Summoner Master Forum

Summoner Master => SMN FanCard FanArt & FanFic => Topic started by: Xeo Rulebreaker on February 22, 2006, 07:44:34 PM



Title: แต่งด้วยคนสิฮั้ม Lost Chronicle : Sword & Salvation ฮั้ม
Post by: Xeo Rulebreaker on February 22, 2006, 07:44:34 PM
Summoner Master Fanfiction
Lost Chronicle :  Sword & Salvation

Chapter 1 – The Rumors Retold

   หากจะกล่าวถึงแอนดิซอง อาณาจักรแห่งสายน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกภาพถึงเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง หรือศูนย์กลางทางการค้าที่อุดมไปด้วยสินค้ามากมายจากทั่วทั้งทวีปเมอร์ริเซีย รวมถึงผู้คนในเมืองใหญ่ที่ต่างพากันใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เหล่าพ่อค้าวานิชที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ศาสนจักรที่เป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของผู้คนมากมาย และกำลังทหารที่เกรียงไกรไม่แพ้อาณาจักรใดๆในผืนดินแห่งนี้ด้วย

   แต่น้อยคนนักที่จะตระหนักถึงอีกด้านหนึ่งของความยิ่งใหญ่ คนยากจน ขอทาน และคนจรจัดมากมายที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางความหรูหราฟุ่มเฟือยของเมืองใหญ่ ซึ่งสำหรับชนชั้นสูงในเมืองแล้ว ผู้คนเหล่านี้ไม่มีค่ามากพอให้พวกเขาชายตามองเสียด้วยซ้ำ บรรดาพ่อค้านั้นเล่าก็รังแต่จะยุ่งอยู่กับการโกยเงินเข้ากระเป๋าตน จนไม่คิดที่จะสละทรัพย์สินอันมหาศาลของตนซักเล็กน้อยเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีกมาก จะมีก็แต่เพียงบรรดานักบวชและซิสเตอร์ของศาสนจักรเท่านั้นที่พยายามจะช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สายน้ำแห่งความเมตตาเพียงเล็กน้อยย่อมไม่อาจจะดับมหาเพลิงแห่งความอดอยากหิวโหยของผู้คนจำนวนมากได้ บรรดาคนชั้นต่ำเหล่านี้จึงได้แต่เพียงวอนขอความเมตตาจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และคาดหวังว่าซักวันหนึ่งพวกเขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าวันนั้นจะมาถึงไหม

   เด็กหญิงคนหนึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก พ่อและแม่ของเธอเสียชีวิตไปเมื่อครั้งมังกรทิมเพอร์ร่า (Timperra, the Vapor Dragon) เกิดคลุ้มคลั่งและอาละวาดทำลายเมืองท่าเสียราบคาบ เธอและพี่ชายรอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ทั้งสองอาจจะต้องกลายเป็นหนึ่งในคนจรจัดจำนวนมากมายของแอนดิซองเสียแล้ว ถ้าเพื่อนเก่าของแม่เธอไม่ได้อุปการะทั้งสองไว้ จนทุกวันนี้ เด็กหญิงทำงานเป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารของแม่บุญธรรม ขณะที่พี่ชายของเธอเข้ารับราชการเป็นทหารและได้เข้าประจำการในกองทัพภาคพื้นดินของแอนดิซอง

   ทุกครั้งที่เฝ้ามองคนจรจัดเหล่านี้เดินไปมาในเมืองท่า เด็กหญิงก็ตระหนักดีว่าเธอและพี่ชายโชคดีกว่าผู้คนเหล่านี้มากมายนัก และเธอคิดว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยกว่าตนเป็นสิ่งที่เธอควรจะทำ ทุกๆวันเด็กหญิงจะใช้เครื่องปรุงที่เหลือจากในร้านมาทำอาหารแจกจ่ายให้แก่ผู้คนเหล่านี้เสมอ สิ่งไหนขาดเหลือเธอก็จะใช้เงินค่าทำงานของตนเองซื้อหามาให้ ร้านของเธอจึงเป็นที่รู้จักกันไม่น้อยในฐานะที่เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่มีเมตตาแก่คนยากจน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากในเมืองแห่งการค้าเช่นนี้

   “ถามจริงๆเถอะนะ รูธ เธอไม่เหนื่อยบ้างหรือที่ต้องมาคอยทำอาหารให้คนพวกนี้อยู่ทุกวัน ?” นาโอมิ พี่สาวบุญธรรมที่ทำงานด้วยกันเคยออกปากถามเด็กหญิงในวันหนึ่ง

   “ไม่หรอกค่ะ” รูธตอบเสียงใส  ใบหน้าขาวนวลยิ้มกว้าง “หนูดีใจซะอีก ที่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นได้แบบนี้”

   นาโอมิเบ้ปาก เธอยืนมองเด็กหญิงตรงหน้ารวบผมสีทองยาวสยายที่ผูกเป็นหูกระต่ายไปไว้ด้านหลัง ดวงตาสีส้มอ่อนที่ใสเป็นประกายฉายแววแน่วแน่ โดยส่วนตัวแล้วเธอเองก็นึกชอบในความมีเมตตาและความมีน้ำใจของน้องสาวบุญธรรมอยู่ไม่น้อย แต่เธอรู้สึกรังเกียจพวกคนจรจัดที่วันๆได้แต่รอรับความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่เคยจะหาหนทางอะไรให้ตนเองเลย นาโอมิตั้งใจไว้ว่าเมื่อร้านอาหารเล็กๆนี้ตกทอดมาเป็นสมบัติของเธอเมื่อไหร่ เธอจะแจกจ่ายอาหารให้เฉพาะคนที่ขยันขันแข็งรู้จักทำงานเท่านั้น

   “อ้อ เกือบลืมแน่ะ” จู่ๆนาโอมิก็เอ่ยขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้ “บุรุษไปรษณีย์พึ่งเอานี่มาส่งเมื่อตอนบ่ายนี้เอง จ่าหน้าซองถึงเธอด้วยล่ะ”

   พูดจบ นาโอมิก็หยิบซองสีน้ำตาลออกมาจากหลังเคาน์เตอร์แล้วส่งให้รูธ เด็กหญิงผละจากงานตรงหน้าแล้วรับมาอ่าน แทบจะทันทีที่ได้อ่านบรรทัดแรกของจดหมายในซอง เธอก็อุทานเบาๆด้วยความดีใจ

   “จากพี่ไซรัส” รูธกล่าวอย่างรวดเร็ว พลางลุกลี้ลุกลนรีบอ่านจดหมาย นาโอมิหัวเราะคิกกับท่าทางตื่นเต้นของเธอ แต่อีกฝ่ายไม่ทันได้สนใจ

   “เขาว่าไงบ้างล่ะ” นาโอมิเอ่ยถาม หลังจากอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

   “พี่ได้เข้าสังกัดในหน่วยทหารราบที่สาม ขี้นตรงต่อท่านแม่ทัพอองเดรเลยค่ะ” รูธบอกด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “แล้วพี่เค้าได้วันหยุด จะกลับมาที่ร้านวันมะรืนนี้ค่ะ”

   “ทิ้งช่วงจากครั้งที่แล้วตั้งเกือบเดือนแน่ะ” นาโอมิกล่าวยิ้มๆ “ตอนนี้เจ้าหมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่นะ”

   “คงกำลังพยายามอยู่แน่ๆเลยค่ะ”

*      *      *      *      *

   เสียงโลหะกระทบกันดังระงมไปทั่วพื้นที่ฝึกของหน่วยทหารราบ เมื่อทหารในชุดเกราะสีฟ้าหลายสิบนายต่างจับคู่กันฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งเฝ้ามองอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ผมสีน้ำตาลที่หวีอย่างเรียบร้อยของเขาปลิวไสวไปตามแรงลม ใบหน้าคมสันนั้นคลี่ยิ้มน้อยๆ  ขณะที่ชายหนุ่มปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความคิดของตน เกี่ยวกับน้องสาวและจดหมายที่เขาส่งไปให้เธอเมื่อสองสามวันก่อน แจ้งว่าเขาจะกลับไปในทันทีที่ได้รับวันหยุด ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะคิกเมื่อนึกไปถึงสีหน้าของน้องสาวยามได้รับจดหมาย

   “เดี๋ยวก็นั่งยิ้ม เดี๋ยวก็หัวเราะคนเดียว เจ้าต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ไซรัส”

   “หุบปากน่า !” ชายหนุ่มหันกลับไปตอบเจ้าของเสียง “ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ไปฝึกซ้อมอะไรกับคนอื่นเขาบ้างหรือ เดี๋ยวจะเป็นตัวถ่วงในสนามรบซะเปล่าๆนะ”

   “เล่นอย่างนี้เลยเรอะ ข้าอุตส่าห์เอาข่าวดีมาฝากเจ้าแท้ๆ ไอ้คนไม่สำนึกบุญคุณคน”

   “ไม่มีข่าวไหนจะดีกับข้ามากไปกว่าการที่เจ้าจะยอมหุบปากแล้วจากไปเงียบๆ” ไซรัสกล่าว โดยไม่สนใจจะลบรอยยิ้มออกไปจากใบหน้า “มันคงจะเป็นข่าวที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ข้าอยู่ในกองทัพมาเลยล่ะ”

   “พูดเข้าไปเถอะ แล้วจะต้องร้องไห้ขอบคุณข้าทีหลัง” ชายคนที่สองตอบ ก่อนจะโยนกระดาษม้วนหนึ่งให้อีกฝ่ายรับไว้ “เจ้าจะให้ข้าพูดก่อนจะเปิดอ่าน หรือจะเปิดอ่านก่อนแล้วค่อยให้ข้าพูดดีล่ะ”

   “อ่านให้ข้าฟังเสียเลยเป็นไง” ไซรัสพึมพำขณะที่คลี่ม้วนกระดาษออกอ่าน แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง ขณะที่เพื่อนทหารอมยิ้มอย่างรู้ทัน

   “ท่านราชองครักษ์อองเดร อนุญาตให้เจ้าได้วันหยุดล่วงหน้าหนึ่งวัน เจ้าสามารถเดินทางกลับได้เลยตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้ ไม่มีการซักถามและต่อรองใดๆทั้งสิ้น”

   “ขอบคุณพระเจ้า.......” ไซรัสพึมพำกับตัวเอง “.....ไม่น่าเชื่อเลย......ท่านอองเดร.....”

   “ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ไซรัส ลองคิดดูสิ ท่านอองเดรที่ทั้งจริงจัง เย็นชา แล้วก็เข้มงวดคนนั้น กลับยอมให้เจ้าได้วันหยุดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน ข้าจะไม่แปลกใจเลยถ้าวันพรุ่งนี้จะมีมังกรฝูงใหญ่มาแจกขนมให้เด็กๆในเมือง”

   “ข้าจะไปจัดของ!!” ไซรัสลุกพรวดขึ้น จนชนเพื่อนของเขาเสียหลักล้มลง “อ้อ แล้วก็ ขอบใจเจ้ามากสำหรับข่าวดี”

   “ข้าคาดหวังว่าจะได้รับการตอบแทนที่ดีกว่านี้นะ” ทหารหนุ่มบ่นอุบอิบ ขณะมองตามอีกฝ่ายจนลับสายตาไป

*      *      *      *      *

   เช้าวันรุ่งขึ้น รูธตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัวเข้าไปซื้อของในเมือง ซึ่งเธอต้องทำเป็นประจำในวันโซลัมของทุกสัปดาห์อยู่แล้ว เด็กหญิงใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเตรียมอาหารไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่เธอจะได้นำไปแจกจ่ายให้กับคนจรจัดในเมือง ในที่สุด เธอก็ออกจากร้านไปพร้อมกับถุงใส่อาหารเต็มสองมือ ดูราวกับว่าเธอเพิ่งซื้อของกลับมาก็ไม่ปาน

   รูธใช้เวลาเดินเพียงครู่เดียวก็มาถึงตลาดใหญ่ของเมืองท่า แม้จะยังเช้า แต่ผู้คนก็ยังคึกคักไม่ต่างไปจากเวลาอื่นเลย เด็กหญิงเดินเลี่ยงฝูงชนออกไปแจกจ่ายอาหารให้กับเหล่าคนจรจัดที่ท่าเรือก่อน แล้วจึงกลับเข้ามาเลือกซื้อของในตลาด พ่อค้าแม่ค้าบางคนที่จำเธอได้ก็ร้องเรียกทักทายอย่างร่าเริง ซึ่งเด็กหญิงก็ทักทายตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นกัน

   “แหม จ่ายตลาดแต่เช้าเชียวนะ หนูรูธ” หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านขายผักเอ่ยชมอย่างเอ็นดู “ที่ร้านเป็นยังไงบ้างล่ะช่วงนี้ ลูกค้ายังเยอะเหมือนเดิมไหม”

   “เยอะเหมือนเดิมค่ะ” เด็กหญิงตอบกลับเสียงใส “สองวันก่อนก็มีนักเดินทางจากฟีเลเซียแวะเข้ามาที่ร้านด้วย แปลกนะคะ ช่วงนี้คนเดินทางเยอะมากเลย”

   “หนีภัยสงครามมาน่ะสิ” เจ้าของร้านขายผักเบ้ปาก “จริงๆเล้ย ได้ยินว่าทางฟีเลเซียส่งสารมาขอกำลังทหารไปช่วยรบในสงครามอยู่เรื่อยๆ อย่างกับบ้านเมืองเรายังวุ่นวายไม่พองั้นแหละ”

   “บ้านเมืองเราน่ะเหรอ มีเรื่องวุ่นวายอะไรหรือจ๊ะป้า?”

   “โอ้ย ก็เรื่องจักรๆวงศ์ๆทั้งหลายแหล่น่ะซี่ ป้าเองก็ไม่ค่อยรู้หรอก ได้ยินมาว่าพวกเชื้อพระวงศ์พากันต่อต้านองค์หญิงอลาน่า ว่าชอบลงไปคลุกคลีกับพวกคนจรจัด สร้างภาพให้ตัวเอง เฮ้อ! คนเรานี่ก็แปลกนะ เจ้าหญิงดีๆแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆแท้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์หาเรื่องมาว่าร้ายเขาจนได้”

   “หนูชอบเจ้าหญิงอลาน่านะคะ” รูธกล่าวขึ้นบ้าง “พระองค์เป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ แต่กลับลงมาแจกจ่ายอาหารให้กับคนจรจัดด้วยตนเองโดยไม่ถือตัวเลย แอนดิซองช่างโชคดีนักที่มีเจ้าหญิงประเสริฐเช่นนี้”

   “เฮ้อ หนูรูธเอ้ย พวกคนเดินดินหาเช้ากินค่ำอย่างเราๆก็ชอบเจ้าหญิงกันทุกคนนั่นแหละ มีแต่เจ้าพวกผู้สูงศักดิ์ด้วยกันเท่านั้นที่วันๆเอาแต่ตั้งแง่หาเรื่ององค์หญิง พวกนี้ดีแต่หาประโยชน์ใส่ตัวกันทั้งนั้น”

   เด็กหญิงนิ่งเงียบ เธอรู้ดีถึงความเมตตาของเจ้าหญิงอลาน่าที่เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว แต่เธอไม่เคยรู้เรื่องราวภายในเกี่ยวกับราชสำนักของแอนดิซองเลย แต่ก็ทำให้เธอยิ่งนับถือเจ้าหญิงอลาน่ามากขึ้นไปอีกที่ยังทำดีต่อไปโดยไม่ใส่ใจคำครหาของคนรอบข้างเลย

   “อ้อ แล้วก็อีกเรื่อง” เจ้าของร้านผักพูดต่อ รูธสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมานิ่งฟังอย่างตั้งใจ “ได้ยินข่าวลือเรื่องป่าที่ชานเมืองตรงนั้นบ้างไหม ?”

   “ไม่เลยค่ะ ป่านั่นมีอะไรหรือคะ”

   “ก็ลือกันไปต่างๆนาๆล่ะนะ” หญิงวัยกลางคนถอนใจ “มีกองคาราวานกองหนึ่งหลงทางเข้าไปในป่านั่นน่ะ แล้วก็เงียบหายไปเลย คนที่จะเข้าไปตามหาก็มีอันต้องหายไปทุกรายเหมือนกัน ขนาดอาณาจักรส่งทหารเข้าไปยังไม่เคยมีใครได้ออกมาเลยซักคน”

   “คงจะมีสัตว์ร้ายหรืออะไรทำนองนี้อาศัยอยู่ในป่าหรือเปล่าคะ” รูธเสนอความเห็น “เรื่องแบบนี้หนูก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ลงท้ายก็มักจะเป็นมังกรหรือไม่ก็อะไรที่.......”

   “ตรงนั้นแหละ ที่แปลก หนูเอ๋ย” เจ้าของร้านขัดขึ้น “ป่านั่นน่ะ หนูเองก็รู้ว่าเต็มไปด้วยสัตว์ป่าทั้งน้อยใหญ่มากมายแค่ไหน แต่ในช่วงสองสามอาทิตย์หลังมานี้ ก่อนจะมีเหตุการณ์หายสาบสูญเสียอีก ไม่มีใครพบเห็นร่องรอยของสัตว์ในป่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว”

   เด็กหญิงเริ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินเช่นนั้น อันที่จริงป่าดังกล่าวก็สามารถมองเห็นได้จากร้านของเธอ และมักจะพบเห็นสัตว์ป่าโดยเฉพาะสัตว์จำพวกนกได้ง่ายในฤดูผสมพันธุ์เช่นนี้ แต่เธอเองก็จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ไม่ได้ยินเสียงนกมากมายหลายสิบตัวร้องเรียกหาคู่กันอีกต่อไป เธอเริ่มรู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเสียแล้ว

   “เอาเข้าไป ท่านป้า นี่ท่านเอาอะไรมากรอกหูน้องสาวข้าล่ะเนี่ย” เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น “เธอยิ่งขี้กลัวอยู่ด้วย เดี๋ยวเก็บไปฝันร้ายนอนไม่หลับทั้งคืนล่ะจะทำยังไง”

   รูธรีบหันขวับไปทางต้นเสียง ทันใดนั้นเธอก็ร้องขึ้นอย่างดีใจ “พี่ไซรัส!!!!!!!!”

   และโดยไม่มีใครคาดคิด เด็กหญิงวางของทั้งหมดที่ซื้อมาลง แล้วโผเข้ากอดพี่ชายจนอีกฝ่ายถึงกับเสียหลัก ไซรัสถอนใจเล็กน้อย ก่อนจะลูบหัวน้องสาวเบาๆอย่างรักใคร่

   “พี่....ในจดหมาย......พี่บอกว่า.......” รูธพูดตะกุกตะกัก “....คือ...หนูอ่านแล้วนะ.....แต่พี่.......”

   “ท่านอองเดรให้พี่ได้วันหยุดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน” ไซรัสตอบโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ “ปาฏิหาริย์เลยล่ะรู้มั้ย พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”

   ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าเด็กหญิงจะตั้งสติได้ เธอค่อยๆคลายมือจากอ้อมกอดแล้วจึงก้มลงเก็บของที่ซื้อมาโดยมีไซรัสช่วยด้วย  เธอรีบซื้อของทั้งหมดตามรายการอย่างรวดเร็ว และเดินกลับร้านโดยคุยกับพี่ชายไปตลอดทาง

   “ฟังดูประหลาดดีนะ” ไซรัสเอ่ยขึ้นเมื่อรูธเล่าให้เขาฟังเรื่องฤดูผสมพันธุ์และนกในป่า “เธอแน่ใจหรือว่าไม่เห็น หรือว่าแค่ไม่ได้สนใจดูกันแน่”

   “พี่นี่ก็! จะไม่เชื่อใจหนูบ้างเลยหรือไง” เด็กหญิงตัดพ้อ “กลับไปที่ร้านแล้วลองถามพี่นาโอมิดูก็ได้ รับรองว่าพี่เค้าต้องบอกแบบเดียวกับที่หนูบอกพี่เมื่อกี้แน่นอน!!”

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข่าวลือนั่นเลยก็ได้นี่นา”

   “พี่อย่าแกล้งโง่สิคะ” รูธหน้าบึ้ง ขณะที่อีกฝ่ายตัวงอเพราะกลั้นหัวเราะ “เห็นได้ยิ่งกว่าชัดเจนอีกว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวกันแน่ๆ”

   “ก็ถ้าข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริงน่ะนะ” ไซรัสตอบกลับง่ายๆ “มีอะไรพิสูจน์หรือเปล่าล่ะ ว่ามันจริง”

   “แต่......มันก็........”

   “มันก็แค่ข่าวลือจากแม่ค้าคนหนึ่งในตลาด” ไซรัสเสริม “ก็น่าจะรู้อยู่ว่าของแบบนี้มันเชื่อได้ที่ไหน”

   รูธอ้าปากจะเถียง แต่ทั้งสองก็เดินมาถึงที่หน้าร้านพอดี โดยมีนาโอมิยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว เธอร้องเสียงหลงเมื่อเห็นชัดว่าผู้มากับน้องสาวบุญธรรมเป็นใคร เธอรีบวิ่งเข้าไปจับมือไซรัสและพูดคุยกับเขาอย่างกระตือรือร้น ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กหญิงตัดสินใจที่จะเก็บคำพูดของตนเงียบไว้ต่อไปเช่นเดิม
   
*      *      *      *      *



เป็นยังไงกันบ้างฮั้ม ถึงจะเป็นแฟนฟิคแต่ผมพยายามไม่ให้มันขัดกับเนื้อเรื่องจริงแล้วนะฮั้ม ใครเห็นตรงไหนขัดก็ช่วยแจ้งให้ทราบจะเป็นพระคุณอย่างสูงฮั้ม แล้วจะมาลงต่อให้เร็วที่สุดฮั้ม ฝากติชมด้วยนะฮั้ม


Title: Re:แต่งด้วยคนสิฮั้ม Lost Chronicle : Sword & Salvation ฮั้ม
Post by: Salamandery Doll on February 22, 2006, 09:38:29 PM
โอเคครับ เป็นกำลังจายให้ทามต่อปายละกาน ผมจารออ่าน
ว่าเเต่ รูธ กับ ไซรัสเนี่ยเป็นไฟมะช่ายเหรอ ;D