก็จะตกเป็นเมืองขึ้นของแอนดิซองแล้ว รู้ นางตอบสั้นๆ และข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ซาโลมไปเป็นของคนอื่น อิสฮานหันมามอง สงสัยว่าทำไมนางถึงรู้ความคิดเขา แต่ดูเขาคงจะยอมรับแล้วว่าไกอาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ท่านมีวิธีจะช่วยไหม ถึงข้าตอบไปเจ้าก็ไม่ยอมรับอยู่ดี ไกอาตอบ ข้าไม่ตอบซะจะดีกว่า ได้โปรดเถอะ ตอนนี้ข้าคิดอะไรไม่ออกแล้ว มีเพียงคำพูดจากท่านเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้ อิสฮานวิงวอน ข้าไม่อยากให้ความสงบสุขที่กำลังเบ่งบานในซาโลมต้องถูกทำลายลง มันจะต้องถูกทำลายลงแน่นอน ไกอาตอบ ทำให้อิสฮานมองหน้านางด้วยความตกใจ เจ้าคิดว่าการเสียสละคนส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ คุ้มค่าที่จะเสี่ยงหรือเปล่าล่ะ ท่านหมายความว่ายังไง อิสฮานถาม ข้าไม่ตอบ มันเป็นปัญหาที่เจ้าต้องคิด เมื่อใดที่เจ้าหาคำตอบให้คำถามนี้ได้เจ้าก็จะค้นพบทางออก เอง ไกอาตอบ ไม่มีทางไหนที่จะหลีกเลี่ยงโชคชะตาที่จำทำให้ผู้คนได้พบกับเหตุการณ์อันโหดร้ายได้หรอก มันได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่วิโอเรียได้ขึ้นมาเป็นราชินีแห่งแอนดิซอง ผู้คนจะต้องพบกับความลำบากอีกครั้งหนึ่ง แต่จะมากหรือน้อย ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า จงคิดให้รอบคอบ ถี่ถ้วน อย่าตัดสินใจให้ผิดพลาด เพราะการตัดสินใจของเจ้าจะเป็นการชี้ชะตาของผู้คนจำนวนมากมายในซาโลมแห่งนี้ แต่ข้าไม่รู้จะทำเช่นไร อิสฮานตอบอย่างหมดความหวัง ไม่ว่าจะทางเลือกใดก็มีแต่ทำให้ผู้คนต้องพบกับความทุกข์ ไกอาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายในความคิดของอิสฮาน เพราะเจ้าหวังแต่จะให้ทุกคนมีความสุข มันจึงทำให้เจ้าไม่มีทางออก แต่โชคชะตาตอนนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ผู้คนจะต้องได้พบกับความทุกข์แน่ เป็นธรรมดาของโลกนี้ ที่เมื่อเกิดความสงบสุข นานเข้าเหตุร้ายก็จะเข้าแทนที่และทำให้ผู้คนเป็นทุกข์ และเมื่อผู้คนเป็นทุกข์นานเข้า ความสุขก็จะมาเยือนอีกครั้ง เจ้าต้องยอมรับความจริงว่าไม่มีทางใดที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่น่าเศร้าในตอนนี้ได้ เพราะไม่ว่าจะหลีกเลี่ยงมันเช่นไร แต่สุดท้ายมันก็จะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี นางพูดเตือนสติเขา แต่ข้ายอมรับมันไม่ได้ อิสฮานตอบ ข้าไม่อยากจะเห็นผู้คนต้องล้มตาย หรือมีชีวิตที่ต้องทรมานในยุคแห่งสงคราม และเหนือสิ่งอื่นใดข้าไม่อยากจะให้มีใครต้องยอมสละชีวิตเพื่อคนที่อ่อนแออย่างข้า ข้ารู้ว่าเจ้าเคยมีแผลในใจจากสงคราม ไกอาตอบ เจ้าไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น เรื่องนั้นข้าก็รู้ แต่เหตุกาณ์กลายมาเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะช้าหรือจะเร็วสงครามก็ย่อมเกิดขึ้นอีกครั้งอยู่ดี อิสฮานเงียบไปสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหน้านาง แล้วเขาก็พูดขึ้น ได้โปรด ช่วยเสนอทางออกที่จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อ หรือทำให้ผู้คนได้รับความลำบากให้แก่ข้าที ไกอามองเขาอย่างเย็นชาก่อนที่จะส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ อิสฮานอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เขาคอตกลง และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างหนัก ข้าคงไม่มีอะไรต้องพูดกับเจ้าอีกแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะตัดสินใจได้เด็ดขาดว่าจะทำอย่างไร จำเอาไว้ จงคิดให้รอบคอบ และคิดให้ครบทุกมุม และต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ท่านจะไปแล้วรึ อิสฮานถาม คิดทบทวนให้ดี เมื่อใดที่เจ้าตอบคำถามที่ว่า การเสียสละคนส่วนน้อยเพื่อคนส่วนมากโดยมีความเสี่ยง มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงหรือเปล่า เมื่อใดที่เจ้าหาคำตอบให้กับคำถามนี้ได้ เจ้าจะพบทางออกเอง ข้าหวังว่าคนฉลาดเช่นเจ้าจะตอบคำถามนี้ได้อย่างฉลาด ลาก่อน ไกอาตอบ ว่าจบก็แปลงร่างเป็นนกบินจากไป อิสฮานอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ต้องกลืนคำพูดนั้นลงไปเมื่อพบว่าไกอาได้จากเขาไปอีกครั้ง ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมพร้อมกับคำถามที่ถาโถมเข้ามาแทบจะในทันทีทันใด มีหลายคำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา ทำไมนางถึงรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทำไมนางจึงไม่บอกอะไรเขาตรงๆ และอย่างสุดท้ายคือคำถามที่นางถามเขา เขาค่อยๆสงบใจลงก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงบนลังอีกครั้งหนึ่ง และนั่งครุ่นคิดอยู่ในความเงียบสงัดนั้น เอ่อ คือว่าเขียนยาวไปไหมเนี่ย-*- รู้สึกว่าตั้งแต่อ่านLord of the ring นี่ มักจะติดนิสัยเขียนเยอะๆยาวๆมาจากโทลคีนเลยแฮะ-*- ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบเลยนะครับ :) Title: Re: นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่2 Post by: magaman007@hotmail.com on September 02, 2007, 12:57:51 PM ::010:: หายไปไหนแล้วอะ อยากจะอ่าน
Title: Re: นิยายSMNแต่งเอง---ตอนที่2 Post by: ХeЯхe$-КunG АррЯeйтiсЕ $Аiйт on September 02, 2007, 01:17:18 PM โอ้กระทู้ชาติกว่าถึงว่าคุ้นๆ คนแต่งเขาคงเลิกแต่งไปแล้วล่ะ ผมก็อยากอ่านเหมือนกันแต่ว่าห้ามขุดกระทู้นะครับ ::010::
ปล.นิยายนี้ขัดต่อเรื่องจริงหลายตอนหน่อย |