Title: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว Post by: greamon on October 18, 2005, 08:34:23 PM * เรื่องนี้เป็นตำนานเกี่ยงกับการกำเนิด ทาวิลย่า เป็นแบบที่ผมแต่งเองอาจจะมีบางส่วนในเรื่องเกี่ยวข้องกับตำนานจริงที่ทาง smn ได้แต่งไว้แต่แรกแล้วหากเนื้อเรื่องในนี้ส่งผลเสียหายโดยรวม ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเอาละเรามาดูกันเลยเถอะ Yhea* (ภาพบางส่วนในนิยายนี้ได้นำมาจาก http://www.phenomenonparty.com/card_database
นอกจากนี้ยังมีการ์ดบางส่วนที่ได้แต่งขึ้นมาโดยใช้ โปรแกรม Sed 4ด้วยครับ ว่าด้วยเรื่องการ์ดตัวละครเสริม http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.msg441988#msg441988) นิยายแบ่งเป็น3ช่วงนะครับ โดยช่วงแรกนั้นเป็นไตเติล ส่วนช่วงที่สองจะแยก เป็นบทดังนั้นผมจะเขียนไตเติลปนไปในหลายกระทู้ให้ค่อยอ่านไล่ไปก่อน โดยช่วงสองที่แยกเป็นบท นั้น ผมได้จัดลิงค์ไว้ข้างล่างนี้แล้ว ตอนพิเศษผมได้รวมไว้ให้หมดแล้วนะครับ โดยกระทู้ส่วนที่เคยลงตอนพิเศษไว้นั้น ผมได้เขียนคำว่า Quote พื้นที่ลงตอนพิเศษ ถูกเก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันเพื่อความสะดวก ก็ให้ข้ามไปได้เลยครับ เพราะนี่เป็นการทำให้อ่าน บท ไตเติลได้ง่ายขึ้นนะครับ จะได้ไม่งง กับตอนพิเศษที่แทรกเข้ามา ช่วงสอง The Dragoon Age' บทที่ 1 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.45 2 - 5 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.60 6 - 8 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.75 9 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.90 10-11 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.120 12-17 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.135 17-19 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.150 19-21 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.165 22 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.180 23 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.195 24 - 25 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.210 ช่วงที่สาม Last Legend of The Thaliwilya บทที่ 26 - 27 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.225 28 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.240 29 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.240 30-31-32-33 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.255 33 http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.270 Special Part บทพิเศษ ในวาระต่างๆ 1.ฉลองวันคริสมาสต์ Thaliwilya VS. Alien ทาลิวิลย่า ปะทะ เอเลี่ยน 2.ฉลองวันวาเลนไทน์ Legeand of the thaliwilya special valentine day ตอน ช็อกโกแลตมังกร วาเลนไทร์แห่งรักครั้งแรกของ ลอเลนส์ 3.ฉลอง อวสาน Legend of the Thaliwilya ครอบครัว (บททดสอบสุดท้ายของผู้กล้าแห่งอนาคต) ทั้งหมดอยู่ในหน้าเดียวกันครับ http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=15969.270 องค์ที่ 1 ปฐมบท (Title) ย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน อัศวินมังกรคนแรกแห่งเมอริเซียได้ถือกำเนิดขึ้นด้วย วีรกรรมของเขาจึงทำให้เขาได้รับการขนานนาม อย่างมากในประวัติศาสตร์นับร้อยของทวีปเมอริเซีย และตำนานของเขาก็จบในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่ทว่าหน้าประวัติศาสตร์ของมังกรนั้นวีรกรรมของเขาพึ่งจะได้เริ่ม ก่อนจะหายสาบสูญไปเหลือไว้เพียง หลักฐานแห่งวีรกรรมของเขาและเรื่องเล่าสู่รุ่นต่อรุ่น และบัดนี้ตำนานบทใหม่กำลังจะเปิดฉากขึ้น ...... องค์ที่ 2 ยุคแห่งอัศวินมังกร (The Dragoon Age') หลังจากกงเกวียน แห่งโชคชะตาเริ่มหมุนอีกครา การต่อสู้ที่แสนเจ็บปวด และอดีตที่ จมอยู่ในความมืดของจิตใจพวกเค้าเหล่านั้น เริ่มที่จะเดินขึ้นอีกครา ได้นำไปสู่การ จุติของเหล่าอัศวินมังกรแห่งทาลิวิลย่าทั้งหก รวมถึงพลังชั่วร้ายที่ แฝงก็ได้ฟื้นคืนจากนิทราด้วยกัน พร้อมกับหน้าที่ของตระกูลทั้งสามที่ รับสืบทอดมากำลังจะเริ่มเปิดฉากขึ้น องค์ที่ 3 ตำนานสุดท้ายแห่งทาลิวิลย่า (Last Legend of The Thaliwilya) ในที่สุดความจริงในอดีตก็ถูกเปิดเผยทั้งหมด ลอว์เรนซ์คือลูกชาย ของอิเดียหรือหัวหน้าองค์กรโฮลี่ไนท์แมร์ การต่อสู้ได้ดำเนินมาจนถึงช่วง สุดท้ายแล้วสุดท้ายพวกเขาจะสามารถเอาชนะ และช่วยโลกเทอร่าไว้ได้หรือไม่ ชะตาชีวิตของพวกเขาหลังจากจบศึกจะเป็นเช่นไร ตำนานกำลังจะปิดฉากลงแล้วเร็วๆนี้... องค์ที่ 4 ตำนานบทใหม่ สงครามแห่งแอคเตอร์ในเทอร่า (War of Actor in Terra) แอคเตอร์หรือ จักรกลประดิษฐ์ที่ปรากฏในบทที่ 23-25 หลังจากจบศึกกับอิเดีย ผู้เป็นพ่อที่ถูกอวตารด้านลบของพระผู้เป็นเจ้า ควบคุม เวลาได้ผ่านไป 6 ปี สาวน้อยคนหนึ่งข้ามกาลเวลา มาจากอนาคตในอีก 3000 ปีข้างหน้าพร้อมกับ แอคเตอร์ รุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่า มาสเตอร์แอคเตอร์ ลอว์เรนซ์และพรรคพวก ได้ถูกเลือกให้เป็นผู้พิทักษ์ และสวมใส่แอคเตอร์ ตำนานบทใหม่ได้เริ่ม ขึ้นแล้ว ..... ติดตาม War of Actor in Terra ได้ที่นี่ http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=43523.0 ...................... ............................ .................................. Title Start ทวีป เมอริเซีย ยุคสงคราม ณ ชาญเมืองฟีเลเซียที่ตอนนี้นั้นได้กลายเป็นสนามรบซึ่ง ล้อมรอบไปด้วย เปลวไฟจนดูเหมือนกับทะเลเพลิงที่ร้อนระอุ ซากของเหล่าทหาร และสัตว์ปิศาจที่แพ้และ ตายในสงครามนี้ได้กระจายเกลื่อนไปตามพื้น ถัดจากสนามรบไปไม่ไกลนักเป็นเขตชายป่า ทมิฬ มีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคน6-7กลุ่มกำลังวิ่งดังออกมาจากป่าและเสียงกระพือปีกของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่บินตาม " หนีเร็วๆ มันจะตามมาทันแล้วนะ " เสียงของชายชราที่ตะโกนขึ้นมาจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้ดังออกมาจากกลุ่มข้างหน้าที่พยายามจะเร่งให้กลุ่มคนที่ติดตามอยู่ข้างหลังวิ่งเร็วขึ้น " แม่จ๋าแม่อยู่หนายยย " เสียงของเด็กน้อยที่ร้องเรียกหาผู้เป็นมารดาที่ผลัดหลงกันระหว่างที่หนีอยู่ " เร็วๆเข้ารีบไปเร็ว " เสียงของชายชราคนเดิมได้ดังขึ้นอีกครั้งเพื่อที่จะเร่งกลุ่มคนอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วเพราะเมื่อหันไปก็เห็นเพียงแต่ความว่างเปล่า หลังจากที่มีเสียงลมแทรกเข้ามา " อ็าคคคคคค " " ช่วยด้วยยยยย " เสียงของชายผู้นึงที่ตะโกนออกมาด้วยเจ็บปวดในสภาพที่ กำลังถูกกงเล็บของเจ้าสัตว์ยักฉีกถลกร่างออกและตามมาด้วยของความช่วยของเหลือหยิงชราที่ไม่เป็นประโยชน์อันใดเพราะในตอนนี้นั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเหลืออยู่อีกแล้ว มีเพียงแต่ความคิดที่จะตัวรอดเพียงอย่างเดียว " ก้าซซซซซซซซ " เจ้าสัตวยักที่กายหุ้มด้วยเก็ลด สีดำสนิทได้คำรามออกมาพร้อมกับพ่นไฟ บรรลัยกัล ออกมาแผดเผาใส่ร่างของกลุ่มคนที่ยังวิ่งอยู่ ณ เบื้องร่าง " อ็าคคคคคคคคคคค" ว้ายยยยย " เสียงกลุ่มคนเบื้องร่างที่ได้ถูกไฟของเจ้าสัตว์ยักที่ปล่อยออกมา แผดเผาร่างได้กรีดร้องด้วยความทรมานจากความร้อนที่เหมือนจะเผาร่างของตนให้ไหม้ ไม่เหลือแม้เศษเถ้าถุรีแต่อย่างใด......... " อุแว้ววว ๆ " เสียงของเด็กน้อยที่ยังเหลือรอดจากถูกไฟคลอกดังออกมาจากแมกไม้และร่างของผู้เป็นมารดา ที่สลบไสลไม่ได้สติ " ก็าซซซซซซ " เจ้าสัตว์ยักได้พ่นไฟออกไปอีกครั้ง " ซูม ฟู่ " เสียงของไฟที่ได้ถูกน้ำดับดังขึ้นพร้องกับปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มหึมา ที่มีเกร็ดเป็นสีขาวทองที่ผู้คนได้ขนาดนามมันว่ามังกรแห่งเทพ (Divine Dragon) ได้เข้าปกป้องคู่แม่ลูกคู่นั้นจากไฟที่เจ้าสัตว์ยักได้ปล่อยออกมา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/86.jpg) โปรดติดตามตอนต่อไป ;) สนุกมั้ยครับถ็ยังมีบางจุดที่ผิดผลาดก็ต้องขอโทษด้วยนะครับมาติดตามต่อพรุ่งนี้ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on October 19, 2005, 02:25:07 PM " ก็าซซซซ " ( มาขัดขวางข้าทำไม )
" ฮูมมมมม " ( เจ้ามันช่างโหดร้ายนักฆ่าผู้คนไปตั้งมากมายเพื่อความสุขของตัวเองมันยังไม่พออีกหรือ ) " ก็าซซซซซ " ( ใครว่าข้าสังหารพวกมันเพื่อสนองความพอใจของข้าอย่างเดียว พวกมันน่ะสมควรตาย สมควรตายจริงจริงงงงงงง ) เจ้าสัตว์ยักคร่ำครวนอย่างอาลัยอาวรออกมาพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังก้องจนถึงตอนนี้ ร่างกายอันใหญ่มหึมาของสั่นกระตุกเพียงเล็กน้อยเหมือนกับจะร่ำไห้ออกมาแต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมาแม้แต่น้อยเพราะด้วยความโหดร้ายของมันที่เปลี่ยนจิตของตัวมันเอง จนขณะนี้มันได้กลายเป็นมังกรทมิฬดำ ( tiamat the black dragon ) ที่มีแต่ความโหดเหี้ยมที่ยังคงเหลืออยู่ในใจของมันก็มีแต่จิตอาคาตมนุษย์ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/85.jpg) " ก็าซซซซ " (พวกมันทั้งที่พวกข้าต้องลำบากอพยพออกจากถิ่นฐานของตัวเองเพื่อที่จะให้พวกมันเข้าอยู่อาศัยแต่พวกมันกลับมาตามจองล้างจองผลานเผ่าพันธ์ของข้าโดยที่ไม่ได้กระทำผิดต่อพวกมันเลย ) " ฮูมมมมมมม " ( สังหารทารกที่ไม่มีความผิดด้วยนี่นะ ) เจ้ามังกรขาวได้คำรามด้วยเสียงอันเข้มแข็งมั่นคงดุจวาจาแห่งเทพ " ก็าซซซซซซ " (แกไม่ได้เป็นอย่างพวกข้านี่พวกแกน่ะมีมนุษย์คอยเอาใจนับถือว่าดีอยู่ตลอดเวลาไม่เหมือนพวกข้านี่ที่ถูกพวกมันดูถูกรังเกียจเสมอเพียงเพราะบรรพบุรุษของพวกเราเป็นปฏิปักกับเทพที่พวกมันบูชา) " ฮูมมมมม "(นั่นเป็นพวกมนุษย์หารู้ไม่ว่าเป็นเช่นนั้นพวกเค้าเพียงแต่ได้รับฟังเรื่องเล่าแล้วตีความผิดๆไปต่างๆนานาแล้วก็ตั้งอคติกับพวกด้วยความไม่รู้ข้าว่ซักวันพวกเค้าก็ต้องเข้าใจให้เวลาพวกเค้าหน่อยเถอะ) คำพูดของเจ้ามังกรขาวนั้นทำให้เจ้ามังกรดำยอมที่จะละจากการฆ่าล้างมนุษย์ลง " ก็าซซซซซ " ( ถูกของเจ้าข้าไม่ควรทำเช่นนี้เลยเพราะเกือบจะก่อให้สงครามแบบเมื่อครั้งสมัยบรรพบุรุษของข้า ) " นั้นไงๆ มันอยู่นั่น " " ดูสิท่านมังกรขาวช่วยสกัดมันเอาไว้แล้ว " " ฆ่ามันเลย ฆ่าเจ้ามังกรดำซะ " เจ้าของเสียงได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับบรรดานักรบอีกนับสิบคนที่อาวุธพร้อมมือที่จะพุ่งเข้าไปแทงร่างของเจ้ามังกรดำ โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on October 21, 2005, 07:48:59 PM วันนี้เอามาลงให้เป็นพิเศษหน่อย1ตอนครึ่งเลยเป็นการทดแทนที่เมื่อวานไม่ได้มาเขียน(คุ้มหรือเปล่าหว่า1ตอนกับอีกครึ่งเนี่ย) เพราะมัวแต่ยุ่งกับการทำเกมส์ smn rpg อยู่ ( ถ้าเสร็จแล้วจะเอามาให้เล่น ) เอาล่ะนอกเรื่องกันพอแล้วเราไปอ่านกันต่อดีกว่า
"เร็วๆรีบฆ่ามันซะท่านมังกรจะต้องช่วยเราแน่ เสียงของเหล่านักรบที่เข้าใกล้มาเรื่อย " ฮูมมมมมม " (พวกชาวเมืองเจ้ารีบหนีไปเถอะ เทียแมต) " ก็าซ " (แล้วเจ้าล่ะ) " ฮูมมมมม " (ไม่เป็นไรพวกชาวบ้านไม่ทำอะไรข้าหรอกและก็ไม่มีทางทำอะไรข้าได้ด้วยข้าจะสกัดพวกเขาไว้ ) " ก็าซซซซ " ( แต่ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น ) " ฮูมมมมม " (ไปซะ เร็วเข้า) " ก็าซซซ " (ด ได้ข้าไปล่ะนะ) สิ้นคำของเจ้ามังกรดำมันก็บินหนีไปพร้อมกับความเป็นห่วง เผ่าพันธ์เดียวกันแต่ต่างสถานะด้วยรู้ว่าหาก ดีวายดราก้อน ทำเช่นนั้นนั่นหมายถึงการประกาศสงครามกับมนุษย์และมังกรขาว ซึ่งนั่นจะทำมังกรอื่นๆต้องคอยรับผลของการกระทำนี้ด้วยและนี่ ผู้ที่ทำยังเป็นมังกรขาวอีกด้วย " มันจะหนีไปแล้วยิงมันเลย " สิ้นคำของนายทหารธนูนับสิบดอกพุ่ง เข้าไปหาร่างของเจ้ามังกรดำแต่ยังไม่ทันกะทบถูกตัวของเทียแมต ลำแสงสีรุ้งดังแสงของออโรร่าก็ถูกยิงมาทำลายลูกศรทั้งหมด " ก็าซซซ "( ออโรร่าบีม ) ดีวายดราก้อนเป็นผ้ยิงแสงนั้นและเปลี่ยนทิศทางไปทางเหล่า ทหารซึ่งกำลังจะหนีหลังจากเห็นเหตุการ์ณเมื่อกี้ โปรดติดตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on October 27, 2005, 03:55:22 PM ไม่นานนักเหล่าทหารที่มีไฟแห่งการรบในจิตใจดูเหมือนจะแปรเปลี่ยน
เป็นความประหลาดใจและความกลัวไปเสียแล้ว " ว้ากกกหนีนนนน " เหล่าทหารวิ่งกันจ้าละวั่นไปคนละทิศคนละทางกันจนหมด " ฟูม " ( ค่อยยังช่วยไปกันซักที ) ดีวายดราก้อน(ต่อไปนี้ขอย่อ dvd) ได้หันกลับหาสองแม่ลูกอีกครั้งและพยายามจะปลุกแม่ของเด็กแต่สายไปแล้วแม่ของเด็กสิ้นใจไปแล้ว " กีซซซ " ( ตายแล้วรึเนี่ย ) "ฮูมมม" (ข้าน่าจะรู้เร็วกว่านี้เอาเถอะข้าจะเลี้ยงดูเจ้าเองเด็กน้อย) และแล้ว dvd ก็ได้รวบรวมพลังมายังช่องปล่อยลำแสงตรงหน้าอกแล้วกระจายพลังออกจนเป็น เหมือนเกราะคุ้มกายแล้วนำเด็กใส่ไว้แล้วหอบไป .............................................. เอาแล้วสิครับเด็กมนุษย์ที่ถูกเลี้ยงโดยมังกรจะเป็นเช่นไรติดตามในตอนหน้านะคับ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: โยศิ, องเมียวดอกซากุระ on October 27, 2005, 11:57:34 PM ....อนึ่ง
อันที่จริง เทียแมท เป็นมังกร ที่อยู่ที่อานดิซอง ซึ่งพอชาวฟีเลเซีย บรรพบุรุษของชาวอานดิซอง จะไปตั้งรกรากก็ฆ๋ามันทิ้งซะ (เอาเถอะนี่มันฟิคชั่น ไม่ต้อง ซีเรียสก็ได้มั้ง ::)) โอ้วจอร์จ คิดคำย่อได้แจ่มาก DVd :o เรียก ดีไวน์เฉยก็ได้มั้ง คิดว่านะ ::) จะคอยติดตามผลงาน ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: -Sparrow- on October 28, 2005, 08:19:31 PM เทียแมทน่าสงสารนิ ><
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: JingKoong on November 06, 2005, 02:22:27 AM ไม่ต่อแล้วเหรอคับ
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 12, 2005, 03:22:31 AM ต่อแล้วครับพอดีทำเกมส์เพลินไปหน่อย
8 ปีผ่านไป " แก็กกก " ( เฮ้ Laurence รอด้วยสิ ) เสียงของลูกมังกรพาลานัลคาร้องด้วยความเร่งรีบเพื่อที่จะให้ผู้เป็นเพื่อนหยุดรอตนด้ว (http://image.dek-d.com/9/655530/9096007.jpg) (http://www.uppic.net/ib/1lrpc.jpg) " เจ้าพูดว่าอะไรนะ " Laurence ( ขอย่อเป็น Lr ) ตอบกลับไปพร้อมกับสีหน้าที่ฉงนเล็กน้อย " อะโทษทีลืมไปจะพูดกับเจ้าต้องใช้ภาษามนุษย์นี่นะ " ลูกมังกรน้อยพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์คล่องแคล่ว " ไลท์เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรเหรอ " Lr ถามกลับ " ข้าบอกว่า แฮ่ก รอด้วย แฮ่ก สิ แฮ่กๆๆ " ลูกมังกรพูดออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนมันฮอบแฮ่กๆเข่าทรุดลงกับพื้น " ขอโทษทีข้าลืมไปเจ้าบินไม่เป็นนี่นา " Lr บอกพร้อมกับช่วยพยุงลกมังกร " เร็วแฮ่ก เร็วเข้าเถอะเดี๋ยวเข้าเรียนสาย " ลูกมังกรพูดออกมาด้วยความเร่งรีบมันรีบลุกขึ้นและออกวิ่งต่อพร้อม Lr วันนี้นั้นเป็นวันที่ Lr ต้องไปโรงเรียนตามปกติกับลูกมังกรพาลานัลคาซึ่งชื่อไลท์ เป็นลูกมังกร ที่บินไม่ได้ ด้วยตอนเด็กๆนั้นเคยเกิดอุบัติเหตุระหว่างบินจึงไม่กล้าบิน อีกเลย " เร็วไลท์ยังทันอยู่ " " แฮ่กทันแฮ่กพอดี เฮ้อออ " ทั้งสองวิ่งมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งภายในไม่มีอะไร เลยนอกจากป้ายที่เขียนด้วยภาษามังกรที่แปลว่า " ลง " ทั้งสองมายืนตรงจุดรอบๆป้ายนั้นและพูดว่า " ลงไปชั้น5 " ทันใดนั้นทั่วทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือน และพื้นรอบป้ายก็ค่อยๆจมลงไปใต้ถ้ำ จากนั้นจึงมาหยุดตรงถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเราลูกมังกรมากมายนั่งกันอยู่ " ยินดีต้อนนักเรียนทุกคนสู่ห้องเรียนภาษามนุษย์ " เสียงของมังกรอาวุทโสตัวหนึ่งดังก้องขึ้น " สวัสดีครับอาจารย์ dvd " ลูกมังกรทั้งหมดและ Lr ทักทาย dvd ติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 13, 2005, 01:18:11 AM " เอาล่ะวันนี่เรามาเริ่มกันด้วย "
" ตืดดดดด " Dvd พูดยังไม่ทันขาดคำสัญญาณเตือนก็ดังผ่านช่องลมมา " เตือนนักเรียนทุคคนลงจากลิฟท์ด่วนเราจะปิดทางเข้าด้วยลิฟท์ย้ำลงจากลิฟท์ " เสียงประกาศเตือนภัยดังเข้ามาในห้องพร้อมกับทุคคนในห้องเงียบลง ด้วยว่าหากมนุษย์ได้ยินก็จะรู้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่แถวถ้ำนี้ " เร็วกษัตริย์ ซิกมันต์ กำลังเสด็จมาทางนี้แล้ว " มีนายทหาร 2 คนขี่ม้าผ่านมาหน้าถ้ำพร้อมกับเสียงฝีเท้าจำนวนมาก " ปลอดภัยแล้วนักเรียนทุกคนกลับไปเรียนกันต่อได้ " มีเสียงปรกาศดังมาอีกครั้ง " รู้สึกว่าจะไปกันแล้วนะเอ้อเรามาต่อกันดีกว่าถึงไหนแล้วนะอ้อใช่เราจะเริ่มด้วย ว่าทำไมเราต้องเรียนภาษามนุษย์ " dvd เริ่มพูดต่ออีกครั้ง " เป็นยังงี้มาตั้งแต่3 เดือนที่แล้วๆนะเนี่ย " Lr พูดด้วยความไม่พอใจสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด " ช่วยไม่ได้นี่นาก็ต้องแต่สงครามครั้งก่อนหน้านี้8ปีมาแล้วนี่นา " ไลท์ พูดด้วยความเหนื่อยใจ " เฮ้เจ้าเด็กมนุษย์เพราะแกทำให้พวกเราต้องมาทนทุกข์แบบนี้ " เสียงของลูกมังกรนิทินโคออนซึ่งเป็นมังกรไฟกล่าวขึ้นด้วยวาจาโมโหโทโส (http://image.dek-d.com/9/655530/9096002.jpg) โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 13, 2005, 06:52:53 PM " ชั้นไปทำอะไรนายลำบากเหรอ "
Lr ตอบกลับไป " แล้วไม่ใช่เพราะแกหรือไงเจ้าเด็กมนุษย์ที่ทำให้พวกเราต้องมาหลบๆซ่อนๆอย่างนี้น่ะ " นิทินโคพูดพร้อมกลับพ่นลูกไฟใส่ " flame breath ตูม " ทันใดนั้นลูกไฟจำนวนมากก็พุ่งเข้าใส่ Lr แต่ยังไม่ทันที่จะถูกตัวก็มีแสงสีขาวเปล่งออกมาลบพลังของนิทินโคและระเบิดกันกลางอากาศ " light flame " ไลท์นั่นเองที่เป็นคนปล่อยแสงออกมาช่วย Lr " ขอบใจนะไลท์ " Lr พูดขอบคุณไลท์และก่อนที่จะหันไปสะสางเรื่องต่อไลท์ก็ห้ามไว้ " หยุดเถอะ Lr " " ปล่อยฉันๆจะจัดการมัน " Lr ตวาดใส่ไลท์ให้ปล่อยเขา " เข้ามาเด้ถ้าแกคิดว่าแกจัดการฉันได้ " นิทินโคพูดพร้อมกับแสดงท่าทางหมิ่นประมาท " แกก็เหมือนกันเจ้ามังกรปีกหักไปห้ามมันทำไมหือกลัวมันถูกฉันเล่นหรือฮ่าๆๆ " นิทินโคพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย " เห็นไหมมันดูถูกนายด้วยนะปล่อยฉันๆจะซัดมัน " Lr พูดใส่ไลท์น้ำเสียงรุนแรงเพราะความโกรธที่ตอนนี้แทบหยุดไม่อยู่แล้ว " ใช่เจ้ามังกรปีกหักปล่อยให้มันเข้ามาหรือว่าแกห่วงมันมากนักพวกมังกรขาวก็งี้ แหละชอบเข้าข้างพวกมนุษย์อ้ออีกอย่างแกน่ะคือความอัปยศอดสูของชาวมังกรเป็นมังกรอะไรก็ไม่รู้มีปีกแต่บินไม่ได้ยังมีอีกกกก " " นิทินนนโคคค ที่เธอพูดน่ะหมายถึงครูด้วยหรือเปล่า " นิทินโคหยุดพูดกลางคันเพราะได้ยินเสียงของผู้เป็นครูพร้อมกับแสงพลังงานแถงปล่องลำแสง " พวกเธออหยุดทเลาะกันเดี๋ยวนี้นะ " " วี้ดดดด ตูมมม " ทั่วทั้งห้องโดนแสงโอบล้อมไว้และมีเงา2-3เงากระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง ก่อนแสงจะจางลงทั้งนิทินโค Lr และไลท์ก็หล่นตุบลงมากระทบกับพื้นห้อง dvd ปล่อยคลื่นพลังอ่อนๆใส่ทั้งสาม " ได้เวลาเรียนกันแล้ว " dvd ตวาดใส่เด็กทั้งสามก่อนจะหันกลับไปสอนต่อ โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 16, 2005, 12:02:07 AM หลังจากที่ dvd ระงับความยุ่งเหยิ่งในห้องเรียนได้
" เอาล่ะนะเรามาเรียนกันต่อดีกว่าอ้อทั้งสามคนขึ้นมาเรียนต่อเร็ว " dvd ปลุกให้ทั้งสามลุกขึ้นและเริ่มสอนต่อ " เอาล่ะวันนี้เราจะเรียนเรื่องความสำคัญของภาษามนุษย์ " " ความสำคัญของภาษามนุษย์เหล่ามังกรจำเป็นต้องรู้ไว้เพราะเมื่อเราจะพูดกับมนุษย์เราต้องใช้ภาษาของเขาเอสล่ะครูจะให้พวกเธอไปฝึกพูดกับนักเรียนคนอื่นโดยเฉพาะ Lr พวกเธอสามารถถามเขาได้เพราะเขาเก่งด้านนี้นะนักเรียน " เมื่อ dvd พูดจบก็ชะเง้อมองไปทาง Lr วันขอจบไวหน่อยเพราะไม่ค่อยมีเวลาแล้วจะมาต่อให้วันเสาร์ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 19, 2005, 02:34:37 AM หลังจาก dvd พูดจบทุกคนก็เริ่มฝึกพูดภาษามนุษย์โดยเฉพาะ Lr จะมีนักเรียนลุมร้อมมากกว่าใครเพื่อน
" กีซซซ " ( เอาละนะจะเริ่มด้วยคำว่า ) " สส___หวัดด_ ดี " ลูกมังกรน้ำเฟินกอลโล (Firngollo, the Baby Dragon) พยายามที่จะพูดเป็นภาษามนุษย์แต่คำที่ออกมานั้นฟังไม่ปะติดปะต่อกันเลย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/7.jpg) " กีซซซ " ( ไงใช้ได้มั้ย ) เฟินกอลโลถาม Lr ด้วยความอยากรู้ว่าการพูดของตนเองนั้นพัฒนาขึ้นจากเดิมหรือไม่ " เอ่อออ กกกีซซ กิกีซซซ ( ก็พอใช้ได้ ) " Lr พยายามที่จะพูดเป็นภาษามังกรแต่ก็ยังฟังดูขัดๆอยุ๋แต่ก็ยังดีกว่าเฟิลกอลโลอยู่บ้าง " กีซซซ " ( แน่ใจนะว่าเป็นความจิงอ่ะ ) เฟิลกอลโลถามย้ำความเป็นจริงเพราะเฟิลกอลโลตัวนี้เป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อใจใครง่ายๆนัก " กกีซซ " ( จจริงๆ ) Lr ตอบกลับไปด้วยความเหนื่อยใจในความช่างซักของเฟินกอลโล " กริ้งงงงง " เสียงกระดิ่งดังไปห้องเรียนแสดงถึงการหมดชั่วโมงเรียน " เอาล่ะทุกคนไปพักได้ " dvd พูดขึ้นทำให้การสนทนาภายในห้องหยุดลง " เอาล่ะนักเรียนทุกคนทำความเคารพ " ลูกมังกรดิน นิลเฮอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องออกคำสั่งให้นักเรียนทุกคนทำความเคารพ ( ที่พูดเป็นภาษามนุษย์ก็เพราะเหมือนชั่วโมงเรียนอังกฤษก็ต้องทำความเคารพตามภาษานั้น ) " ขอบคุณครับ " นักเรียนพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะเดินออกจากห้อง โปรดติดตามตอนต่อในวันพรุ่งนี้ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 20, 2005, 03:12:53 PM " วันบี้ยุ่งแต่เช้าเล้ยยย เฮ้อ "
Lr พูดจบถอนหายใจขึ้นมาระหว่างเดินไปที่ลิฟเพื่อที่จะไปที่โรงอาหาร " นี่พวกนายน่ะ " มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง Lr ทั้ง Lr และไลท์ต่างก็หันไปหาเจ้าของเสียงนิลเฮอร์นั่นเองที่เรียกพวกเขา " พวกนายลืมกระเป๋าไว้ที่ห้องน่ะ " นิลเฮอร์พูดพร้อมกับส่งกระเป๋าให้พวกทั้งสอง (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-504d3e.jpg) " ขอบใจมากนะนิลเฮอร์ " ไลท์พูดแสดงความขอบคุณ " ไม่เป็นไรทีหลังอย่าลืมละกันฉันไปล่ะ " นิลเฮอร์พูดจบก็จากไป " กีซซซซ " ( พวกมนุษย์ก็งี่เง่าอย่างงี้แหละ) นิทินโคพูดและแสดงกริยาเย้ยยัน Lr " กีซซซ " ( นายพูดว่าอะไรนะ ) แม้ Lr จะพูดพร้อมกับกำหทัดจะเข้าชกหน้านิทินโค " กีซ กีซซ " ( อ้ะๆๆไม่ว่านายคิดจะทำอะไรอยู่มันไม่ดีต่อตัวนายแน่ๆ ) นิทินโคเตือน Lr พร้อมให้ลูกน้องของเขาซึ่งเป็นมังกรไฟเช่นกันเข้าจับแขนทั้งสองข้างของ Lr ไว้ " กีซซซ " ( ฉันจะสั่งสอนนายซะหน่อยว่าทำตัวให้เป็นขวากหมานของพวกฉันอีกมันก็เพราะน่ะแหละที่ทำให้พวกเราต้องถูกมนุษย์ตามล.. ) " light flame.. อะ " คราวนี้ไลท์ก็ถูกจับแขนทั้งสองข้างไว้ด้วยเช่นกัน " กีซซซ " ( หึๆๆอย่าคราวนี้แกอย่าหวังว่าเจ้ามังกรปีกหักนั่นจะเข้ามาช่วยแกได้อีกทีนี้ล่ะแก เอ้ยย ) นิทินโคชกใส่ลำตัวของ Lr สองครั้ง Lr ขาทรุดลงกับพื้นจากอาการจุกที่โดนชก " หึๆๆทีนี้ฉันจะเผาแกซะ flame breath " นิทินโคอ้าปากรวมเอาความร้อนรอบๆตัวมาไว้ที่ปากแล้วก็พ่นลูกไฟออกมา " dark flame " ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางขวาของ Lr พร้อมกับเพลิงสีดำเข้าไปปะทะกับลูกไฟของนิทินโคจนระเบิด โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 24, 2005, 12:21:36 AM " อ๊าคคคคค "
Lr กระเด็นออกมาจากแรงระเบิดและกำลังตกจากระเบียงของอาคาร " หวา " ร่างของ Lr ตกลงจากอาคารและลิฟท์ที่กำลังขึ้นมาร่างของเขาจะต้องกระแทกกับลิฟท์เป็นแน่ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเขาหยุดอยู่กลางอากาศเขาจึงมองขึ้นไปเหนือตัวเขาบัดนี้ได้มีร่างของมังกรสีดำกำลังหิ้วเขาอยู่กลางอากาศ นอพฮอฟ (Novhoth, the Baby Dragon) นั่งเองที่ช่วยเขา (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-d11f20.jpg) " ไม่เป็นไรใช่มั้ย " นอพฮอฟถามแต่ไม่แสดงสีหน้าที่แสดงถึงความห่วงใยใดๆมีแต่ความเย็นชา จากนั้นนอพฮอฟก็พา Lr ขึ้นไปยังอาคารก่อนที่ลิฟท์จะขึ้นมาถึง " ขอบใจที่ช่วยนะ นอพฮอฟ " Lr ขอบคุณนอพฮอฟและกำลังจะเดินไปช่วยไลท์แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวท้าวข้างหลังก็มีเสียงโครมครามเหมือนกับมีอะไรกรเด็นไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรง " ก็าซซซ " ( โอ้ยยยย ) พวกนิทินโคนั่นเองที่ถูกลมพัดกระเด็นไปกระแทกกับกำแพง โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 26, 2005, 12:46:22 AM นิทินโคและพวกลูกมังกรไฟถูกลมพัดกระเด็นจนติดกำแพงเมื่อหยุดพวกนิทินโคก็ตกโครมลงมานอนกองกับพื้น
" ก็าซซซซ " ( แกเป็นใครกัน ) นิทินโคออนพูดจบก็พยายามที่จะพลักร่างของลูกน้องมังกรไฟที่สลบทับตัวเขาอยู่ " นี่แกออกไปนะ " ในที่สุดนิทินโคก็พลักร่างของมังกรไฟตัวอื่นออกจากตัวขึ้นมาเห็นเจ้าของลมพายุเมื่อกี้ แต่ด้วยแสงสลัวๆในระเบียงทำให้เห็นได้ไม่ชัดจึงเห็นแค่ร่างสีเขียวอ่อนๆที่บินจากไป Lr ก็เช่นกันที่เห็นได้แค่ร่างสีเขียว " ใครกันที่ช่วยเรา " Lr เกิดความอยากรู้อยากเห็นในตัวผู้ที่ตนเป็นอย่างมาก " อีกเดี๋ยวนายก็ได้รู้ " นอพฮอฟพูดและเดินจากไปทิ้งไว้แต่คำพูดที่น่าฉงน " ไปกันเถอะ Lr " ไลท์พูดพร้อมกับจูงมือ Lr ไปที่ลิฟท์ที่รออยู่พร้อมกับผู้ที่เห็นเหตุการณ์ที่จะรอให้พวกเขาเล่าให้ฟัง โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ปล.ผมจะต่อให้ทุกวัน อังคาร ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นะคับช่วงนี้ต่อเรื่องได้สั้นลงเพราะไม่ค่อยมีเวลาต้องขอโทษด้วยนะคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on November 26, 2005, 06:56:11 AM smn rpg จากเนื้อเรื่องในนี้หรือ ::)
ลงทีละนิดอ่านสะดวกดีฮะ :) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 26, 2005, 10:46:57 PM หลังจากที่ Lr ต้องฝ่าฝูงชนที่คอยแต่ถามเขาถึงเรื่องการวิวาทกันบนระเบียงลิฟท์
มาได้ก็ต้องนิลเฮอร์และนอพฮอฟช่วยกันพาบินเข้าไปในลิฟท์แต่ก็ไม่พ้นอยู่ดีเพราะฝูงชนก็ตามเข้ามาในลิฟท์ด้วยแล้วพวกเขาก็รุมยิงคำถามใส่ยังมากมาย " เฮ้ตะกี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ " ลูกมังกรรุ่นพี่ที่อยู่ชั้นสูงกว่าถาม Lr และพวกลูกมังกรที่อยู่กับเขา " เมื่อกี้มันนิทินโคออนนี่นา " ทุกคนในลิฟท์เริ่มถกเถียงกัน " ใช่ที่มีพ่อเป็นนายพลมังกรซาลามันเดอราห์หรือเปล่า " จากนั้นเสียงถถเถียงกันก็ดังเซ่งแซ่กันอยู่ในจนเมื่อลิฟท์ถึงพื้นพวก Lr จึงต้องให้พวก นอพฮอฟพาบินฝ่าออกไปอีกครั้ง " ขอบใจมากนะนอพฮอฟ " ไลท์พูดแต่ไม่มีการตอบกลับจากนอพฮอฟ " ฉันว่าพวกนายไปเหอะก่อนที่เจ้าพวกขี้สงสัยจะตามมาฉันกับนอพฮอฟจะต้านไว้ก่อน " นิลเฮอร์ออกอาสาจะต้านกลุ่มคนถ่วงเวลาไว้ให้ Lr หนี " เอ้าไปสิพวกนั้นจะมาถึงแล้ว " นิลเฮอร์รีบเร่งพวกเขาให้ไปเพราะกลุ่มมังกรที่รุมถามพวกเขาในลิฟท์ วิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ " อ้อแล้วเจอกันที่โต๊ะด้านหน้าสุดนะ " นิลเฮอร์ตะโกนบอกเมื่อพวกเขาวิ่งจากไป " เฮ้อกว่าจะหลุดออกมาได้ " นิลเฮอร์บ่นอุบอิบขึ้นมาระหว่างทานอาหาร " เอ้อนี่นิลเฮอร์คาบต่อไปวิชาอะไรเหรอ " Lr ถามขึ้นถึงคาบต่อไปที่จะเรียน " อ๋อคาบต่อไปวิชาประวัติศาสตร์มังกร " " เอ๋เดี๋ยวก่อนที่นายถามเนี่ยการบ้านวิชาประวัติศาสตร์มังกรเมอร์ริเซียของ พวกนายเสร็จหรือยัง " หลังจากที่นิลเฮอร์พูดจบสีหน้าของ Lr กับไลท์ก็เปลี่ยนไปกระทันหัน " เอ่อ... " นิลเฮอร์ทำสีหน้าเหมือนรู้ใจทำให้ Lr หยุดพูดกลางคันจากนั้นนิลเฮอร์ ก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า " จะขอลอกการบ้านฉันอีกล่ะซิ อ่ะนี่ " นิลเฮอร์พูดจบก็ยื่นอะไรสมุดที่หยิบออกมาให Lr " ขอบใจมากนะนิลเฮอร์นี่รู้ใจฉันจริงๆ " Lr กับไลท์รับสมุดมาก็หยิบสมุดการบ้านของตัวเองออกมาลอกกันอย่างเร่งรีบ " เป็นลูกอาจารย์แท้ๆแต่ดันลืมทำการบ้านอยู่เรื่อยเลย " นิลเฮอร์พูดพร้อมกับออกอาการเหนื่อยใจกับสองคนนี้ " แหมเป็นลูกอาจารย์ก็ใช่ว่าจะได้รับสิทธิพิเศษอะไรนี่แถมอยู่บ้านก็ต้องทำงานบ้านตั้งเยอะ " Lr พูดประชดเล่นๆกกับนิลเฮอร์จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาดังลั่น " ก็าซ " ( แต่ Lr ก็พูดถูถนะ ) ไลท์พูดเสริม " พวกนายรีบๆลอกเถอะอีกนิดเดียวจะหมดคาบพักแล้ว " นอพฮอฟพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผ่านไปสักพักพวก Lr ก็ลอกเสร็จและเก็บกระเป๋าเตรียมขึ้นชั้นเรียน แต่แล้วก็มีลูกไฟพุ่งผ่านพวกเขาทั้งสี่นิทินโคออนนั้นเอง " ก็าซซซ " ( วันนึงเนี่ยต้องโพล่มากี่รอบถึงจะพอใจเนี่ยมันจะแค้นอะไรกันนักหนา ) Lr พูดความเหนื่อยใจ " กีซซซซ " ( มนุษย์อย่างนายอย่ามาพูดภาษามังกรเลยดีกว่าฟังแล้วมันรำคาญหู ) นิทินโคเยาะเย้ยกลับ " แล้วถ้าฉันไม่พูดเป็นภาษามังกรนายจะฟังเข้าใจเหรอได้ยินมาว่านายสอบ วิชาภาษามนุษย์ได้คะแนนต่ำสุดๆเลยไม่ใช่เหรอ " Lr โต้กลับ ตอนนี้นิทินโคเองเมื่อจี้จุดบ้างก็โกรธขึ้นมา "ก็าซซ" ( หนอยยยพูดอย่างนี้ก็สวยเดะ ) นิทินโคพูดจบเสียงระฆังเข้าเรียนก็ดังขึ้น " ก็าซซ " ( เย็นนี้เจอกันที่ป่าหลังโรงเรียนอย่ากลัวจนไม่กล้ามาซะล่ะ) นิทินโคพูดจบก็เดินจากไป " ก็าซซซ " ( เออเตรียมตัวหยอดน้ำข้าวต้มไว้ได้เลยไอ้แย้ลนไฟ ) Lr ตะโกนด่านิทินโคกลับไป โปรดติดตามต่อไปในวันพร่งนี้ ;) อีกไม่นานก็ใกล้ที่จะเข้าเนื้อเรื่องหลักกันอย่างแท้จริงแล้วห้ามพลาดกันนะคับ ;D Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 26, 2005, 10:49:39 PM อ้อ Smn rpg นะหรือแหม Nihill นี่เดาเก่งจิงๆว่าผมจะเอาเรื่องมาทำแต่คงอีกนานเพราะภาพกับข้อมูลที่มียังไม่คอยมากอ่ะคับแต่จะพยายาม ;)
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 27, 2005, 09:59:12 PM " แฮ่กๆจะทันไหมเนี่ย "
Lr พูดขณะวิ่งตามไลท์โดยมีนิลเฮอร์ตามหลังมาติดๆส่วนนอพฮอฟนั้นล่วงหน้าไปก่อนตอนที่พวก Lr กำลังยุ่งกันนิทินโค " หวังว่าอาร์จารย์ อีสควอเทีย (Isquatia, the Elder dragon) คงจะไม่มาเร็วนักนะเพราะถ้าเข้าห้องสายล่ะก็_ล่ะก็ " นิลเฮอร์พูดไปวิ่งไปทำให้ระยะการพูดขาดตอน (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/46.jpg) " ก็าซซซ " ( พวกนายเร็วเข้า ) นอพฮอฟพูดเร่งทุกคนให้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น " แฮ่กๆๆนี่ก็เร็วจะ_จะ_จะย_แย่แล้ว " ด้วยคำพูดที่ขาดตอนของ Lr ทำให้ประโยคสุดท้ายที่เน้นเสียงแบบสุดๆนั้นดูมีผลที่สุด " กีซซซ " (ไม่ต้องรีบร้อนเพราะยังไงก็ยืนหน้าห้องทั้งสามคนน่ะแหละ) ข้างหน้าของพวกเขาบัดนี้มีมังกรร่างสีเขียวมรกตที่ปลายปีกมีสีน้ำตาลออกเข้มกลมกลืนกันสีเขียวของร่างมังกรตัว " อะอ่าคะคือว่า " Lr พูดตะกุกตะกักในใจของเขาตอนี้ทั้งตื่นเต้นทั้งงุนงงเมื่อไม่มีใครพูดนิลเฮอร์จึงเป็นผู้เริ่มเจรจา " อะเอ่อเมื่อกี้อาจารย์บอกว่าสามหรือคับ " " ถูกต้อง " อีสควอเทียพูดพร้อมกับแสดงท่าทางให้พวก Lr มองไปทางนอพฮอฟพวกเขาถึงได้เห็นว่าขาของนอพฮอฟเข้าห้องไปแล้วถึงตอนนี้พวกเขาก็รู้ แล้วว่าทำไมนอพฮอฟไม่โดนด้วย " ก็าซซซ " (ฮ่าๆๆเจ้าพวกเชื่อย) เสียงที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีดังออกมาจากห้องจากนั้นนิทินโคก็ยื่นหัวออกมาจากห้อง " เอาล่ะนักเรียนทุกคนเข้าห้อง อ้อยกเว้นพวกเธอ " อีสควอเทียพูด โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ตอนหน้า Lr จะสู้กับนิทินโคแล้วติดตามชมให้ได้นะคับ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on November 28, 2005, 09:20:27 PM ทำด้วย RPG School (Maker) ใช่ไหมฮะ
อ่านแบบนี้แล้วอดยิ้มไม่ได้แฮะ :D พอคิดภาพมังกรน่ารัก ๆ มามีบทบาทแบบนี้ นึกถึงการ์ตูน สักวันหนึ่งเราจะโตของอั้นโนะเลย อิ ๆ น่ารัก Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 29, 2005, 12:43:59 AM ใช่คับ ;D
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 30, 2005, 12:29:22 AM " ก็าซซซซ " ( เอาล่ะนักเรียนเอาการบ้านมาส่งครูได้ )
เมื่ออีสควอเทียพูดจบเหล่ามังกรทั้งหลายในห้องก็หยิบสมุดที่เหมือนๆกันออกมาจากกระเป๋า ยกเว้นนิทินโคจากนั้นเมื่อนักเรียนทุกคนในห้องเอาการบ้านส่งให้อีสควอเทียจนครบทุกคน อีสควอเทียจึงพูดว่า " ก็าซซ " (แล้วเธอล่ะนิทินโคไม่ได้ทำมาใช่ไหม ) อีสควอเทียพูด " กีซ " ( แต่.. ) นิทินโคแย้งยังไม่ทันจบอีสควอเทียก็พูดแทรกขึ้น " ก็าซซซ " ( ไม่ต้องมาแต่ยังไงถ้าวันนี้เธอยังไม่มีการบ้านมาส่งล่ะก็เราได้เห็นดีกันแน่ ) นิทินโคถึงกับแย้งไม่ออก " ฮะๆๆ " เสียงหัวเราะของพวก Lr ได้ก้องเข้ามาในห้องเรียน " กีซซ " ( หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้พวกเธอเข้ามาได้ ) สิ้นเสียงของอีสควอเทีย Lr ไลท์และนิลเฮอร์ก็เดินเข้ามาในห้องและเข้านั่งตามที่นั่งของตัวเอง เมื่ออีสควอเทียเห็นว่าทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มพูดอีกครั้ง " เอาล่ะนักเรียนวันนี้มีนักเรียนใหม่เข้ามาครอบครัวของเขาอพยพย้ายมาจากป่าทางใต้ของฟี-เลเซียขอให้นักเรียนทุกคนเข้ากับเขาให้ได้นะเอาล่ะเข้ามาเลย วิล " สิ้นเสียงของอีสควอเทียก็มีมังกรร่างสีเขียวตัวหนึ่งเดินเข้ามา " อะนั่นมันคนที่ช่วยพวกเราเมื่อกลางวันนี่นา " Lr กระซิบให้ไลท์ฟัง " สวัสดีครับผมชื่อ วิล ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคับ " มังกรสีเขียวกล่าวทักทาย โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ปล.ต่อไปนี้รอบวันอังคารขอเปลี่ยนเป็นวันพุทธแทนนะคับไม่ไหววันอังคารยุ่งมากการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มสัปดาห์หน้านะคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on December 01, 2005, 12:57:09 AM ชักจะชินกับเสียง กี๊ซ ก๊าซ แล้วแฮะ ร้องพยางค์เดียวความหมายเป็นพรืด เหอ ๆ ;D
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 02, 2005, 11:38:14 PM บัดนี้ความสงสัยของ Lr ในตัวผู้ที่มาช่วยเขาเมื่อกลางวันได้หมดไปแล้ว
เพราะบัดนี้เขาผู้ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ลูกมังกร ดิมมินิลูว ที่มีร่างเป็นสีเขียว ปีกเล็กๆที่มีขนาดพอเหมาะทำให้บินได้เร็วกว่ามังกรทั่วไปพร้อมทั้งรูปร่างที่เพียวลมสมสัดส่วน ช่วยให้ความเร็วในการบินสูงขึ้นได้อีกเท่าตัวในใจของ Lr นั้นมั่นใจมากว่ามังกรตัวนี้จะต้องเป็นตัวที่ช่วยพวกเขาไว้แน่ๆและเค้ายิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกเมื่อลูกมังกรลมตัวนั้นทักเขา " เฮ้มนุษย์ไงเจอกันอีกแล้วนะ " วิลพูดในใจของ Lr ตอนนี้คิดแต่จะขอบคุณเขาเท่านั้นแต่แล้วก็มีความรู้สึกแปลกๆเข้ามาในหัวเขา ใช่แล้วลูกมังกรตัวนั้นทักเขาเป็นภาษามนุษย์แถมยังพูดคล่องเอามากๆเสียด้วยตอนนี้ทั้งห้องต่างก็อึ้งในการที่นักเรียนใหม่ผู้นี้ที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้คล่องแคล่วราวกับเป็นมนุษย์แม้แต่ อีสควอเทีย เองก็ยังต้องทึ่งเพราะทั้งโรงเรียนมีนักเรียนที่สามารถพูดภาษามนุษย์ ได้เป็นธรรมที่สุดมีแค่คนเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือมนุษย์ Lr เท่านั้นเอง " ก.กิ..กี...เออะเอ้อเชอะ...เชิญนั่งได้นั่งใกล้ๆกับ Lr ละกัน " อีสควอเทีย ถึงกับพูดไม่ถูกเลยว่าจะใช้ภาษาใดกันแน่ " กีซซซซซซ " ( พูดภาษามังกรก็ได้คับเพราะผมเองก็ไม่ได้ถนัดภาษามนุษย์มากนักนะครับ ) วิลพูดให้อีสควอเทียที่ตอนนี้ทำตัวไม่ถูกนั้นหยุดเกร็ง " ก..กก.กีซซซซ " ( ด..ดด.ได้จ้ะ ) อีสควอกล่าวอย่างระส่ำระส่าย โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 03, 2005, 11:57:36 PM เมื่อทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้วอีสควอเทียจึงเริ่มพูดอีกครั้ง
" กีซซซซ " ( นักเรียนวันนี้เราจะเรียนต่อจากสัปดาห์ที่แล้วนะอ้อพวกเธอน่ะ ) อีสควอเทียหยุดพูดแล้วหันมามองพวก Lr " เก้ " ( เอ๋ ) ไลท์ พูดเสียงหลงแล้วจ้องตอบกลับ " ใช่พวกเธอน่ะแหละเอาการบ้านมาส่งเดี๋ยวนี้หรือพวกเธอไม่ได้ทำหือ " อีสควอให้พวกเขาหายสงสัยว่าทำไมจึงเรียกพวกเขา หลังจากนั้นพวก Lr ก็นำเอาการบ้านส่งให้อีสควอเทียเสร็จและกลับมานั่งที่ " กีซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ " ( เอาล่ะจากสัปดาร์ที่แล้วเราเรียนถึงเรื่องประวัติศาสตร์เทพเจ้ากันใช่ไหม เอาล่ะทุกคนคงจำกันได้สินะว่าเทพเจ้าแห่งมังกรก็คืออิสราเฟล (Israfel, the Angel of dragon) คราวที่แล้วเรากำลังเรียนถึงซินปีศาจที่กลายร่างมาจากเทพนะไหนมีใครบอกได้หไมว่าซินมีกี่ตน ) " กีซซ " ( ผมคับ ) นิลเฮอร์พูดพร้อมกับยกมือขึ้น " กีซซ " ( เชิญจ้ะ ) อีสควอเทียพูด " กีซซ " (10 ตนคับ) นิลเฮอร์ตอบ " ถูกต้องจ้ะ " อีสควอเทียพูด " ก๊ซซซซซซซซซซซซซซซซ " ( เอาล่ะซินมีทั้งหมด 10 ตนนะจ้ะทีนี้พวกซินเมื่อทำสงครามกับเทพก็ได้ใช้มังกรเข้าต่อสู้กับเทพเจ้าทำให้พระเจ้าสูงสุดต้องส่งทูตสวรรค์ อิสราเฟล ลงมาจัดการโดยมีมังกรแสงที่กลับใจเป็นพวกแรกเข้ามาช่วย.. ) " โอ้ยย " Lr ร้องด้วยเจ็บปวดที่ไหล่ของมีรอยถูกกงเล็บโจมตีพวกของนิทินโคนั่นเองแต่นิทินโคไม่ได้สั่งให้ทำแถมพวกนี้เหมือนจะฝืนทำยังไงยังงั้น " ก็าซซซ " (หยุดเดี๋วยนี้นะ) อีสควอเทียคำราม " ก..กีซซซ " ( พวกผมไม่ได้ทำนะคับร่างกายมันไปเอง ) พวกลูกมังกรไฟพูดทั้นใดทั้งห้องก็เริ่มมีอาการแบบเดียวกันทุกคนเริ่มเข้ามาโจมตี Lr " กีซซ " ( ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้นะ อ็า ) อีสควอเทียคำรามก้องอย่างทรมานและเริ่มตรงเข้ามาโจมตี Lr โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 05, 2005, 12:24:40 AM ขอเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้นะคับ :)
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 05, 2005, 11:13:08 PM บัดนี้ทุคคนในห้องเริ่มมีอาการแบบเดียวกันหมดทุกคนคำรามอย่างโหยหวน
และแววตาก็เริ่มไร้แวว " กีซซซ " ( ทุกคนเป็นอะไรไป ) Lr พูดและพร้อมกันนั่นเองก็ต้องปีนขึ้นไปบนโต๊ะเพื่อหลบพวกนักเรียนด้วย " อ็าคคค " Lr ร้องอย่างเจ็บปวดที่หลังของเขานั้นมีรอยกงเล็บข่วนอยู่ซึ่งชุ่มไปด้วยเลือด ที่เล็บของนิทินโค มีเลือดของเขาอาบอยู่เต็มเล็บของนิทินโค ตอนนี้เขาแทบจะพยุงร่างของตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว และแล้วร่างของเขาร่วงลงจากโต๊ะลงไปยังฝูงมังกรเพื่อนนักเรียนที่ตอนนี้กลายเป็นมังกรกระหายเลือดไป " flying flame " เสียงของวิลดังก้องขึ้นพร้อมกับลมรอบๆตัวของเขากำลังก่อตัวเป็นพายุที่มีอานุภาครุนแรงพอที่จะทำให้ทุกคนกระเด็นไปติดกับห้องได้เลย ร่างของเขาที่กำลังร่วงหล่นนั้นได้ถูกลมชลอไว้และจากนั้นเขาก็รุสึกว่ามีคนมาอุ้มเขาบินขึ้นไปตอนนี้สติของเขาเริ่มเรือนรางลงทุกทีๆเพราะความเจ็บปวดในที่สุดเขาก็หมดสติไป " เฮ้นาย ๆๆ " วิลพยายามที่จะปลุก Lr แต่ก็ไม่สำเร็จเขาสลบไปแล้ว " ส่งมันมาให้ข้า " อีสควอเทียพูดขึ้นแต่เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของอีสควอเทียแต่เป็นเสียงเรียบๆเย็นชาอย่างที่สุด ในโลกเป็นเสียงที่ปิศาจเท่านั้นถึงจะพูดได้ " albino flame " มีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเปลวไฟสีขาวอาบไปทั่วทั้งห้อง เมื่อแสงจากเปลวไฟจางลง ทุกคนในห้องก็เริ่มรู้สึกตัว " กีซซซซ " ( เอ๋เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ) อีสควอเทียพูดและเมื่อหันไปเห็น Lr อีสควอเทียก็แทบล้มทั้งยืนแต่พวกนักเรียนที่อยู่ข้างๆรับไว้ทันและเมื่ออีสควอเทียหันไปเห็น dvd ก็แทบจะเป็นลมไปเลย " ก็าซซซซซซ " ( นี่พวกเธอสองน่ะพา Lr ไปห้องพยาบาลด่วน ) dvd ออกคำสั่งให้ลูกมังกรน้ำสองตัวเขาไปแบก Lr ออกมาเดินตามตนไปห้องพยาบาล " กีซซซซ " ( เอาล่ะนักเรียนกลับไปนั่งที่กันก่อน ) อีสควอเทียพูดยังกังวลใจด้วยเป็นห่วง Lr " ก็าซซซซซ " ( มันเรื่องอะไรหรือครับผมขอทราบหน่อย ทั้งเรื่องสัญญาณเตือนภัยเมื่อเช้าที่ทำให้ผมเข้าเรียนไม่ทัน มนุษย์เข้ามาเรียนในโรงเรียนมังกรและเรื่องเมื่อกี๊นี้ด้วย ) คำพูดของวิลทำให้อีสควอเทียเงียบไปสักพักเหมือนกับจะชั่งใจว่าควรพูดดีหรือไม่ " กีซซซซซซซ " ( ผมว่ามันจะต้องเกิดจากสาเหตุเดียวกันแน่ๆ ) วิลพูดอย่างวิเคราะเจาะลึก " เอาล่ะๆครูจะเล่าทั้งหมดให้ฟังเอง " ในที่สุดอีสควอเทียก็ยอมที่จะเล่าความเป็นมาทั้งหมด โปรดติดตามตอนต่อไป ;) เอาล่ะคับในตอนหน้าความเป็นมาทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่ติดตามได้ในตอนต่อไป Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 07, 2005, 11:24:48 PM " กีซซซซซ " ( เอาล่ะฉันว่าเธอคงจะมีพื้นฐานความรู้เกี่ยบกับหมู่บ้านมังกรที่เคยเรียนที่อื่นมาบ้าง )
อีสควอเทียวิลถึงความรู้ที่เรียนมาวิลจึงตอบกลับว่า " กีซซซซซ " ( ครับเรื่องหมู่บ้านมังกรมืดใช่ไหมครับ ) วิลตอบด้วยความมั่นใจเหมือนกับศึกษามาอย่างดี " กีซซซซซซซซซ " ( ใช่ถูกต้องแล้วเรื่องของหมุ่บ้านมังกรน่ะนะครั้งเมื่อสมัยสงครามซินเหล่ามังกรทั้งหลายที่ได้กลับใจมาอยู่ฝ่ายเทพนั้นมังกรมืดเป็นฝ่ายสุดท้ายที่กลับใจ พวกซินได้โกรธแค้นพวกมังกรที่ทรยศพวกตนจึงส่งคำสาปทั้งหมดไปยังมังกรมืดทุกตัวให้ทุคคนรังเกียจและเป็นสัญลักษณ์แห่งมารร้ายจึงทำให้พวกมนุษย์พากันเกลียดกลัว ) " กีซซซซซซซซ " ( แต่มันก็ไม่ใช่ความจริงนี่คับมันเป็นแค่ตำนานเท่านั้นมังกรส่วนน้อยเท่านั้นที่โดนพลังของพวกซินและอีกอย่างเทพอิสราเฟลเองก็ได้ใช้พลังชำระล้างคำสาปจนหมดแล้วนี่จะเหลือก็แต่มังกรมืดที่ยังนับถือพวกซินเท่านั้น ) คำพูดที่วิลพูดออกมาทำให้ทุกคนในห้องถึงอึ้งไปเลยทีเดียวกับความรอบรู้ของวิล " กีซซซ " ( ปู่เป็นคนเล่าให้ผมฟังคับ ) วิลพูดเมื่อเห็นสีหน้าของคนในห้อง " ก..กีซซซซซ " ( ช..ใช่จ้ะมันเป็นอย่างนั้นมังกรที่นับถือซินถูกท่านเทพอิสราเฟลผนึกเอาไว้ในต่างมิติแล้วแต่ด้วยความที่มนุษย์นั้นมีอคติกับซินอยู่เป็นทุนเดิมจึงยากนักที่มนุษย์จะยอมรับพวกจึงทำร้ายและขับไล่มังกรมืดเหมือนที่ชาวฟีเลเซียที่อพยพไปแอนดิซองช่วงนั้นมีมังกรที่นับถือซินอยู่ไม่น้อยที่ยังไม้ถูกผนึกอาศัยอยู่พวกมันจึงเข้าโจมตีมนุษย์และหลังจากพวกมันถูกปิดผนึกพวกมนุษย์ไม่รู้จึงมาฆ่าพวกมังกรมืดที่มาช่วยท่านอิสราเฟลผนึกท่านจึงสร้างมิติหนึ่งขึ้นมาให้พวกมังกรมืดอาศัยอยู่ และหมู่บ้านมังกรของเราก็เช่นกันมันเชื่อมต่อกับมิตินั้นด้วยเมื่อก่อนมนุษย์ไม่สามารถรุกรานตรงนี้ได้เพราะเคยมีเต่ายักนอนจำศีลอยู่ตอนที่เรามาเปิดประตูที่นี่ก็ปรากฎว่าเต่ายักไม่อยู่แล้วความคิดที่จะมาอาศัยอยู่ใต้เต่ายักจึงต้องล้มไปเราจึงต้องอาศัยอยู่อย่างลับๆและที่เราต้องมีสัญญาณเตือนก็เพราะ... ) อีสควอเทียหยุดพูดไปชั่วครู่เหมือนจะชั่งใจอีกทีว่าควรพูดต่อหรือ " กีซซซ " ( ต่อซิฮะครู ) วิลพูดเตือนสติอีสควอเทียจึงเล่าต่อ " กีซซซซซซซซซ " ( สงครามระหว่างมนุษย์กับมังกรเกิดขึ้นแล้วและมันจะไม่สงครามเล็กแน่นอนเพราะมังกรมืดที่นับถือซินกำลังจะ.... ) ที่ฟีเลเซีย " ท่านบาทหลวงเกรเกอรี่มีนักเดินทางมาขอพบครับ " นายทหารคนหนึ่งเข้ามารายงาน " ให้เค้าเข้ามา " เกรเกอรี่ตอบกลับ " ครับท่าน เอ้าเข้ามาได้ท่านให้เข้าพบ " นายทหารหลังจากรับคำเสร็จก็ตะโกนเรียกชายผู้หนึ่งเข้ามาในห้องชายคนนี้แต่งตัวมอซอเนื้อตัวก็มอมแมมไปหมด " ข้าคือผู้ส่งสารจากทวีปทางเหนือของเมอริเซียตอนนี้ทวีปทั้ง 6 รอบเมอริเซียเกิดความวุ่นวายไปหมดแล้วครับ " นักเดินทางกล่าว " เป็นฝีมือของท่านผู้นั้นใช่ไหม " เกรเกอรี่ตอบก่อนที่นักเดินทางจะกล่าว " ครับ " นักเดินทางผ้นั้นตอบกลับ ในใจของเกรเกอรี่ตอนนี้มีความกังวลใจถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี่ไปคงจะเกิดสงครามที่ยิ่งใหญ่หลังจากที่สงครามก่อนหน้าเคยสงบลงไปแล้วแต่สงครามที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะต้องรุนแรงกว่าคราวก่อนเป็นแน่แท้ โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 10, 2005, 12:09:17 AM " เอ่อท่านครับเป็นอะไรไปหรือครับ "
นักเดินกล่าวเมื่อเห็นเกรเกอรี่นิ่งเงียบไปนาน " อ..อ้อโทษทีนะพอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อยเอาล่ะไหนรายงานความคืบหน้าหลังจากที่เราติดต่อไปทางเครื่องมือสื่อสารทีซิ " เกรเกอรี่ถามนักเดินทางจึงกล่าวว่า " ครับหลังจากที่ข้าได้รับเครื่องมือสำหรับสื่อสารนั้นมาจากท่านเมื่อข้าเดินทางกลับไปก็พบกับความเสียหายของหมู่บ้านข้าและกองกำลังต่อต้านเองก็แตกกระจัดกระจายไปหมดแล้วข้าพยายามจะติดต่อไปยังกองอื่นแต่ไม่มีการตอบรับคิดว่าเครื่องคงจะถูกทำลายหมด " " แล้วนี่เจ้าติดต่อไปยังทวีปอื่นบ้างหรือยัง " เกรเกอรี่ถามต่อ " ข้าลองดูแล้วแต่ไม่มีสัญญาณใดๆเลยข้าคิดว่าที่ทวีปอื่นๆคงมีคลื่นแทรกคงต้องให้ท่านทิโมธีดัดแปลงเครื่องนี้ซะแล้ว " นักเดินทางพูดจบก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นโลหะทรงสี่เหลี่ยมและที่หัวเหลี่ยมของโลหะนั้นมีแท่งโลหะอะไรบางอย่างที่เหมือนเป็นเสาอากาศของเครื่อง " อืมมมตกลงข้าจะขอให้ทิโมธีช่วยดัดแปลงให้เอาล่ะเจ้าเดินทางมาไกลเชิญท่านไปพักผ่อนเถิดข้าให้คนไปเตรียมห้องไว้แล้ว " เกรเกอรี่พูดจบก็เรียกให้ทหารมาพานักเดินทางไปที่ห้อง หลังจากทุกคนออกไปจากห้องแล้ว เกรเกอรี่ก็เดินไปที่หน้าต่างแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าที่ตนนี้มีเมฆสีดำปกคลุมเต็มไปหมดเตือนถึงการมาของพายุฝนพร้อมกับในใจเริ่มนึกถึงเรื่องราวตอนที่ตัวเองนั้นออกเดินทางไปพบกองกำลังต่อต้านที่บนภูเขาหิมะ ในตอนนั้นข้าหลงทางอยู่บนภูเขาหิมะทั้งหนาวทั้งหมดแรงในตอนข้าคิดว่าตัวเองจะต้องตายซะแล้วก่อนที่ข้าจะหมดสติไปได้มีเงาที่ใหญ่มากและเงาของอีกร่างหนึ่งที่เล็กกว่าร่อนลงมาเหนือหัวเขาเจ้าของเงาทั้ง2ร่างร่อนลงมาและเขาก็หมดสติไป โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ปล.วันที่ 25 ธ.ค.นี้เชิญพบกับตอนพิเศษทาลิวิลย่าปะทะเอเลี่ยนติดตามชมให้ได้นะคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 10, 2005, 11:54:03 PM ในถ้ำแห่งหนึ่งมีร่างของชายผู้หนึ่งนอนอยู่ข้างๆร่างนั้นมีกองไฟถูกก่อไว้ ร่างนั้นค่อยๆขยับลุกขึ้นมาเกรเกอรี่เมื่อลุกขึ้นมาเขารู้สึกมึนงงแสงสลัวๆจากกองไฟภายในถ้ำทำให้เห็นอะไรไม่ได้ชัดมากนัก
" ท่านตื่นแล้วรึ " เสียงนึงดังขึ้นจากส่วนลึกของถ้ำแต่เสียงที่พูกนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์พูดแม้จะเป็นภาษามนุษย์ก็ตามเสียงนั้นเป็นเสียงสูงบ้างต่ำบ้างทำให้ฟังไม่ค่อยชัด " ท่านเป็นใครน่ะ " เกรเกอรี่ตะโกนถามเจ้าของเสียงนั้น แต่ไม่คำตอบมีเพียงเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีถึงสองและแล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏออกมาร่างสีฟ้าขนาดใหญ่ที่ด้านข้างแทนที่จะมีมือกลับมีพังพืดที่ดูเหมือนปีกพับเก็บอยู่ส่วนอีกร่างหนึ่งนั้นมีร่างเป็นสีเขียวที่คอมีขนแผงคอสีเขียวเข้มมีปากที่แหลมออกมาคล้ายจะงอยปากนก " ท่านเกรเกอรี่ " มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้เกรเกอรี่หลุดออกจากห้วงแห่งความทรงจำ " เป็นหรือท่านเกรเกอรี่ " เจ้าของเสียงที่เรียกเขาให้คืนสตินั้นถามร่างของมีชุดเกราะสีเทาอมเขียวข้างกายมีดาบที่เสียบอยู่ในฝัก ชาว์ลแม่ทัพของอาณาจักรฟีเลเซียยืนอยู่ตรงหน้าเขา " อ..อ..อ้อมีอะไรหรือท่านชาว์ล " เกรเกอรี่เมื่อตั้งสติได้จึงถามถึงธุระ " ท่านกษัตริย์ซิกมันต์ทรงตามหาท่านอยู่ " ชาว์ลตอบ โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: ::RedharinG:: on December 11, 2005, 06:01:06 AM พึ่งเข้ามาบอร์ดนี้ครั้งแรก(หลังจากหายไปหลายเดือนนนนน) เย้ๆๆๆ...มีคนเขียนเรื่องมังกรให้เราอ่านด้วย...ยะฮู้~! มังกรจงเจริญ~! ชอบมากๆเลยค่ะ..ลูกๆมังกรออกมามีบทบาทกันใหญ่เรย..(น่าร๊าก>_<) สนุกดีๆๆ..แอบลุ้นอยู่นะเนี่ยว่าลอเรนซ์คุงจะฝังศิลาเมื่อไหร่....อิอิ แต่วิลเก่งมากเลยไม่โดนครอบงำไปด้วย...อืมๆๆๆ.....ยังไงก็จะเป็นกำลังใจให้นะคะ...จะมาอ่านทุกวัน(ที่บอกจะเอามาลง)เลยล่ะค่ะ!!! เพราะยังไงเราก็เป็นชาว Dragonmania ~!!!! Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 11, 2005, 03:30:32 PM ขอบคุณสำหรับคำชมนะคับอ้ออย่าลืมดูตอนพิเศษวันที่25 ธ.ค. ด้วยนะคับตอนทาลิวิลย่า vs. สัตว์ประหลาดจากต่างดาว( เอเลี่ยนน่ะแหละ ;) )
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 11, 2005, 10:08:27 PM ที่โรงเรียนมังกร
" กีซซซซซซซซ " ( หาเป็นความจริงหรือครับที่เหล่ามังกรมืดที่ถูกผนึกกำลังจะหลุดจากผนึก ) วิลตะโกนออกมาแทบจะทันที สีหน้าแสดงอาการตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ถึงความจริง " กีซซซซซ " ( จ้ะเป็นความจริงเมื่อกี้เธอเองก็พึ่งจะได้เห็นมาไม่ใช่เหรอแต่มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่หลุดออกมา ) " กีซซซซซซซซ " ( แต่ว่าถ้าตำนานเป็นความจริงแล้วป่านนี้มังกรมืดจะยังหลงเหลือมาจนถึงตอนนี้เหรอครับและอีกอย่างถ้าจะปลดผนึกมังกรที่ท่านอิสราเฟลผนึกเอาไว้ก็ต้องใช้พลังในการปลดผนึกเป็นจำนวนมากเลยนะครับแล้วใครกันจะมีพลังมากมายมหาศาลขนาดที่จะปลดผนึกของเทพได้ ) วิลพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อในคำพูด " กีซซ " ( ก็มีน่ะสิ ) คำพูดของอิสควอเทียทำให้วิลถึงกับอึ้งไปเลย " กีซซซซซ " ( ครูคงไม่ได้พูดเล่นนะครับ ) วิลถามย้ำเพื่อความแน่ใจ " กีซซซซซ " ( ครูไม่ได้พูดเล่นนี่มันเรื่องจริงถ้าเธอไม่เชื่อครูก็ไม่เล่าต่อแล้วล่ะ ) อิสควอพูดประชดทำให้วิลต้องพูดขอร้อง " ก..ก..กีซซซซ " ( ผ..ผ..ผมขอโทษครับที่ไม่เชื่อครูเชิญครูเล่าต่อเถอะครับ ) วิลพูดพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่เชื่อเล็กน้อย " กีซซซซซ " ( ได้แต่เธอต้องตอบคำถามข้อนี้ของครูก่อนนะทำไมตอนที่ทุกคนถูกครอบงำเธอถึงไม่โดนด้วย ) อีสควอเทียพูด " ก็าซซซ " ( ครูครับผมเห็นแสงออกมาจากขนแผงคอของวิลด้วยครับ ) ลูกมังกรไฟตัวหนึ่งพูดขึ้น " กีซซซ " ( เป็นความจริงหรือ ) อีสควอเทียถามย้ำเพื่อขอความมั่นใจ " ก็าซซซ " ( ครับ ) ลูกมังกรตัวเดิมตอบ " กีซซซซซ " ( มันเป็นมายังไงกันแน่ ) อีสควอเทียถามวิล " กีซซซซซ " ( เอ่อออครับงั้นผมจะบอกก็ได้ ) วิลพูดจบก็เอามือทั้งสองข้างรื้อหาอะไรบางอย่างขนแผงคอและจากก็หยิบของบางที่ห้อยคอ ออกมาของสิ่งนั้นเป็นจี้ห้อยคอที่มีลักษณะเป็นทรงกลมตรงกลางมีพลอยสีฟ้าอมเขียวฝังอยู่กับตัวจี้ คอบจี้ห้อยคอรอบพลอยนั้นมีลายสลักอย่างดีอยู่เป็มภาษาอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออก " นี่คือจี้ห้อยคอที่ผมได้มาจากปู่ครับปู่บอกว่ามันมีความสามารถที่จะช่วยชำระอำนาจมืดได้ " วิลพูดพร้อมกับยื่นจี้ห้อยคอให้อีสควอเทียดู สีหน้าของอีสควอเทียแสดงถึงความรู้สึกแปลกใจมากเมื่อได้เห็นจี้ห้อยคอและความแปลกใจยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อได้จ้องมองจี้ห้อยคออย่างใกล้ชิด " กีซซซซ " ( ปุ่เธอบอกรึเปล่าว่าไปได้มันมาจากไหน ) อีสควอเทียถามวิลและความตกใจก็เข้ามาแทนที่เมื่อได้ฟังคำพูดวิล " ปู่ผมได้มาจากนักบวชองค์หนึ่งที่ช่วยไว้บนภูเขาหมะน่ะครับ " วิลพูด โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on December 12, 2005, 08:18:02 PM ภาษามังกรกี๊ซซซซซซ ก๊าซซซซซซ คุยกันแหลก ฮาดี ;D
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: MIIB_XXX on December 12, 2005, 10:52:11 PM สนุกดี เรื่องน่าติดตามเรื่อยๆ
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 14, 2005, 10:42:34 PM " กีซซซซซซซ " ( และนักบวชผู้นั้นก็ชื่อเกรเกอรี่ด้วยใช่ไหม )
อีสควอเทียพูดตัดบทซะก่อนที่วิลจะเอ่ยปากบอกชื่อนักบวช " กีซซซซ " ( ครูรู้ได้ยังไงครับ ) วิลมีสีหน้างงๆที่อีสควอเทียรู้ชื่อของนักบวชพู้นั้น " กีซซซซซซซ..กีซ..กีซ.. " ( จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะในเมื่อมัน..มัน.. ) อีสควอเทียรั้งท้ายคำพูดไว้พร้อมกับกำมือไว้แน่นสีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน " กีซซซซซ " ( ในเมื่อมันอะไรหรือฮะ ) วิลย้ำให้อีสควอเทียเล่าต่อ มือของอีสควอเทียกำแน่นขึ้นไปอีกเมื่อพยายามจะเอ่ยออกมา แต่ก็มีแต่เสียงอู้อี้ๆฟังไม่ได้ศัพท์ " กีซซซซ " ( ครูเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ) วิลถามอีสควอเทียด้วยความห่วงว่าเธอจะเป็นอะไรหรือไม่ " ก็าซซซซซซ " ( มันนั่นแหละที่ข้าพ่อของฉันนน ) อีสควอเทียตะคอกเสียงดังขึ้นมาทำให้วิลถึงกับล้มลง " ก..ก...กี...กีซซซซซซ " ( ฮึ...ฮือ...ฮืออออออ ) น้ำตาของอีสควอเทียเริ่มไหลรินผ่านใบหน้าของเธอสีหน้าเธอนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นและเธอก็สบดคำแช่งมากมายออกมา " กีซซซซซซซซซซ " ( ไอ้นักบวชสารเลวไอ้ใจโหด ไอ้...ฮือออออ ) หลังจากที่อีสควอเทียสบถคำพูดยังไม่ทันเสร็จความโศกเศร้าขมขื่นก็เข้ามาแทนที่ความแค้นน้ำตาเริ่มไหลรินออกมามากขึ้นและอีสควอเทียก็เริ่มร่ำไห้อีกครั้งสภาพในตอนนี้น่าเวทนานัก เมื่อไม่ใครทำอะไรวิลจึงเริ่มเอยขึ้น " กีซซซซซซ " ( เออครูครับ ) น้ำเสียงของวิลสั้นเล็กน้อย " กีซซซซซซซซ " ( อ..อืออ ข...ขอโทษนะครูลืมตัวไปหน่อยเอาล่ะเรากลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ฮึกก. ) อีสควอเทียพูดจบก็ปาดน้ำตาและก่อนที่จะพูดต่อนั้น " ฮูมมมมมมมมม " ( อีสควอเทียตามข้ามาที่ห้องพยาบาลหน่อยสิ ) dvd เข้ามาในห้องเรียนและเรียกอีสควอเทียให้ตามตนไป " ก...กีซซซซซซ " ( ด..ได้ค่ะฉันจะไปเดี๋ยวนี้เอาล่ะนักเรียนอยู่ในห้องเรียนเงียบๆนะจนกว่าจะหมดชั่วโมงเรียนแล้วก็รีบกลับบ้านเลยนะ ) อีสควอสั่งนักเรียนทุกคนก่อนจะเดินตาม dvd ออกไป โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ปล.วันลงได้น้อยเพราะเวลาไม่ค่อยจะมีน่ะคับแล้วมาดูต่อวันศุกร์นะคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: -Sparrow- on December 15, 2005, 09:30:15 PM ลอง กว้า แกว๊ก กิ๊ก แกร๊ก มั่งม่ะ ;) สารพัดก.ไก่
(เสนอตัวละครลับ มังกรดำสีขาว เพราะเป็นมังกรเผือก ;D) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: ::RedharinG:: on December 16, 2005, 04:11:36 AM --วิลคุงงงงงง....กรี๊ดๆๆ...น่ารักแล้วยังแอบเท่อีกตังหาก-- ตอนพิเศษวันครัสมาสน่ะหรอคะ! ว๊าว...เยี่ยมไปเลย...วันเกิดนู๋ เย้ๆๆๆ...(แอบคิดว่าเป็นของขวัญตัวเองดีมั๊ยเนี่ย..อิอิ...) แล้วจะรีบวิ่งมาอ่านทันทีหลังสอบเสร็จเจ้าค่ะ !! ทาลิคุงสู้ๆ!! Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 16, 2005, 07:17:17 PM tip for dragonology
ช่วงเสียงของมังกร สวัสดีเพื่อนทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องมาโดยตลอดนะคับโพสนี้เป็นเฉพาะกิจนิดนะคับ ผมจะมาตั้งเพื่อให้ทุกคนเข้าบางส่วนของนิยายมากขึ้นนะคับวันนี้เกี่ยวกับเสียงมังกรนะคับ(ส่วนนิยายไว้ตอนเย็นจะมาโพสกระทู้นี้เหมือนเดิมนะคับไม่ได้เปลี่ยนกระทู้ที่ต้องบอกเพราะเดี๋ยวบางคนงงคิดว่าผมจะเอากระทู้นี้เป็นรายการแนะนำแทนส่วนนิยายย้ายกระทู้อื่นมันไม่ใช่ยังงั้นนะคับ) ในนิยายเพื่อนคงเห็นนะคับว่าในบางตอนจะมีเสียงมังกรคุยกัน(ก็มีมันทุกตอนแหละ) ตอนแรกนั้นผมใช้อยู่หลายเสียงเพราะมันเปลี่ยนไปตามอารมณ์ตัวละครน่ะคับเพราะเทียแมตเดี๋ยวก็เศร้าเดี๋ยวก็โกรทเดี๋ยวก็ห่วงจึงมีหลายเสียงและอีกอย่างผมแบ่งลักษณะเสียงมังกรไว้คับเช่นตัวมังกรเล็กก็เสียงแหลมถ้าตะโกนก็ต่ำหน่อยและมังก็ที่ตัวใหญ่มากเช่น dvd ถ้ากระซิบจะเท่ากับเสียงลูกมังกรตะโกนแต่ถ้าธรรมดาก็เสียงจะออกต่ำการแบ่วเสียงมังกรผมแบ่งไว้ตามนี้คับ การแบ่งเสียงมังกร ลูกมังกร = เสียงแหลม เช่นกีซหรือก็าซ มังกรช่วงเจริญวัย = เสียงจะยังคงเหมือนลูกมังกรแต่จะลากเสียงยาวขึ้น มังกรที่โตเต็มวัยขนาดเล็ก = เช่นเดิมเหมือนลูกมังกรแต่ยาวมากกว่าตอนเจริญวัย มังกรที่โตเต็มวัยขนาดกลาง = เสียงคล้ายขนาดเล็กแต่ลากเสียกจะสั้นกว่า มังกรที่โตเต็มวัยขนาดใหญ่จนถึงขนาดมหึมา = พวกนี้เสียงจะออกไปทางคำรามซะมากกว่าพูดธรรมดา เช่น ฮูมมมมม ก็าซซซ นอกจากนี้ยังมีเสียงจำกัดฉพาะเผ่าพันธ์เชื้อสายของมังกรด้วยเช่นมังกรน้ำจะมีเสียงแหลมซะเป็นส่วนใหญ่เสียงไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงยกเว้นบางสายพันธุ์ก็อาจจะมีการเปลี่ยนเสียงแต่ไม่ต่างจากเดิมส่วนมังกรไฟนั้นจะเป็นเสียงธรรมดาซะส่วนใหญ่จะมีแค่บางสายพันท์เท่านั้นที่เป็นเสียงคำรามเช่นสายพันธ์ซาลามันเดอร่า เป็นต้น ส่วนเสียงของมังกรลมจะเป็นแบบไม่ตายตัวเปลี่ยนได้เรื่อยๆ เสียงมังกรเด็กอนุบาลถึงประถมส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบเสียงเล็กๆเช่น กิ้ว ก้าวแต่จะเริ่มเปลี่ยนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น(เหมือนคนเลยเนาะพอเริ่มเข้าช่วงวัยรุ่นก็เสียงแตก) ที่พวกลูกมังกรในนิยายเสียงไม่คอยเป็นแบบเด็กก็เพราะพวกเขาเริ่มเข้าสู่วัยเปลี่ยนแปลงแล้วนั่นเอง เอาล่ะคับนี่ก็คือระบบการแยกแยะเสียงมังกรแบบคร่าวๆสำหรับวันนี้ก็ต้องลาไปก่อนแล้วเจอกับโพสนี้ใหม่ในโอกาสหน้านะคับ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 17, 2005, 12:00:01 AM " กริ้งงงงงง "
เสียงกระดิ่งหมดเวลาเรียนดังขึ้นห้องเรียนทุกห้องก็เริ่มมีเสียงตึงตังของการเก็บอุปกรณ์การเรียนและเสียงทำความเคารพก็ดังขึ้นเป็นระยะๆยกเว้นห้องของวิลเท่านั้นที่ไม่มีทำความเคารพมีแต่เสียงคุยกันดังไปทั่วหลังจากที่อีสควอเทียตาม dvd ไปถึงตอนนี้วิลก็เริ่มตระหนักถึงคำพูดที่อีสควอเทียพูดไว้ " กีซซซซซ " ( คนที่มีพลังมากขนาดที่ปลดผนึกเทพได้เหรอ ) วิลเอยขึ้นลอยขณะเดินออกจากห้องกับนิลเฮอร์ " กีซซซซซ " ( มีอะไรหรือเปล่าวิล ) นิลเฮอร์ถามเมื่อได้ยินวิลพูด " ก..กีซซซซ " ( ป..เปล่าไม่มีอะไรหรอกว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ ) วิลปฏิเสธและเริ่มถามชื่อนิลเฮอร์ " กีซซซซซซซซซซ " ( ฉันชื่อ นิลเฮอร์ ออฟ เอิธท์ ) นิลเฮอร์พูดสายตายังจับจ้องไปที่วิล " กีซซซซซซ " ( แล้วนั่นใครน่ะ ) วิลพูดจบก็ชี้ไปที่นอฟฮอฟ " กีซซซซซซซซ " ( อ้อเขาชื่อ นอฟฮอฟ ออฟ ดาร์ค ) นิลเฮอร์ไขข้อสงสัยทั้งหมดแต่แล้วก็มีเสียงที่ไม่น่ารื่นรมย์ดังขึ้น " ก็าซซซซซซซซซ " (เฮ้อไอ้เจ้ามนุษย์นั่นใจเสาะน่าดูเลยว่ะโดนข่วนนิดหน่อยก็กระแดะทำเป็นสลบไม่อยากเรียนไปได้) นิทินโคนั่นเองที่พูดอยู่กับลูกน้องของเขา " กีซซซซซ " ( ทำไมนายถึงไปว่ามนุษย์คนนั้นล่ะนายมีเรื่องคับแค้นใจอะไรกับเขานักหนาถึงกับจะฆ่าเขาน่ะ ) วิลเดินเข้าพูดกับนิทินโค " ก็าซซซซซ " ( แล้วนายเป็นใครน่ะบอกชื่อแซ่มาก่อนเด้ ) นิทินโคพูดพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา " กีซซซซซซซซซซ " ( ก็เขาก็แนะนำตัวต้องแต่ในห้องเรียนแล้วนี่ ) นิลเฮอร์เดินตามมาและดึงตัววิลกลับมาและกระซิบข้างหูวิลว่า " กีซซซซซซซ " ( อย่าไปยุ่งกับเขาเลย.. ) นิลเฮอร์บอกยังไม่ทันเสร็จนิทินโคก็แย้งขึ้นมา " ก็าซซซซซ " ( ฉันหลับในห้องนี่จะไปรู้ชื่อหมอนั่นได้ไง ) นิทินโคพูดจบก็ผลักนิลเฮอร์ล้มลง " กีซซซ " ( โอ้ย ) นิลเฮอร์ร้องออกมาหลังจากถูกผลักล้มแต่วิลก็เข้ามาช่วยดึงนิลเฮอร์ขึ้น " กีซซซซซ " ( ไม่เป็นไรนะเอิธท์ ) วิลถามแล้วหันไปทางนิทินโค " กีซซซซซซ " ( ฉันบอกก็ได้ฉันชื่อ ดิมมินิวเลี่ยน ออฟ วิล) วิลพูดจบก็พานิลเฮอร์ออกไปจากตรงนั้น " ก็าซซซซซซ " ( ชิแกนั่นเองที่เป็นคนซัดฉันเมื่อกลางวันคอยดูเถอะ ) นิทินโคพูดสายตาแฝงไปด้วยความอาฆาต วิลกับนิลเฮอร์เดินไปดูอาการของ Lr ที่ห้องพยาบาล ภายในห้องมีเตียงอยู่2เตียง และอุปกรณ์ปถมพยาบาลพร้อมที่เตียงทางซ้ายของห้อง lr นอนอยู่บนเตียงนั้น " ฮูมมมมมมมมม " ( อ้อนิลเฮอร์เองรึ ) dvd พูดและหันไปคุยกับอีสควอเทียต่อ " แก็กกกก " ( พวกนายก็มาเหรอ ) มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหลังห้องไลท์นั่นเองที่พูดและในมือก็ถือกล่องอุปกรณ์พยาบาลอยู่ " ฮูมมมมมมม " ( เอาล่ะไลท์เดี๋ยวถ้า lr ฟื้นแล้วเธอช่วยพาเขากลับทีนะพอดีฉันมีธุระ ) dvd พูดจบก็ออกจากห้องไปและเดินไปที่ลิฟท์ระเบียงตอนนี้ไม่มีผู้คนแล้ว dvd ขึ้นลิฟท์ไปจนถึงชั้นบนสุดซึ่งคือทางออกของโรงเรียนนั่นเองแล้วจากนั้นก็เดินไปที่ป่าด้านหลังโรงเรียนและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียงปีกกระทบกับกิ่งไม้ในป่าดังแกรกๆฝูงนกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้บินหนีไปยังต้นอื่น dvd บินขึ้นมาเหนือป่าและพุ่งตรงไปยังหุบเขาคีรีบันดา เมื่อถึงคีรีบันดา dvd ก็บินลงมายังซอกหุบเขาคีรีบันดาและเดินตรงเข้าไปในซอกนั้นจนสุดทางเป็นที่โล่งกว้างไม่มีอะไรเลยนอกจาหินกับทราย dvd รออยู่สักพักก็มีเสียงคำรามสองเสียงดังขึ้นเสียงหนึ่งมาจากทิศเหนืออีกเสียงดังมาจากทิศใต้และเงาของร่างทั้งสองก็เริ่มปรากฎทั้งสองร่างมุ่งตรงมาทาง dvd และบินลงมายังที่โล่งกว้างนั้น ร่างหนึ่งมีกายสีดำสนิทปีกที่ใหญ่ทั้ง2ข้างของมันที่กระพืออยู่พัดเอาทรายรอบบริเวณนั้นฟุ้งตลบไปจนทั่วและอีกร่างมีกายสีขาวสะอาดและมีแถบสีน้ำเงินพาดอยู่รอบๆปีกใหญ่ทั้งสองข้างหุบลงปล่อยให้ปีกอีก4คู่ที่แขนทั้งสองข้างกระพือเพื่อชะลอความเร็ว เทียแมตกับ แกรนเดครอสนั่นเองที่บินมาหา dvd โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 17, 2005, 09:05:08 PM " ก็าซซซซ " ( ที่เรียกเรามานี่มีเรื่องอะไรหรือ )
เทียแมตพูดใบหน้าดูหน้าเกรงขามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง " ฮูมมมมมมมมมมม " ( dvd เรื่องที่เจ้าให้ข้าไปหาน่ะข้าไปมาแล้วมันเป็นหยั่งเจ้าพูดจริงๆ ) แกรนเดครอสพูดสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนเทียแมตเช่นกัน " ฮูมมมมมมมมม " ( ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาวันนี้ก็เรื่องเดิมน่ะแหล่ะ ) dvd มีสีหน้าเคร่งเครียดทันทีที่พูดจบ " ก็าซซซซซซซซซซ " ( หมายความว่าที่โรงเรียนมังกรเกิดเรื่องแบบนั้นอีกแล้วเรอะ ) เทียเองก็เริ่มมีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกัน " ฮูมมมมมมมมมมมมมม " ( เรื่องที่ข้าให้ไปถามน่ะได้ความว่ายังไงบ้าง ) dvd หันไปพูดกับแกรนเดครอส " ฮูมมมมมมมมมมมม " ( อืมท่านอิสราเฟลพลังอ่อนลงมากอย่างที่เจ้าบอกแต่ท่านไม่ทราบว่าใครที่เป็นคนเปิดผนึกแต่ท่านรู้ว่าผนึกของท่านมีปัญหาตอนที่ผนึกสำเร็จเพราะตอนที่เหล่ามังกรมืดที่ไปอยู่ข้างท่านตอนรบกับมังกรที่ยังคงนับถือซินพวกซินก่อนที่จะพ่ายแพ้ก็ได้ร่ายเวทย์อัญเชิญเทพปีศาจที่สูงสุดก่อนถูกส่งไปยังนรกแต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดจึงทำพิธีไม่สำเร็จแต่พวกมันได้เก็บเจตจำนงแห่งความแค้นและพิธีทั้งหมดไว้เพื่อที่จะรอร่างจุติของมหาเทพปิศาจแต่ด้วยท่านอิสราเฟลรู้จึงนำความไปบอกยังพระเจ้าสูงสุดซึ่งท่านก็ได้ผนึกเจตจำนงเหล่านั้นไว้ด้วย... ) แกรนเดครอสพูดยังจบประโยค dvd ก็แทรกขึ้นมา " ฮูมมมมมมมมมมมมมม " ( แล้วเจตจำนงนั้นถูกเก็บไว้ที่ใด ) dvd พูด " ฮูมมมมมมมมมมมมมม " ( ก็ข้ากำลังจะบอกอยู่เนี่ยงั้นต่อเลยนะหลังจากสงครามกับซินเจตจำนงของพวกมันถูกส่งไปยังอีกมิติและด้วยว่าผนึกของเจตจำนงนั้นจะค่อยๆเสื่อมพลังลงเรื่อยๆและคิดว่าผนึกน่าจะถูกปลดไปนานแล้วและคงไปสถิตที่ไหนสักแห่งถึงพึ่งมาเริ่มการใหญ่แต่ข้าสงสัยอยู่อย่าง ) แกรนเดครอสพูดจบ dvd ก็ทำหน้าฉงนเล็กน้อยและถามกลับ " ฮูมมมมมม " ( อะไรเหรอ ) dvd ถาม " ฮูมมมมมมมมมมมมม " ( ก็ตอนที่ข้าถามท่านอิสราเฟลว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ท่านได้ติดต่อกับพระเจ้าสูงสุดหรือยังแต้ท่านกลับตอบมาว่า ทุกอย่างมันถูกคลี่คลายด้วยของตัวมันเองเพราะพะเจ้าสูงสุดทรงได้เตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว ) แกรนเดครอสพูดจบก็สังเกตเห็นว่า dvd กับเทียแมตกำลังครุ่นคิดอยู่ " ก็าซซซซซซซซซซ " ( ข้าว่านะเรื่องที่โรงเรียนน่ะเจ้าจะเอายังไงก่อนดีกว่า ) เทียแมตหันไปพูดกับ dvd อีกครั้งหลังจากนิ่งเงียบไปครู่นึง " ฮูมมมมมมมมมมม " ( อืมม ครั้งนี้น่ะหนักกว่าครั้งก่อนเยอะมาก lr ได้รับบาดเจ็บด้วยน่ะสิ ) เมื่อ dvd พูดจบเทียแมตก็ดูจะตกใจมากกว่าแกรนเดครอสซะอีก " ก็าซซซซซซซซซ " ( เด็กที่เจ้าเก็บไปเลี้ยงน่ะเหรอ ) เทียแมตพูดสีหน้ายังดูตกใจอยู่ไม่น้อย " ฮูมมมม " ( อืมใช่ ) dvd ตอบ " ก็าซซซซซซซซ " ( ที่จริงแล้วข้าได้ส่งคนไปสืบเรื่องนี้มาเหมือนกัน ) คำพูดของเทียแมตทำให้ทั้งสองหันมามองเป็นทางเดียวกัน " ฮูมมมมมมมม " ( แล้วได้เรื่องมั้ย ) แกรนเดครอสพูด " ก็าซซซซซซซซซ " ( อืมมข้อมูลล่าสุดที่ข้าได้มามีเพียงน้อยนิดแต่ท่าพวกเจ้าอยากจะฟังข้าก็จะบอก ) โปรดติดตามตอนต่อไป ปล.พรุ่งนี้งดนะคับเพราะผมติดธุระ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on December 18, 2005, 10:07:55 PM โห มีการแยกระดับเสียงของมังกรด้วย :o
ว่าแต่ dvd นี่คิดถึงแผ่น dvd แฮะ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: MIIB_XXX on December 21, 2005, 09:20:19 PM ไอ้อิฐ มาต่อเรวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 21, 2005, 11:06:12 PM ที่โรงเรียนมังกร
" กีซซซซซซซซซซ " ( ยังเจ็บอยู่รึเปล่า Lr ) ไลท์ถาม Lr ด้วยความเป็นห่วง " ก..ก..กีซซซซซซซซซซซ " ( อ..อืมยังเจ็บอยู่นิดหน่อยน่ะ) Lr พูด " กีซซซซซซซซซ " ( รู้สึกว่าเราจะมีปัญหาแล้วล่ะ ) วิลพูดเมื่อเห็นนิทินโคกับลูกมังกรไฟตัวอื่นๆอีก " ก็าซซซซซซ " ( เอาล่ะเลิกสำออยได้แล้วมาสู้กัน ) นิทินโคก็ท้า Lr สู้ โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ปล.วันนี้ต่อได้แค่นี้คับงานเยอะมากเจอกันวันเสาร์นะค้าบบบบบบบบบ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 23, 2005, 10:56:42 PM แฮะๆหวัดดีวันศุกร์นะคับพอดีเมื่อวันพุทธงานย่งรีบพิมพ์ไปหน่อยเลยปล.ผิดวันที่จริงต้องวันศุกร์ไม่ใช่วันเสาร์ต้องขออภัยกับความผิดพลาดครั้งนี้ด้วยและก็ครั้งก่อนด้วยที่พิมพ์ไปว่า Lr กับนิทินโคจะสู้กันวันต่อไปในตอนๆนึงและวันต่อมาก็มาดูไม่เห็นมันสู้กันเลยนอกนิทินโคโดนครอบงำจากอำนาจมืดของ dr......อุ้บ( ความลับของเรื่องเกือบเปิดเผยแล้วเชียวเฮ้อดีว่ายั้งทัน ) เอาใหม่ๆของใครก็ไม่รู้ติดตามเอาเองในนิยายเอ้าชักนอกเรื่องกันไปใหญ่กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า
ถึงไหนนาอ้อเรื่องที่ Lr กับนิทินโคจะสู้กันน่ะความจริงมันสู้กันวันนี้แต่ผมดันไปเขียนบอกซะก่อนเพราะคำนวนผิดไปหน่อยเพราะนิทินโคน่ะโดนครอบงำไม่ได้ท้า Lr สู้เพราะฉนั้นวันนี้เรามาดูพวกเขาสู้กันดีกว่า( บอกก่อนนะว่าสู้กันโหดเล็กน้อยก็เด็กสู้กันนี่มันจะรุนแรงมากได้ยังไง ) เอ้าเร่เข้าเชียร์ข้างไหนนิทินโคหรือ Lr ....... ต่อๆๆ นิทินโคพูดจบก็หันไปพยักหน้ากับลูกน้องเป็นสัญญาณจากนั้นลูกน้องมังกรไฟตัวหนึ่งก็เดินออกไปจากกลุ่มสักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับของที่เอาผ้าห่อไว้ติดมาด้วย " แก้กกกก " ( นี่ครับลูกพี่ ) ลูกมังกรตัวนั้นพูดพร้อมกับส่งสิ่งของนั้นให้ นิทินโครับเอาห่อผ้านั้นมาและรีบแกะห่อผ้าอันนั้นอย่างรีบเร่งสักพักห่อผ้าก็ถูกออกหมด เผยให้เห็นถุงมือที่โล่สีม่วงติดอยู่ที่ตัวถุงมือมันคือ บอลดาวีลกันเลส( ถุงมือที่ติดแล้วเลือกธาตุหรือเผ่าอะไรแล้วมันจะป้องกันการโจมตีจากที่เลือก ) และนิทินโคก็โยนมันลงไปที่พื้นและพูดว่า " ก็าซซซซซซ " ( เพราะแกบาดเจ็บอยู่คงจะทำให้แกสู้กับฉันได้ลำบากเพราะฉนั้นใส่มันซะมันคือโล่ที่สามารถป้องกันได้เฉพาะสิ่งวัสดุที่นำมาทำมันกันได้อันนี้สร้างมาจากวัสดุกันไฟมันจะช่วยกันไฟจากฉันได้แกจะใส่หรือไม่ก็แล้วแต่ ) นิทินโคพูดจบก็ยืนกอดอกรอ Lr " กีซซซซซซซซซซซซ " ( แต่ Lr บาดเจ็บหนักมากนะเขาสู้กับนายไม่ไว้หรอกขอร้องเถอะนะนายอย่าพึ่งสู้กับเขาวันนี้เลย ) ไลท์ขอร้องไม่นิทินโคสู้กับ Lr แต่แล้ว Lr ก็ดันไลท์ที่พยุงตัวเขาอยู่ออก " ก..กี..กีซซซซซซซซซซ " ( ไม่เป็นไรหรอกไลท์ฉันไหว ) Lr พยายามที่จะพยุงตัวแต่ก็ไม่ไหวร่างของเขาเซไปเซมาและในที่สุดก็ล้มลงไลท์รีบวิ่งมาจะพยุง Lr ขึ้นแต่ Lr ปัดมือของไลท์ออกและพยายามลุกอย่างยากลำบากแต่ในที่สุดเขาก็ยืนขึ้นมาได้แม้ จะส่ายไปมาเล็กน้อยก็ตาม " ไม่ต้องช่วยฉันไลท์นี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับนิทินโคนายไม่ต้องมาลำบากเพราะฉันหรอกนะ " คำพูดของ Lr ทำให้ไลท์นิ่งไปซักพักและในที่สุดไลท์ก็ลดมือลงและพูดว่า " กีซซซซซซซซซ " ( ก็ได้ในนายต้องการแบบนั้นฉันก็จะไม่ห้ามนาย ) เสียงของไลท์สั่นเล็กน้อยเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาจากนั้นไลท์ก็วิ่งออกไปจากกลุ่มพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน " เดี๋ยวก่อนไลท์ " Lr เรียกไลท์เมื่อเห็นว่าไลท์วิ่งออกไปและทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าหน้าของเขาถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรงจนหน้าของเขาหัน " โอ้ยยย " Lr ร้องและเมื่อเขาหันกลับมาก็เห็นว่านิลเฮอร์นั่นเองที่ตบหน้าเขา " กีซซซซซซซซซซซซซซ " ( นายนี้มันไม่เข้าใจอะไรเลยรู้ไหมว่าไลท์น่ะเขาห่วงนายมากแค่ไหนน่ะแล้วนายยังจะทำแบบนี้ได้ลงคออีกรู้มั้ยว่านายน่ะพูดทำร้ายจิตใจเขาแค่ไหนตอนเลิกเรียนเขาก็เป็นคนแรกที่ไปหานายที่ห้องพยาบาลเพราะเขาน่ะเปนห่วงว่านายจะเป็นอะไรมากไหมฉันนึกว่านายจะเป็นคนที่เข้าใจไลท์มากกว่าใครซะอีกแต่.. แต่นายมันก็เหมือนกับคนอื่นๆนั้นแหละ ฮึ้ย) นิลเฮอร์พูดจบก็เดินไปพูดกับนอพฮอฟกับวิล " กีซซซซซซซซซซซซ " ( เดี๋ยวฉันจะไปตามไลท์กลับมาถ้าเห็นท่าไม่ดีช่วยพา Lr หนีไปก่อนนะแล้วส่งสัญญาณด้วยล่ะ ) นิลเฮอร์พูดจบก็รอคำตอบของพวกวิล " กีซซ " ( อื้อ ) ทั้งรับพร้อมกันแล้วนิลเฮอร์ก็ออกไปตามไลท์กลับมา " ก็าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ " ( เอ้าเลิกซึ้งกันได้แล้วฉันรอจนตะคิวจะกินอยู่แล้ว ) นิทินโคพูดจบ Lr ก็หันกลับมาและเดินไปหยิบถุงมือขึ้นมาในที่สุดทั้งสองก็เริ่มสู้กัน นิทินโคพ่นไฟใส่ Lr แต่ Lr ก็ยกโล่ขึ้นป้องกันเมื่อไฟกระทบถูกโล่ โล่ก็ขยายตัวขึ้นและสะท้อนไฟกลับไปแต่นิทินโคเอี้ยวตัวหลบทันแล้วบุกต่อเนื่องทันทีนิทินโคพุ่งเข้าไปหา Lr หวังจะฝากรอยกรงเล็บอีกรอยไว้หน้าอกของ Lr แต่ Lr หลบทันแล้ว Lr ก็ต่อยเข้าไปที่หน้าของนิทินโคเต็มแรงจนนิทินโคกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ปากนิทินโคลุกขึ้นมาพร้อมกับปาดเลือดที่ปากออกแล้วพ่นไฟใส่อีกครั้งแต่ Lr ก็สะท้อนได้อีกครั้ง ครั้งนี้นิทินโคหลบไม่ทันจึงโดนไฟของตัวเองเข้าจังๆ Lr จะเข้าไปต่อยนิทินโคอีกครั้งแต่ก็มีเปลวเพลิงลูกใหญ่พุ่งมาทาง Lr ทำให้เขาหยุดหันไปมองทิศทางที่ไฟถูกยิงมา นิทินโคเองก็หันซ้ายหันขวาเหมือนกับจะหาอะไรซักอย่างแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังสู้อยู่จึงเข้าโจมตี Lr อีกครั้ง " กีซซซซซซซซ " ( เมื่อกี้ไม่ใช่ลูกไฟของนิทินโคนี่ ) วิลพูด " กีซซซซซซ " ( เมื่อกี้มันมาจากทางพุ่มไม้นี่นาและลูกใหญ่เกินกว่าที่ลูกมังกรจะปล่อยได้คิดว่าน่าจะไม่ใช่พวกของนิทินโคนะ ) นอพฮอฟพูด " กีซซซซซซซซ " ( งั้นฝาก Lr ทีนะเดี๋ยวฉันจะไปดูหน่อย ) วิลพูดจบก็บินออกไป Lr ที่กำลังมองท่าทีของเพื่อนทั้งสองอยู่ถูกนิทินโคพ่งชนใส่กระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้บ้างตอนนี้ร่างของเขาเริ่มไม่ใหวแล้วร่างของเขาเริ่มเซไปเซมาตอนนี้ตาของเขาเริ่มพล่าเรือนลงทุกทีๆ " กีซซซซซซซซซ " ( Lr สู้เขาน้าอย่าไปยอมแพ้มัน ) มีเสียงหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาดเสียงให้กำลังใจจากคนที่ห่วงเขามากที่ทำให้เขามีลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ไลท์นั่นเองที่ส่งเสียงเชียมา " ล..ล.ไลท์ " Lr พูดบัดนี้ไลท์กลับมาแล้วทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้น " กีซซซซซซซซซ " ( Lr ข้างหลัง ) นอพฮอฟเตือน Lr เมื่อเห็นนิทินโคพุ่งเข้าใสหมายจะน๊อกเขาให้ได้ซะตอนนี้ Lr หันกลับไปประจันหน้ากับนิทินโคอีกครั้งและกำหมัดแน่นแล้วชกออกไปเต็มแรงกระแทกเข้าไปที่คางของนิทินโคจนตัวของนิทินโคที่พุ่งเข้ามาลอยขึ้นจนตกลงมานอนกับพื้นและสลบไปบัดนี้ทุกคนที่ได้เห็นการต่อสู้ของทั้งสองนั้นต่างนิ่งเงียบกันไปตามๆกัน " กีซซซซซซซซซ " ( เย้ Lr ชนะแล้ว ) ไลท์ตะโกนอย่างดีใจและตรงเข้าไปกอด Lr ส่วนพวกนิทินโคก็พากันพยุงตัวนิทินโคขึ้นมาและจากไป " กีซซซซซซซซซซซซซ " ( ฉันขอโทษนะไลท์ฉันนี่มันโง่จริงที่ไม่ไดสนใจนายเลย ) Lr พูด " กีซซซซซซซซซซซซ " ( ไม่เป็นไรหรอกนายปลอดภัยก็พอแล้ว ) ไลท์พูดพร้อมกับใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาเปรอะอยู่ " ก..ก..กีซซซซซซซซซ " ( เฮ้อๆอ้าวเสร็จแล้วเหรอ ) นิลเฮอร์พูดพร้อมกับสีหน้าเหนื่อยอ่อน " นายมาช้าไปเค้าเสร็จกันต้องนานแล้ว " นอพฮอฟพูด " กีซซซซซซซซซซซซ " ( แฮ่กก็เจ้าไลท์น่ะสิเล่นวิ่งไม่รอเลยว่าแต่วิลไปไหนเนี่ย ) โปรดติดตามตอนต่อไป ;) มันไหมคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on December 24, 2005, 10:28:27 PM มันสืจ้ะ แต่เว้นบรรทัดบ้างก็ดีนะจ้ะ ติดกันเป็นพรืดแล้วมังกรร้องก๊าซ ๆ มันมึนได้ง่าย ๆ ::)
อ่านชื่อคิดถึง L กับ ไลท์ เหอ ๆ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 25, 2005, 01:09:38 AM ต่อเลยนะคับเมื่อวานคำพูดสุดท้ายของใครบางคนที่บอกว่าวิลไปไหนทุกคนคงงนะคับว่าใครพูดเพราะฉนั้นจะต่อว่าใครเป็นคนพูดละกันนะคับต่อเลย
นิลเฮอร์ถามนอพฮอฟ " กีซซซซซซซซ " ( เมื่อกี้ตอนสู้กันมีใครบางคนโจมตี Lr มาจากทางพุ่มไม้ด้านโน้นวิลก็เลยตามไป ) นอพฮอฟตอบ " กีซซซซซซซซซซซซ " ( แย่ล่ะทางนั้นมันทางไปที่เขตล่าสัตว์ของฟีเลเซียซะด้วยสิ ) นิลเฮอร์พูดจบก็หันไปตะโกนบอก Lr กับไลท์ " กีซซซซซซซซซซซซซ " ( เฮ้พวกนายน่ะเลิกดีใจได้แล้วเราจะออกไปตามวิลนะอ้อ Lr ถ้านายวิ่งไม่ไหวแล้วละก็ให้ไลท์พากลับก่อนก็ได้นะ ) ระหว่างนิลเฮอร์รอคำตอบของทั้งสอง Lr ก็ล้มลงทำให้พวกเขาต้องมาช่วยพยุงตัว Lr " กีซซซซซซซซซซซ " ( เป็นอะไรมากรึเปล่า Lr ) นิลเฮอร์ถาม Lr ขณะที่ช่วยพยุงตัวเขาขึ้น "ก.. กีซซซซซซซซซ " ( ม..ไม่เป็นไรหรอกพวกนายไปตามวิลกลับมาเถอะฉันจะรออยู่นี่ ) Lr พูด " กีซซซซซซซซซซซซ " ( พวกนายไปเถอะฉันจะดูแล Lr ให้เอง ) ไลท์พูดอย่างเร่งรีบ " กีซซซซซซซซซซซซซ " ( อื้อแล้วเราจะรีบกลับมา ) นิลเฮอร์ตอบแล้วหันไปพูดกับนอพฮอฟ " กีซซซซซซซซซ " ( ไปกันเถอะ ) นิลเฮอร์บอกนอพฮอฟแล้วทั้งสองก็ออกบินตามไปโดยมีนอพฮอฟนำ บัดนี้วิลที่ตามผู้โจมตี Lr เข้าไปในป่าจนมาถึงที่กว้างใจกลางป่าก็คลาดสายตากับผู้ที่โจมตี " กีซซซซซซซซซซซซ " ( เชอะคลาดสายตาจนได้กลับไปหาพวก Lr ดีกว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ) วิลพูดจบก็หันกลับไปทันใดนั้นเองลูกธนูก็พุ่งผ่านเข้าไปแบบฉิวเฉียด " ก..กีซซซซ " ( อ..อะไรกัน ) วิลเอ่ยขึ้นข้างหน้าเขาตอนนี้รายล้อมไปด้วยนักธนูฟีเลเซีย( felasia archer )จำนวนมากที่กำลังเล็งธุนมาทางเขา และแล้วทหารพวกนั้นก็ยิงลูกธนูออกไปธูนนับสิบพุ่งตรงมายังวิล " flying flame " สิ้นเสียงก็มีลมพายุหมุนวนรอบๆตัววิลพัดเอาลูกธนูทั้งหมดกระเด็นกลับไปหมด " หวา " นักธูนฟีเลเซียต่างวิ่งหลบลูกธนูกันจ้าละหวั่น " เอาไงดีครับท่าน " แม่ทัพพลธนูพูดกับใครบางคนอยู่ตรงพุ่มไม้ในป่าไม่ไกลนักหน้าของแม่ทัพขาวซีดเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต " ข้าจะออกไปเอง " เสียงของคนผู้นั้นแหบแห้งและเย็นจนน่ากลัวเป็นร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทที่หัวมีวงแหวนขนาดใหญ่สวมอยู่ถึงสามอันบดบังใบหน้าของเขาเผยให้เห็นเพียงแค่ปลายผมสีเขียว " กีซซซซซซซซซซ " ( เยอะจริงๆแหะแรงจะหมดแล้วด้วย ) ลมพายุที่รุนแรงเมื่อก่อนหน้านี้เริ่มอ่อนแรงลงจนกลายเป็นแค่ลมพัดเบาๆเหล่านักธนูยังคงยิงธนูใส่วิลยังไม่หยุดยั้งและบางส่วนก็เริ่มใช้ดาบเข้าโจมตีแต่ก็ถูกวิลพัดกลับไป " ถอยไปข้าจะจัดการเอง " เสียงของผู้ที่สนทนากับแม่ทัพเมื่อครู่ดังออกมาจากป่าเหล่านักธนูทั้งหมดก็วางมือลงทุกคนหยุดและเดินกลับไปรวมกันผู้ที่สวมผ้าคลุมเดิมออกมาอย่างช้า " หึๆๆแกสินะขัดขวางการจับตัวเด็กนั่น " ผู้ที่สวมผ้าคลุมพูด " ก..ก..กีซซซซซซซซซซว " ( ส..ส..เสียงนี้หรือว่า ) วิลพูด เวลานี้ในใจของเขาความกลัวเริ่มกลืนกินหัวใจของเขาเข้าไปทุกทีๆ " หึๆๆๆแกคิดถูกแล้วข้านี่แหละที่พูดผ่านอีสควอเทีย " ผู้ที่สวมผ้าคลุมพูดเสียงของเขาทำให้วิลถึงกับเข่าทรุด " ก..กีซซซซซซซซซ " ( ก..แกฟังฉันรู้เรื่อง ) วิลพูดในใจของตอนนี้มีแต่ความสับสนกับเท่านั้นเขาพยายามจะลุกขึ้นแต่รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเขาถูกอะไรบางกดดันเอาไว้ทำให้ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก " flying flame " วิลเข้าโจมตีด้วยลมพายุอีกครั้ง " Earth barrier " สิ้นเสียงของผู้ที่สวมผ้าคลุมก็มีกำแพงดินผุดขึ้นมาจากพื้นและป้องกันตัวเขาจากลมของวิล " ก..กีซซซซซซ " ( ก..แกเป็นใครกันแน่ ) วิลพูดเสียงสั่นด้วยความกล้ว " ชื่อของข้าคือ Janai, the black wood wizard ( ต่อไปจะย่อเป็นจาไน ) " ผู้ที่สวมผ้าคลุมพูดจบก็เริ่มวาดมือร่ายคาถาซักพักก็มีกลุ่มพลังงานสีดำวนอยู่รอบตัวจาไนและเมื่อวนครบรอบมันก็รวมตัวกัน " dark ray " สิ้นคำก็มีลำแสงสีดำสองออกมาเป็นวงกว้าง ขณะที่ลำแสงกำลังจะพุ่งมายังวิลก็มีชายลึกลับคนนึงพุ่งเข้ามายกโล่ขึ้นป้องกันวิลเอาไว้ชายคนนั้นสวมผ้าคลุมสีเทาที่หัวสวมหน้ากากสีทองที่สลักเป็นรูปมังกรโล่ของเขามีพลอยสีฟ้าฝังอยู่ตรงกลางโล่เป็นรูปสัญลักษณ์แห่งแสง " ไม่เป็นอะไรใช่ไหม " ชายผู้นั้นถาม " กีซซซซซซซ " ( ครับว่าแต่คุณ... ) วิลพูดยังไม่ทันขาดคำจาไนก็โจมตีเข้ามาอีกครั้งชายผ็นั้นชักดาบขึ้นและฟาดใส่ลำแสงของจาไนจนเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวสะท้อนกลับไป โปรดติดตามตอนต่อไป ปล.พรุ่งนี้งดนะคับเพราะจะลงตอนพิเศษวันคริสมาส ทาลิวิลย่าปะทะเอเลี่ยน Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 25, 2005, 12:53:05 PM tip for dragology Special X,Mas OF the Thaliwilya ตอน ทาลิวิลย่า VS. เอเลี่ยน หวัดดีวันคริสมาสคร้าบบแหะๆวันนี้เรามีอะไรกันเอ่ยใครตอบได้มั่งหุๆๆ คำตอบก็คือตอนพิเศษไงครับแหมชื่อก็เขียนไว้ข้างบนแต่จะมาลงตอนเย็นนะนี่ยังเช้าอยู่เพราะฉนั้นรอหน่อย(กำลังต่อภาพอยู่)และทีนี้ผมต้องขอก่อนนะคับว่าเนื่องจากผมยังดำเนินเนื้อเรื่องหลักไม่ถึงตอกแรกซักที( เพราะไอ้ที่ดูกันอยู่เนี่ยมันยังเป็นบทนำอยู่เลยไอ้เราหรือก็รีบปั่นทั้งงานทั้งนิยายให้ทันแต่ก็ไปทันสักที ) และเนื่องด้วยตอนพิเศษนั้นเป็นช่วงที่ดำเนินจนถึงกลางเรื่องเพราะฉนั้นด้วยเหตุนี้ผมจึงจะอธิบายบางส่วนของนิยายให้นะคับ 1.ดรากอสฮอลลี่( ย่อเป็น dgh ใช้ทั้งในเนื้อเรื่องหลักและตอนพิเศษด้วย ) คือหินมังกรที่แปลสภาพกลายเครื่องอะไรบางอย่างที่มีลักษณคล้ายนาฬิกาข้อมือได้มาจาก dvd ในบทที่1หินมังกร เป็นอุปกรณ์สำหรับแปลงร่างกับมังกรน้อยทั้งหกได้และยังทำให้ฟังภาษามังกรกับภาษาสัตว์ออกได้ด้วย 2.อัศวินแห่งทาลิวิลย่าทั้ง 6 เพื่อนๆคงเคยเห็นอัศวินแห่งทาลิวิลย่าทั้ง 6 ธาตุมาแล้วนะคับในนิยาย Lr จะรวมร่างกับลูกมังกรทั้งทีละตัวกลายเป็นอัศวินแต่ละธาตุคับ 3.อาวุธของทาลิวิลย่าดาบมาคายาเดีย และ โล่มิคาเอล ในซองชุดดราโก2 มีดาบทาลิวิลย่าที่มาคายาเดียอยู่ใช่มั้ยคับนั่นแหละคืออันนี้โดยดาบจะใช้เป็นอุปกรณ์ให้ Lr แปลงร่างโดยใช้ตัวเองเดี่ยวๆไม่ต้องรวมร่างโดยอาศัยพลังจากมังกรทั้งหก ( ติดตามได้ในบทที่ชื่อว่าดาบแห่งความกล้า ) ส่วนโล่นั้นผมตั้งเองชื่อมิคาเอล( ติดตามได้ในบทที่ชื่อว่าโล่แห่งจิตวิญญาณ ) แล้วอุปกรณพวกนี้ใช้แปลงร่างเป็นอะไรล่ะคำตอบก็คือดาบแปลงเป็นทาลิดราโก1และโล่เป็นเมอริเซีย1 คงหมดแค่นี้อ่ะคับสำหรับข้อมูลก่อนนิยาย( ขืนบอกหมดก็ไม่หนุกดิ )แล้วอย่าลืมดูตอนพิเศษนะคับมาตอนเย็น(ย้ำอีกที)เพราะฉนั้นบายคับ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 25, 2005, 10:40:53 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษ นำเก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้ว
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 26, 2005, 10:57:37 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษ นำเก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้ว
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: ::RedharinG:: on December 27, 2005, 07:24:45 PM สนุกมากเลยค่ะ..อิอิ
สอบเสร็จแล้วได้มาอ่านอะไรแบบนี้ก็มีความสุขชะมัดเลย ไว้เย็นๆ(ค่ำๆดึกๆ)จะเข้ามาอ่านภาค3นะคะ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 27, 2005, 11:56:41 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษ นำเก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้ว
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 28, 2005, 10:18:03 PM หวักดีก้าบวันนี้ไม่มีตอนพิเศษนะงับต้องไปดูวันเสาร์นะงับงุงิ(ชะถ้าจะติดโรคงุงิมาจากคนในไวเซอร์แล้วงิไม่ได้ๆเดี๋ยวเขียนเสร็จต้องไปให้ ฟิชโช่ด็อก..เอ้ยไซโคตะหากรักษาซะแล้วงุงิ)
วันนี้เป็นตอกหลักงับแต่อาจน้อยไปหน่อยงับเพราะ2วันนี้ไม่ได้พักเลยว่าแล้วก็ต่อเลยนะงับงุ...งิ " paladin light holy blade " เสียงดังขึ้นเมื่อชายลึกลับคนนั้นชักดาบแล้วฟาดใส่ลำแสงที่จาไนปล่อยออกมาแล้วสะท้อนมันกลับไปแต่จาไนก็เรียกกำแพงดินขึ้นมาป้องกันอีกครั้งเมื่อลำแสงที่สะท้อนกลับไปกระทบกับกำแพงดินก็เกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งพื้นที่ทำให้ทุกคนแสบตาจนมองไม่ชายคนนั้นฉวยโอกาสพาตัววิลออกไปจากที่นั่นและกลับเข้าไปในป่าลึกเมื่อแสงสว่างจางลงด้วยแสงสีดำของจาไน " ไอ้เจ้าพวกนั้นมันไปไหน " จาไนพูดอย่างเดือดดาล " มันหนีไปแล้วครับท่าน " แม่ทัพพลธนูกล่าวเสียงแหบๆ " ตามมันไป " จาไนสั่งให้ทหารทุกคนออกติดตามชายคนลึกลับนั้นหลังจากทหารทุกคนออกไป จาไนก็เริ่มร่ายเวทย์อีกครั้งจากนั้นควันสีดำก็ค่อยๆลอยออกมาจากวงเวทย์ของจาไน จนเป็นกลุ่มควันขนาดเท่าจานใบหนึ่งในกลุ่มควันนั้นมีเงาของใครบางคนอยู่ " แผนการเป็นไงบ้าง " คนที่อยู่ในกลุ่มควันพูดเสียงของเขาแหบแห้ง " มันหนีไปได้แต่ข้ากำลังตามอยู่ " จาไนพูด โปรดติดตามตอนต่อไป ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on December 29, 2005, 09:50:41 PM ทิ..แก็ก...ม...แก็ก.โม..แก็ก...ท.ที.แก็ก "
นึกภาพตามแล้วรำคาญชอบกลแฮะ :P Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 31, 2005, 12:44:27 AM แหมคุณนิฮิลก็ ผมเห็นในนิยายที่ลงในไวเซอร์เขาเขียนตอนที่เสียงทินทอนมีปัญหามันก็ออกแนวนี้แหล่ะเอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีก่า
" กีซซซซซซซ " ( ท..ท่านเป็นใครกัน ) วิลถามชายคนนั้นระหว่างที่ถูกอุ้มพาไปยังทางตะวันออกของป่า ชายคนหยุดวิ่งเมื่อมาไกลรัศมีที่พวกทหารจะตามมาแล้วเขาวางวิลลงและหันซ้ายหันขวาเหมือนกับจะให้แน่ใจว่าพวกทหารไม่ตามมาแล้ว " ก็าซซซซซซซซซซซซ " ( ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ) ชายคนนั้นถามวิลแต่ก็ไม่มีคำตอบ เพราะตอนนี้วิลเอาแต่อึ้งอย่างเดียว " ก..กี..กีซซซซซ " ( ท..ทา..ท่านพูดภาษาเราได้ ) วิลพูโดยมีสีหน้าประหลาดใจมากๆในใจของวิลมีแต่ความงุนงงและประหลาดใจที่เข้ามาแทนที่ความกลัวตอนที่สู้กับจาไนเต็มไปหมด " ก..กีซซซซซ " ( ย..ยังก็ต้องขอบใจท่านมากเลยนะที่ช่วยเราเอาไว้ ) วิลพูดแต่ชายคนนั้นไม่ตอบกลับเขานิ่งไปวํกครู่จนมีเสียงเหมือนมีใครเหยีบกิ่งไม้หักดังขึ้นชายคนนั้นหันไปยังทิศของเสียงแล้วชักดาบขึ้นมารอรับ รอบๆมีแต่ความเงียบความตึงเครียดเข้ามาแทนที่ความสงสัยตอนนี้วิลเองก็เริ่มจะเตรียมรอรับกับสิ่งที่เผชิญหน้าอยู่เสียงแหวกพุ่มไม้ดังขึ้นเป็นระยะๆรอยแหวกพุ่งมาทางพวกเขา จนเมื่อสิ่งนั้นแหวกออกมาจากพุ่มไม้เสียงตวัดดาบกับเสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นพร้อมกันปลายดาบของชายคนนั้นจ่อคอของ Lr และลมที่พัดจากแรงกระพือปีกก็พัดเอาใบพุ่มไม้กระจายออกจนหมดปรากฎว่าเป็นพวก Lr น่ะเองที่ออกตามหาวิล " กีซซซ " ( พวกเรา ) วิลพูดขึ้นด้วยความดีใจความโล่งอกเข้ามาแทนที่ความสับสนความตึงเครียดในตอนแรกจนหมดวิลวิ่งตรงไปหาเพื่อนๆทันที " กีซซซซซซซซซซ " ( วิลในที่สุดก็ตามเจอจนได้อะว่าแต่เขาเป็นใครเหรอ ) Lr พูดจบก็หันไปมองชายลึกลับที่ช่วยวิลมานิลเฮอร์กับไลท์เองก็หันไปมองด้วยความสนใจเช่นกัน " กีซซซซซซซซซซ " ( จริงสิท่านเป็นใครถึงได้พูดภาษามังกรได้แล้วท่านรู้อะไรเกี่ยวกับพวกที่โจมตีเราเมื่อกี้ด้วยหรือเปล่า ) วิลยิงคำถามใส่ชายลึกลับไม่หยุดจนนิลเฮอร์ต้องแกล้งกระแอ่มไอออกมาเพื่อเตือนสติ วิลจึงหยุดรอคำตอบจากชายคนนั้น " ก็าซซซซซซซซซ " ( เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เองและอีกไม่นานเราคงจะต้องเจอกันอีก ) ชายลึกลับคนนั้นตอบแล้วก็เดินหายลับเข้าไปในป่าทิ้งไว้แต่คำพูดที่ชวนให้สงสัย " กีซซซซซซซซซซซ " ( เอาล่ะเรากลับกันเถอะ ) นิลเฮอร์เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบรอบๆแล้วจากนั้นพวกเขาก็เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านมังกร " ฮูมมมมมมมมมมมมมม " ( เฮ้ออประชุมครวาวนี้ดูเมหือนจะไม่คืบหน้าอะไรเล้ย ) dvd ถอนหายใจยาวออกมาทันทีหลังจากที่บินลงมาที่ทางเข้าหมู่บ้านมังกร END TITLE โปรดติดตามตอนต่อไป เอาล่ะคับจบแล้วสำหรับบทนำของตำนานนี้ต่อไปนี้จะได้เริ่มเนื้อเรื่องซะทีตอนแรกขอเสนอบทที่1 ศิลามังกรติดตามชมกันในวันพรุ่งนี้ให้ได้นะคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on December 31, 2005, 09:23:21 PM บทที่ 1 ศิลามังกร
dvd ได้บินลงมาที่ป่าและก่อนที่จะเข้าไปยังหมู่บ้านมังกรมังกรขาวได้หันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จากนั้นจึงเข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ตรงหน้าบริเวณรอบๆตรงหน้า dvd ค่อยๆหมุนเวียนเป็นวงกว้างแล้วกระจายออกเป็นคลื่นวงกลมอยู่ซักพักก็มีอะไรบางอย่างค่อยๆโผล่ออกมาจากรอยคลื่นที่เกิดจากการบิดเบี้ยวมิติมันเป็นวัตถุที่เหมือนกับประตูมีลายอักษรมังกรแกะอยู่บนประตู “ ฮูมมมมมมมมมมมม ” ( ผู้ปกป้องศักดิ์สิทธ์ (holy Guardian) ) dvd พูดจบประตูนั้นก็มีแสงส่องออกมาจากกลางประตูลากผ่าประตูออกเป็นสองซีกและค่อยแยกออกจากกันเมื่อประตูแยกออกจนกว้างพอที่จะเข้าไปได้ dvd ก็เข้าไปข้างในแต่ก่อนที่ ประตูจะปิดก็มีกลุ่มเงาดำพุ่งออกจากพุ่มไม้ตาม dvd เข้าและประตูก็ปิดลง ที่ฟีเลเซีย ณ พระราชวังที่กษัตริย์ ซิกมันต์ที่ 3 ประทับอยู่ บิชอปเกรเกอรี่และแม่ทัพชาลว์เดินเข้ามายังห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง ที่บัลลังกษัตริย์แห่งอาณาจักรฟีเลเซียซิกมันต์ได้นั่งรอทั้งสองอยู่ก่อนแล้ว “ ถวายบังคมฝ่าบาท ” ทั้งสองพูดและก้มตัวลงพร้อมกัน “ ลุกขึ้นเถิดท่านทั้งสอง ” ซิกมันต์พร้อมกับยืนขึ้น “ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อนขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ” ชาลว์กล่าวน้ำเสียงเรียบแล้วเดินออกไปจากห้องโถงไป “ เอาล่ะที่เราเรียนท่านบิชอปมาก็เพราะเหตุใดข้าคิดท่านคงจะทราบอยู่แก่ใจ ” ซิกมันต์กล่าวเสียงเรียบและหันไปมองเกรเกอรี่ “ กระหม่อมทราบดีฝ่าบาทคงต้องการทราบเรื่องที่เคยมีมังกรดำมาอาละวาดจากเขตป่าทมิฬใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ ” เกรเกอรี่ตอบสีหน้ายังคงนิ่งเช่นเดิม “ ถูกต้องท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ” ซิกมันต์ถามกลับ “ ฝ่าบาทเรื่องที่กระหม่อมเล่าต่อไปนี้อาจจะดูเหลือเชื่อหากฝ่าบาทต้องการจะฟังกระหม่อมก็พร้อมที่เล่าพ่ะย่ะค่ะ ” เกรเกอรี่ตอบกลับพร้อมกลับรอคำตอบจากองค์กษัตริย์อยู่ชั่วครู่ซิกมันต์เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ตัดสินใจตอบไป “ เล่ามาเถอะท่านเราเชื่อว่าท่านต้องไม่โกหกเราอย่างแน่นอน ” ซิกมันต์ตอบน้ำเสียงเรียบ “ ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงวางพระทัยในตัวกระห่มอมถ้าเช่นนั้นกระหม่อนจะเริ่มเล่าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ” เกรเกอรี่พูดจบก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด ที่หมู่บ้านมังกร เมื่อ Dvd ผ่านประตูมิติเข้ามาปรากฏบนเนินเขาลูกเล็กภาพตรงหน้าของเจ้ามังกรก็คือภาพหมู่บ้านที่ตั้งปะปนอยู่กับป่าเป็นหย่อมๆในแต่ละหมู่บ้านจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าที่มนุษย์ในยุคนี้นัก dvd รีบลงจากเนินเขาตรงไปที่บ้านของตนทันทีซึ่งระหว่างทางเจ้ามังกรก็ผ่านทั้งตลาด และสะพานข้ามแม่น้ำซึ่งตลาดนั้นมีการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาใช้มากมายไม่ว่าจะร้านขายผัก ที่มีเครื่องคัดชนิดผักและหั่นผักพร้อมกันในตัวและร้านขายปลาที่มีเครื่องแปลกๆที่เมื่อใส่ปลาที่จับ จากทะเลสาบที่แม่น้ำไหลตัดไปยังทุกหมู่บ้าน เข้าไปเครื่องก็จะขอดเกล็ดปลาปลาออกจนหมดและ หั่นแบ่งออกเป็นสามส่วนคือหัว ตัว หาง โดยจะไหลออกมาทางช่องทั้งสาม สะพานข้ามแม่น้ำก็เช่น กันเนื่องจากมีคลื่นที่แรงมากจากทะเลสาบซัดไหลตามแม่น้ำมาและหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างต้นแม่น้ำกับ ทะเลสาบทำให้ตัวสะพานต้องมีความแข็งแรงอย่างมากเพื่อที่จะกันไม่ให้คลื่นที่แรงและสูงมากซัดจนสะพานพัง สะพานข้ามแม่น้ำนี้จึงถูกดัดแปลงให้ยกตัวขึ้นได้เมื่อมีคลื่นสูงมากกว่าฝั่งและกำแพงที่ถูกฝังไว้ใต้ดินทั้งสอง ฝั่งก็จะยกขึ้นมาป้องกันคลื่นได้ เมื่อ dvd ถึงบ้านแล้วก่อนที่เจ้ามังกรจะเข้าไปก็มีระเบิดอย่าง รุนแรงมาจากทางเหนือและยังไม่ทันที่ dvd จะหันไปยังทิศทางของเสียงก็มีอีกเสียงระเบิดดังขึ้นมา จากทางป่าตะวันออกจากนั้นก็มีการระเบิดอย่างต่อเนื่องจนหู่มบ้านและป่ากลายเป็นทะเลเพลิงผืนแผ่นดินสั่น สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฝูงสัตว์ตื่นตระหนกหนีกระจัดกระจายเมื่อ dvd เห็นเช่นนั้นจึงรีบออก จากบ้านตรงไปยังวิหารมังกรกลางหมู่บ้านระหว่างก็มีคลื่นพลังสีดำตกลงมาและระเบิดจนบ้านที่อยู่ ละแวกนั้นกลายเถ้าถ่านที่ลุกไหม้เหล่ามังกรทั้งหลายต่างวิ่งแตกตื่นออกมาจากที่อยู่อาศัยบางครอบครัว หนีออกมาไม่ทันถูกระเบิดตายไปพร้อมกับบ้านก็มีอยู่มาก “ กีซซซซซซซซซ ” (พ่อจ๋าแม่จ๋าแง) ลูกมังกรตัวหนึ่งร้องออกมาหลังจากหลงกับครอบครัว dvd พยายามจะเข้าไปช่วย แต่สายไปแล้วคลื่นระเบิดตกลงบมาระเบิดฝูงมังกรจนกลายเป็นซากขี้เถ้าไป dvd กระเด็นลอย ไปกระแทกกับต้นรอบๆจนล้มระเนระนาดไปทั่วไฟเริ่มลุกลามมากขึ้นเรื่อย dvd เห็นเช่นนั้นจึงรีบ ออกเดินทางต่อจนไปถึงวิหารกลางหมู่บ้านและเมื่อเข้าไปภายในเป็นห้องโถงที่มีลวดลายบอกเล่า ประวัติของมังกรสลักอยู่เต็มผนัง ใจกลางห้องมีบันต่อลงไปยังห้องใต้ดิน Dvd เดินลงไปยังห้องใต้ดินในห้อง นั้นมีตะเกียงรูปมังกรที่มีหินบางอย่างที่เปล่ง ประกายตั้งอยู่ “ ฮูมมมมมมมมมมมมมมมม ” ( โอโชคดีจริงที่ศิลามังกร(the Stone of Dragos)ยังไม่เป็นอะไรน… ) dvd พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากวิหารด้านบน “ หึๆๆจงตายกันซะให้หมดเจ้าพวกมังกรชั้นต่ำเพื่อให้ ความประสงค์ของท่านผู้นั้นสำเร็จ ” โปรดติดตามตอนต่อไป ;) วันนี้ลงตอนพิเศษไม่ทันจริงๆคับไว้พรุ่งนี้แทนละกัน ตัวอย่างตอนต่อไป Dvd ยังอยู่ในวิหารมังกรแต่ก็โดนคลื่นพลังซัดทำลายไปแล้วพวก Lr ที่ยังไม่รู้ว่าหมู่บ้านถูกโจมตีก็เดินทางมาถึงก็ออกตามหาครอบครัวและเมื่อได้พบกันก็ต้องจากกันอีกหมู่บ้านกำลังถูกทำลายจนสิ้นในความสิ้นหวังขณะนั้นเองก็มีแสงส่องออกมาจากศิลามังพวกเขาจะรอดได้มั้ยติดตามในตอนต่อไปบทที่ 2 แสงแห่งมิตรภาพ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 01, 2006, 09:32:31 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษ เก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้วจ้ะ เพื่อความสะดวก
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 03, 2006, 12:26:38 AM พื้นที่ลงตอนพิเศษ เก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้วจ้ะ เพื่อความสะดวก
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on January 03, 2006, 07:41:58 AM Lux et dragos ได้เผยโฉมแล้วฮะ แสงสว่างและมังกร ดาบแสงนี่ท่าทางเท่จริง ๆ แฮะ
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 04, 2006, 12:02:23 AM ขอเลื่อนเป็นวันพฤหัสนะคับวันี้ไม่ว่างแต่ไม่ต้องเป็นห่วงคับว่าวันนี้จะไม่มรอะไรวันนี้มีภาพมาฝาก(ก็เหมือนไม่มีอะไรอยู่ดีน่ะแหล่ะ :P) เป็นภาพที่ทุกๆคนต้องรู้จักขอบอกก่อนนะไม่ได้ดัดแปลงอะไรภาพเลย
นี่คือภาพ [(http://www.fotothing.com/photos/603/6038c171bba9ee01c3a536b5878667ab.jpg) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on January 04, 2006, 09:53:40 PM สมิงหมาป่าขี้ผู้ชาย (มูลชาย) นี่เอง
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 04, 2006, 09:56:52 PM บทที่ 2 แสงมิตรภาพ part1
บัดนี้หมู่บ้านมังกรถูกกลุ่มคนลึกลับสิบโจมตีหมู่บ้านที่มีความก้าวหน้าความมั่นคงกลับถูกลุ่มคนชั่วช้าที่อยู่เหนือน่านฟ้าทำลายย่อยยับภายในพริบตา “ หึๆๆจงตายซะเจ้ามังกรชั้นต่ำเพื่อให้ความประสงค์ของท่านผู้นั้นสำเร็จผล ” เสียงแหบแห้งจากคนในกลุ่มนั้นดังกังวานขึ้นชายผู้เอ่ยคำประกาศถอดเสื้อคลุมที่ดำตั้ง ศีรษะจรดเท้าถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นที่หัวมีวงแหวนที่มีอักขระโบราณสลักไว้สวมบนศีรษะสามวงไล่ตั้งแต่วง เล็กไปใหญ่โดยวงใหญ่ที่สุดสวมไว้ด้านบนสุดเสื้อคลุมของเขาเป็นสีม่วงดำที่ชายเสื้อมีลายสีทองกับแดงสลับกัน แถบผาดอยู่ด้านในเสื้อคลุมสีดำที่เขาพึ่งโยนทิ้งไปผมสีเขียว ปลิวลู่ไปตามสายลมที่พัดผ่าน “ ท่าน จาไน ครับกองทหารมนุษย์ที่เราส่งไปตามพวกมันหลุดจากเวทย์สะกด แล้วครับเอาไงดีครับท่าน ” ชายลึกลับในกลุ่มอีกคนเข้ามาแจ้งข่าวให้ชายคนที่ถอดเสื้อคลุม เมื่อครู่ “ ช่างมันเราแค่ต้องการให้ลูกมักงกรตัวนั้นบอดทางมาที่นี่เท่านั้นพวก เจ้าไปจัดการควบคุมซากมังกรที่ตายแล้วให้ขัดขวางกองทัพของพวกมันซะส่วนข้าจะไปหาสิ่งนั้นเอง ” จาไน สั่งกลุ่มคนนั้นจบทุกคนในกลุ่มก็พากันโยนเสื้อคลุมทิ้งทุกคน มีวงแหวนขนาดขนาดกลางที่มีวงแหวนขนาดเล็กกว่าคล้องเอาไว้กันคนละ 4 วงที่ มือสองวงที่หัวอีกสองวงแต่ละวงจะมีเชือกสีทองผูกไว้เสื้อคลุมสีม่วงดำที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำ และผ้าสีแดงยาวสยายพัดสะบัดไปตามลมพวกเขาคือ ดราก้อนเนโครแมนเซอร์ (ผู้ควบคุมมังกรแห่งความตาย) “ จัดการให้หมดอย่าให้เหลือ ” สิ้นเสียงคำสั่ง จาไน ก็มุ่งไปยังวิหารที่ถัดจากวิหารเขาพึ่งถล่มมันไปกลุ่ม ดราก้อนเนโครแมนเซอร์(ต่อไปย่อเป็น dn ) ก็พุ่งไปคนละทิศคนละทางจากวิหารที่1 สามคนอยู่ที่วิหารนี้สองคนไปยังวิหารที่ 2 ที่อยู่เหนือสุดของมิตินี้ จาไนไปยังวิหารที่3 ที่อยู่ถัดลงมาจากวิหารที่ 2 ซึ่งอยู่กลางมิตินี้อีกสองคนไปยังวิหารที่ 4 ที่อยู่สุดทางทิศตะวันตกอีกสองคนไปยังวิหารที่5 ที่อยู่สุดทางทิศตะวันออกทุกคนต่างก็แยกย้ายไปยังวิหารรอบมิตินี้ จากวิหารมังกรวึ่งอยู่กลางหู่มบ้านมังกรไปยัง วิหารแห่งน้ำ วิหารแห่งไฟ วิหารแห่งดิน และวิหารแห่งลม ที่หน้าประตูพวก Lr ได้เดินทางมาถึงแล้ว ” เปิดเลยนะ ” วิลพูด “ กีซซซซซซซซซซซซ ” ( เอาสิ ) ทุกคนตอบกลับ “ กีซซซซซซซซซซซซซซ ” ( ผู้ปกป้องศักดิ์สิทธ์ ) สิ้นเสียงวิลประตูก็เปิดออกเมื่อพวก Lr เข้าไปในมิติมังกรก็ได้แต่ตกตะลึงเมื่อภาพหมู่บ้านของตน ที่เคย อุดมสมบรูณ์กลับกลายเป็น ทะเลเพลิงไปแล้ว “ ก็าซซซซซซซซซ ” ( ไงตกใจล่ะสิที่เห็นหมู่บ้านกลายเป็นยังงี้ ) เสียงของใครบางคนที่คุ้นหูมากๆดังสะท้อนออกมาจากเงาใต้ต้นไม้ร่าง สีแดงเพลิงเดินออกมาจากเงามืด “ กีซซซซซซซซซซซ ” ( น..นิทินโคป..ปีกนายไปโดนอะไรมาน่ะ ) วิลพูดเมื่อเห็นพังพืดปีกของนิทินโคที่ฉีกขาดเป็นรูโหว่ทั้งสองข้าง “ ก็าซซซซซซซซซซซซซซซ ” (ระหว่างที่ฉันกำลังกลับ มามันก็เป็นงี้ไปแล้วพ่อฉันบอกให้มาหลบอยู่นี่ส่วนพ่อแม่พวกนายน่ะพ่อฉันกำลังไปช่วยแต่ว่าคงยากมากล่ะ) นิทินโคพูดจบก็หันไปทางหมู่บ้าน “ ก็าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ ” ( พวกศัตูรมันควบคุมซากของมังกรได้ทำให้เข้าไปไม่ได้สักที ) นิทินโคพูดเสียงเครียด “ กีซซซซซซซซซซซ ” ( งั้นเราออก ไปตามหาครอบครัวกันเถอะเพราะมีถ้ำอยู่ตรงตีเขาด้านโน้นมันเชื่อมกับถ้ำตรงตีนเขาฝั่งหมู่บ้านเราไปกันเถอะ ) Lr เสนอทุกคนก็เห็นด้วยยกเว้นนิทินโค “ ก็าซซซซซซซซซซซซซซซ ” ( เอาจริงเหรอมันร้ายกาจสุดๆเลยนะ ) นิทินโคพูดเสียงเรียบ “ กีซซซซซซซซซซซซ ” ( ยังไงซะเราก็ต้องลองดู ) Lr พูดจบก็นำทุกคนวิ่งไปยังตีนเขานั้น " ก็าซซซซซซซซซซซ " ( งั้นก็ตามใจ ) นิทินโคประชดแล้วก็หัลงกลับไปยังต้นไม้นั่น " กีซซซซซซซซซซซ " ( อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้วนั่นไงทางออก ) Lr พูดขณะที่วิ่อยู่ในถ้ำสักพักจนเห็นแสงสว่าง " กีซซซซซซซซซซซซซ " ( ถึงแล้วอะนี่มันอะไรกัน ) Lr ร้องด้วยความรื่นเริงแต่ก็ต้องกลับกลายเป็นความ ตกตะลึงแทนเมื่อเห็นศพมังกรที่ถูกคล้องด้วยห่วงของดราก้อนเนโครแมนเซอร์ " เจ้าพวกลูกมังกรข้าจะไม่ให้พวกเจ้าผ่านไปได้หรอกจัดการ " dn สั่งจบพวกซากมังกรที่ถูกควบคุมอยู่ก็เข้าจู่โจมพวก Lr ทันที " กีซซซซซซซซซซซ " ( Lr นายไปตาม dvd มาช่วยก่อนละกันเพราะท่าเป็นท่านจะรู้วิธีจัดการกับพวกมันส่วนทางนี้เราจะรับมือเอง ) ไลท์พูด " กีซซซซซซซซ " ( แต่พวกนายจะไหวเหรอ ) " กีซซซซซซซซซซ " ( นายต้องไปไม่งั้นเราจะตายกันหมดนะ ) ไลท์ตะคอก " กีซซซซซซซ " ( อื้อตกลง ) Lr รับคำเสียงสั่นด้วยความเป็นห่วงและเริ่มออกวิ่งไปหา dvd ทันที " ขัดขวางไว้อย่าให้มันไปได้ " dn สั่งจบพวกมังกรที่ถูกควบคุมก็ตาม Lr ไปแต่ก็ถูกเปลวเพลิงสีขาวเผาจนมอดไหม้ " อะไรกัน " dn พูดแล้วหันไปข้างหลัง " กีซซซซซซซซซซซซ " ( เราไม่ยอมให้แกทำหรอกพวกเราลุย ) สิ้นเสียงของไลท์ทุกคนก็เฮโลกันเข้าจู่โจมกันอย่างดุเดือด ที่ใต้ดินของวิหารมังกร " ฮูมมมมมมมมมมมมม " ( อาที่นี่มันจริงสิเราติด อยู่ใต้วิหารเพราะใครบางคนระเบิดวิหารนี้นี่นา ) dvd เอ่ยเสียงการสู้รบกันดังมาจากข้างบน " ฮูมมมมมมมมมมมมม " ( อะเราจะชักช้าไม่ได้ แล้วทุกคนกำลังสู้กันอยู่ถ้าเดาไม่ผิดจะเป็นพวกที่เทียแมตบอกแน่ๆงั้นก็แสดงว่ามันต้องการศิลามังกรนี้แน่เราต้องเอามันออกไปเพื่อให้พ้นมือของพวกมันทางใต้ดินนี้เชื่อมต่อกับวิหารอื่นๆมันน่าจะออกได้สักวิหารล่ะ ) dvd พูดจบก็ออกเดินไปตามใต้ดิน โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ปล. part 2วันศุกร์นะคับที่ต้องแยกเพราะแทบไม่ได้พักเลยขอพักหน่อยเถอะนะคับ ;D Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 07, 2006, 12:37:20 AM dvd เดินไปตามทางเดินใต้ดินของวิหารเพื่อหาทางออกขณะที่ทุกคนในหมู่บ้าน
กำลังสู้กันอยู่แม้ทุกคนในหมู่บ้านจะรวมพลังกันสู้แต่ด้วยมังกรที่ dn ใช้ต่อกรด้วยนั้นกลับเป็นมังกรที่หาตายไม่ แม้กำลังมังกรของหมู่บ้านจะลดจำนวนลงแต่ มังกรของพวกมันกลับหาลดลงไม่ ตรงข้ามกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย เมื่อมังกรตายหนึ่งตัวพวก dn ก็จะนำซากของมังกรนั้นมาเป็นพวกทำให้ทั้ง กองทัพในหมู่บ้านและกองทัพที่มาช่วยเหลือไม่อาจต่อต้านกำลังของพวกซากมังกรที่ถูกควบคุมได้ ในระหว่างนั้นพวก ไลท์ กำลังต่อสู้อย่างยากลำบากด้วยตัวเป็นเพียง มังกรน้อย แต่กลับต้องต่อกรกับอำนาจมืดที่มีกำลังกล้าแกร่ง " กีซซกีซซซ " ( แฮ่กๆ ) ไลท์ หอบด้วยความเหนื่อยเพราะต้องปล่อยพลังออกมาตลอดเหล่ามังกรน้อยตัว อื่นๆเองก็เริ่มอ่อนกำลังลงเช่นกัน " กีซซซซซซซซซซ " ( นี่นายคิดว่า Lr เจอ dvd หรือยังน่ะพวกเราเริ่มเหนื่อยอ่อนลงทุกทีแล้วนะ ) นิลเฮอร์ถามไลท์ด้วยเสียงเหนื่อยหอบและก็คอยโจมตีศัตรูไปด้วย " กีซซซซซซซซซซซซ " ( เราต้องเชื่อมั่นในตัว Lr นะฉันเชื่อว่าเขาจะต้องทำสำเร็จเขาจะต้องไม่ทำให้ฉันผิดหวังแน่นอน ) ไลท์กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ " แกคิดเหรอว่าเจ้าเด็กนั่นมันจะทำสำเร็จหึๆ " dn ที่กำลังเผชิญหน้ากับพวกเขาพูดขึ้น " กีซซซซซซซซซซซซซซ " ( ยังไงซะเขาก็ต้องทำได้ฉันเชื่อในตัวเขา ) ไลท์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ " หึๆฮ่าๆ " dn หัวเราะด้วยความสะใจ " กีซซซซซซซซ " ( ขำอะไรของแกน่ะ ) ไลท์ตะคอกทำให้ dn หยุดหัวเราะไปชั่วขณะและเริ่มพูดต่อ " พวกแกเชื่อมั่นในตัว เด็กมนุษย์คนนั้นด้วยรึทั้งๆที่มันเป็นตัวการที่ ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากมาจนถึงทุกวันนี้เจ้ายังหวังในตัวมันอีกรึ หึๆ...ยังไงซะข้าจะบอกให้เอาบุญว่าพวกข้าน่ะได้ กระจายกันออกไปทำลายวิหารศักดิ์ทั้งสี่แล้วและเจ้า dvd หน้าโง่นั่น ก็ติดอยู่ใต้วิหารป่านนี้หัวหน้าของขัาคงจะ ไปรอมันอยู่ที่วิหารแห่งดินซึ่งเป็นวิหารที่ 3 แล้วและจัดการเก็บมันไปแล้วอีกอย่างถ้าเจ้าเด็กนั่นเดินไป โต้งๆยังงั้นมัน ก็คง ถูกฆ่าไปแล้วล่ะ ถ้ามันจะตามหาน่ะนะหรือไม่ก็คงหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว แล้วล่ะแล้วทีนี้ เจ้ายังจะเชื่อในตัวมันอีกไหมฮ่าๆๆๆ " dn พูดจบก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งและ ในเสี้ยววินาทีนั้นเองพวกของไลท์ก็กจับตัวเอาไว้หมด " หึๆแล้วทีนี้เจ้ายังหวังอยู่อีกหรือเปล่าล่ะ " dn พูดจบ ไลท์ ก็เงียบไปครู่หนึ่งในใจของเขาบัดนี้ปวดร้าวด้วยความสิ้นหวังความกลัวที่กลัวว่าตนไม่สามารถเชื่อใจเพื่อนของตนได้อีกแล้วหรือแต่เขาก็พยายามที่จะไม่เชื่อเช่นนั้นไม่ เขาคงเชื่อ เชื่อมั่นมาตลอดว่าเพื่อนของเขาจะต้องไม่ใช่คนที่เห็น แก่ตัวเช่นนั้นไม่ต้องไม่ใช่แน่ ไลท์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆแล้วกล่าวว่า " กีซซซซซซซซซซซ " ( เชื่อสิฉันเชื่อมั่นในตัวเขามาตลอด ไม่มีทางที่เขาจะหักหลังเราไม่มีทาง Lr หรือว่านายหรือว่านายจะ.. ) ไลท์กล่าวเสียงสั่นด้วยความขมขื่นที่ตนไม่เชื่อใจเพื่อนแล้วหรือ " หึๆคงจะเข้าใจแล้วสินะว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น มาด้วยพระหัตถ์ของตนเองก็ยังมีความชั่วความกลัวอยู่ในจิตใจปีศาจต่างหากที่จะต้องคอยพิพากษาทุกสิ่งปีศาจต่างหากคือ ความถูกต้องหากไม่เป็นเช่นนั้นท่านก็ลองดูสิสัตว์เทพเช่นพวกมันถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เช่นนี้แต่มนุษย์ที่ท่านเชื่อพวกมัน นักหนากลับทรยศต่อพวกมันเองหรือนี่สิ่งที่ท่านต้องการกันแน่ " dn กล่าววาจาดูหมิ่นพระเจ้าสูงสุดแห่ง โลกเทอร่า ดูหมิ่นสววรค์อย่างร้ายแรง " กีซซซซซซ " ( ไม่..ไม่หรอกถึงยังไงฉันก็ยังเชื่อใจ Lr ว่าเขาจะต้องไม่หักหลังฉันอย่างเด็ดขาดรู้เอาไว้ซะด้วย ) ไลท์ตะโกนสุดเสียงพร้อมกลับพ่นเปลวเพลิงออกมาอีก ครั้งเปลวเพลิงพุ่งผ่านแขนเสื้อข้างขวาของ dn ไหม้จนเป็นรูโหว่ " หนอยยฆ่ามันให้....อุ้บ " dn พูดด้วยความเจ็บปวดแต่ ก็ยังไม่ทันที่จะขาดคำเขาก็โดนเปลวเพลิงอันร้อนละอุปกคลุมเอาไว้ " ก็าซซซซซซซซซซ " ( ยังไงซะเจ้านั่นก็ไม่มีทางทิ้งเพื่อนได้หรอก ) เจ้าของเปลวเพลิงพูด ลงมาจากฟากฟ้ายามค่ำคืนที่บัดนี้สว่างไสวด้วยเปลวเพลิงจากการสู้รบ นิทินโคกันลูกน้องมังกรไฟของเขานั่นเองที่มาช่วยเอาไว้ " ก..กีซซซซซซ " ( น..นิทินโค ) ลูกมังกรที่อยู่ข้างล่างร้องเป็นเสียงเดียวกัน " ก็าซซซซซซซซ " ( อย่าพึ่งเข้าใจผิดนะ ว่าฉันจะเชื่อใจเจ้าหมอนั่นด้วยฉันแค่มาช่วยพวกนาเท่านั้น ตอนนี้กองทัพมังกรมืดของหมู่บ้านมังกรมืดและกองทัพมังกรศักดิ์สิทธ์มาถึงแล้วไม่เชื่อก็ดูนั่นสิ ) นิทินโคพูดจบก็ชี้ไปทางท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านมังกรบัดนี้เหนือน่านเต็มไปด้วยทัพมังกรแสง และทัพมังกรมืด ร่วมแสนกำลังโบยบินอยู่เหนือน่านฟ้า " ย้ากกก " เสียงดังมาจากเปลวเพลิงที่พึ่งจะลุกไหม้ใส่ dn ไปเมื่อครู่ดังออกมา dn พุ่งออกมาจากกองไฟ " หนอยยยพวกแกเจ้าลูกมังกรจอมจุ้นทั้งหลายข้าจะฆ่าให้หมด " dn กล่าวด้วยวาจาโทสะและเริ่มควบคุมซากมังกรอีกครั้งแต่แล้ว ก็มีคลื่นพลังที่รุนแรงอันเกิดจากการรวมของ สายน้ำ เปลวเพิลง สายลม ผืนดิน พุ่งลงมายัง dn และระเบิดอย่าง รุนแรงลูกมังกรทั้งหมดซึ่งตอนนี้หลุดจากพันทนาการของซากมังกร ต่างพากันบินหนีออกไปจากบริเวณนั้น " ก็าซซซซซซซซ " ( มานี่ฉันจะพานายไปหา dvd เอง ) นิทินโคพูดขณะที่จูงมือไลท์พาไปยังวิหารดิน ............. ................... ที่ใต้ดินของวิหาร " ฮูมมมมมมมมมมมมม " ( ทางนี้ก็ปิด หรือเนี่ยงั้นก็เหลือแต่วิหารดินวิหารใจกลางวิหารเดียวสินะ ) dvd เดินไปตามทางสักระยะก็เห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทางข้างหน้า " ฮูมมมมมมมมมมมมม " ( อะฮ้าทางออกเจอแล้ว ) dvd รีบว่งไปยังทางออกขึ้นบันไดไปยังวิหารแห่ง dvd หลับตา ไปด้วยขณะที่เดินขึ้นมายังวิหารเพื่อปรับระดับสายตาให้เข้ากับแสง " มาแล้วรึส่งศิลามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ " ร่างของชายคนหนึ่งปรากฎอยู่ตรงหน้า dvd " ฮูมมมมมมมม " ( ค..ใครน่ะ ) dvd พูดและค่อยลืมตาขึ้นสู้แสงจนในที่สุดเมื่อ เขาเห็นชัดเจนจึงได้เห็นตัวการที่โจมตีหมู่บ้านนั้นมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว " ฮูมมมมมมมมมมมม " ( ก..แกจาไนสินะ ) dvd พูด " โอ้รู้จักข้าด้วยรึแต่ว่านะเรามาคุยกันด้วยภาษามนุษย์ดีกว่านะ " จาไนมีสีหน้าทึ่งเล็กน้อย " ก็ได้ในเมื่อแกล่อให้ข้ามาถึงนี่ก็คงจะเตรียมใจไว้แล้วสินะ " dvd กล่าว " ใครกันแน่ที่ต้องเตรียมใจไว้ " จาไนกล่าวจบก็ไม่รีรอรีบโจมตี dvd ทันทีคลื่นพลังสีดำกระจายไปทั่ววิหาร " Aurora Beam " สิ้นเสียงของ dvd แสงสีขาวก็กระจายกลบแสงสีดำของจาไนจนหมด " กีซซซซซซซซซซซ " ( อะนั่นไงที่นั่นแน่ๆ ) ไลท์พูดเมื่อเห็นวิหารแห่งมีแสงสว่างวาบสลับการออกมา " ก็าซซซซซซซซซซซซซซ " ( งั้นนายไปก่อนละกันฉันจะไปสมทบกับพ่อฉันหน่อย ) นิทินโคพูดแล้วทั้งสองจึงตกลงที่จะแยกกัน เมื่อนิทินโคพาไลท์ลงมายังวิหารแล้วจึงบิน กลับไปไลท์วิ่งไปที่วิหารแต่ยังไม่ทันที่จะไปถึงก็เกิดแผ่นดินไหว จนวิหาร ถล่มลงไลท์ล้มลงไปขุกเข่ากับพื้นจากนั้นก็มีแสงวาบออกจาซากวิหารที่ถล่ม " อา....ไลท์ " dvd พูด " กีซซซซซซซซซ " ( พ่อครับ ) ไลท์วิ่งเข้าไปหา dvd " ฮูมมมมมมมมม " ( เราต้องช่วยหมู่บ้านแล้วเอาล่ะไลท์เตรียมพร้อมนะ ) dvd พูด " กีซซ " ( ครับ ) ไลท์รับคำแล้วทั้งสอก็เดินเข้าหากันเกิดแสงสว่างขึ้นรอบบริเวณนั้น " growth " สิ้นเสียงแสงก็ค่อยๆจางลงทั้งสองรวมกันกลายเป็น Valvathos, the divine dragon (http://www.fotothing.com/photos/ff3/ff3e4cd2e4a8df083cf57664ae20deb9.jpg) และแล้วเจ้ามังกรยักษ์ ก็บินขึ้นไปยังท้องฟ้าและรวบรวมพลังงานแสงสาดกระจายแสงศักดิ์สิทธ์ กระจายไปทุกหนแห่งขจัดซึ่งความชั่วร้ายจนหมดสิ้น ซากมังกรที่ถูกควบคุมก็กลับไปเป็นเพียงซากไร้ชีวิตไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้เหล่า dn ก็แตกสลายกลายเป็น ผุยผงไปในเวลา เดียวกันพวกวิลเองก็ได้พบกับครอบครัวตอนนี้ดูเหมือนเหล่ามังกรจะได้รับชัยชนะ แล้วแต่ทว่า วอลวาทอส ก็ถูกคลื่นพลังที่รุนแรงกระแทกจนตกจากฟากฟ้า และทันใดนั้นเองก็มีภาพเงาของคนคนหนึ่งปรากฎอยู่บนท้องฟ้า " หึเหล่ามังกรทั้งหลายบัดนี้พวกเจ้าอย่าได้หวังเลยว่าจะพวก เราได้เอาล่ะ จาไน จงลุกขึ้นมาข้าจะมอบพลังให้เจ้า " สิ้นเสียง ก็มีแสงสีดำถูกยิงลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับภาพนั้นก็หายไปในบัลดล แสงนั้นตรงไปยังวิหารและระเบิดซากของวิหารที่ทับ จาไน อยู่บัดนี้ จาไน ได้รับพลังจากผู้ลึกลับผู้ หนึ่งจนมีพลังมากมายจไนลอยขึ้นไปยังท้องฟ้าและปล่อย คลื่นพลังสีดำไปทั่วหมู่บ้านเหล่ามังกรต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันหมดที่ป่าด้านล่าง Lr ได้วิ่งไปยังจุดที่ dvd กับไลท์ตกไปจนเมื่อมาถึงเขาก็พบกับไลท์ " ไลท์นายเป็นอะไรรึเปล่าไลท์พุดกับฉันสิไลท์ " Lr เขย่าร่างไร้สติของไลท์ตาของไลท์ค่อยๆลืมตาขึ้น " Lr นายนายไม่ได้ทิ้งเราไปใช่ไหม " ไลท์พูดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนจากอาการบาดเจ็บ " ไลท์นายพูดอะไรน่ะฉันไม่มีทางทิ้งนายอยู่แล้ว " Lr พูด " งั้นเหรอแนดีใจจริงที่นายไม่เป็นอะไรอึ้ก " ไลท์พูดจบเขาก็หมดสติไป Lr ถึงกับช็อกที่ไลท์หมดสติไปเขาอุ้มร่างของไลท์ขึ้นมาแล้วเงยหน้าขึ้น " ไลท์ " เขาตะโกนสุดเสียงจนดังลั่น ไปทั้งป่าทันใดนั้นศิลามังกรที่ตกอยู่ข้างก็ส่องแสงออกมา " Metamorphose Fusion ( เมตามอฟอส ฟิวชั่น ) " เสียงดังกังวานออกมาพร้อมกับแสงสว่างจ้าจาก ศิลามังกร ลำแสงพลังงานสีขาว พวยพุ่งออกมาขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็วและแตกกระจายออกเป็นวงแหวนแสงขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งวงละอองแสงกระจาย ฟุ้งออกจากวงแหวนแสงขนาดไปทุกทิศทางวงแหวนแสงเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยวงแหวนแสงที่หมุนเร็วขึ้นรวมเอาละอองแสงที่กระจายออกมาในตอนแรกจนหมดและ แล้วลำแสงพลังขนาดใหญ่ก็ถูกยิงลงมาทั้งสองในลำแสงร่างของทั้งสองได้ รวมกันเป็นหนึ่งร่างกายที่รวมกันของทั้งสองนั้นค่อยๆเติบ โตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นลำแสงพลังงานก็ สลายไปเหลือไว้แต่เรือนร่างของทั้งสองที่รวมกันเป็นหนึ่งยังคงส่องแสงเจิดจ้า และค่อยๆจางลง เผยให้เห็นร่างอัศวินมังกรสีขาวสะอาดปีกทั้งสอง ข้างที่สวยเหมือนดั่งปีกของพญาหงส์ตาสีแดงน่าเกรงขาม มือข้างขวาถือแท่งพลังงานแสงที่ยังคงส่องประกาย เจิดจ้าอยู่สักพักมันก็ค่อยเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบสีทองที่มีแถบสีขาวพาดอัศวินมังกรตนนั้นสบัดปีกทั้งสองข้างเพื่อไล่ละอองพลังงานที่ยังติดอยู่ออกจากร่างจากนั้นก็ยกดาบขึ้นฟาดฟันเนกระบรวนท่าอันสวยงามน่าเกรงขาม บัดนี้ไลท์กับ Lr ได้รวมร่างกันเป็นอัศวินมังกรแห่งทาลิวิลย่า( Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya ) (http://www.fotothing.com/photos/803/803efb05b6779febc0280211c10074ac.jpg) " ไลท์ เป็นเพื่อนของฉันใครก็ตามที่มาทำกับเขาแบบนี้ฉันจะไม่อภัยให้เด็ดขาด " ทาลูคูสพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ตัวอย่างตอนต่อไป ในที่สุดด้วยมิตรภาพความเชื่อใจซึ่งกัน และกันทำให้ทั้งสองกลายเป็นอัศวินมังกรแสงแห่งมิตรภาพและเข้าต่อกรกับจาไนอีกครั้งขณะเดียวเกรเกอรี่เองก็กำลังพาชาลว์มายังหมุ๋บ้านมังกรตามด้วยขบวนเสด็จของกษัตริย์ซิกมันเรื่องราวจะเป็นเช่นไรติดตามได้ในบทที่ 3 การเริ่มต้น Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 08, 2006, 10:31:33 PM ต้องขอโทษด้วยนะคับที่วันเสาร์กับวันอาทิตย์นี้ไม่ได้ลงไว้ก็เพราะผมต้องไปธุระที่ต่างจังหวัดก็เลยไม่ได้เขียนเลยเพราะฉนั้นผมจะรวบยอดไปวันพุธนะแต่ถ้าวันพุธตอนพิเศษไม่จบอีกผมจะต่อวันพฤหัสเลยต้องขออภัยที่ไม่ได้โพสเพิ่มเติมเลยนะคับสวัสดีคับ :'(
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 15, 2006, 05:41:34 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษ เก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้วจ้ะ เพื่อความสะดวก
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 16, 2006, 05:24:03 PM มาวาดแฟนอาตร์กันเถอะLegend of The Thaliwilya กันเถอะ
ยังจำกันได้มั้ยว่าในเรื่องน่ะนะจาไนเคยพูดถึงท่านผู้นั้นซึ่งก็คือหัวหน้าของจาไนนั่นเองและเขาก็คือผู้ที่ก่อสงครามครั้งนี้ขึ้นหน้าตาจะเป็นยังไงเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ลองวาดภาพท่านผ้นั้นกันดูและทาลิวิลย่าตอนพิเศษที่สู้กับเอเลี่ยนน่ะคับได้ติดปืนของทิโมธีไว้ด้วยเป็นยังไงเชืญวาดกันได้นะคับที่ลิงค์นี่เลย http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=25;action=display;threadid=18039 (http://community.thaiware.com/uploads/post-26-1137391542.jpg) (http://community.thaiware.com/uploads/post-26-1137391369.jpg) รูปนี่ผมไม่ได้เป็นคนวาดนะคับเพื่อนเขาฝากมาลงนะคับ อ้อระบุด้วยว่าวาดตัวไหนหรืออยากจะส่งตัวอื่นๆมาด้วยก็ได้นะคับแต่ขอให้เกี่ยวกับมังกรนะงับอ้อเกือบลืมนิยายวันเสาร์นะคับเมื่อวานรีบเลยพิมพ์ผิดเป็นวันจันทร์ส่วนเรื่องใหม่อีกเรื่องอาทิตย์วันพุธคับ ขอขอบคุณเรื่องรูปภาพโดยก็อบเพื่อนของผมนะคับ ;D Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on January 17, 2006, 08:30:52 PM รูปมันเจอบีบ ๆ อัด ๆ เลยดูยากจัง น่าทำแยกเป็นรูป ๆ ชัด ๆ นะครับ
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 20, 2006, 08:22:49 PM หวัดดีคร้าบบบบ ฮ่าๆๆจะหวัดดีใครล่ะเนี่ยช่วงนี่กระทู้ผมเงียบจังไม่รู้ อีฟจัง กับ นิฮิล ยังดูอยู่รึเปล่าเนี่ยคับ(ฮือๆๆไม่มีคนดูเนี่ยเลิกเลยดีไหมเนี่ย :'( ฮือๆๆ ฮ่าๆๆบ้าไปแล้วล้อเล่นคับแต่ยังไงๆก็โพสกันบ้างสิอาทิตย์ก่อนกระทู้เกือบตกไปหน้าสองแน่ะ)
เอาเถอะครับตอนนี้ทุกคนคงรู้ดีว่าทาลิวิลย่าจะต่อเฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ แล้วนะครับสาเหตุมาจากที่ตอนนี้เรื่องเข้าตอนหลักแล้ว (บอกก่อนนะว่ายังหนุกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน) แล้วตอนนี้วันพุธไม่ได้ลง อะไรแล้วคงเบื่อแย่ถ้างั้นวันพุธหน้าที่กำลังจะถึงผมจะลงอีกเรื่องไว้อีกกระทู้นะครับ ชื่อเรื่องคือ Summoner Master Duel Legend นะคับเรื่องเป็นเกี่ยวกับการเล่นการ์ดซัมมอนเน่อเนี่ยแหละครับแต่ว่าที่แล้วๆมาไอ้เรื่องเกี่ยวกับเล่นการ์ดเนี่ยถ้าไม่เป็น ยุคอนาคตที่การ์ดเป็นโปรแกรมแบบของที่คุณนิฮิลแต่งอยู่( smn system code เนี่ยแหละปล.ต่อตอนซะทีอยากอ่าน ) หรือไม่ก็เป็นยุคปัจจุบันที่เป็นการร่ายเวทย์ออกมาจากการ์ดทำเสมือน การ์ดเป็นเวทย์มนที่ใช้เรียกสัตว์อสูรหรือนักรบออกมาของอีกหลายๆคนแต่ว่าไอ้แบที่เป็นการ์ดเล่นกันธรรมดาเนี่ยไม่ค่อยได้เห็นเพราะฉนั้นเราเลยแต่งเองซะเลย(แต่ขอบอกก่อนนะว่าเราไม่เอาตัวเอกชนะตลอดหรอกไม่งั้นน่าเบื่อตายแถมในเรื่องยังมีคนเล่นการ์ดที่ไม่ใช่มนุย์ด้วยแต่เรื่องยุคมันเป็นอนาคตน่ะสิเหอๆ ;D) เพราะฉนั้นผมจะเอามาลงให้วันพุธหน้าน่ะครับตอนเย็นๆเพราะตอนเช้าผมไปเรียนอ่ะดิทีนี้นอกเรื่องมาซะนานที่จริงโพสนี้ผมโพส tip for dragonology น่ะเล่นคุยเพลินไปหน่อยเอาล่ะเข้าเรื่องดีกว่า tip for dragonology เรื่องส่วนต่างๆของนิยาย สำหรับตอนนี้เข้าถึงส่วนในนิยายแล้วนะครับในบทที่หนึ่งกับบทที่สองทุกคนอ่านก็คง งงๆว่ามันยังไงผมเขียนเองยังงงเลยเช่นบทที่หนึ่งนั้นผมเขียนบรรยายภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านแบบงงๆ เพราะมีวิหาร กลางหมู่บ้านมังกรตั้ง 5 แห่งแต่ผมดันไปเขียนว่าเป็นหมู่บ้านมังกรหมู่บ้าน เดียวซะเฉยๆแล้วมันก็ถูกนะครับสำหรับผู้อ่านที่เข้าใจว่าเป็นหมู่บ้านเดียวน่ะถูกแล้วครับเพราะมันมีหมู่เดียวจริงๆตรงกลางน่ะ มีวิหารที่1ที่พวกจาไนทำลายไปเพื่อปิดทางเข้าออกของดีวายดราก้อนก็คือวิหารมังกร ส่วนวิหารอื่นๆ อยู่นอกหมู่บ้านโยแต่ละวิหารจะตั้งอยู่ตรงกับที่ตั้งของชนเผ่ามังกรเพราะมังกรที่อพยพเข้ามายังมิติที่ Lr อยู่ก็ไม่ได้มีแค่พวกเดียวหากแต่เข้ามาเรื่อยๆไม่หยุดหย่อนแต่ก็เป็นชนเผ่าเล็กๆกระจายกันอยู่ไม่ได้รวมตัวกันสร้างหมู่บ้านดังเช่นพวก Lr นั่นเพราะเหล่ามังกรที่สร้างหมู่บ้านนั้นเป็นกลุ่มมังกรชุด ที่ช่วยอิสราเฟลจัดการกับซินจึงอยู่ด้วยความสามัคคีกันได้แต่หลังก็เริ่มแตกแยกบ้างเพราะด้วย มังกรเก่าๆนั้นบางตัวได้ตายตามระยะกาลเวลาไปทำให้เหลือแต่ลูกหลานซึ่งไม่ได้รับพรจากอิสราเฟล จึงทำให้แตกแยกกันแต่ด้วยความสัมพันธ์กับมังกรธาตุอื่นๆที่สืบทอดทางสายเลือดมายังลูกหลานก็ยังคงไหลเวียนอยู่ไม่จางหายไปทำให้ยังอยู่ร่วมกันได้แต่มังกรอื่นๆที่อพยบเข้ามาทีหลังไม่ได้รับพรจาก อีสราเฟลจึงไม่มีความสามัคคีและแตกแยกกันด้วยนิสัยของมังกรไม่ค่อยจะชอบอยู่เป็นฝูงกันซักเท่าไหร่หากไม่ใช่ชนิดเดียวกันจึงกลายเป็นอยู่กันเป็นชนเผ่าแทนแต่มังกรแสงนั้นกลับเข้ากันได้กับมังมังกรชนิดอื่นเนื่องจากในสงครามซินนั้นมังกรแสงกลับใจไปช่วยเทพเป็นฝ่ายแรกจึกได้รับพรฝังลึกกว่ามังกรอื่นและด้วยที่ว่ามังกรแสงเดิมก็ชอบที่จะอยู่กันเป็นฝูงอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอยู่ร่วมกันกับมังกรอื่นส่วนวิหารมังกรนั้นหากอ่านดีๆจะเข้าใจว่า วิหารแห่งดินอยู่ที่ใจกลางของมิติซึ่งคือวิหารที่3 ส่วนวิหารที่2 อยู่ข้างบนสุดของมิติเป็นวิหารแห่งลม และจากวิหารแห่งลมวิหารแห่งไฟที่เป็นวิหารที่4ก็อยู่เยื้องมาทางซ้าย และวิหารแห่งน้ำก็อยู่ตรงข้ามกับวิหารแห่งไฟจะเห็นได้ว่าวิหารมังที่อยู่ กลางหมู่บ้านมังกรอยู่ด้านล่างของมิติก็หน้าประตูทางเข้าแล้วทีนี้ในบทที่สองพวกหมู่บ้านมังกรมืดและกองทัพมังกรศักดิ์สิทธิ์ตามมาช่วยนั้นมาจากไหนขอเริ่มจากชั้นมิติมังกรก่อนเลยนะคับ มิติมังกรนี้ใช่ว่าจะมีชั้นเดียวแต่มันมีด้วยกันสี่ชั้นชั้นกลางก็คือชั้นที่พวก Lr อยู่ชั้นบนก็คือเมืองมังกร เทพและมิติด้านหลังที่อยู่ชั้นเดียวกับพวก Lr ก็คือมิติหมู่บ้านมังกรมืดแต่อยู่ด้านหลังส่วนชั้นล่างสุดเป็นมิติมังกรที่รับใช้ซิน โดยแต่ละมิติก็มีข้อจำกัดในการเข้าออกด้วยเช่นกันโดยหมู่บ้านมังกรมืดนั้นการจะเข้าไปจะต้องท่อง บทเปิดประตูที่เป็นภาษามังกรมืดด้วยเหมือนกับประตูทางของมิติมังกรที่พวก Lr อยู่ที่จะต้องท่องบทเปิดประตูซึ่งก็คือโฮลี่การ์เดี้ยนนั่นเองส่วนของมิติมังกรเทพนั้นจะเป็นระดับเมืองเพราะมีมังกรเทพอาศัยอยู่มากและยังมีความเจริญสูงกว่ามิติกลางซะอีกแต่เงื่อนไขการเข้านั้นยุ่งยากมากๆนั่นก็คือจากมิติกลางตัวมังกรที่จะขึ้นไปจะต้องเป็นมังกรที่ได้รับอนุญาตจากมังกรเทพหรือตัวมังกรนั้นเป็นมังกรที่มีชั้นระดับเทพส่วนมิติมังกรรับใช้ซินก็คือส่วนที่ผนึกพวกมังกรซินเอาไว้แต่ที่มันมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะมิติมังกรนั้นถูกสรางให้เชื่อมกันเอาไว้แต่แบ่งสัดส่วนกันนั่นเพราะการสร้างมิตแต่ละมิติไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างเพราะพระเจ้าสูงสุดแห่งโลกเทอร่าต้องใช้เวลาในการสร้างเช่นกัน จึงต้องรวบเอาไว้ด้วยกันส่วนเงื่อนไขการเข้าก็คือการที่มังกรตัวนั้นหันไปเข้าหาซินและรับใช้เหล่าซิน ส่วนการเข้าจากมิติอื่นๆมายังมิติกลางนี้จากมิติหมู่บ้านมังกรมืดนั้นแค่ท่องโฮลี่การ์เดี้ยนบทเปิดประตูของมิตินี้เท่านั้นแต่อีกสองมิตินั้นแตกต่างกันด้วยเพราะว่าแม้มังกรมืดจะเป็นมังกรที่กลับใจมาเป็นฝ่ายเทพหลังสุดแต่ก็เป็นเพียงมังกรธรรมดาหาใช่มังกรปีศาจเช่นพวกมังกรซินไม่ มิติมังกรเทพนั้นการจะเข้ามายังมิตินี้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากสภาเทพมังกรซะก่อนส่วน มังกรซินนั้นจะไม่สามารถออกจากมิติของตนได้ยกเว้นจะมีผู้ใดนำศิลามังกรเทพมาไว้ที่วิหารดินซะก่อนโดยศิลามังกรที่จะนำไปทำพิธีเปิดนั้นต้องเป็นศิลาของมังกรเทพที่อีสราเฟลร่วมรบด้วยซึ่งก็คือมังกร Sunthawilight the dragon of god ที่มีเพียงก้อนเดียวส่วนที่มาของมันเราจะมาพูดถึงกันตอนหน้า ซึ่งการเปิดประตูแบบนี้นั้นจะเป็นการนำเอามิติทั้งสี่มารวมกันเป็นหนึ่งเดียว(และนั่นก็คือพลังของศิลามังกรนี้เองที่มีพลังในการรวมสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าด้วยกันได้ทำให้พวก Lr รวมร่างกันได้) ทำให้มังกรที่อยู่อีกสามมิติจะมาอยู่รวมกันที่เดียว เอาล่ะคับก็จบกันแค่นี้นะคับสำหรับโพสแล้วเจอกันคราวหน้านะคับอ้อวันนี้ไม่มีตอนต่อไว้ต่อพรุ่งนี้เพราะว่าวันนี้ติดธุระแล้วเจอกันใหม่วันพรุ่งนี้นะคับ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 22, 2006, 11:35:18 PM บทที่3 การเริ่มต้น
ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านมังกรสะท้อนแสงไฟจากต้านล่างจนกลายเป็นสีแสดเหมือนท้องฟ้ายามเย็นที่ไม่มีดวงอาทิตย์เบื้องล่างเปลวไฟลุกโชติช่วงเผาผลานซากสิ่งก่อสร้างของ หมู่บ้านและเหล่าซากมังกรที่ตายแล้วจนเป็นเถ้าธุรี ร่างที่นอนสลบไสลของเหล่ามังกรที่บาดเจ็บจากการ โจมตีของพ่อมดแห่งป่าทมิฬจาไนที่ได้รับพลังจากท่านผู้นั้นได้ร่องลอยอยู่บนท้องฟ้า และยังปล่อยลำแสงเวทย์สีดำให้กระจาย ไปทั่วหมู่บ้านจนทั้งหมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำ ที่วิหารแห่งดินมีแสงสว่างส่องประกายเจิดจ้า สาดส่องมาจนถึงหมู่บ้านกลุ่มแสงนั่นค่อยๆเคลื่อนที่เข้าใกล้หมู่บ้านเรื่อยๆ เพียงชั่วครู่แสงสีขาวนั่นก็ส่องสว่างลบเอา ความมืดที่ปกคลุมอยู่เมื่อครู่ออกจนหมดแสงทั้งสองหักล้างกันจนจางหายไปหมด ปรากฏร่างของอัศวินทาลิวิลย่าสีขาว “ ก..กีซซซซซซ ” ( อ..อาา เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ) วิลลุกขึ้นและมองไปรอบๆก็เห็นร่างของทุกคนนอน สลบอยู่วิลเดินไปยังร่างของมังกรสีเขียวตัวหนึ่งที่สลบอยู่ข้างๆซึ่งก็คือพ่อของวิลเป็น มังกรดิมมินูวเลี่ยน(dimminuialion, the wind dragon) (http://www.fotothing.com/photos/516/51684883e4a4a077aee25cbf86b3e656.jpg) “ ก..ก็าซซซซซซซซซซซซ ” (อ..อยูเกิดอะไรขึ้นเนี่ยอ้าววิลไม่เป็นไรใช่มั้ยเอาล่ะไปปลุกทุกคนกันเถอะ) พ่อของวิลพูดจบวิลกับเขาก็พากันไปปลุกทุกจนฟื้นครบทุกคน “ ฮูมมมมมมมมมม ” (เกิดอะไรขึ้นเนี่ยจำได้ว่าพวกเรามารวมตัวกันเพื่อช่วยลูกๆของเรานี่นาแล้วจู่ก็มีแสงสีดำตกลงมาแล้วเราก็หมดสติไป) แมนเทลลูม่า(mantelluma, the snow storm wyvern) วายเวินแห่งพายุหิมะพ่อของเฟินกอลโล่พูด (http://www.fotothing.com/photos/7fd/7fdf70c425f1e8a8eb64b4466c4d77f8.jpg) “ กีซซซซซซซ ” (ดูนั่นสิพวกเรา) โอโรฟาเน่(Orofarne, the cliff dragon) มังกรแห่งหินผา พ่อของนิลเฮอร์ พูดพร้อมกับชี้ขึ้นไปบนฟ้าทุกคนจึงหันขึ้นเช่นกัน (http://www.fotothing.com/photos/e3c/e3c91b34e017d409972d8b22fb0eb036.jpg) และสายตาของทุกคนก็จับจ้องอยู่ที่ร่าง ของทาลูคูสที่บินอยู่เหนือพวกเขาซึ่งกำลังประจันท์หน้ากับจาไนอยู่ “ แกเป็นใครบังอาจมาขวางทางข้า ” จาไนถาม “ นามของข้าคือ ทาลูคูส ข้าจะลงทัณฑ์เจ้าที่บังอาจมาทำลายชีวิตของผู้อื่นจนข้าไม่อาจนิ่งดูดายได้ ” ทาลูคูสตอบกลับและกำดาบในมือไว้แน่น “ เจ้าคิดจะเป็นปรปักษ์ กับข้ารึนั่นเท่ากับเจ้าเป็นปรปักษ์กับท่านผู้นั้นด้วยใครก็ตามที่ขัดขวางแผนการนี้ข้าจะเก็บมันเอง ” จาไน พูดเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมกับขบกรามแน่นปากเริ่มร่ายคาถาอีกครั้ง “ อย่าได้หวังเลยข้าจะจัดการเจ้าซะก่อนที่จะท่องมนต์เสร็จซะอีก Lux et Dragos ” สิ้นเสียงของทาลูคูสดาบที่มือก็ตวัดออกไปแรงจากการตวัดทำให้ เกิดคลื่นพลังงานรูปเสี้ยวพระจันทร์สีขาวพุ่งไปยังจาไน “ Earth Barrier “ สิ้นเสัยงจาไน กำแพงดินก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่างกันการโจมตีเอาไว้ “ เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอกฮ่าๆๆทีนี้รองของข้ามั่ง ” จาไนพูดจบก็เรื่มท่องมนต์อีกครั้ง ที่ด้านหน้าทางเข้าหมู่บ้านมังกร “ ที่นี่แน่หรือท่านบิชอป ” เสียงจอมทัพแห่งสายลมชาลว์ดังขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ “ ไม่ผิดหรอกทางนี้แหล่ะ ” บิชอปหนุ่มตอบด้วยเสียงมั่นใจพร้อมกับควานทางต่อไป “ แล้วทำไมต้องพาเพื่อนท่านมาด้วยล่ะเนี่ย ” ชาลว์พูดเมื่อเห็นทิโมธีเอาแต่จ้องมองดูเครื่องมือ ประหลาดที่อยู่ที่มือเครื่องมือนั้นส่องแสงกระพริบๆตลอด “ นั่นก็เพราะมีทิโมธีคนเดียวที่ใช้เครื่องแกะรอยเป็นนี่นา ” บิชอปหนุ่มพูด “ อะฮ้าถึงแล้วทีนี้ต้องทำอะไรต่อล่ะ ” ทิโมธีหันไปถามบิชอปหนุ่ม “ เอาล่ะที่เหลือให้ข้าจัดการเอง ” บิชอปหนุ่มพูดแล้วหันไปหาอะไร บางอย่างจน เมื่อเขาหันไปทางหนึ่งเขาก็ เริ่มตั้งสมาธิแล้วหยิบเอาเครื่องบางอย่างออกมาจาก ถุงผ้าที่เขาถือ มาด้วยมันเป็นเครื่องที่มีหัวกลมๆและมีโคนยาวลงมาเป็นแท่ง “ กีซซซซซซซซซซซซซซ ” (ผู้ปกป้องศักดิ์สิทธิ์) เสียงของบิชอปหนุ่มดังขึ้นทันใดนั้นก็เกิด แสงสว่างรวมตัวกันเป็นประตูและ ค่อยเปิดออกแม่ทัพชาลว์และ ทิโมธี ทั้งสองมีสีหน้าทึ่งในสิ่งที่เห็นอย่างมาก “ เอาล่ะพวกท่านตามเรามา ” บิชอป หนุ่มหันไปพูดกับทั้งสองที่กำลังยืนตะลึงอยู่ทั้งสองจึงรู้สึกตัวและตามบิชอปหนุ่มเข้าไปในประตู “ นี่เกรเกอรี่เจ้าเคยบอกใช่มั้ยว่าหมู่บ้านของมังกร เนี่ยมันมีวิทยาการที่ก้านหน้ามากๆเลยน่ะ ” ทิโมธีถามน้ำเสียงดูสนใจไม่น้อยระหว่างที่กำลังผ่านทะลุมิติ “ ใช่เราเคยแอบเข้ามาแล้วได้เห็นสภาพภายในนั้นช่างหน้าตื่นตาจริงๆ ” ทิโมธีพูดแล้วหันไปมองแสงสว่างข้างหน้า “ งั้นที่ท่านเล่า เรื่องทั้งหมดให้พระองค์ซิกมันต์ทรงฟังแล้วพระองค์ดูจะไม่ค่อยเชื่อเลยนะ ” ชาลว์ถาม “ นั่นก็คือสาเหตุที่ เราต้องมาสำรวจให้แน่ใจก่อนที่พระองค์จะเสด็จตามมายังไงล่ะ ” เกรเกอรี่ตอบ ทั้งหมดผ่านประตูมิติเข้าภาพที่เห็นตรงหน้าแทนที่ จะเป็นหมู่บ้านที่เจริญก้าวหน้าตัดกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนแต่ก็หาเป็นเช่นนั้น ไม่เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นหมู่บ้านที่ลุกไหม้ด้วยเปลงเพลิงที่โชติ ช่วงเหล่ามังกรพากันบินว่อนไปทั่ว ซากมังกรที่ตายแล้วก็ถูกไฟเผาไหม้จนเหลือ แต่กระดูกซากสิ่งก่อสร้างต่างๆที่พังจนไม่เหลือชิ้นดี “ นี่มันอะไรกันหมู่บ้านถูกโจมตีรึ ” ชาลว์พูดด้วยความตื่นตะลึง “ หรือว่าพวกมังกรฆ่ากันเอง ” ทิโมธีพูด “ ไม่น่าใช่นะเพราะว่าตอนที่เราเคยแอบเข้ามาพวกมังกรก็ปรองดองกันดีออก ” เกรเกอรี่พูด “ อ๊ะนั่นอะไรน่ะ ” ทิโมธี อุทานพร้อมกับชี้มือไปที่แสงสีดำและสีขาวกำลังปะทะกันอยู่บนท้องฟ้า “ หรือว่าหมู่บ้านถูกโจมตีโดยคนนอก ” ชาลว์กล่าวพร้อมกับหันไปยังทิศที่ทิโมธีชี้ “ งั้นเราคงต้องช่วย พวกเขาแล้วล่ะอีกเดี๋ยวกองทัพของฝ่าบาทก็จะมาถึงแล้ว ” เกรเกอรี่กล่าวขณะที่มองไปบนฟ้า “ Lux et Dragos ” คลื่นแสงถูดตวัดเข้าใส่จาไนไม่หยุดหย่อนแต่จาไนก็หลบได้หมดทุกครั้ง “ หนอยสู้ซึ่งๆหน้าเห็นทีจะไม่ได้งั้นลองเจอนี่หน่อย Earth Barrier ” สิ้นคำของจาไนกำแพงดินก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้งบดบังร่างของเขาไว้ “ ต่อให้เจ้าสร้างกำแพงขึ้นปกป้องตัวเจ้าสักกี่ครั้งก็ตามข้าก็จะพังมันลงแล้วเข้าไปจัดการเจ้าให้ได้ ” ทาลูคูส พูดเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมกับปล่อยคลื่นแสงไปอีกครั้ง และพังทลายกำแพงลงได้แต่ทว่าจาไนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ เป็นไปไม่ได้ ” ทาลูคูสอุทานและบินตรงไปหันซ้ายทีขวาทีแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของจาไน “ หึๆๆตกใจล่ะสิที่ข้าหายไปแบบนี้น่ะ ” เสียงของจาไนดังขึ้นแต่เมื่อ ทาลูคูส หันไปก็ไม่เห็นวี่แววของจาไนเลยแม้แต่น้อยและทันใดนั้นหางตาของเขาก็ดูเหมือนจะจับภาพอะไรบางอย่างได้แต่เมื่อหันไปก็ไม่มีอะไร “ หนอยแน่จริงก็อย่าเอาแต่ซ่อนสิวะออกมาสู้กันซึ่งๆหน้าเลยสิ ” ทาลูคูสตะโกนเสียงเดือดดาล “ หึๆๆสู้น่ะข้าสู้แน่แต่ข้าจะออกไปสู้กับเจ้าตรงๆหรอกนะเพราะไม่งั้นข้าก็ไม่ชนะสิฮ่าๆๆ ” จาไนห้วเราะชอบใจที่ศัตรูมองหาตนอย่างหวาดระแวง “ เอานี่ไปชิม Dark Ray ” เสียงของจาไนดังขึ้นและแสงสีดำก็พุ่งเข้าใส่หลังของทาลูคูสอย่างจัง “ อ็าคคคคคคคค ” ทาลูคูสร้องด้วยความเจ็บปวดปีกของเขาได้รับความเสียหาย อย่างหนักและเมื่อเขาจะหันไปสวนกลับแต่ก็ไม่เห็นจาไนอีก “ หนอยเอาอีกแล้วเรอะ ” ทาลูคูสพูดน้ำเสียงรำคาญและหันไปมองหาจาไนอีกครั้ง “ ไงฤทธิ์เดชเวทย์ลวงตาของข้า( Dimension curse )ทำเอาสะอึกเลยใช่มั้ยล่า ” จาไนพูด “ เวทย์ลวงตาอ๋อ อย่างงี้เองถ้างั้นเราก็มีวิธีรับมือกับมันแล้ว ” ทาลูคูสคิดในใจแล้วก็แสยะยิ้มออกมาในหัวของเขาเริ่มคิดถึงตอนที่เรียนกับ dvd ในวิชาเวทย์มนต์ศาสตร์ “ ฮูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ” (นักเรียนทุกคนเวทย์มนต์น่ะมีหลายชนิดบางชนิดก็เป็นเวทย์เสริมพลัง ฟื้นฟู หรือโจมตีแต่หนึ่งในนั้นเวทย์ประเภทคำสาป(curse )ก็มีเช่นกันและมันได้แบ่งออกเป็นสองจำพวกได้แก่คำสาปที่ใช้ เสริมพลังไห้กับตัวเอง และลดพลังคู่ต่อสู้คำสาปประเภทเสริมพลังให้กับตัวเองก็มีเวทย์เร่งพลังและ เวทย์ลวงตาแต่ เวทย์ลวงตานั้นจะเป็นเวทย์ที่สามารถจะใช้กับตัวเองหรืออีกฝ่าย ก็ได้แต่เวทย์คำสาปนั้นไม่ว่าจะยังไงมันก็จะ ส่งผลเสียให้แก่ตัวผู้รับเองได้ ในภายหลังเพราะฉะนั้นเวทย์จำพวกนี่จึงนิยมใช้กับอีกฝ่ายมากกว่าตัวเองแต่มันก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากด้วยเช่นกัน ) dvd พูด “ แล้วข้อเสียของเวทย์ลวงตาคืออะไรล่ะครับ ” Lr ถาม “ ฮูมมมมมมมมมมมมมม ” ( ถามได้ดีมากข้อเสียของมันก็คือการที่ ผู้รับมันจะต้องรอจนกว่าผลของเวทย์จะหายไปจนหมดจึงจะสามารถขยับ ได้เพราะเวทย์นี้ก็คือการส่งตัวผู้รับไปยังมิติขนานและไม่สามรถที่จะขยับ ได้เพราะม่ว่าจะขยับยังไงก็เมื่อกลับมาก็ยังคงอยู่ที่เดิมเพราะเราจะไปอยู่ ขนานกับจุดที่เราใช้เวทย์นี้พูดง่ายก็คือเหมือนกับเราเข้าไปในช่องส่วนหนึ่งของจุดนั้นๆและวิ่งวนอยูที่เดิม ) dvd พูด ภาพความคิดของทาลูคูสค่อยๆจางลง “ หึๆๆ ” ทาลูคูสหัวเราะอย่างมีเลศนัยขึ้นมาทันที “ หัวเราะอะไรของแก ” จาไนเอ่ยขึ้นอย่างหวาดระแวง “ ฉันหัวเราะเพราะฉันไม่น่าโง่ให้ แกหลอก เลยความจริงแกไม่ได้ไปไหนเลยจากที่เดิมที่แกหายตัวไปแต่แกก็หรอกให้ฉันหันไปหันมาจนลืมทิศแต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วแกอยู่ตรงนั้นยังไงล่ะ ” ทาลูคูสพูดพร้อมกับหันหลังกลับไปยกดาบชี้ไปข้างหน้า “ เอาล่ะไลท์ขอพลังให้ฉันด้วยเถอะ ” ทาลูคูส คิดในใจแล้วก็ยกตาบขึ้นตวัดเป็นกากบาท แล้วพุ่งไปด้วยความเร็วจนกลายเป็นแสงรูปมังกรพุ่งผ่านทะลุทะลวงความมืดที่บดบังหมู่บ้านเอาไว้และพอดีกับที่ เวทย์ลวงตาหมดฤทธิ์จาไนค่อยโพล่ออกมาจากช่องมิติและมีสีหน้าหวาดผวา “ Great of Dragon ( ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร ) ” เสียงของทาลูคูสดังกังวานขึ้น “ อ็าคคคคคคคคคค ” จาไน ร้องโอดครวญอย่างโหยหวนทันทีที่ร่างของเขา ปะทะเข้ากับมังกรพลังงานจนร่างแหลกเป็นผุยผง บัดนี้ความมืดที่ปกคลุมท้องฟ้าค่อยๆจางลงรุ่งอรุณแห่ง วันใหม่มาถึงแล้วร่างที่เปล่งประกายแสงสีขาวอยู่บนท้องฟ้า ทาลูคูส ค่อยๆลดดาบลง “ สำเร็จแล้วนะไลท์เราทำได้ ” เสียงของ Lr ดังออกมาจากตัวทาลูคูส “ ขอบใจนะ Lr ที่ไม่ทิ้งพวกเราไป ” เสียงของไลท์เองก็ดังออกมาจากทาลูคูสเช่นกัน “ ก็าซซซซซซซ ” ) เย้เราชนะแล้ว ) เสียงของโห่ร้องดีใจในชัยชนะของเหล่ามังกรดังกระหึ่ม “ กีซซซซซซซซ ” ( เอ้าพวกเราไชโยให้ทาลิวิลย่าหน่อย เอ้าเฮ้ ) วิลพูดแล้วทุกคนก็พากันเฮด้วยความดีใจน้ำตาไหลพรากด้วยความตื้นตัน “ กีซซซซซซซ ” ( เอ็ะนั่นมันอะไรน่ะ ) นอพฮอฟ พูดแล้วชี้ขึ้นไปทุกคนจึงหันไปที่พระอาทิตย์ ที่ตอนนี้ขึ้นมาเหนือฟ้าแล้วแต่กลับมีเงาสีดำขนาดใหญ่ค่อยๆเคลื่อนที่เข้าบดบังดวงอาทิตย์ “ สุริยะคราสรึ ” เกรเกอรี่พูด “ ไม่น่าใช่นะนี่ยังไม่กำหนดครบรอบที่สุริยะคลาสจะมานี่นา ” ทิโมธี พูดพร้อมกับพยายามวิเคราะห์หาสาเหตุของปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ “ เดี๋ยวดูให้ดีๆสินั้นมันไม่ใช่เงาพระจันทร์ของสุริยะคลาสหรอกนะมันเป็น.. ” ชาลว์ พยายามคิดหาคำพูดที่จะเรียกเพราะเขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน สิ่งนั้นเป็นอะไร บางอย่างที่มีลักษณกลมสีดำใหญ่พอที่จะบดบังพระอาทิตย์จนดำมืด “ เหล่า มังกรทั้งหลายเอ๋ยอย่าพึ่งดีใจไปพวกเจ้าบังอาจขัดขืนการปกิบัติการของท่านผู้นั้นข้าแบล็คไวเซอร์ผู้นี้จะสานต่อเอง ” เสียงของผู้ที่ติดต่อกับ จาไน ที่ในป่าและเป้นคนๆเดียวกับที่เงาของชานที่ปรากฏบนท้องฟ้าแล้วส่งพลังให้จาไน “ อะ แบล็ค..แบล็คไวเซอร์ ” เกรเกอรี่ พูดสีหน้าตกใจไม่ใช่ น้อยเมื่อได้ยินเสียงของชายลึกลับคนั้นที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า “ ระ..หรือว่าเคอร์วิน(Kerwin) ” ทิโมธีเองก็เช่นกันสายตาจับจ้องไปที่ชายผู้นั้น “ ไม่จริงก็เคอร์วินตายไปแล้วนี่ ” เกรเกอรี่พูด โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ตัวอย่างตอนต่อไป ชายลึกลับที่ติดต่อกับจาไนคือแบ็ลคไวเซอร์ที่เป็นเคอร์วินเพื่อนเก่าของทิโมธีกับเกรเกอรี่ที่ตายในสงครามนั้นกลับมาอยู่หน้าพวกเขา และแล้วหมู่บ้านก็ถูกทำลายลงเหล่ามังกรต่างพากันถูกกองทัพของชายคนนั้นจับตัวทาลูคูสเองก็เข้าต่อกรผลของการต่อสู้จะเป็นเช่นไรโปรดติดตามในตอนหน้าบที่4 กองกำลังต่อต้าน Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Legendary_krean on January 23, 2006, 01:59:09 AM ทาลิแสงจอมรีมูฟส่งจาไนไปไหนแย้ว
ปล.เมื่อไรทาลิมืดจะมาซะทีฟะ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Nihil on January 23, 2006, 07:33:58 AM ภาพที่ลงรู้สึกถูกเหมือนถุกบีบ ๆ อัด ๆ ยังไงไม่รู้อะฮะ
อนึ่งชอบที่เอาท่าการ์ดมาประกอบได้อย่างลงตัวจัง Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 24, 2006, 09:59:56 PM คือขออธิบายให้เป็นที่เข้าใจตรงนี้เลยนะคับว่า url ของภาพที่ผมเอาเนี่ยผมแสกนจากหนังสือแล้วตัดต่อด้วยโฟโต้ช็อปแล้วทีนี้เว็บที่ผมจะโหลดภาพนะคับมันได้ไม่เกิน512กิโลไบต์ครับก็ต้องขออภัยด้วยถ้าใครมีเว็บที่จะสามารถเก็บไฟล์ข้อมูลภาพก็โพสบอกได้นะคับผมจะได้เอาไปแก้ไขได้นะคับสำหรับคนที่บอกผมขอขอบคุญล่วงหน้าเลยนะคับ :)
แล้วก็ทาลิมืดอะนะอีกไม่นานก็มาแล้วคอยดูก็แล้วกันนะ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 28, 2006, 03:59:31 AM บทที่ 4 กองกำลังต่อต้าน
อ..อะไรกันน่ะ ทาลูคูสพูดด้วยสีหน้าตกตะลึงเมื่อแสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้ากลับกลายเป็นค่ำคืนอีกครั้งชายผู้อยู่ตรงหน้าคือผู้ที่สั่งจาไนให้มาทำลายหมู่บ้าน ข้างหลังของชายผู้นั้นก็คือกองทัพดราก้อนเนโครแมนเซอร์อีกกว่าแสนนายปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนแสงของดวงอาทิตย์ไม่อาจส่องมาถึง พวกแกเป็นใคร ทาลูคูสถามมือกดาบไว้แน่นพร้อมที่จะรับทุกกระบรวนท่าชายคนนั้นนิ่งเงียบไปชั่วครู่และมองลงไปเบื้องล่างที่ๆพวกเกรเกอรี่ยืนมองขึ้นมา พวกเราได้รับคำสั่งมาจากท่านผู้นั้นให้มากำจัดพวกเจ้าซะ ชายผู้นั้นบอกแต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยูที่พวกเกรเกอรี่ไม่เปลี่ยน ท่านผู้นั้นคือใคร ทาลูคูสพูดมือกำดาบไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องบอกพวกเราบุก ชายผู้นั้นพูดจบก็สั่งให้ทัพเคลื่อนพลบุก กองทัพ dn พุ่งลงไปยังกลุ่มมังกรที่ยังหลงเหลืออยู่ ข้าไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้นหรอก Lux et Dragos สิ้นเสียงทาลูคูสเริ่มตวัดดาบซัดสาดคลื่นแสงใส่กองทัพ dn ไม่ยั้งจนกองทัพมิอาจที่จะลงไปยังหมู่บ้านได้ Dark PurPose สิ้นเสียงของชายผู้นั้น แสงสีดำก็แผ่ออกมาและพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าปะทะเข้ากับร่างของทาลูคูส อ็าคคคคคคคคคคค ทาลูคูสโอดครวญด้วยควาบเจ็บพร้อมกับตกลงไปยังเบื้องล่าง หึๆๆถึงจะเป็นอ้ศวินมังกรแห่งตำนานแต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรอย่างที่ได้ยินมาเลย ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเหียดหยามและสั่งให้กองทัพบุกอีกครั้ง กองทัพ dn เริ่มเข้าจู่โจมอีกครั้ง บัดนี้ร่างของทาลูคูสค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าหมู่บ้านก็ถูกกองทัพของชายผู้ที่อ้างว่าตนเป็นแบล็คไวเซอร์ ก็เริ่มเข้าทำลายและกวาดต้อนเหล่ามังกรที่ยังเหลืออยู่กลับขึ้นไปบนท้องฟ้าที่วงกลมสีดำซึ่งมันก็คือหลุมที่เกิดจากการบิดเบือนของมิติเข้าไปเรื่อยๆในใจของทาลูคูสตอนนี้กำลังพยายามที่จะสู้ต่อแต่ก็ไม่ไหวร่างของเขาบาดเจ็บสาหัส Lr เราจะแพ้ไม่ได้นะเราต้องพยายามไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะโดนพาตัวไปหมดนะ เสียงของไลท์ดังขึ้นทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่ภายในร่างของทาลูคูส แต่ร่างของเราทั้งสองรับไม่ไหวแล้วนะ Lr พูด กีซซซซซซซซซ ( ช่วยด้วยLr ) เสียงดังขึ้นมาจากเบื้องล่างเป็นเสียงของพวกนิลเฮอร์ที่กำลังถูกไล่ต้อนจน จนมุมเหล่าพ่อแม่ของพวกนิลเฮอร์ก็พยายามต่อสู้เต็มที่แต่จำนวนของ dn มากเกินที่จะต้านไว้ได้ ฟื้นขึ้นมาลุกขึ้นมาสู้กับมันสิ Lr เสียงของนิทินโคดังขึ้นมาทำให้ทั้งสองรวมจิตกันเป็นหนึ่งอีกครั้งตาของของทาลูคูสลืมขึ้นมาอีกครั้งปีกทั้งสองข้างเริ่มกระพือเพื่อลดความเร็วของการตกลงจนเมื่อเขากลับมาทรงตัวได้อีกครั้งเขาก็พุ่งไปหานิทินโคที่ตอนนี้พ่อกับแม่ของเขาพยายามปกป้องเขาอยู่ ก็าซซซซซซซ ( ไฟร์เข้ามานี่เร็ว ) มังกรซาลามันเดอร์ร่า( salamandera ) พ่อของนิทินโคเรียกให้เขาเข้ามาอยู่ในวงล้อมของพ่อแม่ หึๆๆอย่าคิดขัดขืนเลยยอมมากับเราซะดีแล้วพวกแกจะได้ไม่ต้องถูกฆ่าฮ่าๆๆ dn คนหนึ่งพูดขึ้น ก็าซซซซซซซซซซ ( หนอยคิดจะมาเอาตัวลูกข้าไปเรอะอย่าหวังเลยย้าก ) ซาลามันเดอร์พูดจบก็พ่นเปลวเพลิงออกมาเผาผลานพวก dn แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อพวก dn สร้างเกราะพลังงานขึ้นมากันเปลวเพลิงเอาไว้ Great of Dragon เสียงของทาลูคูสดังมาจากทางซ้ายของพวกเขาพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดและร่างที่ค่อยๆแตกสลายของพวก dn และมังกรพลังงานพุ่งทลายวงล้อมเข้าและสลายไปก่อนจะปะทะเข้ากับซาลามันเดอร์ร่าทั้งสอง ไม่เป็นไรนะเข้ามาช่วยแล้ว.. ทาลูคูสพูดแต่ยังไม่ทันขาดคำแบล็คไวเซอร์เข้ามาพาตัวซาลามันเดอร์ร่าสองพ่อแม่ไป ก็าซซซซซซซซ ( พ่อครับแม่ครับ ) นิทินโคพยายามจะรั้งตัวพ่อแม่ไว้แต่ก็ไม่ทันและเมื่อเขาจะบินตามไปทาลูคูสก็จับตัวเขาไว้ไม่ให้แบล็คไวเซอร์พาไปอีกคน ก็าซซซซซซซซซซซ ( ปล่อยฉันปล่อยเดี๋ยวนี้ฉันไปช่วยพ่อกับแม่ ) นิทินโคพยายามจะสลัดตัวให้หลุดออกจาทาลูคูส ไม่ได้นะไม่งั้นนายจะถูกพาตัวอีกคนนะ ทาลูคูสพูดพร้อมกับพยายามจะรั้งตัวนิทินโคเอาไว้ ก็าซซซซซซซซซ ( ฝากลูกฉันด้วยนะ ) แม่ของนิทินโคพูดก่อนจะถูกพาตัวไป ก็าซซซซซซซซซซซซซซ ( พ่อครับบบแม่ครับบบบ ฮืออออ) นิทินโคร้องเรียกพ่อแม่ของตนก่อนที่ทั้งสองจะหายไปจากสายตาพร้อมกับร่ำไห้ออกมาอย่างขมขื่น ช่วยด้วย เสียงของวิลดังขึ้นทาลูคูสหันไปยังต้นเสียงก็เห็นว่าพวกพ่อแม่ของพวกวิลกำลังถูกพาตัวไปจนหมดจนบัดนี้เหลือเพียงพวกเขาเท่านั้นไร้ซึ่งการปกป้องจากพ่อแม่ แย่ล่ะสิเราเองคนเดียวคงช่วยไม่ได้หมดแน่ๆจะทำยงัไงดี ทาลูคูสรีบเร่งหาทางแก้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี ฮ่าๆๆๆมากับเราซะดีๆ dn คนนึงที่กำลังจะจับตัวพวกวิลพูดขึ้น ไม่มีทางนี่แน่ะ นอฟฮอฟพูดจบก็พ่นเปลวเพลิงสีดำใส่พวก dn หนอยแกอึ่ย อ็ากกกก สิ้นเสียงของ dn ร่างของเขาก็ถูกคลื่นแสงระเบิดจนแหลกไปตามๆกัน ไม่เป็นไรใช่มั้ย ทุกคนต่างหันไปยังต้นเสียงก็ได้เห็นร่างสีขาวขนาดยักษ์ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาแกรนเดครอสน่ะเองที่ช่วยพวกเขาไว้ Darkness Fall เสียงอีกหนึ่งดังขึ้นพร้อมควันสีดำที่ค่อยกีระจายฟุ้งไปทั่วเมื่อพวก dn หายใจเข้าไปร่างก็ค่อยๆละลายลงไป อย่าสูดเข้าไปนะ แกรนเดครอสพูดทุกคนก็กลั้นหายใจทันทีที่เห็นภาพ เจ้านั่นเล่นแรงงี้เลยเรอะ แกรนเดครอสพูดจบก็บินขึ้นไปบนกายสีดำที่กำลังปล่อยไอพิษซึ่งเป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่ เทียแมตเล่นแรงไปหรือเปล่า แกรนเดครอสถามมังกรดำตัวนั้น ไม่หรอกน่า เทียแมตพูด หนอยพวกแกไอ้บัดซบเอ้ยต้องเจอข้า dark .. แบล็คไวเซอร์พูดน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแต่ก็ยังไม่ทันที่จะร่ายมนต์สำเร็จก็ถูกเสียงสวดเข้ามาแทรก Holy Words เกรเกอรี่นั่นเองที่สวดขัดขวางการร่ายเวทย์ หนอยเกรเกอรี่แกอย่ามาขัดขวางข้าจะดีกว่าน่า แบล็คไวเซอร์พูดเสียงเกรี้ยวมองไปทางเกรเกอรี่ที่ยังคงสวดต่อไป ข้าบอกให้หยุดไงล่ะ แบล็คไวเซอร์ย้ำอีกครั้งเกรเกอรี่จึงหยุดและลุกขึ้นพูด เราไม่อาจจะให้เจ้ากระทำชั่วต่อไปได้อีกได้โปรดวางมือซะเถอะ เกรเกอรี่พูดน้ำเสียงอ้อนวอน เฮอะเจ้าคิดว่าข้าจะยอมรึความเคียดแค้นที่ข้ามีต่อเจ้ามันยังไม่จางหายไปหรอกนะข้าจะจัดการแกทีหลังเมื่อข้าเสร็จภารกิจ แบล็คไวเซอร์พูดจบก็เริ่มร่ายเวทย์อีกครั้งแต่เกรเกอรี่ก็แทรกเข้ามาอีกครั้ง หนอย เฮลลิคมาเดี๋ยวนี้ แบล็กไวเซอร์เรียกอะไรบางอย่างมามันเป็นนกที่มีรูปร่างประหลาดมีตาสี่ตากายสีเขียวมันร้องเสียงแสบแก้วหูมาก่อนที่จะถึงตัวเค้าเฮลลิคเบิร์ด( Hellish Bird ) ไปจัดการกับเจ้านักบวชนั่นเดี๋ยวนี้ แบล็คไวเซอร์ชี้ไปที่เกรเกอรี่เจ้านกนั่นก็บินลงไปก่อกวนการสวดของเกรเกอรี่ถึงแม้ทิโมธีและชาลว์พยายามจะจับตัวมันไว้แต่ ก็ไร้ประโยชน์มันบินเร็วไป หนอยไอ้เจ้านกบัดซบ ชาลว์พูดอย่างหัวเสีย หึๆๆเก็บตรงนั้นไปได้ก็.. แบล็คไวเซอร์พูดไม่ทันขาดคำดีก็ถูกมังกรพลังงานพุ่งเข้าใส่อย่างจังทาลูคูสนั่นเองที่เข้าโจมตีอีกครั้ง อัก..อะไรกันฮึ่ยหนอยมีแต่คนจะขัดขวางข้าอย่างเดียวเลยนะลองเจอนี่หน่อย Super Dark Terror สิ้นคำของแบล็คไวเซอร์ลูกพลังงานสีดำก็ก่อตัวขึ้นเหนือเขาและพุ่งลงไปยังเบื้องล่างนับพันลูกหนึ่งในนั้นพุ่งไปยัง พวกวิล หนอยไม่ยอมหรอก ทาลูคูสบินเข้าไปปะทะกับลูกพลังงานนั้นแต่ก็พลาดท่าถูกแรงระเบิดซัดล่วงลงมา ทุกคนมาหลบนี่เร็ว แกรนเดครอสเรียกให้ลูกมังกรทั้งหมดมาหลบหลังขาซึ่งลูกมังกรที่เหลือบัดนี้เหลือเพียงแค่พวกของวิลเท่านั้น MAGNUS TEMPLUS สิ้นเสียงแกรนเดครอสก็มีละอองพลังงานไปรวมกันที่มือทั้งสองข้างและเมื่อเขาประกบมันเข้าด้วยกันก็เกิดเป็นเกราะพลังงาน อะนั่นทาลูคูสอยู่นั่นเราต้องช่วยเขานะ วิลชี้ไปทางที่ทาลูคูสนอนสลบอยู่ ไม่ได้เรากางบาเรียไปแล้วถ้าจะยกเลิกตอนนี้ไม่ทันแน่ แกรนเดครอสพูด ลำพังพวกเราจะรอดรึเปล่ายังไม่รู้เลย เทียแมตพูด นั่นใครน่ะ นอพฮอฟพูดทุกคนหันไปเป็นทางเดียวกันชายคนเดียวกันที่ช่วยวิลไว้ที่ป่าเข้ามาปกป้องร่างของทาลูคูสไว้ Paladin Saber สิ้นเสียงของชายคนนั้นดาบก็ถูกตวัดเกิดคลื่นพลังงานรวมตัวกันเป็นเกราะแสงขึ้นมากันการโจมตีไว้ การโจมตีของแบลฺคไวเซอร์ระเบิดเอาพื้นที่ทั้งจนเป็นจุลเพียงพริบตาเดียวแม่น้ำที่เคยเต็มไปด้วยน้ำมากมายก็แหลเละแตกกระจายจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวพืนป่าก็ร้างไปในทันทีเมื่อคลื่นพลังจางลงหมู่บ้านก็ไม่เหลือแล้วเกราะของพวกแกรนเดครอสและของชายลึกลับก็จางลงเช่นกัน หึๆๆพวกแกแพ้แล้ว ขณะที่แบล็คไวเซอร์กำลังยินดีในชัยชนะของตนก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น แบล็คไวเซอร์เราขอจับกุมแกข้อหาทำลายมิติแห่งมังกร เจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกองทัพนักรบที่ใส่เกราะสีขาวเดินมา ในนามของกองกำลังต่อต้านจงยอมจำนนซะโดยดี เจ้าของเสียงที่เป็นแม่ทัพสั่งดังมาจากเบื้องล่างที่อยู่ใกล้กับเกรเกอรี่ โปรดติดตามตอนต่อไป ;) อ้อวันนี้โพสช้าไปหน่อยว่าแต่เข้าเรื่องเลยละกันจะได้ไม่เสียเวลาตอนที่ผมเขียนเรื่องเนี้ยผมไม่ได้อธิบายถึงลักษณของ Lr เลยพรุ่งนี้ผมจะเอามาให้ดูคอยดูให้ดีนะคับจะได้เห็นโชมหน้าL r แล้วจะเป็นยังไงบ้างและอีกอย่างผมมีเพลงประกอบมาให้ด้วยโหลดแล้วเปิดฟังตอนที่ Lr แปลงร่างเป็นทาลิวิลย่านะคับจะได้อรรถรถยิ่งขึ้นตามลิงค์นี่เลย http://images.animelab.com/midi/Digimon/break_up.mid ตัวอย่างตอนต่อไป แบล็คไวเซอร์ถูกกองกำลังต่อต้านเข้าต้อนจนจนมุมแต่ก็หนีไปได้เกรเกอรี่ได้ลงไปพบกับพวก Lr และวิลเองก็รู้ว่าเกรเกอรี่ดป็นใครจึงได้ถามถึงเรื่องที่อีสควอเทียเคยพูดไว้ทำให้ได้รู้เรื่องทั้งหมดรวมทั้งเรื่องที่อีสควอเทียโกทแค้นเกรเกอรี่ด้วยเหตุการณ์ณจะเป็นเช่นไรโปรดติดตามต่อไปในบทที่ 5 ความจริงที่ไม่น่าเชื่อ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 29, 2006, 03:04:46 AM บทที่ 5 ความจริงที่ไม่น่าเชื่อ
กองทัพอัศวินอยู่ในชุดเกราะสีขาวอาวุธครบมือทั้งดาบและโล่ต่างก็มีสัญลักษณแห่งแสงสลักไว้ได้ยืนอยู่บนเนินเขาสูงเกรเกอรี่และพวกยืนหลบอยู่หลังกองทัพแม่ทัพของในชุดเกราะสีขาวเดินออกไปประกาศจับตัวแบล็คไวเซอร์ ฮึๆๆฮ่าๆๆๆๆ แบล็คไวเซอร์หัวเราะออกมาทำให้แม่ทัพมีอารมณฉุนเฉียวขึ้นมา ขำอะไรของเจ้า แม่ทัพตะคอกกลับทำให้แบล็คไวเซอร์( ต่อไปขอย่อเป็น bw นะคับพิมพ์หลายๆรอบมันยาวอ่ะ ) หยุดหัวเราะแล้วหันไปมองหน้าแม่ทัพด้วยสายตาเฉียบคมเย็นลึกเข้าไปถึงกระดูกแม่ทัพถึงคนนั้นถึงกับถอยเซ คิดจะจับข้ารึฝันไปเถอะลองสู้กับเจ้าพวกนี้ดูหน่อยเป็นไงเฮลลิคกลับมา แบล็คไวเซอร์พูดจบก็เรียกนกคู่ใจของตนกกลับมาเจ้าวิหกโลกันต์บินกลับมาเกาะที่ไหล่ของเขา bw จึงเริ่มร่ายเวทย์วาดมือเป็นวงแล้วจากนั้นก็ประกบมือเข้าด้วยกันเกิดแสงสีดำส่องประกายออกมาจากมือของเขาเกิดเป็นลูกบอลสีดำนิลลูกเล็กขนาดเท่ากำมือขึ้นมาสองลูกจากนั้น bw ก็ถอนขนของวิหกโลกันต์มาสองเส้นแล้วใส่มันเข้าไปในลูกบอลนั่นลูกละเส้นจนครบแล้วโยนมันลงไปที่พื้นลูกบอลดำเมื่อ ตกถึงพื้นก็แตกออกพร้อมกับควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจนตลบอบอวนไปทั่วบริเวณนั้นจนเมื่อควันจางลงก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตขึ้นมาสองตัว ตัวนึงเป็นสัตว์อสูรสายพันธ์งูยักษ์(Viper)มีเขาขนาดใหญ่เหมือนปีกค้างคาวกลับหัวที่หัวทั้งสองข้าง มีมือหกมือกายสีดำ ส่วนอีกตัวเป็นสัตว์อสูรสายพันธ์ปีศาจค้างคาว(Gargoyle) มีขนเป็นเหล็กเหมือนใส่เกราะ จัดการมันซะไดโบริค( diabolic viper ) กากอยเหุ้มกราะ ( Amored Gargoyle )สาดหนาบปีศาจใส่มันซะ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-a19b89.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/136.jpg) bw สั่งเสร็จอสูรทั้งสองก็บุกเข้าไปโจมตีกองทัพอัศวินเมื่อครู่สัตว์อสูรที่ชื่อไดโบริคได้เข้าจู่โจมอย่างเร็วเพียงเสี้ยววินาทีอัศวินหกคนก็ถูกมันจับเอาไว้ในมือทั้งหกของมันถูกในสภาพที่ร่างถูกฉีกกระชากออกเป็นสองท่อน อ็าคคคคคคคคค เสียงร้องของอัศวินทางปีกขวาของกองทัพที่ถูกโจมตีด้วยขนที่เป็นเหมือนเข็มของกากอยหุ้มเกราะดังมาทำให้อัศวินคนอื่นๆหันไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างของอัศวินหลายนายถูกฝนเข็มปีศาจที่กากอยหุ้มกราะสลัดลงมาถูกปักอยู่ทั่วร่างก่อนจะค่อยๆละลายไป มันลงมาแล้ว เสียงอัศวินอีกคนดังมาจากทางซ้ายของกองทัพเมื่ออัศวินคนอื่นหันไปก็เห็นว่าไดโบริคเริ่มจู่โจมอีกครั้งเหล่าอัศวินพยายนามสู้เต็มที่แต่ก็ไม่อาจตามความว่องไวของมันได้จึงถูกฆ่าไปจำนวนมาก เอาไงดีครับมันร้ายกาจจริงๆ อัศวินคนหนึ่งถามแม่ทัพ ถ้าเรามีอัศวินที่มีความเร็วพอก็ดีสิ แม่ทัพขบฟันครุ่นคิดหาวิธีรับมือกับเจ้าอสูรทั้งสองตัว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นแม่ทัพกับอัศวินคนนั้นหันไปยังทิศทางของเสียงก็พบว่าชาลว์นั่นเองที่เสนอตัวอาสารับมือกับอสูรทั้งสอง เจ้าคนเดียวจะไหวรึ แม่ทัพถามแต่เกรเกอรี่ที่อยู่ข้างๆชาลว์ก็เดินไปตบไหล่ของแม่ทัพพร้อมกับพยักหน้า เชื่อมือเขาเถอะเขาเป็นอัศวินที่ฝีมือดีคนนึงเลยนะข้ารับรอง เกรเกอรี่พูดจบก็หันไปพยักหน้าให้ชาลว์แสดงฝีมือทันที แค่นี้น่ะใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็เสร็จแล้ว ชาลว์พูดอย่างมั่นใจแล้วก็เริ่มร่ายรำเพลงดาบเพียงชั่วครู่ก็มีเสียงตวัดดาบเกิดขึ้นร่างของไดโบริคก็ขาดออกเป็นสองท่อนส่วนเจ้ากากอยหุ้มเกราะก็ถูกฟันปีกขาดสองข้างจนไม่สามารถจะทำอันตรายใครได้อีกซากของสัตว์ก็สลายกลายเป็นดังเดิม โอ้รวดเร็วซะจริงๆ แม่ทัพกล่าวชมในฝีมือของชาลว์ พวกเขาเป็นใครน่ะ แกรนเดครอสพูด นี่มัน เสียงวิลอุทานดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองร่างของทาลูคูสส่องแสงออกมาก่อนที่จะแยกออกเป็นสองร่างคือ Lr กับไลท์ ข้าต้องไปแล้ว ชายลึกลับเอ่ยขึ้นแล้วก็ออกเดินแต่ก็ต้องหยุดเมื่อวิลตะโกนเรียก เดี๋ยว วิลพูดทำให้ชายผู้นั้นหยุดเดินแต่ยังคงหันหลังให้ ท่านเป็นใคร วิลพูดเสียงสั่นเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ชื่อของข้าไม่ได้มีความสำคัญอะไรนักไม่จำเป็นรู้ไว้หรอก ชายคนนั้นพูดเสียงเย็น ได้โปรดบอกด้วยเถิดเราอยากจะรู้ชื่อของท่านไว้ในฐานะมิตรน่ะ วิลพูดเสียงสั่นมากขึ้นตอนนี้ในใจของวิลเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแปลกๆที่บอกไม่ถูว่าดีใจหรือกลัวกันแน่ เรียกข้าว่า เมทาไนท์ ( Meta Knight ) ก็แล้วกัน ชายคนนั้นพูดแล้วก็เดินจากไปอย่างเร็ว เมทาไนท์งั้นเหรอ วิลเอ่ยขึ้นลอยๆ Lr ฟื้นแล้ว นิลเฮอร์พูด อา เกิดอะไรขึ้นเนี่ยแล้วไลท์ล่ะ Lr พูดจบก็หันซ้ายทีขวาทีเพื่อหาตัวไลท์ โอยยย ไลท์โอดครวญ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมไลท์ว่าแต่หลังจากที่เราถูกซัดลงมาโดยชายที่ชื่อแบล็คอะไรนั่นน่ะแล้วเกิดอะไร Lr พูดจบก็ดเกิดแสงสว่างระหว่างเขากับไลท์เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นศิลามังกรนั่นเองที่ส่องประกายอยู่ อะไรอีกล่ะเนี่ย นิทินโคพูดและทันใดนั้นที่ซากของวิหารแห่งมังกรก็มีอะไรบางอย่างพุ่งออกมารวมเข้ากับศิลามังกร หวา Lr ร้องเสียงหลงเมื่อแสงอะไรบางอย่างพุ่งมาจากซากวิหารตรงมาทางเขาศิลามังกรเองก็เช่นกันของทั้งสองสิ่งพุ่งเข้าหากันเมื่อสิ่งที่พุ่งมาจากวิหารเข้าใกล้มาเรื่อยๆจึงได้เห็นว่าเป็นเชิงตะเกียงรูปมังกรนั่นเอง นั่นมันเชิงตะเกียงศิลามังกรนี่นา นอพฮอฟพูด มันคืออะไรเหรอไอ้ตะเกียงอะไรนั่นน่ะ นิทินโคถาม ที่วิหารมังกรของหมู่บ้านเราน่ะมีศิลามังกรตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินว่ากันว่าศิลามังน่ะมีพลังที่จะสามารถเปิดมิติแห่งนรกมังกรและสวรรค์มังกรได้น่ะสิ นอพฮอฟพูดเทียแมตหันมามองนอพออฟอยู่พักใหญ่ แล้วแกรู้ได้ไงอ่ะ นิทินโคพูด คือ..คือว่าความจริงแล้ว นอพฮอฟหยุดพูดไปชั่วครู่เหมือนจะชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่แต่แล้วทุกคนก็หันเหความสนใจกลับไปยังศิลามังกรอีกครั้งเมื่อศิลามังกรรวมตัวเข้ากับเชิงตะเกียงก็ส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วมิตินี้ อะไรเนี่ยอ็าคคคคคคคคคค bw ร้องด้วยความเจ็บปวดทันทีที่ปะทะกับแสงนั้น แกว้กๆๆ วิหกโลกันต์เองก็ร้องด้วยความกลัวในแสงที่กำลังจะมาถึง ถอยทัพ bw สั่งให้กองทัพส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดกลับเข้าไปยังหลุมมิติแล้วก็หนีหายไป นี่..นี่มันคือ Lr พูดสีหน้าตกตะลึงในภาพที่เห็นตรงหน้าแสงค่อยๆจางลงศิลามังกรกับเชิงตะเกียงรวมตัวกันเชิงตะเกียงหลอมละลายตัวเองเข้าครอบเอาศิลาไว้กลายเป็นสิ่งของที่มีขนาดเท่ากับก้อนหินขนาดพอเหมาะมือที่มีเเชิงตะเกียงที่เข้าไปหุ้มเป็นรูปมัง ด..ดราก้อนฮอลลี่( ต่อไปย่อเป็น dgh นะ )หรือว่าเตำนานที่กล่าวต่อๆกันมาจะเป็นความจริง แกรนเดครอสพูดก็เกิดแผ่นดินไหวทุกคนพากันหนีไปยังประตูมิติบัดนี้แผ่นดินเริ่มแยกตัวออกแตกสลายเกิดพายุหมุนแรงพัดพาทำลายทุกสิ่ง หนีเร็ว แม่ทัพอัศวินสั่งทำให้กองทัพพากันวิ่งเข้าประตูกัยจ้าล่ะหวั่นเหล่ามังกรเองพากันหนีออกไปเช่นกันเมื่อเหล่ามนุษย์ออกไปกันหมดแล้วเหล่ามังกรก็ตามกันออกไปดดยลูกมังกรออกไปกันหมดแล้วเมื่อแกรนเดครอส เทียแมต และ Lr จะออกไปแผ่นิดนที่พวกเขายืนอยู่ก็พังทลายลงเทียแมตรีบคว้าตัว Lr ไว้และส่งให้พวกวิล รีบออกไปเร็ว เทียแมตสั่งแต่แล้วเขากับแกรเดครอสก็ถูกพายุหมุนดูดเข้าไป นอพฮอฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ เทียแมตตะโกนก่อนที่จะถูกดูดหายไปในพายุนอพฮอฟเองก็หันไปมองด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย มาทางนี้เร็ว เกรเกอรี่เรียกเหล่าลูกมังกรให้ไปสมทบกันเมื่อทั้งหมดเดินออกจากมิติที่กำลังพังทลายลงได้หมด พวกท่านแฮ่กเป็นใครกันแฮ่กๆ Lr ถามเสียงหอบ เราชื่อ.. เกรเกอรี่พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงแทรกขึ้นมา กีซซซซซซซซซซซ ( เป็นคุณจริงๆเหรอเกรเกอรี่ ) วิลพูดเสียงตื่น เออเจ้าพูดอะไรเหรอมังกรน้อย เกรเกอรี่พูดด้วยไม่เข้าใจที่วิลพูด เกรเกอรี่เรอะงั้นไอ้หมอนี่ก็เป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของครูอีสควอเทียน่ะสิ เฟินกอลโล่พูดเสียงตื่นเช่นกัน พวกเจ้าพูดอะไรกัน เกรเกอรี่ถาม ท่านรู้เรื่องที่ท่านเคยฆ่ามังกรบ้างไหม Lr ถาม อ...หรือลูกมังกรดิมมินิวเลี่ยนตัวนี้จะ เกรเกอรี่หยุดพูดเพื่อชั่งใจว่าควรพูดหรือไม่ เอาล่ะก็ได้ข้าเล่าให้ฟัง เกรเกอรี่พูด โปรดติดตามตอนต่อไป ตัวอย่างตอนต่อไป ในที่สุดเกรเกอรี่ก็เล่าเรื่องทั้งหมดรวมทั้งเรื่องที่มีกลุ่มคนที่ไม่ประสงค์ดีต้องการที่จะปลดผนึกซินอยู่ด้วยเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นมายังไงติดตามในตอนหน้าในบทที่ 6 องกรค์แห่งฝันร้ายศักดิ์สิทธิ์ Holy Nightmare ติดตามกันให้ได้นะคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on January 29, 2006, 10:56:10 PM วันี้ของดนะคับงานเยอะเพราะใกล้สอบแล้วก็อีกวันศุกร์ที่จะถึงนี้ต้องไปเข้าค่ายด้วยเพราะฉนั้นอาทิตย์หน้าไม่มีนะคับเพราะเข้าค่ายสามวันแล้วจะต่อให้อีกทีวันจันทร์นะคับแบะนิยายที่เกี่ยวกับการเล่นการ์ดที่ผมบอกว่าจะเขียนให้วันพุทก็ต้องชวดไปก่อนนะคับเพราะอย่างที่บอกใกล้สอบเต็มทีแล้วงานย่อมเยอะมากขึ้นก่อนหน้านี้ผมก็บอกอยู่บ่อยๆว่างานเยอะเพราะเดือนหน้าก็จะสอบแล้วเอาไว้ปิดเทอมแล้วจะโพสนิยายที่เกียวกับการเล่นเมื่อข้างต้นให้นะคับส่วนทาลินั้นจะเพิ่มเวลาโพสให้เยอะขึ้นตอนปิดเทอมนะคับเพราะฉนั้นรออีกนิดนะคับปิดเทอมจะแต่งต่อให้มันไปเลย
;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: NoXMagiS on January 31, 2006, 01:59:04 AM แต่งแล้วเหมือนแต่งง่ายจังเลยอะ
ก๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ ง่ายจางเลยอ่า ทีนิยายเราไม่เหงทำได้บ้างเลย T-T สู้ๆน่อ (ให้เค้าสู้ๆ ตัวเองยังไม่ถึงไหนเลยอะ ซะงั้นอะนะ) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: ^O^^O^poocha ^O^^O^ on February 01, 2006, 10:56:06 PM Amankrisไม่มีส่วนร่วมเลยเหรอคับ ออกจะเก่งซะขนาดนั้น :-[
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 02, 2006, 01:25:41 AM การแต่งนิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้แต่งง่ายๆนะคับต้องใช้จินตนาการมากแต่เพราะผมชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยบ่อยๆจึงเอาข้อคิดในชีวิตจริงมาเขียนเป็นอุทาหรณ์แทรกไว้ด้วย(ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามีข้อคิดให้กลับไปคิดซ่อนอยู่นะหาเอาเอง)
ส่วนอาแมนคริสนั้นได้ออกแน่คับแต่อีกนานอดใจรอหน่อยเดี๋ยวปิดเทอมเมื่อไหร่จะปั่นแหลกเลยทั้งเกมส์ทั้งนิยาย ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 05, 2006, 09:19:55 PM หวัดดีก้าบบบบบบบบบบบบบบบ แฮ่ๆๆเป็นยังไงกันบ้างไม่เจอกันตั้งสามวันแน่ะฮือๆๆไปเข้าค่ายมาโหดสุดๆลุกไม่ไหวเลยพรุ่งนี้ก็ต้องไปเรียนอีกได้หยุดเลยแล้วทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้อยู่ล่ะรู้เบื่อๆกันบ้างไหมเอาเป็นว่าวันนี้ผมเหนื่อยอยู่ก็ยังคงจะเขียนนิยายไม่ไหวหรอกคับงั้นวันนี้เอาเป็นข่าวคราวของเกมส์ตำนานทาลิวิลย่า(นิยายเรื่องนี้แหล่ะ) ที่ผมกำลังสร้างอยู่ละหายไปซะนานนะครับเพราะเครื่องผมโดนไวรัสเข้าไปก็เลยต้องลบทิ้งหมดเลยฮือๆๆ(วันนี้มีเรื่องเสียใจสองอย่างเลย)
แต่ไม่เป็นไรคับผมกำลังรีบทำใหม่อยู่เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะเอาภาพโฆษณามาโพสที่นี่ละกันคับเร็วๆนี้ แหล่ะคับ ;) ส่วนนิยายทาลิเดี๋ยวจะเอาโฆษนามาโพสด้วยนะคับ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 10, 2006, 01:03:54 AM พรุ่งนี้อย่าลืมดูนะคับมีอะไรเซอไพร์ด้วย ;)
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 11, 2006, 03:16:01 AM และแล้วก็มาแล้วเซอไพร์ที่พูดถึงก็มาแล้วแต่จิงๆมันก็ไม่มีอะไรน่าตกใจหรอกเพราะเรื่องนี้เราน่าจะรู้ๆกันอยู่แล้วนะคับนั่นก็คือตั้งแต่วันที่20เป็นต้นไปนิยายของเราจะเพิ่มเวลาการอัพเดทอีก2วันได้แก่วันจันทร์กับวันท์พุทธส่วนศุกร์ถึงอาทิตย์ก็ตามเดิมส่วนเวลานั้นวันจันทร์กับพุทจะมาเร็วหน่อยนะคับว่าแล้วไปดูนิยายกัน
บทที่ 6 องกรค์แห่งฝันร้ายศักดิ์สิทธิ์ Holy Nightmare บัดนี้มิติที่เคยมีความเจริญก้าวหน้าสูงสุดกลับพังย่อยยับแม้ตัวมิติเองก็ยังพังทลายไปต่อหน้าต่อตาเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง มังกรยักษ์ทั้งสามได้แก่ดีวายดราก้อน แกรนเดครอสและเทียแมตต้องตกเข้าไปในห้วงมิติที่พังทลายลงไปและหายไปอย่างไร้ร่องรอย มังกรตัวอื่นๆที่ยังเหลือรอดก็ถูกจับไปจนหมดเหลือเพียงเด็กคนหนึ่งกับลูกมังกรอีกหกตัวที่ยังมีอาการหวาดกลัววิตกกังวล ในตอนนี้นั้นไม่มีคำพูดใดๆสามารถบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย ชิ..หนอย นี่มันเป็นบ้าอะไรกันไปหมด แม่ทัพกองกำลังต่อต้านเอากำปั้นทุบต้นไม้อย่างแรงจนใบของต้นร่วงโรยลงมา พวกมันแค่ไม่กี่คนเรามีคั้งมากมายยังทำอะไรไม่ได้เลยแล้วจะตั้งกองกำลังมันขึ้นมาทำไมเนี่ย แม่ทัพกล่าวอย่างหัวเสียในความอ่อนแอ่ของกองกำลัง พวกเจ้าปลอดภัยดีนะ เกรเกอรี่ถาม Lr( ลอเรนส์ ) ที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นลูกมังกรทั้งหกก็เช่นกันยังคงหวาดวิตกอยู่เช่นเดิม เอาเถอะอีกเดี๋ยวกองทัพของพระองค์ก็จะมาถึงแล้วถึงตอนนั้นก็พาพวกเค้ากลับไปพักฟื้นก่อนเถอะคืนนี้พวกเขาเจอมามากพอแล้ว ชาลว์กล่าวด้วยความเป็นห่วงเกรเกอรี่เองก็เห็นด้วยจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณแล้วจึงหันไปปรึกษากับแม่ทัพต่อ จากนั้นสักพักกองทัพกับกษัติร์ซิกมันต์ก็เส็ดจมาถึงและพาตัวL r กับลูกมังกรไปพักที่เมืองเอรีม สามวันผ่านไป แสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องที่ตกแต่งแบบเรียบๆที่ปลายเตียงลูกมังกรทั้งหมดนอนอยู่ที่นั่นยกเว้นวิล Lr ขยี้ตาเครั้งนึงก่อนจะเดินลงจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ประตูห้องแล้วเมื่อเขาเปิดประตูห้องออกก็ได้ยินเสียงภาษามังกรคุยกันอยู่ ก็าซซซซซซซซซซซซซ ( ยังงี้ใช้ได้ยังงงงงงงงงงงงงงงง ) เสียงมังกรที่ดังกึกก้องขึ้นมากะทันหันทำให้ Lr ถึงกับชะงัก ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นคือนักประดิษฐ์คนหนึ่งกำลังถือเครื่องมือประหลาดๆอยู่ในมือแล้วพูดภาษามนุษย์ใส่เครื่องนั่นก็กลายเป็นเสียงมังทันทีแต่ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ระดับเสียงที่ต้องการจึงออกมาดังบ้างเบาบ้าง กีซซซซซซซซซ ( ดังไปแล้ว ) วิลพูดพร้อมกับเอามือที่กุมหูออกแล้วก็สังเกตเห็น Lr พอดีจึงเดินไปหา เป็นยังไงบ้าง Lr นายลุกไหวแล้วเหรอ วิลพูด Lr ทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย มีอะไรหรือ วิลถามเมื่อเห็นสีหน้าของ Lr นายพูดภาษามนุษย์คล่องแคล่วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คำพูดของ Lr ทำให้วิลงงเล็กน้อย จะว่าไปนิทินโคเองก็พูดภาษามนุษย์คล่องขึ้นนะ Lr เสริม นายพูดอะไรของนายน่ะนี่ฉันพูดภาษามังกรอยู่นะ วิลพูด อะไรกันก็นี่นายพูดภาษามังกรอยู่นี่ Lr เถียงกลับ แต่เขาพูดภาษามังกรอยู่จริงๆนะ ทิโมธีแย้งขึ้นทำให้ทั้งสองหันไปมอง เอ็ะนั่นอะไรน่ะ วิลพูดแล้วชี้ไปที่กระเป๋ากางเกงของ Lr ที่มีแสงส่องออกมา Lr จึงเอามือล้วงเอาของนั่นออกมา นี่น่ะเหรอตอนอยู่ในมิติน่ะนะมันเป็นศิลามังกรที่มาผสมกับตะเกียงมังกรน่ะมันคงจะทำให้ฉันฟังภาษามังกรเป็นมนุษย์ก็ไดมั้งเอ็ะข้างหลังมีสายคาดด้วยแหะ Lr พูดจบก็บรรจงคาดสายคาดนั่นกับข้อมือ เออข้าว่าเอางี้ดีกว่านะทิโมธีให้เด็กคนนี้เป็นล่ามให้เราดีกว่านะ เกรเกอรี่พูดทำให้ทิโมธีมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็จำใจเก็บเครื่องมือไป เอาล่ะโปรดเล่าเรื่องราวทั้งหมดมาด้วยเถิดว่าพวกมันบุกเข้ามาได้ยังไงกันและอีกอย่างทำไมเด็กมนุษย์จึงมาอยู่กับมังกรด้วยล่ะ คำถามของเกรเกอรี่ นั้นยากจะตอบนักแต่ในที่สุดพวกเขาก็จำใจตอบ เราไม่รู้ว่าพวกมันบุกเข้ามาได้เช่นไรแต่เรื่องของ Lr น่ะมันเอ่อ วิลหยุดพูดกลางคัน ทำไมหยุดซะล่ะ เกรเกอรี่ถามเมื่อเห็นว่าทั้งสองเงียบไป ไม่ได้หรอกนะ Lr เค้าน่ะ ไลท์เปิดประตูห้องออกมา ทำไมล่ะ วิลถาม นายพึ่งย้ายมาคงไม่รู้สินะ นิลเฮอร์เดินตามออกมา คือว่า Lr เขาน่ะ ไลท์ฑุดยังไม่จบประโยคL r ก็แทรกเข้ามา เอาเถอะฉันจะเล่าเอง Lr กล่าวแล้วจึงหันไปแล้วเงยหน้าขึ้นข้างบนพยายามนึกถึงเรื่องราวเล่าเรื่องให้เกรเกอรี่กับทิโมธีฟัง เมื่อ 8 ปีก่อนมีมังกรดำเทียแมตได้ถูกมนุษย์กลุ่มหนึ่งฆ่าคู่ของมันมันจึงตามล่าคนกลุ่มนั้นมาด้วยความโกรทจึงอาละวาดทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างและในขณะนั้นได้มีกลุ่มชาวป่าทมิฬอพยพหนีออกมาจากการถูกเผาของมังกรเทียแมตอยู่ด้วยแต่ก็ไม่พ้นถูกสังหารจนหมดตอนนั้นผมยังเป็นทารกอยู่แม่ของผมถูกฆ่าตายด้วยเช่นกันแต่ dvd มาช่วยไว้ทันแล้วจึงเก็บผมไปเลี้ยง Lr พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้มของเขาเค้าจึงเอามือเช็ดน้ำตาออก ขอโทษด้วยนะที่ต้องให้เล่าเรื่องแบบนั้นน่ะ เกรเกอรี่พูดด้วยความเป็นห่วงว่าความเศร้าจะทำให้ L r อาการทรุดหนักลงไลท์จึงเข้าไปปลอบใจ Lr เอาล่ะทีนี้ตาพวกท่านบ้างแล้วช่วยบอกหน่อยสิว่าพวกที่มาบุกทำลายหมู่บ้านพวกเราเป็นใครกัน วิลถามเกรเกอรี่สีหน้าบึ้งตึงที่เห็นว่าเพื่อนของตนถูกบีบบังคับให้เล่าเรื่องสะเทือนใจ แต่เกรเกอรี่กลับมีสีหน้างงๆเพราะวิลพูดภาษามังกรไม่ใช่ภาษามนุษย์ เออลืมไปว่าเราเป็นมังกรนิ วิลพึมพำL r จึงแปลให้พวกเกรเกอรี่ฟัง เอาล่ะอย่างที่เจ้าเล่าไปเมื่อกี้นี้ที่ว่ามังกรเทียแมตมาโจมตีป่าทมิฬน่ะนะการที่ dvd ซึ่งเป็นมังกรขาวที่ผู้คนนับถือกลับช่วยให้มังกรดำหนีไปทำให้เกิดอาณานิคมการล่ามังกรแต่ความจริงเราทราบมาว่ามีผู้ต้องการให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างมนุษย์กับมังกรพวกเราจึงได้จัดตั้งกองกำลังต่อต้านแต่เมื่อเราสืบสาวไปสักระยะจนได้ความสัมพันธ์ของเรื่องบางเรื่องกับการล่ามังกรนี้นั้นเกี่ยวข้องกันคือมีผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ซึ่งก็คือ องค์กรชั่วร้ายที่คิดจะสร้างสงครามระหว่างเทพกับปีศาจชื่อขององค์กรนั้นก็คือ องกรค์แห่งฝันร้ายศักดิ์สิทธิ์ Holy Nightmare เกรเกอรี่พูดจบทุกคนในห้องก็เงียบลง ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เป็นยังไงบ้างการบุกจู่โจมของพวกเจ้า เสียงเรียบเย็นที่เพียงผู้ฟังได้ยินก็หนาวเข้าไปถึงกระดูกเจ้าของเสียงนั่งอยู่บนบัลลังที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ยกสูงขึ้นไป ได้ผลเป็นที่น่าพอใจขอรับแต่มีคนเข้ามาขัดขวาง แผนการจึงไม่สมบรูณ เสียงเรียบเย็นเช่นเดียวกันตอบกลับมาจากด้านล่างของบัลลังเจ้าของเสียงอยู่ชุดในเสื้อคลุมดำมีวิหกโลกัณฑ์เกาะไหล่อยู่แบล็คไวเซอร์นั่นเองที่กำลังรายงานผลการบุกโจมตีให้กับผู้ที่เป็นหัวหน้าอยู่ กองกำลังต่อต้านน่ะรึหึๆๆมันไม่น่าจะเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ได้เลยนะหรือว่าเจ้าประมาทพวกมัน เจ้านายของแบล็คไวเซอร์พูดเสียงเย็นพร้อนกับหรี่สายตาลงเล็กน้อย ไม่ใช่ครับท่านไม่ใช่พวกมัน แบล็คไวเซอร์กลับ แล้วมันเป็นใคร เจ้านายของแบล็คไวเซอร์ก็ถามกลับมาเช่นกัน มันเป็นอัศวินมังกรเทพนามทาลูคูสน่ะครับท่าน แบล็คไวเซอร์ตอบสีหน้าซีดเซียว เรียกตัว 12 เทพขุนศึกกลับมา ชายผู้นนั้นตอบ ต..แต่ท่านครับเรื่องแค่นี้ไม่ต้องถึงมือ 12 เทพขุนศึกหรอกครับท..ท.. แบล็คไวเซอร์เงียบไปเมื่อชายผู้นั้นเอากำปั้นกระแทกเข้ากับพนักบัลลังค์ ทำไมจะไม่ต้องถึงล่ะยังไงซะเรียกกลับมาให้หมดเราต้องกำจัดก้างขวางคอชิ้นนี้ให้ได้ก่อนที่มันจะตำจนเป็นหนอง ชายผู้นั้นกล่าวเสียงเกรี้ยว แต่เราคงถอนกำลังออกจากซาโลมมาหมดเลยคงไม่ได้หรอกครับท่าน12เทพขุนศึกที่เราส่งไปรับมือกับซาโลมที่นำโดยอิสฮานนั้นได้กำลังของเยซีฮานมาช่วยทำให้การบุกยากยิ่งขึ้นหากถอนมาหมดจะไม่สามารถรับมือมันได้นะขอรับ แบล็คไวเซอร์กล่าวจบก็มีเสียงกระแทกประตูเข้ามาในห้อง ข้ากลับมาแล้วเรื่องซาโลมน่ะไม่ต้องห่วงไปพวกมันทำอะไรไม่ได้แล้ว ร่างของมนุษย์หมาป่าขนสีดำสนิทเดนเข้ามาในห้อง หึๆๆมาจนได้สินะ ชายผู้นั้นพูด โปรดไว้ใจข้าได้ข้า 1 ใน12เทพขุนศึกหมาป่าแสงจันทรา( MoonShine WereWolf) shadow moon ( เงาพระจันทร์ ) ผู้นี้จัดการเถิด สมิงหมาป่าตัวนั้นพูด (http://www.fotothing.com/photos/603/6038c171bba9ee01c3a536b5878667ab.jpg) โปรดติดตามตอนต่อไป ;) จะว่าไปช่วงนี้พิมยาวเหลือเกินจะมีคนอ่านไหมหว่า ??? ตัวอย่างตอนต่อไป ในตอนหน้าเราจะไปเอ่ยถึงอาณาจักรอื่นๆบ้างว่าได้รับความเสียหายจากการรุกรานของโฮลี่ไนท์แมร์มากน้อยเพียงใดหลังจากสงคราม The Sain จบลงไป12เทพขุนศึกคืออะไรโปรดติดตามในตอนหน้า บทที่ 7 อาณาจักรทั้ง 4 สงครามเริ่มขึ้นแล้ว Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Moonshiny Doll on February 11, 2006, 01:05:21 PM Quote จะว่าไปช่วงนี้พิมยาวเหลือเกินจะมีคนอ่านไหมหว่า มี Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: -Sparrow- on February 11, 2006, 03:01:01 PM อ่านอยู่น่อ แต่ม่ะได้โพส
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Golden Fur Griffin on February 11, 2006, 08:27:40 PM เว้นวรรคมั่งซิครับ กระทู้ยึดยาวมากๆเลยครับ - -"
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 12, 2006, 02:17:19 AM วันนี้ขอเลื่อนนะคับใกล้สอบเดี๋ยวสอบเสร็จจะมาต่อให้ยาวเลย
ส่วนเรื่องเว้นวรรคผมจะแก้ให้คับ อ้ออีกอย่างผมได้สังเกตเห็นความผิดผลาดในนิยายของผมหลายจุดเช่นพิมพ์ผิดเป็นต้นถ้าเช่นนั้นกระผมจะเริ่มแก้ตัวอักษรที่พิมพ์ผิดบางตัวให้หล้งสอบเสร็จนะคับประมาณวันที่20 หากผู้ใดพบข้อผิดผลาดบอกด้วยนะคับผมจะได้แก้ให้ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 13, 2006, 01:05:04 AM บทที่ 7 อาณาจักรทั้ง 4
เมอริเซียหรือจะเรียกว่าทวีปแห่งสงครามก็ว่าได้ ที่ทวีปนี้เกิดสงครามมาหลายครั้งหลายครานับไม่ถ้วน ที่ทวีป นี้เคยเกิด มหาสงครามที่มี อาณาจักรทั้งส ี่เข้าร่วม สงครามในครั้งนั้นได้มีเทพกับปีศาจยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ทว่ามหาสงครามนี้ ได้สืบต่อมาตั้งแต่อดีตกาลตั้งแต่ สมัยสงครามเทพกับปีศาจโดยสงครามจบลงตรงที่ว่า ปีศาจ เป็นฝ่ายปราชัยแต่แท้จริงแล้วพวกมันกำลังจะหาทาง ก่อสงครามขึ้นอีกจนในยุคสมัยของมหาอำนาจแห่งสี่อาณาจักร ต้นเหตุแห่งสงครามมาจากความโลภของกษัติร์แห่ง อาณาจักร ซาโลม สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งท ี่ปีศาจ ได้เตรียมการไว้เพื่อจะหาทางให้มนุษย์ ทำสัญญา กับตนเพื่อที่จะได้ออกจากมิติแห่งคนบาป ที่เรียกว่านรกและพวกมันก็ทำสำเร็จเทพจึงต้องลงมาแก้ไข แต่ถึงแม้ เทพ จะลงมา แก้ไขเช่นไรก็ไม่อาจที่จะยับยั้ง พลังปีศาจได้เพราะว่าเหตุที่พวกปีศาจได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้ แต่แรกแล้ว พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด แห่งเทอร่า จึงได้ฝากฝังชะตาแห่งทวีปนี้ไว้กับเด็กน้อยผู้หนึ่ง ผู้ที่จะนำความหวัง แสงสว่าง ศรัธรา และความรักให้กลับมาเป็นเช่นเดิม เด็กน้อยคนนั้นก็คือลูกของกษัติร์ที่เริ่มก่อสงครามครั้ง นี้และเขาทำสำเร็จเมื่อเขาสามารถปลดปล่อยผู้ที่มี แต่ความโกรธเคียดแค้นความโลภซึ่งก็คือ บลาจเซส ผู้ชักจูงให้พ่อของเขาก่อสงครามให้ได้รับอิสระจากพันธนาการแห่งบาป อันชั่วร้ายและไล่ต้อนจนในที่สุดปีศาจตกเป็นรองแต่พวกปีศาจไม ่ยอมแพ้ง่ายๆ จึงเข้าแทรกแซงผู้เป็นความหวังของพระเจ้าสูงสุด ทำให้เกิดสงครามที่มนุษย์จะเข่นฆ่ากันเอง และสงครามจะก่อกำเนิดผู้ที่ต้องการอำนาจและปลุกพวกตนอีกครา ก่อนที่ตนจะถูกไล่กลับไปยังนรกอีกครั้ง และก็เป็นไปตามนั้น แต่สิ่งที่พวกปีศาจไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อผู้เป็นความหวัง หาได้มีแต่อิสฮานเพียงคนเดียวไม่แต่มีถึงสองเมื่อถึงขั้น วิกริตเธอจึงแสดงตนออกมาเธอคือซิสเตอร์อลาน่า ผู้เป็นความห;วังสูงสุดแห่งมวลมนุษย์เธอได้สละชีพทำหน้าที่เป็นถ้วยรองรับพระพร จากพระเจ้าสูงสุดจึงทำให้สงครามสงบลง ทุกอย่างดูเหมือนจะจบด้วยดี แต่ทว่าสงครามที่สงบลง ไปนั้นหาได้สงบจริงไม่เมื่อครั้ง สงครามแห่งปีศาจที่ถูกเรียกว่าสงครามซิน พวกปีศาจที่ถูกเรียกว่าซิน(บาป)นั้นได้เตรียมพิธีคืนชีพอริของพระผู้เป็นเจ้า มหาเทพปีศาจพิธีที่ถูกขัดขวางทำให้ไม่สามารถคืนชีพสำเร็จ ได้แต่พวกปีศาจคาดการไว้ก่อนแล้ว จึงส่งเจตจำนงทั้งหมดของตนไว้กับ พิธีเพื่อว่าสักวันหนึ่งผู้ที่จะเป็นร่างจุติของมหาเทพปีศาจ มาเกิดและเมื่อนั้นเจตจำนงของพวกตนจะออกมาหาร่างอาศัยและสานต่อ พิธีกรรมที่จะปลุกมหาเทพปีศาจ และชื่อของมหาเทพปีศา...... หน้าหนังสือถูกพลิกไปยังหน้าที่เหลือแต่ทุกหน้าถูกฉีกขาดหมด เงาของแม่ชีนางหนึ่งนั่งอยู่ภายในห้องแคบๆที่ไม่มี หน้าต่างภาย ในห้องมีเพียงแสงสลัวๆจากตะเกียงที่ตั้งอยู่บนโต็ะไม้เก่าๆตัวหนึ่งบนโต็ะมีหนังสือที่ดูเก่าคร่ำเครอะ มีฝุ่นจับอยู่เต็ม หน้าหนังสือถูกฉีกขาดจนเหลืออยู่สองสามหน้าเท่านั้น เฮ้อ วันนี้ก็ไม่ได้อะไรเลย แม่ชีกล่าวลอยๆแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงลุกจากเก้าอี้เดินไปเปิดประตูออกจากห้อง แสงที่อยู่นอกตัวตึกสาดส่องเข้ามาทำให้ร่างของนางในอาภรสีขาวสลับกับสีน้ำเงิน หมวกสีน้ำเงินของนางมีป้ายวงกลมที่มีรูปสัญลักษณ์แห่งแสงติดอยู่ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-7507d3.jpg) นางเดินออกไปตามถนนสองข้างทางที่ เคยมีผู้คนยากไร้มากมายที่อพยพมายังแอนดิซองบัด นี้ทั่วทั้งถนนไม่มีอีกแล้ว ขณะที่นางเดินผ่านตลาด ก็มีเสียงเรียกลูกค้ามากมายดังอึกทึกผู้คนเดินกันพลุกพล่าน เร่เข้ามาทางนี้ถูกๆ เสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าร้านขายผักดังก้องไปทั่ว ซาลามันเดอรี่ดอลจากวิหารเซนส์ลอเรนส์จ้า ถูกๆตัวละ 100 เดนาริอันเอง เสียงเรียก ลูกค้าของแม่ค้าร้านของเล่นตะโกนสวนไปมากับเสียงเรียกลูกค้าของร้านอื่นๆ เมื่อนางเดินผ่านตลาด เสียงก็ค่อยเงียบหายไป ใบหน้าของนางดูเศร้าศร้อยนางถอนหายใจอีกครั้ง ตอนนี้พระองค์ทรงกำลังทำอะไรอยู่นะ นางพึมพำ ขึ้นมาระหว่างแหงนขึ้นมองฟ้า นางจึงสังเกตเห็นเงาสีดำที่ค่อยๆลอยผ่านนางไปทางเมืองนางจ้องมองอยู่นานจนเมื่อ เงาดำนั้นค่อยๆลดระดับความสูงลงมานางจึงเห็นได้ชัดว่าเป็น ฝูงแมวดำที่จะคอยกำหนดชะตาของมนุษย์นาม Dark Destiny (ดาร์คเดสทินี่) กำลังหนีอะไรบางอย่างที่กำลังตามล่าพวก มันมาติดๆ มันเป็นมังกรยักษ์กายสีดำหน้าตาดุดันปีกเหมือนค้างคาวไล่ล่าอยู่ นั่นมัน มังกรปีศาจบาซินซิลนี่ (Burzinzil, The Evil Dragon) นางอุทานแล้วจึงรีบเดินกลับไปที่เมืองอีกครั้ง (http://image.dek-d.com/9/655530/9095917.jpg) ก็าซซซซซซซซซซซซ เสียงคำรามอัน ดังกึกก้องของ มังกรปีศาจบาซินซิล กังวานไปทั่วซากของแมว ดาร์คเดสทินี่ ที่ตายตกเกลื่อนอยู่บนพื้นเมืองที่เคยมีผู้คนคับคั่ง ของแอนดิซองกลับกลายเป็น ซากเมืองในบัลดลนกส่งสารที่จะไปยังเมือง ท่าแอนดิซองเพื่อขอความช่วยเหลือก็ถูกกลุ่มควันสีดำที่เจ้ามังกรพ่นออก มาลมควันจนตายตัวแล้วตัวเล่า เหมือนกับที่เขียนเอาไว้ในบันทึกเลยหรือว่า เหล่าปีศาจจะเริ่มการแข็งข้อต่อพระเจ้าอีกครั้ง แม่ชีเอ่ยขึ้น เจ้ามังกรหันไปเห็นจึงตรงเข้าจะทำร้าย ว้ายยย นางกรีดร้องด้วยความกลัว ท่านโรซาน่า เสียงนึงดังขึ้นนางจึงค่อยๆลืมตาจึงเห็นนายทหารสามคนเอา หอกทิ่มแทงเจ้า มังกรจนมันต้องถอยห่าง ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ เสียงของซิสเตอร์คนหนึ่งดังขึ้นและเธอก็ส่งมือมาช่วยพยุง โรซาน่าขึ้น พวกท่านหนีไปก่อนเถอะไปแจ้งให้ทางเมืองท่าทราบด้วย นายทหราอีกคนตะโกนบอกเมื่อเห็นว่าคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน เมื่อโรซาน่ายืนขึ้นแล้วทั้งหมดจึงออกวิ่งไปที่ท่าเรือ นายทหราอีกสามคนที่ต้านเจ้า มังกรไว้ก็ผลักจนเจ้ามังกรล้มหงายไปแล้วจึงวิ่งตามไป ก็าซซซซซซซซซซซซซซซซ เจ้ามังกรคำรามก่อนที่จะพ่นควันดำจนทุกคนสำลักควันกันเป็นการ แค่กๆๆ อ็าคคค เสียงนายทหราคนนึงในกลุ่มดังขึ้นแล้วร่างของเขาก็ถูกโฉบเอาตัวขึ้น หวา เสียงของทหารอีกสามนายดังขึ้นพร้อมกันก่อนร่างจะถูกฉีก กระชากออกเป็นชิ้นๆ ว้ายยยยยย ซิสเตอร์ที่มากับทหรากลุ่มเมื่อกี้กรีดร้องด้วยความกลัว เธอเข้าแขนของโรซาน่าไว้แน่นหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัว ก็าซซซซซซซซซซซ เจ้ามังกรร้องขึ้นทำให้ซิสเตอร์คนนั้นกอดโรซาน่าแน่นขึ้นไปอีก ไม่ต้องกลัวจ้ะ พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่ทอดทิ้งเราแน่นอนจ้ะเราจะต้องปลอดภัย โรซาน่ากล่าวเพื่อปลอบ ใจซิสเตอร์ที่กลัวจนตัวสั่นอยู่พร้อมกับกอดเธอเอาไว้ในอ้อมอกแต่ในใจของนาง ก็หวาดกลัวอยู่เช่นกัน พระองค์อลาน่าดิฉันจะทำยังไงดีเพคะ เธอภาวนาในใจถึงองค์หญิงที่เธอเคยรับใช้ ก่อนที่เธอจะสละชีวิตหยุดสงครามลงเธอภาวนาแล้วภาวนาเล่า เสียงแห่งการภาวนาของเธอดังขึ้นไปจนถึงสวรรค์ ก็าซซซซซซซซซ เสียงของเจ้ามังกรดำดัง ขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงสีดำ พุ่งออกมาหมายจะเผาผลานซิสเตอร์ทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้น แต่ทว่าก่อนที่เปลวเพลิงจะมาถึงกำแพงน้ำ ก็พุดขึ้นมาจากพื้นดินช่วยป้องกัน เปลวเพลิงอันร้อนระอุไว้และดับสลายซึ่งไฟแห่ง ความโหดร้าย ซิสเตอร์ .ซิสเตอร์โรซาน่าจ้ะ มีเสียงดังขึ้นมาในหัวของนาง นางจึงค่อยๆลืมตาขึ้นก็ได้เห็นแสงสว่างเจิดจรัสลอยอยู่ตรงหน้า กำแพงน้ำ ที่พุดขึ้นมาค่อยๆแตกสลายกลายเป็น น้ำธรรมดาร่างที่ส่องประกายลอยอยู่หน้านางเป็นเด็กน้อยน้ำตาล มีปีกสีขาวเหมือน ทูตสวรรค์หลับตาอย่างสงบนางจำ เด็กคนนี้ได้ดีเขาคือโฮลี่เด็กช่วยมิสซาที่เป็นอารักขเทวดาของซิสเตอร์อลาน่าอดีตองค์หญิงแห่งเมืองท่าแอนดิซอง (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-3d6480.jpg) ฮ..โฮลี่เธอทำไมถึง ซิสเตอร์โรซาน่า พยายามจะพูดออกมาแต่เธอก็หยุดพูดไปเพราะได้มีเสียงดังขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง โฮลี่เขามาช่วยเธอน่ะจ้ะฉันขอให้เค้ามาเอง เสียงดังขึ้นในหัวของซืสเตอร ์อีกครั้งเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นพระองค์หรือคะพระองค์อยู่ที่ไหนบอกดิฉันด้วยสิเพคะ ซิสเตอร์ถามไปโดยไม่รู้ตัวในใจของเธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่เคยสัมผัสมาก่อน เราอยู่กับมาซิสเตอร์ตลอยเลยจ้ะ เสียงนั้นตอบ พระองค์ทรงอยู่กับดิฉันมาตลอดเลยรึเพคะ ขณะที่ซิสเตอร์กล่าวน้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้มของนาง แต่หาใช่น้ำตาแห่งความเสียใจไม่แต่เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน ก็าซซซซซซซซซ เสียงของเจ้ามังกรดังขึ้นทำให้การสนทนาต้องหยุดกลางคัน ตาของโฮลี่ค่อยๆลืมขึ้นแววตาสีดำค่อยเปล่งแสงออกมาจนเป็นสีทอง และทันใดนั้นก็ เกิดแสงส่วางสาดส่องไปจนทั่วก่อนจะจางลงไปพร้อมกับเจ้ามังกรที่ค่อยๆสลายกลายเป็นควันสีดำไปจน หมด เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าของแอนดิซองมีร่างของชายผู้หนึ่งลอยอยู่ข้างๆไหล่ของเขามีวิหกโลกัณฑ์เกาะอยู่ตาทั้งสี่ของมันจ้องมองลง ไปยังเบื้องล่างแบล็คไวเซอร์กำคฑาในมือไว้แน่นปากขบกรามด้วยความ เกรี้ยวกราด ชิ พลาดอีกแล้วแต่ก็เอาเถอะได้ตัวดาร์คเดสทินี่ตัวนี้มาก็เกินพอแล้ว แบล็คไวเซอร ์กล่าวเสียงเรียบก่อนจะค่อยๆบินหายลับไปกับกรงที่มี แมวดาร์คเดสทินี่สีขาวอยู่ตัวหนึ่ง โปรดติดตามตอนต่อไป ;) หวัดดีก้าบเป็นไงมั่งคับนิยายวันนี้อ่านแล้วซาบซึ้ง บ้างมั้ยคับผมเขียนไปร้องไห้ไปเลยล่ะ ส่วนไอ้ตอนขึ้นต้นเรื่องนั้น เป็นหนังสือพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคตของคนๆหนึ่ง เดี๋ยวก็รู้ว่าเป็นใครติดตามได้ในนิยายของผมนะแล้วก็อีกเรื่องมี ข่าวดีตอนพิเศษอีกแล้วคับคราวนี้มีสองตอน จริงๆคับรับรองไม่ยืดเหมือนตอนเอเลี่ยนแน่มาประมาณวันที่ 17 นี้แหล่ะ อ้อเกือบลืมเพลงที่ผมเอาให้โหลดคราวก่อนผิดอันอันนี้มันมีแต่ทำนองเอาอันนี้ไปละกันคับ http://www2.se-ed.net/dangunkun/Break%20Up!.mp3 (http://www2.se-ed.net/dangunkun/Break%20Up!.mp3) ส่วนตอนพิเศานั้นอาจจะมาช้ากว่าที่ควรจะมาเพราะมันเป็นตอนพิเศษของวันวาเลนไทแต่เราสอบช่วงนี้พอดีก็เลยต้องเลื่อนเอา ชื่อตอนคือ ช็อกโกแลตมังกร วาเลนไทร์แห่งรักครั้งแรกของ ลอเลนส์ ติดตามกันให้ได้นะคับ ตัวอย่างตอนต่อไป ในตอนหน้าเราจะไปดูกันต่อที่อาณาจักรฟูดินันมังกรเทพพิทักษ์ไพทอนแห่งเขาคีรีบันดาเกิดคลุ้มคลั่งทำให้เกิด ความโกลาหลไปทั่ว ติดตามได้ในตอนหน้า บทที่ 8 อาณาจักรทั้ง 4 Vol. 2 Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 17, 2006, 10:22:40 PM "หวัดดีทุกๆคนค้าบวันนี้ตอนพิเศาใช่มั้ยงั้นวันนี้ขอข้ามไปวัน.. :-X ว้าก "
" ไปเลยไปไอ้เจ้าการูรูม่อนตัวแสบหนอยมาป่วนงานฉันป่นปี้หมด ยามาโตะหาตัวอยู่ไม่ใช่เรอะ " แล้วการูรูม่อนก็จากไป เกรม่อนจึงได้ที่คืน แหะๆขอโทษนะคับเมื่อกี้เจ้าการูรูม่อนมันมาป่วน(คอยดูเถอะสักวันต้องดีลีทมมันให้ได้) นี่ถ้าไทจิไม่ห้ามไว้ป่านนี้ก็โดนอัดเดี้ยงสลายกลายเป็นข้อมูลไปแล้ว(ไม่เขาก็ตูล่ะฟะก็ระดับเท่ากันนิ) เอาล่ะนอกเรื่องพอลเดิ๋ยวกระทู้ยืดอย่างที่เคยบอกไปว่าตอนพิเศษมาวันนี้แต่ก็อย่างที่ทุกได้ยินการวิวาทเมื่อวันนี้ต้องเลื่อนจิงเพราะโดนมันลบที่เขียนไว้ใน word หมดเลย :'( ฮือๆๆน้ำตาไหลเลย เนื้อเรื่องต่อตอนก็น่าจะโพสได้แต่โดนลบเหมือนกันอ่ะฮืองั้นวันนี้ดูดิจิม่อนฆ่ากันไปก่อนนะคับ ส่วนตอนวันนี้เลื่อนเป็นพรุ่งนี้ตอนพิเศษจะบอกอีกที " ฮึ่ยแกตายยยยยไอ้หมาบ้าย้ากเมก้าเฟรม " ลูกไฟถูปล่อยออกไปเผาหางดิจม่อนสุนัขป่านามการูรูม่อน " เอ๋งๆหนอยไม่ได้แล้วย้าก " การูรูม่อนโต้กลับ " นี่แน่ะๆๆๆย้ากก อะจ้าก อะโจ้ อะเจี้ยก " แล้วทั้งสองก็ฟัดกันเอาเป็นเอาตายไทจิกับยามาโตะกลับมาพอดีจึงพูดว่า " วันนี้แค่นี้ก่อนนะคับ " แล้วทั้งสองก็เข้าไปผสมโรงด้วย จบดีก่า :P Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: amankis on February 18, 2006, 05:05:24 PM moonshine werewolf ภาษาไทยนะมัน หมาป่าแสงจันทร์ ไม่ใช่เหรอ
แล้วเกรย์มอนนะมัน greymon Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 19, 2006, 02:20:46 AM เฮ้อเดี๋ยวนี้ชักจะอู้บ่อยแล้วแฮะอะไรมันจะซวยขนาดนี้เมื่อวานนิยายที่ต้องเอามาลงก็โดนเจ้าการูรูม่อนมันลบจนเกลี้ยงเลย
เฮ้อออ แถมตอนพิมพ์ตอนพิเศษทาลิฯปะทะเอเลี่ยนมือ ไปโดนปุ่มย้อนกลับแล้วไม่ได้ทำในเวิดร์ก่อนเลยต้องพิมพ์ใหม่อีก นิยายเรื่องนี้มันมีอุปสรรคเยอะเหลือเกินเลิกพิมพ์มันซะเลยดีไหม เนี่ย แหมล้อเล่นคับล้อเล่นผมไม่ยอมง่ายๆหรอกคับ เข้าเรื่องดีก่านอกเรื่องพอละ เอาล่ะต้องขอบคุณผู้ที่บอกข้อผิดพลาดของนิยายให้ด้วยนะครับที่ช่วยบอกว่าผมแปลความหมายผิด เพราะ moonshine werewolf น่ะมันแปลว่ามนุษย์หมาป่าแสงจันทร์ ไม่ใช่วิหารจันทราเพราะผมสะกดผิดไปเลยกลายเป็นว่าเข้าใจคำว่า shine เป็น shirne ที่แปลว่า วิหารแทนแล้วผมจะแก้ไขให้คับเนี่ยถ้าทุกคนช่วยกันนิยายจะได้มีข้อบกพร่องน้อยลง ส่วนคำว่าเกรย์ม่อนอะนะอย่าไปคิดมากคับเพราะนี่ซัมมอนเนอร์นะคับไม่ใช่ดิจิม่อน (จะว่าไปนิยายเรื่องนี้ยิ่งเขียนยิ่งเหมือนดิจดม่อนเข้าไปทุกทีๆแล้วนะเนี่ยที่จริงกะอิงนิดเดียวนะ)อะมาว่ากันต่อเรื่องตอนพิเศษ นะคับมาวันพุทธที่จะถึงเนี้ยแหล่ะเพราะฉะนั้นวันจันทร์ที่บอกจะลง งดนะคับเพราะจะพิมพ์ตอนพิเศษส่วนนิยายอีกเรื่อง duel legend นั้นจะเปลี่ยนวันอัพเดทเป็นจากวันพุทเป็นวันพฤหัสนะคับเพราะถ้าไม่ทำงี้มันจะชนกับทาลิๆพอดี เอาล่ะคุยมาพอแล้วไปชมนิยายกันดีกว่าวันนี้ไปดูกันที่ฟูดินันนะคับ บทที่ 8 อาณาจักรทั้ง 4 Vol. 2 จากเมืองแห่งการค้าขายอันยิ่งใหญ่กลางมหาสมุทรอย่างแอนดิซอง ย้ายขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ลึกเข้าไปในป่าทมิฬเหล่าสัตว์น้อยใหญ่แห่งพงไพรต่างก็แตกตื่นไปกันหมด หนูดิน (geo rat) ตัวเล็กๆ หลายฝูงต่างพากัน อพยพออกจากรังใต้ดินกันยกใหญ่ ถัดจากฝูงหนูดิน ฝูงสัตว์ประหลาดสีขาว นาม ชินชิน (shinshin) ที่พึ่งจะอพยพตามมา ก็ไล่เหยียบไล่บี้พวกหนูดินที่หนีไม่ทันจนตายคาพื้นดิน ชินชินที่บินไปเกาะต้นไม้ต้นนู้นทีต้นนี้ทีบางตัวที่บินช้า ก็ถูกเงาของสิ่งมีชีวิตบางอย่างพุ่งเข้าโจมตีจนร่วงหล่นหมดทันใดนั้นร่างสีม่วงขนแผงคอสีขาวยาวรุงรัง เปล่งประกายรัศมีอันน่าเกรงขามขามดังพญาราชสีห์ ซึ่งเดินสวนทางกับเหล่าสัตว์ที่ต่าง ตื่นตระหนกหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศ ร่างนั้นคือจิตวิญญาณแห่งผืนดินราชสีห์แห่งพงไพรนาม แอนโกริอ้อน(Angorion, the Earth Spirit) โฮกกกกกกกกกกกกกกกก เสียงคำรามอันดังก้องสร้างความหวั่นเกรงให้แก่ฝูงสัตว์จนถึงกับหยุดหันไปมอง เงาดำเมื่อครู่ที่ไล่ล่าเหล่าสัตว์เมื่อกี้ บัดนี้ได้มาประจันทร์หน้ากับแอนโกริอ้อนแล้ว แอนโกริอ้อน เองก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่ที่ถิ่นของตนถูกบุกรุกจึงแสดงความเป็นเจ้าด้วนการคำรามอีกครั้ง เสียงคำรามดังไปถึงเขตเผ่าฟูดินัน ลานหน้าบ้านของครอบครัวบันดารา ชาวบ้านต่างพากันมารุมล้อมพูดคุยถึง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าและเสียงของทุกคนก็เงียบลงทันทีที่ ฮาริซัน (Harison, the ciff of fudenun) ผู้นำเผ่าฟูดินันเดินลงมาจากบ้าน ท่านฮาริซันเสียงคำรามกับฝูงสัตว์ที่พึ่งอพยพไปตั้งแต่เช้าน่ะเกิดจากสาเหตุใดหรือ ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่กับฟูดินันอีกรึเปล่า หญิงอีกคนพูดขึ้นหลังจากนั้นก็มีเสียงถกเถียงกันไปต่างๆนานาจนเมื่อมีเสียงเคาะไม้เท้าดังขึ้นทุกคนจึงเงียบลง ผู้เฒ่าวูจิน (Woojin, the Elder of fudenun) จึงเดินลงจากบันไดพร้อมกับฮาริซันที่เดินไปช่วยพยุง เอาล่ะๆทุกๆคนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้าเองก็ไม่อาจจะอธิบายได้แต่เสียงคำรามที่ดังมาจากป่านั้นข้าพอจะรู้ วูจินกล่าวจบก็มีเสียงชาวบ้านหลายคนถามกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน แล้วมันคืออะไรล่ะท่านผู้เฒ่า ชาวบ้านถามจบวูจินก็หลับตาลงเหมือนจะคิดหาคำพูดที่ไม่ทำให้ชาวบ้านตืนตระหนกเพราะเสียงคำรามนั่น เป็นเสียงคำรามที่เตือนถึงภัยอันตราย เสียงคำรามนั่นเป็นของเทพแอนโกลิอ้อนที่กำลังต่อสู้กับศัตรูจากนอกอาณาจักร วูจินพูดจบก็มีเสียงพูดกันดังเซ่งแซ่ไปหมด เทพแอนโกลิอ้อนเหรอเทพที่จะปรากฏตัวออกมาเมื่อมีภัยพิบัตน่ะเหรอ สงสัยคราวนี้คงจะเกิดสงครามอีกแน่ๆเลย เสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆแต่แล้วเสียงก็เงียบไป ก็าซซซซซซซซซซซซ มีเสียงร้องคำรามดังมาจากภูเขาคีรีบันดาที่ยังคงหลงเหลืออยู่แม้ตอนที่เต่าบินยกตัวออกไป เสียงคำรามดังอยู่ นานซักพักก็มีเสียงดินถล่ม ชาวบ้านต่างเงียบกันหมดเอาแต่จ้องเหตุการณ์ณ์อันไม่น่าเชื่อที่กำลังจะเกิด ขึ้นเมื่อภูเขาคีรีบันดาเกิดถล่มลงมาตรงส่วนที่ถล่มมีเทพพิทักษ์แห่งคีรีบันดามังกรยักษ์ไพทอน (Python, Kerebandas Guardian) ตกลงมาด้วยเช่นกัน ก็าซซซซซซซซซซซซ เสียงคำรามของไพทอนดังขึ้นทันทีที่มันลุกขึ้นก็มีคลื่นพลังสีดำกระแทกจนไพทอนปลิวไปใกล้ เขตมหาพฤกษาอิกดราซิล(Yggdrasil) บริเวณที่ภูเขาถล่มมีร่างของใครบางคนลอยอยู่ นั่นอะไรน่ะ ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนแล้วชี้ไปยังทิศนั้นทุกคนก็หันไปดูเช่นกัน เฮอะที่ข้าเบื่อที่สุดก็คือฟูดินันนี่แหละไอ้เจ้ามังกรยักษ์ตัวนี้สงสัยต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ ร่างที่ลอยอยู่พูดขึ้นพร้อมกับเริ่มวาดมือร่ายเวทย์สักพักคลื่นเวทย์ที่เขาร่ายอยู่ก็รวมตัวอัดแน่นอยู่ในมือของเขา และกลายเป็นวัตถุทรงกลมสีดำ ต้องใช้ ซีลบอล (Seal ball) จัดการควบคุมมัน เฮลลิก แกพร้อมนะ ชายคนนั้นพูดจบก็มีกลุ่มสีดำพวยพุ่งออกมาจากข้างหลังและกลายเป็นวิหกโลกัณฑ์มาเกาะที่ไหล่ของเขา ชายคนนั้นลอยไปข้างหน้าจนร่างกระทบกับแสงจนเห็นร่างในชุดสีดำของเขาได้ชัดแบล็คไวเซอร์จึงจัดแจงถอนขน วิหกคู่ใจออกมาเส้นนึงแล้วเสียบมันเข้าไปในวัตถุสีดำนั้นแล้วข้าวออกไปใส่ไพทอน จงออกมาสัตว์อสูร โพเนเรีย (Poneria) แบล็คไวเซอร์ตะโกนแล้วลูกบอกก็แตกออกควันสีดำพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเงาดำพุ่งออกตรงไปยังไพทอนแล้วไปเกาะตรง ข้อระหว่างหัวทั้งสองร่างของเงานั้นเป็นผู้หญิงผิวขาวนวลสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นชวนให้เย้า ยวนเธอมีปีกค้างคาวสีดำติดอยู่ที่หลัง ผมของเธอเป็นสีม่วงยาวสลวย ควบคุมมันซะ แบล็คไวเซอร์สั่งจบเธอก็เอามือแตะคอทั้งสองของไพทอนที่ยังคงนอนสลบอยู่จากนั้นเธอก็แทรกซึมเข้าไปในตัวไพทอน ลุกขึ้นมา แบล็คไวเซอร์สั่ง ทันใดนั้นไพทอนก็ลืมตาขึ้นมาตาของมันเปลี่ยนไปเป็นสีแดงมันค่อยๆลุกขึ้นมา เอาล่ะปัญหาของที่นี่คือเทพกับกองทัพครุฑแต่ศูนย์กลางก็คือต้นไม้นั่นทำลายมันซะ แบล็คไวเซอร์กล่าวจบไพทอนก็ตรงเข้าไปหมายจะโค่นมหาพฤกษา โอไม่นะเทพผู้พิทักษ์แห่งคีรีบันดากำลังจะทำลายมหาพฤกษาหรือนี่ วูจินพูดขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง โฮกกกกกกกกก เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดดังมาจากด้านหลังชาวบ้านทุกคนทุกคนจึงหันไปดูก็ต้องประหลาดใจอีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อเทพแอนโกลิอ้อนได้มาล้มลงอยู่ตรงหน้าพวกตน ตามตัวมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ท..เทพแอนโกลิอ้อน ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น ต่อมาก็มีเสียงม้าควบมาทางนี้เพร้อมกับการปรากฏตัวของเหล่าเซนทอร์เรนเจอร์ ท่านฮาริซันมันเกิดอะไรขึ้น ทราเฮินร์นายพลทัพเซนทอร์ถามขึ้นทันทีที่มาถึง เอ่อข้าเองก็ ฮาริซํนพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดที่มีขนสีขาวปรอดทั้งตัว ฮาริซันมันเกิดอะไรขึ้น ดามิก้าซึ่งขี่สัตว์ประหลาดที่คำรามเมื่อครู่ถามทันทีที่ลงจากสัตว์ตัวนั้นพร้อมกับเผ่าทมิฬ นี่มันเกิดอาเพทอะไรขึ้น เสียงตะโกนที่ปนมากับเสียงคำรามดังมาแต่ไกลปรากฏร่างของสมิงสิงโตคาร์นพร้อมกับการมาของเผ่าสมิง จากนั้นเผ่าอื่นๆก็ตามมาเรื่อยๆ ก็าซซซซซซซซซซซซซ เสียงคำรามของมังกรยักษ์ไพทอนดังขึ้นอีกครั้งทุกคนจึงหันไปมองยังต้นเสียง ไพทอนได้เข้าไปใกล้มหาพฤกษาและเริ่มกระแทก มหาพกฤษาอย่างแรงเมื่อไพทอนจะกระแทกอีกครั้งก็มีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นที่มหาพฤกษา ก็าซซซซซซซซซซซซซ เสียงคำรามอีกเสียงดังมาจากด้านหลังมหาพฤกษาพร้อมกับการปรากฏร่างของมังกรเทพพิทักษ์มหาพฤกษา มารัค (Marag, Yggdrasills Guardian) ร่างของมารัคที่ยังคงมีรากของมหาพกฤษาพันอยู่ แต่แล้วรากนั้นก็คลายตัวออกเหมือนมีชีวิต มังกรทั้งสองจึงเข้าปะทะกัน ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเหล่าครุฑที่อาศัยอยู่บนมหาพฤกษาซึ่งถูกรบกวนจากแรงสั่นสะเทือนที่มารัคหลุดออกมาจากผนึก ก็เริ่มลงมาโจมตีไพทอนเช่นกันแต่แบล็คไวเซอร์เตรียมการไว้พร้อมแล้ว เอาล่ะพวกเจ้าออกมาได้ สิ้นเสียงแบล็คไวเซอร์เงาดำที่โจมตีแอนโกลิอ้อนและศัตว์ในป่าก็ออกมาแล้วเข้าต่อกรกับเหล่าครุฑอีเกิลการูด้า ร่างของเงาดำนั้นมีลักษณเหมือนม้าแต่มีปีกกายสีดำตาแดงก่ำเหมือนเลือดมันคือม้าปีกาซัสแห่งฝันร้าย (Nightmare Pegasus) ก็เข้าต่อกรกับครุฑทั้งหลายจนเกลการูด้าและพญาเกลการูด้าเองต้องลงมาจัดการด้วยแต่ก็ไม่สู้ พลังของม้าบินเหล่านี้ได้ เหล่าครุฑต่างถูกเตะร่วงหล่นลงมาตัวแล้วตัวเล่าจนต้องถอยล่น ฮ่าๆ เมื่อจัดการเจ้าครุฑกับมังกรเจ้าปัญหาสองตัวนั้นได้ทุกอย่างก็เสร็จ แบล็คไวเซอร์หัวเราะด้วยความสะใจแล้วก็เริ่มร่ายเวทย์อีกครั้งและแล้วเพลิงเวทย์ก็ถูกปล่อยลงสู่ผืนป่า เพียงพริบตาเดียวป่าก็กลายเป็นทะเลเพลิงแต่ก็ไม่มีสัตว์ตายไม่เพราะพวกมันต่างก็อพยพไปจนหมดสิ้น มังกรเทพพิทักษ์ก็ยังคงปะทะกันอยู่เหล่าครุฑที่ยังจัดการกับม้าบินฝันร้ายไม่ได้ก็เริ่มต้องขอกำลังเสริม ฟูดินันกลายเป็นสนามรบระหว่างเทพกับปีศาจไปแล้ว โปรดติดตามตอนต่อไป ;) เป็นไงคับวันนี้มันไหมคับทั้งครุฑทั้งมังกรสู้กันจ้าละหวั่นแต่สงสัยยาวไปนิดก็อ่านๆแล้วโพสวิจารณ์บ้างก็ได้นะคับ ตัวอย่างตอนต่อไป ฟูดินันได้เกิดความวุ่นวายไปทั่วชาวฟูดินันก็ทำได้เพียงแค่ยืนดูเท่านั้นเมื่อเทพพิทักษ์ต้องมาปะทะกันเองนักรบครุฑ เพลี่ยงพล้ำจากการรุกรานของแบล็คไวเซอร์ ป่าที่ถูกเผานั้น เทพีอันดีนเองก็พยายามจะขึ้นมาช่วยด้วยการเสกฝนทิพย์แต่ มหาพฤกษามีพลังไม่มากพอจึงทำอะไรไม่ได้ เมื่อแบล็คไวเซอร์คิดว่าตนชนะเทพทุกองค์ของฟูดินันได้แต่แล้วเผ่าแห่ง ตำนานเผ่าหนึ่งที่หลับใหลมานานในฟูดินันจะมาแก้ไขความวุ่นวายนี้พวกเขาคือใครติดตามได้ในตอนหน้า บทที่ 9 อาณาจักรทั้ง 4 Vol. 3 ติดตามกันให้ได้นะคับ สงครามเริ่มแล้ว Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on February 27, 2006, 09:13:16 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษถูกเก็บไปรวมไว้ที่เดียวแล้วเพื่อความสะดวก Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Legendary_krean on March 01, 2006, 12:48:11 AM โอ้ว รักครั้งแรกของลอเรนซ์ จนต้องกลายร่ายไปทาลิลมผู้ปกป้อง
ปล.อยากให้มีฉากที่ทาลิวิลย่าโดนดาบของตนเองครอบงำจิตใจอะ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: amankis on March 01, 2006, 04:23:56 PM จะต่อตอนเกี่ยวกับฟูดินันไม่ใช่เหรอ(บทที่9)นะ
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 03, 2006, 02:26:35 PM ตอนฟูดินันเดี๋ยวต่อให้พรุ่งนี้ครับหรืออาจจะวันนี้ตอนเย็นพอดีคอมฯเอา
ไปซ่อมมันก็เลยไม่ได้พิมพ์ต่อเลยอีกอย่างขอเอาตอนพิเศาให้รอดก่อนนะขอรับอีกอย่างช่วงนี้สร้างเกมส์เพลินไปนิด ไม่ค่อยได้แต่งเลยง่ะกำลังเร่งให้การูรูม่อนช่วยปั่นงานอยู่ว่าแล้วขอตัวไปเร่งมันก่อนนะขอรับ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Legendary_krean on March 05, 2006, 01:13:33 AM กระทู้มาดึกๆหน่อยนะคับ เพราะคนเขียนกำลังปั่นอยู่ ถ้าให้ดี มาอ่านกันพรุ่งนี้จะดีกว่านะครับ
(ผู้ช่วยนักเขียน) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 05, 2006, 02:07:31 AM พื้นที่ลงตอนพิเศษถูกเก็บไปรวมไว้ที่เดียวแล้วเพื่อความสะดวก Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 06, 2006, 09:25:08 PM โทษทีเมื่อวานจะมาลงแต่ลืมซะได้มัวแต่ไปอ่านนิยายของเจ็จิงอยู่เลยลืมเพราะว่ายังไม่ได้ซื้อไวเซอร์ใหม่เลยอ่ะว่าแต่เล่มนี้ลง2ตอนหรือในบอดร์มันถึงมีสองตอนใหม่เลยอ่ะคับ
เอาเป็นว่าช่วยตอบด้วยเน้อส่วนนิยายเราเดี๋ยวลงให้อีกทีตอนเย็นปั่นงานอยู่กะเอารวบทีเดียวมัน ทั้งฟูดินันซาโลมเลยจะได้ไม่ต้องต่อ Vol รอหน่อยนะคับ ;D Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 07, 2006, 01:23:22 PM บทที่ 9 อาณาจักรทั้ง 4 Vol. 3
บัดนี้ป่าที่เคยเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยพืชพันธ์มากหลายและสัตว์ป่านานาชนิด กลายสภาพไปแมกไม้ในป่าถูกเปลวเพลิง ที่จุดจากมนต์ดำเผาผลานจนเป็นถุลีอละไปเรื่อยๆแต่ไม่ว่าไฟจะลามไปมากน้อยเพียงไรก็หามีสัตว์ป่าถูกไฟคลอกไม่ เพราะต่างได้อพยพหนีไปจนหมดแล้ว ก็าซซซซซซซซซซ เสียงคำรามของไพทอนมังกรเทพพิทักษ์แห่งคีรีบันดาดังกึกก้องไปทั่วผืนป่า ก็าซซซซซซซซซซซซซ มารัคเทพพิทักษ์แห่งมหาพฤกษาอิกดราซิลก็คำรามเพื่อข่มขวัญผู้บุกรุกหากแต่ผู้บุกรุกนั้นกลับเป็นไพทอน ซะเองมังกรทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างไม่หยุดยั้งแต่ทว่าการปะทะก็มิใช่มี แต่บนผืนดินเท่านั้น บนฟ้าก็มีศึกเช่นกันเผ่าครุฑก็ถูกรุกรานจากม้าบินฝันร้ายเช่นกัน ห่างจากพื้นที่การปะทะ ที่หมู่บ้านฟูดินัน ชาวเผ่าอื่นๆก็เริ่มมารวมกันที่ลานหน้าบ้านครอบครัวบันดารา ดูท่าว่าพวกเราคงจะต้องอพยพบ้างแล้วล่ะรัศมีของเปลวเพลิงมันใกล้เข้ามาแล้ว ดามิก้าออกความเห็นต่อกลุ่มผู้นำของทุกเผ่าซึ่งตอนนี้กำลังประชุมหารือเรื่องเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หลังจากดามิก้าออกความเห็นทุกคนในกลุ่มก็เงียบไปมีเพียงเสียงจิกจักในปากของแต่ละคนแต่ของเผ่าสมิงนั้นอกจะดูเหมือนคำรามมากกว่าในการพิเคราะห์ความเห็นของดามิก้าเท่านั้นที่ยังดังอยู่ อืม ข้าเห็นด้วยเพราะพวกเราคงจะทำอะไรไม่ได้เพราะนี่เป็นศึกของเทพพิทักษ์เราคงจะแก้ไขไม่ได้ ทราเฮินร์แม่ทัพของเผ่าเซนทอร์กล่าวสนับสนุน ทุกคนต่างก็เห็นด้วยแต่ทว่าฮารีซันนั้นกับไม่ชอบ ที่พวกตนจะเอาแต่หลบหนีคอยพึ่งพาเทพเพียงอย่างเดียวจึงออกความเห็น ถ้าเช่นนั้นหากเราไม่ทำอะไรล่ะก็แล้วถึงเราจะอพยพหนีไปได้เรื่อยๆแต่ถ้าทวยเทพไม่อาจทำอะไรได้ล่ะแล้วหากมันขยายวงกว้างไปเรื่อยๆจนเราไม่มีที่จะหนีเราก็ต้องออกจากบ้านเกิดของเราป่าของเราไปเพียงเพราะมันเป็นเรื่องของทวยเทพงั้นรึข้าไม่เอาด้วยหรอกถ้าจะให้หนีทั้งๆที่ยังไม่ได้พยายาม คำพูดของฮารีซันทำทุกคนถงกับเงียบไปเนื่องจาก ฮาริซันเป็นคนที่รักสงบไม่เคยคิดจะออกความเห็นที่จะสู้ แต่ชอบที่จะสนับสนุนการปกป้องมากกว่ารุก แต่ทว่าครั้งนี้เขากลับออกความเห็นซะเองแววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนวงประชุมเงียบไปชั่วครู่เมื่อไม่มีใครพูดทราเฮินร์จึงตัดสินใจเป็นผู้เจรจา ฮารีซันไม่ใช่ว่าข้าเองจะไม่เห็นด้วยกับเจ้าอยู่หรอกนะแต่ว่าตอนนี้น่ะเราควรถอยก่อนจะดีกว่านะ ทราเฮินร์พูดด้วยน้ำเสียงประค่อมประคองแต่เมื่อเห็นว่าฮารีซัไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนความคิดเลยจึงเงียบไป ฮารีซันยังไงก็ตามตอนนี้เราคอยดูสถานการณ์กันก่อนก็ได้นะท่าเห็นว่าจวนตัวจริงๆเราค่อย ดามิก้าหยุดพูดกลางคันเมื่อฮารีซันหันหน้ามาที่ตนแล้วมองด้วยแววตาที่น่าเกรงขามแม้แต่คาร์นเองยังสะดุ้ง แต่ก็พยายามรักษาท่าทีไว้ เอาไว้จวนตัวแล้วค่อยสู้น่ะเหรอ เฮอะแล้วเมื่อไหร่ถึงจะจวนตัวล่ะหากผลัดวันประกันพรุ่งไว้เรื่อยๆแล้วเมื่อไหร่จะได้สู้ล่ะหนีไปจนแก้ไขไม่ได้ก็ต้องแพ้งั้นเหรอยังไงซะข้าก็จะสู้ถึงจะตัวคนเดียวก็ตามเถอะ ฮารีซันพูดจบก็จะเดินจากไปแต่ทว่าคาร์นก็มายืนขวางไว้ ถอยไปคาร์นถึงเจ้าจะห้ามข้าก็จะไป ฮารีซันพูดน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแต่แล้วเขาก็รู้สึกว่าหน้าของเขาถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรงเหมือนโดนค้อนทุบและแล้วเขา ก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิวร่างของเขากระเด็นไปตกลงกลางวงประชุมเหล่าผู้นำต่างหลบกันด้วยความตกใจ ร่างของฮารีซันถูกคาร์นซัดกระเด็นจนตกลงไปกลางวงประชุมเหล่าผู้นำต่างตกตะลึงต่อเหตุการณ์ตรงหน้า คาร์นค่อยๆเดินเข้าไปจับกระชากคอเสื้อฮารีซันขึ้นมาดามิก้าถึงกับอุทานออกมาเสียงดังลั่น ฮึ่ยฮารีซันเจ้าบ้าไปแล้วรึไงสถานการตอนนี้น่ะถึงจะสู้ก็มีแต่จะตายเท่านั้นแหล่ะน่านี่น่ะเหรอฮารีซันที่ข้ารู้จักน่ะเขาไม่รีบร้อนที่จะรุกหรอกน่ะแต่จะค่อยวางแผนไปเรื่อยๆแล้วดูสิสภาพเจ้าตอนนี้น่ะนี่น่ะเหรอหัวหน้าเผ่าฟูดินันเฮอะ คาร์นพูดจบก็ทิ้งตัวฮารีซันลงกับพื้นก่อนจะเดินจากไป เป็นอะไรมากไหมฮารีซัน ดามิก้าเข้ามช่วยประคองตัวเขาไว้ อาาา คาร์นพูดถูกข้าลืมตัวไปหน่อยเวลานี้เราควรถอยถึงจะถูกข้าได้สติแล้ว ฮารีซันค่อยลุกขึ้นเอาประกบแก้มข้างขวาเอาไว้ด้วยความเจ็บก่อนจะเดินไปบอกทราเฮินร์ให้อพยพผู้คน แล้วแอนโกริอ้อนล่ะจะพาไปด้วยดีไหมถึงยังไงท่านก็เป็นเทพที่คอยเตือนภัยให้กับเรานะ ทราเฮินร์กล่าวถึงแอนดกริอ้อนที่เดินกระเสือกกระสนมาสลบอยู่หน้าลานบ้านบันดาราซึ่ง ตอนนี้กำลังทำแผลอยู่ในบ้านบันดาราด้วยสมุนไพรของผู้เฒ่าวูจิน นั่นสิท่านปู่เองก็ดูแลอยู่งั้นพาไปด้วยก็ละกันเพราะท่านเทพบาดเจ็บสาหัสมากเลยคงใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย ฮารีซันพูดจบทราเฮินร์ก็เริ่มไปอพยพผู้คนหัวหน้าเผ่าอื่นๆก็แยกย้ายกันไปจัดกลุ่มเผ่าตัวเองกัน ฮารีซันมองไปทางทิศอาณษจักรซาโลม ในใจคิดเป็นห่วงน้องสาวของตนที่เดินทางไปกับอิสฮาน วานาอันน้องรู้เรื่องที่นี่หรือยังนะ ฮารีซันคิดในใจก่อนจะส่ายหัวแล้วเดินไปจัดการกับเผ่าตัวเองด้วยเช่นกัน (http://www.fotothing.com/photos/8d1/8d1ecacd124c8e54ac15ddd9cca0c9c2.jpg) ที่อาณาจักรซาโลม ท่ามกลางทะเลทรายที่เวิ้งว้างกว้างขวางกลับมีฝุ่นตลบจากการประจันหน้ากันกับกองทัพซาโลมและฝูงปีศาจ ที่พระราชวังซาโลม ท่านอิสฮานพวกมันส่งทัพเสริมมาบุกแล้วครับ นายทหารคนหนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวสถานการณ์ การรบที่ทะเลทราย ภายในท้องพระโรงที่บัลลังค์สีแดงเพลิง อิสฮานและวานาอันกับซูไลก้ากำลังนั่งประชุมกันอยู่ที่โต็ะประชุมโดยมีสีหน้าเคร่งเครียด ว่ายังไงนะพวกมันส่งทัพมาเสริมอีกเรอะ อิสฮานอุทานในใจของเขาเต็มไปด้วยความหว้าวุ่น ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปต่อให้มีทัพจากลาซาลมาช่วยก็ไม่อาจต้านได้แน่ วานาอันพูดด้วยความตื่นตระหนก โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ปล.ต่อครึ่งสองวันศุกร์ส่วนตอนพิเศษวันเสาร์ dule legeand พรุ่งนี้ แค่นี้นะเหนื่อยแล้ว Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 12, 2006, 11:46:31 PM ขอโทษด้วยขอรับทุกท่านที่ติดตามอ่านอยู่ด้วยว่าตัวกระไม่นึกฝันว่าตัวเองจะไม่ติดสายวิชาใดๆ
เลย ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าโรงเรียนเพื่อต่อ ม.4 ด้วยเหตุอันไม่คาดฝันนี้จึงขอแจ้งให้ทราบว่า Legend of The Thaliwilya จึงต้องของดพิมพ์จนกว่าผมจะสอบเข้า ได้เอาใจผมด้วยนะขอรับ ::) ส่วนจะมาต่ออีกทีวันไหนจะบอกอีกทีแต่ยกเว้น Dule Legeand นั้นผมจะอีกสามตอนในวันพฤหัสนะขอรับวันละตอนเหมือนเดิมแค่นี้นะครับ ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: SuperJong on March 13, 2006, 11:56:32 AM ขอให้สอบเข้าให้ได้นะคับบ จะได้มาแต่งนิยายต่อ ;)
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: amankis on March 13, 2006, 02:43:17 PM สู้เค้านะคับ
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 20, 2006, 01:46:50 PM เตรียมอ้าตารออ่านกันให้จุใจได้เลยเพราะใกล้จะสอบเข้าเสร็จแล้วและหากผมติดโรงเรียนได้ละก็จะพิมพ์ให้กระจายเลยทั้งสองเรื่องรอได้กันเลยวันที่ 1เมษา ;)
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on April 02, 2006, 04:39:06 PM เอ้าหายไปซะนานเรื่องสอบเข้าโรงเรียนน่ะผมสอบไม่ติดคงต้องลอยคอกันซักพักไม่
ก็เส้นสาย อันที่จริงที่ผมไม่ติดนั้นก็เพราะตอนที่เค้าให้กรอกสมัครผมเลือก วิทย์-คณิตกับศิลป์-คำนวนไม่ได้เลือกศิลป์ภาษาเลยไม่ได้คิดเลยน่ะ พอเอาเข้าเกรดเลขวิชาเดียวที่ไม่ถึงอันเกรดสูงหมดวิทย์เราก็เกรด3.5 ติดเลขอย่างเดียวเกรดไม่ถึงฮือๆๆ แต่เอาเถอะยังไงก็ผ่านมาแล้ว คงต้องวัดดวงกันเอาชีวิตมันก็เหมือนเกมส์มีอุปสรรคบ้างมันก็ไม่แปลกเหมือนตอนเล่นการ์ดมันต้องมีช่วงที่เราคิดหาทางแก้ไม่ออกบ้างสุดท้ายแล้วผลของเกมส์แห่งโชคชะตานี้จะเป็นเช่นไรติดตาม.....โป้กตุบตับโครม..ตูมมมมมมมม...บรึม เฮ้อไอ้เจ้าเกรม่อนสอบไม่ติดแค่นี้สติเรอะเลือนเลยเรอะเอาเป็นว่าโพสนี้ ผมการุรุม่อนจะรับหน้าที่บรรยายองนะโฮ่ง ไหนๆก็ไม่พบกันซะนานเดี๋ยวลงนิยายต่อให้ แต่วันพุทนะมาดูด้วยล่ะจะอัพเดท dule legend ด้วยพึ่งลงไปสองตอนเองโฮ่ง ตอนหน้าธนัทจะพลิกเกมส์กลับไปชนะภูเขารึเปล่า ต้องดูกันในตอนที่ชื่อว่า เกมส์ที่3 พลิกกลับ (ชื่อก็บอกอยู่แล้วคงเดาออกนะ) วันนี้เอาtip for dragonology ไปก่อนละกันนะโฮ่ง เรื่องบรรยายปล่อยเป็นหน้าที่ของปิโยม่อน ละกันไหนๆวันนี้พวกยามาโตะก็ไม่อยู่งั้นเรามาจัดงาน เลี้ยงปลอบใจเกรม่อนกันดีไหมโฮ่ง ว่าไงเทนโทม่อน งั้นเป็นอันตกลงนะไปเตรียมงานอ้อฝากคนดูด้วยนะปิโยม่อน โฮ่ง จ้า งั้นเริ่มเลย let's go tip for dragonology ตอนจุดเริ่มต้นของนิยายนี้ หวัดดีจ้า หายไปนานกับ tip for dragonology นะจ้ะวันนี้เราจะมาเริ่มถึงที่มาของนิยาย เรื่องนี้นะคะแหมดิฉันเนี่ยใช้หลายสำนวนนะคะอย่าถือเลยนะคะเดี๋ยวจะเมื่อย อิๆล้อเล่นไม่ขำเลยเหรอ เลิกเล่นมุกกันก่อนดีก่าเริ่มเรื่องเลยนะวันแรกที่นิยายเรื่องนี้ถูกแต่ง ขึ้นโดยความคิดของกลุ่มพวกเราที่อยู่ในจินตนาการของคนแต่ง เข้าใจมั้ยถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ ต้องเข้าใจนะเดี๋ยวคิดมากแล้วแก่เร็ว(อันที่จริงคนแต่งมีคนเดียว) โดยเริ่มที่เกรม่อนคุงน่ะ เขาคิดว่ามันเคยมีเคาน์เตอร์การ์ดที่บอกถึงตำนานของทาลิวิลย่า แต่มีข้อมูลน้อยมากแล้วจู่ๆวันหนึ่งเกรม่อนคุงก็ได้มาหาพวกเรา และตกลงกันว่าจะลองแต่งนิยายเรื่องนี้ตอนแรกพวกไม่พลอตเรื่องเลย ก็แต่งไปแล้วก็ท้อสุดท้ายก็เลิกและเวลาผ่านไปเนิ่นนานที่เกรม่อนคุงไม่ได้เข้าบอร์ดอีกเลย เลยไม่ได้รู้เลยว่าทุกคนติดตามเรื่องนี้อยู่อีกอย่างตอนนั้นเกรม่อนคุงก็ติดโปรแกรมส์ สร้างเกมส์ของ Thaiwere อยู่ด้วยเลยได้เข้าบอร์ด หลังจากนั้นเกรม่อนคุงก็เลยอยากเข้าบอร์ดหน่อยเพราะไม่มีอะไรทำช่วงเปิดเทอม งานเยอะสร้างเกมส์ไม่ได้เลยเข้ามาคลุกคลีกับคนในบอร์ด และนึกอยากดูว่านิยายตัวเองเป็นไงบ้างจึงเข้ามาดูปรากฎว่ามีคนเข้ามาโพสติชมกระทู้ มากมายพอดีช่วงนั้นดราโก 2 ออกพอดีเลยมีพลอตเรื่องขึ้นมาทันทีนั่นคือจุดเริ่มทั้งหมดของ ตำนานอัศวินมังกร ที่จะมีเด็กน้อยชาวมนุย์อยู่กับมังกรแล้วอยู่ มาวันหนึ่งชวิตเขาก็เปลี่ยแปลงไปเมื่อเจตนารมย์แห่งปีศาจได้ก่อกำเนิดบาปที่ ยิ่งใหญ่กว่าบาปทั้งสิบประการเพราะบาปทั้งหมดเกิดจากสิ่งที่ให้กำเนิดมัน เจตจำนงของซินที่รวมตัวกันเป็นความกลัวแห่งจิตใจก่อกำเนิดบาปต่างๆ และความกลัวก็คือบาปประการที่11ของนิยายเรื่องนี้ Lr คือผู้ที่จะหยุดยั้งไมให้พวกซินปลุกอริเทพของพระเจ้าสูงสุดแห่งเทอร่า เขาจึงต้องเข้าขัดขวางและตามหาอดีตของตัวเองว่าเป็นใครกลับต้องพบกับความจริงที่ไม่น่าเชื่อว่าพ่อของเขาเป็น.... นี่คือที่มาของเรื่องนี้ยังไงล่ะเจ้าคะเอาก็จบแล้วนะเจ้าคะเดี๋ยวขตัวไปช่วยจัดงาน ปลอบใจเกรม่อนคุงก่อนเอาล่ะฟื้นซะทีเกรม่อนคุง ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on April 06, 2006, 01:09:23 PM เดี๋ยวมาโพสตอนดึกนะทั้งทาลิกับดวลการ์ดเลย
ต้องไปรับน้องที่ต่างจังหวัด Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on April 07, 2006, 01:01:50 AM บทที่ 9 อาณาจักรทั้ง 4 Vol. 3 Part2
ภายในห้องโถงของประสาทแห่งอาณาจักรซาโลม มีแต่ความตึงเครียดที่ทวีขึ้นเรื่อยๆอุณหภูมิภายในห้องร้อนเหมือน กับจะลุกเป็นไฟจากความตึงเครียดทั้งๆที่อากาศวันนี้มีลมพัดอ่อนๆโชยเข้ามาในห้องไม่ขาดสายจนรู้ได้ว่าได้ว่าเย็นกว่าทุกวัน “ แล้วนี่เราจะทำอย่างไรดี ” ซูไลก้าถามอย่างกังวล “ นั่นสิถ้าตอนนี้เพื่อนๆในคณะประกาศก (Prophet ) ยังอยู่ครบละก็เราเองก็ยังคงจะต่อกรกับพวกมันได้บ้างนะ ” อิสฮานรำพึงขึ้นมา “ แต่พวกเขาต่างก็แยกย้ายกันกลับไปยังบ้านเกิดตัวเองหมดแล้วนะ ” ซูไลก้าพูดอย่างหงุดหงิด “ แล้วนี่เราจะทำอย่างไรดีล่ะ ” วานาอันพูด พลางคิดหาวิธีต่างๆนานาแต่ก็คิดไม่ ทั้งห้องเงียบกันไปชั่วครู่ “ อ็ะ ” วานาอันอุทานขึ้นมาทำให้ทั้งสองหันมามอง “ มีอะไรหรือวานาอัน ” อิสฮานถาม “ หรือว่าเจ้านึกอะไรออก ” ซูไลก้าถามอย่างมีความหวัง “ เอ่อไม่มีอะไรหรอกนะ ” วานาอันรีบแก้ตัวทันที ซูไลก้าจึงมีสีหน้าผิดหวังนิดหน่อย “ เจ้าไหวหรือเปล่าวานาอันถ้าไม่ไหวจริงๆจะไปพักที่ห้องก่อนก็ได้นะ ” อิสฮานถามด้วยความเป็นห่วง “ ไม่เป็นไรจ้ะฉันยังไหวเรารีบหาทางแก้ดีกว่า ” วานาอันพูด “ ไหวนะวานาอันเจ้าไม่ต้องเกรงใจหรอกพวกเราจะช่วยหาทางออกให้เองเจ้าไม่ต้องห่วง ” ซูไลก้าพูดปลอบแต่วานาอันก็ยังยืนกรานที่จะอยู่ต่อทั้งสองจึงวางใจ “ เมื่อกี๊มันอะไรกันลางสังหรณ์เมื่อกี๊ ” วานาอันคิดในใจ แต่แล้วก็มีนายทหารคนหนึ่งเข้ามา “ ท่านครับทางฟูดินันส่งนกสื่อสารมาแจ้งว่าถูกคนลึกลับไปอาละวาดนี่คือสารที่ทางนั้นส่งมาครับ ” นายทหารพูดจบก็ยื่นม้วนกระดาษขนาดกลางออกมาอิสฮานรับมาแล้วเปิดอ่าน วานาอันเองก็รีบเข้ามาดูอย่างสนอกใจซูไลก้าก็เช่น “ ตอนนี้ที่ฟูดินันถูกคนลึกลับคนหนึ่งอาละวาดอยู่มันควบคุมไพทอนไว้ด้วย และบังคับให้มันทำลายต้นอิกดราซิลอยู่อยากจะให้มาช่วยหน่อยทางเราส่งสารนี้ไปที่ฟีเลเซียด้วยเช่นกัน ” อิสฮานอ่านข้อความในสารจบก็หันมายังวานาอันทันที นางมีสีหน้าซีดเซียวขึ้นมาทันที “ ไม่เป็นไรนะวานาอันพวกเราจะรีบหาทางแก้ ” ซูไลก้าพูดปลอบพลางเข้าออบกอดเพื่อปลอบใจ “ ทำยังไงดีล่ะทีนี้ทางเรายังหาทางออกไม่ได้เลยนี่ฟูดินันก็ถูกคุกคามจากไอ้ท่านผู้นั้นอีกเหรอ ” อิสฮานพูดอย่างหัวเสียเพราะก่อนเกิดสงครามกับทัพปีศาจนี้ นาซาอี แม่หมอทำนายของประสาทได้ทำนายไว้ว่าเหล่าซินกำลังจะทำการใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากตอนที่ทำนายไพ่ Devil (ปีศาจ) ตกลงมาคว่ำหน้ากับ พื้นพร้อมกับไพ่ Hermit(ผู้บงการจากความมืด)ตกลงมาทับไพ่ Devil แบบหงายหน้านาซาอีจึงตีความว่าปีศาจคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และหลังจากนั้นอีกสัปดาห์ต่อมาทั้งกองทัพ มนุษย์หมาป่า กองทัพภูตผี และ เหล่า ผู้นำทัพปีศาจทั้งสิบสองตนที่ประกาศว่าตนคือ 12 เทพขุนศึกก็บุกมาการต่อสู้รุนแรง ยาวนานทางซาโลมเคยส่งหมายสารขอความ ช่วยเหลือให้ทางฟีเลเซียแล้ว แต่กลับไม่มีคำตอบกลับและแน่นอนทาง แอนดิซองก็เคยส่งไปแล้วแต่ผู้นำสารบอกว่า เกิดมีกำแพงผลึกแก้วครอบทั่วทั้งทวีปเลยจะส่งสารไปทางฟูดินันบ้าง แต่แล้วก็ถูกพวกปีศาจล้อมไว้จึงทำให้ส่งสารไปไหน ไม่ได้นอกจากใช้นกสื่อสารแต่ช่วงนี้มีลมแรง มากนกของทางซาโลมจึงขึ้นไม่ได้ได้แต่รับสาร จากทางอื่นบินในตอนนั้นทัพจากลาซาลก็ตีบุกเข้ามา ช่วยกลับกลายเป็นว่าเข้ามาอยู่ในวงล้อมเดียวกันอีก “ ขอร้องล่ะท่านเทพีอันดีน (Undine) ท่านได้ยินข้าไหมท่าได้ยินโปรดตอบด้วย ” วานาอันภาวนาในใจมือสองข้างประสานกันอยู่ปากก็พึมพำคำภาวนา “ ข้าได้ยินเจ้า ” เสียงหนึ่งดังตอบมาทำให้วานาอันยิ้มออก ซูไลก้าหันมาเห็นจะสะกิดเรียกแต่อิสฮาน ห้ามไว้แล้วบอกว่าวานาอันกำลังภาวนาอยู่เธอจึงหยุดแล้วดูวานาอันภาวนาต่อ “ ท่านเทพีอันดีนได้โปรดช่วยพวกเขาด้วยพวกเค้ากำลังมีภัย ” วานาอันภาวนาต่อ “ ข้าทราบดีแต่ว่าอำนาจมืดมีพลังมากข้าไม่อาจช่วยได้สิ่งที่ศัตรูต้องการคงจะเป็น… ” เสียงนั้นตอบกลับแล้วก็เงียบไปชั่วครู่ “ สิ่งนั้นคืออะไร ” วานาอันถาม ที่ฟูดินัน “ อีกนิดเดียวข้าก็จะได้พลังชีวิตของมหาพฤกษาอิกดราซิลแล้ว ” แบล็คไวเซอร์ที่กำลังจ้องมองเหล่าครุฑที่กำลัง ต่อกรกับไนแมร์เปกาซัส อย่างยากลำบากเบื้องล่างชาวป่าที่กำลังหนีไฟป่า ไปรวมกันที่เผ่าฟูดินัน ก็กระจัดจายไปทั่วเสียงคำรามกึกก้องของมังกรไพทอนกับมารัค ที่กำลังปะทะกันอยู่นั้นดังกังวานไปทั่ว ภาพเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านสายตาของเทพีแห่งทะเลสาบนีรันดาอันดีน ไปยังจิตของวานาอัน “ สิ่งที่ศัตรูต้องการก็คือฟอจูนทรี(For june tree) พลังชีวิตอันยิ่งใหญ่ของมหาพฤกษา ” เสียงของเทพีอันดีนตอบกลับ “ พลังชีวิตของอิกดราซิลเหรอแต่มันต้องการไปทำไมกัน ” วานาอันถาม “ ข้าเองก็ไม่แน่ใจซักเท่าไรหรอกแต่คิดว่าการที่ต้องการเอาพลังชีวิตที่ มหาศาลขนาดนั้นคงจะต้องนำไปใช้คืนชีพอะไรบางอย่างแน่ ” เสียงเทพีอันดีนตอบ “ ว่าแต่ท่านช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ ” วานาอันถามอีกครั้ง “ ไม่ได้เลยแต่ข้ายังพอมีทางข้าจะลองขอร้องท่านเรน่า (Raina, the Rain Godess) ดูนะเจ้าวางใจได้ข้าไปล่ะ ” เสียงของเทพีอันดีน “ ฝากด้วยนะคะท่านเทพีอันดีน ” วานาอันฝากความหวังไว้แล้วนางก็หลุดจากพวัง “ เป็นไงมั่งได้เรื่องมั้ย ” ซูไลก้ากับอิสฮานพูดแทบจะพร้อม “ อืมท่านอันดีนบอกว่าจะช่วยเหลือน่ะ ” วานาอันกล่าว “ งั้นรึงั้นก็วางใจไปเปราะหนึ่งแต่ว่าทางเรานี่สิ ” อิสฮานพูดอย่างกังวลแต่ก็ต้องหยุดสนทนาไปเมื่อนายทหารอีกคนเข้ามา “ มีคนมาขอพบครับ ” นายทหารกล่าวพร้อมกับย่อตัวคำนับ “ ให้เข้ามาได้ ” อิสฮานสั่งนายทหารจึงลุกไปตามให้เข้ามา “ ว่าไงหนักใจอยู่รึไง ” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมเสียงพิณถูกดีด “ พ..พวกเจ้า… ” อิสฮานถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นคนทั้งสามมายืนอยู่ตรงหน้า “ ลืมพวกเราแล้วเหรอ ” “ ฟีเดลม่า(Fidelma, the Prophet’s Follower) จีน(Gene,the Prophet’s Follower) โจฮัน(Johan,the Prophet’s Follower) ” วานาอันพูดด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด “ พวกเจ้ามาได้ไงน่ะ ” ซูไลก้าพูดสีหน้าประหลาดใจ “ ท่านอิสฮานๆ! ” เสียงของคนทั้งสองดังขึ้นแล้วร่าง ของทั้งสองก็วิ่งเข้ามาในห้องฟาริด(Fariod,the Prophet’s Follower) กับ ซาโลเม่(Salome,the Prophet’s Follower)ทั้งสองเดินตรงไปยังอิสฮาน “ พวกของเรากลับมาแล้ว ” ทั้งฟาริดและซาโลเม่ต่างก็พูดขึ้นพร้อมกัน ที่ฟูดินัน บัดนี้ ร่างของครุฑที่ถูกเตะร่วงจากฟ้าตัวแล้วตัวเล่านอนเกลื่อน ใต้ต้นมหาพฤกษา บางตัวปีกฉีกขาดออกจากร่างเพราะถูกม้าบินฝันร้ายฉีกทึ้ง ระหว่างร่วงลง บางตัวปีกหักหงิกงอและอีกหลายตัวถูกหอกที่เหล่า เกลการูด้า พุ่งเพื่อจะ ปักม้าบินกลับถูกพวกมันคาบไปปักซะเอง มารัคเองก็โดนไพทอนกัดทึ้งจนสะบักสะบอมไปทั่วเพราะหัวหนึ่งของไพทอน คอยล่อมารัคไว้อีกหัวก็ลอบโจมตีสลับไปเรื่อย ในที่สุดดูเหมือนว่าแบล็คไวเซอร์จะชนะแล้วแต่ทว่าจู่ๆ ม้าบินฝันร้ายตัวหนึ่ง ถูกหอกแทงจนแตกสลายกลายเป็นควันสีดำดังเดิมความเร็วในการพุ่งหอกของ ผู้ที่แทงเร็วจนมองตามไม่ทันนั่นเพราะ พญาเกลการูด้า เป็นผู้พุ่งหอกนั่นเอง “ หนอย ออกโรงเองลยรึงั้นต้องเจอแบบนี้ ” แบล็คไวเซอร์พูดจบก็เรียกวิหกคู่ใจออกมาแล้วถอนขนมันออกมาสี่เส้น พร้อมกับเสกลูกบอลสีดำสี่ลูกแล้วรวมมันขนอีกครั้งแล้วปาออกไป “ ออกมาสัตว์อสูรดาร์คดรีมเปกาซัส (Drak Dream Pegasus) ” สิ้นคำของแบล็คไวเซอร์บอลที่ถูกปาออกไปก็แตกออกพร้อมกับควันสีดำที่ กระจายฟุ้งปรากฏร่างของม้าบินความมืดแห่งฝัน “ ไปป้องกันไนท์แมร์เปกาซัสซะ ” แบล็คไวเซอร์ออกคำสั่งม้าบินความมืดแห่งฝัน ก็พุ่งเข้าเอาตัวเป็นโล่กำบังจาหอกของฑญาเกลการูด้าทันทีพวกมันทั้งสี่ตัวถูกฆ่าก็กลายเป็นควันพร้อมกับ มีเงาสีดำพุ่งไปยังม้าบินฝันร้ายแล้วเงานั้นก็ซึมซับเข้า สู่ร่างของมัน ทันใดนั้นร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและบินรวดเร็วขึ้น(ไนท์แมร์เปกาซัสบวกพลังตามดาร์คดรีมในไชน์) “ ฮ่าๆๆทันทีที่ดาร์คดรีมตายมันจะปล่อยคลื่นฝันแห่ง ความมืดไปยังไนท์แมร์เปกาซัส และเพราะไนท์แมร์เปกาซัสไวต่อความรู้สึกคลื่นนั้นก็ จะทำให้พลังของมันเพิ่มและคึกคะนองทีนี้พวกแกไม่รอดแน่ ” สิ้นคำของแบล็คไวเซอร์เหล่าม้าบินฝันร้ายก็ตรงเข้า เล่นงานพญาเกลการูด้าจนตกลงจากฟ้า “ ก็าซซซซซซซ ” เสียงคำรามของมารัคทำให้ชาวป่าต่างหยุดหันมาดู หัวทั้งสองไพทอนกำลัง ขย้ำคอของมารัคอย่างแรงจนขาดสะบั้น ตอนนี้มารัคได้ตายลงแล้ว “ โอไม่นะเทพพิทักษ์มหาพฤกษาสิ้นชีพซะแล้ว! ” วูจินพูดเสียงหว้าวุ่นตอนนี้ร่างของมารัคได้ล้มลงไพทอนสะลัดเอาหัวของมารัคที่ ปากอยู่ออกและตรงเข้าถอนลำต้นมหาพฤกษา “ แย่ละสิไพทอนกำลังจะโค่นมหาพฤกษาแล้ว! ” (http://www.fotothing.com/thumbs/1fb/1fba57d6919768754a8ace10a4b6cd03.jpg) ดามิก้าอุทานในใจร้อนลุ่มเหมือนโดนไฟลน “ ยังไงซะตอนนี้หนีไปไม่ทันแล้วล่ะไฟป่ามันลามดักหน้าเราแล้ว ” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนตกใจหันไปมองกันเป็นการใหญ่ “ เป็นไปไม่ได้ไฟมันไม่น่าจะลามเร็วขณะนี้นี่ ” ฮารีซันพูดอย่างไม่อยากเชื่อในสายตาตนเองแต่แล้วเขาก็รู้ว่าเพราะเหตุใด “ อย่านึกนะว่าข้าลืมพวกเจ้าไปแล้วน่ะข้าไม่ปล่อยให้ เจ้าไปยุ่งหรอกโดนไฟคลอกตายกันหมดเถอะฮ่าๆๆ ” สิ้นคำแบล็คไวเซอร์ก็มุ่งตรงไปยังมหาพฤกษา “ อะไรกันยังถอนไม่ได้อีกรึ ” แบล็คไวเซอร์ พูดน้ำเสียงหงุดหงิดพร้อมกับเร่งให้ไพทอนเร่งรีบถอนลำต้น แต่แล้วก็มีหอกพุ่งเข้ามา “ ฮึ่ย ” แบล็คไวเซอร์พูดขึ้นแล้วก็ชูมือออกไปหอกที่พุ่งมา ถูกเปลวไฟเวทย์เผาจนไหม้ “ เชอะยังไม่ตายอีกเรอะ ” แบล็คไวเซอร์ กล่าวขณะหันไปมองพญาเกลการูด้าที่สะบักสะบอมไปทั้งตัวจากการถูก ม้าบินฝันร้ายถีบ “ เชอะจัดการซะ ” แบล็คไวเซอร์ออกคำสั่งทำให้ม้าบิน กลับมาทำร้ายพญาเกลการูด้าอีกครั้ง “ เปรี้ยงงงงงงงงงงครืนนนนนนน! ” เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นทำให้เหล่าม้าบิน ฝันร้ายตกใจจนปล่อยพญาเกลการูด้า ทันใดนั้นฝนก็ตกลงลมพายุพัดแรงจนเพลิงเวทย์ดับ “ ฮึ้ยนี่ฝนทิพย์นี่เป็นไปไม่ได้ ” แบล็คไวเซอร์ พูดและไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองแผนการทั้งหมดของตนกำลังจะถูกทำลาย เมื่อแสงจากฟ้าแลบกระพริบอีกครั้ง ก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนปลาแต่มันมีเขาและ กายสีขาวบริสุทธิ์แววตา ของมันทำให้แบล็คไวเซอร์หนาวสะท้านไปถึงกระดูก “ เป็น…เป็นไปไม่ได้ หนอยยยยยยยยยย ไนท์แมรจัดการ ” แบล็คไวเซอร์ออกคำสั่งบ้ามินฝันร้ายทั้งหมดก็พุ่งเข้าหมายจะทำร้าย สัตว์เทพนั้นแต่แล้วเหล่าม้าบินทั้งหลายก็ถูกแสงจากเขาของมัน ระเบิดจนแตกสลาย “ ก็าซซซซซซซซซ ” เสียงคำรามของ ไพทอน ดังกังวาลที่เบื้องล่างเมื่อแบล็คไวเซอร์หันไปมอง ก็พบว่าไพทอนถูกกลุ่ม หญิงสาวที่มีกายสีขาวท่อนล่างเป็นดอกไม้กำลังบินวน และปล่อยละอองชำระจิตใจไพทอนถึงคำรามก้องด้วยความเจ็บปวดครั้น จะปัดป้องก็กลับถูกรากไม้ขนาดใหญ่มัดแข้งมัดขาเอาไว้ รากไม้นั้นค่อยดึงเอาบางอย่างออกมาจากพื้นดินร่างขนาดยักษ์ ที่มีเศษดินเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกายเป็นไม้แข็งนัยน์ตาไร้แวว สองร่างขึ้นมาจากพื้น เข้าจับร่างของไพทอนไว้ ไพทอนพยายามขัดขืนแต่ก็ไร้ประโยชน์ “ นั่นมันอะไรน่ะ ” คาร์นคำรามออกมา “ ทั้งปลาสีขาวที่ลอยอยู่นั่นและอสูรกายพวกนี้มันคืออะไรน่ะท่านปู่ ” ฮาริซันถามวูจิน “ ปลาสีขาวนั้นเป็นสัตว์เทพที่องค์บารามันสร้างขึ้น ” วูจินตอบ “ หรือว่านั่นคือปลาเทพ พันนิชชูร่า (Punishula) ผู้ทำลายล้างปีศาจอย่างสนุกสนาน ” ดามิก้าเอ่ยขึ้นทันทีที่วูจินกล่าว “ ถูกต้องนั้นคือพันนิชชูร่าและอสูรกายที่พวกเจ้าเห็นนั้นจริงๆแล้วพวกเขาคือเผ่าพันธุ์แห่งพฤกษาชาติ ” วูจินตอบเกิดเสียงซุบซิบขึ้นในกลุ่มทันที (http://www.fotothing.com/thumbs/b4e/b4e6be28f3425f70b457c6473e45d18c.jpg) “ เผ่าพันธ์พฤกษาชาติเผ่าแห่งตำนานที่ว่า คอยอารักขาเทพอิกดราซิลและยังผนึกมังกรมารัคไว้อย่างที่ท่านปู่เคยเล่าน่ะเหรอ ” ฮารีซันถามเพื่อความแน่ใจ “ ใช่รวมทั้งอราวเน่นั้นด้วยพวกนางคือเพียวไวท์ฟลอกซ์(Pure White Phlox Alraune)พวกนางมีละอองที่สามารถชำระล้างจิตใจและพิษต่างๆ ” วูจินตอบ “ ส่วนที่จับไพทอนไว้นั่นคือมอลเดียร่า(Maldeira)เป็นพฤกษาที่ผนึกมังกรมารัคไว้ ” วูจินไขข้อสงสัยของทุกคนขณะที่ไฟป่ค่อยๆดับจากฝนทิพย์ “ อะไรกันนี่แผนข้าพังหมดเลยรึ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงสั่น แววตายังจ้องปลาเทพพันนิชชูร่าตัวนั้นอยู่อย่างหวาดกลัว แต่แล้วมันก็บินจากไปทิ้งไว้เพียง ร่างที่ยังคงแข็งทื่ออยู่บนฟ้าเพราะความหวาดกลัว ทันทีที่แบล็ไวเซอร์ตั้งสติได้เขาก็มองลงไปยังเบื้องร่าง ก็เห็นว่าเหล่าเพียวไวท์ฟลอกซ์ โปรยละอองชำระจิตจนในที่นางปีศาจที่แบล็คไวเซอร์ ส่งไปสิงก็ทรมานจนหลุดออกจากร่างทำให้ไพทอนหมดสติและล้มลง ทันทีที่นางปีศาจโพเนรอสหลุดออกมานางก็ถูกเหล่านางไม้ (Dryad)รุมโจมตี จนสลายกลายเป็นควันอีกครั้ง เมื่อไฟดับดีแล้วซากต้นไม้ไหม้ที่ได้รับฝนทิพย์ ก็เริ่มแตกยอดอ่อนออกมาและซักพักก็ปรากฏร่างของวาฬสีน้ำตาล แหวกเมฆออกมาแล้วอ้ปากกินเมฆฝนเข้าไปบนหลัง ของวาฬมีองค์เทพีเรน่า(Raina, the Rain Godess)ยืนอยู่ นางยิงธนูสีฟ้าใสเข้าปักแบล็คไวเซอร์จนตกลง ไปยังป่าบนหลังของวาฬเมการัตต้า(Megalasta)เทพีอันดีนนั่งอยู่บนนั้น “ นี่ยังดีนะที่ท่านรีบมาบอกเราตอนกำลังผลิตฝนอยู่พอดีไม่เช่นนั้นคงมีน้ำฝนไม่เพียงพอจะดับไฟแน่ ” เรน่ากล่าวกับอันดีนขณะเมการัตต้าค่อยๆไต่ระดับขึ้นฟ้า “ เรื่องนี้ต้องขอบคุณวานาอันต่างหาก ” อันดีนกล่าวแก้ “ เอาล่ะตอนนี้สถานการดีขึ้นแล้วงั้นเราก็กันละกัน ” เรน่าพูด “ เดี๋ยวแล้วมารัคล่ะ ” อันดีนพูดใจร้อนรน “ ยังไง อิกดราซิล ก็ไม่มีทางทอดทิ้งผู้มีพระคุณหรอกท่านน่ะแหละรีบลงไปก่อนเถอะ ” เรน่าเร่งอันดีน “ อืมงั้นข้าไปล่ะนะ ” อันดีนกล่าวจบก็กระโดดลงทะเลสาบไปและก็เป็นจริงอย่างที่เรน่าพูดไว้ อิกดราซิล ปลดปล่อยพลังออกมาชุบชีวิตมังกรมารัคหัวที่ขาดไปค่อยๆกลับมา ประสานกันดังเดิมและ มอลเดียล่า ก็รากกับไปยังที่พำนักของมันไพทอนเมื่อได้สติก็ลุกกลับไปยังเขาคีรีบันดาและแล้วแสงพลังชีวตของอิกดราซิลก็แผ่ออกรักษาป่าและหมู่บ้านจนเหมือนเดิม ชาวป่าต่างก็กลับไปยังเผ่าของตนดูอเหมือนทุกอย่าง จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วแต่ทว่า ในป่าลึกที่แบล็คไวเซอร์ตกลงไป ร่างสีดำขนดกไปทั้งตัวปากที่ยื่นยาว เขี้ยวอันคมกริบสะท้อนแสงตะวันอ่อนๆยามเย็น “ เฮอะพลาดซะได้นะ ” ร่างนั้นพูด “ อูยยยยยยยย หนอยไอ้เทพนั้นบังอาจนัก ” แบล็คไวเซอร์ ลุกขึ้นนั่งมือถอนลูกประกายแสงออกบาดแผลที่เกิดจากลูกศร กลับไปสมานดังเดิม “ เอาล่ะเดี๋ยวข้าออกโรงเองเจ้าน่ะถอยไปเลย ” ร่างนั้นต้องแสงตะวันจนเห็นร่างของมนุษย์หมาป่าสีดำกับ กองทัพมนุษย์หมาป่าข้างหลังอีกมากมาย ที่ฟีเลเซีย ในห้องโถงองกษัตริย์ซิกมันต์ที่สามกำลังอ่านสารขอความช่วยเหลือจาก ฟูดินันแล้วก็บอกให้นายทหารเดินออกไปให้หมดขณะนั้นเรจิน่าพี่สาว ของซิกมันต์ก็เสด็จมาถึงพอดี “ น้องจ้ะทางฟูดินันส่งหมายสารมาเหรอ ” เรจิน่าตรัสกับผู้เป็นน้อง “ อืมแต่ว่าข้าเองก็ส่งทัพไปแล้วนี่ท่านพี่ ” ซิกมันต์ ตรัสแล้วจึงทรงเดินออกไปแต่เรจิน่าตรัสเรียกไว้ก่อน “ เดี๋ยวน้องพี่ ” เรจิน่าตรัสซิกมันต์จึงหันมา “ น้องส่งทหารไปตอน ไหนทำไมพี่ไม่เห็นเลยล่ะอีกอย่างช่วงนี้น้อง เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องบรรทมมีอะไรรึเปล่า ” เรจิน่าตรัสถามอย่างเป็นห่วง “ ข้าไม่เป็นไรหรอกอย่าห่วงนัก เลยท่านพี่อีกอย่างท่านพี่ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับฮารีซันไม่ใช่รึ ” ซิกมันต์ตรัสทำให้เรจิน่านิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะเดินจากไป “ ฮึยังไงซะข้าก็ให้ท่านพี่แต่งงานกับคนอวดดี แบบนั้นไม่ได้หรอกข้าไม่ยอม ” ซิกมันตืคิดในใจก่อนจะเดินไปยังห้องบรรทม เมื่อเสด็จถึงห้องบรรทมซิกมันต์ก็ทรงเดินเข้าไปหากระจกบานใหญ่ ซักพักทั้งห้องก็มืดลงกระจกผลันสว่างวาบปรากฏเงาของ หัวหน้าองค์กรโฮลี่ไนท์แมร์ หรือที่พวกคนในองค์กรเรียกว่าท่านผู้นั้น “ เป็นยังไงบ้างได้เรื่องมั้ย ” เงาในกระจกถาม “ ทางนั้นส่งสารขอความช่วยเหลือมา ” ซิกมันต์ตรัสตอบ “ งั้นรึ ” เงาในกระจกพูด “ ว่าแต่เรื่องที่เรา สัญญากันไว้ล่ะว่าถ้าข้าไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ อาณาจักรใดๆแล้วจะช่วยไม่ให้ท่านพี่แต่งงานกับหมอนั่นน่ะว่าไง ” ซิกมันต์ตรัส “ เรื่องนั้นน่ะรึได้งั้นเจ้าก็จงมาอยู่ในการควบคุมของข้าซะ ” เงาในกระจกพูดและแล้วก็มีเงาสีดำพุ่งเข้าครอบงำเขาไว้และในที่สุด ซิกมันต์ก็ถูกคุมสติสัมปัญชัญไว้ โปรดติดตามตอนต่อไป ;) ตัวอย่างตอนต่อไป ตอนนี้เรากลับมาทาง Lr มั่งพวกเขากำลังจะได้รู้จากปากเกรเกอรี่ว่าพ่อของอีสควอเทียอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนมังกรถูกฆ่าอย่างไรติดตามได้ในตอนหน้า Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on April 23, 2006, 09:39:37 PM เย้หวัดดีง้าบไม่เจอกันซะนานในที่สุดผมก็ได้ที่เรียนที่เดิมแล้วดีใจจางเลย
;D ส่วนตอนนี้ผมเองก็ต้องเรียนปรับพื้นฐานผมขึงไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์เท่าไหร่ สังเกตได้จากที่ผมไม่ได้อัพเดทเลยอ่ะ เอาล่ะคับแล้วเดี๋ยวเอาเป็นว่าวันเสาร์จะต่อตอนพิเศษให้จบ ส่วนดูเอลรีเจนท์จะต่อวันอาทิตย์นะคับที่จริงว่าจะโพสวันนี้แหล่ะแต่ที่พิมพ์ไว้โดนลบหมดอีกแล้ว จากไอ้น้องตัวแสบของผมอ่ะเลยต้องพิมพ์ใหม่หมดเยยยกรรมจริงๆ :P เอาเป็นว่าเข้าเรื่องวันนี้ก่อนดีกว่าคือเรื่องที่ผมจะแก้ไขข้อความที่พิมพ์ในนิยายผิด จะรีบแก้ไขให้เร็วๆนี้ส่วนกระทู้หน้าแรกๆที่มันไม่มีภาพจะใส่ภาพลงให้นะคับแล้วเจอกันสัปดาห์หน้าบายยยยย ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on May 11, 2006, 01:43:33 AM ขอโต้ดก้าบบบบบบบบบบบบบที่ไม่ได้พิมพ์เลยเพราะหลังจากนั้นมีปัญหาครอบครัวตามมาอีก
ก็เลยวุ่นไปหมดพรุ่งนี้จะเอามาให้ลงละกันนะคับคราวนี้ลงจริงๆถ้าไม่ยังงั้นมาเตะผมได้เลย เอาเป็นว่านี่เป็นของไถ่โทษจากผมละกัน อะภาพนี้ยังไงล่ะคับ ;D (http://www.fotothing.com/thumbs/004/00450f49ab96142e9b2b385371b99dda.jpg) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on May 11, 2006, 09:43:33 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษ ถูกเก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้วเพื่อความสะดวก
Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: Legendary_krean on May 21, 2006, 02:02:51 AM แฮ่ๆ สบายดีอ่ะป่าว
ปล.โรมลงยังฟะ Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on June 02, 2006, 12:38:48 AM หวัดดีค้าบแหมหายหน้าไปซะนานเลยนะครับ ต้องขอโทษจริงที่
ไม่ได้ต่อนิยายทั้งสองเรื่องเลยแต่รู้สึกว่าช่วงนี้บอดแฟนอาร์ตดูจะ เงียบเหงาลงไปเยอะเลยนะครับตอนนี้ผมมีข่าวร้ายจะคือว่า เนื่องจากปีนี้ผมอยู่ม.4แล้วงานก็เยอะแล้วยังต้องเรียนร.ด.อีก แถมปีนี้รัฐไม่มีงบพอรับแค่สองหมื่นคนเองผมเองก็เลยต้องฟิตกัน หน่อยเลยไม่ว่างพิมพ์แถมอีกปีนี้ร.ร.เขาบูรณาการ การศึกษากันใหม่ งานเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (ไม่เชื่อดูจากตัว ก ที่มากมายได้เลย) เลยไม่ว่างงานเลยผมก็เลยกะว่าจะขอหยุดพิมพ์นิยายทั้งสองเรื่องคือ เรื่องนี้ กับ Dule Legand เอาไว้ก่อน1เดือนแล้วเดือนหน้าผมจะกลับมาใหม่ เพราะตอนนั้นงานคงอยู่ที่และลงตัวมากแล้วนะครับต้องขออภัย ในความไม่สะดวกนะครับแล้วเจอกันเดือนหน้านะครับ บายยยยยยย ;) Title: Re:Legend of The Thaliwilya Post by: ::RedharinG:: on June 17, 2006, 09:40:07 PM ขอโทดคร่า~~~~~~~~
หายไปนานเลย...กลับมาตามต่อแว๊ววว...แต่........ช็อค! กลับมาแล้วคุณเกรมอนกลับติดงานเขียนต่อไม่ได้ซะงั้น... แง่มๆ...ไม่เป็นไรค่ะ...จะรอค่ะ.. คือขออธิบายให้เป็นที่เข้าใจตรงนี้เลยนะคับว่า url ของภาพที่ผมเอาเนี่ยผมแสกนจากหนังสือแล้วตัดต่อด้วยโฟโต้ช็อปแล้วทีนี้เว็บที่ผมจะโหลดภาพนะคับมันได้ไม่เกิน512กิโลไบต์ครับก็ต้องขออภัยด้วยถ้าใครมีเว็บที่จะสามารถเก็บไฟล์ข้อมูลภาพก็โพสบอกได้นะคับผมจะได้เอาไปแก้ไขได้นะคับสำหรับคนที่บอกผมขอขอบคุญล่วงหน้าเลยนะคับ -------->ลองฝากที่ geocities ดูสิคะ...เราก็ใช้ที่นั่นเหมือนกันค่ะ..ใหญ่แค่ไน๋ก็ยัดลงค่ะ..(จำกัดที่5Mb...แต่ไฟล์รูปยังไงก็ไม่ถึงหรอกนะ)...หวัดดีคร้าบบบบ ฮ่าๆๆจะหวัดดีใครล่ะเนี่ยช่วงนี่กระทู้ผมเงียบจังไม่รู้ อีฟจัง กับ นิฮิล ยังดูอยู่รึเปล่าเนี่ยคับ ---------->ขอโทษอีกครั้งเจ้าค่ะ...ยังมาอ่านอยู่เจ้าค่ะ....แต่เนื่องจากหายไปนานก็เลยเป็นค่อยๆทะยอยอ่านน่ะค่ะ..แห่ะๆแต่ตอนนี้..อ่านมาจนถึงหน้านี่แร๊วววว.....แต่...........งดซะงั้น....ฮึกๆ...ไม่เป็นไรค่ะ...พยายามเข้านะเจ้าคะ ไว้จะมาตามต่อค่ะ...อีกเดือนสินะ.....ฮื่มมม....จะรอเจ้าค่ะ ป.ล. ลูกชายทั้งสองออกมาทำเท่แล้ว...อร๊ายยยย...Thalucus กะ Thaventos ลูกร๊ากกกกกกกกกกก.....จุ๊บๆๆๆ...เท่มากเลยลูกกกกกก~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!! Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on July 02, 2006, 11:26:16 PM พื้นที่ลงตอนพิเศษ ถูกเก็บไปรวมไว้ที่เดียวกันแล้วเพื่อความสะดวก Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: ::RedharinG:: on July 05, 2006, 02:37:00 AM เจอช็อคโกแล๊ตน่ารักๆแบบนี้...แลกกับดรากอนฮอลลี่ก็ยอมน่อ..(เว่อๆ)....หุหุหุ
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on July 12, 2006, 05:34:36 PM แหมสัปาดาห์ที่แล้วยุ่งอ่านหนังสือสอบอยู่ไม่ได้แต่งต่อเลยอ่ะเอาว่าเสาร์นี่ค่อยดพสละกันส่วน Duel Legand คงต้องตั้งกระทู้
ใหม่ซะละ ว่าแต่ไม่เข้ามาสัปดาห์เดียวคู่แข่งเพิ่มขึ้นบานเบอะเลยแฮะจะรอช้าอยู่ไยต้องรีบปั่นแล้ว ขอตัวไปอ่านหนังสือสอบก่อนละกันนะครับแล้วจะรีบแต่งต่อ ;) Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on July 17, 2006, 01:24:44 AM คือว่าวันจันทร์พรุ่งนี้ยังสอบอยู่น่ะเลยยังไม่ว่างพิมพ์วันเสาร์นี้รับรองครับลงแน่นอน(อาจจะ) ;D
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on July 23, 2006, 11:14:38 PM ขอแจ้งเรื่องกำหนดการอัพเดทนะคับ
คือว่างานผมมันเยอะขึ้นน่ะนะคับเลยทำให้พมพ์ไม่ทัน เพราะฉนั้นจะเปลี่ยนเป็นอัพเดทอาทิตย์เว้นอาทิตย์ละกัน โดยอาทิตย์หน้าจะมาต่อ Legeand of the Thaliwilya น่ะคับ ส่วนอาทิตย์ถัดไปก็จะเป็น Duel Legeand แทนสลับกันไปนะครับ ;) Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: ::RedharinG:: on July 25, 2006, 03:10:57 AM รับทราบฮับ..... ;)
พยายามเข้านะจ๊ะ....ช่วงนี้สอบซะด้วย...งิ.. /me วิ่งกลับไปอ่านหนังสือต่อ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: Sak, the Inventor on July 26, 2006, 12:51:36 AM ด้วยๆๆๆ :D
ติดตามทั้ง 2 เรี่องเยย ;D มันมากครับ :) Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: Pecca Zelus, the Sin of Envy on July 26, 2006, 11:50:33 PM เข้าใจความรู้สึกครับ ;)
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on July 30, 2006, 08:57:59 PM เนื่องจากว่าใกล้กำหนดส่งโครงงานวิทย์แล้วอ่ะคับคงต้องเลื่อนนิยายทั้งสองเรื่องไปกอน
เนื่องจากปีนี้โรงเรียนผมมีการบูรณาการใหม่กิจกรรมที่มันควรจะอยู่เทอมสองมันเลยย้ายมาอยู่ เทอมหนึ่งหมดเลยงานก็ปั่นกันมือเป็นประวิงแล้วยังจะมีเรื่องร.ด.อีกไม่ได้พักเลย คงต้องขอโทษทุกๆคนด้วยนะครับ ไม่ว่างจริงๆ แล้วผมจะพิมพ์เมื่อไหร่จะบอกอีกที :-\ ว่าแล้ว greamon ก็รีบไปปั่นงานต่อ การูรูม่อนมาช่วยด้วยดิ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on August 12, 2006, 01:42:32 AM หวัดดีก้าบสัยว่ากว่าผมจะได้พิมพ์คงอีกนานเพราะโรงเรียนสอบเร็วมากกลางเดือนกันยายนก็จะปิดเทอมแล้ว
คงต้องรอจนถึงตอนนั้น :'( Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on September 17, 2006, 12:32:17 AM ใกล้ปิดเทอมแล้วผมจะกลับมาเขียนนิยายอีกครั้งนะคร้าบบบบบบบบบบบบบบ งุงิ
แหมหลังจากผ่านศึกอันโชกโชนกับงานโรงเรียนมาได้ก็เริ่มจะมีเวลาแต่งแล้ว เดือนตุลาคมวันเสาร์เตรียมมาดูได้นะครับ ;) Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on October 02, 2006, 01:53:39 PM บทที่10 ความจริงในอดีต
ที่ฟีเลเซีย ในกระท่อมหลังหนึ่งในนั้นมีเด็กผู้ชายผมสีทองอายุ 14 ปี่กับลูกมังกรอีก6ตัวบิชอป1ท่านแม่ทัพ 2 คน และนักประดิษฐ์อีกหนึ่ง ทั้งหมดกำลังสนทนากันถึงเรื่องต่างๆเพื่อทำความเข้าใจสถานการในทวีปเมอริเซียตอนนี้ แต่ทว่าเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกันต่างฝ่ายจึงต้องผลัดกันเล่าความจริงในอดีต หลายครั้งมักจะมีเรื่องสะเทือนใจตามมาด้วย ว่าแต่ท่านจะตอบได้หรือยังเรื่องที่เราถามก่อนจะมาที่นี่น่ะ วิลถามนักบวชหนุ่มแห่งฟีเลเซียนามของเขาคือเกรเกอรี่ เอ่อแปลให้ฟังหน่อยสิเธอเอ่อ ชื่ออะไรนะ เอ่อ ลอเลนส์(Laurence)ใช่มั้ย เกรเกอรี่พูดตะกุกตะกักด้วยที่ว่ายังไม่คุ้นกับชื่อของพวกเขา ได้ครับเขาถามว่าช่วยเล่าเรื่องที่เค้าถามก่อนจะมาที่นี่ได้มั้ยน่ะครับ Lr แปลให้แต่เกรเกอรี่เองก็นึกไม่ออกจึงถามว่าเรื่องอะไร ก็เรื่องที่เราถามว่าท่านอ่ะนะเคยไปฆ่ามังกรที่ไหนมารึเปล่า วิลถามซ้ำอีกครั้งซึ่ง Lr เองก็แปลให้ฟังผ่านอีกที อ๋อเรื่องนั้นเองรึอืมมมม ข้าว่าคงมีการเข้าใจผิดกันแล้วล่ะที่จริงข้าไม่ได้เป็นคนสังหารด้วยตัวเองหรอก เกรเกอรี่พูดเสียงคร่ำเครียด แล้วมันยังไงล่ะเนี่ย นิลเฮอร์รีบยิงคำถามต่อทันทีซึ่งก็เหมือนเดิม Lr แปลให้ฟัง งั้นเริ่มล่ะเรื่องมันมีอยู่ว่า .. เกรเกอรี่เริ่มเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกครั้งในหัวพยายามจนิตนาการถึงเรื่องที่ประสบพบเจอ หลังจากที่เขาหมดสติไปจากการเดินทางไปยังฐานของกองกำลังต่อต้านที่ทวีปทางเหนือ มีเงาสองเงาพาเขามาที่ถ้ำแห่งหนึ่งเงาทั้งสองนั้นเป็นมังกรสองตัว ตัวหนึ่งมีกายสีเขียวขนาดพอๆกับตัวเขา มันคือมังกรสายพันธ์ดิมมินิวเลี่ยมขนาดโตเต็มวัย(Dimminulion, the Wind Dragon) อีกตัวมีร่างกายขนาดมหึมาเกล็ดสีน้ำเงินเข้มลมหายใจเย็นราวกับหิมะมันคือมังกรสายพันธ์วายเวินน้ำแข็ง แมนเทลลูม่า ( Mantellma, the Snow Storm Wyvern ) ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้เขาทำให้เขาเห็นหน้าของมังกรทั้งสองชัดขึ้น ท่านนักบวชท่านเป็นใครมาจากไหนใยจึงต้องเดินทางขึ้นมาบนเขาหิมะลูกนี้ด้วย มังกรดิมมินิวเลี่ยมพูดเป็สนภาษามนุษย์ทำให้เขาเข้าใจจึงตอบกลับทันที ข้ามาทำธุระของกองทัพที่จะทำการต่อต้านกับผู้ที่ประสงค์จะทำให้เกิดความโกลาหลระหว่างเดินทางข้าเกิดหนวจนหมดสติพวกท่านเป็นผู้ช่วยข้าเอาไว้สินะ เกรเกอรี่ตอบ ถูกต้องเราช่วยท่านไว้ว่าแต่จุดหมายปลายทางของท่านอยู่ที่แห่งหนใดทันทีที่พายุสงบเราจะไปส่งท่านทันที แมนเทลลูม่าเสนอตัวทันที ขอบคุณมากเลยพวกท่านช่วยชีวิตข้าไว้แล้วยังไม่พอจะช่วยส่งข้าด้วยพวกท่านมีใจประเสริฐยิ่งนัก เกรเกอรี่กล่าวขอบคุณ และหลังจากพายุหิมะสงบลงพวกเขาก็ออกเดินทางทันที ระหว่างนั้นเองมีเงาของสิ่งหนึ่งกำลังบินมายังทางพวกเขา นั่นมันอะไรน่ะ เกรเกอรี่พูดขณะเอามือขึ้นมาติดหน้าผากหรี่สายตาลงเพื่อจะมองเห็นให้ชัดขึ้น นั่นมันไม่น่าเชื่อ เกรเกอรี่อุทานขึ้นมาทันทีเห็นว่าสิ่งนั้นส่องประกายเจิดจ้าและเข้าใกล้ขึ้นมาทุกทีๆร่างนั้นเป็นนักรบ ที่สวมเกราะสีขาวทองและมีปีกขนาดใหญ่มือถือทวนขนาดยักษ์อยู่ตาทั้งสองปิดสนิทค่อยๆใกล้เข้ามา (http://www.fotothing.com/thumbs/738/738297e14a41e396e5ca5c1852a241bb.jpg) อัศวินสวรรค์ (Heaven Knight) เกรเกอรี่พูดขึ้น ทำไมอัศวินแห่งสวรรค์ถึงมาได้ล่ะ ดิมมินิวเลี่ยนพูดขึ้น ขณะนั้นอัศวินสวรรค์ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาแทนที่จะมีตาสีทองเป็นประกายกับมีตาเป็นสีแดงก่ำราวกับเลือด ร่างที่ขาวสะอาดกลับค่อยๆหมองลงจนเป็นสีดำปีกศักดิ์ศิกธ์ที่เคยสวยงามกลับแปลสภาพเป็นปีกสีดำสนิท และกลายเป็นปีกปีศาจ สภาพตอนนี้ไปต่างอะไรกลับนักรบแห่งนรกเลย (Hell Knight หมายเหตุชื่อมันยังไม่เต็มหรอกคงต้องดูกันต่อไปเพราะขืนบอกก็หมดมุขสิแต่ใบ้ให้ว่าอยู่เซ้นสามนี่แหละ) นี่มันอะไรกันเนี่ย เกรเกอรี่อุทานขึ้น โปรดติดตามตอนต่อไป เนื่องจากไม่สามารถพิมพ์ได้อย่างคล่องเหมือนเมื่อก่อนเลยทำให้กว่าจะเขียนเสร็จก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนวัน แล้วไว้ดูต่อละกันนะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on November 12, 2006, 02:13:40 AM แหะๆหวัดดีก้าบทุกคนเพราะต้องเรียนร.ด.ตอนปิดเทอมด้วยเลยไม่มีเวลามาเขียนนิยายต่อเอาเป็นว่าเดือนหน้าที่จะถึงนี้ผมจะเรียนร.ด.เสร็จพอดีแล้วจะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้นมาแทนเพราะฉนั้นผมจะกลับมาพิมพ์ต่อเท่าที่ทำได้นะครับสำหรับวันนี้เอาตอนต่อนิยายไปก่อนละกันนะครับบายเจอกันเดือนหน้า
บัดนี้อัศวินแห่งสวรรค์ ( Heavean knight ) ได้เปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นอัศวินนรก ( Hell knight ) ไปแล้วต่อหน้าต่อตานักบวชกับมังกรอีกศรตัว นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ดิมมินิวเลี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยแล้วหันไปขอคำตอบจากเกรเกอรี่แต่เกรเกอรี่เองก็ไม่ทราบเช่นกันจึงส่ายหัวบอกความเป็นนัย อัศวินแห่งนรกยังคงลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างสงบ หรือนี่คือนิมิตที่พระองค์ผู้เป็นเจ้าส่งมา เกรเกอรี่รำพึงพลางคิดในใจในตอนนี้เรื่องในหัวของเขารมันวุ่นวายสับสนไปหมด เกรเกอรี่ อัศวินแห่งนรกพูดขึ้นทำให้เกรเกอรี่ได้สติแล้วหันทางเจ้าของเสียง อัศวินแห่งนรกเงื้อดาบหมายจะบั่นคอเกรเกอรี่ นี่คือนิมิตที่บอกว่าเจ้าจะต้องถูกลงทัณฑ์ สิ้นคำของอัศวินแห่งนรกกาบสีดำก็ถูกเหวี่ยงลงมาแต่ก็พลาดหวดลมไป เพราะ แมนเทลูม่าก็บินพาเกรเกอรี่ที่อยู่บนหลังหลบการโจมตีได้ เกือบไป แมนเทลูม่าพูดอย่างโล่งใจแต่ก็ยังไม่วายเกือบถูกดาบที่อัศวินนรกเหวี่ยงอีกครั้ง หมือนกันหรอกนะว่าเป็นนิมิตหรือลางอะไรแต่มาเหวี่ยงดาบไปมาอย่างนี้ก็ไม่เกรงใจกันล่ะ Icicle storm ( พายุพลึกน้ำแข็ง ) พริบตาเดียวลมพายุสีขาวที่มีเกล็ดน้ำแข็งหมุนวนอยู่ข้างในก็ถูกพัดไปยังอัศวินนรกแต่อัศวินนรกก็เอาปีกปัดป้องไว้ได้ Flying Flame สิ้นเสียงของดิมมินิวเลี่ยนเพลิงวายุก็ถูกปล่อยออกไปแต่อัศวินนรกก็เอาดาบฟันเพลิงวายุจนสลายหายสิ้น ไม่ได้ผลหรอกเราทำอะไรกับสิ่งพระองค์ทรงอยากก็ให้เป็นไปได้หรอก เกรเกอรี่พูดโดยหวังว่ามังกรทั้งสองจะยอมล้มเลิกและปล่อยให้เขารับชะตากรรม แต่ก็ผิดพลาดมังกรทั้งสองกลับไม่ยอมเลิกรายังคงโจมตีต่อไปเรื่อยๆ พอเถอะไม่งั้นพวกท่านอาจได้อันตรายไปด้วย เกรเกอรี่พยายามจะห้ามปรามอีกครั้ง หึท่านจะยอมหยุดอยู่แค่นี้หรือ แมนเทลูม่าพูดขึ้นทำให้เกรเกอรี่ถึงกับนิ่งไป ท่านจะมายอมแพ้ต่อเรื่องที่คนอื่นมาตัดชะตาลิขิตของท่านหรือ แมนเทลูม่าพูดขึ้นอีกทำให้เกรเกอรี่เริ่มระสับระส่าย ชะตาลิขิตคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองต่างหากชะตาลิขิตที่คนอื่นสร้างให้เราเดินนั้นไม่ใช่ชะตาลิขิตของตนเอง คำพูดของแมนเทลูน่าแทงเข้าไปยังใจของเกรเกอรี่ทำให้เขาได้สติ จริงสิทำไมเราต้องฟังนิมิตที่ลิขิตชะตาของเราล่ะที่แล้วมา เราเองก็จะไม่เคยปฏิบัติผิดต่อกิจของสงฆ์หรือทำผิดตต่อสิ่งดีงามเลยแล้วจะมีเหตุอันใดเล่าที่เราจะต้องถูกลงทัณฑ์จากนิมิตบ้าๆนี่ด้วยนี่ต้องไม่ใช่นิมิตที่แท้จริงของพระองค์แน่อาจจะเป็นกลลวงของปิศาจที่หมายจะสังหารเราเองก็เป็นได้ เกรเกอรี่คิดในใจแล้วลองทบทวนดูอีกครั้งตอนนี้เขารู้แล้วว่านิมิตจอมปลอมนี้ไม่ได้เป็นของพระเจ้าแน่ คิดได้แล้วสินะทีนี้ท่านจะเอายังไงต่อไปล่ะ แมนเทลูม่าพูดขึ้นพร้อมกับคอยหลบหลีกการโจมตี เอาล่ะเราคงสู้ไม่ได้หรอกต้องรีบถอยก่อนบินไปยังหมู่บ้านกองกำลังต่อต้านด่วนที่สุดเลย เกรเกอรี่เอ่ยขึ้นทันทีพร้อมกับชี้ไปยังทิศที่หมู่บ้านตั้งอยู่มังกรทั้งสองจึงโจมตีพร้อมกันเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของอัศวินนรกแล้วออกบินไปยังหมู่บ้านทันทีโดยมีอัศวินนรกบินตามมาติดๆ เมื่อพวกเขาไปถึงหมู่บ้านแล้วเหล่าทหารกองกำลังต่อต้านก็ออกมาต้อนรับแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นมังกรทั้งสอง ท่านเกรเกอรี่เอ่อ มังกรสองตัวนี้มันเอ่อ นายทหารกล่าวอึกๆอักๆเหมือนคำพูดติดอยู่ในลำคอ ช่างเถอะรีบเตรียมการป้องกันเร็วเดี๋ยวข้าจะทำพีธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อกรกับมังกรที่จะมาถึง เกรเกอรี่สั่งนายทหารเสร็จก็เดินเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่งภายในเป็นห้องสีขาวสะอาด กลางห้องมีแท่นภาวนากับเครื่องมือสำหรับทำพีธีศักดิ์สิทธิ์ ภายนอกเสียงปืนใหญ่ที่ทางกองทัพสร้างขึ้นยิงดินระเบิดขึ้นไปโจมตีกับอัศวินนรกแต่ก้ไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจเจาะเกราะสีดำอันแข้งแกร่งนั่นได้อัสวินนรกเอาดาบฟันป้อมปืนจนขาดสะบั้นตกลงไปนายทหารที่อยู่ในป้อมถูกเศษหินทับจนขาหักร้องโอดครวนด้วยความเจ็บปวดไม่นานนักนายทหาร2-3คนก็เข้ามาช่วยภายในห้องพีธี เกรเกอรี่ก็ประกอบพีธีเสร็จพอดีและรีบออกจากห้องไปพร้อมกับคฑาที่ส่องแสงสีทองอาร่ามตา เอาละเจ้าปิศาจเอ๋ยจงไปสู่สุขติเสียเถอะ Holy words ( วาจาศักดิ์สิทธิ์ ) สิ้นคำของเกรเกอรี่แสงจากคฑาก็เปล่งออกมาอย่างแรงกล้าจนถึงคนสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของแสง เกรเกอรี่ชูคฑาขึ้นเหนือแล้วหัวทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก้พุ่งไปเผาพลาญอัสวินแห่งนรกจนมอดไหม้แต่ทว่าก่อนที่จะดับสูญไปนั้นก็ได้ขว้างดาบปิศาจออกไปดาบพุ่งตรงไปยังเกรเกอรี่เพียงพริบตาเดียวดาบก็เสียบเข้าในร่างของแมนเทลูม่าที่เอาตัวมารับคมดาบไว้เกรเกอรี่ตกใจจนมือปล่อยคฑาหลุดลงไปร่างของแมนเทลูม่าล้มลง แมนเทลูม่า เสียงมังกรดิมมินิวเลี่ยนดังขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะเบลอไปหมดและเกรเกอรี่ก็สลบไป เช้าวันต่อมา เกรเกอรี่ค่อยๆลืมตาขึ้นร่างของเขาอยู่บนเตียงในห้องพักของหมู่บ้านเขาเดินออกมา ก็เห็นร่างของแมนเทลูม่ากำลังถูกฟันลงไปเกรเกอรี่เดินเข้าไปใกล้ๆเขาแทบจำไม่ได้เลยว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากที่เขาสลบไปแมนเทลูม่าเอาตัวเข้ารับดาบไว้ จนถึงแก่ชีวิต ดิมมินิวเลี่ยนเดินเข้ามาหาเกรเกอรี่ ท่านไม่เป็นอะไรแล้วสินะ ดิมมินิวเลี่ยนเอ่ยลอยๆ ข้าเสียใจด้วยเรียงเพื่อนท่านถ้าเค้าไม่ช่วยข้าไว้เค้าก็คงไม่ต้องตายแบบนี้ เกรเกอรี่กล่าวโทษตัวเองรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้แมนเทลูม่าต้องตาย อย่าโทษตัวเองเลยนี่เป็นสิ่งที่แมนเทลูม่าต้องการอยู่แล้วการปกป้องใครสักคนด้วยชีวิตแค่นี้เขาก็ตายตาหลับแล้ว ดิมมินิวเลี่ยนกล่าวปลอบใจเกรเกอรี่แต่ก้ไม่ทำให้เกรเกอรี่รู้สึกดีขึ้น ข้าจะต้องจับตัวคนที่ทำเรื่องแบบนี้มาลงโทษให้ได้ เพื่อนสานต่อจากที่เค้าฝากความหวังไว้กับข้า เกรเกอรี่เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่เป็นประกายของความตั้งใจจริง อืมถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปแจ้งให้ทางครอบครัวของแมนเทลูม่าทราบ ดิมมินิวเลี่ยนกล่าวพร้อมจะออกบินไปแต่เกรเกอรี่ห้ามไว้ก่อน เดี๋ยวก่อนข้ามีอะไรจะให้นี่คือสร้อยคอที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้าขอมอบมันให้ท่าน เกรเกอรี่พูดพร้อมถอดสร้อยคอออกมาแล้วบรรจงสวมสร้อยให้ดิมมินิวเลี่ยน จะดีเหรอให้ของสำคัญกับข้าน่ะ ดิมมินิวเลี่ยนกล่าวขึ้นอีกครั้ง ดีแล้วล่ะขอพระเจ้าทรงคุ้มครองด้วยเถิดลาก่อน เกรเกอรี่เอ่ยจบก็ถอยให้ดิมมินิวเลี่ยนบินไป นี่คือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไงล่ะ เกรเกอรี่พูด ทั้งห้องยังคงตกอยู่ในความเงียบ แต่ประตูก็เปิดออกพร้อมกับคนส่งสาร ท่านเกรเกอรี่แย่แล้วทางฟูดินันถูกโจมตี คนส่งสารกล่าวอย่างเร่งรีบ งั้นต้องรีบไปแล้วพวกท่านก้ไปด้วย ชาลว์กล่าวก่อนจะหันไปยังพวกL r แล้วทั้งหมดก้พากันออกจากห้องไป Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: Little Phoenix on March 11, 2007, 11:00:08 PM ทำไมไม่แต่งต่ออ่ะ
??? Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 25, 2007, 02:11:32 AM ไทจิ : เรื่องนั้นหากเจ้าอยากรู้ข้าก็จะตอบให้ ::012::
นั้นก็เพราะว่า...... ยามาโตะ: เพราะเจ้าเกรม่อนกับเจ้าการูรูม่อนมันกลับโลกดิจิตอลไปแล้วไง ไทจิและยามาโตะ: 555+ ::015:: เกรม่อนและการูรูม่อน:เฮ้ยม่ายช่ายๆๆ ที่ไม่ได้แต่งต่อเพราะตัวนิยายที่แต่งไว้มันโดนลบไปกะตอนซ่อมเครื่องนี่สิ ::008:: และก็บวกกับไม่ค่อยมีเวลาแต่งเลยคงต้องรอเรียนพิเสษเสร้จก่อนน่ะขอรับ เอาล่ะไอ้พวกนี้ตายบังอาจมาตอบของคนอื่นเขาเสียๆหายๆเดี้ยงซ้า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เมก้าเฟรม ::019:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: 3DM on March 29, 2007, 07:51:23 PM สุดยอดจิงๆครับ แต่ผมว่า น่าจะอัพรูปใหม่อ่ะครับ บางรูปมองไม่เห็น
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 31, 2007, 07:33:13 PM ตอนนี้ก็มาต่อให้แล้วนะครับส่วเรื่องรูปที่โพสไปนั้นลิงค์มันเสียแล้วน่ะครับ
เพราะว่าเว็บที่ผมฝากรูปไว้มันล่มไปแล้วครับ ::010:: แต่ก็นะครับไว้เดี๋ยวตรวจทราบว่าเป็นรุปใดจะนำมาโพสแก้ทีหลังนะครับ บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์ Part1 ณ ฟูดินันตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วเสียงแห่งการดำรงชีวิตอันวุ่นวายของเหล่าสรรพสัตว์ในป่าก็เงียบลง ที่ค่าย อบยพ มีการก่อกองไฟเพื่อทำการเลี้ยงต้อนรับคณะของเกรเกอรี่ที่พึ่งมาถึงเมื่อไม่นานนัก “ เอ้อท่านบิชอปพวกเรายังไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่พวกท่านมาเยือนในครั้งนี้เลย ” ฮารีซันเอ่ยปากถามเมื่อสังเกตเห็นว่าไม่มีใครคิดที่จะเริ่มเข้าเรื่องกันก่อนเลย “ เป็นคำถามที่ดีวันนี้พวกท่านส่งสารขอความช่วยเหลือมาใช่มั้ย ” เกรเกอรี่ตอบเสียงเรียบทำให้อารีซันผงะไปชั่วครู่ “ ใช่พวกเราส่งไปแต่คิดว่า นกพิราบสื่อสาร ตื่นตระหนก กับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจนทำ หมายสารหล่นกลางทาง ” ฮารีซันตอบกลับไปจากนั้นเกรเกอรี่จึงเอามือล้วงเข้าไปใน เสื้อนอกแล้วหยิบเอากระดาษที่ยับยู่ยี่ราวกับเคยถูกขยำมา “ นี่มัน ” อารีซันอุทานขึ้นเมื่อเห็นกระดาษชิ้นนั้นเกรเกอรี่จึงรีบเอ่ยปากพุดต่อทันที “ หมายสารของท่านมาถึงเราแล้วแต่เพราะมีเหตุบางประการทำให้เราทราบข่าวล่าช้า ” หลังจากที่ฟังถ้อยคำของเกรเกอรี่แล้วฮารีซันก็พยายามที่จะถามต่อถึงเรื่องที่เขากำลังสงสัยแต่ ก็ถูกขัดขึ้นมาด้วยเสียงคำรามของชาวเผ่าสมิงที่มาตั้งค่ายอพยบอยุ่ข้างๆเนื่องด้วยความเสียหายจากการโจมตีของไพทอน คาร์น หัวหน้าเผ่าสมิงรีบเข้ามาหาฮารีซันด้วยสภาพที่มีแผลไปทั่วตัว “ คาร์น!!! เจ้าไปโดนอะไรมาน่ะ ” ดามิก้าที่นั่งอยู่ข้างๆฮารีซันรีบถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ พวกปีศาจบุกแล้ว!!! ” เสียงตะโกนของนักรบแห่งป่าทมิฬดังขึ้นพร้อมกับการมาของสมิงหมาป่าจำนวนมากมาย “ อะไรกันเนี่ย ” เกรเกอรี่อุทานขึ้นชาลว์เอาตัวเข้ามาขวางระหว่างเกรเกอรี่กับพวกสมิงหมาป่าพวก Lr ที่นั่งอยู่ข้างๆก็ รีบลุกไปหลบข้างหลังเพื่อความปลอดภัย “ ฮ.. ฮารี..ซัน ” คาร์นครางอ่อนๆเพื่อเรียกฮารีซัน “ มีอะไรคาร์น ” ฮารีซันหันไปมองคาร์นแล้วคาร์นก็พูดเสียงอ่อยๆจนทุกคนโดยรอบแทบจะไม่ได้ยิน “ เป็นความจริงหรือ ” ฮารีวันพูดเสียงตื่นทำให้ทุกคนหันมามองชั่วครู่แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจเพราะต้องคอยรับการโจมตีของพวกสมิง “ ทุกคนรีบหนีไปเร็ว ” ฮารีซันตะโกนจบทุกคนก็รีบวิ่งเข้าไปหลบในป่า ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ชั่วโมงที่ก่อน ที่วิหารใจกลางของป่าที่ลึกเข้าไปในอาณาจักรฟูดินันผู้คนทั่วอาณาจักรต่างขนานนามให้ป่านี้ว่า ป่าแสงจันทร์ ด้วยที่ว่าป่านี้จะปรากฏขึ้นต่อเมื่อมีแสงจันทร์ตกกระทบหากไม่ป่านี้ก็จะกลายเป็นทะเลสาบเล็กๆเท่านั้น ซึ่งในป่านี้มีวิหารจันทรา ตั้งอยู่เป็นที่อยู่ของแม่มดแสงจันทร์ นาม แอสต้า (Asta, the Moon Light Witch) (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-5cb0dc.jpg) ร่างของสมิงหมาป่าสองตนเดินตรงไปยังวิหาร ร่างหนึ่งมีขนปกคลุมสีดำสนิท อีกร่างมีขนปกคลุมสีเงิน แวววาว “ ท่านแอสต้าอยู่มั้ย ” สมิงร่างสีดำถามเสียงสะท้อนก้องไปทั่ววิหารแต่ไม่มีการตอบกลับใดๆทันใดนั้นที่น้ำพุกลางวิหารก้มีหมอกคลุ้งออกมาพร้อมกับการปรากดตัวของหญิงสาวในชุดขาวพลังมนตรารอบๆตัวของเธอแผ่กระจายออกมา จนทำให้แสงจันทร์ภายในวิหารสว่างขึ้นราวการเปิดสวิซไฟในปัจจุบันก็ไม่ปาน เธอคือแอสต้าน่ะเอง “ โอพวกเจ้าในที่สุดก็กลับมาข้าคิดถึงพวกเจ้าจริงๆ ” แอสต้ากล่าวสะอึกสะอื้นพร้อมกับที่น้ำตาของเธอไหลรินออกมาดผตรงเข้ากอดสมิงทั้งสองไม่ต่างจากแม่กอดลุกเลย “ หยุดเถอะน่ะท่านแม่ผมอึดอัดนะ ” สมิงหมาป่าร่างเงินพูดจึงทำให้นางคลายกอดลง “ เจ้าโตขึ้นเยอะเลยSliver Moon เจ้าเองก็ด้วยเปลี่ยนไปมากเลยshadow Moon ” นางกล่าวอย่างกระตือรือร้นตอนนี้ในใจของนางเต็มไปด้วยความยินดีอย่างหาที่ติมิได้ “ ว่าแต่ท่านเรามาด้วยเรื่องงานน่ะไม่ได้มาเที่ยวนะ ” shadow Moon พูดขึ้นทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไป “ เอาล่ะsliver Moon น้องรักจงไปจัดการเกรเกอรี่ซะส่วนเรื่องฟอจูนทรีข้าจะจัดการเอง ” Shadow Moon ออกคำสั่งกับสมิงหมาป่าร่างสีเงิน(sliver werewolf) “ ขอรับข้า Sliver Moon (จันทร์สีเงิน) จะจัดการพวกมันเอง ” กล่าวจบสมิงหมาป่าสีเงินก็เดินออกไปจากวิหารแล้วสั่งการเดินทัพของสมิงหมาป่าทันที To be continue Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: Living Storm on April 26, 2007, 06:50:27 PM หนุกดีคับ ::001::
แต่งต่อเร็วๆน้า Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on August 29, 2007, 11:16:00 AM เนื่องจากช่วงหลังนี้ผมไม่ค่อยได้มาแต่งต่อเลยเพราะงานที่ยิ่งทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยแต่ว่าในวันอาทิตย์นี้ผมจะนำบทต่อไปมาลงให้นะครับ
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: boy on March 10, 2008, 07:43:11 PM น่าจะมีรูปเทียกับตอนที่ lr เป็นมังกรแห่งความกลัวนะครับ
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 12, 2008, 12:43:36 PM คือจริงๆมันก็มีอ่ะนะครับแต่บังเอิญว่าผู้ช่วยผมมันเป็นคนบ้ากันดัมมาก
ไปหน่อยตอนที่ขอให้มันช่วยวาดรูปให้มันก็ดันวาดทาลิวิลย่าออกมาซะเหมือน Freedom เลย - -* ส่วนช่วงหลังนี้ผมไม่ได้มาอัพเดทเลยสาเหตุคงต้องบอกว่างาน ม.ปลายมันเยอะเกินคาดจิงๆเลยมิได้แต่งต่อเยย(ไม่น่าเลือกวิทย์คณิตเลยตู :P) เอาเป็นว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ผมจะมาอัพเดทให้นะครับช่วงนี้ก็กำลังปืดเทอมพอดีน่าจะมีเวลาแต่งต่อได้ ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะครับแต่คงรูปอย่างว่าไม่ไหวล่ะครับเพราะแต่ละรูปพิจารณาแล้วมัน....(กันดัมชัดๆ :'() Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: boy on March 13, 2008, 08:57:11 PM สู้สู้นะครับ รออ่านอยู่ ความจริงถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ ยิ่งเร่งพี่ก็ยิ่งเครียด ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่าครับ
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Post by: greamon on March 17, 2008, 05:44:21 PM บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์ Part2
สายลมที่พัดอย่างเฉื่อยในยามราตีได้พัดพาเมฆหมอกออกจนฟ้าเปิดแสงจันทร์สาดส่องลงมาทั่วทั้งผืนป่า เสียงเห่าหอนและเสียงคำรามที่วีดหวิวมาตามสายลมซึ่งพัดมาจากทางค่ายอพยพของฟูดินัน เจ้าของเสียงนับพันๆร่างกำลังวิ่งไล่หลังกลุ่มชาวบ้านอยู่อย่างไม่ลดละ ชาวบ้านที่หนีตายบางคนถูกจับกระชากอกมาสังหารด้วยเขี้ยวและกรงเล็บพวกมันกัดกินร่างของชาวบ้านจนเลือดสาดกระเด็นไปหมด มือสังหารเหล่านี้เป็นสมิงหมาป่าร่างสีดำสนิทพวกมันมีตาสีแดงราวกับเลือดพวกมันไม่มีลมหายใจ ไร้ซึ่งจิตวิญญาณใช่แล้วพวกมันเหล่านี้แม้จะคล้ายกับเผ่าสมิงแต่ก็หาใช่สมิงไม่ สภาพภายในป่าตอนนี้หมอกลงจัดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนใบไม้ในป่าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเต็ม ไปด้วยซากศพของชาวบ้านแต่หาได้มีซากศพของสมิงเหล่านี้เลยแล้วพวกมันหายไปไหน ต้านเอาไว้อย่าให้มันตีเข้ามาได้ เสียงตะโกนของแม่ทัพดังออกมาจากด้านหลังของเหล่านักรบป่าทมิฬที่กำลังฟาดฟันกับเหล่าสมิงหมาป่านั้น แย่ล่ะสิพวกมันเยอะเกินไปแถมในป่ายังหมอกลงอีกทำให้สู้ไม่สะดวกเลย ทราเฮิร์นพูดขึ้นขณะที่กำลังพุ่งทวนหอกในมือเสียบทะลุสมิงหมาป่าตัวหนึ่งซักพัก ร่างของสมิงนั้นก็สลายกลายเป็นหมอกไปในที่สุด ชิเยอะจริงๆกำจัดยังไงก็ไม่หมด คาร์นคำรามเบาๆขณะที่ร่านของสมิงหมาป่าจนร่างขาดสบั้น จากที่ดูเจ้าพวกนี้ไม่น่าจะเป็นสมิงจริงๆหรอกนะน่าจะเป็นอสูรเวทซะมากกว่า เกรเกอรี่พูดออกมาตามที่วิเคราะห์ ขณะเดียวกันก็สมิงตนหนึ่งพุ่งมายังเกรเกอรี่ ท่านเกรเกอรี่ระวัง! ชาว์ลซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเข้าไปช่วยได้ตะโกนข้ามมาเพื่อบอกให้เกรเกอรี่หลบแต่ทว่า สมิงตนนั้นก็เข้าประชิดตัวเกรเกอรี่ซะแล้วด้วยความตกใจจึงทำให้เขาสะดุดล้ม ดามิก้าซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดพยายามจะเข้าไปช่วย แต่ก็โดนสมิงอีกตัวขวางไว้ กีซซซซซ (Light Flame) สิ้นเสียงคำรามเพลิงสีขาวก็วาบออกมาจากปากของลูกมังกรขาวพุ่งตรงเข้าไปเผาร่างของสมิงจนสลาย กลายเป็นหมอกไป Lr รีบเข้าไปพยุงตัวเกรเกอรี่ขึ้นแน่นอนระหว่างทางก็มีสมิงเข้ามาขวาง แต่ลูกมังกรตัวอื่นก็เข้าไปช่วยกันขวางไว้ ไม่เป็นไรนะครับ Lrพูดขึ้นขณะที่พยุงตัวเกรเกอรี่ขึ้นเกรเกอรี่ส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ทุกคนรีบถอยออกจากป่าแล้วไปตั้งหลักกันที่มหาพฤกษาเร็ว ฮารีซันที่วิ่งกลับมาตะโกนบอกทุกคนซึ่งทุกคนก็รีบผละจากการต่อสู้ทันทีทหารทั้งหลายต่างก็รีบวิ่งออกจากป่าไปยังมหาพฤกษา พวกสมิงเองก็ไล่ตามไปเช่นกันแต่แล้วเมื่อตามไปถึงมหาพฤกษา พวกเขาก็หายลับไปแล้ว พวกมันยังคงวนเวียนสำรวจรอบๆมหาพฤกษาจมูกของมัน เริ่มกระดุกกระดิกเพื่อดมกลิ่นของศัตรูแต่ ท ทำยังไงดีครับท่านปู่ดูเหมือนพวกมันจะไม่ยอมถอยไปเลย ฮารีซันกระซิบถามวูจินที่กำลังขึงข่ายมนตราอำพรางที่ฮารีซันล่วงหน้ามาบอกให้วูจินทำเอาไว้ก่อน ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านหลังของมหาพฤกษา ภายในข่ายเวทย์ไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่น้อย บริเวณรอบๆเงียบลงพวกสมิงหมาป่าต่างก็เลิกสำรวจแล้วแต่กลับแหวกทางออกเป็นบริเวณ ต่อหน้าพวกเขาเหมือนกับจะเปิดทางใหใครบางคนมาซักพักก็มีลมพัดออกมาจากป่า หมอกเริ่มจางลงมีเงากลุ่มคนกำลังตรงมาทางมหาพฤกษาแปดคน ทุกคนที่อยู่ภายในข่ายเวทย์ ต่างรอด้วยความตื่นเต้นและความแปลกใจเกิดคำถามขึ้นในใจทุกคนมากมายแต่ทว่าก็ไม่ใครกล้าปริปากเลย ซักคน เมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเดินเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัดพวกเขาเหล่านั้นทุกคนมีวงแหวนขนาดกลางที่มีวงแหวนขนาดเล็กกว่าคล้องเอาไว้กันคนละสี่วงที่มือสองวงที่หัวอีกสองวงแต่ละวงจะมีเชือกสีทองผูกไว้เสื้อคลุมสีม่วงดำที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำและผ้าสีแดงยาวสยายพัดสะบัดไปตามลมไม่ใช่ใครอื่นเลยพวก Lr เคยเจอกับคนกลุ่มนี้แล้วพวกเขาคือ ดราก้อนเนโครแมนเซอร์ (ผู้ควบคุมมังกรแห่งความตาย) (ต่อไปย่อเป็น dn )ที่เป็นพวกเดียวกับแบล็คไวเซอร์ น่ะเอง เหล่า dn เริ่มล้อมวงร่ายเวทย์บางอย่างต่อหน้าพวกเขาที่ยังอยู่ในกำแพงเวทย์ซึ่งบัดนี้พวกเขาล้อมเอาไว้แล้วจึงไม่อาจที่จะหนีได้อีก ท่านชาโดว์มูนพิธีพร้อมแล้วขอรับ dn คนหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้นพร้อมกับทันทีที่ร่างของสมิงหมาป่าอีกตนได้กระโดดลงจากกิ่งของมหาพฤกษาขนของสมิงตนนี้เป็นสีเงินทันทีที่มันสะท้อนกับแสงจันทร์ก็ทอแสงระยิบยับเป็นมันวาวราว กับแก้วก็ไม่ปาน ซึ่งตอนนี้ในหัวของทุกคนเริ่มมีความกังวลอยู่ในใจว่าหากสมิงตนนี้อยู่ที่มหาพฤกษานี้มา โดยตลอดเรื่องที่พวกเขาเองก็ยังอยู่ตรงนี้มาโดยตลอดไม่ได้หายไปไหนก็คงความแตกเช่นกัน งั้นเริ่มเลย สมิงตนนั้นขานตอนกลับไปทำให้เหล่า dn เริ่มส่งพลังเวทย์ให้แก่สมิงตนนั้น สมิงหมาป่าตนนั้นหยิบเอาเศษหินรูปจันทร์เสี้ยวที่ห้อยไว้ที่คอขึ้นมาก่อนจะเริ่มร่ายคาถา ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) สิ้นคำของสมิงตนนั้นพลังเวทย์ที่ส่งมาที่ร่างของมันก็ถูกส่งขึ้นสู่ท้องนภาก่อนที่สลายไปพร้อมกับการปรากฏของจันทราสีครามทิ้งไว้แต่เพียงความตกตะลึงของผู้ที่ได้เห็น (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n003/104.jpg) หึเป็นยังไงบ้างเจ้าพวกฟูดินันได้เห็นแล้วรึยังว่าอำนาจของเรานั้นสามารถที่จะเปลี่ยนได้กระทั่งดวงจันทราและยังควบคุมพลังนั้นได้อีกด้วย นามของเราคือซิลเวอร์มูน(Silver Moon) เป็นสมิงสีเงิน( Silver WereWolf )ผู้รับใช้ของ1ใน12เทพขุนศึก สมิงตนนั้นกล่าวขึ้นขณะที่หันมาทางพวกเขาพร้อมกับยกแขนขึ้นทันใดนั้นพระจันทร์สีครามก็ก็ยิงแสง สีครามลงมา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p004/70.jpg) ทุกคนหนีเร็ว ฮารีซันตะโกนพร้อมกับแบกร่างของวูจินแหวกฝูงสมิงออกมาเหล่าผู้นำเผ่าต่างๆก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนทั้งที่หลบอยู่บนต้นไม้ในป่าและอยู่ในเขตอาคมรีบทำการแหวกหนทางหนีแต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว แม้ส่วนใหญ่จะหนีออกมาได้หมดแล้วแต่ทว่านักรบที่หนีอกมาไม่ทันก็ถูกแสงนั่นกระทบรวมไปจนถึง เหล่าสมิงของซิลเวอร์มูนเองก็ด้วยหมอกไอเย็นที่เกิดจากลำแสงที่ตกกระทบก็พวยพุ่งตลบอบอวลไปหมดจนมองไม่เห็นอะไรเลยทันทีที่หมอกจางลงบริเวณโดยรอบกลายเป็นทุ่งน้ำแข็งไปในที่สุด เหล่านักรบและพวกสมิงที่โดนลำแสงเข้าไปต่างกลายเป็นน้ำแข็งจนหมด อะไรกันเนี่ย ฮารีซันอุทานด้วยความไม่เชื่อในสายตาตัวเองทุกสิ่งที่โดนแสงนั้นกระทบถูกไอเย็นจับตัวแข็งกันจนกลายเป็นน้ำแข็ง Silver Claws(เล็บสีเงิน) สิ้นคำของซิลเวอร์มูนเขาก็ตวัดอุ้งเล็บออกไปเกิดเสียงหวีดหวิวขึ้นพร้อมกับคลื่นสูญญากาศพุ่งเป็นประกาย สีเงินตรงไปทางพวกที่โดนแช่แข็งก่อนที่ก้อนน้ำแข็งบรเวณนั้นจะแตกร้าวและแหลกสลายไปในที่สุด อีกเดี๋ยวพวกแกก็ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ซิลเวอร์มูนพูดจบก็พุ่งเข้าหาฮารีซันทันทีแต่ทว่าคาร์นก็เอาดาบแทรกเข้ามากันไว้ได้ ฮึ่มนี่รึว่าแก คาร์นพูดขึ้นแต่แล้วเขาก็กลับถูกกดดาบลงทำให้เขาต้องชะงักไปจนต้องเอามืออีกข้างมายันไว้ แกยังจำได้รึเปล่าศิลาแห่งจันทรานี้น่ะ ซิลเวอร์กำเชือกที่มัดหินรูปจันทร์เสี้ยวเมื่อครู่ไว้แน่น Flying Flame เสียงดังมาจากด้านบนของทั้งสองซิลเวอร์มูนผละตัวจากคารน์แล้วกระโดดหลบออก คลื่นลมที่พุ่งลงมาอย่างจึงพัดโดนคาร์นปลิวไปกระแทกกับลำต้นของมหาพฤกษาอย่างจัง วิลนั่นเองที่ปล่อยลมมาเพื่อที่จะพัดซิลเวอร์มูนให้กระเด็น กีซซซซซซ (หวายโทษทีไม่นึกว่ามันจะรู้ตัว) วิลกล่าวขอโทษกับคาร์นแต่ดูเหมือนว่าคาร์นจะสลบไปแล้วพวก Lr วิ่งออกมาจากทางป่าด้าน หลังพร้อมกับกองกำลังต่อต้าน Holy Nightmare ของเกรเกอรี่ที่พึ่งมาถึง อ่ะนี่มัน ซิลเวอร์มูนกล่าวขึ้นอย่างไม่เชื่อในสายตาบัดนี้พวกเขากลับถูกล้อมซะเอง กีซซซซซ (นี่หล่ะแผนของฉันให้กลุ่มนึงล่อพวกมันมาที่ต้นไม้ยักษ์ต้นนี้แล้วพวกเราก็ ออกไปหาทางให้ท่านเกรเกอรี่ติดต่อขอกำลังเสริมเท่าเราก็ได้เปรียบพวกมันแล้ว) เอิท์ธกล่าวขึ้นอย่าง ลำพองใจ ซึ่งก็เป็นตามนั้นพอกองกำลังต่อต้านผนึกกำลังกับกองทัพจากทั้งสามเผ่า ก็สามารถเอาชนะสมิงปีศาจเหล่านี้ได้จนเหลือเพียงแค่ซิลเวอร์มูนกับเหล่า dn ทั้งแปด เท่านี้เราก็เป็นฝ่ายชนะแล้วยอมจำนน . แม่ทัพกองกำลังกล่าวโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมแต่โดยดีแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะชาว์ลเข้ามาขวางการโจมตี ของ dn ที่คิดจะเข้ามาสังหารเขาพวกมันพยายามจะจับตัวชาว์ลแต่เพียงพริบตาเดียวก็ถูกฟันจนล้มลงหมด ทีนี้ก็เหลือแต่เจ้าแล้ว ชาว์ลพูดขึ้นหลังจากตวัดดาบขึ้นเตรียมบุกครั้งต่อไปแต่แล้วซิลเวอร์มูนแสยะเขี้ยวราวกับจะ เยาะเย้ยเขา ชาว์ลกำดาบในมือแน่นเขารู้สึกเหมือนถูกเหยีดหยามใจเขาร้อมรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น มาก่อนจนตอนเขาชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่คือความโกรธหรือความกลัวกันแน่ หึนี่พวกแกคิดว่าข้าคนนี้จะจนตรอกง่ายๆเลยรึ ซิลเวอร์มูนพูดจบไม่ทันที่ทุกคนจะได้คิดแสงสีครามก็ถูกยิงลงมาอีกไม่มีใครหลบทันแม้แต่คนเดียวหมอกควันฝุ้งกระจายไปทั่วจนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย หึหึสุดท้ายพวกแกก็มาตายกันหมด ..รึ ซิลเวอร์มูนพูดขึ้นมาก่อนที่ควันจะจางลงแต่เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อมีแสงส่องสว่างออกมาจากกลุ่มหมอก แสงนั้นครอบครุมพวก Lr เอาไว้เหมือนเกราะคุ้มกันที่ในเกราะคุ้มกันมีชายในชุดเกราะขาวสวมหน้ากากมังกรยกโล่ขึ้นมาสร้างเกราะป้องกันไว้ กีซซซซ (ท่านเมทาไนท์) วิลเอ่ยขึ้นเมื่อได้เห็นเมทาไนท์อีกครั้งซึ่งมาช่วยพวกเขาไว้ทันอีกแล้วในตอนนี้มีผู้เหลือรอดจากการ ถูกแช่แข็งแค่ Lr และเหล่าลูกมังกรกับเมทาไนท์เท่านั้น แก...เป็นใคร ซิลเวอร์เอ่ยถามถึงนามของผู้มาใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะใส่ใจหรอก เมทาไนท์พูดจบก็ปลดโล่ลงก่อนที่จะกระโดดพุ่งผ่านพุ่มไม้หายลับเข้าไปในป่า ซิลเวอร์มูนได้แต่เพียงชายตามองตามหลังไปเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาสนทนากับพวกเขาต่อ เอาเถอะที่นี้ข้าจะทำลายทิ้งเสียให้หมดรวมถึงพวกเจ้าด้วย สุดท้ายไม่ว่าพวกเจ้าจะวางแผนยังไงก็ไม่สำเร็จหรอกดีมาตายกันซะให้หมด ซิลเวอร์มูนพูดขึ้นก่อนที่จะวาดมือเพื่อสร้างคลื่นพลังทำลายทุกคนที่โดนแช่แข็งเอาไว้ นี่.นี่เป็นเพราะเราหรือเนี่ยเราทำให้ทุกคนต้องมาตายเหรอไม่นะ เอิท์ธคิดในใจเขารู้สึกผิดที่จะนำพาหายนะมาแก่ทุกคน ตอนนี้ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่คลื่นพลังจะถูกซัดออกมาจากกรงเล็บของซิลเวอร์มูน Lr ก็เข้าไปผลักซิลเวอร์จนเซเสียหลักทำให้คลื่นพลังที่รวมไว้สลายไปซิลเวอร์มูนเอาแขนผลัก Lr จนกระเด็น หนอยบังอาจนักนะพวกแกงั้นก็จงตายก่อนซะเลย ซิลเวอร์มูนพูดน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแต่ทว่าทันใดนั้นก็มีแสงส่องออกมาจากดราก้อนฮอลลี่(ย่อ dgh) อ่ะแสงนี่เหมือนตอนนั้นเลย Lr พูดขึ้นก่อนที่แสงสว่างจะส่องสกาวออกมาจนแสงนั้นครอบคลุมร่างของเขากับไลท์เอาไว้ เม...โ... เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของพวกเขาทั้งสองมันพยายามะให้พวกเขากล่าวตามนั้น " Metamorphose Fusion ( เมตามอฟอส ฟิวชั่น ) " เสียงดังกังวานออกมาพร้อมกับแสงสว่างจ้าจาก dgh กลายเป็นลำแสงพลังงานสีขาวพวยพุ่งออกมาขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็วและแตกกระจายออกเป็นวงแหวนแสงขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งวงละอองแสงกระจายฟุ้งออกจากวงแหวนแสงขนาดไปทุกทิศทางวงแหวนแสงเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยวงแหวนแสงที่หมุนเร็วขึ้นรวมเอาละอองแสงที่กระจายออกมาในตอนแรกจนหมดและ แล้วลำแสงพลังขนาดใหญ่ก็ถูกยิงลงมาทั้งสองในลำแสงร่างของทั้งสองได้รวมกันเป็นหนึ่งร่างกายที่รวมกันของทั้งสองนั้นค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นลำแสงพลังงานก็สลายไปเหลือไว้แต่เรือนร่างของทั้งสองที่รวมกันเป็นหนึ่งยังคงส่องแสงเจิดจ้าและค่อยๆจางลงอยู่เหนือหัวของพวกเขา เผยให้เห็นร่างอัศวินมังกรสีขาวสะอาดปีกทั้งสองข้างที่สวยเหมือนดั่งปีกของพญาหงส์ตาสีแดงน่าเกรงขาม มือข้างขวาถือแท่งพลังงานแสงที่ยังคงส่องประกายเจิดจ้าอยู่สักพักมันก็ค่อยเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบสีทองที่มีแถบสีขาวพาดอัศวินมังกรตนนั้นสบัดปีกทั้งสองข้างเพื่อไล่ละอองพลังงานที่ยังติดอยู่ออกจากร่างจากนั้นก็ยกดาบขึ้นฟาดฟันกระบรวนท่าอันสวยงามน่าเกรงขาม บัดนี้ไลท์กับ Lr ได้รวมร่างกันเป็นอัศวินมังกรแห่งทาลิวิลย่าอีกครั้ง " แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกใบนี้นามของข้าคือ ทาลูคูส ( Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya ) " โปรดติดตามตอนต่อไปของ บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์ Part3 Title: Re: Legend of The Thaliwilya upบทที่11 part2 แล้ว Post by: greamon on April 01, 2008, 06:49:27 PM บทที่11 ตระกูลแห่งเผ่าสมิงผู้สูงศักดิ์ Part3
ท่านกลางท้องนภาอันมืดมิด ดวงตะวันที่ลับฟ้าไปแล้วจักปรากฏจันทราช่วยส่องแสงนำทางแทนหากทว่า จันทราในคืนนี้ส่องแสงสีครามไอเย็นและความหนาวเหน็บเข้าปกคลุมป่ารอบมหาพฤกษาขนาดใหญ่ เหนือป่าขึ้นไปกลับมีอีกแสงที่เปล่งประกายอยู่หน้ามหาพฤกษาแสงนั้นถูกส่องออกมาจากร่าง ของอัศวินมังกรสีขาวแววตาของเขาจ้องลงไปเบื้องล่างที่ยังแววตาของสมิงหมาป่าสีเงินซึ่งยืนอยู่บนผืนแผ่นดิน ที่เย็นแข็งจากอำนาจของจันทราเยือกแข็ง (cool moon) สายตาของทั้งสองยังคงจับจ้องอยู่กันและกันก่อนที่ใบสีเงิน ของมหาพฤกษาจะร่วงโรยลงมาตามแรงลมทั้งสองก็ได้หายไปจากที่เดิมเสียแล้ว (http://www.fotothing.com/photos/803/803efb05b6779febc0280211c10074ac.jpg) ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทาลูคูส (Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya) ฟาดดาบในมือใส่ซิลเวอร์มูนอย่างไม่ยั้งมือ ทำให้ซิลเวอร์มูนต้องปัดป้องเป็นระวิงทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ซิลเวอร์มูนมีโอกาส สะสมพลังเพื่อทำลายพวกชาวบ้านและเหล่าทหารที่ถูกแช่แข็งอยู่เบื้องล่างทาลูคูสจึงบุกไปโดยไม่ลดความเร็วทั้งสองเคลื่อนที่ไป เรื่อยอย่างรวดเร็วขณะปะทะซิลเวอร์อาศัยแรงส่งจากการวิ่งไต่ขึ้นลำต้นของมหาพฤษาทาลูคูสเองก็สยายปีกออกเพื่อจะรับลมได้เต็ม เพื่อเร่งความเร็วตามซิลเวอร์มูนให้ทันทั้งสองยังคงปะทะกันไป เรื่อยๆเหล่าลูกมังกรที่เหลือทั้ง5ตัวได้แต่คล้อยสายตามองตามไปเรื่อยๆ ด้วยความตกตะลึงและแล้วซิลเวอร์มูนก็พลาดท่าถูกทาลูคูสยันจน เสียหลักตกลงมาทาลูคูสไม่รอช้าเขารีบเบี่ยงตัวออกจากลำต้นมหาฤกษา พร้อมง้างดาบมาคายาเดียจนสุดแขนเมื่อได้องศาแล้วตัวดาบเปล่งแสงออกมาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ Lux et Dragos สิ้นเสียงดาบในมือของเขาถูกตวัดลงมาคลื่นพลังงานสีขาวเป็นรูปจันทร์เสี้ยวถูกวาดออกไป แต่ซิลเวอร์มูนก็พลิกกลับตัวกลางอากาศได้ทันพร้อมกับตั้งท่ารับมือ Silver Claws สิ้นเสียงซิลเวอร์มูนก็รวบรวมพลังพร้อมวาดกรงเล็บปะทะเข้า คลื่นแสงที่พุ่งเข้ามาจนแตกสลายไปซิลเวอร์มูนถูกแรงปะทะดีดออกมาจนตกลง ไปในป่าทาลูคูสคิดที่จะตามไปแต่แล้ว เขาละทิ้งความคิดนั้นแล้วหมุนตัว กลับไปมองจันทราสีครามมันพร้อมที่จะยิงแสงอีกครั้งโดยเป้าหมายครั้งนี้คือเขา ไม่รอช้าก่อนที่เขาจะคิดซะด้วยซ้ำไปแสงสีครามกระทบ ถูกเขาแล้วไอเย็นไปทั่วบดบังร่างของเขาไว้ เหล่าลูกมังกรพูดไม่ออกได้แต่ทอดสายตาแสดงอาการตกตะลึงอย่างชัดเจนมาที่เขาทันทีที่ไอเย็นจางลง พวกเขาก็ยิ้มออกเมื่อร่างของทาลูคูสหาได้กลายเป็นน้ำแข็งไม่ นึกว่าจะแย่ซะแล้วดีนะที่ร่างนี้พลังในการลบล้างคำสาปหรือพิษทุกชนิดน่ะ ทาลูคูสกล่าวขึ้นอย่างลอยๆก่อนจะตั้งท่าอีกครั้ง จงแหลกสลายไปซะ ทาลูคูสเอ่ยขึนก่อนจะตวัดคลื่นดาบออกเป็นรูปกากบาทออกไปคลื่นพลังนั้นค่อยๆเปล่งแสงจ้าจนกลายมังกรพลังงานสีขาวในที่สุด Great of Dragon (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) สิ้นเสียงมังกรพลังก็กระแทกเข้ากับจัทราสีครามจนแตกสลายไปทั้งคู่เศษซากของจันทราสีครามค่อยๆร่วงโรยลงสู่ผืนดินหยอกล้อแสงจันทร์ที่ส่อง ลงมาหลังจากการบดบังของจัทราสีครามราวกับเกล็ดหิมะก็ไม่ปานพร้อมกับร่างของทุกคนที่หายจากการถูกแช่แข็ง หลังจากนั้นในวันต่อมาทุกคนก็ได้กลับไปยังค่ายอพยพชั่วคราวพร้อมกับเริ่มงานบูรณะหมู่บ้านกันอีกครั้งหลายวันผ่านไปทุกเผ่าจึงแยกย้ายกัน กลับที่เรือนรับลองของบ้นบันดาราบิชอปเกรเกอรี่กำลังหารือทั้งกับวูจินและฮารีซันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อนส่วนลูกมังกรทั้งหลายก็ออกไป เล่นสนุกกับพวกเด็กในเผ่า เว้นแต่เพียงเอิธ์ทกับนิทินโคที่แยกตัวออกไปเอิธ์ทยังคงเสียใจที่ความคิดของตนเกือบจะทำให้ทุกคนถูกสังหารหมดแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้คิดหรือถือโทษ โกรธเคืองเลยอะไรก็ตามเพราะเป็นเรื่องสุดวิสัย ส่วน Lr หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นก็ได้ขอให้ชาว์ลสอนวิชาดาบให้กับตนเพื่อว่าจะได้ใช่ต่อกรกับศัตรูเพราะในหลายคืนก่อนนั้นเป็นเพราะศัตรูด้อยกว่า จึงชนะมาได้แต่ก็สาหัสสากันเช่นกันด้วยเหตุนี้ Lr จึงได้คิดริเริ่มที่จะฝึกวิชาดาบโดยชาว์ลนำเอาไม้ในป่ามาทำดาบให้สำหรับใช้ในการฝึกซึ่งเขาเองก็เรียนรู้จากชาว์ลได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนนิทินโคก็บินไปเกาะที่กิ่งของมหาพฤกษาสายตามองไปยังฟ้ากว้างในใจครุ่นคิดถึงพ่อแม่อยู่ลึกๆ ที่ลานหน้าบ้านบันดาราซึ่ง Lr ยังคงฝึกดาบอยู่กับชาว์ลเกรเกอรี่ที่เพิ่งคุยธุระเสร็จก็เดินลงมาจากบ้านตรงไปหาชาว์ล เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะกลับกันแล้วล่ะแล้วเธอจะเอายังไงล่ะ Lr เกรเกอรี่เอ่ยถามถึงกำหนดการซึ่งถูกเสนอไปเมื่อวันก่อนที่พวกเขาน่าจะตัดสินใจได้แล้ว พวกเรายังไม่ตกลงกันครับว่าจะทำยังไงต่อไปดีหมู่บ้านมักรก็พังไปแล้วพวกพ่อแม่ของทุกคนก็โดนจับคัวไปตอนนี้ทุกคนคงจะยังสับสนกันอยู่ยิ่งกับเอิธ์ทที่ยังคิดเรื่องเมื่อคืนก่อนอยู่เลย Lr ตอบน้ำเสียงเคร่งเครียดด้วยที่ว่าตอนนี้พวกเขาไร้ที่ไปเสียแล้วและยังไม่มีเป้าหมายด้วย ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรเกรเกอรี่ก็ชิงเอ่ยก่อนเขา นี่ลูกมังกรตัวนั้นยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ เกรเกอรี่เอ่ยขึ้น ครับเดิมทีเขาเป็นคน(ตัว)แบบนั้นอยู่แล้ว Lr เอ่ยเสียงแผ่ว ถ้ายังไงขอเวลาพวกผมอีกสักหน่อยนะครับ Lr พูดขึ้นซึ่งเกรเกอรี่ก็ได้แต่พยักหน้ารับ งั้นขอให้ได้คำตอบในวันพรุ่งนี้ก็ละกันนะ เกรเกอรี่เอ่ยจบก็หันไปสนทนากับชาว์ลต่อ ว่าแต่วันนี้ใช่ไหมที่ท่านนัดมาน่ะ ชาว์ลเอ่ยถามเกรเกอรี่ถึงนัดหมายในวันนี้ อืมเห็ยว่าเขาจะมาตอนบ่ายๆน่ะ เกรเกอรี่เอ่ยจบคาร์นที่พึ่งจะมาถึงก็เดินเข้าหาพวกเขา น่ะกำลังพูดถึงอยู่เลย เกรเกอรี่เอ่ยเสียงเรียบแต่ Lr เองก็อดที่จะขำกับท่าทางของพวกเขาไม่ได้ เอาล่ะเข้าไปคุยกันข้างในเถอะท่านฮารีซันรออยู่อ้อเจ้าจะมาด้วยก็ได้นะ เกรเกอรี่กล่าวจบทั้งหมดก็เดินเข้าไปในบ้าน เมื่อทุกคนพร้อมที่จะฟังคาร์นก็เอ่ยปากเล่าความทั้งหมด เรื่องที่ข้าพูดวันนั้นเรื่องของเผ่าครึ่งสมิง คาร์นเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยายามลำรึกเรียงลำดับเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต หลายร้อยปีก่อนที่เขาจะเกิดซะอีกตั้งแต่ก่อนมหาสงครามสี่อาณาจักรหรือแต่ก่อนที่จะเกิดอาณาจักรซาโลมเสียอีกใช่แล้วมันเป็นเรื่องที่ นานมากแล้วซึ่งเล่าสืบทอดต่อๆกันมาในตระกูลของคาร์นเอง เรื่องเล่าเกี่ยวกับศิลาวิเศษนั้นนอกจากศิลามังกรยังมีศิลาวิเศษอื่นๆอีกมากมายเล่าขานกันมาหนึ่งในนั้นศิลาแห่งจันทราก็เป็นเช่นเดียวกันมีอำนาจ ที่จะควบคุมขุมพลังแห่งตนซึ่งว่ากันว่าผู้ครอบครองจะสามารควบคุมจันทราได้ซึ่งผู้สร้างมันขึ้นมาคือชนเผ่าครึ่งสมิงเดิมทีสมิงเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว ์อยู่แล้วซึ่งโดยส่วนใหญ่จะออกไปทางสัตว์มากกว่ามนุษย์แต่มีสมิงบางพวกที่เป็นมนุษย์และสามารถกลายเป็นสัตว์หรือสมิงได้ด้วยซึ่งนั่นก็คือครึ่งสมิงแม้เวลาปกติจะด ู เหมือนมนุษย์แต่ก็ยังมีลักษณะทางสัตว์อยู่เหมือนกับสมิงแต่จะแสดงออกไปทางมนุษย์มากกว่าอย่างครึ่งสมิงหมาป่าแม้ร่างกายส่วนใหญ่เป็นมนุย์ก็ยังมีหูหางแบบหมาป่า และนอกจากนี้พวกเขายังจำแลงกายเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆได้ด้วยและยังคงพูดอ่านได้อยู่แม้เป็นสัตว์ไปแล้วก็ตามอีกทั้งยังจำแลงกายเป็นสมิงเชกเช่นเดียวกับพวกเขา แต่ด้วยความที่ว่าไม่ได้เป็นอะไรเลยซักอย่างเดียวทำให้พวกเขาเหล่ามองดูเป็นอสูรกายสำหรับมนุษย์และสมิงด้วยกันเองอยู่ดีพวกเขาจึงต้องแยกตัวออกจากโลกภายนอกแต่ แล้วอยู่มาวันหนึ่งพวกครึ่งสมิงก็ได้สร้างศิลาที่มีพลังในการควบคุมจันทราขึ้นมาแน่นอนพวกเขายังคงเป็นเผ่าที่มีพลังด้านมนตราเวทมนต์สูงด้วย ซึ่งเผ่าสมิงที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกและรู้ถึงการมีตัวตนอยุ่ของพวกเขาด้วยความเกรงกลัวในพลังอำนาจจึงตัดสินใจที่จะโค่นสุดยอดเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งนี้ซะซึ่งการบุกจู่โจมโดยที่ไม่ทันตั้ง ตัวทำให้พวกเขาต้องถูกฆ่าล้างจนหมดเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ นั้นคือการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ครึ่งสมิงจนเวลาได้ล่วงเลยมาก่อนจะถึงปัจจุบัน 8 ปีได้ มีครอบครัวสมิงเข้ามาพวกเขามีลูกสมิง2พี่น้องคนโตอายุพอๆกับเด็กมนุษย์2ปีและคนน้องอายุ1ปีพวกเขาอาศัยอยู่ในเผ่าผ่านไป3เดือนความเรื่องที่พวกเขาแท้จริงเป็น ครึ่งสมิงก็แตกบานปลายจนกลายเป็นการไล่ล่า พวกเขาพาลูกน้อยหนีการตามล่าไปจนจะเข้าถึงเขตชายแดนของฟีเลเซียแต่พื้นที่แถวนั้นกำลังทำการรบกันอยู่ครึ่งสมิงโดนไล่ต้อนจนจนมุมหากไปต่อก็อาจต้องปะทะ กับสงครามหากอยู่ต่อก็ต้องถูกพวกสมิงสังหารพวกเขาหมดทางหนีแต่แล้วกลุ่มคนที่วิ่งสวนมาทางพวกเขาพร้อมกับร่างของมังกรทมิฬก็ทำให้พวกสมิงต้องถอยกรูเข้าป่าไปพร้อมกับ เจ้ามังกรทมิฬไล่หลังไปพวกเขารอดจากการถูกตามล่าแล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลย .ในตอนนั้นข้าคิดว่าพวกเขาคงจะหนีหายไปแล้วแต่แล้วหลังจากนั้น1เดือนเราก็พบศพครึ่งสมิง2ตัวที่หน้าจะเป็นพ่อแม่ของเด็กที่เป็นลูกครึ่งสมิงพวกนั้นจริงๆแล้ววันนั้นข้าไม่ได้ อยู่ที่เผ่าจึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากนักได้แต่สอบถามจากพวกลูกเผ่าตระกูลของข้าเป็นผู้ที่คิดจะเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีต่อกันระหว่างสมิงกับครึ่งสมิงถ้าวันนั้นข้าอยู่ที่นั่นละก็เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้ คาร์นกล่าวจบเขาก็เงียบไป Lr มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที นี่หรือว่าสมิงที่เข้าจู่โจมพวกเราวันก่อนน่ะ ชาว์ลกล่าวขึ้นทำให้ทุกคนหันมาสนใจกับคำพูดของเขาและความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง ก่อนที่คาร์นจะเอ่ยขึ้น ถ้าข้าจะบอกว่าศิลาจันทรานั่นคือเครื่องบ่งชี้ว่าสิ่งที่เจ้าคิดนั้นถูกต้องล่ะ คาร์นเอ่ยขึ้น .................. ................... ............................ ................................ ที่วิหารแห่งจันทรา พร้อมแล้วนะคืนนี้พระจันทร์จะเต็มดวงอีกครั้ง เด็กหนุ่มอายุราว9ปีเอ่ยขึ้นเด็กคนนั้นมีผมสีดำสนิทเหมือนเด็กทั่วไปแต่ทว่าเล็บของเขาแหลมราวราวกับเล็บของหมาป่าหูของ เขาก็เช่นเดียวกันเป็นหูของหมาป่าด้วยเขาใส่กางเกงผ้าขายาวเนื้อสีดำเพียงตัวเดียวเท้าของเขามีเล็บของแบบเดียวกันกับหมาป่า เขาแสยะปากเล็กน้อยเผยให้เห็นขี้ยวเล็กๆของเขาแววตาคนแข็งกร้าวราวสัตว์ป่า ท่านพี่ครับการเตรียมการพร้อม เด็กอีกคนที่ดูจะอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นเด็กนี้เป็นเช่นเดียวกับเขาเพียงแต่เขามีผมสีเงินพวกเขาเป็นพี่น้องแห่งเผ่าครึ่งสมิงนั้นเองครึ่งสมิง คนพี่หันมาแล้วส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้ตามมาซึ่งคนน้องก็ทำตามแต่โดยดี พวกเขาเดินออกจากห้องสีขาวที่ประดับด้วยหินใสที่ส่องประกายแสงอ่อนๆระยิบระยับไปยังทางเดินออกจากวิหารสู่ทะเลสาบลวงตาซึ่งเป็นทางออก จากวิหารสู่ป่าแสงจันทร์ระหว่างทางหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของวิหารแอสต้าก็เดินสวนพวกเขา (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-5cb0dc.jpg) นี่พวกเจ้าจะเอาจริงงั้นเหรอโลกใบนี้อาจจะไม่ได้เห็นรุ่งอรุณอีกเลยนะ นางกล่าวทำให้ทั้งสองหยุดเดิน นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำเพราะมันเป็นทางเดียวที่จะปกป้องพวกเราได้ครับ ครึ่งสมิงคนพี่กล่าวเสียงเรียบสายตายังคงมองไปข้างหน้า ปกป้องงั้นเหรอการปกป้องที่ต้องแลกกับชีวิตของผู้คนอีกนับล้านนี่เพื่อแค่พวกเรามันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ นางขึ้นเสียงทำให้ครึ่งสมิงคนน้องหันกลับไปมอง ครับ ครึ่งสมิงคนพี่ตอบแค่นั้นแล้วก็ออกเดินต่อโดยครึ่งสมิงคนน้องตามไป ท่านพี่ต้องแบกรับทุกๆอย่างเอาไว้เพื่อพวกเราแม้จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปชั่วนิรันดร์ก็ตาม ครึ่งสมิงคนน้องคิดในใจขณะที่เดินตามไปเมื่ออกมาถึงข้างนอกวิหารข้างหน้าพวกเขาอสูรสมิงหมาป่านับพันที่พร้อมรบยืนเรียงรายอยู่คอยรับคำสั่งของ เขาครึ่งสมิงคนพี่หันไปหาน้องชายของตนก่อนจะเอ่ย ไม่ต้องคิดมากหรอกนี่ก็ถือเป็นการแก้แค้นของเราด้วยไม่มีใครอีกแล้วที่เราจะต้องห่วงใยนอกจากพวกเราอีกแล้วสำหรับอสูรอย่างเราคนอื่นคือศัตรู ครึ่งสมิงคนพี่พูดจบก็หันกลับและหลับตาลงสักครู่ควันสีดำก็ค่อยๆพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาปกคลุมเขาไว้ก่อนที่ร่างของจะสูบควันสีดำเหล่านั้นกลับเข้า ไปร่างของเขาเปลี่ยนเป็นสมิงหมาป่ากายสีดำ คนน้องเห็นเช่นนั้นก็ทำตามควันสีเงินพวยพุ่งออกมาปกคลุมเขาเช่นกันก่อนจะสูบกลับเช้าไปเขากลายเป็นสมิงสีเงินอีกครั้งซิลเวอร์มูนน่ะเองเขาเป็นชนเผ่าครึ่งสมิงที่หายสาบสูญไป สมิงคนพี่เดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับออกคำสั่งกับอสูรสมิง (http://www.fotothing.com/photos/603/6038c171bba9ee01c3a536b5878667ab.jpg) ในนามของข้าชาโดว์มูน(Shadow Moon) 1ใน12เทพขุนศึกจากนี้ไปเราจะแผนการชิงฟอจูนทรี(Fortune Tree) โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้าเอิธ์ทที่ยังรู้สึกผิดกับทุกคนจึงไม่ยอมที่จะตัดสินใจแต่ใดๆในขณะที่กองทัพของโฮลี่ไนท์แมร์กำลังคลืบคลานเข้ามาน่ะเองพลังของ ทาลูคูสก็หายไปพวกเขาจะเป็นเช่นไรโปรดติดตามในตอนหน้า บทที่ 12 ปฐพีคงอยู่ด้วยปัญญา Title: Re: Legend of The Thaliwilya upบทที่11 part3 จบบท แล้ว Post by: boy on April 01, 2008, 07:06:35 PM ในที่สุด ตอนใหม่ก็ออกมา สวรรค์ทรงโปรด
หนุก ::020:: ทำหนังสือขายได้เลยนะเนี่ย Title: Re: Legend of The Thaliwilya upบทที่11 part3 จบบท แล้ว Post by: greamon on April 03, 2008, 04:51:33 PM ไม่ได้แต่งซะนานฝีมือตกไปพอสมควรเลยทุกทีแค่บทหนึ่ง 3 ชม.ต้องเสร็จแล้วแต่นี่
่ล่อเป็นวันเลยเฮ้อต้องฝึกใหม่ซะละขอบคุณที่ติดตามชมผลงานของผมนะครับแล้วจะรีบแต่งต่อให้ได้ชมกันต่อไปรออีกนิดนะ ;) Title: Re: Legend of The Thaliwilya up tip for dragonology การ์ดตัวละครเสริม Post by: greamon on April 07, 2008, 05:20:23 PM Tip for dragonology การ์ดตัวละครเสริม
หวัดดีค้าบสำหรับหัวข้อในวันนี้ของtip for dragonology คือการ์ดตัวละครเสริมนั่นเอง แน่ล่ะว่าคุณๆทั้งหลายอาจจะงงว่าอะไรคือ การ์ดตัวละครเสริมงั้นผมจะอธิบายให้ฟัง คือว่าในนิยายของผมนี้ทุกๆท่านคงได้เห็นแล้วว่าผมได้นำ เอาภาพการ์ดมาใช้ในการ์ดประกอบนิยาย แต่ว่าภาพส่วนใหญ่จะมีแต่เหล่าตัวละครที่มีในซัมมอนเนอร์อยู่แล้วดังนั้น.ผมจึงได้ทำการสมมุติการ์ดตัว ละครที่แต่งขึ้นมาเองบางส่วนโดยจะสังเกตได้จากแถบชุดของ การ์ดว่าจะเขียนว่า tip for dragonology นั่นแปลว่าเป็นการ์ดที่ผมแต่งขึ้นเองเพราะฉนั้น ลองทายกันเล่นๆดูนะครับส่วนคำตอบก็รอดูเอาในแต่ละบทละกันครับจะโพสตอบเล่นๆก็ได้นะครับถือซะว่าเป็นการช่วยไม่ให้กระทู้ตกยาวเกินไปอิอิ ;D Title: Re: Legend of The Thaliwilya upบทที่11 part3 จบบท แล้ว Post by: greamon on April 11, 2008, 05:31:40 PM เนื่องจากตอนนี้ยาวมากเลยจะตอบแยกกระทู้ครับ อาจจะเกะกะลูกกะตาไปหน่อยแต่ขอบอกเลยว่าตอนนี้สาระเยอะมาก
บทที่ 12 ปฐพีคงอยู่ด้วยปัญญา ผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลของฟูดินันหลังจาก เหล่าสรรพสัตว์ผ่าน การดำรงชีวิตมาทั้งวันก็ถึงเวลาเปลี่ยน สรรพสัตว์บางตัวให้ออกหากินในยามนี้ รัติกาลได้มาเยือนอีกครั้งดวงจันทร์ในคืนนี้ขึ้น เต็มดวงอีกครั้งแต่ทว่ากลับส่องแสงสว่างมากกว่าปกติราวกับเป็น สัญญาณเตือนว่าคืนนี้พลังของจันทราได้มีมากที่สุด เสียงของเหล่าสรรพสัตว์ในคืนนี้ต่างออกไปจากทุกคืนพวกสัตว์ต่างไม่ หลับนอน เอาแต่ส่งเสียงโหยหวน จนลั่นป่าทำให้คืนนั้นทุกเผ่าในอาณาจักรฟูดินันต้องจัดเวรยาม อย่างหนาแน่นกว่าปกติด้วยเกรงว่า พวกสัตว์อาจคุ้มคลั่งแล้วเข้าโจมตีเอาได้ ณ เพิงพักพิงที่หน้าบ้านบันดาราพวก Lr ตอนนี้เขาและเหล่าลูกมังกรกำลังประชุมหารือบางอย่างอยู่รอบ กองไฟ ตกลงพวกเราจะทำยังไงต่อไปดี Lr ถามทุกคนทันทีที่เสียงของ Lr ดังขึ้นดราก้อนฮอลลี่(dgh)ก็เปลี่ยนคลื่นความถี่ของเสียงของเขาทำให้ลูกมังกรฟังเป็นภาษามังกรดังนั้นการสนทนาจึงไม่ติดขัดแต่อย่างใด แล้วเรามีทางเลือกไหนบ้างล่ะ เฟินกอลโลแย้งถามขึ้นมาเสียงของเขาถูกdghแปลงความถี่จน Lr ได้ยินเป็นเสียงมนุษย์เช่นเดียวกัน 3 ..จริงๆแล้ว 2 ทางเลือกน่ะ Lr พูดด้วยความไม่แน่ใจแต่เขาก็ก็เอ่ยต่อทันที ทางเลือกที่1 เราจะเดินทางไปกับพวกท่านบิชอปและทางเลือกที่ 2 พวกเราจะอยู่ที่ฟูดินันนี่ต่อก็ได้เพราะคุณฮารีซันอณุญาติให้เราอยู่ในเผ่าของเขาต่อไปนานเท่าไหร่ก็ได้.. Lr กล่าวยังไม่เสร็จดีเสียงของนิทินโคก็ดังแทรกขึ้นมา แล้วทางเลือกที่สามล่ะ คำพูดของนิทินโคทำให้เขาอ้ำอึ้งไปซักครู่ก่อนจะถอนหายใจล้วตอบคำถาม (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/7.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/8.jpg) นั่นคือพวกเราตัดสินใจออกเดินทางกันเองโดยจะไปทำอะไรก็แล้วแต่เรา Lr กล่าวจบทุกคนก็เงียบไปต่างครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไรดีเพราะไม่ว่าจะทางไหนๆก็ไม่ใช่หนทางที่ดีเลยหรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตอนนี้พวกเขาจนแต้มจริงๆเพราะ2ทางเลือกแรกอาจทำ ให้พวกเขาไม่ได้พบหน้าครอบครัวอีกเลยแต่การออกเดินทางเองสำหรับพวกเขาที่ไม่มีที่จะไปแม้แต่เส้นทางก็ไม่รู้คงเป็นไปไม่ได้ งั้นพวกเรารอ อยู่ที่ฟูดินันก่อนไหมล่ะรอให้ มีหนทางก่อนค่อยคิดกันอีกที วิลเสนอขึ้น แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะถ้ารออยู่ที่นี่จะต้องรอถึงเมื่อไหร่ล่ะมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากตอนนี้เลยนะ นอฟฮอฟกล่าวซึ่งคนอื่นๆก็เห็นด้วยกับที่นอฟฮอฟพูดหากรอ อยู่ที่นี่พวกเขาก็คงไม่ได้ข่าวสารอะไรอยู่ดี (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/4.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/9.jpg) แล้วจะให้เดินทางไปกับพวกกองกำลังเหรอถึงอาจจะพอได้ข่าวสารบ้างก็เถอะแต่ก็เป็นเพียงแค่ความเป็นไปได้เองนะดีไม่ดีอาจจะต้องไปเสี่ยงอันตรายเหมือนที่ผ่านๆมาด้วยนะ ไลท์กล่าวที่ประชุมจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งความกลัดกลุ้มเริ่มเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่แล้วทุกคนก็หันไปทางเอิธ์ทที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/5.jpg) เอิธ์ทนายจะไม่ออกความเห็นหน่อยเหรอ Lr พูดสีหน้ากับน้ำเสียงแสดงออกถึงความเห็นใจแต่เอิธ์ทก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใดทำให้สถาณการตึงเครียดกว่าเดิมซะอีก นิทินโคจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปทางเอิธ์ทเขาเดินผ่านไปแล้วหยุดเดินเขาหลับตาลงก่อนจะพูดขึ้น นายน่ะยังคิดมากเรื่องนั้นสินะ นิทินโคพูด (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/6.jpg) หากฉันออกความเห็นไปแล้วมันอาจจะเป็นอันตรายกับคนอื่นอีกก็ได้ เอิธ์ทกล่าวน้ำเสียงหงอยๆ Lr พยายามจะเข้าไปปลอบใจเขาแต่แล้วนิทินโคก็พูดขึ้นมาอีกครั้งทำให้ Lr ต้องชะงักไป งั้นไม่ลองปรึกษาดูหน่อยเหรอกับเพื่อนลุงของนายน่ะ หึ นิทินโคพูดจบก็เดินออกไปจากกลุ่มก่อนจะบินหายไป คำพูดของนิทินโคทำให้เอิธ์ทดูเหมือนจะนึกอะไรออกเขาจึงบินออกไปจาก กลุ่มอีกคนโดย ตรงไปทางเขาคีรีบันดาโดยที่พวกเขาไม่ทันที่จะห้าม งั้นเดี๋ยวฉันจะตามไปนะปล่อยเขาไว้ไม่ได้หรอก วิลพูดจบก็สยายปีกเตรียมบินแต่ก็ถูก Lr ห้ามไว้ ปล่อยให้เขาได้มีเวลาเป็นของเขาซักพักเถอะ Lr กล่าวจบเสียงตะโกนจากหน่วยเวรยามก็ดังลั่นมาจากป่า และดูเหมือนว่าเราเองจะมีเรื่องที่ต้องทำด้วยแล้วล่ะ Lr กล่าวเสียงเข้มขึ้นทันทีก่อนที่ทั้งหมดจะพากันออกไปดูสถานการณ์ นิทินโคที่บินออกไปก่อนเขาบินไปทาง มหาพฤกษาโดยไม่ได้สนใจถึงสิ่งรอบตัวเขาเลยว่าบัดนี้ ดวงจันทร์ที่ยังคงสาดแสงอยู่เมื่อครู่แยกออก เป็นสองดวงแล้วดวงหนึ่งสีครามส่วนอีกดวงเป็นสีเลือด เสียงโหยหวนของบรรดาอสูรสมิงที่เคยบุกเข้าโจมตี เมื่อคืนก่อนดังกึกก้องไปทั่วป่านิทินโคบินขึ้นสูงสู่ยอดลำต้นของมหาพฤกษา เขาบินขึ้นมาจนสูงที่สุดเท่าที่เขาจะบินได้เขานั่งลงบน กิ่งของมหาพฤกษาแล้วทอดสายตาเหม่อมองไปทางทิศที่อาณาจักรซาโลมตั้งอยู่ รีบไปสมทบกับกองทัพของฟูดินันก่อนพวกศัตรูมันจะบุกมาเร็ว แม่ทัพกองกำลังต่อต้านกำลังออกคำสั่งให้พลทหาร ทั้งหมดที่เหลือไปสมทบกับกองทพของฟูดินัน ทหารนับพันซึ่งถูกลำเลียงอย่างเป็นแถวจากค่ายพัก ที่พวกเขามาสร้างเอาไว้ชั่วคราวสู่มหาพฤกษา เอิธ์ทซึ่งบินไปทางภูเขาคีรีบันดาที่ยังหลงเหลืออยู่เขาบิน ลึกเข้าไปในหุบเขาจนถึงใจกลาง เสียงคำรามแสบแก้วหูดังมาจากส่วนลึกของหุบเขาพร้อม กับการปรากฏตัวของมังกรสองหัวผู้พิทักษ์แห่งคีรีบันดาไพทอน ( Python, the Guardian Dragon ) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/73.jpg) กีซซซซ (ท่านไพทอน) เอิธ์ทเรียกด้วยน้ำเสียงสนิทสนมทำ ให้ไพทอนหันมาทางเขามันตรงเข้าหาเค้าเอิธ์ท ไม่รอช้าเขารีบบินโผ เข้าหาทันทีซึ่งไพทอนก็มีกิริยาแปลกใจเล็กน้อยที่หลานของเพื่อน มาหาเค้าในยามวิกาลเช่นนี้เพื่อไม่ให้เสียเวลาไพทอนจึงเอ่ยถาม ฮูมมมมม (หลานเอ๋ยเจ้ามาทำไมรึ แล้วพ่อของเจ้าล่ะลุงของเจ้าล่ะเขาไม่ได้มาด้วยเรอะ) ไพทอนคำรามเสียงต่ำแต่คำถามของ เขากลับได้รับคำตอบเป็นเพียง เสียงร้องไห้และน้ำตาของลูกมังกรเท่านั้น ไพทอนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย และตัดสินใจรอให้เขาพร้อมที่จะ บอกจึงโอบกอดเอิธ์ทเอาไว้ด้วยแขนและปีกทั้งสองข้าง ฮูมมฮูมมม (โอ๋โอ๋นิ่งซะนะหลานรักนิ่งซะ) ไพทอนพยายามปลอบใจเขา ฮูมมมมม (นี่คงเจอเรื่องมาเยอะเลยสินะ) อีกหัวของไพทอนกล่าวพร้อมกับมองดูเอิธ์ทด้วยความเอ็นดู .............................. ............................ ....................... ที่หมู่บ้านตอนนี้ทุกเผ่า ต้องป้องกันเผ่าของตนจากกองทัพสมิงอสูรนับร้อย โดยคราวนี้หาได้มีสมิงอสูรรูปร่างหมาป่าไม่หากแต่มีอสูรสมิงราชสีห์ และ เสือกระทั่ง การูด้าสีดำทมิฬ เองก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยไม่เว้นแต่ เหล่าครุฑที่อาศัยอยู่บนยอดมหาพฤกษา เองก็ยังไม่ต้านทานกองทัพอสูรเหล่านี้ได้เลย เหบ่าสัตว์อสูรพวกนี้คึกคะนองมากกว่าการบุกครั้งก่อนนักอีก ทั้งสภาพป่าบางส่วนเริ่มเป็นน้ำแข็ง ทำให้บางส่วนที่สู้กันอยู่ก็ถูกแช่แข็งไปบ้างก็มี ที่ใต้ต้นของมหาพฤกษา การรบเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะนอกจากกองทัพอสูรสมิง มารัคมังกรพิทักษ์มหาพฤกาเองก็ยังออกอาละวาดอย่างคึกคะนองที่กลาง สนามรบนั้นเอง ทั้ง Lr และเหล่าลูกมังทั้งสี่ได้แก่นอฟฮอฟ เฟินกอลโล ไลท์ และวิล กำลังช่วยกันต่อสู้ร่วมกับชาว์ล ที่ต้องคอยปกป้องเกรเกอรี่และผู้เฒ่าวูจินไว้ ส่วนฮารีซันเองก็ต้องออกไปบัญชาการรบร่วม กับแม่ทัพแห่งกองกำลังต่อต้าน ไม่หมดซะทีมันมากันเรื่อยๆเลย..แฮ่ก..แฮ่ก Lr พูดขึ้นด้วยความเหนื่อยออ่นจากการต่อสู้ทันทีที่เขาพูด จบสมิงตัวหนึ่งก็เข้าทำร้ายเขาแต่เขาก็ ย่อตัวหลบได้ทันและตวัดดาบในมือฟันใส่สมิงตนนั้นจนล้มลง ก่อนจะสลายไปราวกับควัน แต่ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวชาว์ลก็ถูกรุมล้อมไปด้วยสมิงราชสีห์ และเหล่าการูด้าสีดำเขาพยายาม จะสู้ด้วยความเร็วแต่ก็ไม่อาจตามทันการูด้าพวก มันเร็วกว่าเขาแขนของเขาทั้งสอง ข้างถูกการูด้าจู่โจมจนบาดเจ็บสาหัส ดาบของเขาลงกับพื้นตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไร้ทางสู้ก่อนที่สมิงราชสีห์ จะทันขยี้ร่าง ของเขา เงาของสิ่งมีชีวิตก่อนพุ่งออกมาจากพงไม้ตรงไปยังเขามันกระโจน ขึ้นไปตะปป เจ้าสมิงจนล้มลงและสลายไปในที่สุดร่างนั้นคือราชสีห์สีขาว แองโกลิอ้อนเทพแห่งพงไพรผู้เป็นจิตวิญญาณแห่งผืนปฐพีนั่นเอง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n003/3.jpg) ที่บนฟ้านิทินโคเองพยายามจะบินหนีลงมายังเบื้องล่างจากการตาม ล่าของเหล่าการูด้าทมิฬ อย่างสุดชีวิต ก็าซซ (ชิสลัดไม่พ้นเลยตามตื้อจริง) นิทินโคกล่าวอย่างหัวเสียแต่ก่อนที่เขาจะทันคิดอะไรร่างของ เกลการูด้า(Gale Garuda) อีกตัวก็ถูกซัดปลิวมาชนเขาจนหมดสติร่วงลงมา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/53.jpg) กีซซ (นิทินโค) เสียงของเฟินกอลโลดังขึ้นก่อนที่ร่างของ เขาจะตกลงมาตอนนี้เขาถูกเฟินกอลโล รับเอาไว้จากการตกลงมาแต่ไม่ทันที่จะ ได้พูดอะไรเขาก็ผลักมือของเฟินกอลโลออก ก่อนจะกระชากปีกของเฟินกอลโลตามมา เพื่อหลบวิถีลำแสงจากพระจันทร์สีคราม แสงนั้นพุ่งลงไปตรงหน้าพมหาพฤกษาพอดีกับที่พวก Lr ถูกแองโกลิอ้อน คาบออกมาจากรัศมีโดยมีชาว์ลที่ใช้แรง ที่เหลือทั้งหมดแบกเกรเกอรี่ออกมาด้วย ก็าซซซซ (นี่นายจะมาช่วยชั้นหรือมาให้ชั้นช่วยกันแน่เนี่ย) นิทินโคกล่าวหยอกๆแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการขำขันแต่อย่างใด กีซซซ (จะขอบคุณดีมั้ยนี่) เฟินกอลโลโต้กลับแต่ก็ไม่มีเวลา ให้พวกเขาได้ใส่ใจอีกแล้วเมื่อพื้นเบื้องล่างเหล่านักรบทั้งหมด แม้กระทั่งศัตรู กลับกลายเป็นน้ำแข็งกันหมดเหมือนในคืนก่อน จะทำยังไงดีนี่ถ้าเอิธ์ทอยู่ด้วยละก็... Lr ยังไม่ทันจะขาดคำ สมิงสีเงินก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาไม่ใช่ใครนอกจาก ซิลเวอร์มูนมัน มองมาทางพวกเขาด้วยสายตาที่ เยือกเย็น ก...แก เสียงของไลท์ที่ดังขึ้นถูก dgh แปลออกมา ทำให้ซิลเวอร์มูนนั้นรู้สึกแปลกใจนิดๆ แกพูดได้ด้วยรึ ซิลเวอร์มูนถามแต่ก็ได้รับคำตอบเป็นเพลิงสีขาวแทนพวกลูกมังกรพยายามช่วยกันโจมตีสุดความสามารถ Title: Re: Legend of The Thaliwilya upบทที่11 part3 จบบท แล้ว Post by: greamon on April 11, 2008, 05:41:06 PM นิทินโคเองก็พ่นเปลวเพลิงลงมาพร้อมกับผลึกน้ำแข็งทรงกลมขนาดใหญ่ของเฟินกอลโล
:Silver Claw สิ้นเสียงการโจมตีทั้งหมดก็ถูกสวนกลับไปพวกลูกมังกรและ Lr ต่างก็โดนคลื่นพลัง กระหน่ำซัดจนไปบาดเจ็บ ซิลเวอร์มูนก้าวเข้าใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ อึก หนอย Lr กัดฟันฝืนลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวดแต่แล้วเขาก็ถูกซิลเวอร์มูนทุบหลังจนล้มลงไป ซิลเวอร์มูนหันไปด้านหลังก่อนจะตะโกนออกมา ท่านพี่ทางนี้จัดการเสร็จแล้วมาได้เลย สิ้นเสียงเงาสองเงาก็เดินเข้ามาเมื่อร่างของทั้งสองปะทะกับแสงจันทร์เผยให้เห็นร่างของผู้มาเยือนทั้งสอง ร่างหนึ่งคือแบล็คไวเซอร์ และอีกร่างคือสมิงขนสีดำที่สูงกว่าซิลเวอร์มูนซึ่งน่าจะเป็นคนที่ซิลเวอร์มูนเรียกเมื่อซักครู่ ที่เหลือแกจัดการละกัน สมิงสีดำหันไปพูดกับแบล็คไวเซอร์ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะลอยตัวขึ้นไปแล้ว เริ่มร่ายเวทย์ซักพักก็เกิดแสงสว่างลอยออกมาจากลำต้นของมหาพฤกษาแสงนั้นทำให้ มังกรมารัคหันมาสนใจก่อนที่จะตรงมาทางพวกเขา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/79.jpg) ชิ แบล็คไวเซอร์อุทานออกมานิดๆ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/41.jpg) ไม่ต้องสนใจเดี๋ยวข้าจัดการเอง ส่วนน้องเฝ้าที่นี่ไว้นะ สมิงสีดำเอ่ย อย่าให้มันมาขวางระหว่างที่กำลังดูดพลังชีวิตนะ ชาโดว์มูน แบล็คไวเซอร์เอ่ยเตือนให้แก่สมิงตนนั้น ช..ชาโดว์มูนเหรอหรือว่าแก... Lr เอ่ยขึ้นโดยพยายามจะนึกว่าเคยได้ยินมาจากไหน ใช่อย่างที่ข้าเคยบอกไงชาโดว์มูนหัวหน้าของข้าและเป็นพี่ของข้าด้วย 1ใน12เทพขุนศึกชาโดว์มูน ซิลเวอร์มูนตอบทำให้ความสงสัยของเขาหายไปใช่แล้วซิลเวอร์มูนที่เป็นคนบอกเขาไว้เมื่อครั้งก่อน หึถ้างั้นก็ยิ่งปล่อยเอาไว้ไม่ได้ใช่มั้ย...ไลท์ Lr กล่าวซึ่งไลทืที่พึ่งได้สติก็ พยักหน้าเป็นเชิงตอบกลับสิ้นคำ dgh ก็ส่องแสงสว่างจ้าสีขาวออกมา แสงสว่างหันเหความสนใจของเหล่า การูด้าทมิฬ พวกมันทั้งหมดหันมาโจมตี พวกเขาแทนแต่ก่อนที่จะถึงตัวทั้งสองก็รวมร่างเป็น ทาลูคูส เรียบร้อยแล้ว Great of Dragon (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) ไม่รอช้า ทาลูคูส รีบตวัดดาบเป็นกากบาทเหมือนครั้งก่อนๆคลื่นดาบทรงตัวอยู่ในอากาศก่อนเขา จะหมุนตัวฟาด ดาบตัดกลางกากบาทนั้น คลื่นพลังพุ่งตรงออกไปก่อนจะเปลี่ยนรูปเป็นมังกรพลังงาน พุ่งตรงเข้าทำลายเหล่าการูด้าทมิฬทั้งหมด ทันทีที่คลื่นพลังปะทะ พวกมันมอดไหม้สลายไป ทาลูคูสตวัดดาบลงอีกครั้งทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น มังกรพลังงานก็เปลี่ยนทิศไปตามทางที่ดาบตวัดไป พุ่งตรงเข้าเล่นงานอสูรสมิงที่ยังหลงเหลืออยู่จนหมดก่อนที่ทาลูคูส จะเบนทิศทางไปยังแบล็คไวเซอร์ ทาลูคูส ตวัดดาบอีกครั้งคลื่นพลังงานพุ่งเข้าหา แบล็คไวเซอร์ อย่างรวดเร็วรุนแรง แต่ทว่าซิลเวอร์มูนก็เอาตัวเข้ามาขวางไว้มันเตะมังกรพลังงานจนมันแตกสลายราวกับกระจกทันทีที่ชาโดว์มูนเห็นดังนั้นมันจึง ็กระโจนตัวไปเตะ มังกรมารัค จนล้มโครมสร้างความประหลาดใจให้พวกเขาเป็นอันมาก ไม่น่าเชื่อมันแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก ทาลูคูสอุทานออกมาเมื่อเห็นภาพตรงหน้า หึเป็นเพราะจันทราสีเลือด(Bloody Moon) ไงล่ะที่ทำให้พวกเรามีพลัง ซิลเวอร์มูนตอบ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/41.jpg) เพราะอย่างนี้สินะพวกสมุนของแกถึงได้คึกคะนองเป็นพิเศษ เกรเกอรี่กล่าวสายตาจ้องมองไปที่ซิลเวอร์มูน ซึ่งมันมองตาของเขาอยู่ซักครู่ก่อนจะตอบ ถูกต้อง ซิลเวอร์มูนกล่าวลอยๆ เกรเกอรี่ซึ่งตอนนี้ใจเขามีแต่ความรู้สึกหวั่นๆว่าสิ่งที่เขาจะถามต่อไปนี้ จะถูกตอบว่าอย่างไรแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องรู้ เขาจึงตัดใจแล้วถามขึ้นมา แล้วพวกแกเห็นลูกสมุนเป็นอะไรทำไมถึงได้ปล่อยให้โดนอำนาจจากดวงจันทร์ทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าล่ะเมื่อครั้ง ก่อนพวกเจ้าก็แช่แข็งพวกเราพร้อมกับพวก ของเจ้าครั้งนี้ยังทำให้พวกมันคึกคะนองจนแทบเป็นบ้ากับพลังที่มากเกินซ้ำยัง แช่แข็งเหมือนครั้งที่แล้วอีกสำหรับพวกแกแล้วลูกน้องสมุนรับใช้คืออะไรกันแน่ เกรเกอรี่ กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอยู่เนืองๆเพราะการกระทำอันน่าสมเพช ที่เขาได้เห็นมาจากพวกนั้นมานับไม่ถ้วน แต่แล้วคำถามของเขาดูจะทำให้อีกฝ่าย งุนงง เสียมากกว่าแต่แล้วแบล็คไวเซอร์ก็หัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันมากล่าวกับเขา หึๆๆ อะไรกันนี่เจ้าห่วงเจ้าพวกนี้ด้วยหรือหึๆๆยัง เป็นคนดีไม่เปลี่ยนเลยนะ แบล็คไวเซอร์กล่าวไปหัวเราะไปด้วยความขบขัน ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น พวกมันไม่ใช่อสูรจริงๆ แต่เป็นพลังของข้าต่างหากมันเกิดจากพลังของข้า แบล็คไวเซอร์กล่าวก่อนจะดีดนิ้วเป็นสัญญาณ จากนั้นวิหกโลกัณฑ์คู่ใจของเขาก็บินมาขนของมันถูก ถอนออกจนดูเบาบางไปมาก มันบินไปเกาะที่ไหล่ของเขา เห็นนี่ไหมขนของเจ้านี่น่ะมีพันธุกรรมสัตว ์อสูร สถิตย์อยู่หากนำมันมาใช้ร่วมกับวัตถุที่เกิดจากพลังเวทย์ล่ะก็มันก็จะกลายเป็นสัตว์อสูร ว่าแล้วแบล็คไวเซอร์ก็ไม่รอจัดแจงถอนขนของมันออกมา1เส้นก่อนจะสร้างลูกบอลเวทย์สีดำแล้วสอดมันลงไป แล้วโยนออกมาลูกบอลที่ถูกขนเสียบ ไว้แตกระเบิดออกพร้อมกับควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาเป็นการูด้าทมิฬ มันพุ่งตรงเข้าทำร้าย เกรเกอรี่ แต่ทาลูคูสก็ตวัดคลื่นดาบวงจันทร์ออกไปสกัดไว้ได้ก่อนจะทำลายมัน แองโกลิอ้อนพยายามกระโจนเข้าใส่แบล็คไวเซอร์แต่แล้วมัน ก็ถูกวิหกโลกัณฑ์เข้ามาขวางไว้ ซิลเวอร์มูนจึงเริ่มบุกต่อทำให้ทาลูคูสต้องคอยรับมือ ส่วนชาโดว์มูนยังคงจัดการกับมารัคอยู่ ทำให้ แบล็คไวเซอร์สามารถทำพิธีต่อไปได้ ในตอนนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย .................. ................... . ฮูมมมมมม (เอาล่ะจากที่ลุงฟังนะ ตอนนี้เธอกำลังวิตกกังวลอยู่สินะว่าการตัดสินใจของหลานจะทำให้ทุกคนได้รับอันตราย) ไพทอนกล่าว เอิธ์ทไม่ได้ตอบแต่อย่างใดได้เพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าใช่ อีกหัวของไพทอนก็เข้ามากล่าวกับเขา ก็าซซซซ (แล้วพวกเขาว่าอะไรหลานหรือเปล่าล่ะ) ไพทอนอีกหัวกล่าวเสียงแหบ เอิธ์ทส่ายหน้าแล้วเอ่ยปากขึ้นมา กีซซซซซ (ไม่ครับ ทุกคนไม่ได้ว่าอะไรที่จริงพวกเขาแทบจะไม่ได้สนใจเสียด้วยซ้ำ) เอิธ์ทกล่าวเสียงอ่อยๆ ทำไพทอนทั้งสองเงียบไปสักพักก่อนที่อีกหัวจะหันไปกล่าว ฮูมมมมมมมมมม (แล้วหลานจะมาคิดมากอีกทำไมล่ะ) ไพทอนกล่าวด้วยความสงสัย กีซซซซซซ....กีซซซ (ที่จริงผมกลัว....กล้วที่จะแสดงความคิดเห็นเพราะความคิดของผมเลยทำให้ทุกคนต้องเจอกับอันตราย) เอิธ์ทกล่าวอย่างสะอึกสะอื้นจนเม็ดน้ำตาเล็ดออกมาทำให้ไพทอนอีกหัวต้องเข้ามาปลอบไม่ให้เขาร้องไห้อีก ก็าซซซซซ (แล้วหลานทำดีที่สุดหรือยังล่ะ) อีกหัวของไพทอนกล่าวเสียงแหบ เอิธ์ทเอามือปาดน้ำตาก่อนจะตอบ กีซซ...กีซซซซ (ครับ... ผมพยายามเต็มที่แล้ว) เอิธ์ทกล่าวแม้น้ำเสียงจะยังดูเหมือนติดอยู่ในลำคอ ฮูมมมมมม (งั้นหลานก็ไม่ผิด หลานทำเต็มที่แล้ว แล้วหลานจะมาโทษตัวเองอยู่ทำไมล่ะ) ไพทอนกล่าว ซึ่งอีกหัวก็พยกหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ก็าซซซซ (หลานไม่ต้องกลัวนะ การแสดงความคิดเห็นไม่ใช่สิ่งผิดมันขึ้นอยู่กับตัวเว่าจะใช้มันไปในทางใด) ไพทอนอีกหัวกล่าว กีซซซซ (จริงเหรอครับ) เอิธ์ทถามเพื่อความแน่ใจ ฮูมมมมมมมมมมม (ถูกต้องแล้วหลานเอ๋ยทุกคนย่อมจะต้องเคยผิดพลาด แต่เมื่อผิดพลาดแล้วก็ต้องแก้ไข) ไพทอนกล่าวอีกหัวของเขาก็ช่วยกล่าวเสริมให้ด้วย ก็าซซซซซซซ (หากทำผิดแล้วแก้ไขย่อมดีกว่าการไม่ยอมทำอะไรเลยแล้วต้องมาเสียใจภายหลัง) ไพทอนอีกหัวกล่าวเสียงแหบ สีหน้าของเอิธ์ทเริ่มดูดีขึ้นเขาหันไปกล่าวกับทั้งสอง กีซซซซซซซซซซ (งั้นผมก็ไม่ควรที่จะปิดกั้นตัวเองสินะครับ ใช่แล้วการลงทำนั้นดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยผมเกือบจะลืมเรื่องไปเสียแล้ว) เอิธ์ทกล่าวเสียงร่าเริงบัดนี้ความกังวลในใจเขาได้จางหายไปจนสิ้นเขากลับมาเป็ดังเดิมแล้ว ซึ่งนั้นทำให้ไพทอนทั้งสองส่งยิ้มอย่างสบายใจออกมา ฮูมมมมมมมมมม ..... ก็าซซซซซซซ (เข้าใจแล้วสินะหลานรักอย่างหลานต้องทำได้อยู่แล้ว.....ใช่ก็หลานเป็นคนเก่งออกนี่เนอะ) ไพทอนทั้งสองกล่าวทำให้เอิธ์ทหน้าแดงด้วยความเขินอาย ฮูมมมมมม (ว่าแต่หลานรีบไปเถอะเพื่อนๆของหลานกำลังรอ อยู่นะ) ไพทอนกล่าวแล้วชี้ไปทางมหาพฤกษาที่บัดนี้แสงจากการปะทะส่องวาบไปมา ไปทั่ว กีซซซซซซซ (อ้ะจริงด้วยทุกคนกำลังแย่ผมต้องไปแล้วขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับคุณลุงลาก่อน) เอิธ์ทขณะที่กำลังจะบินออกไป ซึ่งไพทอนก็เดินออกไปส่งเขาที่หน้าหุบเขาก่อน ฮูมมมมมมมมม...ก็าซซซซซซซซซซ (พยายามเข้านะ......รักษาตัวด้วยล่ะฝากไปสวัสดีลุงของหนูด้วยนะ) ไพทอนคำรามก่อนที่เอิทธ์จะบินหายลับไป อีกหัวของไพทอนหันมาหา ก็าซซซซซ (คิดว่าหลานจะทำได้ไหม) อีกหัวกล่าวด้วยความเป็นห่วง ฮูมมมมมมมม (ไม่เป็นไรหรอกเขาต้องทำได้ก็เขาเป็นหลานของเจ้านั่นนี่นา เฮอะๆๆ) ไพทอนกล่าวจบก็เดินกลับเขาไปในหุบเขา Title: Re: Legend of The Thaliwilya upบทที่11 part3 จบบท แล้ว Post by: greamon on April 11, 2008, 05:44:43 PM .....................
........................... ................................ อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น แบล็คไวเซอร์กล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อ แสงที่ส่องออกมาจากลำต้นเริ่มจางลงลูกพลังงานสีขาวซึ่งอยู่ในมือของเขากำลังส่องแสงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้าน ทาลูคูสเอง ก็ยังคงต่อกรกับซิลเวอร์แม้จะมีพวกลูกมังกรมาช่วย แต่ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรซิลเวอร์มูนได้ ส่วนชาโดว์มูนเองก็ยังคงปะทะกับมารัคอย่างไม่ว่างเว้น ซึ่งมารัคเองก็ไม่อาจจะต้องตัวของเขาได้สักนิดเดียวแต่กลับเป็นฝ่ายถูกโจมตีอยู่ ฝ่ายเดียว แอนโกลิอ้อนยังคงวุ่นกับการไล่กัดวิหกโลกัณฑ์ที่บินล่อมันไว้ ซึ่งเกรเกอรี่และชาว์ลทำได้เพียง แต่ดูเหตุการณ์ตรงหน้าเพียงอย่างเดียวพร้อมกับหวังว่าทุกอย่างจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ ฮูมมมมมมมม (อ็าคคคคคคค) มารัคคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดทันทีที่มันถูกชาโดว์มูนเตะส่งมาจนล้ม โครมอยู่ข้างๆพวกเกรเกอรี่ก่อนจะยันตัวลุกมามันมองไปทางทาลูคูส ฮูมมมมมม (นี่เจ้าน่ะ) มันคำรามเรียกทาลูคูส ทำให้เขาหันไปแต่ซิลเวอร์มูนเองก็อาศัยจังหวะนั้นเข้าโจมตีแต่ ก็ยังคงเอาดาบรับไว้ ทันก่อนจะพลักจนซิลเวอร์มูนกระเด็นออกไปก่อนจะหันไปอีกครั้ง ท่านเรียกข้ารึ ทาลูคูสกล่าว มารัคพยักหน้าตอบ ฮูมมมมมมมม (ใช่ข้าเรียกเจ้า วิธีที่จะหยุดยั้งพวกมันไม่ให้เอาพลังชีวิตของต้นไม้ไปคือเจ้ากับข้าต้องร่วมกัน) มารัคคำรามเสียงอ่อนๆ ซึ่งนั้นทำให้พวกลูกมังกรหันมาสนใจได้ไม่นานนักพวกเขาก็ต้องปะทะ กับซิลเวอร์มูนอีก แต่มารัคก็เข้ามาช่วยไว้โดยฟาดหางใส่มันจนกระเด็นไปแต่ชาโดว์มูนก็พุ่งไปรับตัวซิลเวอร์มูนไว้ วิธีที่ท่านว่าคืออะไร ทาลูคูสเริ่มต้นสนทนาดดยเร่งรีบด้วยว่าสมิงทั้งสองกำลังตรงมาทางพวกเขซึ่งลูกมังกรเองก็ได้เข้าไปต้านเอาไว้แต่คงได้ไม่นานนัก ฮูมมมมมมมมมมมมม (พลังของข้าคือการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ข้าจะส่งพวกมันออกไปให้ไกลจากที่นี่ตามันจะต้องใช้เวลาสะสมพลัง เจ้าพอจะช่วยล่อมันไว้ได้ไหม) มารัคกล่าวจบยังไม่ทันจะได้คำตอบพวกเขาสองคนก็ถูกสิมงสองพี่น้องเข้าโจมตีโดยทั้งสองถูกลูกเตะกระเด็นล้มลงพวกลูกมังกรซึ่งถูกซัดอย่างต่อเนื่องทำให้พวกเขา แทบไม่มีแรงพอจะขยับแล้วได้แต่นอนกองอยู่กับพื้น ชิถ้าพวกเราเองก็จะสู้กันไม่ไหวแล้วนี่ถ้าเอิธ์ทอยู่ด้วยละก็ ทาลูคูสกล่าว ในใจได้แต่คิดให้เอิธ์ทกลับมาหาพวกเขาแต่แล้วเขาก็ต้องเลิกคิดไปเมื่อพระจันทร์สีครามกำลังจะแช่แข็งพวกลูกมังกร ทาลูคูสพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกสมิงสองพี่น้องเข้ามาขวางไว้ หลีกไป ทาลูคูสตะคอกแต่สมิงทั้งสองก็ยังคงนิ่งเฉย คิดหรือว่าจะมาสั่งเราได้น่ะแกไม่ใช่มาสเตอร์ของเรานะ ชาโดว์มูนกล่าวขึ้นสายตาจับจ้องอยู่ที่ทาลูคูสซึ่งทำให้ทาลูคูสรู้สึก เย็นวาบไปถึงสันหลังสายตานั้นคมราวกับจะตัดเขาให้ขาดสะบั้น เมื่อไม่อาจทำอะไรได้เขาได้แต่กัดฟันฝืนบินฝ่าออกไปแต่ก็ถูกชาดดว์มูนกระชากกลับไปจนกระแทกเข้ากับมหาพฤกษา เขาได้แต่นอนมองดูเหล่าเพื่อนๆลูกมังกรของเขาถูกแช่แข็งด้วยความเจ็บใจ แสงสีครามถูกยิงลงมาก่อนที่แสงจะแช่แข็งเหล่าลูกมังกร ก็มีเงาหนึ่งบินโฉบมากระแทกพวกเขาจน หลุดจากเขตการยิง เอิธ์ทนั่นเองที่มาช่วยพวกเขาเอาไว้ได้ทัน แต่ซิลเวอร์มูนก็ไม่รอช้าพุ่งเข้าโจมตีเอิธ์ททันที Paladin Saber เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นก่อนที่คลื่นแสงรูปร่าง โค้ง งอจะพุ่งเข้ากระแทกกับซิลเวอร์มูนอย่างจัง ซิลเวอร์มูน..หนอยย แกเป็นใคร ชาโดว์มูนกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด ร่างเจ้าของผู้ที่โจมตีเข้ามาเมื่อสักครู่ ก็ค่อยๆย่างก้าวออกมาจากเงาร่มไม้ในป่า ร่างของชายสวมหน้ากากมังกรในชุดคลุมสีขาวเขาคือเมทาไนท์น่ะเอง นามข้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรสนใจ เขากล่าวก่อนจะเข้าไปสมทบกับทาลูคูส เอ้ามีแผนแล้วใช่มั้ย เมทาไนท์กล่าว อะ..เอ่อคือว่า ทาลูคูสกล่าวอย่างอึกอัก กีซซซซซซซ (ถ้าเรื่องแผนล่ะคิดไว้ให้แล้วล่ะ) เอิธ์ททักขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง ฮูมมมมมมมมมม (เจ้ามีแผนงั้นเหรอ) มารัคกล่าว เอิธืทพยักหน้าก่อนจะเริ่มอธิบายแผนการ กีซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ (เรื่องที่ท่านมีพลังในการเคลื่อนย้ายตะกี้น่ะผมได้ยินแล้วล่ะเพราะฉะนั้นเดี๋ยวท่านเริ่มเตรียมสะสม พลังงานเลยนะครับ ส่วนทาลูคูสกับท่านเออ..เมทาไนท์ก็ช่วยกันล่อสมิงทั้งสองเอาไว้เพราะ สู้กันตรงนี้พวกที่ถูกแช่เอาไว้อาจเป็นอันตรายดังนั้นช่วยพาพวกมันออกไปไกลๆด้วยนะครับส่วนเจ้า แบล็คไวเซอร์นั่นน่ะผมจะก่อกวนการทำพิธีของมันเอง) เอิธ์ทกล่าวจบทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทันที โดยมารัคเริ่มสะสมพลังงานทันที ทาลูคูสหลอกล่อซิลเวอร์มูนออกมาจากบริเวณใต้มหาพฤกษาตรงไปยังป่า เช่นกันเมทาไนท์เองก็เข้าหลอกล่อชาดดว์มูนให้ออกห่างจากแบล็คไวเซอร์ ส่วนเอิธ์ทก็บินขึ้นไปก่อกวนแบล็คไวเซอร์ หนอยออกไปนะเจ้ามังกรบ้า..ฮึ่ยเฮลริค แบล็คไวเซอร์ที่ถูกรบกวนพยายามเรยกวิหกโลกกัณให้มาคุ้มกันแต่ทว่า วิหกดลกัณฑ์ตอนนี้มันมัวแต่สนใจ จะต่อสู้กับแอนโกลิอ้อนเพียงอย่างเดียว พวกสมิงสองพี่น้องเห็นดังนั้นจึงพยายามจะกลับไปจัดการแต่ก็ถูกขวางเอาไว้ ฮึ่ยนี่มัน..คิดจะดึงพวกเราออกจากที่นั่นงั้นรึ ยากซะ ซิลเวอร์มูนกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะซัดทาลูคูสตอนที่ไม่ทันตั้งตัวจนกระเด็นไปกระแทก เอิธ์ทร่วงลงมาด้วย ร่างชองทาลูคูสสองแสงออกมาจางๆก่อนจะแยกกลับเป็น Lr กับไลท์ตามเดิม บัดนี้พลังของอัศวินทาลิวิลย่าได้หมดลงแล้วซิลเวอร์มูนตรงเข้าหาพวกเขาทั้งสาม หึๆๆ ทีนี้ก็จบกันล่ะนะเมื่อไม่มีพวกแกก็จะไม่มีใครมาขวางแผนการของพวกแกคงต้องจบเสียตรงนี้แล้วล่ะไว้จัดการพวกแกเสร็จมังกรยักษ์นั่นคือรายต่อไป ซิลเวอร์มูนกล่าวจบก็เงื้อมือขึ้นหมายจะจบชีวิตพวกเขา ถูกอย่างที่ซิลเวอร์มูนพูดแผนของเราพังลงแล้ว เอิธ์ทคิดในใจอย่างสิ้นหวัง นี่ถ้าเราสู้ได้ ถ้าเรามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็.. เอิธ์ทคิดพร้อมกับกำแน่นด้วยความเจ็บใจในความด้อยพลังของตัวเอง Lr เห็นดังนั้น จึงกล่าวขึ้นมา เอิธ์ทถึงนายจะไม่มีพลังแต่นายก็มีปัญญาเป็นพลังนะ Lr กล่าวจบก็เอาตัวพุ่งเข้ากระแทกซิลเวอร์มูนจนล้ม ลงไปทั้งคู่ไลท์เอง ก็เข้าไปช่วยเสริมด้วย แต่แล้วพวกเขาทั้งสองก็ถูก ซัดกระเด็นออกมา เอิธ์ทจึงรีบเข้าไปดูอาการของทั้งสอง กีซซ..กีซซซ (ลอเรนว์ ไลท์) เอิธ์ทเรียกชื่อของทั้งสองขณะที่พยายามเขย่าตัวพวกเขาเพื่อเรียกสติ Lr ได้สติแล้วแต่ทว่าไลท์ยังคงสลบอยู่เอิธ์ทหันไปหา Lr จับมอของเขาขึ้นมากำเอาไว้แน่น หยาดน้ำตาหยดเล็กๆเริ่มไหลริน กีซซซ..ซซซซ (ฮึกๆลอเรนว์ ฉัน..ฉันขอโทษเพราะแผนของฉันไม่รัดกุมแท้ๆเลยทำให้ต้องเป็นแบบนี้ฉันขอโทษฉัน) เอิธ์ทกล่าวอย่างสะอึกสะอื้นแต่แล้วเขาก็หยุดไปเมื่อ Lr เอามืออีข้างของเขามาประกบกับมือเอิธ์ท เอิธ์ทนายไม่ผิดหรอกนายพยายาม..เต็มที่แล้วขอแค่เพียงนายกลับมาร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนก็ดีแล้วล่ะ Lr กล่าวติดๆขัดๆจากอาการบอบช้ำ กีซ...ซซซ (ล..ลอเรนว์) เอิธ์ทพูด ในใจเขาตอนนี้พยายามคิดหาทางออกอยู่แต่ไม่ก็ไม่มีทางเขาต้องการพลัง เอิธ์ทรู้ไหมก่อนหน้านี้น่ะที่นายกลับมาฉันเองยังแปลกใจเลยที่นายออกความคิดอีกครั้ง ฉันดีใจมากเลยที่นายกลับมาแล้วนี่ล่ะเอิธ์ทคนเดิมที่ฉันรู้จักล่ะ Lr กล่าวทำให้เอิธ์ทรู้สึกตัว ว่าถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่หนีไปคอยอยู่ช่วยทุกคนก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายขนาดนี้ ในตอนนี้ถ้าเขามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็ เอิธ์ทถ้านายต้องการพลังล่ะก็ฉันจะเป็นพลังให้นายเอง... Lr กล่าวจบแสงสว่างสีน้ำตาลอ่อนๆก็ส่องประกายออกมาจาก dgh กีซซซซ (นี่..นี่มัน) เอิธ์ทอุทานขึ้น ใช่แล้วเราจะไปด้วยกันมารวมพลังกันเถอะนะ Lr กล่าวเอิธ์ทได้แต่เพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้นเพราะในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกแล้ว ซิลเวอร์มูนที่ซึ่งกำลังจะดินไปจัดการกับมารัค ก็ต้องชะงักหันกลับมาเมื่อเห็น ประกายแสงสีน้ำตาลที่ค่อยๆสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจับจ้องไปยังแสงนั้นเช่นกัน เม...โฟ...มอส เสียงนี้ดังขึ้นในหัวของทั้งสองก็ลำแสงสีน้ำตาลจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และแตกกระจายออกไปกลายเป็นวงแหวน สีน้ำตาลขนาดใหญ่หมุนเร็วขึ้นเรื่อยดูดเอา ละอองพลังงานที่เกิดจากการพุ่งขึ้นมาและ ยิงส่งลงไปยังร่างของทั้งสอง ร่างของทั้งสองหลอมรวมกันเป็นหนึ่งในลำแสงนั้น พื้นดินบริเวณรอบก่อตัวขึ้นครอบร่างนั้นไว้และหยุดนิ่งไป ซักพักก้อนดินก็ระเบิดแตกออก เผยให้เห็นร่างของอัศวินมังกรกายสีน้ำตาลเข้ม หางที่ยาวสะบัดไปมาในมือข้างขวาถือดาบมาคายาเดีย ที่เปลี่ยนรูปจนกลายเป็นดาบโค้งงอมือซ้ายถือโล่กระโหลกมังกร ทั้งสองกลายร่างเป็น ทาโซรอส (Thasolos, The Dragoon of Thaliwilya) เมื่อความกลัวเข้าปิดหนทาง พลังแห่งปัญญาจักส่องนำทางสู่แสงสว่าง ทาโซรอส (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/14.jpg) Title: Re: Legend of The Thaliwilya upบทที่12 ปฐพีคงอยู่ด้วยปัญญา แล้ว Post by: greamon on April 19, 2008, 08:13:11 PM พักนี้เงียบไปเยอะเหมือน กันนะนี่ไม่ทราบว่าตอนที่แล้วยาวไปมั้ย ครับถ้ายาวไปผมจะได้สรุปย่อความให้อีกที
เพราะว่าตอนที่แล้วผมต้องรวบบทเยอะๆเลยเล่นเขียนตั้งสองฉากแน่ะ บรรยายกันไม่หวัดไม่ไหว เพราะงั้นสบายใจได้วันนี้สั้นครับไม่ยาวมากนัก ส่วนวันนี้12เทพขุนศึกคนใหม่มาอีกแล้วครับไปดูกันว่าเป็นใคร บทที่ 13 อดีต-----การตัดสินใจ-----ปัจจุบัน (การตัดสินใจระหว่างอตีดและปัจจุบัน) ที่วิหารแห่งจันทรา แอสต้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแห่งวิหารกำลังตรงไปตามทางเดินสีขาวจากโถงใหญ่ของวิหาร ซึ่งวิหารแห่งนี้เชื่อต่ออาคารวิหารไว้ถึงห้าห้องด้วยกันโดยทุกห้อง จะเชื่อมไปยังโถงใหญ่ ของวิหารและ จากโถงใหญ่จะเชื่อมต่อสู่ทะเลสาบลวงตาอันเป็นทาง ออกจากวิหารนี้ นางเดินทางไปยังห้องวิหารทาง ตะวันออก ระหว่างที่เดินไปในหัวของนางเอง ก็กำลังกลัดกลุ้มใจ กับปัญหาที่นางไม่อาจตัดสินใจได้ ระหว่างนั้นเองนางก็เดินไปจนสุดทาง ประตูที่สลักไว้ด้วยอักขระแปลกประหลาดอยู่ที่ ขอบประตูทั้งสี่ด้าน ตรงกลางประตูที่ซึ่งขอบของประตูทั้งสองบาน ประกบชิดกันมีลายดวงจันทร์ วาดไว้ นางผลักประตูออก ภายในห้องนี้มืด สนิทจนกระทั่งไม่เห็นพื้นที่กลางห้อง มีแท่นหิน อยู่สองต้นตั้งอยู่ แท่นหินอันหนึ่งว่างเปล่า ส่วนอีกอันมีหินรูปจันทร์เสี้ยว วางไปอยู่ มันส่องประกายแสงสีขาวอ่อนๆ จนเด็นเป็นสง่าท่ามกลางห้องที่มืดมิด นางเดินไปยังแท่น หินที่มีหินแสงนั้นวางอยู่ หินจันทราของข้าไม่นึกเลยว่าจะต้องใช้มันอีก นางหยิบเอาศิลาขึ้นมากำไว้ ก่อนจะละลึกถึงเรื่องราวเมื่อ 8 ปีก่อน ในวันนั้นนาง ได้ใช้พลังของศิลาแห่งจันทรา เป็นสื่อในการมองผ่านดวงจันทร์ ทำให้นางสามารถที่จะ ดูสถานการณ์ต่างจากที่ดวงจันทร์เห็นได้ ประหนึ่งนางเป็นดวงจันทร์เลยทีเดียว ในคืนนั้นนางได้เห็นครอบครัวครึ่งสมิงกลุ่มกนึ่งวิ่งหนีตายออกมาจากป่าก่อนจะถูก มังกรดำบุกเข้าทำร้ายนางเห็นดังนั้น จึงไม่อาจนิ่งดูดายนางจึงคิดที่จะออกไปช่วยแต่ทว่า เพราะเมฆมาบดบังพระจันทร์เอาไว้ซะก่อนขึงทำให้นางไม่อาจใช้พลังได้ นางจึงได้แต่รอให้เมฆผ่านไป อย่างใจจดใจจ่อ นางร้อนรนมากจน กระทั่งเมื่อเมฆผ่านไปแล้วนางไม่รีรอที่จะดูสถานการณ์ก่อนกลับรีบใช้พลังของศิลา เคลื่อนย้ายไปทันที นางเริ่มร่ายคถา สักพักศิลาก็ส่องแสงสว่างจ้าจนแสงนั้นอาบไปทั่วตัวนาง ก่อนจะจางหายไปพร้อมกับนาง ในขณธเดียวกันที่บริเวณชายป่าที่พวกครึ่งสมิงถูกมังกรดำไล่มา ก็ปรากฏแสงสว่างจ้าก่อนจะจงลงพร้อมกับการปรากกตัวของนาง บัดนี้นางได้เคลื่อนย้าย ผ่านดวงจันทร์เป็นตัวกลางมายังสถานที่เกิดเหตุ แต่แล้วนางก็ต้องตกตะลึง เพราะภาพตรงหน้านั้นแทนที่จะ เป็นครอบครัวครึ่งสมิงที่กำลัรอความช่วยเหลือกลับกลายเป็นภาพ เด็กครึ่งสมิงสองพี่น้องซึ่งเป็นลูกๆของพ่อแม่ครึ่งสมิงที่นางเห็นผ่านมนตรา กำลังต่อสู้กับ ปีศาจในชุดเกราะโลหะโดยที่เกราะบริเวณไหล่ นั้นยื่นยาวโค้งออกไปทางด้านหลังคล้ายกับปีกหัวพวกมันมีก้อนเนื้องอกออกมา ทำให้หัวของมันใหญ่ผิดปกติ พวกมันคือเหล่าปีศาจผู้เมินความตายสเปกเตอร์(Chief Specter) จำนวน5ตนกำลังรุมล้อมทำร้ายเด็กทั้งสองที่ข้างตัวของพวกเขามีร่างของสมิงชายหญิงนอนล้มอยู่ข้างๆพร้อมบาดแผลเต็มตัว นางเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบทำการร่ายมนตราทันที Moon Light Illusion สิ้นคำแสงจากดวงจันทร์ก็ส่องลงมา ทันทีที่พวกสเปกเตอร์สัมผัสถูกแสง เงาของพวกมันที่เกิดจากแสงจันทร์ ก็ลุกขึ้นมาและแปลงสภาพจนมีหน้าตาเหมือนพวกมัน พวกมันเข้าต่อกรกับร่างเงาของตัวเอง จนแตกสลายกลายเป็นควันทั้งคู่ นั่นทำให้ความของสงสัยของนางมากขึ้นไปอีก พวกนี้ไม่ใช่อสูรจริงๆแต่เป็นมนตรา แล้วใครล่ะที่อัญเชิญพวกมันมา นางรำพึงกับตัวเอง แต่แล้วนางก็ละความสงสัยนั้นไว้แล้วหันไปหาลูกสมิงทั้งสอง ซึ่งตอนนี้พวกเขาเอาแต่ ร้องไห้เขย่าร่างซึ่งไร้ชีวิตทั้งสองของผู้เป็นพ่อและแม่ ทันทีที่นางเข้าใกล้ ทั้งสองก็ แสดงอาการหวาดกลัวและพยายามจะถอยหนี นางเห็นเช่นนั้น จึงหยุดก้าวเท้า ไม่ต้องกลัวนะ ฉันมาช่วยจ้ะ นางกล่าวอย่างอ่อนโยน ทำให้สองพี่น้องคลายจากความหวาดกลัว นางจึงเดินเข้าไปกอดทั้งสองเอาไว้ หวังจะช่วยปลอบประดลมใจที่เต็มไปด้วยความหวาดวิตกของทั้งสอง ซึ่งนั่นทำให้นางรู้ ในตอนแรกที่กอดพวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ตอนนี้มันอ่อนลงเรื่อยๆแล้วทั้งสองก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของนาง ในที่สุดเมื่อไม่มีทางเลือกเพราะ พ่อแม่ของพวกเขาตายไปแล้วแม้แต่ครึ่งสมิงตัวอื่น ต่างก็สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปจากทวีปนี้จนหมดแล้วนางจึงตัดสินใจรับพวกเขามาเลี้ยงดู ด้วยว่าทั้งสองอายุยังน้อยนักจึงยังจำชื่อของพวกเขาไม่ได้นางจึงตั้งชื่อให้พวกเขา โดยคนพี่ซึ่งมีผมสีดำชื่อเจนัส(Genus) คนน้อง มีผมสีเงินชื่อ ลากุน่า (Laguna) นาง เลี้ยงดู พวกเขาด้วยความรัก จนทั้งสองคิดว่านางเป็นเสมือนแม่ของพวกเขาจริงๆ จนเวลาได้ล่วงเลยมา 4 ปี พวกเขาต่างเติบโตขึ้นแต่แล้วห้วงเวลาแห่งความสุข ก็จบสิ้นลง เมื่อวันหนึ่ง ได้มีศัตรูบุกเข้ามาพวกมันคือเหล่าสเปกเตอร์ที่เคยถูกนางกำจัดไป พวกมันถูกบงการโดยชายในชุดคลุมสีดำ ซึ่งก็คือแบล็คไวเซอร์นั่นเอง นางได้เจรจากับแบล็คไวเซอร์ สิ่งที่พวกเจ้าต้องการก็ศิลาจันทราสินะ นางกล่าวซึ่งเมื่อได้ยินดังนั้นแบล็คไวเซอร์ก็แสยะยิ้มขึ้นมา มันมีจริงๆสินะศิลาที่ว่าน่ะ งั้นก็คงไม่ต้องสินะว่าต้องทำยังไง คำพูดของแบล็คไวเซอร์ทำให้นางขมวดคิ้วด้วยความโกรธนางจึงรีบตั้งท่าร่ายเวทย์ทันที แต่แล้วคฑาในมือนางก็ถูกปัดออกไป ด้วยพลังของแบล็คไวเซอร์ ส่งศิลานั่นมาไม่งั้นพวกแกทั้งหมดต้องตาย แบล็คไวเซอร์กล่าวอย่างเฮี้ยมเกรียม นางได้แต่ครุ่นคิดด้วยความสิ้นหวัง หากนางไม่ยอมมอบศิลาให้ ทั้งนางและพวกครึ่งสมิงที่เป็น เสมือนลูกของนาง ก็ต้องมาตายกันหมด แต่หากศิลาตกไปอยู่ในมือของ ศัตรูก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า พวกมันจะนำไปใช้ในทางใด ก็ได้พวกแกชนะศิลาน่ะ .. นางพูดได้ไม่ทันขาดคำเจนัสก็แทรกเข้า เดี๋ยวก่อนถึงพวกแกเอาศิลาไปก็ใช่ว่าจะใช้มันได้นะ เจนัสกล่าว ทำให้แบล็คไวเซอร์ยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย เจ้าว่ายังไงนะ แบล็คไวเซอร์ถาม เจนัสเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มที่มุมปาก เป็นเชิงให้กับแอสต้าเพื่อจะบอกว่า ให้ไว้ใจเขาได้ก่อนจะ กล่าวต่อ ศิลาที่นี่น่ะมีสองอัน เจนัสกล่าว สองเหรอแต่ว่า ตามตำนานแล้วมันมีแค่อันเดียวไปใช่เหรอ แบล็คไวเซอร์กล่าวด้วยความงุนงง ใช่แต่เดิมมันเคยมีเพียงก้อนเดียวแต่ตระกูล ของเราได้สร้างขึ้นมาอีกก้อนเพื่อถ่วงดุลพลังของศิลานั้น เจนัสกล่าว แล้วมันยังไงกันก็แค่มีเพิ่มอีกก้อนเท่านั้นเอง แบล็คไวเซอร์ กล่าวอย่างหงุดหงิด เพราะเขาชักที่จะหมดความอดทนแล้ว หากเจ้าจะใช้พลังของ ศิลาจำเป็นจะต้องให้พวกเรา เผ่าสมิงหรือแอสต้าเป็นผู้ใช้เท่านั้นมันจึงจะสำแดงพลังได้ เจนัสกล่าวจบแบล็คไวเซอร์ก็ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก ซึ่งสิ่งที่เจนัสบอกไปนั้น ล้วนเป็นความจริงเพื่อถ่วงดุลอำนาจของศิลานาง จึงให้ตระกูลครึ่งสมิงที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนต์ แบ่งพลังจากศิลาครึ่งหนึ่งไปผนึกไว้ เพื่อทำเป็นศิลาอีกก้อนทำให้เมื่อจะสำแดงพลังจำต้อง มีพลังของนางหรือครึ่งสมิงเป็นตัวขับดัน เหลวไหลทั้งเพ แบล็คไวเซอร์ตะคอกกลับ พวกเจ้าไม่อยากจะมอบมันให้สินะถึง พยายามสร้างเรื่องขึ้นมา เอาเถอะในเมื่อเจ้าไม่ยอมมอบให้แต่โดยดีไว้จัดการพวกเจ้าแล้วข้า ค่อยหาเอาเองก็ได้ แบล็คไวเซอร์พูดจบก็ดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้เหล่าสเปคเตอร์ลงมือ แต่ทว่าก่อนที่จะมีใครได้ขยับเหล่าสเปคเตอร์ทั้งหมดต่างก็ขุกเข่าลงราวกับทำความเคารพ ปฎิกิริยาของพวกมันทำให้พวกเขาต้องแปลกใจ สักพักก็มีวงเวท รูปดาวหกแฉกอยู่ตรงกลางวงก็ผุดขึ้นมาบนพื้น สีลวดลายของวงเวทราวกับเขียนด้วยเลือด ไม่นานนักก็มีมือโผล่ขึ้นมาจากวงเวท ก่อนจะลากเอาร่างตามขึ้นมาด้วย ชายที่มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า เขาเป็นชายที่อยู่ในชุดรัดรูปสีดำ เกราะที่หน้าอกก็ ยื่นขึ้นมาบังใบหน้าส่วนล่างเอาไว้ นี่แก แบล็คไวเซอร์ได้แค่อทานอย่างเดียวก่อนที่จะทันพูดอะไรชายคนนั้ก็ยกมือขึ้นมาห้ามปรามเอาไว้ ทำให้แบล็คไวเซอร์หยุดพูดก่อนจะหันไปสบถคำพูดอยู่ลับๆ ซึ่งดูเหมือนชายคนนั้นจะไม่ได้ถือสาอะไร ที่จริงคือเขาไม่ได้สนใจเลยเพราะสายตาของเขาจับจ้องมาทางพวกเจนัส ที่พวกเจ้าบอกมาเป็นความจริงสินะฮึๆ ชายคนนั้นพูดจบก็หัวเราะในลำคอห้วนๆ ก่อนตวัดคฑาในมือฟาดใส่เจนัส แอสต้าเห็นเช่นนั้น จึงคิดจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกเหล่าสเปคเตอร์เข้ามาจับตัวเอาไว้ แม้นางพยายามจะขัดขืนก็ไม่อาจสลัดให้หลุดได้ ทว่าก่อนที่คฑาจะได้ทันแตะต้องถูกเจนัสคฑาใน มือของเขาก็เหมือนถูกแรงบางอย่างปัดออกจนหลุดจากมือ เขาเห็นเช่นนั้นจึงหันไปทางครึ่งสมิงอีกคนที่ยังไม่ได้ถูกจับหรือตรึงไว้แต่อย่างใด เด็กครึ่งสมิงที่มีผมสีเงินกำลังร่ายเวทอยู่ซึ่งเป็นต้นเหตุที่คฑาในมือของเขาถูกปัดจนหลุดไปนั่นเอง เขาแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ น่าสนใจจริงทั้งเจ้าและก็ครอบครัวของเจ้าตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน คำพูดของชานผู้นี้ทำให้เจนัสและลากูน่า มีสีหน้าเปลียนไป ความทรงจำที่ปวดร้าวที่พวกทั้งสองพยายามจะลบมันไปก็ได้หวนกลับมาอีก แม้ใบหน้าอีกครึ่งจะถูกบดบัง เอาไว้แต่ใบหน้าของชายคนนี้พวกเขาไม่มีวันลืมไปได้ แก.. เจนัสพูดได้เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่เหลือของเขาล้วนถูกความโกรธ กลืนกินไปจนสิ้นในตอนนี้ ใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่เคยรู้สึกโกรธใครเท่านี้อีกแล้ว ลากูน่าเองก็เช่นกันเขาเริ่มส่งเสียง ขู่คำรามแบบสัตว์ป่า ออกมาทำให้ แบล็คไวเซอร์ถึงกับต้องผวา ไปชั่วครู่ จิตสังหารของสองพี่น้องที่แรงกล้าจนเหล่าสเปคเตอร์ที่จับตัวแอสต้าไว้รู้สึกได้จนถึงกับต้องผงะออกห่างจากพวกเขา โฮ่ นี่เจ้าจำได้ด้วยเรอะ ชายคนนั้นอุทานขึ้นแต่เหมือนเขาจะ ไม่แปลกใจเลยด้วยซ้ำ ถึงตายก็ไม่มีวันลืมหรอก แกที่เป็นคนทำให้พ่อแม่เราต้องตาย เจนัส ตะคอกก่อนที่ ลากูน่า จะคำรามออกมาควันสีเงินพวยพุ่งออกมาคลุมร่างเขาไว้ก่อนที่จะถูกสูบกลับเข้าไป พร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนเป็นสมิงสีเงินเต็มตัวเจนัสเองก็เช่นกัน ควันสีดำพวยพุ่งครอบตัว เขาไว้ก่อนจะถูกสูบกลับและร่างที่แปลงเป็นสมิงสีดำ พวกเขาทั้งสองไม่รีรอที่จะพุ่งเข้าจู่โจม พวกเจ้านี่น่าสนใจจริงๆ ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ทำให้เขาดูหน้าเกรงขามยิ่งนัก แต่ก็หาได้ทำให้สองพี่น้องลดละความพยายามแต่อย่างใด เขาชูมือไปยังคฑาที่ตกอยู่บนพื้นก่อนมันจะเข้ามาอยู่ในมือเขา และด้วยความเร็วในการแกว่งคฑาเพียงพริบตาทั้งสองก็ถูกฟาดจบล้มลงก่อนที่ จะมีควันตอนที่พวกเขากลายรางพุ่งออกมาและกลับสู่ร่างครึ่งสมิง พวกเขาต่างอ่อนแรงลงจนไม่มีแรงที่จะพยุงตัวขึ้น ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้พวกเขาก่อนจะเอยในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเอ่ย พวกเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้าเถอะแล้วจงใช้พลังของพวกเจ้าเพื่อท่านผู้นั้น ชายคนนั้นพูดจบแบล็คไวเซอร์ก็แทรกขึ้นทันที นี่เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้าน่ะ เซอร์เซส แบล็คไวเซอร์ตะคอกด้วยความไม่อยากเชื่อ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-92fe55.jpg) ข้าก็หมายความอย่างที่พูดนั่นล่ะ เชอร์เซสกล่าวด้วยความเยือกเย็นจนถึงกับทำเอา แบล็คไวเซอร์ เสียววาบ นี่แกคิดว่าเราจะยอมยังงั้นเรอะ ลากูน่ากล่าวอย่างแค้นใจเขาพยายามจะลุกขึ้นต่อกรอีกครา แต่เจนัสก็ห้ามไว้เค้าหันไปมองแอสต้า ซึ่งนางเองในตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า เจนัส คงไม่คิดที่จะยอมสละตัวเองรับเงื่อนไขนี้เพื่อปกป้องนางเอาไว้ แต่แล้วเจนัสก็กลับลุกขึ้นและย่อตัวขุกเข่าข้างหนึ่ง ลงต่อหน้าเซอร์เซส ซึ่งนั่นทำให้นางแทบจะหัวใจสลาย ลากูน่าเองก็ไม่อยากจะเชื่อในสายตา เซอร์เซสยิ้อย่างพอใจ เจ้าฉลาดมากที่ตกลงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เซอร์เซสกล่าว แต่ลากูน่าซึ่งก็คลานเข้าไปใกล้พี่ชายอย่างลำบาก ท่านพี่ทำไมล่ะ ลากูน่าเอ่ยเสียงอ่อย เขามองตาเจนัสอยู่สักครู่ก่อนจะหันไปมองแอสต้า นั่นทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า พี่ของเขาคิดเช่นไรเขาจึงยอมศิโรลาบแก่ เซอร์เซส ดีถ้างั้นตั้งแต่วันนี้เทพขุนศึกเซอร์เซสผู้นี้จะถ่ายทอดวิชาให้พวกเจ้าเป็นข้ารับใช้ของท่านผู้นั้นให้พวกเจ้าเป็นว่าที่เทพขุนศึกคนใหม่ ส่วนศิลานั้นเราจะยกให้พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง เพราะเมื่อพวกเจ้ามาอยู่ใต้อานัติ ของเราแล้วก็ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องแย่งชิงมันไป เซอร์เซสกล่าวจบแบล็คไวเซอร์ก็ถอนกำลังกลับออกไป และก่อนที่เซอร์เซสจะพาทั้งสองไป เขาก็ได้เอ่ยสิ่งที่ทำให้นางต้องเจ็บช้ำ ยิ่งไปอีก ตั้งแต่วันนี้ข้าแต่งตั้งนาม ให้เจ้าทั้งสองใหม่ เจ้า คนพี่ต่อแต่นี้ไปนามของเจ้าคือ ชาโดว์มูน ว่าที่เทพขุนศึกส่วนเจ้าคนน้องนามเจ้าตั้งแต่นี้ไปคือ ซิลเวอร์มูน เอาล่ะจงตามข้ามา พระจันทร์แห่งความวิบัติทั้งสองต่อแต่นี้พวกเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า ฮ่าฮ่าฮ่า~~~~~~ เซอร์เซสกล่าวจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม นางสลบไปด้วยความโศกเศร้า นับแต่วันนั้นนานๆทีนางจะได้เจอกับลูกๆบ้างเป็นครั้งคราว พวกเขาทั้งสองค่อยๆเปลี่ยนไป หัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความไร้เดียงสา กลับเย็นชาลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเจนัสที่เปลี่ยนไปจนนางคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่นางรู้จักอีก ต่อไปแล้ว ความทรงจำส่วนลึกที่นางพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้นั้นได้หวนกลับมา เมื่อนางได้เห็นศิลาที่นางเคยใช้เพื่อช่วยพวกเขา แบะนั่นซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้นางได้รับรู้ความรู้สึกของแม่คน นางกำศิลาไว้แน่นพร้อมกับเดินออกไปยังทะเลสาบลวงตาอันเป็นทางออกจาก วิหารจันทรา นั่นคือการตัดสินใจของเจ้าในวันนั้นเพื่อปกป้องข้าสินะลูกรักแต่เจ้ารู้บ้างมั้ยว่ามันทำให้แม่เจ็บปวดแค่ไหน นางหลับตาลงพยายามจะลบความรู้สึกในตอนนั้นออกไป ก่อนจะลืมตาซึ่งแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นขึ้นมา ส่วนการตัดสินใจในครั้งนี้แม่จะเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันจบเอง ถึงคราวแม่ช่วยเจ้าให้หลุดจากพันธนาการบ้างล่ะ นางคิดได้ดังนั้นก็ก้าว ออกสู่ป่าแสงจันทร์แล้วมุ่งหน้าสู่สมรภูมิทันที โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้าแอสต้าตัดสินใจที่จะใช้พลังของนางหยุดการกระทำของชาโดว์มูน แต่สภาพการรบที่ยุ่งเหยิงไปหมดในตอนนั้นนั่นเองมารัคก็ได้สะสมพลังงานสำเร็จทว่า เรื่องที่ไม่ควรเกิดก็อุบัติขึ้น ติดตามได้ในตอนหน้า บทที่ 14 (กำลังคิดชื่อบทอยู่ขอไม่บอกละกัน) Title: Re: Legend of The Thaliwilya บทที่ 13 อดีต-----การตัดสินใจ-----ปัจจุบัน Post by: boy on April 20, 2008, 03:45:58 PM ก็ไม่ค่อยยาวนักหรอกครับ ค่อย ๆ อ่านไปก็สนุกดี การเว้นวรรค เว้นบรรทัดก็ดี แต่ตอนใหม่รู้สึกอ่านง่ายกว่า ::011::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya บทที่ 13 อดีต-----การตัดสินใจ-----ปัจจุบัน Post by: greamon on April 23, 2008, 07:11:00 PM แหมในที่สุดก็คิดชื่อบทออกซะทีและชื่อบทเข้ากับเนื้อเรื่องของบทนี้สุดๆเลย
เพราะพลิกล็อกกันเละเทะถล่มทลายเลยครับลองไปชมกันเลย บทที่14 ชะตาที่พลิกผัน บัดนี้ผืนแผ่นดินแห่งอาณาจักรฟูดินันตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายของสงครามกับกองทัพโฮลี่ไนท์แมร์ ซึ่งก็อาจพูดว่าเป็นเช่นนั้นแต่ ภาพโดยรวมแล้วทุกสรรพสิ่งในฟูดินันแทบจะหยุดนิ่งและไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกจากค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็งไป ซึ่งบัดนี้ก็ใกล้จะรุ่งสางแล้ว หาก แต่ดวงจันทรายังคงส่องสว่างอยู่ถึงสองดวงด้วยกัน ที่บริเวณมหาพฤกษาซึ่งเป็นต้นไม้เพียงหนึ่'ที่ยังไม่กลายเป็นน้ำแข็งไป ความวุ่นวายของการปะทะกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อนบัดนี้เหลือเพียงร่างน้ำแข็งของทั้งนักรบสัตว์ อสูรสมิง ครุฑและเหล่านักรบจากทุกเผ่ารวมไปถึง กองกำลังต่อต้านได้กลายเป็น น้ำแข็ง และหยุดการโรมรันลงตรงนั้น เหล่าผู้บุกรุกจาก โฮลี่ไนแมร์ ทั้งแบล็คไวเซอร์หรือกระทั่ง 12เทพขุนศึกชาโดว์มูน และรองว่าที่12เทพขุนศึกซิลเวอร์มูน ต่างก็ได้แต่ตกตะลึงกับภาพที่เห็น ร่างของอัศวินมังกร กายสีน้ำตาล ซึ่งกำลังทำการ รวมพลังเอาไว้สังเกตได้จากการที่ ดาบของอัศวินมังกรเริ่มเปล่งแสงสีน้ำตาลออกมา Solum et Dragos สิ้นคำพื้นดินก็ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงล้อมรอบพวกที่ถูกแช่แข็งและมารัคเอาไว้ โดยเมื่อขึ้นถึงที่สุดการขยายตัวก็หยุดลงกำแพงดินที่ถูงสร้างขึ้น ตั้งสูงถึงครึ่งของลำต้น มหาพฤกษา เป็นตระหง่านต่อหน้าพวกเขา ท่านผู้พิทักษ์ท่านหลบอยู่ในนี้ก่อนนะคอยสะสมพลังเอาไว้ส่วนพวกนั้นข้าจะสกัดเอง ทาโซรอสกล่าว ก่อนจะพุ่งออกจากกำแพงดินและเข้าต่อกรกับซิลเวอร์มูน ย้ากกกกกก ทาโซรอสพุ่งตรงเข้าไปพร้อมเหวี่ยงดาบออกไป แต่ซิลเวอร์มูนก็ก้มหลบได้ทัน แต่ทว่าทาโซรอสหลังเหวี่ยงดาบไปแล้วก็หมุนตัวตามแรงดาบทำให้ ดาบวนมาฟันอีกข้าง แต่ซิลเวอร์มูนก็ เอากรงเล็บรับไว้ทัน ก่อนที่จะกระไหล่ใส่ ลำตัวของทาโซรอสอย่างแรงแต่ว่า ร่างของทาโซรอสก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือ ลื่นไถลไป แต่ตัวชองซิลเวอร์กับถูกแรงสะท้อนจากการกระแทก สะเทือนไปทั้งร่าง สร้างความแปลกใจให้แก่ซิลเวอร์มูนยิ่งนัก หนอยแก ไม่สะเทือนเลยเรอะ งั้นลองนี่ Silver Strike สิ้นคำ ซิลเวอร์มูนก็กระโจนเข้าใส่ทาโซรอสและซัดกรงเล็บทั้งสองข้างลงเหนือหัว ของทาโซรอสแต่ทาโซรอสก็ยกเอาโล่กระโหลกมังกรขึ้นมาตั้งรับไว้ได้ทัน ทันทีที่โล่ถูกแรงกระแทกจากกรงเล็บในตอนแรกจนแขนที่ถือไว้ได้ลดระดับลง ลูกถีบคู่ซึ่งถูกแรงเหวี่ยงจากการโจมตีครั้งแรก ก็ถูกยกขึ้นมาตามแรงเหวี่ยงและถีบ ทาโซรอสเข้าอย่างจัง ครั้งนี้ทาโซรอสถึงกับเซไปเพราะแรงกระแทก ส่วนซิลเวอร์มูนหลังจากถีบไปก็ได้อาศัยแรงสะท้อนตีลังกา กลางอากาศก่อนที่เท้าขวาจะเหยียบพื้น และดีดตัวอีกครั้ง พร้อมกับม้วนตัวเอาไว้ ทำให้ ความเร็วในการพุ่งเพิ่มขึ้น และกระแทกเข้ากับทาโซรอสที่ยังไม่ทันตั้งตัวอย่างจังอีกครั้ง จนกระเด็นครูด ไปตามพื้นแต่ซิลเวอร์มูนหลังจากกระแทกก็อาศัยแรงสะท้อนเหมือนเช่นเคยดีดตัวอีกครั้งพร้อมกับม้วนตัวหมายจะกระแทกทาโซรอส อีกต่อนึง ทาโซรอสซึ่งยังจุกกับการโจมตีต่อเนื่อง ก็ลุกขึ้นพร้อมกับฟาดดาบลงไปที่พื้นอีกครั้งที่กำแพงดินก่อตัวขึ้นมาป้องกันเขาเอาไว้ ซิลเวอร์มูนก็กระแทกเข้ากับกำแพงดินจนกระเด็นออกไปแต่ทว่ากำแพงดินก็มีอาการร้าว ก่อนที่ซิลเวอร์มูนจะได้ทันดีดตัวอีกครั้งก็มีแสงส่องออกมาจากด้านหลังกำแพงดิน พร้อมกับเสียงก้องกังวานของทาโซรอส Great of Dragon (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) มังกรพลังสีน้ำตาลพุ่งออกมา กระแทกเข้ากับซิลเวอร์มูนจนเสียหลักล้มลงการโจมตีต่อ เนื่องของเขาต้องหยุดชะงักไปมังกรพลังที่พุ่งไปแล้วก็วกย้อนกลับมาตรงไปยังร่างของซิลเวอร์มูนที่นอนแผ่จากแรงกระแทกเมื่อครู่ แต่ก่อนที่มังกรพลังงานจะได้สัมผัสถูก ชาโดว์มูนก็พุ่งเข้ามารับเอาไว้ทำให้ตัวชาโดว์มูนเองปลิวไปกระแทกกับต้นไม้บริเวณชายป่า จนกิ่งไม่เกี่ยวโดนแขน เลือดสีแดงสดไหลย้อยออกมาจากปากแผล ท่านพี่ ซิลเวอร์มูนตะเบ็งเสียง ขณะที่พยายามลุกขึ้น แต่ชาโดว์มูนก็ลุกขึ้นมาโดยทันทีทำให้ซิลเวอร์คลายความกังวลไป ไม่ต้องห่วงถ้าพี่ยังอยู่จะไม่ให้ใคร ทำ อันตรายน้องได้ ชาโดว์มูนกล่าว ขณะเดียวกันแบล็คไวเซอร์ที่กำลัง ประกอบพิธีกรรมอยู่นั้นก็เริ่มที่จะมีแสงลอยออกมายังมือของเขามากขึ้นเรื่อยๆพลังชีวิตส่วนเกินที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้ในมหาพฤกษา นับร้อยปีกำลังจะถูกดูดออกไป เมทาไนท์ที่ตามชาโดว์มูนออกมาจากป่าได้เห็น พิธีกรรมของแบล็คไวเซอร์กำลังจะสำเร็จจึงรีบเข้าขัดขวาง แต่แล้วขาของเขาก็ถูกรากไม้ พันเอาไว้จนดึงไม่ออกและสะดุดล้มลง รากไม้เริ่มเข้ามารัดตัวเขาไว้มากขึ้นทุกที จนเขาถูกตรึงเอาไว้กลางอากาศ นี่มัน . เมทาไนท์กล่าวได้เพียงเท่านั้น ร่างของผู้ที่สั่งการรากไม้พวกนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา มิน่าเผ่าพันธุ์พฤกษาชาติที่จะต้องพิทักษ์ต้นอิกดราซิล (Yggdrasil)จึงไม่ปรากฏกายขึ้นมาเลย คำพูดของเมทาไนท์ดูเหมือนจะถูกทั้งหมดเพราะ รอบกายชายผู้นั้นเหล่าพฤกษาชาติที่เคยต่อสู้กับสมุนของแบล็คไวเซอร์เพื่อปกป้อง มหาพฤกษา ต่างมารายล้อมคอยรับใช้ชายคนนี้ หัวไว ดีนี่ถูกต้องข้าคือคนบงการให้เจ้าพวกนี้มารับ ใช้ข้าในตอนนี้เพราะแผนการ ในวันนี้จะให้ผิดแผนไม่ได้เ ดี๋ยวท่านหัวหน้า แบล็คไวเซอร์กับท่านผู้นั้นจะเกรี้ยวเอา ชายคนนั้นตอบเสียงหวานโดยสำเนียงออกไปทางหญิงมากกว่าชาย แก... เมทาไนท์กัดฟันด้วยความโกรธในความด้อยพลังของตน ตอนนี้แค่จะหนีเขายังทำไม่ได้ เลย โอะ โอ๋ เจ้านี่โกรธง่ายจังเลย น้า~~~~ ชายคนนั้นกล่างลากหางเสียง แสงจันทร์ที่ส่องลงมา เริ่มเลื่อนมาทาง ชายคนนั้น ร่างของเขาเป็นรากไม้ที่มีรูปร่างราวกับปีศาจหลังของเขามีสิ่งคล้ายดอกตูม อยู่4ดอก แส้เถาวัลย์สะบัดไปมาจากดอกไม้ที่อยู่ด้านหลัง เอาเถอะใจเย็นๆ เดี๋ยวข้า1ใน12เทพขุนศึก รากไม้ปีศาจ วูลเซวิล (Wurzevil) ผู้นี้จะดูแลเจ้าเองช่วยอยู่เฉยๆซักพักเถอะนะ ฮุฮุ รากไม้ปีศาจนั่นกล่าวจบก็โปรยละอองจากดอกไม้ประหลาดๆทันทีที่ เมทาไนท์สูด ดมเข้าไปก็เกิดอาการอ่อนเพลียจนสลบไป (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/76.jpg) ฮิฮิ ทางนี้จัดการเรียบร้อยดำเนินการพิธีกรรมต่อไปเลยท่านแบล็คไวเซอร์ วูลเซวิลกล่าวซึ่งแบล็คไวเซอร์ก็พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบ วูลเซวิล จึงหันกลับไปยังโดมกำแพงที่ทาลิวิลย่าสร้างขึ้นเพื่อปกป้องมารัคและทุกๆคนไว้ เอาล่ะพวกเจ้าจงสูบกำแพงดินพร้อมกับเจ้ามังกร นั่นและชาวบ้านลงไปใต้ดินกันให้หมดเลย สิ้นคำของวูลเซวิล มอลเดียร่าที่เคยจับไพทอนตอนที่มันถูกแบล็คไวเซอร์ควบคุม ก็พากันลุกขึ้นมาจากพื้นดินตาของพวกมันครั้งนี้ไม่เหมือนก่อน พวกมันตาสีแดงก่ำราวกับปีศาจซึ่งไม่ต่างพวกอราวเน่และแม้แต่กระทั่งดรายแอดที่ล้อมรอบตัววูลเซวิลอยู่ พวกมอลเดียร่าเริ่มขุดพื้นล้อมรอบกำแพงดินจนมันเริ่มจมลงสู่ใต้ดิน อะ กำแพงที่สร้างไว้มัน ทาโซรอสที่กำลังรับมือกับทั้งชาโดว์มูนและซิลเวอร์อยู่เห็นเช่นนันจึงคิดจะไป ยับยั้งไว้แต่ก็ถูกทั้งสองขวางเอาไว้ อย่าหวังเลยว่าจะไปช่วยพวกมันได้รับไปซะ เทศกาลเลือด (Blood Festival) สิ้นคำของชาโดว์มูนเลือดที่หลั่งออกมาจากแขนของมันก็หลั่งออกมามากกว่า เดิมและอาบทั่วทั้งตัวมัน ก่อนจะซึมหายไป และบาดแผลทั่วทั้งตัวของมันก็หายไป ชาโดว์มูนเริ่มโจมตีโดยชกหมัดขวานำไปกระแทกกับโล่ที่ทาโซรอส ยกขึ้นป้องกันไว้ได้ทันจนเขากับโล่ปลิวกระเด็นไปด้วยกัน จนทำให้เขาต้องทึ่งกับพลังอันมหาศาลของชาโดว์มูน เป็นไงบ้างล่ะ เทศกาลเลือดของท่านพี่น่ะ เพราะหากท่านพี่ได้อาบเลือดในขณะที่อยู่ในร่างนี้ก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น ซิลเวอร์มูนเสริมให้ทำให้เขาหายสงสัยกับพลังเมื่อสักครู่ จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าไม่รีบทุกคนที่อยู่ในกำแพงนั่นต้องตายหมดแน่รวมทั้งพวกวิลด้วย เสียงของ Lr ดังขึ้นในใจของทาโซรอส ทางเดียวจะต้องหาทางทำลายพลังของจันทราสองดวงนั่นและขัดขวางแบล็คไวเซอร์พร้อมกับช่วยทุกคน เสียงของเอิท์ธดังขึ้นในใจของทาโซรอสเช่นกัน เป็นไปไม่ได้หรอกเพียงแค่พวกเราสองคน ก็จะรับมือเจ้าพวกนี้ไม่ไหวแล้ว ไม่ทันแน่ ทั้งสองคิด และขณะที่สิ้นหวังอยู่นั่นเอง อยู่ๆแสงตะวันยามรุ่งอรุณก็ส่องสว่างลงมา ทำให้พวกเขาต้องแหงนหน้ามองฟ้าด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา ดวงจันทร์ทั้งสอง เริ่มจะรวมกลับกันเป็นดวงเดียวและเริ่มจางหายไปพร้อมกับ แสงอรุณที่สาดส่องลง ทุกอย่างที่ถูกแช่แข็งเอาไว้เริ่มละลายและกลับสู่สภาพเดิม เหล่ามอลเดียร่าและพวก พฤกษาชาติเริ่มระสับระส่ายและดิ้นรนด้วยความ ทรมานราวกับปีศาจที่ถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้ เสียงกรีดร้องของอราวเน่ทำให้ วูลเซวิลต้องยกมือขึ้นปิดหู แม้แต่พวกสองพี่น้องสมิง เองด้วยที่ว่าหูสัมผัสได้ไวกว่ามนุษย์จึงรู้สึกปวดหูทันทีแม้ เสียงจะดังจากที่ไกลมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทาโซรอสอุทาน ขณะดียวกันเมทาไนท์ที่เห็นต้นเหตุก่อนทุกคนก็ เข้าใจสถานการณ์ทันที จึงรีบปลดตัวเองออกจากรากไม้ที่อ่อนแรงลงจากการที่ การควบคุมของ วูลเซวิล รวนไปหมด แล้วหันไปบอกพวกทาโซรอส ทาโซรอสรีบเอาหินจันทราที่แขวนอยู่ที่คอของซิลเวอร์มูนมาเร็ว ทาโซรอสได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองที่ตัวของซิลเวอร์มูนที่คอ ของมันมีสร้อยคอที่แขวนหินรูปจันทร์เสี้ยวเอาไว้ไม่รอช้าเขารีบเข้าไปกระชาก ออกมาซึ่งพวกซิลเวอร์มูนไม่อาจที่จะตั้งตัวได้เพราะยังคง เจ็บปวดจากการกรีดร้องของอราวเน่อยู่ ส่งมานี่เลยเร็ว เราไม่มีเวลาแล้ว เสียงนี้ดังมาจากเหนือหัวของพวกเขา เจ้าของเสียงซึ่งปรากฏตัวอยู่เหนือพวกเขานางคือแอสต้านั่นเอง ทาโซรอสไม่รอช้ารีบขว้างศิลาให้นาง ทันทีที่นางได้มาไว้กำมือนางก็ปลดปล่อยพลังของศิลาออกมาจนดวงจันทร์ทั้งสองสลายไป เมื่อหมดพลังจากดวงจันทราทั้งสอง เหล่าอสูรสมิงและสมุนการูด้าทมิฬ ก็สลายตัวไปทันที ฮูมมมมมมมมมมมม (รวมพลังเสร็จแล้ว) มารัคคำรามก้องออกมา ทาโซรอสจึงรีบทำการสลายกำแพงทันที เมื่อกำแพงทลายลงแล้วกองทัพต่อต้านรวมทั้งนักรบจากทุกเผ่า ก็เป็นอิสระจากการถูกแช่แข็งทันที ต่างก็กรูกันออกมาล้อม12เทพขุนศึกทั้งหมดเอาไว้ หนอยเจ้าพวกก้างขวางคอ แบล็คไวเซอร์สบถคำพูดอย่างเกรี้ยวกราด แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนท่าทีทันที่การดูดพลังชีวิตเสร็จสมบรูณ์ ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็ทำสำเร็จ ฟอจูนทรีมาอยู่ในมือของเราแล้ว ฮ่าๆๆๆ แบล้คไวเซอร์หัวเราะอย่างกระหิ่มจองหอง แต่แล้ว ก็เกิดฟ้าผ่าลงที่ตรงหน้าของพวกเขา พร้อมกับการปรากฏกายของ มัจฉาเทพ พันนิชชูล่า (Punishula) ก...แกอีกแล้วรึ แบล็คไวเซอร์ถึงกับผงะไป เราเตือนเจ้าแล้วไม่ใช่รึ ว่าอย่ามายุ่งกับอาณาจักรนี้อีกการกระทำของเจ้าจะทำให้ เกิดเภทภัย แก่มวลมนุษย์ เสียงนี้ดังกังวานขึ้นในใจของทุกคนในเหตุการณ์ นี่คือจิตที่สื่อจากพันนิชชูล่า อะ..ท่านแบล็คไวเซอร์ วูลเซวิลกล่าวด้วยความเป็นห่วงก่อนจะทะยานขึ้นไปขวางระหว่าง พันนิชชูล่า กับ แบล็คไวเซอร์ และทันทีกับที่แสงที่เปล่งออกมาจากเขาของ พันนิชชูล่าพุ่งออกมาปะทะกับร่างของวูลเซวิลจนแตกสลายไป ประกายแสงนั้นกระเด็นไปโดนมือของ แบล็คไวเซอร์จนก้อนพลังงานแสง ฟอจูนทรี ขนาดท่าลูกแก้วร่วงหล่นลงมา พันนิชชูล่าจึงทะยานไปกลืนก้อนพลังงานเข้าไป แบล็คไวเซอร์เห็นเช่นนั้น จึงหมายจะจัดการกับมันด้วยความโกรธเกรี้ยวจึงยิงพลังเวทย์ออกไป แต่แอสต้าก็เอาร่างเข้ากันพันนิชชูล่าเอาไว้จนทำ ให้นางได้รับบาดเจ็บ ชาโดว์มูนเห็นเช่นนั้นจึงพุ่งฝ่าวงล้อมออกไปรับตัวนางไว้ ท่านแม่ ซิลเวอร์มูนตะโกนเสียงหลง ขณะที่ตามชาโดว์มูนไปร่างของทั้งสองตอนนี้มีควันครอบคลุม ตลบอบอวลออกมาทันทีที่ควันสลายไปร่างของเด็ก เผ่าครึ่งสมิงก็ปรากฏแก่สายตาของทุกคน นั่นมัน คาร์นคำรามเบาอย่างไม่อยากเชื่อในสายตา นั่นน่ะหรือเผ่าครึ่งสมิงน่ะ ทาโซรอสอุทาน อย่างไม่เชื่อสายตาเช่นกัน ทุกคนที่ได้เห็นต่างพากันวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ หลังจากแบล็คไวเซอร์ลงมือไปแล้ว พันนิชชูล่าเองก็หันมาโจมตีใส่เขาแต่แบล็คไวเซอร์ก็ต้านเอาไว้ ข้าไม่ยอมหรอกน่า เฉพาะแผนการครั้งนี้เท่านั้นที่จะพลาดไม่ได้ แบล็คไวเซอร์ กล่าวจบก็เรียกให้วิหกโลกัณฑ์ลามือจาก แองโกริอ้อนที่ถูกมันเล่นงานจนหมอบไปแล้ว กลับมา พร้อมถอนขนมาสามเส้นและบรรจุลงลูกบอลสีดำ พร้อมกับขว้างออกไป บอล ระเบิดออกพร้อมกับควันที่ตลบเหมือนทุกครั้งพร้อมกับร่างของอสูรสามตน จงขยี้พวกมันซะสัตว์อสูรของข้า เซอร์คัสมังกรกระดูกต้องสาป (Circus, Cursed Bone Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n003/65.jpg) ชะตาแห่งความมืด (Darkdoom) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n003/66.jpg) เดมอนขุมนรก (Deep Pit Demon) (http://image.dek-d.com/9/655530/10710575.jpg) สิ้นคำของแบล็คไวเซอร์ อสูรรับใช้ของแบล็คไวเซอร์ขนาดยักษ์สามตัวก็โผล่ออกมา โดยตัวที่ชื่อเซอร์คัสเป็นมังกรกระดูกที่ต้องคำสาปจึงมีชีวิต กับชะตาแห่งความมืดหรือ ดาร์กดูม มันคืออสูรที่จะกำหนดชะตาของมนุษย์สู่ความมืด และสุดท้าย เดมอนขุมนรกมันคือเดมอนที่ถูกจองจำยังขุมนรกที่ลึกสุดๆ บัดนี้อสูรระดับสูงทั้งสามตนได้มาปรากฏตรงหน้าพวกเขาแล้ว พันนิชชูล่ามีท่าทางลำบากใจกับการปรากฏของอสรูทั้งสามตน ท่านแม่ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย เด็กชายครึ่งสมิงที่เป็นชาโดว์มูนเมื่อครู่เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตารวมถึงน้องชาย ของเขาที่เป็นซิลเวอร์มูนก็เช่นกัน แอสต้าจึงเอามือจับมือของลูกๆทั้งสองอย่างอ่อนโยน ลูกๆฟังแม่นะจ้ะ การกระทำของลูกมันผิดแม่จึงต้องมาห้าม..เอาไว้ นางฝืนทนกล่าวไปสำลักไปจากอาการบาดเจ็บ ไม่นะหยุดพูดก่อนเถอะท่านแม่เราจะพาท่านไปรักษา ครึ่งสมิงคนน้องกล่าว ไม่ต้องหรอกแม่คงไม่รอดแล้ว นางกล่าว ไม่ท่านต้องไม่ตาย ท่านจะมาตายไม่ได้นะท่านแม่ สมิงคนพี่กล่าวใจของทั้งสองตอนนี้สั่นไหวและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ก่อนจากแม่จะต้องบอกพวกเจ้าให้ได้รับรู้ก่อน นางกล่าวอย่างอึกอักแต่ด้วยความมุ่งมั่นของนางลูกๆจึงยอมรับฟัง ลูกรัก..นับตั้งแต่วันที่ลูกได้ไปสวามิภักดิ์ต่อพวกมันเพื่อปกป้องแม่และพวกเราแล้ว ตลอกเวลาหลังจากนั้นมันราวกับตกนรกถูกเผาทั้งเป็น แม่เคยคิดว่าสักวันจะต้องนำลูกทั้งสองคนกลับมาให้ได้..อึก นางฝืนกล่าวออกมาจนกระอักเลือดแม้ลูกๆจะห้ามก็ตามทีแต่นางก็ยังกล่าวต่อไป แม่ทุกข์ใจมากที่เป็นตัวการทำให้ลูกต้องทำผิดบาปทั้งหมดของลูกแม่จะขอชดใช้แทนเอง นางกล่าว ไม่นะท่านแม่ไม่ผิดซะหน่อยอย่าจากพวกเราไปเลยนะท่านแม่ ครึ่งสมิงคนน้องกล่าวอย่างร้อนรนแต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจยังคงกล่าวต่อไป ลูกครั้งสุดท้ายนี้แม่ขอร้องล่ะกลับมาเถอะ กลับมาเป็นลูกที่ดีของแม่ นะ เจนัส ลากุน่า นางกล่าว ครับท่านแม่ ทั้งสองกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า สุดท้ายนี้แม่จะไม่เป็นภาระให้แก่ลูกอีกแล้ว จำไว้นะ จงช่วยเหลือทุกคนอย่าได้โกรธแค้นใครอีกเพราะพวกเจ้าไม่ใช่อสูรหากพวกเจ้าทำได้จงใช้พลังของพวกเจ้ากำจัดความโสมน ของพวกโฮลี่ไนท์แมร์ซะ พลังของพวกเจ้ามีไว้เพื่อการนี้... นางกล่าวจบก็สิ้นใจลงทันทีทั้งสองต่างร่ำไห้ กับการจากไปครั้งนี้อย่างที่สุดแต่แล้วคนพี่ก็ลุกขึ้นและวางตัวของนางลงพร้อมกับดึงเอาศิลาที่นางกำเอาไว้มาร่ายเวทย์ร่างของนางค่อยๆสลายกลายเป็นแสงล่องลอยสู่ฟากฟ้า เอาล่ะลากุน่า ไปกันเถอะเพื่อท่านแม่ไปจัดการมันกัน เจนัสกล่าวขณะที่ปาดน้ำตาออก ครับท่านพี่ ลากุน่าเองก็เช่นกันทั้งสองหันไปและเปลี่ยนความคิดเพื่อที่จะต่อกรกับแบล็คไวเซอร์ ขณะเดียวกันมารัคกำลังจะทำพิธีเคลื่อนย้ายแต่ทว่ายังต้องใช้เวลาปรับคลื่นพลังอีกซักระยะ ทำให้ทาโซรอสกับเมทาร์ไนท์ต้องรับกับเหล่าอสูรทั้งสามเพียงลำพัง ขณที่กำลังจะเสียท่าให้กับพวกมันอยู่นั่นเอง สองพี่น้องก็ตรงเข้ามาร่วมต่อสู้กับพวกเขา ทำให้แบล็คไวเซอร์ ตกตะลึง นี่พวกเจ้าจะทรยศเรอะ แบล็คไวเซอร์กล่าวอย่างฉุนเฉียว เราไม่ได้เป็นลูกน้องของใครทั้งนั้นเราแค่ทำเพื่อปกป้องคนสำคัญเท่านั้น เจนัสกล่าวอย่างแค้นใจ ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่แล้วเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปกป้องอีกนอกจาก กันและกัน ลากุน่ากล่าวทำให้แบล็คไวเซอร์ต้องตั้งรับทันที ชาโดว์มูน ซิลเวอร์มูนนี่พวกแกหนอย.. แบล็คไวเซอร์ กล่าวอย่างขุ่นข้องใจ ไม่ใช่เราไม่ใช่พวกของแกอีกแล้วชื่อของเราคือชื่อที่ท่านแอสต้าตั้งให้ เจนัส ลากุน่า ทั้งสองกล่าวพร้อมกันขณะที่กำราบอสูรทั้งสามร่วมกับพวกเขาจน สิ้นฤทธ์ หนอยยยยย แบล็คไวเซอร์ได้แต่กัดฟันด้วยความแค้นใจ ดูเหมือนว่าแกจะแพ้แล้วนะ เสียงของพันนิชชูล่ากังวานขึ้นอีกครั้ง ถึงข้าจะแพ้แต่ข้าก็ไม่ยอมปล่อยเอาไว้หรอกแกเจ้าอัศวินมังกรกับลูกๆมังกรของแจะต้องชดใช้เรื่องนี้ แบล็คไวเซอร์กล่าวจบก็โจมตีใส่พวกวิลทันทีทาโซรอสและสองพี่น้องพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ทว่าเป้าโจมตีของแบล็คไวเซอร์หาใช้พวกเขาแต่เป็นมารัคที่กำลังปรับพลังข้ามมิติอยู่ การโจมตีทำให้พลังเคลื่อนย้ายเกิดรวนจนระเบิดออก มันได้ส่งทาโซรอสกับเหล่าลูกมังกรและสองพี่น้องสมิงกับแบล็คไวเซอร์ไปคนละทิศคนละทาง ทั้งหมดหายไปทันทีที่แสงจางลง โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้าLr กับ ไลท์และเจนัส ทั้งสามได้กระเด็นไปตกที่เกาะใกล้ๆกับ เกาะวาร็อคพวกเขาติดอยู่บนเกาะร้างกลางทะเล ซะแล้ว ไลท์ที่บินไม่ได้ครั้งนี้เขาจะต้องพยายามเอาชนะความกลัวเพื่อที่จะช่วยทุกคน อีกด้านหนึ่งเซอร์เซสก็เริ่มเคลื่อนไหวทันทีที่รู้ว่าลูกศิษย์ทรยศจึงส่งคนมาสังหาร พวกเขาจะเป็นเช่นไรโปรดติดตามได้ในตอนหน้า บทที่ 15 จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไลท์! Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 14 ชะตาที่พลิกผัน Post by: greamon on April 30, 2008, 06:16:01 PM และแล้วก็มาถึงบทที่15 จนได้นะครับ ในวันนี้ผมจะได้เฉลยแล้วว่าการ์ดตัวละคร
เสริมที่ผมเคยพูดถึงคือใครวันนี้ผมได้เอามาเฉลยแล้วครับในบทนี้ บทที่15 ด้วยความพยายาม จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไลท์! หลังจากการ ระเบิดของพลังเคื่อนย้ายมิติที่มารัคสะสมเอาไว้ทำให้ พวก Lr และครึ่งสมิงสองพี่น้อง เจนัสกับลากุน่ากระเด็นตกลงไปในห้วงมิติและได้แยกพวกเขาออกไปคนละทิศโดยแต่พวกเขาถูกเคลื่อนที่ผ่านมิติออกจากอาณาจักรฟูดินันจน มาถึงเขตทะเลใกล้กับเกาะ วาร็อก(Warok) ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของไฮดรามังกรวารีที่มีพิษร้ายแรง เกาะที่ Lr ตกลงมาเป็นหนึ่งในเขตเกาะร้างรอบหมู่เกาะ วาร็อก ซึ่งเมื่อก่อนไอพิษของไฮดราจะกระจายฟุ้งมาถึงที่นี่ตลอดจึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่หลังจากที่ กษัตริย์ซิกมันต์ที่ 2 ได้ปราบมันลงและ ในช่วงยุคสงคราม 4 อาณาจักร เกาะเต่าวอลเนีย ก็ได้เคยมาลงทำเลแถวนี้ด้วย ทำให้สภาพของหมู่เกาะร้างเปลี่ยนไป ต้นไม้บนเกาะเริ่มที่จะเติบโตได้และในที่สุดต้นไม้เหล่านี้ก็ปกคลุมไปทั้วทั้งเกาะ ในทะเลตอนนี้ยังมีหมอกอยู่แน่นหนา Lr ไลท์และครึ่งสมิงเจนัส พวกเขาตกลงมาบนเกาะนี้ได้วันนึงแล้ว แต่พวกเขาเองก็แทบจะไม่ได้ พูดคุยด้วยกันเลยเช่นกัน บนเกาะแห่งนี้ เป็นพื้นเกาะที่ยกตัวสูงจากน้ำทะเล รอบเกาะก็คือหน้าผาดีๆนี่เองซึ่งข้างล่างก็คือทะเลที่กระแสน้ำเชี่ยวกราด ซัดสาดใส่โขดหินโสโครกอย่างรุนแรง ไม่มีทางที่จะมีเรือมาจอดเทียบได้แน่นอน เกาะทั้งเกาะเลยราวกับถูกปิดกั้นออกจากโลกภายนอก ที่บริเวณโขดหินทางฝั่งตะวันออกของเกาะ เจนัสกำลังยืนอยู่บนโขดหิน ที่ด้านมีกระแสน้ำ ที่แรงมากหาก ตกลงไปอาจจะถูกซัดหายไปได้ เขาหลับตาราวกับทำสมาธิอยู่ หูของเขากระดิก เป็นจังหวะเพื่อฟังเสียงทันทีที่คลื่นลูกใหญ่ลูกหนึ่งกำลังจะซัดใส่โขดหิน พริบตานั้นเขากระโดดลงไปยัง โขดหินที่เริ่มโผล่ขึ้นจากใต้น้ำเนื่องจากคลื่นที่กำลังจะซัดได้ดูดน้ำไป และทันทีที่คลื่นกระทบฝั่ง เขาก็พุ่งตัวผ่านคลื่น พร้อมกับสะบัดกรงเล็บอย่างรวดเร็วด้วยเล็บหมาป่าที่มือของเขา ปลาที่ถูกจับได้จึงไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือของเขาได้ ร่างของเขาทะยานขึ้น สู่ผิวน้ำทันทีหลังจากที่จับฝูงปลาที่ผลัดมากับคลื่นได้ทั้งหมด 6 ตัว เขาจึงไต่ขึ้นหน้าผาไปตาม ชะง่อนหินที่ยื่นออกมา ด้วยความคล่องแคล่ว เขาเอาปลาทั้งหมดที่จับมาได้ ห่อด้วยใบไม้ขนาดใหญ่ ที่เด็ดมาจากต้นไม้บนเกาะ ก่อนจะแบกมันเข้าป่าไป เขาเดินทะลุป่าไปซักระยะก็ออกสู่ ทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ท่ามกลางท้องทุ่งนั้นมีเหล่า (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms200883117027.jpg) สัตว์ประหลาด ตัวสีขาวสลับขนสีม่วง กำลังกระโดดเหย๋งๆ กันอย่างสนุกสนานพวกมันคือ ชอโทริโซ่ (Chortorizo) พวกมันกระโดดได้เร็วมากจนไม่อาจจะจับด้วยมือเปล่าได้อีกทั้งยังมีประสาทสัมผัสที่ฉับไวหากได้ยินเสียงผิด ปกติแม้แต่นิดเดียวก็จะพากันวิ่งหายไปทั้งฝูง อย่างรวดเร็ว ที่ทำอย่างนี้ได้เพราะพวกมันสามารถรวบรวม มวลอากาศมาไว้โดยรอบหางก่อนที่จะพุ่งตัวออกไป โดยใช้หางส่งทำให้แรงลมบวกแรงส่ง จากหางทำให้พวกมันกระโดดได้สูงมาก และเร็วด้วย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/68.jpg) เจนัสวางห่อปลาเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ และก่อนที่พวกมันจะได้ทันวิ่งหนีควันสีดำก็พุ่งออกจากร่างเขา ก่อนเขาก็พุ่งกระโจนออกไป ในร่างสุนัขป่าสีดำ และควบสี่ขาอย่างรวดเร็ว คาบและตะบบ พวกมันไว้ได้ 2 ตัว นี่คืออีกร่างของเขาร่างแปลงสัตว์ ที่ทำให้พวกเขาสามารถจำแลงร่างเป็นดังสัตว์ต้นแบบของพวกเขาได้จึงทำให้พวกเขาหลบจากสายตาของผู้คนรอบข้าง ได้โดยไม่มีคนสงสัย เจนัสออกแรงขบฟันจนเจ้าชอโทริโซ่สิ้นใจ คาปากของเขาและออกแรงกดกรงเล็บจนอีกตัวสิ้นใจตามไปด้วย เขาจึงจำแลงร่างกลับ สู่ร่างครึ่งสมิง และอุ้มเอาพวกมันทั้งสองตัวกลับไปตรงปากทางเข้าป่าที่เขาวางห่อปลาไว้และหยิบเอาห่อปลาไปแบกใส่หลัง แล้วเดินเข้ายังป่าอีกฟาก ซึ่งป่านี้มีลูกไม้และผลไม้มากมาย ขึ้นอยู่เต็มต้น เจนัส วางห่อเสบียงทั้งหมดเอาไว้ก่อนจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ และพุ่งไปตามต้นต่างๆอย่างรวดเร็วและเด็ดเอาผลไม้กับลูกไม้ติดมือมา หลายกำมือ และลงใส่ห่อปลาพร้อมกับแบกขึ้นเดินลึกเข้าไปในป่า ทะลุ ออกไปยังทางใต้ของเกาะ อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน Lr กับ ไลท์ที่นั่งพักอยู่ที่ ทีพักทางใต้ของเกาะ พวกเขานั่งสุมกองไฟด้วยความหนาวเหน็บ จากอากาศเย็นบนเกาะซึ่งเย็นติดต่อมาจากเมื่อวานที่พวกเขามาถึงเกาะนี้แล้ว ล...ลอ..ลอเรนว์ ไลท์พูดเสียงสั่นจากความหนาว Lr ได้ยินจึง เงยหน้าจากกองไฟ โดยที่ปากยังสั่นจากความหนาวเย็น ทำ..ทำไมเหรอไลท์ แม้จะหนาวเหน็บ Lr ก็กัดฟันข่มความหนาวแล้วพูดออกมา น..นายคิด..คิดว่าหมอนั่น..น่ะ..นะคิดจะ..ทำ..ฮ...ฮ...ฮัดชิ้ว..อะไร ไลท์พูดตะกุกตะกักและจามก่อนจะได้พูดจบประโยค อ้าวเป็น หวัดซะแล้วเหรอ เสียงนั้นดังขึ้นข้างๆหูของไลท์ทำให้ไลท์ตกใจสะดุ้งก่อนจะรู้ว่าเป็นเสียงของเจนัส แว้ก..น..นายเอง..ร..เหรอ..ฮ...ฮ..ฮัดชิ้ว ไลท์อุทาน แต่แล้วก็นิ่งไป เมื่อเจนัสเอาหลังมือแตะที่หน้าผากของเขา อืมมมม มีไข้นิดหน่อย แต่กันไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะทำยามาให้รอเดี๋ยวนะ เจนัสกล่าวจบก็ลุกไปหยิบเอาสมุนไพรที่เก็บติดมือ กลับมาระหว่างทาง และเดินไปที่น้ำตกใกล้กับที่พัก และตักน้ำใส่ใบไม้ ที่พับเป็นภาชนะรองน้ำ และเริ่มทำยา โดยที่ Lr และ ไลท์ได้แต่มองตามหลังไป เฮ้ นี่ Lr ตะโกนเรียกเจนัส แต่เขาก็ไม่ได้หันมาสนใจ Lr เห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจนิดๆ แต่ก็ยังคงถามต่อ นายไม่หนาวบ้างเลยเหรอ Lr กล่าวสาเหตุที่เขาถามเช่นนี้เพราะขนาดเขาใส่เสื้อแขนยาว กางเขนขายาวซึ่งทั้งหนาและมิดชิดอีกทั้งยังปรับระดับความหนาแน่นของผ้าได้ เพราะเป็นเสื้อที่ผลิตด้วย เทคโนโลยี ของ มิติมังกร (Dragon Dimension) ซึ่งที่หมู่บ้านมังกรก็มีอากาศหนาวเย็นในระดับหนึ่งและเขาก็อยู่จนชินกับความเย็น ที่นั่นโดยไม่ได้ปรับระดับความมิดชิดของเสื้อเลย แต่บนเกาะแห่งนี้เขายังหนาวเหน็บได้อย่างสาหัส แม้กระทั่งไลท์ที่เป็นมังกรยังหวัดกินเอาได้ง่ายๆ แต่เจนัสที่ใส่เพียงแค่กางเกงตัวเดียวและไม่ได้สวมเสื้อหรือคลุมผ้าเลยกลับอยู่ได้อย่างสบายๆ เสื้อก็ใส่แค่กางเกง ตัวเดียวแต่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลย แปลกคนจริงๆ ไลท์กล่าวประชดประชัน แต่ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อมีมือของใครมาสะกิดหลัง โทษทีนะที่ฉันไม่เหมือนพวกนาย น่ะ เจนัสกล่าวเรียบๆ เขานั่นเองที่สะกิดหลังของไลท์ เจนัสวางยาที่ใส่ลงบนใบไม้ ไว้ข้างๆพวกเขา และหยิบเอาปลากับ ชอโทริโช่ไปที่น้ำตกอีกครั้งเพื่อชำแหละมาทำอาหาร ทั้งสองจึงได้แต่อึ้งกับท่าที ของเจนัสอีกครั้ง อะไรของเค้านะ พูดด้วยก็ไม่ยอมพูดตอบ เอาแต่เงียบอยู่นั่นแหล่ะ ไลท์ พูดประชดอีกครั้งแต่เบาเสียงลงเพราะกลัวว่าเจนัสจะได้ยิน Lr ที่คอยมองเจนัสอยู่ตลอดก็อดคิดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเด็กครึ่งสมิงอย่างเจนัส ถึงได้เชี่ยวชาญการเอาตัวรอดนัก เพราะในตอนที่พวกเขาตกลงมาที่เกาะแห่งนี้พวกเขา ต้องเกาะหิน เชิงผา อยู่อย่างหมิ่นเหม่จะตกลงทะเลไป ก็ได้เจนัสช่วย แบกพวกเขากระโดดขึ้นมาบนเกาะ และอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาขึ้นมาได้ก็มีแผ่นดินไหว ถูกสัตว์ประหลาดบนเกาะไล่ล่า ก็ได้เจนัสเป็นคนช่วยพวกเขาเอาไว้ และตอนนี้แม้กระทั่งทำที่พักก่อกองไฟหาอาหาร เจนัสล้วนแต่เป็นผู้ช่วยพวกเขาทั้งสิ้น ขณะที่พวกเขาได้แต่สั่นงกๆ จากความหนาวเย็นบนเกาะ เมื่อเขาลองสังเกตดูจึงได้เห็นว่าแม้เจนัสจะเป็นพี่เขาเพียง 1 ปี แต่กลับดูพึ่งพาได้ และรู้สึก อบอุ่นใจ เมื่อมีเขาอยู่เคียงข้าง จึงไม่แปลกใจเลยที่ซิลเวอร์มูนหรือลากูน่าน้องของเจนัสจะ รักและเคารพเขาอย่างมาก อีกทั้งร่างของเจนัสยังแข็งแรงกำยำ ราวกับนักรบที่ผ่านการฝึกมาอย่างสาหัสก็ไม่ ปาน แต่จากการที่เจนัสเคยเป็น 12 เทพขุนศึกทำให้เขาคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่เขาติดใจเป็นที่สุด ก็คือท่าทีของเจนัสที่มีต่อพวกเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขายังสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้กลับมาช่วยเหลือเขาเอาไว้ ราวกับเรื่องที่พวกเขาเป็นศัตรู กันไม่เคยเกิดขึ้น อีกทั้งแม้เขาจะพยายามถามเรื่องนี้แต่เจนัสก็ปัดที่จะไม่ตอบทุกครั้งไป ลอเรนว์ ไลท์เรียกแต่ เขาก็ยังคง เหม่อมองอยู่ ลอเรนว์ ไลท์เรียกอีกครั้ง ทำให้ เขารู้สึกตัวและหันมา รีบกินเถอะเดี๋ยวเย็นหมดหรอก ไลท์กล่าวขณะที่มือยังถือลูกไม้ ที่เจนัสเก็บมาให้และยังคงนั่งกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย ที่ตรงหน้าเขา ชอโทริโซ่ ที่จับมากับปลาย่างถูกแล่ออกและเสียบไม้ย่างไฟที่ก่อเอาไว้จนสุกถูกตั้ง อยู่ส่งกลิ่นหอมโชยออกมาเตะจมูก ชวนน้ำลายสอ เขาไม่รีรอที่จะรีบทานมันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเจนัสหลังจากที่เอาเสบียงส่วนที่เหลือไปเก็บตุนเอาไว้และนำ เอาเนื้อส่วนที่แล่เหลือไปแช่น้ำให้มันเย็นจนน้ำแข็ง เกาะเพื่อถนอมอาหารไว้ ก็เดินมาร่วมวง กินข้าวกับพวกเขา ในตอนนี้ Lr มีแต่คำถามอยู่เต็มหัวแต่ก็อดใจเอาไว้ไม่ถามออกไป แต่ดูท่าว่าเจนัสจะดูออก เพราะเจนัส มองหน้าเขาด้วยสายตา สงสัย ทำให้เขาพยายามที่จะถามอีกครั้ง เอ่อ..... Lr ยังไม่ทันที่จะถามเจนัสก็แทรกตอบทันที เรื่องนั้นน่ะเหรอ เจนัสกล่าว Lr ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงว่าใช่ เจนัสจึงถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยใจ และนิ่งไปซักพัก เหมือนชั่งใจอยู่ว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่แล้วเขาก็เอ่ยปากจนได้ จริงอยู่ ที่แรกเริ่มเดิมทีพวกเราเองจ้องจะเอาชีวิตนาย แต่นั่นน่ะมันความคิดของหัวหน้าพวกเราส่วนพวกเราก็ได้แค่ทำตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจนัสกล่าวจบ เขาก็เงียบไป แอสต้าสินะ ไลท์ เดา แต่ก็ตรงตามที่บอกสีหน้าของ เจนัส ออกอาการทันที แอสต้าน่ะเป็นเสมือนแม่ของเรา เพื่อที่จะปกป้องท่านกับวิหารจันทราและศิลานี่... เจนัสกล่าวจบก็หยิบเอาศิลาจันทราที่ห้อยคอไว้ ขึ้นมาให้พวกเขาดู ศิลานี่คือสิ่งที่ทำให้เรา อัญเชิญจันทราสามแบบออกมาได้ ซึ่งสองดวงที่พวกเจ้าเห็นก็คือ 2 ใน 3 แบบ เจนัส กล่าวจบก็ห้อยศิลาไว้ตามเดิม พวก Lr จึงหายข้องใจเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น และเพื่อที่จะเป็นการแลกเปลี่ยนไม่ให้พวก โฮลี่ไนท์แมร์ สังหารพวกเราและชิงศิลาไปเราจึงตัดสินใจสวามิภักดิ์ ต่อพวกมันและเริ่มฝึกฝนวิชาเพื่อขึ้นเป็นผู้นำกองทัพ หรือ12เทพขุนศึกนั่นแหล่ะ เจนัสกล่าวจบก็ลุกขึ้นและเดินออกจากวงไป เดี๋ยวแล้วนั่นจะไปไหนน่ะ Lr ถามแต่เจนัสไม่ได้หันมา แต่ตอบไปขณะที่ยังคงเดินหน้าต่อ หาทางออกจากเกาะนี้ เพราะเราคงอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอก เจนัสกล่าวจบก็เดินหายไป ถูกอย่างที่เจนัสกล่าวพวกเขาจะมามัว อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะพวกลูกมังกรตัวอื่นๆจะต้องหลงไปอยู่ที่ไหนซักแห่งในบริเวณทะเลนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มออกสำรวจเกาะกันอีกครั้งเพื่อหาทางออก .............................. ...................... . ขณะเดียวกัน ที่ป่านอกเมือง แห่งหนึ่ง เด็กชายเผ่าครึ่งสมิงผมสีเงิน เขาใส่กางเกงสีขาวเพียงตัวเดียว ซึ่งคล้ายกับเจนัส น้องชายของเขาลากูน่าอดีตว่าที่12เทพขุนศึกนามซิลเวอร์มูน (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms200883117149.jpg) เขานอนสลบไสลไม่ได้สติมา กว่าครึ่งวันแล้ว ตอนนี้มีเงาของหญิงสาวคนหนึ่งคลืบคลานเข้ามาหาเขา ก่อนที่นางจะได้ทันเข้าใกล้เขา ก็มีวังวนมิติ โผล่ขึ้นมาต่อหน้านาง ในนั้นมีเงาของชายคนหนึ่ง ที่ถือคฑาอยู่ในมือสวมเสื้อเกราะสีดำสนิท ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซอร์เซสนั่นเอง ศิษย์ข้าเจ้าจงรับคำสั่งต่อไปนี้ไปจัดการเก็บคนทรยศซะ เซอร์เซสกล่าว หมายถึง ชาโดว์มูนกับซิลเวอร์มูนใช่มั้ยคะ นางกล่าวเสียงเรียบ ถูกต้องรีบเก็บกวาดให้เสร็จๆซะล่ะ เซอร์เซสกล่าวจบนางก็โค้งรับพร้อมกับเอ่ยต่อทันที ค่ะวางใจได้เลย ข้า 1ใน12 เทพขุนศึกจอมโจรแมวป่าRise Night (ไลซ์ไนท์ ช= อรุณราตรี)จะจัดการให้เรียบร้อยเอง นางกล่าวรับรองจบ เซอร์เซสก็ตัดการติดต่อไป นางเดินเข้าใกล้ ลากูน่า พร้อมกับกางกรงเล็บ ที่เหมือนแมวป่าออกมา นางมีหูเป็นแมวป่าเช่นเดียวกับที่ลากูน่ามีหูหมาป่า นางอยู่ในชุดราตรีกระโปรงสั้นสีดำสนิททั้งชุด อีกมือนึงของนางคว้าปืนขึ้นมาควงเล่นก่อนจะหยุดเดินตรงข้างหน้า ลากูน่า ที่นอนสลบอยู่ (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms200883117227.jpg) จะเอายังไงดีน้าเรา นางพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เสียงปืนจะดังรัวขึ้นจนลั่นไปทั้งป่า ............................ ............. ....... Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 14 ชะตาที่พลิกผัน Post by: greamon on April 30, 2008, 06:16:51 PM ขณะเดียวกันพวก Lr เองก็ยังคงเดินสำรวจไปรอบๆเกาะคู่กับไลท์ จนเมื่อถึงเวลากลางวัน ความหิวเริ่มทำให้พวกเขาเหนื่อยอ่อน
พวกเขาทั้งสองจึงตีดสินใจจะกลับที่พักก่อนแล้วค่อยสำรวจต่อ แต่ทว่าจู่ๆเกิดแผ่นดินไหวขึ้นจนเกิดรอยแยกพวกเขาตกลงไปในรอยแยกนั้นและเกาะก็เริ่ม ทลายลงเรื่อยๆ Lr เกาะเชิงหินที่ยื่นออกมาไว้ได้ทันและไลท์ก็เกาะเอวของ Lr เอาไว้ เพราะตัวของเขาไม่สามารถบินได้เหมือนเพื่อนๆของเขา ทันทีที่พื้นเกาะทลายจมลงพวกเขาก็ได้เห็นถึงสาเหตุที่เกาะจมลงในทันที ข้างใต้เกาะถูก น้ำวน ชะเซาะจนเริ่มทลายไปกับแรงกระแสน้ำ เกาะนี้กำลังจะถูกน้ำวนดูด ลงไป นี่น่ะเองสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อวาน Lr กล่าวขณะที่ต้องคอยปัดเศบดินที่ร่วงลงใส่พวกเขา แต่แล้วทั้งสองก็ต้องใจสั่นเมื่อ เชิงหินที่คว้าไว้ได้ มีรอยร้าวและเริ่มจะเอนลง ทำไงดี ลอว์เรน ฉันกลัว~~~ ไลท์กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือไปด้วยความกลัว ความทรงจำในอดีตที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมันก็แล่นเข้ามาทันทีทันใด ไม่ต้องกลัวนะไลท์ ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวเค้าต้องมาช่วยเราแน่ Lr กล่าวเพื่อปลอบไลท์ นายแน่ใจได้ยังไงว่าหมอนั่นจะมาน่ะ ....หวา ไลท์กล่าวอย่างไม่เชื่อในคำพูดของ Lr ไม่หรอกฉันเชื่อนะ... Lr กล่าวเสียงเข้ม เอ๋~~~~ ไลท์ ร้องออกมาด้วยความสงสัยขณะที่มองหาทางหนีอยู่ ฉันเชื่อว่าเค้าจะต้องมาแน่ หมอนั่นน่ะจะต้องมาช่วยเราแน่ฉันเชื่อว่ายังงั้น Lr กล่าวอย่างมั่นใจด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แต่ ไลท์กลับตีหน้าเบ้ทันที ลอว์เรนนายนี่น้า ไลท์กล่าวอย่างเหนื่อยใจ อ้าวเป็นอะไรไปอีกล่ะ Lr ถามอย่าง งงๆ ลอว์เรน นายเนี่ยนะแก้หายซักทีน้า ไอ้นิสัยเชื่อคนง่ายๆแบนี้เนี่ยเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เฮ้อ ไลท์กล่าวไปพลางถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่เขาจะนึกถึงเรื่องที่เคยผ่านมา ตอนที่อยู่หมู่บ้างมังกร(Dragon Village) ในตอนที่พวกเขายังเด็กอยู่มาก เคยถูกเพื่อนๆหรอกให้เข้าหา สมบัติในป่าช้าของหมู่บ้านและเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกล่าโดยมังกรแห่งความสยดสยอง โรเมเนี่ยน(Lomenian, the dragon of Terror) หากเขาไม่พา Lr บินหนีออกมา ทันทีที่คิดถึงตรงนี้ ความทรงจำทอันเจ็บปวดที่แล่นผ่านเข้ามาเมื่อครู่ก็ยิ่งเด่นชัดเข้าไปอีก เขาจึงส่ายหัวอย่างแรง เพื่อไม่ให้ถนึกถึง แต่ทันที่เขาเริ่มส่าย แรงจากการขยับทำให้ เชิงหินร้าวเร็วขึ้นจนพวกเขาเอนลงมาอีก ความทรงจำนั้นแทนที่จะถูกทำให้ลืมกลับ เด่นชัดขึ้นมากกว่าเก่าอีก และไม่นานนักเชิงหินก็ร้าวและแตกทลายลงร่างของทั้งสองตกลงมาเรื่อยๆ ในขณะที่คิดว่าจะไม่รอดแล้วความทรงจำนั้นก็ผุดขึ้นมา ความเจ็บปวดในอดีตที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะบินได้อีกนับแต่วันนั้น วันที่เขาทะเลาะกับ Lr เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ในวันนั้นเขากับ Lr ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง พวกเขาจึงออกห่างกันไปเพื่อจะไม่ต้องเจอหน้าอีกฝ่ายซึ่งในตอนนั้นเขายังบินได้อยู่ วันนั้นเขาได้บินออกไปขณะที่เมฆพายุเริ่มก่อตัว ส่วน Lr เองก็นั่งระบายความโกรธอยู่ในบ้านโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ข้างนอกพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำอย่างแรง วันนั้นเป็นวันที่ ดีวายดราก้อนพ่อของพวกเขาได้ออกไปธุระนอกมิติพอดีจึงทิ้งให้พวกเขาอยู่กันสองคน ด้านไลท์ที่บินออกไปก็โดนพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างแรงจนบินไปข้างหน้าไม่ได้ จนกระทั่งฟ้าได้ผ่าลงมาโดนต้นไม้จนโค่นลงมาทับเขาที่เชิงผา ปีกทั้งสองข้างของเขาหักจนบินไม่ไหวและพื้นที่ถูกน้ำฝนชะ จนทลายลงเขาจึง ต้องเกาะต้นไม้ที่โค่นลงมาทับเขานั้นไว้ ซึ่งไม่ต่างจากเหตุการณ์วันนี้เลย แม้เขาจะรอดมาได้และปีกของเขาจะหายเป็นปกติแล้วก็ตามแต่ทันทีที่เขาพยายามจะบินความกลัวจากครั้งนั้นก็เข้ามาหลอกหลอนเขาจนทำให้ไม่สามารถที่จะบินได้อีกเขากลัวการบิน นับแต่นั้นมา เขาจึงไม่เคยใช้ปีกบินอีกเลย และตอนนี้เขาเองกำลังร่วงลงสู่วังน้ำวนข้างล่าง หากแต่ เจนัสก็กระโจนลงมารับตัวพวกเขาทั้งสองเอาไว้ พร้อมกับ ท่องมนอัญเชิญจันทราศิลาจันทราอีกก้อนที่เขาได้ จากแอสต้าซึ่งห้อยคอเขาเอาไว้ก็ส่องแสงออกมา ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) สิ้นคำแสงจากศิลาก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ก้อนเมฆต่างพากันมาปกคลุมบริเวณรอบๆเอาไว้ ก่อนที่จันทราสีครามจะค่อยๆปรากฏขึ้นทั้งหมด เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะตกลงสู่กระแสน้ำวน จันทราสีคราม ที่เคยแช่แข็งผืนปฐพีของฟูดินัน ก็ยิงแสงเยือกแข็งลงมาที่น้ำวนนั้น จนมันแข็งและกลายเป็นพื้นน้ำแข็งแทนควันอเย็นที่เกิดจากการแช่แข็งลอยตลบอบอวลไปทั่ว เจนัสที่แบกพวกเขาไว้จึงกระโดลงบนพื้นน้ำที่แข็งตัวได้ ทันทีที่ถึงพื้น เขาก็ปล่อยตัวทั้งสองลง แต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรกระแสน้ำรอบๆก็เริ่มหมุนวนอย่างเร็วอีกครั้ง น้ำวน ได้ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเกาะทั้งบัดนี้ได้จมลงสู่ใต้ทะเลแล้ว น้ำทะเลทะลักถ่วมผืนป่าและพัดพา สัตว์และสิ่งมีชวิตบนเกาะลงสู่ก้นทะเลและจมหายไปบัดนี้พวกเขายืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางทะเล ทันทีที่ เกาะจมลงน้ำวันก็เริ่มหมุนแรงขึ้นอีกครั้ง จนแผ่นน้ำแข็งเริ่มแตกร้าว ช้าไม่ได้แล้ว ต้องรีบอะไรสักอย่างไม่งั้นเรานี้ได้จมน้ำตายกันหมดแน่ Lr กล่าวอย่างร้อนรน ไลท์ยังคงนิ่งเงียบจากการที่ความทรงจำอันปวดร้าวในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง งั้นก็ช่วยไม่ได้คงต้องแช่แข็งทั้งทะเลแล้วล่ะ เจนัสกล่าวจบก็เร่งพลังของศิลา จันทราสีคราม เริ่มยิงแสงอันเย็นยะเยือก ลงมาแช่แข็งผิวน้ำ แต่ด้วยว่าน้ำทะเลตอนนี้ถูกวนด้วยกระแสน้ำวนจึงทำให้การแช่แข็งช้าลง แต่ผืนน้ำก็เริ่มจะนิ่งและแข็งตัวเป็นแผ่นน้ำแข็ง แต่แล้วแผ่นน้ำแข็งก็เกิดสะเทือนทำให้การบังคับแช่เย็นสะดุด ลง เงาขนาดยักษ์เคลื่อนไหว อยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งที่พวกเขายืนอยู่ลำตัวของมันยาวมาก ราวกับมังกรก่อนที่มันจะกระแทกแผ่นน้ำแข็งจนสะเทือนอีกครั้ง แผ่นน้ำแข็งเริ่มร้าวจากสะเทือนพวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างล่างคืออะไร ได้คอยระวังการสะเทือนครั้งต่อไปแต่คราวนี้มันกลับเงียบหายไปเงานั้นได้ว่ายห่างจากออกไป พวกเขารู้สึกโล่งใจอย่างมาก แต่ไม่นานพื้นน้ำที่ไกลออกไป ก็ระเบิดน้ำพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็วก่อนจะตกลงมาราวกับสายฝน และร่างอันมหึมาของมังกรวารีขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง นี่..นี่มัน มังกรนี่นา Lr อุทาน แต่แล้วก็มีแสงจากดราก้อนฮอลลี่ ส่องวูบวาบออกมาราวกับมันกำลังอ่านคลื่นพลังหรืออะไรบางอยู่ แต่ก่อนที่จะได้ทันคิดอะไรมังกรตัวนั้นก็อ้าปากพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจของมันแหวกน้ำมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับพายุก็ไม่ปาน พวกเขาถูกแรงพายุพัดจนปลิวแต่เจนัสก็รั้งตัวพวกเขาทั้งคู่ไว้ ได้ทันก่อนจะกางกรงเล็บที่เท้าเพื่อยึดเกาะพื้นน้ำแข็ง จนแน่นดีแล้วจึงพยายามทรงตัวไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม มังกรนั่นคำรามออกมาอีกครั้ง และขณะเดียวกัน ดราก้อนฮอลลี่ก็หยุดส่งแสงกระพริบออกมา จากหน้าจอ เสียงพูดดังออกจากมัน พวกแกบังอาจปลุกข้าจากการจำศีล พวกแกต้องตาย เสียงนั้นดังออกมาจากดราก้อนฮอลลี่ แม้จะไม่อยากเชื่อแต่พวกเขาก็รู้แล้วว่า เจ้าเครื่องนี้ สามารถแปลภาษามังกรออกมาได้ จริงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้น Lr จึงคิดจะใช้มัน เป็นสื่อในการเจรจากับมังกรนั่น แต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไร เสียงคำรามของมัน ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่เสียงแปลจากดราก้อนฮอลลี่ ดังขึ้น Tidal Wave (คลื่นวารีคลั่ง (ซึนามิแหล่ะแค่เปลี่ยนให้มันดูดีหน่อย)) สิ้นเสียงมังกรตัวนั้นก็โจนลงสู่พื้นน้ำอีกครั้งจนเกิดคลื่นยักษ์ ถล่มเข้าส ู่แผ่นน้ำแข็งทั้งคุ๋จึงต้องเกาะตัว เจนัสอย่างแน่นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เจนัสเอากรงเล็บอีกสองมือเกาะยึดเอาไว้ด้วย เพื่อความมั่นใจ แต่ทว่าคลื่นยักษ์นั้นหามีเพียงระลอกเดียวไม่หากแต่มังกรนั่นมันโจน ขึ้นลงจนเกิดคลื่นยักษ์ ซ้อนกันหลายลูก บัดนี้คลื่นทุกลูก รวมตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่เทียมฟ้า ก็าซซซซซซซซซซซซ (จงจมหายไปกับคลื่นทะเลซะ) เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับที่พวกเขาถูกคลื่นพัด กระหน่ำแม้จะไม่ปลิวไปกับกระแสน้ำแต่คลื่นก็พัดจน แผ่นน้ำแข็งพลิกคว่ำ เจนัสเห็นเช่นนั้นก่อนที่แผ่นน้ำแข็งจะเอนลงเขาก็แกะกรงเล็บมือ ออกพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะกำหมัด ซึ่งเปล่งแสงออกมาจากการรวมพลังเวทย์ไว้ที่ กำปั้น Spell Fist สิ้นเสียง ทันทีที่กำปั้นกระแทกจน พื้นน้ำแข็ง ร้าวและแตกลง แรงจากการพุ่งตัวทำให้พวกเขาลอยตัวอยู่กลางอากาศชั่วครู่ก่อนที่แผ่นน้ำแข็ง จะเอนrลิกลง พวกเขาก็ข้ามไปอยู่อีกด้านที่พลิกขึ้นมาได้แล้ว ทันทีที่เจนัสลงถึงพื้นเขาก็คุกเข่าลงอย่างเหนื่อยอ่อน Lr เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปพยุงตัวทันที เฮ้นาย ไม่เป็นไรนะ Lr ถามด้วยความเป้นห่วง แต่เจนัสก็ส่ายหน้าเบาๆแทนการตอบ Lr จึงค่อยๆผ่อนตัวเจนัสลง ดจนัสเหนื่อยอ่อนมากจากการ ใช้พลังมนตราต่อเนื่องทั้งจากการอัญเชิญจันทรามาและการชกแผ่นน้ำแข็งเมื่อครู่อีกทั้งยังต้อง คงสภาพของจันทราเอาไว้ไม่เช่นนั้นแผ่นน้ำแข็งนี่ก็จะละลาย ก็าซซซซซซซ (Tempest Breath(พายุลมหายใจ)) สิ้นเสียงคำรามและเสียงจาก ดราก้อนฮอลลี่ มังกรนั่นก็อ้าปาก สูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรงจนพวกเขาแทบจะไถลไปตามแรงลม และเมื่อมันพ่นออกมาลมพายุพุ่งแหวกทะเลออกจาปากมันเหมือนตอนแรก แต่ทว่าคราวนี้เจนัสไม่มีแรงจะช่วยพวกเขาแล้ว ทั้งสามจึงถูกลมพัดตกทะเลและทันทีที่เจนัส ตกลงไปเขาก็หมดแรงที่จะคงสภาพของการอัญเชิญจันทราไว้ได้ จันทราสีครามจึงเริ่มสลายไปและแผ่นน้ำแข็ง ก็ละลายกลับเป็นน้ำดังเดิม ตอนนี้พวกเขาลอยคออยู่ในทะเลโดย ลอว์เรนช่วยพยุงเจนัสเอาไว้ ส่วนไลท์เองก็ว่ายผุดจมผุดลอยอยู่แต่ก็ไม่ได้จมน้ำลงไป ในตอนนี้เจนัสรู้สึกสงสัยกับการที่ทั้งสองพยายามจะช่วยเขาแต่ ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาให้คิดเมื่อเจ้ามังกรยักษ์กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะงาบพวกเขาลงทะเลไป ไลท์ Lr หันมากล่าวกับไลท์สีหน้าของทั้งคู่เคร่งเครียด อย่างหนัก แม้ไม่พูดเขาก็รู้ว่ามีเพียงทางเดียวที่พวกเขาจะ รอดนั้นคือทะยานสู่ท้องนภา แต่ไลท์ก็ส่ายหน้าเป็นเชิง ให้รู้ว่าเขาทำไม่ได้ Lr จึงให้เจนัสที่ยังคงมีสติอยู่แม้จะเหนื่อยอ่อน เกาะหลังเขาไว้ ส่วนเขาก็ว่ายไปหาไลท์แล้วเอามือทั้งสอง แตะไหล่ของไลท์ และจ้องตาของอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น สุดท้ายแล้วไลท์นายต้องทำให้ได้ตอนนี้นายเท่านั้นที่ช่วยเราได้ขอร้องล่ะ ไลท์ Lr กล่าวเสียงเข้ม แต่ไลท์กลับส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้หรอกฉันทำไม่ได้ Lr ฉันกลัว ทุกครั้งที่จะกางปีกมันก็แวบเข้ามาในหัว ฉันรู้นะว่าคราวนี้มันจำเป็นแต่ฉันทำไม่ได้ ลอว์เรนฉันทำไม่ได้ ฉันบินไม่ได้หรอก ไลท์กล่าวออกมาทั้งน้ำตา เขาไม่อาจเอาชนะความกลัวที่ฝังใจเขามาตลอดได้ ไลท์..... Lr กล่าวเสียงอ่อนลง แต่แล้วเจ้ามังกรนั่นก็พุ่งมาแม้พวกเขาจะว่ายหลบไปได้ แต่เขี้ยวของเจ้ามังกรนั่นก็ เฉี่ยวถูกขาของ Lr และขาข้างที่ถูกเฉี่ยวก็เริ่มมีน้ำแข็งเกาะ Lr เริ่มรู้ว่าตัวเขาเย็นลงขาของเขาเริ่มที่จะชา จนไม่มีแรง นี่เป็นผลจากพิษของ มังกรวารีนี้ ทั้ง Lr และเจนัสที่เกาะอยู่ด้วยเพราะไม่มีแรงจะว่ายน้ำ กำลังจะจมมิจมแหล่อยู่ ไลท์เห็นดังนั้นจึงหันไปสนทนากับเจ้ามังกรวารีให้ปล่อยพวกเขาไป กีซซซซซซ (ท่านมังกรวารีได้โปรดไว้ชีวิตเราด้วยเถอะ) ไลท์ขอร้องทั้งน้ำตาแต่เจ้ามังกรยักษ์ดูจะไม่ได้สนใจท่าทีของเขาเลย ก็าซซซซซซซซ (พวกเจ้าบังอาจมารบกวนข้า มังกรวารีผู้ยิ่งใหญ่ จอร์มอนการ์ด ผู้นี้แล้วคิดว่าจะรอดไปอีกเรอะ ฝันไปเถอะ) เจ้ามังกรยักษ์ตอบกลับ ทันทีที่ได้ยินชื่อของมังกร ตัวนั้นเขาก็นึกออกเขาเคยได้ยินจากครูอีสควอเทียว่า มันเป็นมังกรวารีแห่งตำนานที่อาศัยอยู่ ในน่านน้ำทะเลของแอนดิซองมันคือ มังกรจอร์มอนการ์ด (Jormungand, the Legendary Dragon) เขี้ยวของมันมีพิษที่ทำให้ร่างกายชาราวกับเป็นน้ำแข็ง อีกทั้งมันยังมีอำนาจในการสร้างน้ำวน มังกรตัวนี้ต้องใช้คาถาในการผนึกสะกดวึ่งจะทำโดย จอมเวทย์แห่งราชวงศ์แอนดิซอง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/34.jpg) กีซซซซซ (ทำไมกันเราไม่ได้ไปรบกวนอะไรท่านเลย ท่านนั่นแหล่ะที่มาระรานเราก่อน) ไลท์สวน ก็าซซซซซซซซซซ (อย่ามาปากแข็งยังไงซะพวกแกต้องตาย) มันคำรามตอบกลับก่อนสร้างคลื่นยักษ์ ไลท์หันกลับมาดูอาการของ Lr ตอนนี้ Lr ไม่มีแรงที่จะว่ายอีกแล้วไลท์จึงต้องช่วยพยุง ในใจเขาตอนนี้สับสนไปหมด หากเขาไม่บินพาทุกคนหนีเขาและทุกคนก็ต้องจมทะเลตายแต่หากเขาบิน ความเจ็บปวดฝังใจนั่นก็จะทำให้เขาต้องหวาดวิตก ตอนนี้เขาราวกับอยู่บนทางแยกสองทางเขาต้องรีบตัดสินใจในทันทีเพราะ วินาทีนี้คลื่นได้กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆแล้ว ถ้าเรามัวแต่กลัวอยู่อย่างนี้เราก็จะทำให้ทุกคนต้องตายไปด้วยนี่ เป็นทางเลือกที่ดีแล้วเหรอ ไลท์คิดในใจขณะที่กำลังตัดสินใจอยู่นั้น มโนภาพจากความทรงจำอันเจ็บปวดก็ได้แทรกเข้ามา แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะบินอีกครั้งทันทีที่สยายปีก ความเจ็บปวดของความทรงจำก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเขาแทบท้อใจแต่ทว่าในตอนนั้นมโนภาพนึงก็ผุดขึ้นมาในใจมันเป็นมโนภาพที่เขาจำได้แม้จะเรือนลาง เขาหันมามองหน้า Lr ที่เริ่มซีดเพราะผลจากพิษ ใช่แล้วในวันนั้น ขณะที่เขากำลังจะตกลงจากหน้าผาคนที่ มาช่วยเขาไว้ คนฝ่าพายุอันบ้าคลั่งเข้ามาจับมือเขาไว้ Lr ที่เป็นห่วงจึงออกมาตามหาเขาท่ามกลางพายุฝนในวันนั้น ทำให้เขาคืนดีกับ Lr อีกครั้งแต่ทว่าเป็นเพราะ ความกลัวที่เกือบจะทำให้เขาต้องปิดผนึกมันไปพร้อมกับความทรงจำอันดีนี้ด้วย ทันทีที่นึกได้เช่นเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปเขากระพือลาทั้งสองขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว โดยไม่กลัว แม้ทั้งสองจะหนักจนเขาแทบจะบินไม่ขึ้นแต่เขาก็พยายามจนสำเร็จพวกเขา ทะยานขึ้นสู่ฟ้าได้และหลบคลื่นยักษ์สำเร็จแต่ทว่า จอร์มอนการ์ดก็ตรงรี่เข้ามาหมายจะขย้ำพวกเขา มันอ้าปากกว้างและพุ่งเข้าทันใดนั้น ที่บนท้องฟ้าอันห่างไกลแห่งหนึ่งยานยนต์รูปร่างคล้ายมังกร ส่วนที่น่าจะเรียกได้ว่าพัง พืดของมังกรปีกของมันบางและใสราวกับกระจก มันบินด้วยความเร็วสูงอยู่เหนือน่านฟ้าจนแทบจะใกล้กับสรวงสวรรค์ ล่องที่ส่วนหัวของมันซึ่งเป็นเสมือนตาของมันเริ่มส่องแสงสีแดงออกมา ก่อนที่ สิ่งที่คล้ายกับปืนใหญ่กำลังจะรวบรวมพลังงานจนเกิดเป็นสว่างส่องวาบออกไปอย่างรวดเร็ว แสงนั้นตรงออกไปยังที่ที่พวกไลท์อยู่ แสงนั้นเข้าห่อหุ้มตัวเขาไว้ทำให้จอร์มอนการ์ดไม่อาจ ทำอันตรายพวกเขาได้ ดราก้อนฮอลลี่เริ่มปฏิกิริยากับแสงนั้น ไฟหน้าจอของมันเริ่มกระพริบอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงออกมา Down Load Tag เสียงของมันดังออกมาเป็นเสียงทุ้มต่ำราวกับเสียงเครื่องยนต์กลไกที่กระหึ่มเป็นเสียงออกมา Set Up Complease เสียงของมันดังอีกครั้งก่อนที่จะมีสัญลักษ์บางขึ้นบนหน้าจอ มันเป็นสัญลักษณ์ ประจำธาตุแห่งแสง ก่อนที่จะมีแสงสว่างวาบออกมาอาบร่างของพวกเขาไว้ ภายในเกราะกำบังที่ได้จากแสงที่พุ่งตอนแรก จอร์มอนการ์ดเริ่มสูดลมหายใจก่อนจะพ่นออกมาเป็นพายุ และทันทีที่พายุกระทบถูกเกราะกำบัง จนมันแตกสลายแสงก็จางลงพร้อมกับลมพายุที่แรงกว่าพัดต้านแรงลมที่มันพ่นออกมา จนสลายไปด้วยขนนก สีขาวที่หลุดออกมากับแรงลมร่วงโปรยปรายลง Lr และเจนัสต่งต้องประหลาดใจเมื่อพวกเขาอยู่บนหลัง ของมังกรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นมังกรที่มีรูปร่างคล้ายกับกริฟฟิน ขนของมันอ่อนนุ่มราวกับขนนกและเป็นสีขาวสะอาด ขาของมันเป็น นก กริฟฟิน ไม่เป็นไรนะ ทั้งสองคน เสียงของมันดังขึ้น แต่ Lr จำได้ว่านั่นคือเสียงของไลท์ ไลท์นั่นนายเองเหรอ Lr อุทาน อย่างไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง บัดนี้เพื่อนของเขากลายร่างเป็นครึ่งมังกรครึ่งกริฟฟินไปแล้ว แผลนั่นน่ะเดี๋ยวจะรักษาให้อยู่นิ่งๆนะ ไลท์หันมาดูที่ขาของ Lr และพ่นลมหายใจออกมา พิษที่อยู่ในร่างก็จางหายไปราวเวทมนต์ เขารู้สึกสดชื่นขึ้น ราวกับได้เกิดใหม่และปากแผลก็ปิดสนิทลงทันที ยอดไปเลย ขอบใจนะไลท์ Lr กล่าวขอบคุณ อืม ไม่หรอกที่ควรจะต้องขอบใจคือฉันต่างหากเพราะนายทำให้ฉันมีความกล้าที่พยายามจะบินอีกครั้งปาฏิหารย์เลยเกิดขึ้น ไลท์ตอบซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นรู้ แต่เพียงว่าอยู่ๆก็มีพลังพวยพุ่งออกมา และตอนนี้ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวเหมือนในตอนที่เขาเคยรวมร่างกับ Lr เพื่อเป็นทาลูคูส จงกล่าวนามของเจ้าออกไป..... เสียงนั้นดังขึ้นในหัวของเขา ซึ่งด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดทำให้เขาไม่ลังเลเลยที่จะทำตามนั้น ก็าซซซซซซซซ (เจ้าเป็นใครกันทำไมถึงได้มาขัดแข้งขัดขาข้า ข้าจะไม่ปล่อยแกไว้แน่จมทะเลลงไปซะ) จอร์มอนการ์ดคำราม ก่อนที่จะเริ่มสร้างคลื่นยักษ์อีกครั้ง เจ้ามังกรโอหัง โทสะของเจ้าจักทำให้ผู้คนเดือดร้อน ไลท์กล่าวออกมาโดยที่แทบจะไม่รู้สึกตัวเลย แต่น้ำเสียงของเขาทำให้ Lr กับเจนัสรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะราวกับเมื่อกี้นี้เค้าไม่ใช่ตัวของตัวเอง ก็าซซซซซซ (ไม่สนใครมันบังอาจต่อกรกับข้าต้องตาย) จอร์มอนการ์ดคำรามขณะที่กำลังผุดขึ้นมาจากน้ำ หึงั้นเราจะได้เห็นดีกัน จงฟังเอาไว้ข้าคือ มังกรกริฟ(Dragogriff) อิมซาน(Imsarn, the Shining Dragogriff) ทันที่กล่าวจบคลื่นยักษ์ก็ถูกสาดเข้ามาอิมซานจึงเริ่มรวบรวมพลังงาน จนทั้งร่างเปล่งแสง ความร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากร่าง Lr และเจนัสรู้สึกได้ทันทีจากการร่างอันเปียกโชกของพวกเราแห้งลงทันตา (http://image.dek-d.com/9/655530/9095985.jpg) Flash Flame สิ้นคำแสงพลังงานก็พุ่งออกมาจาก จงอยปากของ อิมซาน แสงนั้นแรงกล้าจนแผดเผาคลื่นยักษ์ที่สาดเข้ามาแห้งเหือด ไปในบัลดล แสงนั้นพุ่งตรงต่อไปอาบจอร์มอนการ์ด ผิวของมันร้อนและแห้ง จากการถูกแสงสาดใส่มันร้อนและเจ็บแสบระคายผิวราวกับถูกย่างทั้งเป็น มันทนไม่ได้จึงหนีหายลงทะเลไป คิดหนี รึ ฝันไปเถอะ อิมซานไม่รอช้ารีบรวมพลังอีกครั้งก่อนจะพ่นแสง ลงทะเลไปจนน้ำทะเลเดือดปุดๆ จอร์มอนการ์ดทนความร้อนไม่ไหวจนต้องดำลึกหายลงทะเลไป แค่นี้คงจะเข็ดไม่กล้ามารังควานอีกแล้วนะ อิมซาน กล่าว เฮ้ทุกคน เสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหลังพวกเขา วิลนั่นเองที่เรียกพวกเขา ..................... ............................. .................................. ด้าน ลากูน่า ที่บัดนี้ครึ่งสมิง แมวป่า สาวกำลังคิดจะจัดการเก็บเขาโดยชักปืนออกจากซอง ปืนของนาง เป็นปืนสั้น ที่มีช่องบรรจุกระสุนเป็นลูกโม่ ปากกระบอกปืนขนาดใหญ่และมีรู กระสุน 8รูด้วยกันซึ่งตรงกับตำแหน่งที่ลูกโม่กระสุนจะถูกใส่เข้าไปนางบรรจงใส่ลูกกระสุนเข้าไปในลูกโม่ของปืนแปดนัด ก่อนจะลั่นไกปืนยิงขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วกระสุนทั้ง 8 นัดถูกยิงออกมาพร้อมกันทั้งหมด ทันทีที่กระสุน พุ่งออกจากปืนมันก็กลายเป็นแสงพลังงานพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาก่อนจะเบนทิศมารวมกันที่ปลายทาง และระเบิดจนดังลั่นป่า แสงสีที่ส่องออกมาราวกับพลุก็ไม่ปานเสียงที่เกิดจากการระเบิดทำให้ลากูน่าสะดุ้งตื่น ด้วยความตกใจ เช่นกันพอๆกับที่พวกฝูงนก ในป่าพากันบินหนีไปด้วยความตกใจ ทันที่ เขาเห็นนาง เขาก็ตั้งท่าด้วยความหวาดระแวง แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจกับท่าทีของนาง เพราะนางพุ่งเข้ามาโอบกอดเขไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก โอ๋ๆเด็กดีตื่นแล้วเหรอจ้ะ นางกล่าวเสียงหวานทำให้เขางง ไปหมดหลังจากที่นางปล่อยเขานางก็แนะนำตัวทันที ฉันชื่อนีน่า(Neena)จ้ะ นางกล่าวเสียงใส ทำให้ เขารหน้าแดงด้วยความเขินอาย ผ..ผมชื่อ ลากูน่า ครับ เขาแนะนำตัว ลากูน่าเหรอยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ นางกล่าวพร้อมกับยื่นมือออกไปซึ่งลากูน่าเองก็ยื่มมือออกไปจับมือเพื่อเป็นการทักทาย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ลากูน่ากล่าว นางยิ้มให้อย่างเป็นมิตรทำให้เขาไว้วางใจนาง และทันทีที่เขาหันไปนางก็ยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย ฮึๆเซอร์เซสอีกไม่นานแล้วรอก่อนเถอะ... นางคิดในใจ โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า พวก Lr ได้พบกับวิลและแล้วพวกเขาก็ถูกวิลนำไปที่ เกาะร้างกลางทะเลอีกแห่งหนึ่งที่นั่นครูอีสควอเทีย คอยพวกเขา และแล้วพวกเขาก็ได้ทราบถึงเรื่องราวในอดีตของตนที่เกี่ยวข้องถึงกัน ละตำนานของพวกเขาก็เปิดฉากขึ้น..... พบกันในตอนหน้าบทที่ 16 ตำนาน Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 15 ด้วยความพยายาม จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไลท์! Post by: boy on April 30, 2008, 08:48:45 PM เนื้อเรื่องชักจะเหมือนดิจิม่อนเข้าไปทุกวินาที ตกลงนังนีน่ามันดีหรือเปล่าเนี่ย
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 15 ด้วยความพยายาม จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไ Post by: greamon on April 30, 2008, 09:54:08 PM แม้แค่คล้ายๆกันเอง อีกอย่างผมก็เป็นดิจิม่อนตัวนึงน้าอิอิ ;D
ส่วนนีน่าดีไม่ดีเดี๋ยวดูกันไปนะครับคงไม่กี่บทก็รู้แล้วล่ะ นี่ถ้าทรยศอีกคนเซอร์เซสไปเกิดใหม่เลยดีกว่ามีแต่ศิษย์ทรพี เหอๆๆ :D Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 15 ด้วยความพยายาม จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไ Post by: greamon on May 06, 2008, 07:07:29 PM มาแว้วบทที่16จ้า แหมรู้สึกว่าช่วงนี้นิยาย ผมเขียนแล้วมันโดดฉากไปมาเยอะยังไงๆก็ไม่รู้เนอะ ยังไงก็ทนเอ่หน่อยนะครับ
เพราะตัวละครมันอยู่คนละที่ละแหง่เลย ส่วนนิยายผมมีส่วนคล้ายดิจิม่อนเนี่ยรู้สึกแบล็คไวเซอรืก็จะได้แนว เดียวกับอังเคนิม่อนเลย เพียงแต่ของใช้เส้นผมกะดาร์คทาวเวอร์แต่ของเราใช้ขนนกกะดาร์คซีลก็พอถูไถเนอะ 5555+ ;D บทที่ 16 ตำนาน ณ ชายป่า อาณาจักรฟีเลเซียอันเป็นที่ตั้งบ้านของทิโมธีซึ่ง บัดนี้เขากำลัง สนทนาอยู่กับเกรเกอรี่ อยู่กันเพียงสองคนโดยไม่ได้มีทหารหรือใครตามมาให้การอารักษ์ขา แต่อย่างใดหากเป็นเพราะนี่เป็นการแอบมานัดพบกันของทั้งสอง ซึ่งนับตั้งแต่ที่พวกเขา แยกจาก พวก Lr เพราะอุบัติเหตุการระเบิดของพลังข้ามมิติ แต่โชคยังดีทีไม่มีใครโดนลูกหลงไปด้วย ซึ่งพวกเขาได้กลับกันมาจากฟูดินันก็นับเป็นเวลาสามวันแล้ว แล้ว ชาว์ล ไม่ได้มากับท่านด้วยเหรอ ทิโมธีเอ่ยถาม เขาพักรักษาตัวจากการปะทะกับพวก โฮลี่ไนท์แมร์ อยู่น่ะ เกรเกอรี่ตอบทำให้ทิโมธีหายสงสัยแต่ ดูเหมือนทิโมธีมีอะไรจะพูดกับเขาสักอย่างแต่ แล้วก็ตัดใจไม่เอ่ยปากแล้วออกคำสั่งให้ทินทอนไปยกชา มาบริการ ก่อนจะหันกลับไปถามเขา แล้ววันนี้ท่านมาหาเราทำไมล่ะ มีธุระอะไรรึ ทิโมธี ถามถึงธุระระหว่างที่เกรเกอรี่เองก็ กำลังวุ่นกับการรับถ้วยชาจากมือของทินทอน มือของมันสั่นไม่เลิกเหมือนกับระบบจะมีปัญหาขึ้นมากะทันหันก่อนที่จะล้มกราวลงไป หลังจากที่วางถ้วยชาลงบนโต็ะ ซึ่งทิโมธีก็รีบเข้าไปดูอาการของเจ้าหุ่นกระป๋องทันที อืมดูท่าทางน็อตจะหลวมไปหน่อยล่ะมั้ง ทิโมธีพึมพำขณะดูอาการของเจ้าหุ่นกระป๋อง ก่อนจะยกมันขึ้นไปวางบนโต็ะเครื่องมือ จัดแจงเอาเครื่องไม้มือเตรียมไว้ก่อน จัดรามือแล้วกลับมาสนทนากลับเกรเกอรี่อีกครั้ง เอาไว้คุยให้เสร็จก่อนก็ละกัน แล้วค่อยซ่อมนะ ทินทอน ทิโมธี กล่าวทิ้งกับเจ้าหุ่นที่ดูจะหยุดทำงานไปแล้ว งั้นก็มาคุยธุระกันให้เสร็จเลยละกันเพราะข้าเองก็ไม่มีเวลาแล้ว เกรเกอรี่ กล่าวก่อนที่บรรยากาศในห้องจะเริ่มตึงเครียดเพราะการสนทนา . .. ที่เกาะร้างกลางทะเลซึ่งไม่อยู่ในแผนที่ น่านน้ำรอบเกาะถูกปกคลุมด้วยหมอกและวังน้ำวน จึงไม่เคยมีเรือเข้ามาใกล้เกาะนี้ได้ และเพราะหมอกที่ปกคลุมทำให้แม้แต่เรือบินหรือสตว์พาหนะที่บินได้ก็ ไม่อาจฝ่าหมอกนี้ได้ แต่บัดนี้ พวก Lr ได้ขี่หลังของ เทลูมานามังกรแห่งนภา (Telumana, the Sky Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/48.jpg) บินข้ามทะเลหมอกและน้ำวนที่ปิดกั้นเกาะออกจากโลกภายนอก พวกเขาบินสูงเหนือน่านฟ้าด้วยความเร็วสูง และเทลูมานาก็ได้บินพาพวกเขาฝ่าน้ำตกของหน้าผาเกาะไป Lr เจนัส วิล และ ไลท์ต่างก็เปียกปอนจากการฝ่าน้ำตก ด้าน หลังน้ำตกเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่พอสมควร พวกเขาบินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทางยิ่งมืดลงๆ จนผ่านไปซักระยะพวกเขาก็เห็นแสงที่ปลายทางเมื่อบินออกมาพวกเขาก็ได้ เห็นสภาพภายในถ้ำ มีต้นไม้โตขึ้นเต็มไปหมด แสงจากโพรงบนเพดานถ้ำที่เว้นว่างอยู่ซึ่งเล็ดลอดลงมาตามช่องว่างของเถาวัลย ์ที่โตและปกคลุมเพดาน ถ้ำอยู่ส่องลงกระทบกับทะเลสาบเป็นประกายงดงาม ที่ต้นทะเลสาบมีน้ำตกขนาดย่อมไหลลงมา เสียงอันดังจากการกระทบของน้ำทำให้พวก Lr หาได้ไม่ยากเลย เทลูมานา ส่งพวกเขาลงเพียงแค่ตรงนี้ก่อนจะบินขึ้นผ่านร่องเถาวัลย์ ไปอย่างรวดเร็ว วิลเดินนำพวกเขาอ้อมทะเลสาบไป จนถึงชะง่อนหินขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมา จนถึงแอ่งน้ำตก บนนั้นมีมังกรชราตัวหนึ่งนั่ง อยู่ร่างของมันมีสีเขียวราวกับมรกต Lr และ ไลท์ยิ้มออกทันที เพราะเขาทั้งสองรู้จักกับมังกรชราผู้นี้ดี อีสควอเทียครูวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนังกรนั่นเอง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/46.jpg) .. ด้านลากูน่า ตอนนี้ลากูน่าและนีน่าทั้งสองได้เดินทางสู่หมู่บ้าน จากชายป่าที่เขา สลบอยู่ และในตอนที่กำลังจะผ่านประตูเข้าหมู่บ้าน ลากูน่าก็หยุดเดินเอาซะดื้อๆ ทำให้นีน่าอดสงสัยไม่ได้ มีอะไรเหรอลากูน่า เป็นอะไรไปน่ะ นีน่าถามด้วยความเป็นห่วง คือว่าเราจะเข้าไปจริงๆน่ะเหรอครับ หมู่บ้านของมนุษย์เนี่ย ลากูน่าพูดเสียงสั่นนิดๆ ด้วยความตื่นเต้น เอ๋ ก็ใช่สิจ้ะ ทำไมถามแปลกๆยังงั้นล่ะ นีน่ากล่างอย่างประหลาดใจในคำตอบของเขา ก็เราน่ะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ทั้งสมิงเลยนะครับขืนเข้าไปทั้งสภาพ แบบนี้เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นกันหมดพอดี ทางที่ดีผมว่าเรารีบกลายร่างเป็นสัตว์ก่อนจะมีใครมาเห็นดีกว่านะครับ ลากูน่ากล่าวอย่างรีบร้อนคอยหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าไม่ใครเห็นพวกเขา นีน่า เห็นเช่นก็อดหัวเราะไม่ได้ ทำให้ลากูน่ารู้สึกงง กับท่าทีของนาง คือว่านี่นะ ลากูน่าไม่ต้องกังวลหรอกเพราะที่นี่น่ะ . นางยังกล่าวไม่ทันจบก็มีเสียงของหญิงชราดังมาซึ่งนั่นทำให้เขาเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที อ้าวนีน่า สบายดีมั้ยจ้ะ แล้วนั่นใครน่ะ คนรักของหนูหรือจ้ะ ฮิๆ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง เสียงนั้นดังมาจากข้างหลังเขา เมื่อเขาหันไปเขากลับต้องประหลาดใจมากกว่าเดิม เมื่อเจ้าของเสีงกลับเป็นหญิงชราที่เป็นครึ่งสมิงด้วย นางเป็นครึ่งสมิงหมี ขณะที่เขากำลังประหลาดใจอยู่นั่นเอง ก็มีเด็กชายครึ่งสมิงหมาป่าที่อายุราว 5 ปี 4 คนวิ่งเล่นผ่านพวกเขาไป และยังไม่ทันไร ก็มีชายสูงอายุอีกคนเดินสวนมาเช่นกันเขาเองก็เป็นครึ่งสมิง โดยที่เขาควงมือกับมนุษย์หญิงสาวมาด้วย อ้าวไง นีน่า ไม่เจอกันซะนานเลยนะนี่ กลับมาจากการเดินทางแล้วเหรอ ชายครึ่งสมิงคนนั้นเดินเข้ามาคุยกับนาง อ๋อค่ะพึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เองค่ะ นีน่ากล่าวตอบ แหม หนูนีน่า นี่ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะ แล้วนั่นพาใครมาด้วยจ้ะ คนรักเหรอ แหมแต่ดูเหมือนน้องชายมากกว่านะจ้ะ หญิงที่เดินมากับชายครึ่งสมิงเมื่อครู่เข้ามาทักบ้าง นางมองลากูน่าอย่างเอ็นดู อ๋อนี่น่ะค่ะฉันเจอเขาระหว่างทางเห็นว่าผลัดหลงกับพี่ชายก็เลยพามาด้วยน่ะค่ะ นีน่า ตอบ ทำให้พวกชาวบ้านเปลี่ยนท่าทีด้วยความเห็นใจ โถๆๆ หนูคงเหงามากเลยสินะ ขอให้เจอพี่ชายไวๆนะ หญิงชรากล่าวก่อนจะจากไป นะนี่มันอะไรกันครับเนี่ย ลากูน่าหันมาถาม นีน่า ในใจเขาตอนนี้สับสนไปหมดแล้ว นีน่าเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มๆเพราะกับตอบกลับไป คือว่าก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะ นี่คือหมู่บ้านที่ครึ่งสมิงและมนุษย์อยู่รวมกันยังไงล่ะ นีน่าตอบ แต่แล้วลากูน่ากลับรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของนางมากกว่า ต..แต่ว่าครึ่งสมิงน่ะไม่น่าจะเหลืออยู่ในทวีปเมอริเซียแล้วนี่นา ลากูน่ากล่าวอย่างตกตะลึง แหงสิก็ที่นี่น่ะมันนอกทวีปเมอริเซียแล้ว นีน่ากล่าว .. อาจารย์ อีสควอเทีย กีซซซซซซ (อาจารย์ อีสควอเทีย) Lr และ ไลท์อุทานอกมาพร้อมกันด้วยความดีใจ ก็าซซซซ (ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทั้งคู่เลย) อีสควอเทียกล่าวต้อนรับก่อนจะกระโดลงมาจากชะง่อนหิน ลงมาตรงหน้าพวกเขา ครูรอพวกเธออยู่นานแล้วล่ะ เอาล่ะมาทานอะไรกันก่อนสิ อีสควอเทียกล่าวจบก็เดินนำพวกเขาไปทางด้านป่าที่โตในถ้ำแห่งนี้ ต้นไม้ทุกต้นล้วนมีผลไม้ชนิดที่ไม่เคยเห็นลูกใหญ่ขึ้นเต็มไปหมดทั้งต้น กีซซ กีซ (Lr ไลท์) เสียงดังมาจากทางทะเลสาบ เมื่อพวกเขาหันไปก็เห็น นอฟฮอฟแบกปลา มาเต็มไม้เต็มมือ ไปหมดซึ่งปลาพวกนีก็คงจะจับมาจากน้ำตกที่พวกเขา เพิ่งเดินมา นอฟฮอฟ Lr กล่าาวพร้อมกับเข้าไปช่วยถือปลาไว้และแบกมาวางลงตรงหน้าพวกเขา เอาล่ะจ้ะมาทำอาหารกันเลยนะจ้ะ เสียงของอีสควอเทีย สะท้อนเข้าไปที่ ดราก้อนฮอลลี่ และถูกแปลออกมาแม้ ทุกคนจะชินแล้วก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดีแต่ที่แปลกกว่าก็คือทั้งที่อีสควอเทียไม่เคยได้เห็นหรือได้ยิน เกี่ยวกับดราก้อนฮอลลี่แท้ๆแต่ดูเหมือนอีสควอเทียจะไมได้ แปลกใจเลย แรกๆเขาก็คิดว่า อีสควอเทียคงจะไม่ได้ยิน แต่แล้วไลท์ก็อดสงสยไม่ได้จึงได้ถามขึ้น เอ่อคือ อาจารย์จะไม่ถามหน่อยเลยรึครับ เรื่องเจ้าสิ่งนี้น่ะ แล้วก็เรื่องของเค้าคนนี้ด้วย ไลท์กล่าวขณะที่ชี้ไปยัดราก้อนฮอลลี่ทางชี้ไปที่ เจนัสทาง ทำไมล่ะ อาจารย์เองก็ไม่สงสัยอะไรซะหน่อย อีสควอเทียตอบ แต่แล้วคำตอบขงเขาดูจะทำให้พวก เค้างง ซะมากกว่า โอ้ตายจริงสงสัยอาจารย์คงต้องเล่าให้ฟังแล้วล่ะ แต่หลังทานอาหารเสร็จนะ อีสควอเทียกล่าวจบ ก็แยกไปเตรียมอาหารทันที ทิ้งไว้แต่เพียงความสงสัยให้กับพวกเขา งั้นก็หมายความว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ ทิโมธีกล่าว ก่อนจะยกถ้วชาขึ้นมาจิบชาอึกใหญ่ มีความเป็นไปได้สูงมากเพราะถึงขนาดให้เหล่าแม่ทัพทั้ง 12 ส่วนหนึ่งถอนกำลังมาที่ฟูดินันเลย เกรเกอรี่กล่าว ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่ดู ทิโมธีจะไม่ค่อยสนใจต่อท่าทีของเขาเลยกับนั่งจิชาต่ออย่างเฉยเมย ทำให้เกรเกอรี่แกล้งกระแอ่มไอขึ้นเพื่อเรียกเขาทำให้ ทิโมธีรีบวางถ้วยชาทันที อ..เอ่อโทาที เล่าต่อเลย ทิโมธี กล่าวอย่างระสับระส่ายก่อนจะวางถ้วยชาลง เกรเกอรี่จึงเริ่มกล่าวต่อ เราคิดว่า จะเริ่มระดมพลกันซักที เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกมันคืออะไรกันแน่ เกรเกอรี่ กล่าว แล้วท่านรายงายเรื่องนี้ให้เบื้องบนได้ทราบรึยัง ทิโมธี กล่าวถาม แต่แล้วเกรเกอรี่ก็มองซ้าย มองขวา ก่อนจะลุกขึ้น เขยิบเข้าไปกระซิบที่หูของทิโมธี เป็นสัญญาณว่าเรื่องที่จะพูดกันต่อจากนี้สำคัญมาก ทิโมธีจึงรีบลุกไปปิด หน้าต่างและประตูทั้งหมดก่อนจะกลับมานั่งที่ เราคิดว่าในตอนนี้ เบื้องบนดูแปลกๆอยู่อาจมีหนอนบ่อนไส้ เลยยังไม่ได้แจ้งไป เกรเกอรี่กล่าว แล้วอะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้น ทิโมธีกล่าว เพราะเมื่อวานตอนทีเราจะเข้าแจ้งเรื่องนี้ต่อท่านมหากษัตริย์ เราได้เห็นคนที่เราไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้น่ะสิ เกรเกอรี่กล่าวเสียงเบา ใครล่ะ ทิโมธีกล่าวเขาเริ่มรู้สึกรำคาญกับท่าที ระแวงเกินขีด ของเกรเกอรี่เต็มทนทั้งที่ ที่นี่ก็อยู่ห่างจากเมืองั้งไกลแถมยงมีประตูกับหน้าต่างที่เขาออกแบบมาอย่างดี ที่แม้แต่เสียงยังเล็ดออกไปไม่ได้ สาเหตุที่เขาต้องทำซะหนาแน่นขนาดก็มา จากการที่อยู่ระหว่างการทดลองหากผิดพลาดจนเกิดเสียงระเบิดชางบ้านจะได้ ไม่ต้งแตกตื่นเพราะจะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกไปเลย ก็คนที่เราเคยเจอตอนที่ เดินเอาเครื่องสื่อสารไป กระจายให้กองกำลังที่อยู่ด้านนอกทวีปน่ะสิ เกรเกอรี่กล่าวได้เพียงเท่านั้นทิโมธีก็เริ่มมีอาการตึงเครียดทันที ใช่หมอผีที่ใส่ชุดเกราะดำนั่นรึเปล่า ทิโมธีกล่าว ซึ่งเกรเกอรี่เองก็พยักหน้าตอบ สีหน้าของทิโมธี เปลี่ยนไปทันที เขาเริ่มหวาดระแวง แล้วนี่เราจะไม่เป็นะไรกันเลยเหรอหากว่ามันเข้ามาได้แล้วปานนี้ทั้งอาณาจักรเองก็คงตกเป็นของพวกมันแล้ว ทิโมธีกล่าวอย่างร้อนรน ใจเย็นๆก่อน สิ เกรเกอรี่กล่าวเตือนสติทำให้ทิโมธีเลิกร้อนรนได้ และกล่าวต่อทันที ฟังนะเราคิดว่าจะสั่งรวมพลโดยที่ไม่แจ้งใหทางเบื้องบนทราบ เกรเกอรี่กล่าว แล้วท่านจะทำยังไง คราวก่อนที่เราไปกันโดยไม่บอกไม่กล่าวก็เล่นเอาวุ่นกันซะให้หมดทั้งอาณาจักรจนแทบจะ เกิดสงครามความขัดแย้งกันเลยนะ ดีที่ว่าคราวก่อนเรากลับมาทันพอดี ขืนท่านหายตัวไปอีกทีคราวนี้มีหวังได้ถูกจับไปสอบแน่ ดีไม่ดีพวกนั้นมันจะหาข้ออ้างมาสังหารเราก็ได้ ทิโมธี กล่าว ก็เพราะยังงี้ไงเราถึงได้จะหาตัวแทนที่จะไว้ใจให้ส่งสารให้เราได้โดยที่ไม่มีใครสงสัย เกรเกอรี่อธิบาย แต่ทิโมธีถึงกับวิตกเลยทันที นี่คงไม่ได้หมายความว่าจะให้ข้าไปคนเดียวหรอกนะ ทิโมธีกล่าวเสียงครือ ในใจเขาเอาแต่กลัวคำตอบที่จะได้ยิน จะเป็นไปได้ยังไงเล่า เจ้านักน่ะเป็นประดิษฐ์ ที่สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงแห่งฟีเลเซียเชียวนะขืน พระองค์มาหาเจ้าแล้วไม ่เจอเดี๋ยวก็ได้วุ่นวายกันไม่ต่างจากเราไปหรอก เกรเกอรี่กล่าวทำให้ทิโมธีเบาใจลง ก่อนจะเริ่มรู้สึกสงสัยถึงสาเหตุที่นัดมาวันนี้ เลยตัดสินใจถามโดยไม่แม้แต่จะตริตรอง แล้วจะให้ใครไล่ะ คงไม่ได้มาหาเพราะแค่จะมาเล่าแค่นี้หรอกนะ ทิโมธีกล่าว อืมอันที่จริงก็คิดเอาไว้แล้วล่ะ ที่จริงเราว่าจะถามเค้าตอนไปฟูดินันพอดีแต่ว่าเกิดเหตุซะก่อนเลยไม่ได้ถามเขาเลย ก็เลยจะให้เจ้าช่วยหน่อยน่ะ เกรเกอรี่กล่าว ช่วยอะไรล่ะ ทิโมธีถามอย่าง งงงวย .. . .. เอาล่ะทุกคนตามอาจารย์มาทางนี้เลย อีสควอเทีย กล่าวจบก็เดินนำพวกเขาที่พึ่งทานอาหารเสร็จไป ออมไปตามทะเลสาบย้อนกลับไปยังน้ำตก พวกเขาเดินตามไปเรื่อยๆระหว่างทาง ไลท์ก็เที่ยวถามนอฟฮอฟกับวิล พวกนายมาที่นี่ได้ยังไง แล้วอะไรที่อาจารย์จะให้ดูล่ะ ไลท์ถาม พวกเราพอฟื้นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้วจำอะไรไม่ได้หรอก วิลตอบ อีกอย่างอาจารย์เองก็เป็นคนบอกให้วิลออกไปตามพวกนายด้วย ดูเหมือนอาจารย์จะรู้ไปซะหมดเลยว่าพวกเรา ทำอะไรอยู่ อย่างกับว่าอยู่ด้วยกันกับพวกเราตลอดงั้นแหล่ะ นอฟฮอฟ กระซิบขณะที่คอยดหลือบไปมองว่า อีสควอเทียได้ยินที่พวกเขาสนทนากันหรือไม่แต่ดูถ้าว่า อีสควอเทียดูจะไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเลย ในระหว่างที่เดินไปยังน้ำตก แล้วเรื่องบิชอปที่ชื่อเกรเกอรี่น่ะ พวกนายสองคนเล่าให้อาจารย์ฟังรึยัง Lr ถามบ้าง ทั้งสองไม่ตอบได้แต่ส่ายหัวไปมาแทน พวกเรายังไม่ทันจะได้เล่าด้วยซ้ำอาจารย์เค้าก็พูดออกมาเองเลย ใช่มะนอฟฮอฟ วิลกล่าวจบก็โบ้ยไปให้ นอฟฮอฟ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 15 ด้วยความพยายาม จงทะยานสู่ฟากฟ้า ไ Post by: greamon on May 06, 2008, 07:07:45 PM “ อืม อาจารย์แกบอกเองเลยล่ะ ว่าเรื่องที่อาจารย์เข้าใจผิดว่าบิชอปเป็นคนที่สังหารพ่ออาจารย์น่ะ เค้ารู้หมดแล้ว ”
นอฟฮอฟตอบ ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิมกับ ท่าทีของอาจารย์พวกเขาที่รู้ไปซะหมดว่าพวกเขาไปทำ อะไรมาได้ฟังอะไรมา ได้อย่างเหลือเชื่อ พวกเขาเดินตามอีสควอเทียจนมาหยุด ที่หน้าน้ำตกซึ่งอีสควอเทียกำลัง คำรามบทสวดอะไรบางอย่าง สักพักที่ผิวน้ำตกก็เริ่มประกฎภาพออกมาโดยมีเส้นแบ่งภาพบนจอน้ำตก ออกเป็นสามสถานที่ ในนั้นพวกเขา เห็น เฟินกอลโล ว่ายอยู่ในแมน้ำที่ไหนซักแห่ง อีกภาพ นิทินโคกับ เอิธ์ท กำลังวิ่งตามเด็กอยู่ในเมืองไหนซักเมือง และอีกภาพเป็นเด็กชายครึ่งสมิง ที่มีผมสีเงิน ซึ่งคนที่มีปฏิกิริยากับภาพนี้ที่สุดดูจะเป็นเจนัสนั่นเอง “ นิทินโค เฟินกอลโล เอิธ์ท ” Lr และพวกลูกมังกร อุทานขึ้นด้วยความตกใจ “ ลากูน่า ” เจนัสเองก็ พึมพำขึ้นมาเบาๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือภาพของพวกเขาทุกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่กำลังสะท้อนอยู่บน น้ำตก “ นี่ก็คือ น้ำตกแห่งกานหยั่ง รู้อันเป็นสมบัติล้ำค่าของวิหารแห่งปราชมังกรแห่งนี้ยังไงล่ะ ” อีสควอเทียอธิบาย ให้พวกเขาฟังซึ่งตอนนี้พวกเขาต่างก็เข้าใจแล้วว่าที่อีสควอเทียรับทราบเรื่องราวหรือการกระทำของ พวกเขาได้ทั้งหมด มันมาจากการที่อาจารย์คอยเฝ้าดูพวกเขาผ่านน้ำตกนี่จากถ้ำแห่งนี้ “ หลังจากที่ครูออกมาจากมิติมังกร ครูก็มาเก็บตัวอยู่ที่นี่แล้วก็คอยมองดู ความเป็นไปของชะตากรรม ” อีสควอเทียกล่าวก่อนจะหันไปหาพวกเขาแล้วเริ่มอธิบาย “ พวกเธอเคยสงสัยบ้างมั้ย เรื่องศิลามังกรที่หมู่บ้านของพวกเรารักษาปกปักษ์มันไว้ รวมไปถึงอัศวินมังกรที่โพล่มา ตอนพวกเธอกำลังลำบากน่ะ รวมถึงมังกรกริฟฟินนั่นด้วย ” ในตอนท้ายนางก็ลากเสียงยาว พวกเขาเริ่มที่จะอยากรู้ขึ้นมาแล้ว ว่าตลอดมามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอะไรคือสาเหตุ ที่พวกเขาต้องมาร่อนเร่จากบ้านจากครอบครัวมา ทั้งหมดไม่ได้ตอบอะไรแต่คอยที่จะรับฟังเรื่องราวจากปากของนาง “ ตกลงสินะ ” นางกล่าว ทุกคนพยักหน้าเบาแทนการตอบนางจึงเริ่มเรียงลำดับสิ่งที่จะพูดก่อนจะกล่าว “ งั้นก่อนอื่นขอเล่าถึงประวัติของถ้ำนี้ก่อนละกัน อันที่จริงถ้ำนี่น่ะเป็นวิหารที่สร้างโดยปู่ของอาจารย์เอง และอาจารย์ก็ได้รับสืบทอดมันมา ในสมัยก่อนพวกเราชาวปราชมังกร(Elder Dragon)จะใช้ที่นี่ เป็นที่ทำนายดวงชะตาและคอยเฝ้ามองโลกภายนอกโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันแต่จนบัดนี้ปราชมังกรส่วนใหญ่ก ็เริ่มจะเปลี่ยนไปประจำในโรงเรียนมังกร(Dragon Academy)บ้างหรือไม่ก็เป็นที่ปรึกษาสภามังกรสวรรค์บ้าง ” นางอธิบายจบก็เริ่มร่ายบทสวดอีกครั้งก่อนที่ทั้งถ้ำจะเริ่มมืดลงแม้พวกเขาจะมีอาการตกใจเล็กน้อยแต่นางก็ยังคงอธิบายต่อ ทันทีที่ภาพเริ่มปรากฏ “ เอาล่ะภาพต่อจากนี้ไปคือตำนานของศิลามังกรที่ถูกปกปักษ์อยู่ จะให้พวกเธอได้สัมผัสกับมันราวกับอยู่ในเหตุการณ์จริงเลย ” นางกล่าวจบ ทั้งห้องก็มืดลงจนในที่สุดก็ไม่สามารถมองอะไรเห็นได้ ....................................... .................... ......... “ หมายความว่าตอนนี้เราอยู่นอกทวีปเมอริเซียเหรอครับ ” ลากูน่ากล่าวอย่างร้อนรน “ จ้ะ ถูกแล้วที่นี่น่ะคือแหลมทวีป คาดาร่า นะ ” นีน่ากล่าวอย่างยิ้มแย้ม ทำให้ลากูน่ารู้สึกแปลกๆจน ลืมเรื่องสถานที่ไป เขารู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของเฮมากขึ้น เรื่อยทุกๆครั้งที่เธอยิ้มให้ เขารู้สึกเหมือน เขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก “ มาเถอะเราเข้าไปในเมืองกัน ฉันจะซื้อเสื้อให้เธอนะปล่อยไว้ยังงี้ เดี๋ยวเธอเป็นหวัดแน่ ” นางกล่าวจบก็ลากเขาไปทันที “ อ..เอ่อ ม..ไม่ต้องก็ได้ครับรบกวนซะ...เหวอ ” ลากูน่ายังไม่ทันที่จะปฏิเสธจบนางก็ลากเขาไปอย่างเร็วซะจน เขาเองยังแปลกใจเลยว่าทำไม หล่อนถึงแรงเยอะขนาดนี้ทั้งๆที่ขนาดเทอเรี่ยน(Therion) 5 ตัวมาลากเขา เขายังสามารถกระชากจนพวกมันล้มระเกะระกะ ไปได้ทั้งหมดในตอนที่พวกเขาสองพี่น้องรับการฝึกกับเซอร์ส แต่นางกับฉุดเขาไปได้ราวกับเขาไม่ได้ออกแรงสวนการฉุดเลย นางลากเขามาจนถึงร้านเสื้อ ทันทีที่ เข้าไปในเจ้าของร้านก็ทักทายเธออย่างสนิทสนมทันที “ อ้าวนีน่า เป็นไงสบายดีมั้ยวันนี้พาหนุ่มที่ไหนมาล่ะนี่ ฮ่ะๆ ” เจ้าของร้านทักทายอย่างเป็นมิตร “ วันนี้ขอรบกวนหน่อยนะคร้า~~~~ ” นางลากเสียง เล่นทำให้เจ้าของร้านอดหัวเราะไม่ได้ “ โฮ่โฮ่ ยังสดใสร่าเริงเหมือนเดิมเลยนะ เอ้าเชิญเลยวันนี้มีสินค้าใหม่ส่งมาจากแอนดิซองด้วยนะจะลองหน่อยมั้ย ” เจ้าของร้านกล่าว “ อ๋องั้นดีเลยค่ะ ขอให้เด็กคนนี้ลองหน่อยละกันนะคะ ” นางกล่าวจบ เจ้าของร้านก็เดินเข้าไปหลังร้าน เพื่อไปหยิบ สินค้า “ เอ่อคือว่าเรื่องเสื้อผ้านี่ไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ ” ลากูน่ากล่าว แต่แล้วเขาถูกนางตบหลังเบาๆ นางยิ้มส่งให้จนเขาหน้าแดงด้วยความเขินอายอีกครั้ง “ ได้ไงขืนให้เธอเดินไปกับฉันในสภาพที่ใส่แต่กางเกงอย่างเดียวก็เสียชื่อ ราชินีแห่งอาภรณ์ กันพอดี ” นางกล่าวเสียงใส แต่ทว่าลากูน่าเรอ่มรู้สังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ว่าจากนี้ไปเขาคงถูกจับทำเป็นต็กตาให้หล่อนเล่นแต่งตัวเป็นแน่ แต่เขากลับรู้สึกว่าเคยเห็นนิสัยอย่างนี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อนแต่ระบุไม่ได้ .......................................... ............................. .............. “ นานมาแล้วได้มีสงครามระหว่างทูตสวรรค์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสงครามระหว่างเทพกับคนบาป ” เสียงอันหาที่มาไม่ได้ดังขึ้น ในขณะที่พวกเขาทั้ง 5 ยืนอยู่ในความมืดรอบตัวพวกเขา เหล่าทูตสวรรค์กำลังรบกับ ปีศาจและเหล่ามังกร “ ในสงครามครั้งนั้นเหล่าคนบาปได้ชักจูงมังกรไปเป็นพวก แต่ทว่ามังกรขาว ” ทันทีที่สิ้นเสียงนั้นภาพรอบตัวพวกเขาแปรสภาพอีกครั้ง ต่อมาภาพมังกรที่เคยรบกับทูตสวรรค์ ก็ได้เปลี่ยนฝ่ายไปอยู่กับฝ่ายทูตสวรรค์เอง “ ได้ทำการแปรพักมาอยู่ข้างพระผู้เป็นเจ้าและเหล่ามังกรอื่นๆก็ตามมาเว้นแต่มังกรดำที่ยังคงรับใช้เหล่าคนบาปต่อไป ” เสียงนั้นก้องขึ้นก่อนที่ภาพจะเริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง ครวานี้เป็นภาพเหล่ามังกรดำที่ถูก ขับไล่โดย ทูตสวรรค์ที่ทรงมังกรกายสีทองอยู่ “ องค์อิสราเฟลอันเป็นเทพผู้คุ้มครองเหล่ามังกรได้ทำการขับไล่พวกมังกรดำที่กระทำผิดให้ไปอยู่ส่วนลึกสุดของมิติมังกร และได้รับสั่งไว้ ให้มังกรดำที่ไม่ได้กระทำผิดรุนแรงเป็นผู้เฝ้าดูแลผนึกนี้ พร้อมกับจัดที่อยู่ให้ในมิติที่ใกล้ๆกันกับมิติที่ผนึก เอาไว้เพื่อให้พวกเขารับผิดชอบดูแล จนต่อมาได้เป็นที่อยู่อาศัย ของเหล่ามังกรดำในมิติมังกรหรือหมู่บ้านมังกรมืดนั่นเอง (Dark Dragon Village) ” เสียงนี้ดังขึ้นพร้อมกับภาพร่างการแบ่งมิติมังกรที่พวกเขาเคยเห็นในโรงเรียน “ ต่อมาได้กำเนิดอัศวินมังกรนามทาลิวิลย่าอันเป็นอัศวินมังกรแท้คนแรก ” ภาพต่อมาที่พวกเขาได้เห็นก็คือภาพของ อัศวินมังกร ที่ยืนอยู่บนซากของเทียแมต ซึ่งภาพนี้นอฟฮอฟพยายามจะเลี่ยงสายตาไป แต่ทุกคนก็ไม่ได้มีใครสังเกตเพราะต่างก็จับจ้องอยู่ที่ภาพนั้น “ ศิลามังกรอันแข็งแกร่งที่ฝังในตัวเขาได้ถูกนำมาไว้ ที่วิหารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสักการะเขาหลังจากเขาได้ตายลง ” ภาพรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนเป็นภาพวิหารที่กำลังอยู่ระหว่างการสร้าง “ และได้มีคำทำนายกล่าวเอาไว้ว่า อัศวินมังกรทาลิวิลย่า จะจุติลงมาอีกครั้งเพื่อต่อกรกับเหล่าคนบาปและฝูงมังกร ที่รับใช้คนบาปเหล่านั้นจะถูกปลดปล่อยมาเพื่อยับหยั้งเค้า ” ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง เป็นภาพวาดที่พวก Lr เคยเห็นในวิหารมังกรที่มิติมังกร มันเป็นภาพของอัศวินมังกร 6 ตน กำลังต่อกรกับเหล่าปีศาจ “ โดยในครั้งนี้เขาไม่ได้สู้เพียงลำพังหากแต่จะมีร่างของอัศวินรับใช้ 6 องค์ร่วบรบด้วยหากแต่ผู้ที่เป็นร่างอวตาร จำเป็นจะต้องเข้าใจถึงพลังที่จะต่อกรกับเหล่าคนบาป ” ภาพต่อมาคือภาพวาดที่วาดอยู่บนฝาผนังในวิหารที่พวก Lr เห็นเช่นกัน มันเป็นภาพร่างของอัศวินมังกรที่ประจำอยู่ใ นวิหารแต่ละธาตุอันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และ ความมืด “ โดยเงื่อนไขของผู้ถูกเลือกให้เป็นร่างอวตารจำเป็นที่จะต้อง รวบรวมดาบและโล่ซึ่งจะเป็นพลังในการรบให้กับเขา ” สิ้นเสียงรอบตัวพวกเขาก็มืดลงอีกครั้งก่อนจะกลับมาสู่ ถ้ำน้ำตกอีครั้ง “ อาจารย์ครับ ตะกี้นี้ มัน.... ” Lr หันไปถามด้วยความตื่นตระหนก สิ่งที่พวกเขาได้พบมามันแทบจะอธิบายไม่ได้พวกเขาราวกับเข้าไปเป็นส่วน หนึ่งของเหตุการณ์ทันทีที่จะถามก็ถูกห้ามไว้ “ อาจารย์เข้าใจว่ามันยากที่จะเชื่อแต่ว่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานที่เล่าต่อกันมาเท่านั้น และศิลาที่หมู่บ้านเหล่ารักษา ไว้มันก็คนละอันกัน เพราะฉนั้นเธอไม่ต้องตีโพยตีพายไปหรอก ” นางกล่าว ทำให้ Lr ใจเย็นลงและเริ่มทบทวนเหตุการณ์อีกครั้งก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แวบหนึ่งที่เขาคิดไปว่าตัวเขาคือผู้ถูกเลือกให้เป็นร่างอวตารของอัศวินมังกรแห่งตำนาน แต่เมื่อมาคิดดูแล้วศิลานั่นไม่ใช่ศิลาอันที่กลายเป็นดราก้อนฮอลลี่แน่เพราะมันเป็นศิลาของมิติมังกร ไม่มีทางเป็นของที่วิหารสักการะอัศวินมังกรอยู่แล้ว อีสควอเทียจ้องมองท่าทีของเขาด้วยสายตา แฝงเลศนัย “ เอาล่ะงั้นต่อไปก็คราวนี้อาจารย์จะเล่ารายระเอียดเกี่ยวกับผู้บุกรุกโจมตีหมู่บ้านและสถานณการตอนนี้ ให้ฟัง ” อีสควอเทียกล่าวจบทุกคนก็หันมาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “ เรื่องนี้น่ะสาเหตุมันเริ่มมาจากเมื่อ 8 ปีก่อนแล้วล่ะ ” นางกล่าวจบ พวก Lr ก็ปฏิกิริยาเล็กน้อย รวมทั้งเจนัสด้วยเช่นกัน อีสควอเทียประเมินทีท่าของพวกเขาดู ก่อนจะเล่าต่อ “ เรื่องในส่วนนี้น่ะนะฉันจะไม่พูดในบางส่วนนะเพราะบางเรื่องบางคนก็คงไม่อยากให้รู้เหมือนกันจริงมั้ย ” นางกล่าวก็จะเชยตามองไปยังนอฟฮอฟชั่วครู่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นแต่ก็ไม่มีใครคัดค้านแต่อย่างใดเพราะต่างก็ พอจะเข้าใจว่าในกลุ่มพวกเขา Lr คงจะสะเทือนใจที่สุด แต่เขาก็กลับบอกไปว่าไม่เป็นไร อีสควอเทียจึงเริ่มเล่าต่อ “ คิดว่าพวกเธอคงได้ฟังจากปากของบิชอปเกรเกอรี่แล้วสินะเรื่ององค์กรที่กำลังก่อความวุ่นวายไปทั่วทั้งเมอริเซียตอนนี้น่ะ ” นางกล่าวจบ ทุกคนก็พยักหน้าเป็นเชิง นางจึงอธิบายต่อทันที “ ที่จริงองค์กรนี้น่ะ เบื้องหลังถูกชักใยโดย เจตนารมณ์ของเหล่าคนบาปในครั้งอดีต เป้าหมายที่พวกมันมาจับ ตัวทุกคนในหมู่บ้านในจุดประสงค์ก็คือเพื่อ พลังของศิลามังกร หรือดราก้อนฮอลลี่ที่ Lr พกอยู่นั่นล่ะ ” นางกล่าวพร้อมกับจ้องไปยังดราก้อนฮอลลี่ “ พวกเธอรู้มัยว่าศิลานี้น่ะมีคุณสมบัติที่จะทำให้สามารถควบคุม พลังงานของมังกรได้อย่างที่พวกเธอได้ประสบกับตัวเองมาไงล่ะ ใช่มั้ยไลท์ ” อีสควอเทียกล่างพรางมองไปยังไลท์ให้ช่วยยืนยัน “ ครับ ” ไลท์ตอบ “ ศิลาอันนั้นน่ะยังมีหน้าที่ ควบคุมเส้นแบ่งกั้นมิติของเรากับมิติต่างๆรวมถึงที่ผนึกมังกรแห่งบาปเอาไว้ด้วย ” ทันทีที่กล่าวจบทุกคนก็มีสีหน้าเหมือนกับพึ่งนึกออก “ ใช่มั้ยล่ะเป้าหมายของพวกมันไม่ได้มีไว้เพื่อกำจัดมังกรหรือก่อตั้งการล่ามังกรพวกมันเพียงแค่จะหาที่อยู่ของ ศิลาและลบเส้นแบ่งเขตนั้นออกซะเพื่อสร้างทางออกให้แก่เหล่ามังกรบาปทั้งหลายออกมาจากผนึก โดยไม่ต้องผ่าน ทางประตูผนึก คิดว่าเรื่องนี้ ไฟร์ (ชื่อจริงของนิทินโคในเรื่องน่ะครับเพราะอาจารย์สนิทกับนักเรียนอยู่แล้วเลยเรียก ชื่อแต่พวก Lr ไม่ค่อยจะถูกกันซักเท่าไหร่เลยเรียก นามสกุลของเขาแทนเป็นธรรมเนียมของมิติมังกร) คงจะทราบดี อยู่แล้วเพราะในวันนั้นเขาออกจากกลุ่มประชุมเพื่อไปดูสภาพของปะตูมิติจากที่สูง ” นางกล่าวขณะที่ภาพเหตุการณ์ค่อยๆปรากฏบนน้ำตก “ ในตอนนี้พวกมันยังคงออกมากันไม่ได้หรอกเพราะความเสียจากการหลอมรวมกันของมิตทำให้ประตูพังกว่า พวกมันจะออกมาก็คงจะอีกนานแต่มันก็ไม่ได้ถาวร หรอกนะ ” นางกล่าวจบภาพบนน้ำตกก็เปลี่ยนไปเป็นภาพของเหล่าประชากรมังกรจากมิติมังกร พวกเขาถูกขังอยู่ในกรงที่ไหนสักแห่ง “ พวกมันจับตัวพวกเราทุกคนไป เพื่อการอะไรซักอย่างอาจารย์ก็ไม่ทราบหรอกนะแต่ถ้าจะพูดว่าตอนนี้ครอบครัว ของพวกเธออยู่ในอันตรายก็คงจะไม่ผิดนักหรอกนะ ” อีสควอเทียกล่าว “ แล้วพวกเราควรจะทำยังไงดีล่ะครับ ” Lr ถามอย่างสงสัย เพราะถึงแม้พวกเขาจะรู้แล้วครอบครัวพวกเขาเป็นยังไงบ้างแล้วในตอนนี้พวกเขาก็ยังคงไร้เป้าหมายอยู่ดี “ ถ้าให้อาจารย์แนะล่ะก็นะ พวกเธอควรจะให้ความร่วมกับกองกำลังต่อต้านเพราะพลังที่พวกเธอม ีสามารถต่อกรกับพวกมันได้ และ อีกเรื่องตามหาตัวเพื่อนๆของพวกเธอที่หลงไปซะโดยเฉพาะ ไฟร์ เขารู้ว่าต้องทำยังไงเพราะพ่อเขาที่เป็นนายพลซาลามันเดอร่าได้รับมอบหมายให้สืบเรื่องนี้อยู่แล้ว อาจารย์คิดว่าเขาเองก็น่าจะรู้ว่าเรื่องราวมันควรจะแก้ยังไงนะ ” อีสควอเทียกล่าวจบ พวกเขาก็ก็เริ่มหารือกันและในที่สุดก็ตกลงว่าจะทำตามนั้น .......................... .............. ........ “ อืมม..ชุดนี้ก็ดูดีอ่ะนะแต่ไม่เอาดีกว่า ดูมันรุ่มร่ามยังไงก็ไม่รู้สิ ” นีน่าพึมพำขนาดที่มองดูลากูน่าในชุด ผ้าไหมของขุนนางแอนดิซอง ก่อนจะไปหยิบเอาชุดอื่นมาเปลี่ยนอีก ซึ่งลากูน่าเองก็มีสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับ ความโลเลของหล่อนเต็มประดา เพราะเขาถูกบังคับ ให้ลองเสื้อเกือบจะหมดทั้งร้านอยู่แล้วแต่ก็ไม่มีตัวไหนถูกใจหล่อนเลย จนกระทั่งนางหยิบเอาเสื้อยืดแขนยาวสีเขียวขึ้นมาตัวนึงและจับใส่ให้เขาก่อนจะพิจารณา “ อืม..นี่ล่ะเข้าสุดๆเลย ตกลงขอตัวนี้ค่ะ ” นางกล่าวจบก็จ่ายเงินให้เจ้าของร้านและพาเขาออกจากร้านในชุดเสื้อสีเขียวกางเกงสีขาวตัวเดิมออกมาเดินเที่ยวในหมู่บ้าน ซึ่งก็แน่นอนดูเหมือนนางจะสนิทกับทุกคนในหมู่บ้านเลย เพราะตลอดทางพวกเขาถูกทุกคนในหมู่บ้าน ทักทายมาตลอดทางอยู่เนืองๆซึ่งนางก็รับคำทักทายและส่งยิ้มให้กับทุกคน ระหว่างทางลากูน่า กลับรู้สึกเหมือนเป็นเป้าสายตาจากเด็กๆในหมู่บ้านที่อายุราวเดียวกับเขาโดยเขามักจะถูกกลุ่มเด็กชาย มองตาขวางราวกับอิจฉา อยู่ตลอดทาง และกลับกันเด็กหญิงในหมู่บ้านกลับส่งสายตาหวานๆมาให้เข้าด้วย “ ดูท่าวุ่นๆแฮะโดยหมายหัวกันทั้งหมู่บ้านเลยมั้งเราเนี่ย ” ลากูน่าคิดในใจ ด้วยความรู้สึกเก้ๆกังๆ “ แหมลากูน่านี่ เนื้อหอมเหมือนกันนะดูสิพึ่งมาเองแท้ๆก็ถูกสาวๆหมายตากันใหญ่เลย ” นีน่ากล่าวหยอกๆ แต่ดูเหมือนลากูน่าจะรู้สึกเซ็งๆซะมากกว่า “ อย่าว่าแต่ผมเลยพี่สาวก็ด้วยแหล่ะดันมาเดินจูงมือกันอย่างนี้จนดดนเข้าใจผิดกันไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ” ลากูน่าคิดในใจ ขณะที่เดินอยู่นั้นพวกเขาสองคนก็บังเอิญไปเห็นประกาศแผ่นหนึ่งเข้า ในใบประกาศเขียนเอาไว้ว่า งานประลองหมัดมวยรุ่นเล็กที่จะจัดในวันพรุ่งนี้ ของรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศคือลูกมังกรธรณีและลูมังกรวารี ที่หายากสองตัวจะเป็นรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศในงานประลองนี้ สนใจสมัครได้ที่ สมาคมกองกำลังต่อต้าน ที่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เงื่อนไขการเข้าร่วม 1.ผู้เข้าร่วมจะต้องมีอายุ ตั้งแต่ 8-12 ปี เพศชาย ไม่จำกัดว่าเป็นมนุษย์หรือครึ่งสมิงหรือ เอฟล์ 2.ผู้เข้าร่วมจะต้องใส่กางเกงนักกีฬาและสนับมือทำจากผ้าที่ทางงานจัดให้เท่านั้นโดยไปรับได้ตอนสมัคร กฎกติกา ในการประลอง 1.ให้ใช้ได้แค่หมัด และ ศอกเท่านั้น 2.จะชกกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่สามารถสู้ต่อได้ หรือเมื่อล้มลงและนับครบสิบยังไม่สามารถลุกขึ้นมาสู้ต่อได้จะถือว่าการชกสิ้นสุด ***หมายเหตุอุบัติเหตุที่เกิดจากการประลองทางเราจะไม่ผิดชอบใดๆทั้งสิ้นหากผู้เข้าร่วม ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพิการหรือตาย ขอให้พิจารณาให้ดีก่อนเข้าร่วม ***** “ ของรางวัลเป็นลูกมังกรธาตุธรณีกับวารีเหรออยากได้จังเลย น้ำตามังกรเนี่ยเอามาทำกระเวทมนต์สังกัดธาตุได้ดีซะด้วยแต่เรื่องประลองหมัด นี่เราไม่ถนัดเลยอีกอย่างให้เฉพาะผู้ชายเข้าร่วมด้วยเท่านั้นอีกอ่ะ ถ้าเป็นแข่งยิงปืนก็ว่าไปอย่างเฮ้อคงต้องตัดใจซะล่ะมั้ง ” นีน่ากล่าวอย่างผิดหวัง ลากูน่าเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกอยากช่วย “ งั้นผมลงให้ก็ได้นะครับ ” ลากูน่ากล่าวทำให้นางหันมา “ มันจะดีเหรอ ” นีน่าถาม “ ครับ ไม่ต้องห่วงแค่วิชาหมัดน่ะผมฝึกจนจะบรรลุอยู่แล้ว แค่นี้สบาย ” ลากูน่ากล่าวอย่างมั่นใจ เพราะว่าตอนที่เขารับการฝึกเพื่อเป็นขุนพล ก็ถูกฝึกวิชาหมัดกันสองคนกับพี่ มาด้วยและอีกอย่างเขายังมีพลังเวทย์คอยเสริมร่างกาย ด้วยซึ่งแม้ว่าเรื่องเทคนิคและความชำนาญของวิชา หมัดเขาจะด้อยกว่าพี่ชายนัแต่ถ้าเรื่องพลังเวทย์ละก็เค้าเหนือกว่าพี่ชายนัก “ งั้นฝากด้วยละกันนะลากูน่า ช่วยพี่ทีนะฮิๆ ” นางกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ ครับถือซะว่าตอบแทนเรื่องชุดนี่ก็ละกัน ” ลากูน่ากล่าวจบ พวกเขาสองคนก็ตรงไปยังสมาคมกองกำลังต่อต้านเพื่อสมัครเข้าร่วมประลอง ............................. ................... ......... “ งั้นอาจารย์ส่งแค่ตรงนี้นะ ” อีสควอเทียกล่าวขณะที่ส่งพวกเขาทั้งหมดขึ้นหลังของเทลูมานา “ จากเกาะนี้บินขึ้นไปทางเหนือก็จะเจอทวีปคาดาร่านะที่แหลมทวีปมีหมู่บ้าน อยู่แห่งหนึ่งที่นั่นมีสมาคม ของกองกำลังต่อต้านอยู่ด้วยลองไปติดต่อดูก็ละกันนะ ” อีสควอเทียกล่าวเสร็จก็แยกห่างออกมา “ อาจารย์แน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปด้วยน่ะครับ ” Lr กล่าวเพื่อย้ำถามอีกครั้ง “ ไม่ล่ะอาจารย์จะขอทำอย่างบรรพบุรษเคยทำมา อาจารย์จะคอยมองพวกเธอและเอาใจช่วยอยู่จากที่นี่นะ ขอให้พวกเธอทำสำเร็จนะลาก่อนจ้ะ ” อีสควอเทียกล่าว:ซึ่งพวก Lr เองก็เข้าใจดีว่าหากเป็นตัดสินใจของนางแล้ว พวกเขาคงจะค้านไม่ได้ “ งั้นลาก่อนนะครับเราคงจะได้เจอกันอีกนะครับ ” Lr กล่าวจบเทลูมานาก็ออกตัวไปอย่างรวดเร็วและบินหายลับไปในฟากฟ้า ทิ้งไว้ให้นางคอยจ้องมองด้วยสายตาเวทนา “ Lr อาจารย์โกหกเธอไปอย่าง แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่คนที่ทำได้แต่คอยเฝ้าดู จะทำให้ได้ ” อีสควอเทียคิดในใจ “ ศิลาที่เธฮถือครองอยู่น่ะคือศิลาที่ว่าน่ะแหล่ะ พวกเธอคงไม่มีใครรู้เลยสินะไม่สิแม้แต่พวกมนุษย์เองก็คง จะไม่รู้ว่าศิลาที่ตั้งอยู่ในวิหารสักการะน่ะถูกสับเปลี่ยนเป็นของปลอมไปตั้งนานแล้ว ” นางคิด “ ที่จริงแล้วก็ไม่อยากปิดเธอไว้หรอกนะแต่ชะตาของเธอมันน่าเวทนานัก ศึกนี้เราไม่มีทางชนะเลยจริงๆ ” นางคิดอย่างโศกเศร้าก่อนที่น้ำตาจะไหลริน ในขณะที่ภาพบนน้ำตกที่นางพยายามจะปิดมันไว้ไม่ให้พวกเขาเห็น ในนั้นเป็นภาพเหตุการณ์ที่ เศษซากดราก้อนฮอลลี่ซึ่งแตกกระจายเกลื่อนพื้นที่ชโลมไปด้วยเลือดซึ่งมีร่างของเด็กชาย 3 คน และเด็กหญิง 1 คน นอนสลบไม่ได้สติและมีบาดแผลเต็มตัว โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า พวก Lr ได้ไปถึงหมู่บ้านที่ลากูน่าอยู่ และขณะที่พวกเขาไปยังสมาคมนั่นเองก็ได้ไปเห็น เฟินกอลโลและเอิทธ์ ถูกจับเอาไว้ซึ่งพวกเขาก็คือรางวัลชนะเลิศในงานประลองนั่นเอง เมื่อไม่มีทางเลือกเจนัสจึงอาสาที่จะลงแข่งเพื่อช่วยพวกของเขาออกมา แล้วการพบกันสองพี่น้อง ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้ เริ่มขึ้น ใน บทที่17 สัญญาลูกผู้ชาย Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 16 ตำนาน แล้วจ้า Post by: greamon on May 11, 2008, 06:07:58 PM กว่าจะเขียนบทนี้จบ ลากเลือดเลยครับ เพราะไม่มีประสบการณ์เขียนแบบนี้เลยฮือๆ :-\
บรรยายไม่ถูกเลยขอให้สนุกละกันนะครับ บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย แสงตะวันยามรุ่งสาง ที่ค่อยๆสาดส่อง ไปจนทั่วหมู่หมู่บ้าน เสียงร้องของนกเนเดียที่ราวกับถูกขับขาน ออกมาให้ได้รับฟังกันเพื่อสลัดให้พ้นจากพวังของ ความเหนื่อยล้า ราวกับเป็นยาชูกำลังให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย ที่ชายป่านอกหมู่บ้าน บัดนี้กระแสลมได้พัดอย่างแปรปรวนก่อนจะสงบลงพร้อมกับการปรากฏกร่าง ของมังกรขนาดใหญ่ “ ถึงแล้วล่ะ ” เทลูมานาคำรามเพื่อปลุกพวกเขาที่นอนอยู่บนหลังของมัน ให้ตื่นจากนิทรา Lr ลุกขึ้นมานั่งด้วยความงัวเงีย เขารู้สึกอยากจะหลับต่อแม ้สมองจะสั่งให้ลุกข้นแต่ร่างกายก็ไม่ค่อยจะยอมทำตาม จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเขาลอยขึ้นก่อนจะตกลงอย่างรวดเร็ว เขาจึงสะดุ้งตื่นด้วยวามตกใจ อาการงัวเงียเมื่อครู่หายไปทันที เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าตัวเขาถูกเจนัส อุ้มลงมาจากหลังของเทลูมานา “ นายนี่ขี้เซาจังเลยนะ ” เจนัสกล่าวหยอกๆ ทำให้ Lr หงุดหงิดขึ้นมาก่อนจะผลักมือของเจนัสออกและกระโดดลงสู่พื้น “ ลอว์เรน ไหวไหมถ้ายังไงจะนอนต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยเดินทางต่อก็ได้นะ ” ไลท์กล่าวด้วยความเป็นห่วง “ ไม่ล่ะเราช้าไม่ได้แล้ว ฉันไม่เป็นไร เดินสูดอากาศซักหน่อยก็ตาสว่างแล้วล่ะ ” Lr กล่าวไม่ในใจเขาคิดอยากพักตามข้อเสนอที่ไลท์ยื่นให้ก็ตามที แต่ด้วยข้อมูลที่เขาได้มาจากอีสควอเทียพวกเขาจึงต้องรีบร้อนกันซักหน่อย เขาหวนคิดกลับไปถึงตอนที่ก่อนจะออกจาก วิหารแห่งปราชมังกรที่พวกเขาได้พบกับอีสควอเทีย หลังจากที่พวกเขาได้รับรู้ถึงเป้าหมายและสถานการณ์ จากอีสควอเทียแล้ว “ พวกเธอน่ะถ้าจะตามหาเพื่อนๆที่หายไปอยู่ล่ะก็ อาจารย์พอจะรู้อยู่บ้าง ” “ จากที่พวกเธอเห็นที่น้ำตก เอิทธ์กับอควาน่ะอยู่ด้วยกันและก็ ครึ่งสมิงอีกคนก็อยู่ที่หมู่บ้านนั้นด้วยถ้าไปที่นั่นล่ะก็พวกเธอจะได้เจอพวกเขาแน่นอน ” คำพูดของอีสควอเทียยังคงก้องอยู่ในหัวเขา หลังจากที่ทุกคนลงมาจากหลังของ เทลูมานาจนครบแล้ว มันก็บินหายลับไป พวกเขาพากันเดินไปตามทาง จนมาถึงหน้าหมู่บ้าน “ นี่นายน่ะจะทำยังไงล่ะ ” Lr หันไปถามเจนัส ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ อะไร ” เจนัสตอบด้วยความ ฉงน “ ก็จะอะไรซะอีกล่ะนายน่ะไม่ทั้งสมิงทั้งมนุษย์ขืนเข้าไปยังงี้ก็ได้แตกตื่นกันพอดี ” Lr กล่าว ซึ่งทันทีที่ ได้ยินคำตอบเจนัสก็เข้าใจแล้วว่าทำไม เขาถึงได้มีอาการกังวลตลอดทางที่เดินมา “ หึไม่ต้องห่วงไปหรอกที่นนี่น่ะไม่ใช่ในเมอริเซีย ซะหน่อยอย่างพวกข้าน่ะไม่ใช่ของแปลกหรอก ” เจนัสกล่าวจบก็เดินนำเข้าไปในหมู่บ้าน แม้จะยังไม่เข้าใจที่พูดแต่พวกเขาก็เดินตามเข้าไปจนถึงลาน กว้างของหมู่บ้านจึงเข้าใจ ถึงคำพูดเมื่อสักครู่ได้ เพราะในหมู่บ้านนี้เต็มไปด้วย ครึ่งสมิง และมนุษย์ปะปนกัน แม้แต่เอฟล์ ซึ่งพวกเขาเคยได้แต่เห็นจากภาพที่อยู่ในโรงเรียนมังกรเท่านั้นก็ยังมาเดินกันให้พวกเขาเห็นตัวเป็นๆอยู่ตรงหน้า หลังจากที่อึ้งไปได้ซักพัก กับสภาพแวดล้อมของหมู่บ้าน พวกเขาก็ออกเดินต่อไปตามทาง ที่ป้ายบอกทางตรงลานกว้างเขียนไว้เมื่อสักครู่จนมาถึงหน้า เรือนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ซึ่งมีป้ายติดไว้ คานของประตูว่า สำนักงานกองกำลังต่อต้าน พวกเขาไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปซึ่งก่อนที่จะผ่านประตูเข้าไป ทหารยามในชุดสีขาวเหมือนกับที่กองกำลังต่อต้านในเมอรเซียใช้ ก็ได้เรียกพวกเขาเอาไว้ “ พวกเจ้ามึธุระอะไร ” ทหารยามกถามถึงธุระของพวกเขา พวกเขามองหน้ากันอยู่ซักครู่ก่อนที่ วิลจะกระซิบใส่ Lr จนเขานึกออก เขาเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าด้านในเสื้อนอกของเขา ก่อนจะหยิบเอาแผ่น โลหะชิ้นขนาดกำมือ ซึ่งมีตราประทับเป็นรูปปีกนกเหมือนกับตราของกองกำลังให้ทหารยามดู และทันทีที่ทหารยามรับเอาแผ่นโลหะนั้นมาดู เขาก็ถึงกับหน้าซีดทันที “ ข..ขออภัยอย่างยิ่งข้าไม่ทราบว่าท่านเป็นตัวแทนจากส่วนกลาง ต้องขออภัยด้วย ” ทหารยามรีบกล่าวขอโทษขอโพยอย่างระล่ำระลัก ก่อนจะหลีกทางให้พร้อมกับคืนแผ่นโลหะแก่พวกเขา ตอนนี้พวกเขาเข้ามาภายในสำนักงานได้แล้ว “ ไม่เคยคิดเลยนะว่าตราประทับที่ได้มา ก่อนออกจากฟีเลเซียจะมามีประโยชน์เอาตอนนี้น่ะ ” Lr กล่าวเมื่อเขาย้อนนึกถึงตอนที่ จะออกเดินทางไปฟูดินัน บิชอปเกรเกอรี่ก็ได้ให้ตราประทับนี้แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาสะดวกแก่การ เดินทางในกองกำลัง และเพื่อสำหรับติดต่อผ่านกองกำลังด้วย เมื่อพวกเขาเข้ามาได้แล้ว จู่ๆพนักงานคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่ตะสอบถามก็เห็นพวกเขา และรีบลุกมาหาพวกเขาอย่างร้อนรน “ พวกท่านมากันแล้วเหรอ ถ้ายังไงขอเชิญ ตามข้ามาก่อนเลย ” เขากล่าวจบก็รีบเดินนำไปยังอีกห้อง ทันที แม้จะยังไม่เข้าใจแต่พวกเขาก็เดินตามไปเพราะไม่รู้อยู่ดีว่าจะมาทำอะไรได้ที่นี่ พวกเขาเดินตามจนถึงโต็ะที่มีเครื่องมือประหลาดๆเหมือนกับที่ห้องของทิโมธี ที่พวกเขาค้างก่อนจะออกเดินทางไปฟูดินัน และที่ค่ายพักของกองกำลังเขาเองก็ได้เห็นเครื่องนี้ตั้งอยู่ทั่วไป โดยมันมีหน้าตาเหมือนเครื่องเล่นเสียง ที่ต่อสายเข้ากับกล่องโลหะสีดำที่มีหน้าที่เหมือนตัวส่งกระแสไฟ ที่โต๊ะ พนักงานที่นำพวกเขามากำลังคุยกับเคื่องมือที่วางอยู่โดยมีเสียงตอบกลับมาจากสิ่งที่เหมือนกับลำโพงของเครื่องเล่นเสียง ซึ่งเสียงที่ตอบกลับมานั้นเป็นที่พวกเขาคุ้นหูมาก พนักงานกวักมือเรียกพวกเขาให้ไปหา …………………. …………. ….. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 16 ตำนาน แล้วจ้า Post by: greamon on May 11, 2008, 06:08:29 PM ณ ห้องโถงใหญ่ แห่งหนึ่ง ที่ใจกลางของห้องโถงเก้าอี้บัลลัง ถูกตั้งไว้บนเสาสูงครึ่งห้องบนนั้นมีคนนั่งอยู่
ห้องโถงทั้งมืดสนิทโดยอาศัยเพียงแสงไฟจากโคมไฟเพียงดวงเดียงซึ่งแสงก็ส่องลงตรงหน้าบัลลังของเขา ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าหรือร่างของเขาเลยพราะความมืดของห้องบดบังร่างของเขาเอาไว้ซึ่งที่ๆ สามารถจะมองเห็นได้ในห้องนี้คือพื้นที่โดนแสงสว่างจากโคมไฟเท่านั้น ซึ่งที่ใต้โคมไฟนั้น มีชายอีกคนนั่งขุกเข่าอยู่และรอบฝาผนังห้องโถง มีเหล่าขุนพล ยืนรายล้อมอยู่ ในเงามืด “ ภารกิจล้มเหลวงั้นรึ ” เสียงดังกึกก้องด้วยโทสะ ก้องลงมาจากบัลลัง ยกสูงขึ้นทำเอาเหล่าขุนพลที่อยู่ในห้องพลอยสะดุ้งไปด้วย กับโทสะของผู้เป็นนาย โดยที่เบื้องล่างบัลลังนั้น แบล็คไวเซอร์นั่งขุกเข่าข้างหนึ่งก้มหน้ารับคำด้วยความอดสูอย่างที่สุด “ ขออภัยด้วยขอรับ เป็นเพราะ.. ” “ ข้าไม่รับฟังคำแก้ตัวใดๆทั้งนั้น ” ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายเสียงก็ดังลงมาอีกทำให้เขาสะดุ้งตกใจ อีกครั้ง ในครั้งนี้นายของพวกเขา ระบายโมสะใส่อย่างเกรี้ยวโกรธราวกับพายุเลยก็ไม่ปาน จากการที่ภารกิจแทบทั้งหมดผิดพลาด จนไม่สามารถแก้ไขได้และต้องล้มเลิก “ หึฟอจูนทรีก็โดนเทพของพวกมันคาบหายไป แล้วยังเสียขุนพลฝีมือดีไปอีก 2 คน แม้แต่การบุกโจมตีซาโลมก็ยังล้มไม่เป็นท่า แล้วพวกเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีกเรอะ ” ผู้เป็นนายของพวกเขากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ ใจเย็นๆก่อนสินายท่าน ” เสียงอันเย็นเยือกดังออกมาจาก ทางด้นซ้าย ของบัลลัง เจ้าของเสียงเดินเข้ามายังพืนที่ที่โดนแสงจากโคมไฟทำให้เห็นร่างของเขาใชุดเกราะสีดำสนิทและคฑายาวสีดำที่ถือมาด้วย แบล็คไวเซอร์เงยขึ้นไปมองเจ้าของเสียง ก่อนที่ตาเบิกโผลง ด้วยความกลัวที่แวบขึ้นมาชั่วครู่ริมฝีปากของเขาสั่นเครือเล็กน้อย “ เซอร์เซส ” แบล็คไวเซอร์กล่าวต่อชายที่เดินเข้ามาหาเขา เซอร์เซสมองเขาอยู่สักพัก ก่อนจะหันขึ้นไป “ โปรดวางใจเถิดวิธีปลดผนึกนั้นยังมีอีกมากมายแม้ไม่ต้องอาศัยฟอจูนทรีก็ได้ ” เซอร์เซสกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก “ หมายความว่าเจ้ารู้แล้วยังงั้นรึถึงแหล่งพลังงานความกลัวนั้นน่ะ ” เสียงดังลงมาอีกครั้ง “ ในตอนนี้…อัศวินมังกรได้ตื่นขึ้นมาแล้วหากเป็นไปตามตำนานจริง พลังที่ว่าก็น่าจะปรากฏในอีกไม่ช้า โปรดวางใจได้ ” เซอร์เซสกล่าว “ ก็ได้ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนั้น ข้าก็จะละเว้นให้ ” ทันทีที่กล่าวจบไฟในห้องก็ดับลง ทุกอย่างกลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง …………………… …………… …….. “ แหมๆกำลังกังวลอยู่พอดีเลยนะว่าจะติดต่อพวกเธอยังไงดีน่ะ ฮ่าๆๆๆ ” เสียงของทิโมธีดังออกมาจากลำโพงของเครื่องมือที่วางบนโต็ะ “ ตกใจหมดเลย ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเจ้าสิ่งประดิษฐ์นี่สามารถส่งเสียงผ่านมาจากที่ไกลขนาดนั้นได้น่ะ ” Lr กล่าวน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย กับปกิกิริยาของทุกคนรอบข้าง เพราะตอนนี้ไลท์กับวิลเอาแต่หมุนปุ่มปรับระดับเสียงเล่นไปๆมาๆ จนได้ยินเสียงไม่สม่ำเสมอ จน เจนัสต้องมาอุ้มออกไป “ เอ่อนี่ว่าแต่ตอนนี้พวกเธออยู่ที่ทวีปคาดาร่าแล้วสินะ พอดีฉันมีอะไรจะไหว้วานหน่อยน่ะ ที่จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่เกรเกอรี่ขอมาน่ะ ” เสียงของทิโมธีดังขึ้นทำให้ Lr แปลกใจนิดๆกับคำพูดของเขา “ ได้สิครับว่าแต่จะไหว้วานอะไรเหรอครับ ” Lr ถามกลับใส่เครื่องขณะที่เสียงเดินทางผ่านคลื่นไปจนถึงเครื่องรับของเขา “ จากที่ฟังมาพวกเธอคงจะออกตามหาเพื่อนๆที่หลงอยู่ในทวีปนี้สินะแล้วคือว่าไหนๆตอนนี้พวกก็จะ ออกเดินทางกันทั่วทั้งทวีปอยู่แล้วก็เลยกะจะไหว้วานให้ช่วยไป แจ้งข่าวเรื่องการรวมพลที่บอกไปก่อนหน้านี้ซะหน่อยน่ะ ” ทิโมธีกล่าวผ่านเครื่องรับกลับมา “ แล้วทำไม เราไม่ส่งข่าวนี้ผ่านเครื่องรับพวกนี้ไปล่ะครับแบบนั้นน่าจะเร็วกว่านะครับ ” Lr กล่าวด้วยฉงน “ ก็ที่ๆจะให้ไปน่ะคือฐานกำลัง ที่ไม่มีเครื่องส่งน่ะ และก็อีกอย่างหนึ่ง ” ทิโมธีกล่าวก่อนจะชะงักไปเล็กนน้อยเพื่อตัดสินใจว่าจะบอกดีหรือไม่ ………………….. …………. ………. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 16 ตำนาน แล้วจ้า Post by: greamon on May 11, 2008, 06:09:07 PM ณ ห้องโถงใหญ่ที่เพิ่งจบการประชุมของเหล่าไนท์แมร์ไป ภายในห้องมืดสนิท ผลันโคมไฟก็ถูกเปิดแสงส่องลงยังเบื้แงล่างชายสองคนกำลังสนทนากันอยู่
“ บันทึกคำทำนายของ เวสเล่ เรอะ หมายถึงไอ้นักเวทย์จอมกะล่อนนั้นน่ะรึ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวด้วยความฉงน ขณะที่เซอร์เซสกำลังโบกคฑาเป็นผลัน เกิดเป็นวังวน มิติขนาดเล็กลอยอยู่กลางอากาศ ภายในวังวนมิตินั้นมีภาพของหนังสือเล่มหนาที่ฝุ่นจับ เขรอะและขอบหนังสือเองก็ ขาดหวิ่นไปหมด “ มันเป็นบันทึกคำทำนายตั้งแต่อดีตถึงอนาคตเลย เจ้าเองก็รู้นี่ว่าหนังสือที่เจ้านั่นแต่งน่ะมี 2 เล่ม เล่ม 1 และ เล่ม 3 ” เซอร์เซสกล่าวด้วยกิริยาสงบนิ่ง “ ใช่มันแต่งไว้สองเล่มโดยข้ามเล่มสองไปเพราะมันเป็นคน กะล่อนเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ” แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงแหบ ขณะที่จ้องไปยังรูปของหนังสือที่ฉายบนวังวนมิติ “ ไม่หรอกที่จริงแล้วมันไม่ได้ข้ามไปแต่เจ้านั่นมันเอาไปผนึกไว้ต่างหากเพราะเนื้อความในนั้น มันบันทึกถึเรื่องในปัจจุบันนี้อยู่ยังไงล่ะ ” เซอร์เซสกล่าว เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ในขณะที่แบล็คไวเซอร์เริ่มที่จะฉุกคิดขึ้นได้ “ งั้นก็หมายความว่าถ้าเราได้มันมา เราก็จะรู้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นได้รวมทั้งสามาถแก้ไขได้ก่อนที่จะสายไปสินะ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวขณะจินตนาการถึงชัยชนะที่จะได้จากการรู้อนาคต “ ที่จริงมันก็ไมได้บันทึกอะไรละเอียดไว้นักหรอก ที่ข้าเคยลอบเข้าไปดูที่หอสมุดของแอนดิซองมันก็เขียนถึงแค่ตรงที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่านั้นมันเขียนถึงแค่ ผู้เป็นความหวังที่สามของพระผู้เป็นเจ้าจะปรากฏกายมากอบกู้ภัยของโลกนี้ ส่วนหน้าที่เหลือขาดหายไป ” เซอร์เซสกล่าวขณะที่แบล็คไวเซอร์เริ่มมีอาการหงุดหงิดกับท่าทีอ้อมค้อมของเซอร์เซส เมื่อเห็นดังนั้นเซอร์เซสจึงรีบกล่าวต่อทันทีเมื่อเห็นว่า แบล็คไวเซอร์เริ่มจะเบื่อกับคำพูดของเขา “ แต่ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันอยุ่ที่ใดหน้าที่เหลือน่ะ ตอนนี้เจ้านั่นกำลังตามหามันอยู่ ” เซอร์เซสกล่าวจบ แบล็คไวเซอร์ก็เริ่มสนใจกับประโยคเมื่อครู่ “ เจ้านั่นนี่หมายถึง เจ้านั่นที่ชอบให้เรียกตัวเองว่านักประดิษฐ์แล้วก็อ้างว่าตัวเองสามารถทำสิ่งที่ท่านผู้นั้นต้องการได้แล้วก็ เข้ามาเป็นสิบสองเทพขุนศึกน่ะรึ ” แบล็คไวเซอร์ถาม ซึ่งเซอร์เซสเองก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ ผงกหัวเบาๆเป็นสัญญาณ “ ไม่รู้เลยว่าท่านผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้รับเอาคนแบบนั้นเข้ามานะ มิน่าล่ะการประชุมวันนี้คนถึงไม่ครบน่ะ ว่าแต่ลูกศิษย์เจ้าอีกคนล่ะตอนนี้ไปไหนซะแล้ว ” แบล็คไวเซอร์ถามบ้าง ขณะนั้นน่ะเอง ก็มีเสียง ปิ้บ ปิ้บดังขึ้นมาจากวังวนนั้น ก่อนจะเปลี่ยนภาพเป็น เงาของ ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา “ จะนินทาอะไรก็ให้มันถูกเวลาซะหน่อยนะ ” เงาของชายคนนั้นกล่าวขึ้นทำให้ทั้งสอง มีอาการ สะดุ้งนิดหน่อย กว่าทั้งคู่จะตั้งสติได้ก็อึ้งกันไปซักพัก “ นักประดิษฐ์ ” ทั้งคู่ทักขึ้นพร้อมกัน “ แล้วเรื่องที่ให้ไปสืบล่ะ ” เซอร์เซสกล่าว ………………. …………. ……… ที่โรงเรียนมังกรซึ่งห่างจาก ประตูทางเข้ามิติมังกร ไม่ไกลนักข้างใต้ถ้ำอันเป็นที่ตั้งโรงเรียน ที่ห้อง สมุดของโรงเรียน มังกรดำ ตัวหนึ่ง กำลังสนทนากับชายที่สวมหน้ากากมังกรสีขาวอยู่ ทั้งคู่อยู่ในห้องที่มืดซึ่งได้แต่คออาศัยแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ชายคนนั้นถืออยู่ “ ข้ารู้มาแล้วว่า หน้าที่ขาดหายไปนั้นอยู่ไหน ” ชายคนนั้นกล่าว ด้านไนท์แมร์ “ หึเรื่องนั้นน่ะข้ารูมาแล้วหน้าที่หายไปน่ะมันอยู่ที่ไหน ” นักประดิษฐ์กล่าว “ มันอยู่ที่…. ” เขากล่าวได้ยังไม่ทันจบก็มีคนเข้ามาในห้องโถง ทำให้พวกเขาหยุดการสนทนาชั่วครู่ “ พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่น่ะ ” ผู้มาใหม่กล่าว …………. ……… …. “ มันอยู่ที่ไหนล่ะ ” มังกรดำกล่าวขณะที่มองชายสวมหน้ากากมังกร และยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ย ประตูห้องสมุดก็เปิดออกพร้อมกับแสงไฟของห้องได้ติดขึ้นทันทีจนสว่างไปทั้งห้อง ร่างของทั้งสองเผยขึ้นมาต่อหน้าผู้มาใหม่ มังกรดำนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเทียแมตที่เคยช่วยพวกลอว์เรนไว้และอีกคนก็คือเมทาไนร์และผู้ที่เปิดประตู ขึ้นก็คือแกรนเดครอส แต่ด้วยร่างของเขาแม้ประตูนี้จะมีขนาดใหญ่อยู่บ้างก็ยังไม่พอให้เขาแทรกเข้าไปได้ทำให้ตอนนี้เขาเพียงแค่เอา หัวลอดผ่านประตูเข้ามาเท่านั้น …………………….. …………… ………… “ งั้นก็หมายความว่าจะให้พวกผมไปติดต่อเรื่องการรวมพลกับแวะไปเอาหน้ากระดาษบันทึกที่ฐานกำลังสุด ท้ายที่ต้องแวะไปตามนี้ใช่ไหมครับ ” Lr กล่าวผ่านเครื่องรับ “ อืมใช่แล้วล่าะฝากด้วยนะ เลิกกัน….. ” ทันทที่กล่าวจบทิโมธีก็วางสายไปทันที ทำให้เสียงที่เหลือจากนั้นกลายเป็นเสียงเตือนว่าไม่มีสัญญาณ ขณะเดียวกัน Lr เองก็รู้สึกว่าพวก วิล กับไลท์ หายไปจากตรงนี้ เพราะที่โต็ะตอนนี้มีเพียงเขากํบเจนัสเท่านั้น Lr จึงสอดส่าย สายตาไปรอบห้องจนไปเจอเข้ากับพวกเขาที่ดูเหมือนกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างกับทหาร ยามที่หน้าประตู เขาจึงเรียกเจนัสแล้ววิ่งออกไปหาพวกเขา “ เฮ้มีอะไรกันเหรอ ” Lr ถามทั้งสองตัว แต่ไลท์กลับชี้ไปที่กรงที่พวกทหารกำลังแบกไว้บนแคร่ เมื่อเขาหันไปก็ต้องตกใจกับภาพตรงหน้า ลูกมังกรเฟินกอลโล กับ นิลเฮอเลี่ยนถูกจับขังเอาไว้ “ เฟินกอลดล เอิทธ์ ” Lr ทักขึ้นด้วยความตกใจทำให้ทหารยามมองเขาด้วยสายตา งงๆ “ ลอว์เรน ” เฟินกอลโลและเอิทธ์ส่งเสียงขึนพร้อมกันกับที่ ดราก้อนฮอลลี่แปลงเสียงของพวกเขาเป็นภาษามนุษย์ ทำให้ทหารและทหารที่แบกแคร่ต่างพากันตกใจกับเสียงนั้นจนเผลอปล่อยแคร่ตกไปแต่เจนัสก็ พุ่งเข้าไปรับกรงที่ใส่ทั้งสองไว้ทัน เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาทำให้พนักงานที่พาพวกเขาไปที่โต็ะเมื่อครู่รีบวิ่งมาดู “ มีอะไรกันเหรอครับ ” พนักงานที่วิ่งมาถามด้วยความสงสัยขณะที่มองไปที่ Lr เขาด้วยความไม่พอใจนัก “ คือว่าพวกเรากำลังจะขนเารางวัลสำหรับการประลองออกไปที่งานน่ะสิ แต่จู่พวกนี้ก็มาขวางไว้น่ะ ” ทหารยามกล่าวขณะที่ทหารที่แบกแคร่กำลังช่วยกันยกแคร่ขึ้นอีกครั้ง “ แล้วจู่พอเด็กนี่เข้ามามังกรพวกนี้ก็พูดภาษามนุษย์ขึ้นมาได้เฉยเลยน่ะสิ ” ทหารที่แบกคนนึงเอ่ยโดยยังรู้สึกผวาอยู่บ้าง ขณะที่อีกคนรับกรงที่ขัง เอิทธ์กับเฟินกอลโล ที่เจนัสแบกไว้มา “ เอ่อคือว่าสองตัวนี้น่ะเค้าเป็นเพื่อนของผมน่ะครับช่วยปล่อยพวกเค้าทีเถอะนะครับ ” Lr หันไปขอร้องกับพนักงานที่วิ่งมา แต่เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ “ ไม่ได้หรอกนี่คือของรางวัลในการประลองหมัดที่จัดในวันนี้น่ะถ้าปล่อยไปเราก็ไม่มีของรางวัลน่ะสิแล้ว จะไปยกเลิกก็ไม่ได้ด้วย ” พนักงานตอบอย่างสิ้นหวัง ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีพนักงานอีกคนเขามาคุยกับพนักงานคนนั้น “ อะไรนะผู้เข้าแข่งขันไม่ครบคู่เรอะ ” พนักงานที่มาก่อนได้ยินเรื่องจากพนักงานอีกคนเขาก็เอามือกุมหัวทันที “ อือพอดีผู้เข้าแข่งอีกคนเกิดได้รับบาดเจ็บซะก่อนก็เลยลงแข่งไม่ได้น่ะ ” พนักงานที่พึ่งมากล่าว “ แล้วหาตัวผู้เข้าแข่งคนใหม่ได้รึยัง ” พนักงานคนเก่าถามอีกครั้ง “ ยังไม่ได้เลยเพราะงานวันนี้เป็นการประลองรุ่นเด็กก็เลยมีคนมาเข้าแข่งน้อยน่ะ ” พนักงานคนใหม่ตอบ ทำเอาพนักงานอีกคนเซจนแทบจะล้มลง “ แล้วจะทำไงดีล่ะงานประลองจะเริ่มบ่ายนี้นะขืนเลื่อนงานไปล่ะก็ได้โดนเบื้องบน เจี๋ยนเอาน่ะสิ รีบไปหามาเร็ว ” พนักงานคนเก่ากล่าวอย่างหัวเสีย ก่อนที่พนักงานคนใหม่จะรีบวิ่งออกไป “ เออคืองานประลองนี่มันอะไรเหรอครับ ” Lr ถามพนักงานคนนั้นจึงหันมาก่อนที่จะชี้ไปที่ใบปิดประกาศที่ฝาผนัง เมื่อพวกเขาได้อ่านจึงได้เข้าใจเรื่องทั้งหมด “ เอาไงดีล่ะลอว์เรน ขืนปล่อยไว้ยังงี้มีหวังเราไม่ได้ตัวทั้งสองคนคืนแน่เลย ” ไลท์กล่าวขณะที่ทหารแบกเพื่อนขอเขาอกไปต่อหน้าต่อตาดดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย “ อืมถ้ายังไงก็ปล่อยไปไม่ได้เห็นทีคงจะต้องลงแข่งด้วยแล้วล่ะ ” Lr กล่าวขึ้น แต่นอฟฮอฟก็เข้ามาสะกิดหลังเขา ทำให้เขาหันมาด้วยความสงสัยแต่แล้วเขาก็โดนนอฟฮอฟยันจนเซล้มลง ทำให้ทหารยามหันไปมองด้วยความแปลกใจ แต่เขาก็รีบลุกขึ้นมาอย่างเร็ว ทำให้ทหารไม่สนใจพวกเขา “ นายคิดว่าจะลงไหวรึไข้นายน่ะสูงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ” นอฟฮอฟกล่าวซึ่งทำให้เขาแปลกใจมากที่นอฟฮอฟดูออกว่าเขาป่วยอยู่ “ จริงหรือ ลอว์เรน ทำไมนายไม่บอกฉันล่ะ ” ไลท์หันมาถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเอาหน้าผากแนบกับหน้าผากของเขาซึ่งมันร้อน พอสมควร “ อืมก็แค่ตัวร้อนนิดหน่อยเองนี่นา ” ไลท์พึมพำ “ สงสัยเพราะพึ่งจะหายจากพิษของจอมอนการ์ดล่ะมั้ง ” เจนัสกล่าว “ หึแล้วยังงี้ถ้าลงไปนายไปนายมีหวังถูกเขาซัดเละแน่ และอีอย่างนี่เขาดวลหมัดกันนะแต่นายน่ะแค่ชกกับลูกมังกรยังอาการแทบปางตายเลยไม่ใช่เรอะ ” นอฟฮอฟเหน็บเขาอีกครั้ง ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีเรื่องกับนิทินโคมาไม่นานนี้เอง ตอนนั้นนิทินโคต่อให้เขาโดยยกโล่บอลดาวีให้ใช้ ทำให้เขาอจะสู้ได้บ้างแม้จะเกือบแพ้แต่ก็สะบักสะบอมกว่านิทินโคมาก เมื่อมาคิดดูแล้วเขาไม่มีทางชนะเลยขณะที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั่นเอง ผลันความคิดนึงก็แวลขึ้นมา ในหัวเขา เขามองไปหาเจนัส ซึงเจนัสเองก็ดูเหมือนจะพอเดาออกว่าเขาจะพูดอะไร “ ก็ได้ฉันจะช่วยเพื่อนนายเองแค่ชกกับพวกมนุษย์ธรรมดาๆมันจะซักแค่ไหนกันต่อให้เป็นครึ่งสมิงหรือ สมิงก็เถอะถ้าเป็นแค่ระดับสามัญชนละก็ไม่ครนามือฉันหรอก ” เจนัสกล่าวอย่างมั่นใจ “ แต่จะไหวแน่เหรอนายน่ะพึ่งจะสู้กับจอมอนการ์ด มานะ ” ไลท์ถาม “ หึ หายแล้วล่ะพลังในการรักษาตัวน่ะระดับมันต่างกนและอีกอย่างฉันเคยเป็นถึงยอดขุนพลเชียวนะ ถ้าจะห่วงสู้ไปห่วงเจ้าพวกที่จะมาสู้กับฉันดีกว่า ไม่รู้ว่าออมมือให้แล้วอย่างมากก็อาจจะแค่คางเหลืองน่ะ แต่รับรองไม่เอาถึงตายหรอก ” เจนัสกล่าวอย่างขึงขัง แม้ว่าทหารที่เฝ้ายามอยู่จะได้ยินก็คงคิดแค่ว่าเป็นคำพูดโอ้อวดของเด็กแต่ก็ยังติดใจกับคำว่าขุนพลอยู่ดี ส่วนพวก Lr กลับมีสีหนาหวาดๆว่าเจนัสจะเผลอพลั้งมือฆ่าใครตายคาเวทีรึเปล่านับว่าเป็นการเสี่ยที่อันตรายมาก “ หึมั่นใจเชียวนะคุณชาโดว์มูนแห่ง 12 เทพขุนศึก ” นอฟฮอฟหันมาเหน็บเจนัสบ้าง แต่ทว่าทันทีที่เสียงของนอฟออฟถูกแปลกออกมาแม้จะไม่ดังนักแต่ทุกที่ได้ยินคำว่า12 เทพขุนศึก ในสำนักงานก็หันมาจับจ้องที่พวกเขากันหมดโดยเฉพาะทหารยามที่อยุ่ใกล้ที่สุด ก็รีบหันควับกลับมาทันที “ อ..เอ้อคือๆว่าม..ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่พุดเล่นๆน่ะครับไม่อะไรหรอกครับ ” Lr รีบแก้ตัวเป็นการใหญ่แต่ทหารยามกลับมองพวกเขาอย่างระแวง เมื่อเห็นดังนั้นวิล จึงรีบออกตัวแก้ทันที “ คิดว่าเด็กอย่างพวกเราจะเป็นพวก 12 เทพขุนศึกเหรอครับ คิดมากไปแล้วพวกผมน่ะไม่ได้เกี่ยอะไรด้วยซะหน่อย ” วิลกล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนจึงทำให้ทหารยามไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่นัก “ แน่นะ ” ทหารยามกล่าวเสียงดุ ทำให้พวกเขาสะดุ้งเล็กน้อยยกเว้นแต่เจนัสกับนอฟฮอฟ “ อ..เอ่อไม่ต้องกังวลไปหรอกครับเด็กเขาก็คงจะพูดเล่นกันไปเองนั่นแหล่ะครับ ถ้าหากพวกเขาเป็นศัตรูจริงจะบุกเข้ามาในนี้ทำไมกันล่ะครับและอีกอย่างพวกเขาก็เป็นคนที่ทาง เบื้องบนส่งมานะครับไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ” พนักงานที่เคยพาพวกเขาไปติดต่อกับทิโมธีเดินกลับเห็นเหตุการณ์ณ์พอดีเลยรีบเข้ามาแก้ต่างให้ทันที ทุกคนจึงยอมละสายตาแล้วกลับไปทำงานกันตามเดิม พวกเขจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที พนักงานพาพวกเขาออกมานอกสำนักงานจนไกลพอแล้วจึงหันมาคุยกับพวกเขา “ นี่พวกเธอเมื่อกี้เกือบไปแล้วนะรู้มั้ย ดีนะเนี่ยที่ท่านทิโมธีติดต่อมาไว้เมื่อสองวันก่อนว่าพวกท่านอาจจะมากับ 12 เทพขุนศึกคนหนึ่งด้วยตอนแรกข้าเองก็ตกใจเหมือนกันดีนะว่าพวกเจ้ามีใบรับรองจากเบื้องบนมา ด้วยเลยทำให้พอแก้ต่างไปได้ไม่ง้นละก็พวกเจ้ามีหวังโดนพาไปสอบสวนแน่ ” พนักงานกล่าวอย่างโล่งใจที่เขามาทันซะก่อนที่จะวุ่นวาย แต่ทว่าเจนัสกับนอฟออฟกลับ รู้สึกผิดปกติในคำพูดของพนักงานเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนนัก “ ขอบคุณน่ะครับที่ช่วยเอาไว้ว่าแต่พวกเรามีเรื่องจะให้ช่วยหน่อยนะครับ ” Lr กล่าวขอบคุณก่อนจะขอร้องซึ่งพนักงานเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรจึงรับที่จะช่ย และเมื่อพวกเขายื่นเรื่องที่จะขอเข้าร่วมงานประลองด้วยดดยให้เจนัสเป็นตัวแทน พนักงานเองก็ดูจะไม่อยากซักเท่าไหร่นักเพราะเขารู้ตัวจริงของเจนัส แต่ว่าในตอนนี้เขาก็หาคนมาลงเพิ่มไม่ทันจึงรับข้อเสนอแต่โดยดีและพาพวกเขาไปลงทะเบียนทันที ……………. …….. …. ที่ลานกว้างของหมู่บ้านซึ่งบัดนี้ได้มีการตั้งเวทีที่พื้นสร้างขึ้นจากกระดานไม้ขึงด้วยผ้าขาวสะอาด และล้อมเวทีไว้ด้วยเชือกหนังเส้นใหญ่ห้าเส้นขึงเป็นจัสตุรัสอยู่ ซึ่งบัดนี้ภายในงานเริ่มีผู้คนทยอยกันมาดู ตอนนี้นีน่าได้เดินตรงไปยังเต็นท์นักกีฬา นางเดินเข้าไปและมองไปรอบๆเต็นท์ภายในเต็นท์เต็มไปด้วย พวกพี่เลี้ยงที่ตามมาเตรียมตัวนักกีฬาของพวกเขาซึ่งมีทั้งครึ่งสมิง มนุษย์หรือแม้แต่สมิงก็มี นางมองหาอยู่ซักพักก็เจอเด็กครึ่งสมิงผมสีเทา ลากูน่าที่ตอนนี้เขาอยู่ในกางเกงนักกีฬาสีน้ำเงินที่รับมาตอนไปสมัครลงแข่ง กำลังจัดแจงสวมสนับมือผ้าอยู่ นางรีบตรงเข้าไปหาเขาทันที “ ลากูน่าพี่ไปดูมาแล้วล่ะรอบแรกเธอแข่งรอบที่สามล่ะ ” นีน่ากล่าวขณะที่ช่วยเขาสวมสนับมือผ้าอีกข้างนางมองเรือนร่างเขาซึ่งกำยำพอสมควร สมกับที่เขาเคยบอกกับนางว่าเคยฝึกวิชาหมัดมา ซึ่งนางเองก็ได้เห็นตอนที่พบเขาครั้งแรกที่ชายป่านอกหมู่บ้าน “ อ้ะขอบคุณนะครับพี่สาว ” ลากูน่ากล่าวขอบคุณซึ่งนางเองก็ดูจะมีสีหน้ากังวลนิดๆที่ต้องให้เขามาลงแข่งเสี่ยงเจ็บอย่างนี้ เพื่อให้นางได้ของที่นางอยากได้อยู่บ้างนางเงียบไปนานพอสมควรทำให้ลากูน่าต้องหันมาทักนางอีกคั้งนางจึงหันมาหาเขา “ ม…มีอะไรเหรอจ้ะ ” นางถามซึ่งลากูน่าเองก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยทำให้นางลุกลี้ลุกลนหาคำอธิบายทันที แต่ลากูน่าเองก็เอามือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะกับท่าทีชวนขบขันของนางที่ลุกลี้ลุกลนจน ใส่สนับให้เขากลับข้างเขาจึงดึงมันออกมาและค่อยๆสวมมันอีกทีด้วยตัวเอง “ กังวลอยู่หรือครับ ” ลากูน่ากล่าวขณะที่สายตายังคงวุ่นอยู่กับการใส่สนับมืออยู่ “ เอ่อคือว่าโทษทีนะจ้ะคือที่จริงพี่น่ะ.. ” ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวจบเขาก็ยกมือขึ้นมาห้ามซะก่อน ที่จะกุมมือทั้งสองไว้ระหว่างหัวเข่าทั้งสองหน้าของเขาก้มอยู่ไม่ได้เงยขึนมามองนางเลย ท่าทีของเขาทำให้นางพูดไม่ออกเพราะนางรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่เขาอยางทุกครั้ง ดูสมาธิและรู้สึกได้ถึงจิตสังหารผ่วๆที่เริ่มะไหลออกมาจากตัวเขา “ ถ้าห่วงว่าผมจะทำให้ใครตายหรือเปล่าล่ะก็ไม่ต้องห่วงครับ รับรองผมจะออมๆเอาไว้ไม่เอาถึงตายแน่นอน ” ลากูน่ากล่าวท่าทีของเขาในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับสุนัขป่าที่กำลังจะออกล่าเหยื่อ “ ลากูน่า…. ” นางกล่าวได้แค่นั้นที่จริงนางอยากจะบอกว่าเขาเข้าใจผิดเรื่องที่นางกำลังห่วงอยู่แต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ที่อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาแบบนี้ทั้งๆที่นางเองยังไม่ได้รับรู้เรื่องที่เขามีพลังเวทย์มนต์และถูกฝึกให้ประยุกต ์ใช้กับการต่อสู้เลยหรือว่าตัวเขาจะแสดงท่าทีเหมือนกับรู้แล้วว่านางเองก็เป็น 12 เทพขุนศึกแต่นางเองก็ยังไม่ได้ปริปาก เรื่องนี้เลย เพราะแม้ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานเหมือนกัน แต่นางเองก็ไม่เคยให้ลากูน่าเจอนางในสภาพครึ่งสมิงเลย แต่แล้วนางก็พึ่งรู้ว่าตนคิดมากเกินไป เมื่อเขาหันขึ้นมามองนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับเด็กๆในทุกที ทำให้นางวางใจ แต่ทว่านางเองก็ยังคงติดใจกับทีท่าของเขาเมื่อครู่อยู่ดีแต่ก็พยายามจะลืมๆมันไป “ ว่าแต่ลากูน่าจ้ะ ไม่ไปดูหน่อยเหรอว่าคู่แข่งเป็นใครน่ะ ” นางถาม แต่ลากูน่าก็ส่ายหัวไปมา “ ไม่ล่ะครับเพราะไม่ว่าจะเป็นใครผมก็ไม่อยากจะรู้ข้อมูลของคู่ต่อสู้ก่อนจะแข่งหรอกนะครับเพราะ พี่ชายสอนผมมาอย่างนั้น ” ลากูน่ากล่าวก่อนที่จะหันมากล่าวเล่นๆว่า “ และอีกอย่างผมน่ะไม่มีทางแพ้อยู่แล้วล่ะครับ ” ลากูน่าพูดอย่างมั่นใจ นางจึงยอมให้เขาทำสมาธิแข่งต่อไป ขณะเดียงกันที่เต้นนักกีฬาฝั่งตรงกันข้ามพวก Lr กำลังใส่สนับมือให้เจนัสอยู่หลังจากที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อย ซึ่งนอฟฮอฟที่บินออกไปดูตารางแข่งได้บินกลับเข้ามาหาพวกเขา “ นี่เราแข่งรอบสุดท้ายเลยยังมีเวลาอีกสักพักน่ะท่ายังไงจะไปสังเกตการณ์ดูหน่อยไหม ” นอฟออฟกระซิบกับพวกเขาเพื่อไม่ให้ดราก้อนออลลี่แปลงเสียงของเขาดังเกินไป “ ไม่ล่ะฉันจะไม่ขอรับรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายเด็ดขาด เพราะยังไงก็ไม่มีใครสู้ฉันได้อยุ่แล้ว ” เจนัสกล่าวอย่างมั่นใจทันทีที่ Lr ใส่สนับมือให้เสร็จเขาก็ขอทำสมาธิก่อนแข่งจึงขอให้พวกเขาทิ้งเขาไว้คนเดียวก่อน พวกเขาจึงตัดสินใจจะไปตามไลท์ที่ไปบอกเฟินกอลโล กับ เอิทธ์เรื่องนี้ โดยของให้พนักงานที่สำนักงานพาไปพบ เมื่อพวกเขาไปถึงการแข่งก็กำลังจะเริ่มพอดีไลท์ที่เดินออกมาจากซุ้มผู้ประกาศตรงมาหาพวกเขา “ ฉันบอกทั้งสองคนไปแล้วล่ะ ที่เหลือก็แค่ลุ้นให้เจ้าหมานั่นชนะก็พอ ” ไลท์กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่เพื่อนของเขาต้องถูกยกมาเป็นรางวัลเดิมพันกันอย่างนี้ วิลจึงเสนอให้พวกเขาปดูการแข่งที่เวทีเพราะตอนนี้ที่เต้นนักกีฬาห้ามคนนอกเข้าแล้ว พวกเขาจึงเดินแทรกเข้าไปใกล้เวทีและยืนดูการแข่งไปพลางๆ ขณะเดียงกันก็สมิงแมวป่านีน่าที่เดินมาหาที่ยืนก็เดินมายืนดูข้างๆพวกเขา “ หือพวกเธอเป็นใครน่ะไมเคยเห็นหน้าเลยนกเดินทางเหรอ ” นางหันไปถามพวกเขาทำให้พวกเขารุ้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ตอบกลับไปว่าใช่ “ เอ่อคุณก็มาดูการแข่งเหรอครับ ” Lr ถามนางบ้าง “ อ๋อเปล่าหรอกจ้ะพอดีน้องฉันลงแข่งงานนี้น่ะจ้ะเขาเก่งมากๆเลยล่ะ ” นางกล่าวท่ามกลางเสียงเชียที่เริ่มดังสนั่นเพราะการต่อสู้เริ่มดุเดือดทำให้ เขาได้ยินไม่ค่อยชัดนักแต่ก็พอจับความได้ “ พอดีเลยเพื่อนผมเองก็ลงแข่งด้วยเหมือนกัน ” เขากล่าวเสียงดังขึ้นเล็กน้อยซึ่งนางเองก็ได้ยินชัดเจนอยู่แล้วเพราะนางเป็นครึ่งสมิงประสาทสัมผัสหูจึง ดีกว่ามนุษย์เหมือนกับสมิง ซักพักเสียงก็เงียบลง เมื่อนักกีฬาคนนึงถูกชกจนสลบและกรรมการเข้าไปนับจบครบสิบอีกคนจึงเป็นฝ่ายชนะไป ขณะที่พี่เลี้ยงฝ่ายที่แพ้ขึ้นมาแบกตัวนักกีฬาท่แพ้ลงจากเวที ซึ่งเป็นอันจบคู่แรก “ งั้นหรือจ้ะแหมแย่จังเลยถ้ามาเจอกันก่อนรอบชิงละก็นะ ว่าแต่เพื่อนเธอน่ะเตือนให้ระวังเขาหน่อยละกันนะเพราะเขาหมัดหนักเหมือนกันถ้าโดนจังๆจะแย่เอานะ ” นางกล่าวหยอกเล่นๆแต่ Lr ก็อดขำไม่ได้เพราะในใจเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเพราะแทนที่นางจะมาห่วงเพื่องของเขาน่าจะห่วง้องของนางมากกว่า ทั้งคู่สนทนากันถึงนักกีฬาของตัวเองดดยหารู้ไม่เลยว่านักกีฬาของทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน “ ว่าแต่คุณจะเอาลูกมังกรไปทำอะไรล่ะครับ อีกอย่างทำไม่ที่นี่ถึงได้มีการจัดการแข่งประลองนี่ด้วยล่ะครับ ” Lr ยิงคำถามใส่นางแต่นางเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะตอบ “ คือว่าที่จริงแล้วฉันน่ะแค่อยากจได้น้ำตาของมังกรมาทำกระสุนปืนน่ะ น้องเขาก็เลยอาสาลงแข่งเพื่อฉันน่ะ ” คำตอบของนางทำเอาพวกเขาอึ้งพอสมควร “ ให้น้องชายลงแข่งเพราะจเอาน้ำตาเนี่ยนะ ไร้สาระสิ้นดี ” นอฟฮอฟเอ่ยเหน็บอีกครั้งซึ่ง Lr เองก็ตีหน้าทะตัวเองหันมาทำให้นอฟฮอฟยอมเงียบ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้ยิน ที่จริงนางได้ยินแล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่สนไปงั้นๆ “ ส่วนที่เขาจัดงานนี่ได้ยินมาว่า เพื่อสันหานักรบมาเข้ากลุ่มกองกำลังเพิ่มน่ะและเป็นการตรวจระดับฝีมือของคนในหมู่บ้านนี้ด้วย ” นางกล่าวจบ เสียงนับของกรรมการก็ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่คู่ที่สองขึ้นไป “ อ้ะขอตัวก่อนนะคู่ต่อไปน้องฉันลงน่ะจ้ะ ” นางกล่าวจบก็รีบเดินแทรกออกไปทันทีดดยที่พวกเขายังไม่ทันจะได้ตอบเลย “ เราเองก็รีบกลับไปกันเถอะเดี๋ยวจบคู่ที่สามก็ตาเราแล้วนะ ” ไลท์กล่าว ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยก่อนจะเดินแทรกออกมา “ เอาล่ะตาเธอแล้วนะลากูน่าสู้เค้านะ ” นางกล่าวให้กำลังใจขณะส่งเขาขึ้นเวทีก่อนนางจะเดินไปนั่งตรงที่นั่งพี่เลี้ยง เสียงกรรมการเริ่มการชนดังขึ้นได้เพียงเสี้ยววินาทีที่เริ่มการแข่งคู่ชกของลากุน่าก็โดน หมัดของลากูน่าซัดเข้าเต็มๆหน้าท้องจนล้มทั้งยืน กรรมการเข้าไปนับทันที แต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟื้น จึงตัดสินให้ลากูน่าเป็นฝ่ายชนะสร้างความฮือฮาให้แก่ฝูงชนที่มาดูไม่น้อย “ เฮ้อย่างที่คิดไม่มีผิดเลยถ้าเป็นแบบนี้ไปจนจบละก็เลิกงานเมื่อไหร่มีหวังดดนกองทัพทาบทามให้ไปเป็นแม่ทัพแน่ ” นางรำพันกับตัวเองขณะที่จ้องไปที่เวทีพรน้อมกับส่งยิ้มให้ลากูน่า ก่อนจะลุกไปรับเขาเพื่อกลับไปพัที่เต็นท์นักกีฬาอีกครั้ง “ แต่ว่าเด็กนั่นกับลูกมังกร จะใช่คนที่ทางองค์กรกำลังตามตัวอยู่หรือเปบ่านะแต่จำนวนมังกรมัน ไม่ครบนี่หรือว่าการที่พวก มันมาลงแข่งนี่ก็เพื่อทวงเพื่อนๆของพวกมันที่เป็นรางวัลในการแข่งครั้งนี้งั้นคนที่ลงแข่งที่บอกว่าเป็น เพื่อนมันบางทีอาจจะ…หึช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้นะดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาจบงานเมื่อไหร่ฉัน จะไม่ปล่อยให้หลุดมือเลย ” ……………….. …………. …….. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 16 ตำนาน แล้วจ้า Post by: greamon on May 11, 2008, 06:09:31 PM “ ช่วยหน่อยนะ เพราะนายคือคนเดียวที่สามารถสู้ได้ตอนนี้น่ะ ”
Lr กล่าวแต่เจนัสดูจะเอือมระอากับคำพูดของเขา “ บอกแล้วไงว่าฉันยินดีช่วยส่วนถ้าจะมาห่วงฉันละก็หึ ก็อย่างที่ว่าไปน่ะแหล่ะ ” เจนัสกล่าวก่อนจะหันหลังเดินขึ้นเวทีไป “ รู้แล้วล่ะน่า ว่าให้ไปห่วงคู่ชกจะดีกว่าใช่มั้ยเฮ้อหลงตัวเองชะมัดเลยถ้าแพ้นะจะสมน้ำหน้าให้ ” Lr บ่นไปพลางขณะที่กำลังจะไปนั่งที่พักพี่เลี้ยง “ เอาน่าไหนเขาก็ลงให้แล้ว ” วิลกล่าวขณะที่เสียงเริ่มการชกของกรรมการดังขึ้นและเช่นเดียวกับคู่ที่แล้ว เมื่อพวกเขากำลังจะนั่งลงเพื่อดูการแข่งของเจนัสคู่ชกของเขาก็โดนเสยปลายคางร่วงลงไปนอนอ้าซ่ากับ พื้นเวทีสลบไสลไม่ได้สติ โดยที่เจนัสยังตั้งท่าชกค้างอยู่เลยก่อนจะลดแขนลง ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขาแทบจะหยุดนิ่งกันไปเลย กรรมการนับจนครบอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะฟื้นจึงตัดสินให้เจนัสชนะไป เมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปรับเจนัสกลับเต็นท์ที่พักนักกีฬา “ หึไม่ต้องห่วงหรอกสภาพนั้นน่ะคงจะไม่ได้สติไปซักวันล่ะพรุ่งนี้ก็ฟื้น ” เจนัสกล่าวขณะที่บนเวทีพี่เลี้ยงและแพทย์สนามยังคงพยายามเรียกสติของนักกีฬาอยู่เลย “ จะจบโดยไม่มีใครตายไหมเนี่ย ” Lr กล่าว “ นั่นสิ ” วิลเสริมอย่างกังวล ก่อนที่จะตามเจนัสกลับไปที่เต็นท์ ผ่านไป 10 นาที การแข่งรอบลองก็เริ่มโดยพวกเขาได้ชกคู่สุดท้ายเช่นเคย ด้านนีน่าที่ส่งลากูน่าขึ้นเวทีไปแล้ว ก็เดินลงไปรอตรงทางออกไปยังเต็นท์ ทันทีเพราะไม่ทันไรลากูน่าก็ลงจากเวทีมาแล้วพร้อมกับที่คู่ชกของเขาอยู่ในสภาพปางตายไปอีกคนโดย คราวนี้ดูเหมือนว่าเขาจะซัดคู่ชกไปหลายหมัดพอดู พวกเขาทั้งสองเดินกลับไปที่เต็นท์เลยโดยไม่ดูผลการแข่งคู่ต่อไปเลย เพื่อเตรียมรอแข่งรอบชิง เช่นกันคู่ต่อมาคือคู่ของเจนัสก็จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่คราวนี้คู่ชกของเขาซี่โครงซ้ายหักสองซี่ เมื่อมาถึงรอบชิง ทั้งสองฝ่ายก็ส่งนักกีฬาขึ้นสู่เวทีโดยคิดว่าคงจะจบอย่างรวดเร็วเช่นเคยแต่ทันทีที่พวกเขาฟังประกาศ ชื่อนักกีฬาก็แทบจะหันควับมาพร้อมกันทั้งคู่รวมถึงนักกีฬาทั้งสองด้วย “ คู่ชิงในวันนี้มุมน้ำเงินครึ่งสมิงสีเงินผู้มีสยบคู่ชกภายในพริบตา ลากูน่า ” ทันทีที่ประกาศชื่อเสร็จเจนัสและพวก Lr ก็หันยังเวทีด้วยความสนใจทันที ก่อนที่ลากูน่าจะขึ้นเวทีมา และทันทีที่จะประกาศชื่อของเจนัส เจนัสก็เดินมาที่มุมเวทีก่อน “ และมุมแดงสมิงสีดำผู้สยบคู่ต่อสู้ในพริบตาเช่นเดียวกัน เจนัส ” สิ้นสุดการประกาศทั้งสองก็ได้มายืนประจันหน้ากันอยู่กลางเวที ก่อนที่กรรมการจะเข้ามาเริ่มการแข่ง “ ม..เมื่อกี้นี้หมอนันชื่อลากูน่าใช่มั้ย ” Lr กล่าวอย่างละล่ำละลักทันทีที่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายเช่นกันนีน่าเองก็แทบจะไม่อยากเชื่อว่าตนเองสันนิษฐานถูกจริงๆ บัดนี้พวกเขาสองพี่น้องต้องมาประจันหน้ากันบนสนามต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ “ เฮ้ถ้างั้นนั่นก็เป็นน้องชายของเจ้านั่นน่ะสิ ” วิลกล่าว “ ลากูน่า ” เจนัสกล่าวลอยๆพลางจ้องไปที่ตาของผู้เป็นน้องชาย “ พี่.. ” ลากูน่าเองก็เช่นกันตาของทั้งสองจ้องลึกลงไปก่อนที่เสียงเริ่มกันชกของกรมการจะดังขึ้นจึงดึงสติของทั้งคู่กลับมา ทั้งคู่ยืนดูเชิงกันสักพักก่อนจะเริ่มจะซัดหมัดใส่กันอย่างปราณี “ คงยังจำได้นะลากูน่าสัญญาในวันนั้นน่ะ ” เจนัสคิดในในขณะที่คอยหลบหมัดและหาช่องว่างที่ชกกลับไป “ แน่นอนครับพี่คำมั่นในวันนั้นน่ะ ” ลากูน่าคิดขณะที่ยกแขนขึ้นปัดป้องหมัดแล้วชกสวนออกไผพลาง การชกของทั้งสองรวดเร็วและรุนแรงมากมีดังปักๆทุกครั้งที่ ทั้งคู่ออกหมัดใส่กันจนทั่วทั้งเวทีเงียบกริบ ได้แต่อึ้งกับการชกตรงหน้าต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทั้งสองเริ่มที่จะละรึกความทรงจำถึงคำสัญญาที่ทำให้ทั้งคู่ลงมือใส่กันอย่างไม่รามือ เมื่อ 1 ปีก่อน “ การเข้ารับทดสอบเป็นเทพขุนพลในวันพรุ่งนี้มีกติกาง่ายๆแค่อย่างเดียวข้าจะอธิบายให้ฟังข้าจะให้ เจ้าสองคนที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีแล้วต่อสู้กันตัวต่อตัวโดยไม่มีอาวุธและสูกัยตัวเปล่าในร่างครึ่งสมิงและ จำกัดการแปลงร่างด้วยและการต่อสู้จะจบลงที่ใครคนใดคนหนึ่งต้อง ……. ตาย ” เซอร์เซสกล่าวต่อหน้าของเจนัสและครึ่งสมิงพังพอนผมสีทองที่ยืนอยู่ด้วยกันก่อนที่จะเดินกลับอกไปและ ทิ้งพวกเขาไว้ในห้องฝึก ซึ่งลากูน่าเองกฌได้ฟังผลอยู่ด้วยกัน “ อ…อะไรกันจะให้ท่านพี่กับริคุมาสู้กันจนตาย ยังงี้มันจงใจชัดๆ ” ลากูน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างที่สุด ริคุที่ว่าคือครึ่งสมิงพังพอนที่ฝึกร่วมกับพวกเขาสองพี่น้องมาโดยตลอดจนลากูน่าเองยังคิดว่าเขาเป็นเสมือน พี่ชายแท้ๆอีกคน ใช่แล้วเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือตอนก่อนที่เจนัสจะได้เป็น 12 เทพขุนศึก ซึ่งบททดสอบการเข้ารับเป็นแม่ทัพจะต้องสู้กับครึ่งสมิงพังพอนริคุที่เป็นเพื่อนแท้ของเขา ริคุถูกเซอร์เซสจบตัวมาโดยเขาได้สูญเสียน้องชายไปหลังจากที่ต้องผลัดหลงกับครอบครัวและอยู่ด้วย กันเพียงแค่สองพี่น้อง แต่เซอร์เซสก็ได้จับตัวเขามาดดยฆ่าน้องชายทิ้งซะเพราะไม่มีทักษะการต่อสู้ “ จะเอายังไงดีล่ะริคุถ้าจะเป็นเทพขุนพลเราคนใดคนหนึ่งจะต้องตายนะ ” เจหันไปถามริคุที่ยังเงียบอยู่ “ อืมก็คงเลี่ยงไม่ได้ล่ะ เพราะหากพวกเราไปรับการทดสอบนีมันก็จะฆ่าเราทั้งคู่ แล้วยังงั้นลากูน่าก็จะไม่มีใครดูแลนะ ” ริคุกล่าวขณะที่มองลากูน่าอย่างเวทนา ศึกนี้พวกเขาคนใดคนนึงจะต้องยอมเสียสละชีวิตให้กับอีกฝ่าย ซึ่งเจนัสเองก็หนักใจกับสถานการณ์นี้ไม่น้อย เพราะเขาจะต้องมาฆ่าเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน ด้วยมือของเขาเอง ลากูน่าที่เริ่มจะใจไม่ดีกับท่าทีของทั้งสองก็เริ่มที่จะร้องไห้จนเขาต้องเข้าไปปลอบน้องชาย “ นี่ริคุ ” เจนัสเรียกริคุที่กำลังใช้ความคิดหาทางรอดอยู่ “ อะไรเหรอเจนัส ” ริคุหันมาถามซึ่งเจนัสได้บอกให้น้องชายของเขาออกไปก่อนซึ่งเขาก็ยอมไปแม้จะไม่เต็มใจนัก “ ในวันพรุ่งนี้ถ้าเกิดฉันเป็นอะไรไปล่ะก็นายช่วยดูแลลากูน่าแทนฉันทีนะ ” เจนัสกล่าวคำพูดของเขาทำให้ริคุอยากจะปฏิเสธเพราะเขาไม่มีวันฆ่าเพื่อนของเขาได้ลงคอ แต่ครั้นเมื่อเขาจะปฏิเสธก็กลับพูดไม่ออกเพราะท่าทีของเจนัส ในที่สุดเขาจึงยอม “ ก็ได้เจนัสแต่ว่าการต่อสู้วันพรุ่งนี้น่ะนายกับฉันจะต้องเอาจริงทั้งคู่นะ จะไม่มีการออมมือ ให้กันอย่างเด็ดขาด ” ริคุกล่าวเจนัสจึงหันกลับมาด้วยสายตาที่มุ่งมันแม้จะเจ็บปวดที่ต้องทำแบบนั้แต่นี่คือทางเลือกที่ดี ที่สุดเพราะต่างฝ่ายก็ไม่อยากจะต้องให้ใครจากไปทั้งนั้นเขาจึงตอบตกลง โดยทีลากูน่าแอบฟังการสนทนาอยู่อย่างเงียบด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ในวันต่อมาทั้งคู่สู้กันในสนามประลองอย่างเต็มที่ ดดยที่ลากูน่ายืนอยู่นอกสนามอย่างขมขื่น สภาพที่พี่ชายและเพื่อนของพี่ชายในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ อยู่ในอาการสาหัสต่างมีรอยช้ำทั่วร่าง โหนกคิ้วแตกเลือดอาบกันทั้งคู่ ทั้งสองฝ่ายสู้กันจนแทบจะถึงขีดสุดแล้ว ทั้งคู่เริ่มที่จะอ่อนแรงลง เจนัสมีเลือดออกที่แผลแตกมากขึ้น ส่วนริคุเองก็ตาพร่าแล้วทั้งสองตั้งท่าพร้มที่จะเข้าแลกหมัดกันอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้พวกเขาสะสมพลังไว้อย่างเต็มที่ ก่อนจะพุ่งเข้าหากันกำปั้นของเจนัสเล็งเข้าที่ชายดครงของริคุส่วนกำปั้นของริคุเล็งที่ปลายคางกำปั้นของ ริคุเร็วกว่าของเจนัสซึ่งหากโดนเข้าไปเจนัสคงจะสลบเป็นแน่และเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะต้องซ้อมเพื่อของเขาจนตาย แม้จะไม่อยากแต่ด้วยสัญญาที่เขาให้ไว้กับเจนัสเขาจึงไม่มีทางเลือก ลากูน่าที่เห็นเช่นนั้นก็ตะโกนเรียกชื่อพี่ชายอกมาด้วยความเจ็บแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ริคุที่เห็ยเช่นนั้นก็นึกย้อนถึงวันที่โดนเซอร์เซสจับตัวมาและพรากน้องชายไปจากเขา ริคุผ่อนแรงหมัดลงทำให้ความเร็วตกหมัดของเจนัสจึงเข้าเต็มๆที่ชายโครงของเขา เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาเจนัสที่ชกไปแทบ จะไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้เขาจะล้มเพื่อนของเขาไปแล้ว แต่เขาก็รูทันทีว่าริคุผ่อนแรงลง ริคุล้มตัวลงด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ไม่แสดงออกมาให้เด่นชัดนักเพราะถูกฝึกมา “ ริคุนาย.. ” เจนัสกล่าวได้เพียงเท่านี้เพราะเขาถูกริคุห้ามเอาไว้ “ เจนัส…แฮ่กๆ ฉันขอโทษที่ต้อง….ผิดสัญญาแต่ฉันทนไม่ได้..แฮ่กๆ ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นพี่น้องถูกพรากจากไปอีก ..พวกนายในตอนนี้เหมือนกันมาก อึก..กับฉันในตอนนั้น ” ริคุกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ความบอบช้ำทำให้เขาแทบจะพูดไม่ออกด้วยซ้ำแต่เขาก็ทนกัดฟันพูดออกมา เจนัสที่เห็นร่างของเพื่อนล้มลงอยู่ตรงหน้าก็คิดจะเข้าไปช่วยแตทว่าริคุก็ยกมือขึ้นห้ามปรามเขาไว เพราะเซอร์เซสเริ่มระแคระคายกับการกระทำของทั้งคู่แล้ว ริคุเห็นว่าเวลาเหลือน้อยลงทุกทีเขาจึงตัดสินกล่าวสั่งเสียโดยเร็วที่สุด “ อึกรีบเข้าเถอะเจนัส… ” ริคุกล่าวอึกอักแต่เจนัสเองยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ริคุจึงพยายามที่จะกล่าวต่อให้จบแม้สติจะเริ่มเลือนรางแล้ว “ ฆ่าฉันซะเจนัส… ” ริคุกล่าวแต่เมื่อเห็นว่าเจนัสยังรีรอที่จะไม่ทำเพราะเขาไม่อาจจะตัดใจฆ่าเพื่อนของเขาได้ ริคุจึงคิดหาทางที่จะทำให้เจนัสยอม ทำตาม “ ทำซะเจนัสไม่งั้นเราจะตายทั้งคู่นะ นายจะปล่อยใหลากูน่าต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลังงั้นเหรอ… ” คำพูดของริคุเสียดแทงเข้าไปในใจของเจนัส ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้เจนัสต้องทำจริงๆเพราะแม้เขาอยากจะให้ริคุเป็นคนฆ่าก็ตามท ีแต่ตอนนี้ริคุไม่อยู่ในสภาพที่จะสู้ได้แล้ว หลังจากที่เขาพึ่งจะหักกระดูกซี่โครงของผู้เป็นเพื่อนไป แม้จะเจ็บปวดที่ต้องทำแต่ก็ไม่อาจเล่ยงได้ เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงเกร็งหมัดแน่นก่อนที่จะก้มลงและง้างกำปั้นขึ้น ริคุเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเบาใจขึ้นมาทันที “ เจนัสอย่าโทษตัวเองเลยนะ แม้ว่า..แค่ก จะฆ่าฉันแต่ฉันจะถืซะว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้นายได้ เพราะฉันไม่มีอะไรต้องให้ห่วงอีกแล้วดังนั้นคนที่สมควรจะไป…คือฉัน ชีวิตนี้ฉันยกให้นาย…เจ..นัส ” สิ้นคำของริคุ เขาก็หมดสติไปเจนัสจึงลงซ้อม ผู้เป็นเพื่อนทั้งน้ำตาอย่างเจ็บแค้นที่ทางเลือกบีบจนต้องลงมือฆ่าเพื่อนที่รว่มฝึกกันมา เจนัสซ้อมริคุจนถึงแก่ชีวิต เขาจึงรามือและทิ้งร่างไร้วิญญาณของครึ่งสมิงพังพอนที่อาบไปด้วยเลือด ไว้บนพื้นสนาม เขาเอามือที่เปื้อนเลือด ปาดคราบน้ำตาทิ้งเลือดของผู้เป็นเพื่อนจึงชะโลม ไปรอบขอบตาของเขาแววตาของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นสายตาที่เย็นชา ราวกับปีศาจที่ไร้วิญญาณ ลากูน่าในตอนนั้น เองก็เริ่มที่จะกลัวพี่ชายของเขา และในคืนนั้นหลังจากที่ทำแผลเรียบร้อยแล้ว ในห้องพักของสองพี่น้องเจนัสที่ยังคงเอาแต่จ้องมองผ่านหน้าต่างออกไป ดดยที่ในใจยังคงไม่อาจตัดภาพสุดท้ายที่ริคุสั่งเสียเอาไว้ได้ ลากูน่าที่เพิ่งจะเปิดประตูห้องเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ พี่ครับเพราะผมใช่มั้ยครับ… ” ลากูน่ากล่าว แต่ะเจนัสเองก็ดูท่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไรกับท่าทีของเขาเลย “ เพราะผมสินะพี่ริคุถึงต้อง…. ” เขากล่าวได้เพียงเท่านั้นเพราะความเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนที่เป็นเสมือนพี่ชายไปทำให้เขาไม่อาจจะก่าวต่อไปได้ แม้จะเงียบอยู่นานแล้วแต่เจนัสเองก็ไม่ได้หันมาสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย “ แล้วนายจะให้ทำยังไงล่ะ อยากให้พี่ตายแทนงั้นเหรอ ” เจนัสกล่าวเสียงเรียบ แต่ด้วยวาจานั้นถึงกับทำให้ลากูน่ารีบส่ยหัวทันที “ ม..ไม่ใช่นะครับผมจะอยากให้ท่านพี่ตายทำไมกันล่ะ ” เขากล่าว เม็ดน้ำตาเริ่มที่จะไหลรินออกมา “ อย่าร้องนะลากูน่า… ” เจนัสกล่าวทำให้เขารีบปาดเม็ดน้ำตาออกทันที ก่อนที่พี่ชายจะหันกลับมา สายตาของเขากลับเป็นพี่ชายคนเดินแล้ว แต่ทว่านี่กลับไม่ใช่สายตาที่เจนัสใช้กับผู้เป็นน้อง ในตอนนี้ลากูน่าเองก็ยังไม่เข้าใจถึงสายตาที่แฝงความนัยนี้เลย “ ริคุบอกก่อนจะตายว่า ชีวิตนี้เขายกให้พวกเราแล้ว ” เจนัสกล่าวจบก็หันหลังกลับไปตามเดิม ทิ้งไว้ให้ลากูน่าฉงนกับสายตาเมื่อครู่ แต่เมื่อเห็นว่าพี่ชายยังไม่ร้อมที่จะอธิบายเขาจึงตัดสินใจที่จะให้พี่เขาอยู่คนเดียวซักพัก จึงหันหลังกลับออกไป “ ลากูน่า.. ” เสียงของเจนัสดังมาทำให้เขาหยุดเดินไปเพื่อฟังสิ่งที่พี่ชายจะพูด “ ครั้งหน้าหากเราสองคนต้องเผชิญหน้ากัน จงละทิ้งความเป็นพี่น้องซะแล้วเข้าปะทะอย่างสุดกำลัง หากถึงตอนนั้นแล้วนายยังตัดใจไม่ได้อยู่ละก็ฉันจะเป็นคนจบชีวิตนายเอง.. ” สิ้นคำของเจนัส เขาก็เงียบไป ในตอนนี้เขาคิดว่าพี่ของเขาคงจะเจ็บแค้นทั้งเรื่องที่สัญญาของพวกพี่ชายต้อง มาขาดกลางคันและยังต้องฝืนฆ่าเพื่อนไปทั้งที่ไม่อยากทำ “ ครับเมื่อถึงตอนนั้นผมจะโค่นท่านพี่ลงให้ได้เลย ” ลากูน่าตอบรับสัญญาที่สืทอดต่อมาอย่างไม่ลังเลก่อนจะออกจากห้องไป ……………………………….. ……………………. ……………. ขณะนี้พวเขาทั้งคู่ยังคงผลดกนแลกหมัดอย่างไม่ยั้งมือ ทำเอาทั้งสนามแทบจะเงียบไปเลย พวก Lr ต่างเฝ้ามองอย่างลุ้นระทึก การชกของพวกเขาดำเนินไปโดยดูไม่ออกเลยว่าฝ่ายไหนได้เปรียบกว่ากัน จนกระทั่งลากูน่าพลาดท่าเปิดช่องว่างให้ เจนัสผู้เป็นพี่จึงซัดหมัดเข้าเต็มๆหน้าท้องของเขา จนตัวคู้ลงมาจากความแรงของหมัด ทำเอาเขากระเด็นไปติดเชือกที่ขึงไว้ เจนัสตามเข้ามาซ้ำอีกทีอย่างรวดเร็วโดยซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนหน้าของเขาหันไปตามแรงชก และอาศัยช่วงศอกที่ยื่นอกไปตอนที่ชก ฟันศอกเข้าที่คิ้วซ้ายของเขาจนแตกด้วยแรงจากการเหี่ยวกลับและพลังเวทย์ที่อาบร่างเอาไว้ทำให้การ โจมตีแต่ละครั้งล้วนหนัหน่วงชนิดที่คนธรรมดาไม่มีทางทนได้ โลหิตสีแดงไหลออกมาชะโลมร่างของเขาอย่างช้าๆ แม้จะยังเสียหลักอยู่แต่เขาก็รีบตั้ง การ์ดอย่างรวดเร็วเพื่อรับกระบรวนท่าต่อไป เขาจึงได้สังเกตว่าสายตาของพี่ชายเป็นสายตาเดียวกับที่เขาได้เห็นเมื่อปีก่อนสายตาที่เขาเคยสงสัย บัดนี้เมื่อได้มาประหมัดกับผู้เป็นพี่จึงได้เข้าใจคำพูดทั้งหมดที่พี่เคยบอกกับเขา ละทิ้งความเป็นพี่น้องและเข้าปะทะกันอย่างสุดกำลัง นั่นเพราะสายตาที่พี่จ้องมองเขาอยู่เป็นสายตาที่เขาใช้กับเพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับ พี่ชายคงจะเห็นเงาของเพื่อนซ้อนทับกับเงาของเค้า ตอนนี้เขาถูกไล่ต้อนจนติดมุมไม่สามารถที่จะปลีกออกไปได้เลย จึงถูกบีบให้รับอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อเขาเข้าใจถึงสิ่งที่พี่ชายพูดแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะลังเลหากจะต้อง ชกพี่ชายตัวเองเพราะที่ไม่ใช่การต่อสู้หากแต่เป็นการทำให้สัญญาที่เคยให้กันไว้ลุล่วง เขาเริ่มโต้กลับทันทีแต่ทว่าก็ยังคงพลาดท่าถูกซัดหน้าท้องเข้าอีกทีจนแทบจะล้มทั้งยืนแต่ ด้วยความมุ่งมั่น เขาจึงยังทรงตัวไว้ได้ ก่อนจะฟันศอกสวนกลับเข้าที่คิ้วขวาของพี่ชายจนเป็นแผลแตก ด้วยว่าพลังเวทย์ที่เข้มแข็งกว่าของพี่ชายการศอกครั้งนี้จึงหนักหน่วงกว่าที่เขาโดนจากพี่ชาย ด้วยแรงกระแทกทำให้เลือดไหลกระฉูดออกมามาก และไหลย้อมร่างของเจนัสจนทั้งร่างแทบจะย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด ความเจ็บปวดที่ได้รับทำเอาทั้งร่างของเขาสะท้านไปหมด จนถึงกับเซ ถลา มากลางเวที ลากูน่าจึงอาศัยจังหวะนี้ผลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุก โดยซัดหน้าของพี่ชายพร้อมกับใช้การฟันศอกหลังจากที่ชกออกไปแบบเดียวกับที่เขาโดนจนเกิดแผลแตกที่คิ้วอีกข้าง เจนัส แทบจะหมดสติเอาเสียตรงนั้น แต่เขาก็ยังคงทรงตัวไว้ได้ ตอนนี้เขาได้รับรู้แล้วว่าน้องชายของเขาเข้าใจถึงสัญญาที่ให้ไว้แล้ว จึงตัดสินใจที่จะเอาจิง ดดยเริ่มเร่งพลังเวทย์ที่เสริมร่างกายเอาไว้จนสุด ลากูน่าเองก็เช่นกัน พวกลูกมังกรที่สัมผัสไวต่อพลังมนตรา ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด กับแรงกดจากพลังเวทย์ของทั้งสอง จากการนี้การชกของทั้งคู่จึงทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ชมเริ่มส่งเสียงเชียร์ อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เมื่อการต่อสู้เริ่มที่จะเล่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ เจนัสฟันศอกใส่คิ้วอีกข้างของ ลากูน่าจนแตกเช่นกัน บัดนี้ร่างของทั้งสองแทบจะอาบชโลมไปด้วยเลือด เจนัสรีบตามซ้ำต่อทันทีโดยซัดหน้าท้องลากูน่าอย่างจังอีกครั้งความรุนแรงของการชกครั้งนี้แม้จะมีเกราะ พลังเวทย์อาบเอาไว้ก็ตาม ทันทีที่หมัดเข้าปะทะ ความจุกเสียดก็แล่นเข้ามาอย่างรวดเร็วเขารู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ออกไปชั่วครู่ก่อนที่จะโดนเสยปลายคาง จนกระเด็นไปติดเชือกอีกครั้ง และถูกหมัดซ้ายอัดจนสลบลงไปกับพื้น กรรมการเข้ามานับทันที แต่ลากูน่าก็พยายามยันร่างของเขาขึ้นมาแม้ ร่างกายจะระบมไปหมดราวกับจะบอกว่าให้ยอมแพ้แต่ความมุ่งมั่นที่จะทำสัญญาให้ลุล่วง ก็เป็นแรงพลังให้เขา ลุกขึ้นยืนมาได้อีกครั้ง กรรมการดูอาการของเขา แล้วแม้จะอยากสั่งยุติการชกแต่สายตาของทั้งคู่ดูจะยังไม่ยอมเลิกรากันง่าย และเสียงโห่ของคนดูที่บอกให้ชกต่อ แม้จะไม่อยากกรรมการจึงอนุญาตให้ชกต่อได้ การต่อสู้จึงเริ่มอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายบุกก่อนบ้าง เขาเร่งพลังเวทย์อีกครั้งก่อนจะ ซัดเข้าไปที่หน้าท้องของพี่ชายอย่างรุนแรง จนพี่ชายของเขาล้มลงไปนอนเช่นกัน เจนัสรู้สึกหายใจติดๆขัดทันที หลังจากที่ดดนซัด ร่างกายได้รบความบอบช้ำมากและความล้าเริ่มถาโถม เขาจนแทบจะหมดสติแต่ เขาก็ยังฝืนที่จะลุกขึ้นมาเพื่อสู้ต่อ หลังจากที่ผลักกันล้มไปคนละที ทั้งคูก็เริ่มเหนื่อยอ่อนลงทันที เมื่อคิดได้ดังนั้น ลากุน่าจึงตัดสินกางขาออกเล็กนอยเพื่อที่ได้ยืนปักหลักได้ นี่คือสญญาณที่ว่าเขาพร้อมที่จะแลกหมัดโดยไม่หนีอีกแล้วเจนัสเองก็เช่นกันตอนนี้เขาไม่มีแรงพอที่จะหลบแล้ว จึงยอมที่รับคำท้านั้นและยืนปัหลักแลกหมัดกับน้องชาย ทันทีที่กรรมการเริ่มการชก พวกเขาก็แลกหมัดกันโดยไม่หลบหรือป้องกันเลยต่างฝ่ายต่างแลกหมัดกัน อย่างรุนแรงและรวดเร็วขณะที่หมัดกระแทกเข้ากับร่างกายก็มีเสียงดังราวกับกระดูกของทั้งสองฝ่ายกระทบกันตรงๆ ส่งผลให้คนดูเริ่มเชียร์กันอย่างดุเดือดกว่าเดิม หลังจากผ่านการชกอย่างดุเดือด ทังสองเริ่มที่จะล้าแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครเสียท่าให้แก่กันเลยสนับมือผ้าของทั้งคู่ ขาดหวิ่นราวกับถูกกรีด อันเป็นจากการเสริมพลังเวทย์ให้แก่ร่างกาย สนับมือผ้าสีขาวที่ทั้งคู่ใช้ตอนนี้มันเปื้อนไปด้วยเลือดจนแทบจะกลายเป็นสีแดง เพราะเลือด ทั้งคู่จ้องตากันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มออกหมัดอีกครั้ง “ ขืนยังแลกหมัดกันยังงี้คงไม่จบแน่ถ้างั้น ” ทั้งคู่คิด หลังจากที่แลกหมัดกันมานาน แล้วจึงคิดเปลี่ยนวิธีอีกครั้ง ลากูน่าเล็งเป้าหมายใหม่นอกจากใบหน้าและหน้าท้องเพราะพวกเขาเองก็ละเงตรงจุดที่คิดว่าน่าจะจัดการอีก ฝ่ายได้แต่มันก็ทำได้แค่ให้เจ็บแบบสุดๆเท่านั้นและอีกอย่างตอนนี้ทั้งคู่ก็เละไปด้วยเลือด แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปซ้ำให้เลือดมันไหลลงเวทีจนเปรอะไปหมด พวกเขาจึงคิดที่จะเปลี่ยนจากการทำให้บาดเจ็บหรือจุกจนสลบมาเป็น การหักกระดูกแทนตามแบบการฝึกที่ได้รับมาตอนที่ยังเรียนกับเซอร์เซสอยู่ ลากูน่าเล็งเป้าไปที่กระดูกชายโครงเพื่อหวังจะทำให้กระดูกชายโครงของพี่ชายหักจนทรงตัวไม่ไหว แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันชกออกไปเจนัสก็ชกเข้าที่กระดูกหัวไหล่ของเขาอย่างแรง ความเจ็บปวดที่ราวกับไหล่จะหลุดออกมาซะให้ได้เข้าถาโถมจนหมัดที่ชกออกไป ตกเอากลางคัน เจนัมสจึงถือโอกาสซ้ำต่ออีกทีดดยฟนศอกไปที่ชายโครงของลากูน่า เสียงหมัดที่เจาะทะลุเกราะพลังเวทย์บวกกับแรงกระทบจากหมัดที่กระดูกชายโครง ทำเอาคนดูเงียบทันที ลากูน่าที่โดนซัดเข้าไปยังจังร่างของเขาแทบจะล้มเอาเสียให้ได้แต่เขายังคงฝืนสู้ต่อไป โดยอาศัยจังหวะที่ถูกซัด ฟันศอกเข้าไปที่ขมับของพี่ชายจนหน้าหันไปตามแรงและฉวยโอกาศนั้นซัดอีกหมัด เข้าที่ชายโครงเช่นกัน คนดูบางคนเริ่มที่จะโห่ให้ยุติการชกบ้างแต่ทว่าดดยส่วนใหญ่เริ่มที่จะเชียร์อย่างรุนแรงกว่าเดิมผู้ชมบางคน ถึงกับหลุดปากออกมาว่าให้ฆ่ากันให้ตายไปเลย ทำเอาพวก Lr กังวลไปตามกันว่า การประลองนี้จะจบลงโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายนึงต้องตาย นีน่าที่มองดูการสู้ของทั้งคู่ได้แต่จ้องมองด้วยความรู้สึกอึดอัดกับพลังเวทย์ของทั้งคู่ นางกำปืนที่กระชับไว้ที่เอวแน่นเหงื่อไหลอาบมือนางจนชุ่ม การชกของทั้งคู่ยังคงทวีความรุนแรงและป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยจากการหักกระดูกเพื่อให้อีกฝ่ายหมดสภาพ ก็เริ่มจะกลายมาเป็นการ ชกคอหอยให้ตายไปข้างนึงแทน ทั้งคู่ในตอนนี้ราวกับหมาป่าที่สู้กันเพื่อเอาชีวิตอีกฝ่าย สติของทั้งคู่ตอนนี้คงหลุดลอยไปแล้วเหลือแต่เพียงสัญชาตญาณที่ยัง สั่งให้โค่นคู่ต่อสู้ตรงหน้าซะ โชคยังดีที่ก่อนชึ้นชกทั้งคู่ทำทีว่าจะทำสมาธิก่อนแข่งจริงๆแล้วคือการผนึกพลังการจำแลงกายลงไปใน ศิลาจันทรา และฝากเอาไว้กับพวกตัวเอง ก่อนขึ้นชก ทั้งคู่จึงยังไม่กลายร่างเป็นสมิงหรือสัตว์แต่อย่างใด การต่อสู้ดำเนินไปจนเมื่อ ลากูน่าโดนชกหน้าท้องจนตัวคู้ลงอีกครั้งก่อนที่จะถูกซ้ำเข้าที่ท้ายทอยจนแทบจะล้มกระดูกแขนของเขาตอนนี้หัก ไปข้างแล้ว จึงต้องตั้งท่ารับด้วยแขนเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ส่วยเจนัสเอง แม้ตอนนี้ไหล่จะหลุดไปแล้ว กระดูกซี่โครงน่าจะหักไปเสียสองสามซี่แล้วก็ตามแต่ด้วยพลังที่ทั้งคู่มีอยู่จึงทำให้ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้จะเกินขีจำกัดแล้วก็ตาม ตอนนีตาของทั้งคู่เริ่มพร่าลง ความเหนื่อยล้ากดดันจนพวกเขาจะทรงตัวแทบไม่อยู่ทั้งคู่มองตากันอีกครั้งก่อนที่จะยิ้มที่มุมปากที่เจิงนอง ไปด้วยเลือดจากการชกอย่างเข้าใจกัน “ ต่อไปตัดสินแล้วสินะ ” ลากูน่าคิด “ การต่อสู้นี้จะจบลงในหมัดหน้านี้หล่ะ พร้อมแล้วนะ ” เจนัสคิด เมื่อทั้งคู่ต่างคิดจะยุติการชกที่แสนยาวนานนีลง ก็เร่งพลังเวทย์ทั้งหมดรวมทั้งปลดเกราะเวทย์มนต์ที่คลุมร่างอยู่มารวมไว้ที่มือข้างที่ยังใช้การได้อยู่ “ ไม่ได้นะถ้าทำยังงั้นล่ะก็ร่างที่ไม่ได้อาบพลังเวทย์ไว้แมยังบอบช้ำน่ะขืนโดนการโจมตีด้วยพลังเวทย์เต็ม กำลังล่ะก็อาจถึงตายได้นะ ” นีน่ากล่าวขึ้นอยางไม่อยากเชื่อในสายตาทำให้พวก Lr ที่ได้ยินยิ่งกังวลหนักเข้าไปอีกแต่ก็ไม่อาจหยุดทั้งคู่ได้แล้ว ทั้งคู่เกร็งหมัดเต็มที่ก่อนจะพุ่งเข้าไป แลกหมัดครั้งสุดท้ายอย่างเต็มหมัดของทั้งคู่แซ่กเข้าหน้ากันอย่างจัง ทันทีที่ปะทะกันพลังเวทย์ที่รวบรวมไว้ก็ระเบิดออกมาพุ่งผ่านร่างของอีกฝ่ายไปจนกระทั่งคนดูรู้สึกได้ทั่วทั้งเวที เงียบไปทันที โฆษก ที่พากย์ อยู่เองก็เช่นกันรวมถึงกรรมการ เองก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปกับการต่อสู้ของทั้งคู่ ทั้งสองยังคงยืนคากันอยู่ในท่านั้นสักพักก่อนที่ขาของลากูน่าจะเริ่มสั่น และทรุดตัวล้มลง เจนัสจึงเก็บแขนเข้ามา กรรมการหลังจากที่นิ่งอึ้งไปนานจึงเริ่มนับแต่ครั้งนี้ ลากูน่าไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลยจนเมื่อนับครบ จึงตัดสินให้เจนัสชนไปพวก Lr ที่รีบปีนขึ้นมาดูอาการทันที นีน่าเองก็เช่นกันกันรีบขึ้นมาพร้อมกับแพทย์สนาม หลังจากที่ได้ยินคำประกาศเจนัสก็เซล้มลงแต่ Lr ก็รับตัวเขาไว้ได้ เขาได้ยินแต่เสียงเรียกชื่อของเขา กับเสียงเอะอะดังขึ้นรอบๆตัวก่อนจะหมดสติไป………………. โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า หลังจากผ่านศึกการประลองมาได้สองพี่น้องครึ่งสมิงที่บาดเจ็บสาหัสสลบไปสามวัน ก็ตื่นขึ้นมา พวก Lr ได้เพื่อนๆคืนมาแล้วและยังได้นีน่าเป็นเพื่อนด้วย และในตอนนั้นน่ะเองนีน่าก็พยายามแยกพวก เจนัสกับลากูน่า จาก พวก Lr ไปที่ชายป่านอกหู่บ้านอีกครั้งซึ่งขณะเดียวกันพวก Lr ก็ได้รู้ถึงตัวจริงของนีน่า จึงจะรีบตามไปช่วยเจนัส แต่ทว่าความจริงที่ไม่คาดคิดก็เปิดเผยต่อพวกเขา ติดตามได้ในตอนหน้า บทที่18 ดาบนั้นคืนสนอง Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: boy on May 11, 2008, 09:07:40 PM สนุกจังเลยนะก๊าบบบบบบ อย่างงี้ยกนิ้วให้
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: boy on May 12, 2008, 12:23:31 PM ต่อไปนีน่าจะเป็นแฟนลากูน่าหรือเปล่าน้า ;D ::011::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: greamon on May 12, 2008, 11:13:51 PM เหอๆอายุห่างกันปี1เลยนะครับ แถมยังเป็นที่เซอร์เซสส่งมาฆ่าอีก แต่ก็ไม่แนนะครับต้องลองดูต่อไป
ส่วนริคุเดี๋ยวมีบทแน่นอน แหมตอนแต่งบทที่17 นะเก็บข้อมูลแทบแย่ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ไประรานชกต่อยกับใครเขาเลย เลยต้องศึกษาเอาจากพวกการ์ตูน นักเลง นักมวยบวกประสบการณ์ตรงของเพื่อนที่มันเคยชกมวยงานวัดด้วย แล้วยังต้องเปิดสารคดีเกี่ยวกับการต่อสู้ของสัตว์ป่าด้วย ไม่งั้นเขียนไม่ออกแน่เพราะผมค่อนข้างจะเป็นคนละเอียดอ่อน ไอ้ครั้นจะให้อินไปกับบทแข็ง กระด้างมันก็ม่ใช่เรื่อถนัดซะด้วย คำว่าลูกผู้ชายนี่มันช่างเข้าใจยากจริงๆ ??? Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: boy on May 17, 2008, 11:46:32 AM น่านน่ะสิเนอะ มันอยู่ที่อุปนิสัย+การเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก เข้าใจยาก แต่ว่า ::019:: ห่างกัน 1 ปีก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยเนอะ ถึงแม้จะโดนตัวร้ายขัดขวาง ถ้ารักจริงก็กระโดดออกมาจาก 12 เทพขุนศึกเลยสิ ::011:: ::011::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: greamon on May 18, 2008, 06:36:31 PM บทนี้ เราจะมาย้ำถึงสายสัมพันธ์ของพวกเจนัสอีกครั้งนะครับ และก็เจตนาที่แท้จริงของนีน่าด้วย
อีกทั้งวันนี้เราเองยังจะได้เจอ 12 เทพขุนศึกคนใหม่ด้วยว่าแล้วก็ไปดูกันเลย บทที่ 18 ดาบนั้นคืนสนอง 1 ปีก่อน .. กลุ่มเด็กชายอายุราว7-8 ปีพวกเขาสวมเพียงกางเกงสีขาวบ้างก็สีดำ ไม่ได้สวมเสื้อราวกับพวกเขาเป็นนักโทษกำลังยืนจับกลุ่มกัน อยู่ภายในห้องโถงกว้างสว่างและขาวโพลนไปแทบทั้งห้อง พวกเขามีสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจกันนักบางคนทำท่าเหมือนจะร้องไห้บ้างก็มี พวกเขาเหล่านี้เป็นทั้งมนุษย์บ้างครึ่งสมิงบ้างหรือแม้แแต่สมิงจริงๆก็มี ณ จุดที่พวกเขาเหล่านั้นมุงดูกันอยู่มีป้ายประกาศขนาดสูงเท่าต้นไม้ ตั้งอยู่บนนั้นมีหมายเลขเรียงอยู่เป็นกลุ่มๆแยกกันเขียนอยู่ พวกเด็กพอดูกันเสร็จก็พากันเดินหาคู่ที่มีหมายเลขตรงกับที่เขียนไว้บนป้ายประกาศซึ่งหมายเลขพวกนี้ถูก ตราไว้บนแผ่นวงกลมกระดาษกระแข็งสีขาวอยู่ในมือพวกเขา ที่นั่นครึ่งสมิงพี่น้องคู่หนึ่งกำลังหาคู่อยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กๆ เฮ้นายน่ะ เสียงนึงดังมาจากหลังพวกเขา ทันทีที่หันไปเด็ก ชายครึ่งสมิงที่มีผมสีทองแดง ผิวกายสีขาวนวล จมูกของเข้าค่อนข้างจะยื่นออกมานิดๆหูของเขาถูกผมปรกไว้จนมิดชิดหางยาวสีขาวสะบัดไปมา กำลังยืนส่งยิ้มให้พวกเขา ทั้งสองจึงเดินเข้าไปหา นายกับน้องชายมีเลข 2 กับ 3 ใช่มั้ย เด็กคนนั้นถาม พวกเขาทั้งสองจึงพยักหน้าตอบกลับไป เด็กคนนั้นจึงรีบชูหมายเลขของเขาให้ทั้งสองดู ของฉันเป็นหมายเลข 1 ยินดีที่ได้รู้จักนะฉันริคุ ตั้งแต่นี้ไปเราต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกันแล้วนะขอฝากตัวด้วยล่ะ เด็กคนนั้นกล่าวพร้อมกับยกป้ายหมายเลข 1 ขึ้นมาโชว์ ทั้งสองจึงหันมาปรึกษากันด้วยความสงสัยก่อนจะหันกลับไปอีกที ฉันหมายเลข 2 เจนัส ส่วนนี่น้องชายฉันเอง หมายเลข 3 ลากูน่า สมิงคนพี่กล่าวแนะนำตัวบ้าง วันคืนของการฝึกฝนผ่านไปอย่างรวดเร็วและปวดร้าว แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะแฝงไว้ซึ่ง ความปิติยินดีอยู่บ้าง มิตรภาพที่เกิดขึ้นในขณะนั้นราวกับฝันไปชั่ววูบนึงก่อนที่ จะต้องตื่นขึ้นมารับกับความจริงที่รวดร้าว อย่างแสนสาหัสที่สุด ทุกอย่างที่เคยร่วมกันเป็นร่วมกันอยู่มันสูญสิ้นไปจนหมดทุกอย่างมืดลง .. มารู้สึกตัวอีกที เลือดสีแดงฉานก็เปรอะไปจนทั่ว ร่างของพื่อนสนิทที่สิ้นใจไป คามือของเขา ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปซักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเยียวยาได้ อึก อา เจนัสครวญครางขึ้นมา ก่อนจะตื่นขึ้นมาบนเตียงสีขาวในห้องผนังสีขาวปลอดโปร่งทั้งห้อง ผ้าม่านหน้าที่หัวเตียงถูกปิดเอาสนิทมิดชิด จึงมีแต่แสงสลัวๆส่องทะลุม่านเก่าๆเข้ามาเหนือหัวเตียงที่เขานอนอยู่ เมื่อเขามองสำรวจไปรอบจึงไปสังเกตเห็นที่เตียงข้างๆ มีผู้ป่วยอีกคนนอนหลับที่เตียงข้างอยู่ ใต้ผ้าห่มหนาสีเทาแม้จะไม่เห็นหน้าแต่หูหมาที่มีขนสีเงินซึ่งโผล่พ้นขึ้นมาจึงทำให้ความสงัยเพียงวูบเดียว หายไปเมื่อจมูกของเขาจับกลิ่นสัมผัสที่คุ้นเคยได้จึงรู้ว่านั่นคือน้องชายของเขาลากูน่า และเมื่อเขาหันมาสำรวจตัวเองก็เห็นว่าตามลำตัวและที่หัว มีผ้าพันแผลสีขาวซึ่งราวกับพึ่งถูกเปลี่ยนใหม่ๆ ไปเมื่อไม่นานนัก เขายังคงสวมกางเกงนักกีฬาที่ใส่ตอนลงประลองซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแสดงว่าหลังจากที่หมดสติไป พวกเขาก็ถูกพาตัวทำแผลทันที และสลบไปนานพอสมควร เขาเอามือมาอัง แถวๆกระดูกซี่โครงดูเหมือนว่ามันจะยังโยกๆอยู่บ้าง ซักพัก เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นทำให้เขาหันไปมองด้วยความสนใจ อ้าวฟื้นแล้วเหรอ เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นหลังจากที่ประตูปิด ครึ่งสมิงสาวเดินพุ่งตรง มาที่เขาทันทีจนกระทั่งชนเอาเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้โต็ะข้างเตียงจนล้มโครม ทำเอาเขารู้สึกสะดุ้งนิดๆ กับท่าทีของหล่อน นางเข้าใกล้เขามากจนเขาแทบจะรู้สึกถึงลมหายใจของนางเลย เจนัสพยายามจะขัดขืนทันทีที่นางเข้ามาโอบเขาไว้ นางกอดเขาไว้แนบชิดติดลำตัวโดยไม่สนใจใยดีเลยว่าเขาหายดีแล้วหรือไม่ จนเขารู้สึกอึดอัด กริยาของนางทำเอาเขาแทบจะมึนงงไปเลยชั่วครู่เขายังคิดว่าตัวเองฝันไป ลมหายใจแผ่วๆของนางรดต้นคอเขาจนเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น เขาพยายามจะสลัดนางออก แต่ทว่าเขาก็ต้องหยุดนิ่งไป เมื่อรู้สึกว่าที่สีข้างของเขาถูกอะไรบางอย่างจี้เอาไว้ เมื่อเขาเบียนสายตามาดู ก็เห็นว่าบัดนี้เขาถูกจ่อด้วยปืน ซึ่งหากยิงในระยะนี้ล่ะก็เขาไม่มีทางหลบพ้นได้แน่ และจากลักษณะของปืนแล้วพลังทำลายคงจะไม่ธรรมดาแน่ ต่อให้เขาเร่งเกราะมนตราในสภาพนี้ให้เต็มที่ เขาก็ยังคงไม่รอดอยู่ดี เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงตัดสินใจเจรจากับนาง คิดจะทำอะไรน่ะ เจนัสถามซึ่งนางเองก็ดูเหมือนจะรับฟังจึงค่อยๆคลายวงแขนออกก่อนจะลื่นปืนมาจ่อที่คอเขา ซึ่งเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วม กับการที่มีอาวุธมาจี้ที่คออยู่บ้าง ที่จริงนั่นน่ะควรเป็นคำถามของฉันต่างหาก นางกล่าวขณะที่สะบัดปอยผมที่บดบังหน้าของนางไป เมื่อเจนัสสังเกตเห็นนางได้อย่างชัดเจน เขาถึงกับหน้าถอดสี ไปเล็กน้อยแม้จะพยายามเก็บอาการเอาไว้ ไลซ์ไนท์ (Rise Night = อรุณราตรี) เจนัสเอ่ยขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันที ดูดุดันและเย็นชาราวกับจ้องศัตรู อยู่ นางเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นมาทันที แหมรู้ได้ยังไงกันเนี่ย ขนาดเวลางานฉันยังไม่เคยให้นายได้เห็นร่างครึ่งสมิงของฉันเลย แต่นี่กลับดูออกในทีเดียวเลยนะ ทำได้ยังไงกัน นางกล่าวด้วยความฉงน เพราะถึงแม้จะเคยทำงานร่วมกันมา นางก็ไม่เคยได้ให้ใครเห็นร่างที่แท้จริงของนางเลย เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ยอมพูดอะไร ก็เอาปืนกดเข้าที่ลำคอ ของเขาเพื่อเชิดหน้าของเขาให้เห็นได้ชัดๆ หึ ก็ต้องรู้สิ เจนัสตอบ ด้วยท่าทีระสับระส่าย เมื่อปืนของนางกดเข้ามาจนเข้าเริ่มอึดอัด นางเห็นเช่นนั้นจึงผ่อนแรงกดลง ตอนนี้เหงื่อค่อยๆไหลออกมาอาบร่างของเขาด้วยความตื่นเต้น เคยแอบดูฉันรึยังไง ถึงได้รู้น่ะ นางค้อนเสียงถาม ด้วยความสงสัย จะบ้ารึไง แมวป่าสองแง่สองง่ามน่ะอย่างเจ้าน่ะไม่อยู่ในสายตาหรอก .อึก เจนัสตอบกระแหนะแหน แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดกึกไปเมื่อนางออกแรงกดปากกระบอกลงที่คอของเขา ให้มันน้อยๆหน่อยนะ รู้ตัวมั้ยว่าตอนนี้พวกเจ้าสองคนน่ะอยู่ในสถานะอะไร ถ้าฉันจะฆ่าพวกนายสองคนซะเดี๋ยวนี้เลยมันก็ได้อยู่หรอก นางกล่าวอย่างเย็นชา ท่าทีของนางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนที่คอยดูแลลากูน่า นางกล่าวจบก็ผ่อนแรงกดปืนออกเล็กน้อยนางจ้องไปยังตาของเขา สายตาของเขาดูไม่ลังเลหรือหวาดกลัวเลย แม้เหงื่อที่ไหลโทรมกายตอนนี้ จะฟ้องอยู่เนืองๆก็ตาม สมแล้วที่เป็นถึงศิษย์มือหนึ่งของ เซอร์เซสขนาดจะตายแล้วยังไม่มีทีท่าแสดงความกลัวออกมาเลยนะ นางกล่าวจบก็ลดปืนลงจากเขาก่อนจะเก็บมันกลับซองปืนที่เอวไป ทำเอาเขาสงสัยไปตามกัน หึ ทีนี้จะบอกได้รึยังว่ารู้ได้ยังไง นางหันไปถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ละคร เท่านั้น นางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเตียงเพื่อรอฟังคำตอบจากเขา เมื่อดูแน่ใจแล้วว่านางไม่มีเจตนาจะฆ่าเขาแล้ว อาการเกร็งไปแทบทั้งตัวด้วยความตื่นตัวเมื่อครู่ก็หายไปหมดสิ้น ถ้าเรื่องนั้นล่ะสำหรับครึ่งสมิงหมาป่าอย่างข้าน่ะ รู้อยู่แล้ว เจนัสตอบกำกวมทำให้นางเริ่มที่จะหงุดหงิด หรือคะ .คุณหมาป่าจอมโลเล นางตอบอย่างฉุนเฉียว ทำให้เขาเริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว ห..หนอยหมาป่าจอมโลเลเหรอทีเจ้าล่ะ กลิ่นสามแมวโสโครกมันยังโชยมาเตะจมูกข้าไม่เคยหยุดหย่อนเลยนะที่ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าก็เพราะเหตุนี้ล่ะ แค่นี้ก็ยังไม่รู้อีก เจนัสกล่าวอย่างฉุนจัด ก่อนกระแทกตัวลุกขึ้นข่มนาง แต่ฝ่ายนางเองก็ไม่ยอมเช่นกัน จึงกระแทกตัวลุกขึ้นด้วย ว่ายังไงนะ นี่เจ้าจะหาว่าข้าตัวเหม็นงั้นเหรอ เจ้าคนปากหมา นางกล่าวอย่างฉุนเฉียว ว่ายังไงนะ หาว่าข้าปากเสียงั้นเหรอ เจ้าเป็นคนหาเรื่องก่อนแท้ๆนี่ หัดทำตัวให้สมกับเป็นสตรีหน่อยสิ เจนัสโต้กลับอย่างฉุนจัดบ้าง อะไรกันแล้วทีเจ้าล่ะ เคยทำตัวให้เป็นสุภาพบุรุษบ้างไหม ข้าถามอะไรทำไมเจ้าต้องตอบยั่วโมโหข้าด้วยล่ะ นางเองก็ไม่ยอมเช่นกัน เสียงของทั้งคู่ดังก้องไปทั้งห้องโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลย ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันและกัน การถกเถียงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเจนัสหลุดปากออกปด้วยความ ฉุนเฉียว นี่น่ะเหรอผู้หญิงที่ริคุบอกว่าดีนักดีหนาน่ะ อะ ทันทีที่รู้สึกตัวเขาก็ได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว นางเงียบไปทันที ก่อนทีท่าทีของทั้งคู่จะเปลี่ยนไป ทั้งสองเลิกเถียงกันไป ทำให้ทั้งห้องเงียบลงในทันที ข ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจนัสกล่าวน้ำเสียงหงอยๆ ไม่หรอก ข้าผิดเองล่ะที่ชวนเจ้าทะเลาะก่อนน่ะ นางกล่าวอย่างเอียงอาย ทังสองหันไปคนละทิศพยายามเลี่ยงการมองหน้ากัน ก่อนจะทบทวนอะไรได้ซักอย่าและหันกลับมา เอ่อ..คือ ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่จะหยุดไปเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองอยู่ก่อนที่จะหันทางทิศที่ลากูน่านอนอยู่ อ้าวทำอะไรกันอยู่น่ะครับ เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยอย่างที่สุดดังขึ้นมาทำเอาทั้งคู่เสียววาบ ทันที ลากูน่าซึ่งมีผ้าพันแผลพันรอบหัวและยังเข้าเฝือกแขนข้างที่หักยืนมองอยู่ที่ข้างเตียงของพวกเขาด้วยสีหน้างงๆ มาตอนไหนเนี่ย ทั้งคู่กล่าวขึ้นพร้อมกันอย่างร้อนตัว ผมตื่นตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงทะเลาะกันแล้วล่ะ แต่งัวเงียอยู่ก็เลยไม่รู้ว่าพูดอะไรกันอยู่ แล้วอยู่พี่ๆก็เงียบกันไปผมก็เลยมาถามเนี่ยครับ ลากูน่ากล่าวพร้อมกับเอียงคอ อย่างงุนงง ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ทำเอาลากูน่าจ้องมองด้วยความสงสัย เธอเนี่ยน้าชอบหาเรื่องมาให้ฉันอยู่เรื่อยๆเลยนะ เจนัสหันมากระซิบกับนาง หน้าของเขาที่หันมาแนบแทบจะติดชิดทำเอานางรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาชั่วครู่ก่อนจะทันรู้ตัวว่า เจนัสจ้องอยู่จึงตีสีหน้าขึงขังทันที แหมนี่จะไม่โทษข้าซักเรื่องไม่ได้เลยรึไง ตอนทำงานก็ทุกทีเลยนะเจ้าน่ะ นางกระซิบอย่างหัวเสียแม้ลึกนางยังคงสงสัยกับอาการเมื่อครู่นาง มันอะไรกันนะไอ้ความรู้สึกร้อนวูบๆตะกี้น่ะ เหมือนกับเราเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ เอนึกไม่ออก หะ.. นางคิดในใจขณะที่กำลังใช้ความคิด ภาพอดีตมันก็แวบผ่านหัวนางไปทันที ภาพที่นางถูกกลุ่มเด็กชายชาวมนุษย์ 5 คนอายุราวเดียวกับนาง ไล่ทำร้าย เด็กเหล่านั้นดู นักสู้มือเปล่าฝึกหัด (Apprentice Pugilist) พอทุกคนสวมสนับมือข้อไม้กันทุกคนและสวมชุดฝึกของฟูดินัน นางที่ถูกต้อนจนหกล้ม กำลังถูกพวกมนุษย์ทำร้าย ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเข้ามาช่วยนางไว้ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-6f046d.jpg) ทุกอย่างที่แวบเข้ามาในหัวของนางมีเพียงแค่นี้เท่านั้น เมื่อเห็นนางนิ่งไป ทำให้สองพี่น้องหันมามองด้วยความสนใจ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อนางหันควับ มา ที่พวกเขาสายตานางราวกับทุกทรมานเพราะลืมสิ่งสำคัญไป ตะกี้มันอะไรกัน ความรู้สึกเมื่อตอนนั้นมันเหมือนกับ . นางคิดขณะที่จ้องหน้าของทั้งสองโดยไม่รู้ตัว นี่ถามหน่อยสิ เสียงนึงดังมาจากข้างพวกเขาทั้งสาม เมื่อหันไปก็พบว่า Lr นั่งอยู่กับพื้นระหว่างพวกเขา และที่ประตูห้องพวกลูกมังกรกับพนักงานที่เคยช่วยเรื่องการลงแข่งประลองหมัดกำลัง แบกผ้าพันแผลมวนใหญ่เข้ามาในห้องหลายมวนและกล่องยาอีกสามกล่อง เข้ามาในห้อง นี่นายมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย เจนัสถามน้ำเสียงหวั่นๆ ที่จริงฉันนอนเฝ้าไข้นายอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆเตียงนี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ อยู่ๆฉันก็โดนใครไม่รู้ชนโครมจนล้มลงไป เนี่ยก็พึ่งได้สติตอนที่ได้ยินพวกนายตะโกนกันดังระงมไปหมดเลย Lr กล่าวขณะที่เอามือกุมหัวด้วยความมึนจากการกระแทก ซึ่งที่จริงแล้วคนที่ชนเขาล้มลงไปก็คือนีน่า น่ะเองเพราะนางตรงรี่เข้ามาหาเจนัสโดยไม่ได้ดูให้ถี่ถ้วนซะก่อน แต่ทว่าที่น่ากังวลกว่าสำหรับทั้งคู่ตอนนี้ คือ Lr ได้ยินอะไรไปบ้างแล้ว ว่าแต่จะถามอะไรเหรอ ลากูน่ากล่าวกับ Lr คือตะกี้พอฟื้นขึ้นมาน่ะก็ได้ยินว่าพูดถึง ริคะ ริโคะหรือริอะไรซักอย่างน่ะนะ Lr ทำท่านึก ระหว่างที่กล่าวออกมา ริคุ เสียงของลากูน่าดังขึ้นแผ่วๆ ทันทีที่ได้ยิน Lr ก็ทำท่านึกออกทันทีพร้อมกับหันพรวด ใช่..ใช่แล้วตะกี้ว่าไงนะ ริคุ อ่าใช่ละ นั่นล่ะๆก็อย่างที่ว่าอ่ะนะ ริคุ..เป็นใคร Lr ต้องเงียบไปเมื่อสังเกตเห็นทีท่าของทั้งสาม ลอว์เรนดูเหมือนว่านายเนี่ยจะพูดไม่เข้าท่าออกไปซะแล้วสิ เอิท์ธกล่าวขึ้นขณะที่เดินนำลูกมังกรทั้งห้า มาที่เตียงพร้อมกับม้วนผ้าพันแผลและยา อยากรู้งั้นสินะ เจนัสตีสีหน้าจริงจังขึ้นทันทีทำเอา Lr และลูกมังกรหวาดผวา ด้วยว่าแม้จะพันธมิตรกันแล้วก็ตามแต่หากเจนัสจะ ระรานพวกเขาล่ะก็ พวกเขาคงแย่เป็นแน่แท้ เพราะเมื่อครั้งที่ฟูดินันพวกเขาก็แทบจะพ่ายแพ้ย่อยยับถ้า ไม่ได้แอสต้าช่วยไว้ ไม่ต้องปิดกันอีกแล้วสินะครับท่านพี่ ลากูน่ากล่าวอย่างจริงจัง นีน่า พยายามหลบหน้าไปเพื่อไม่ให้ใครเห็นหยาดน้ำตาที่หยดออกมา เล็กน้อย อืม ไม่มีอะไรปิดบังกันแล้ว เจนัสกล่าวก่อนจะหันมาหาพวกเขา ทำเอาLr ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความผวา เรื่องมันเริ่มเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ก่อนที่ฉันจะเป็นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเทพขุนพลน่ะ เจนัสกล่าว นายคงไม่รู้สินะว่าการฝึกขององค์กรน่ะมันโหดร้ายแค่ไหน เจนัสกล่าวเสียงขรึม ทำเอา Lr ต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง หลังจากนั้นเจนัสก็เริ่มเล่าถึงประวัติความเป็นมาทั้งหมดของเขาที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมการฝึก และเพื่อนสนิทที่เขาเป็นผู้จบชีวิตลงไป ด้วยมือของตัวเอง 1 ปีก่อนหลังการคัดเลือกกลุ่มเริ่มขึ้น เหล่าเด็กๆที่ถูกเซอร์เซสจับตัวมาถูกบังคับให้ฝึกวิชาการต่อสู้ อย่างหนักเป็นเวลา 1 เดือนโดยที่หากว่าเด็กคนไหนไปไม่รอดก็จะถูกทรมานให้ฝืนทำ และเมื่อทนไม่ไดก็จะถูกทรมานจนตาย นับวันเด็กๆเริ่มถูกทารุณจนลดลงไปจากร้อยเป็นสิบ และในที่สุดก็เหลือเพียง 2 กลุ่ม 6 คน ชายสาม หญิงสามเท่านั้นที่ถูกคัดให้ไปรับการฝึกเพื่อเป็นหน่วยปราบปราม โดยแยกสายการต่อสู้ออกเป็นสอง พวกเด็กหญิงต้องไปฝึกการใช้อาวุธและการลอบสังหาร ส่วนเด็กชายต้องฝึกวิชาหมัดและการควบคุมพลังเวทย์ เพื่อที่จะเป็นหน่วยปราบปรามชั้นยอดจำต้องมีการคัดเลือกให้เหลือแต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น เพื่อเป็นหัวหน้าหน่วยปราบปราม และเพื่อการนั้นพวกเขา ต้องถูกบังคับให้ต่อสู้และสังหารเชลยศึกที่ทางองค์กรจับมาได้ หากใครไม่สามารถที่จะสู้ได้ก็จะปลอยให้ถูกพวกเชลยศึกฆ่าทิ้งเสีย พวกกลุ่มของเจนัสทั้งสามคนรอดมาได้หมดแต่กลุ่มเด็กหญิงเหลือเพียงคนเดียวที่รอดมาได้ และก่อนที่จะมีการคัดเลือก 12 เทพขุนศึก ที่ว่างเพียงสามตำแหน่งในตอนแรกพวกเขา ทั้งสามยกเว้นลากูน่าที่ยังอ่อนวัย น่าจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นเทพขุนพลกันทุกคนอยู่แล้วแต่ทว่า ตำแหน่งนึงก็ได้ถูกชิงไปโดยใครที่พวกเขาไม่รู้จัก และนำมาซึ่งการต่อสู้ที่เขาไม่อาจลบเลือนมันไปได้ เนื่องจากพวกเขาสองคน คนใดคนหนึ่งต้องอยู่และอีกคนต้องไป และเมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เจนัสก็ไม่อาจเล่าต่อไปได้อีกแล้วส่วน นีน่า ซึ่งพยายามหลบหน้าก็หันมาฟังด้วยความสนใจ แต่เมื่อเห็นท่าทีของเจนัสที่ดูจะผิดไปจากที่นางคิด ลากูน่าเห็นว่าพี่ชายไม่อาจกล่าวต่อได้เช่นนั้น จึงอาสาเล่าที่เหลือต่อเอง จากการต่อสู้ในครั้งนั้นท่านพี่ต้องลงมือสังหาร ริคุด้วยมือของตัวเอง ลากูน่ากล่าวอย่างอึกอักเมื่อความทรงจำในวันนั้นที่พี่ชายของเขาต้องห้ำหั่นกันจนถึงชีวิต เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงสัญญาและคำพูดก่อนตายของริคุถูกเล่าออกมาจากปากของเขา และเมื่อจบลง ทุกคนในห้องก็เงียบลง พนักงานที่นั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเวทนาในโชคชะตาของทั้งสองที่ต้องประสบ ไม่น่าเชื่อเลย นี่พวกนายสองพี่น้องต้องผ่านเรื่องแบบนั้นมาเหรอเนี่ย Lr กล่าวด้วยความเห็นใจและเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจนัสถึงได้กลายเป็นคนเย็นชาและไร้อารมณ์แบบนี้ เพราะเมื่อผนวกเข้ากับเรื่องที่พวกเขาถูกแอสต้าช่วยไว้และเก็บมาเลี้ยงหลังจากสูญเสียครอบครัวไป ที่พวกเขาได้ฟังจากปากของเจนัสตอนอยู่ที่ถ้ำนักปราชญ์ของอีสควอเทีย และชะตาของพวกเขาที่มีร่วมกันในวันนั้นทั้งเรื่องที่มังกรดำซึ่งคร่าชีวิตแม่ของLrไปและการปรากฏ ตัวของ12 เทพขุนศึกเซอร์เซสซึ่งจากที่ดูผ่าน น้ำตกแห่งชะตา ว่าเซอร์เซสน่ะเองที่เป็นคนโจมตีไล่มังกรดำ ตัวนั้นจนมันคุ้มคลั่งและยังฆ่าคู่ของมันต่อหน้าทำให้มันคุ้มคลั่งเข้าโจมตีหมู่บ้านและทำร้ายผู้คน และเซอร์เซสเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเจนัสต้องถูกฆ่า ทุกๆอย่างเกิดขึ้นในวันเดียวกัน วันที่พวกเขาต้องสูญเสียคนสำคัญไป ไม่ว่าจะพวกเขาหรือมังกรดำตัวนั้นต่างก็ต้องปวดร้าวจากการกระทำ ของ 12 เทพขุนศึกใจเหี้ยมคนนี้ ทุกคนในห้องยังคงเงียบไปซักพัก ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาจนทำให้บรรยากาศดูอึดอัด แต่ทว่า นีน่า ที่ได้ฟังเรื่องคำสัญญาและคำสั่งเสียก่อนตายของริคุก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันทีนางเอาแต่จ้องมองเจนัสอย่างไม่ห่างสายตา เพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ พนักงานจึงเดินขึ้นไปคว้าเอาผ้าพันแผลกับยา จากมือของลูกมังกร Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 17 สัญญาลูกผู้ชาย แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: greamon on May 18, 2008, 06:36:45 PM “ เอาล่ะมาเปลี่ยนผ้าพันแผลกันก่อนเถอะแล้วต้องทายากับเปลี่ยนสำลีที่ประคบแผลแตกด้วย เพราะพวกเธอสองคนเล่นชกกันซะจนเลือดตกยางออกขนาดนั้นน่ะเลยทำเอาคนในหมู่บ้านแตกตื่นกันไปด้วย ”
พนักงานกล่าวพร้อมกับนึกย้อนกลับไปเมื่อสามวันก่อนหลังจากที่พาพี่น้องทั้งคู่มา ทำแผลพวกคนในหมู่บ้านที่ได้เห็นการประลองของทั้งคู่แทบจะพากันแห่มาดูอาการของทั้งคู่ บ้างก็ต่อว่า ว่าทำไมกรรมการไม่ยุติการชกปล่อยให้ทั้งคู่ชกกันจนเลือดอาบกระดูกหัก ทำเอาสำนักงานวุ่นกันไปหมด และแผลแตกที่คิ้วของทั้งคู่ก็เปิดใหญ่ จนเย็บแทบไม่ติด และกระดูกแขนของลากูน่าก็แทบจะหักละเอียดเลย จนทำเอาเขาแปลกใจว่าทั้งสองคนรอดมาได้อย่างไรแต่หลังจากที่ฟังประสบการณ์ของทั้งสองมาจึงเข้าใจได้อย่างไม่ยาก สำหรับพวกเขาแผลกายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่หากแต่แผลใจ ที่ไม่อาจเยีวยยาได้นี่ต่างหากคงทำให้พวกเขาอยู่รอดมาได้ แต่ทันทีที่เขาจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ เจนัสและลากูน่าก็ปฏิเสธพร้อมกับหันไปหา Lr และนีน่า “ หินจันทรา ” ทั้งคู่กล่าวซึ่ง Lr และนีน่าก็หยิบศิลาจันทราที่ถูกฝากอยู่กับตัวส่งให้พวกเขา “ ปลดผนึก ” ทั้งคู่กล่าวขึ้นพร้อมกันขณะที่ถือศิลาไว้ในมือแสงสีขาวเปล่งวาบออกมาอาบร่างของทั้งสองไว้ ก่อนจะจางลงไป พวกเขาจึงแกะผ้าพันแผลและที่ดามกระดูกออก บาดแผลของพวกเขาทั้งคู่ หายไปหมดแล้แม้แต่แขนที่หักก็กลับมาใช้การได้เหมือนเดิม ทำเอาเจ้าหน้าที่และ พวก Lr อึ้ง ตาค้างไปตามๆกัน “ สำหรับพวกเราครึ่งสมิงน่ะจะมีพลังในการฟื้นตัวสูงกว่ามนุษย์หลายเท่าอยู่แล้ว ที่จริงบาดแผลแค่นั้นน่ะได้พักผ่อนซักครึ่งวันก็หายแล้ว ” เจนัสกล่าวหน้าตาเฉย ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า เพราะบาดแผลของพวกเขาถ้าเป็นคนธรรมดาแล้วควรจะต้องพักเป็นเดือนๆกว่าจะขยับได้อีกครั้ง “ ล…แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงยังไม่หายล่ะ ” นอฟฮอฟกล่าว “ อ๋อนั่นเพราะฉันผนึกพลังของตัวเองบางส่วนลงไปในศิลาน่ะ ท่านพี่เป็นคนสอนน่ะว่าถ้าจะแค่ซ้อมมือล่ะก็ให้ผนึกพลังไว้ก่อน นี่แสดงว่าท่านพี่ก็ทำเหมือนกันสินะครับ ” ลากูน่าตอบแทน ซึ่งเจนัสก็พยักหน้ารับเช่นกัน “ นี่ขนาดผนึกไว้ครึ่งนึงนะนี่ยังสู้กันได้เลือดตกยางออกกันขนาดนั้นนี่ถ้าเล่นกันเต็มที่ไม่ล่อซะเวทีพังเลยเรอะ ” วิลกล่าวแหย่เล่นๆ “ อืม ที่จริงถ้าเอาจริงเต็มที่ล่ะก็ป่านนี้ทั้งหมู่บ้านก็ไม่เหลือให้ห็นหรอก ” ลากูน่าตอบเสียงเรียบทำเอาพวกเขาผงะไปชั่วครู่เมื่อหันไปหาเจนัสเพื่อขอข้อยืนยันเจนัสก็พยักหน้า เป็นสัญญาณทำเอาพนักงานขวัญอ่อนแทบจะเป็นลม “ นี่กองทัพเราอณุญาติให้ร่วมงานกันง่ายๆงี้ดายงายเนี่ย…เอิ้ก ” พนักงานกล่าวด้วยความวิงเวียนก่อนจะล้มผับลง ไปทำเอาทุกคนในห้องตกใจไปตามกัน ……………………….. ………………… …………….. หลังจากที่พนักงานได้สติพวก Lr กับลูกมังกร และพนักงานก็พากันออกไปเตรียมอาหารมาให้พี่น้องทั้งสองคน ทิ้งไว้ให้พวกเขาทั้งสามต้องอยู่กันเพียงลำพัง “ เอาล่ะทีนี้จะบอกได้รึยัง ธุระที่มานี่น่ะ ” เจนัสกล่าวขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะหันมาหานีน่าด้วยสายตาระแวง “ หึ ตกลงจะมาฆ่าหรือจะมาแกงกันก็เอาซักอย่างสิครับ ” ลากูน่ากล่าวหน้าตาเฉย ทำเอานางเองถึงกับอึ้งไปเหมือนกันที่แม้แต่ลากูน่าเองก็รู้ “ นี่เธอรู้ตอนไหนน่ะลากูน่า ” นีน่าถาม “ ที่จริงตอนเจอกันครั้งแรกผมก็รู้สึกคุ้นกลิ่นอยู่หรอก…พูดไปมันก็น่าอายนะที่ผมปล่อยให้ ภาพลักษณ์ภายนอกของพี่สาวมาหลอกเอาง่ายๆแต่จากที่เห็นน่ะนะดูพี่สาวจะมีอาการร่วมกับพวก เราด้วยนะตอนที่เอ่ยถึง…ริ..คุ ” ลากูน่ากล่าวเรียบๆก่อนจะเน้นเสียงในตอนท้าย นีน่าเอื้อมมือไปยังซองปืนที่เอว แต่ก็ถูกเจนัสเข้ามาจับแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง พร้อมกับลากูน่าที่กางกรงเล็บจ่อที่คอหอยนางเอาไว้ “ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอมารุกไล่เหมือนตอนแรกหรอกนะ เสียใจด้วยนะถ้าเธอฆ่าฉันซะตั้งแต่ต้นๆก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้หรอกนะ ” เจนัสกล่าวแต่นีน่าก็ยังคงเงียบอยู่ “ เป็นอะไรไปน่ะ ปกติเธอไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้เหยื่อรอดไปได้นี่ทั้งๆที่มันเป็นพื้นฐานของการฆ่าที่เรียนมานะ ยิ่งกับเธอที่เป็นมือสังหารของหน่วยปราบปรามแล้วยิ่งไม่น่าที่พลาดได้ง่ายๆนี่ ” เจนัสถามอีกครั้งแต่นางก็ยังคงนิ่งอยู่เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึง บอกให้ลากูน่ารามือ พร้อมกับปล่อยนางจากพันธนาการ “ เห็นแก่ที่เธอยังไม่ฆ่าลากูน่าและยังไว้ชีวิตฉันไว้ ฉันจะยอมฟังเหตุผลของเธอก็ได้แต่… ” เจนัสกล่าวไปครึ่งๆกลางๆ ก็กางกรงเล็บขึ้นมาพร้อมกับตั้งท่าสู้ “ ถ้าเหตุผลไม่ดีพอฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่ ” เจนัสกล่าวด้วยสายตาเย็นชา “ งั้นก็คงต้องอธิบายกันยาวหน่อยล่ะ ” นางกล่าวก่อนที่ปืนซึ่งควรจะอยู่ในซองที่เอวจะถูกนำไปจ่อที่ต้นคอของเจนัสอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จนไม่ทันสังเกตแต่เช่นกันกรงเล็บของเขาและลากูน่าก็จ่อที่ปลายคอหอยของนางด้วย “ ดูท่าจะไม่จบง่ายๆซะล้วล่ะนะ ” ลากูน่ากล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ หึ ถือว่ายังใช้ได้สำหรับตอนนี้นะนึกว่าฝีมือจะตก ไปกันแล้วซะอีกงั้นก็ดีแผนที่ อุตส่าเตรียมจะได้ไม่ต้องเสียปล่าว ” นีน่ากล่าวอย่างมีเลศนัย ก่อนที่จะวางปืนลงพร้อมกับที่พวก เจนัส เองก็ปล่อยมืออกจากบริเวณคอของนาง ก่อนการสนทนาอย่างลับๆจะเกิดขึ้นขณะที่พวก Lr ไม่อยู่ ………………. ………… …… ครู่ต่อมาหลังจากที่พวกเขาทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย นีน่าก็อาสาจะพาเจนัสไปเลือกเสื้อผ้าเหมือนกับที่ทำกับลากูน่าซึ่งเมื่อพวก Lr และพวกเขาไปถึงก็ต้องเจอะเจอกับสภาพเดียวกับลากูน่านั่นคือกองเสื้อผ้าในร้าน ถูกรื้อกระจุยกระจายออกมาลองจำนวนนับไม่ถ้วน จนได้เสื้อที่ต้องการแล้ว เจนัสถูกจับใส่เสื้อในสีขาวปรอดและสวมแจ็กเก็ตสีดำทับอีกที หลังจากจ่ายเงินแล้วพวกเขาก็พากันออกจากร้านไปโดยปล่อยให้เจ้าของร้านนั่งเก็บ เสื้อผ้าที่นางรื้อเอาไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็น เรื่องธรรมดา “ เอ่อนี่ เจนัสเดี๋ยวฉันกับพวกเพื่อนๆต้องไปแจ้งเรื่องเกี่ยวกับการรับตัวเพื่อนฉันท ี่เป็นรางวัลที่กองบัญชาการก่อนนะถ้ายังไงจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ ” Lr เอ่ยปากชวนซึ่งเจนัสก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรแต่ทว่า นีน่าก็แทรกขึ้นมา “ เอาล่ะไม่ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะต้องพาสองคนนี้ไปทำธุระซักหน่อยนะแล้วค่อยไปเจอกันที่กองบัญชาการละกัน ” นางกล่าวขณะที่รวบตัวทั้งสองไว้โดยที่ส่งสายตาเป็นสัญญาณ ทำให้ทั้งสองเข้าใจและยอมตามแต่โดยดี “ งั้นก็อย่านานนักล่ะฝนท่าจะตกซะด้วยสิยังไงๆอย่ากลับช้านักล่ะ ” Lr กล่าวเพราะฟ้าเริ่มมีเมฆครึ้มไปทั่วก่อนจะก็พากันเดินไปกองบัญชาการ ส่วนพวกเจนัสก็ตรงออกจากหมู่บ้านไปยังชายป่า พวกเขาเดินทะลุป่าเข้าไปจนโผล่ออกมายังสวนกว้างแห่งหนึ่ง ที่ตรงหน้าพวกเขาหลุมศพหลายหลุมถูกทำเอาไว้มากมาย “ ที่นี่คือสุสานของหมู่บ้านน่ะ ” นีน่ากล่าว “ แล้วพามานี่ทำไมกัน ” เจนัสกล่าว “ ช่วยไม่ได้นี่นาก็เขาคนนั้นชอบปรากฏตัวออกมาแบบไม่ธรรมดา ” นีน่ากล่าวเสียงเรียบทำเอาทั้งสอง งงไปตามกันก่อนที่แสงวงเวทย์จะปรากฏขึ้นบนพื้น มือผุดขึ้นมาจากพื้นดินของหลุมศพ หลุมแล้วหลุมเล่า ก็จะลากเอาร่างของสเปกเตอร์ จำนวนมากผุดขึ้นมา ที่กลางสุสานนั้นโลงศพที่ยังไม่ถูกฝังก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัว ของชายที่พวกเขาไม่อาจลืมได้ ร่างสีคล้ำในชุดเกราะรัดรูปสีดำและคฑาที่ถูกกวัดแกว่งอยู่ในมือ “ ยังจำข้าได้รึไม่อาจารย์ของพวกเจ้ายังไงล่ะ ข้าเซอร์เซส 1 ใน 12 เทพขุนศึก ” ร่างนั้นกล่าวเสียงแหบด้วยความเย็นชา พร้อมสายตาดุดันที่ถูกส่งมาจากพวกเจนัส ………………. …………. …….. “ ว่าไงนะพี่สาวคนนั้นเป็น 12 เทพขุนศึกงั้นเหรอ ” Lr กล่าวตาเบิกโผลงด้วยความไม่อยากเชื่อพร้อมกับกระชากคอเสื้อพนักงานที่อยู่กับพวกเขาซึ่งมาแจ้งข่าวให้ทราบ ลงมาจนแทบจะล้ม “ อ…อือที่จริงก็ว่าคุ้นๆหน้าอยู่หรอกแต่ก็ไม่ได้เอะใจเลยจนไปค้นเจอจากแฟ้มประวัติของ พวกเทพขุนพลที่ทางเรารวบรวมมาได้น่ะถึงได้รู้ไง ” พนักงานรีบกล่าวทันทีเพื่อให้ Lr ปล่อยคอเสื้อเขา “ ไม่อยากเชื่อเลยนี่พี่สาวคนนั้นหรอกเรามาตลอกเลยเหรอเนี่ย ” เฟินกอลโลกล่าวด้วยความอยากเชื่อเช่นกัน “ ถ้าอย่างนั้นก็ช้าไม่ได้แล้วเราต้องรีบไปช่วยสองคนนั่นนะ ” เอิท์ธกล่าว “ ไม่หรอกมั้งถึงจะเป็นจริงอย่างที่ว่าก็เถอะแต่สองตัวนั่นเอาตัวรอได้อยู่แล้วล่ะน่า ” ไลท์กล่าวอย่างวางใจ “ นายจะบ้าเหรอไง ถ้านางรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองเป็นคนทรยศคงจัดการไปนานแล้วแต่ที่ยังไม่ทำอะไรนี่ก็หมายความ ว่านางคงจะมีแผนจะเก็บสองคนนั่น หรือไม่ก็อีกนัยนึงสองคนนั่นอาจจะหลอกมาสืบข้อมูลของพวกเราก็ได้ ” นอฟฮอฟกล่าวทำเอาพวกเขาเริ่มใจคอไม่ดี “ ไม่หรอก ฉันเชื่อว่าเจนัสไม่หักหลังเราแน่ ” Lr กล่าวอย่างมั่นใจหลังจากที่ผ่านเรื่องต่างๆมาด้วยกันกับเจนัสเขาก็รู้ว่า เจนัสไม่ใช่คนที่จะยอมขายความเป็นเพื่อนได้อย่างแน่นอน “ แต่ว่าบางทีเขาอาจจะตั้งใจทำไปเพื่อหลอกนายก็ได้ ” นอฟฮอฟกล่าวย้ำอีกครั้ง “ ไม่หรอกฉันเชื่อนะ ” ไลท์กล่าวทำให้นอฟฮอฟนิ่งไปกับท่าทีของเขา “ หากเขาจะหลอกเราจริงล่ะก็แล้วตอนที่มีโอกาสตั้งหลายทีทำไมเขาไม่ทำซะตั้งแต่แรกล่ะ แล้วยังจะมาแยกกับพวกเราไปตอนนี้ต่อให้ได้ข้อมูลไปก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรนัก อีกอย่างระดับพวกเขาน่ะถ้าจะจัดการละก็พวกเราคงตายไปแล้วล่ะ ” ไลท์กล่าว ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วย “ ถ้างั้นจะมามัวรออยู่ทำไมกันรีบไปช่วยพวกเขากันเถอะ ” Lr กล่าวจบพวกเขาก็รีบออกตามหาทันที โดยถามหาข่าวสารจากคนในหมู่บ้านจนรู้ว่า พวกเขาไปที่ป่านอกหมู่บ้าน จึงไม่รอช้ารีบตามไปทันที …………. ………………. …………………… “ ข้าผิดหวังมากเลยนะ ชาโดว์มูน ซิลเวอร์มูน ทั้งที่ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะเป็นบุคลากรที่เหมาะสมที่สุดรู้มัยว่าเจ้าทำให้ข้าต้องเสียหน้าขนาดไหน ” เซอร์เซสกล่าวอย่างฉุนเฉียว แต่พวกเขาก็ยังคงนิ่งอยู่ “ เหอะ เอาเถอะข้าจะช่วยส่งพวกแกไปอยู่กับแม่ของแกเดี๋ยวนี้ล่ะ ” เซอร์เซสกล่าวจบก็หันไปสั่งให้พวกสเปคเตอร์เข้าโจมตี แต่พวกมันทุกตัวก็ถูกพวกเขาซัดจนแหลกสลายไปหมด และทันทีที่ทั้งสองหันมาทางเซอร์เซสเพื่อที่จะจัดการกับมันเสียงปืนก็ดังลั่นพร้อมหลุมศพตรง หน้าถูกแรงระเบิดจนกระจุยกระจาย “ ทำได้ดีมาก ไลซ์ไนท์ จงจัดการพวกมันซะ ” เซอร์เซสกล่าวเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของตนกำลังเล็งปืนมาทางลูกศิษย์ทรพีทั้งสอง พวกเขาจึงหยุดส่งสายตากัน ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่นางจะบรรจุกระสุนใหม่และยิงออกไป เซอร์เซสที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองตกเป็นเป้า ก็โดนระเบิดกระเด็นไปกองกับพื้น “ น…นี่..เจ้า ” เซอร์เซสกล่าวขณะที่ค่อยๆพยุงตัวขึ้นด้วยคฑาในมือ “ โทษนะ แต่ฉันคงให้เธอทั้งคู่กำจัดมันไม่ได้หรอก เพราะคนที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตฉันไปก็คือมันดังนั้นฉันจะต้องเป็นคนที่จะสะสางมันเอง อ้อแล้วก็นะอาจารย์ตอนนี้ฉันไม่ใช่ลูกศิษย์ของคุณอีกแล้ว เพราะตอนนี้ไลซ์ไนท์ผู้ซื่อสัตย์ได้ตายไปแล้ว ” นีน่ากล่าวขณะที่บรรจุกระสุนใหม่และเล็งไปที่หัวของเซอร์เซส “ และแล้วตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าข้าคือใครล่ะ ” เซอร์เซสกล่าวประชดประชัน “ ฉันนีน่า..นีน่า ลาเซริโอ้(Neena Laserio) ” นางกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ และพวกเราเองก็เช่นกัน ” “ เจนัส รูลเวลส์ (Genus Runevel) ” “ ลากูน่า รูลเวลส์ (Laguna Runevel) ” พวกเขาทั้งสองกล่าว “ งั้นก็หมายความว่า 12 เทพขุนศึก ชาโดว์มูน ซิลเวอร์มูน ไลซ์ไนท์ ตอนนี้ได้ตายหมดแล้วใช่มั้ย ” เซอร์เซสกล่าว ซึ่งพวกเขาก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร “ ก็ดี..ในเมื่อพวกเจ้าจะทิ้งทุกอย่างที่ข้าให้ไปเพื่อตั้งตนเป็นปรปักษ์กับข้า ข้าก็จะจัดการพวกเจ้าซะลูกศิษย์ทรพี ” เซอร์เซสกล่าวด้วยวาจาเกรี้ยวกราดก่อนจะเริ่มต้นร่ายเวทย์แต่ทว่า เจนัสกับลากูน่าก็พุ่งเข้า ตะปบเขาจนต้องยกคฑาขึ้นปัดป้องและถอยฉากออกมาโดยไม่รู้เลยว่าถูกล่อให้ไปอยู่ในเป้าของนีน่า “ หึ ศิษย์ทรพีงั้นเหรอ ใช่ซะที่ไหนล่ะแกเองต่างหากที่เป็นคนยื่นดาบให้ศัตรูน่ะ ดาบนั้นคืนสนองโดยแท้ ” นีน่ากล่าวจบนางก็ลั่นไกปืนออกไปทันที แรงระเบิด ทำให้เซอร์เซสที่กางกำแพงมนตราต้านเอาไว้กระเด็นลอยไปแต่ทว่าเชอร์เซสก็ใช้พลังของตนทรงตัวกลางอากาศ ก่อนจะยันตัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเจ็บแค้น “ ดาบนั้นคืนสนองเรอะ นั่นสินะคงจะจริงแต่ที่จะสนองน่ะไม่ใช่ข้าแต่เป็นพวกเจ้าต่างหาก ” เซอร์เซสกล่าวจบตาของเขาก็ลุกโชนราวกับเพลิงเผาไหม้ดวงตาของเขาจนมอดสิ้น “ Hell Cry (นรกร่ำไห้) ” สิ้นเสียงคลื่นพลังเวทย์สีดำก็ถูกผลักดันออกมาอย่างรุนแรงจนพวกเขาทั้งสาม ถูกแรงอัดกระแทกปลิวลอยไปติดต้นไม้ก่อนที่คลื่นพลังงานจะสงบลง ร่างของพวกเขาก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น และขยับไม่ได้ราวกับถูกตรึงเอาไว้ “ ดาบนั้นคืนสนอง….แล้วพวกเจ้าจะต้องสำนึกผิดในการตัดสินใจของพวกเจ้า…อัก ” เซอร์เซสกล่าวได้เพียงแค่นั้น เพราะปลายดาบสีทองตัดขาวซึ่งอาบด้วยเลือดสีดำของเขาปักทะลุ จากข้างหลังก่อนจะถูกกระชากออกมาพร้อมกับร่างของเขาร่วงหล่นลงสู่พื้น ภาพของผู้มาเยือนตรงหน้าแทบจะทำให้เจนัสอึ้งไปชั่วครู่ " แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกใบนี้นามของข้าคือ ทาลูคูส ( Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya ) " เสียงของทาลูคูสดังขึ้น ทันทีพร้อมกับการปรากฏตัวของลูกมังกรสี่ตัวที่บิลงมาพยุงพวกเขาขึ้น ก่อนที่ทาลูคูสจะบินลงมาสมทบด้วย “ แกแพ้แล้วเซอร์เซส กำลังเรามากตั้งขนาดนี้ต่อให้เป็นแกก็สู้ไม่ได้หรอก ” นีน่ากล่าวอย่างมั่นใจ แต่เซอร์เซสก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใดยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ที่จริงตอนนี้แค่แรงจะพูดเขายังไม่มีด้วยซ้ำ เพราะทาลูคูสแทงทะลุหน้าออกจนปอดฉีก เขาทุกข์ทรมานแทบจะตายแต่ก็ไม่ตายด้วยพราะอำนาจที่เขามีอยู่ เขาจึงต้องทนทรามานกับ สภาพที่จะตายก็ไม่ตายอยู่อย่างนั้น ทาลูคูสที่เห็นสภาพน่าเวทนานั้นจึงคิดจะส่งเซอร์เซสสู่นิทราอันเป็นนิรันด์ “ Lux et Dragos ” ทันทีที่สิ้นเสียงคลื่นดาบวงจันทร์ก็ถูกตวัดออกไปหมายจะเผาผลาญร่างของเซอร์เซสจนมอดสิ้น แต่แล้วคลื่นพลังงานก็ถูกอะไรบางอย่างผ่าขาดไป พร้อมกับสายลมที่แปรปรวนเหนือท้องฟ้าที่มืดมิดไปด้วยเมฆฝน ร่างของนักรบในชุดเกราะเหล็กสีดำคลุมสนิททั้งตัวนจนไม่เห็นผิวในของเขา ได้ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ อ..แก ” เจนัสกล่าวออกมาได้เพียงเท่านั้นมืของเขาสั่นไม่หยุดไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความโกรธ “ เจนัส..หรือว่าเจ้านั่นก็เป็น.. ” ทาลูคูสหันไปถาม “ อื้อถูกแล้วล่ะ เจ้านั่นก็เป็น 12 เทพขุนศึกเช่นกัน ” ลากูน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นกันสายตาของเขา ดูจะดุดันกว่าตอนแรกซะอีก “ เจ้านั่นอยู่หน่วยปราบปรามเหมือนกับฉันแล้วก็เจนัส 12 เทพขุนศึก ไร้นาม ” นีนากล่าวขณะที่บรรจุกระสุนอย่างรีบร้อนเส้นประสาททั้งตัวตึงไปหมด “ ไร้นามเหรอ ” ทาลูคูสย้อนถามอีกครั้ง “ มันนี่แหละที่ทำให้ตำแหน่งที่ว่างอยู่ต้องมาขาดไปทำให้ฉันกับริคุต้อง… ” เจนัสกัดฟันกล่าวออกมาแม้ตัวอย่างสั่นเครืออยู่ “ ถ้ามันไม่มาแย่งตำแหน่งนั้นไปล่ะก็ริคุก็คงจะไม่ ” นีน่ากล่าวเสียงสั่นเช่นกันก่อนที่หันปากกระบอกปืนไปยังผู้มาใหม่ “ พูดอย่างกับว่าข้าเป็นตัวน่ารังเกียจอย่างนั้นแหละ ” ผู้มาเยือนไร้นามกล่าว “ ก็แน่สิ เพราะแกเสนอตัวขึ้นมาทำให้ความพยายามของพวกเราแทบจะสูญเปล่า ” ลากูน่าตะหวาดบ้าง “ ดูเหมือนว่าจะพูดไม่รู้เรื่องนะ ” ผู้มาเยือนไร้นามกล่าวก่อนจะหันไปหาเซอร์เซส “ ไม่ต้องห่วงข้าจะพาท่านไปรักษาตัวเองทนรอซักหน่อยล่ะ ” ผู้มาเยือนไร้นามกล่าว แต่ทว่ากระสุนแสงที่พุ่งมาข้างหลังกับมังกรพลังงานที่เหินขึ้นมากำลังจะ ทุ่มใส่เขาและร่างของเทพขุนพลในสภาพปางตาย จนสิ้นสลาย “ อย่าหวังเลยว่าจะหนีพ้นเฉพาะแกเท่านั้นที่จะให้ไปไม่ได้เซอร์เซส ” นีน่าและทาลูคูสกล่าวพร้อมกันแต่ยังไม่ทันที่กระสุนและมังกรพลังงานจะได้ต้องตัวพวกนั้น สายลมรอบๆก็เริ่มแปรปรวนก่อนที่นักรบเกราะเหล็กจะหันมาสะบัดมือออกไปปะทะกับ คลื่นพลังงานจนขาดสลายไป เจนัสที่สังเกตเห็นนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที “ กระบรวนท่านี้มัน…. ” เจนัสคิดระหว่างที่ผู้มาเยือนไร้นามย่างใกล้เข้ามา โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า “ มันปรากฏตัวราวกับสายลมที่สงบก่อนพายุร้ายแห่งความสิ้นหวังจะโหมกระหน่ำ ” “ Stand By ” “ Release Armor ” “ Push Off ” “ นั่นใครกันน่ะ ” “ คนที่ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วไงล่ะ ” ศึกที่ไม่อาจรับมือได้ ความปวดร้าวในอดีตที่หวนกลับมา หากนี่คือความฝันก็อยากจะตื่นจากฝันนี้ไปแต่ทว่าลึกๆแล้วก็ยังงอยากจะพบเธอแม้นี่จะเป็นฝันร้ายก็ตาม….. ตอนหน้าบทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี้ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 18 ดาบนั้นคืนสนอง แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: boy on May 18, 2008, 07:53:33 PM เย้ อัพแล้ว ๆ ฮูเร่ ::003:: ......มาอีกแล้วการนำเสนอตอนหน้าแบบคลุมเครือแต่มีเลศนัย ::010::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 18 ดาบนั้นคืนสนอง แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: boy on May 18, 2008, 10:55:13 PM เซอร์เซสก็เชิญหัวใจวายไปเลยนะ ก็เล่นศิษย์หนีไปหมดอย่างนั้น คิคิ ::020::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 18 ดาบนั้นคืนสนอง แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: greamon on May 19, 2008, 03:37:00 PM เหอๆ เซอร์เซสนี่เกิดมาซวยจิงๆเลย
มีศิษย์ ศิษย์ก็หนีหมด จะหาตัวคนมาเป็นทัพเสริมก็ต้องลักมา สงสัยจะกรรมตามสนองแล้วล่ะครับว่าแต่ไอ้คนมาใหม่นี่คุณคิดว่าไงครับ น่าจะเก่งเนาะ คนเดียวรับมือได้หมดเลย ว่าแต่ใครกันล่ะหว่าลึกลับจังเลย คงต้องรอดูอาทิตย์หน้าล่ะมั้งครับกว่าจะรู้เหอ ส่วนริคุก็ได้มีบทไปแล้ว (มีบทแค่ไว้ให้คนอื่นระลึกถึงเหอๆแล้วจะเขียนไปทำม้าย) ว่าแต่ผมบอกตอนต่อไปคลุมเครือขนาดนั้นเลยเหรอ หุหุ ::020:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 18 ดาบนั้นคืนสนอง แล้วจ้า หน้าที่11 Post by: greamon on May 23, 2008, 03:09:33 AM " ที่นี่มันที่ไหนกัน "
เด็กหนุ่มในชุดนอนกล่าวเมื่อเขาเห็นภาพแวดล้อมรอบตัวเองด้วยความฉงน เขา ยืนอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่งที่เขารู้สึกว่าคุ้นเคยราวกับเคยเห็นหรือได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่ง เมื่อเขาหันไปทางทิศเหนือ ก็เห็นภาพหมู่บ้านอยู่ลางๆเป็นจุดเล็กๆ ด้วยความสงสัยเขาจึงคิดจะตรงไปยังหมู่บ้านนั้น เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วหลังจากที่กระสุนพลังงานจำนวนแปดนัดพุ่งจากทิศในป่าตัดหน้าเขาไปโดนต้นไม้ ข้างๆจนระเบิดเหลือแต่ซาก ซึ่งทำเอาหัวใจเขาจะหยุดเต้นเอาเสียให้ได้ เขาพยายามรวบรวมความกล้าก่อนจะหันไปยังทิศที่กระสุนถูกยิงมา เพื่อหาว่าใครกันที่จะสังหารเขากันแน่และเมื่อหันไปเขาก็เห็นของเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งหายลับเข้าไปในป่า แม้จะกลัวอยู่บ้างแต่เขาก็ได้วิ่งตามไปโดยไม่รู้ตัว เขาวิ่งตามหลังเงาของนางลึกเข้าไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย จนกระทั่งโผล่ออกยังลานกว้างในป่าแห่งนี้ ข้างหน้าเขามันเป็นสุสานซึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก ก่อนเขาจะได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาบรรยากาศที่วังเวงทำให้ความกลัวเริ่มเข้ากัดกินจิตใจ เขาทีละน้อย ด้วยความกลัวเขาจึงคิดจะกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง แต่ทว่าเขากลับก้าวขาไม่ออก ขาของราวกับถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวน เขาพยายามฝืนที่จะก้าวไปให้ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามซักแค่ไหนก็ไม่อาจจะก้าวเท้าออกไปได้เลยหลังจากที่พยายาม ฝืนจนเหนื่อยหอบ เขาจึงล้มเลิกและพยายามทำใจเย็นคิดหาทางออก ระหว่างที่เขามองไปรอบ เขากลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับสุสานนี่มากและยังป่าที่เขาวิ่งผ่านมาเมื่อครู่รวมทั้ง กระสุนพลังงานนั่นด้วย แต่ไม่ว่าพยายามจะคิดซักเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก “ ยังนึกไม่ออกอีกรึ ” เสียงหนึ่งแว่วมาเข้าหูของเขาเสียงนั้นฟังดูเย็นชาและแฝงเอาไว้ด้วยจิตสังหาร เขาพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้นอย่างรนลาน จนเมื่อเขาหันไปข้างหลัง ก็มีเงาของเด็กสองคนเดินตรงมา แต่เพราะป่าเริ่มมีหมอกลงทำให้มองได้ไม่ชัดนัก แต่เขาก็ยังรู้สึกคุ้นๆกับเสียงที่ได้ยินอีกด้วย เมื่อเงานั้นย่างใกล้เข้ามาจึงเริ่มเห็นว่าเงานั้นคือเด็กอายุราว 8-9 ปี โดยคนหนึ่งน่าจะเป็นเด็กหญิงส่วนอีกคนเป็นเด็กชาย โดยเฉพาะเด็กชายท่าทางของเขาดูขึงขังเสียเหลือเกิน จนดูคล้ายกับใครบางคน ที่เขารู้จักเขาพยายามจะเดินเข้าไปหาโดยพยายามออกแรงเต็มที่ แต่ทว่าแรงที่ยึดเขาเอาไว้เมื่อครู่มันได้ หายไปแล้วจึงทำให้เขาล้มคะมำ กับพื้นเพราะใส่แรงก้าวเท้ามากไป เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เข้าต้องรีบยันตัวขึ้นมา และเมื่อสายตาของเขาเริ่มชินกับความมืดของหมอก ร่างของเด็กทั้งสองที่ปรากฏต่อหน้าเขาแทบจะทำเอา เขาช็อคไปเลย เมื่อเด็กทั้งสองนั้นคือคนที่เขารู้จัก และทันทีที่เขานึกออกความทรงจำเรื่องสถานที่ก็กลับมาทันทีไม่ว่าจะชายป่าของหมู่บ้านปริศนา และสุสานรวมทั้งกระสุนแสงนั่นด้วยทุกอย่างกระจ่างหมดสิ้นเมื่อร่างของเด็กทั้งสองปรากฏเด่นชัดต่อสายเขา ร่างของเด็กทั้งสองเป็นเหมือนเด็กทั่วไปแต่กลับมีหางและหูเป็นสัตว์ “ เจ...เจนัส ......นีน่า ” เขาอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างทันท่วงที “ งั้นนี่ก็ในนิยายน่ะสิ ” เขากล่าวออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด “ นึกออกแล้วสินะ ” เด็กหญิงกล่าวก่อนจะชักเอาปืนที่เอวขึ้นมาเล็งที่หัวเขา ทำให้เขาถึงกับถอยผงะด้วยความกลัว “ ในที่สุดเราก็ได้มาเจอกันนะคุณ เกรม่อน ” เด็กผู้ชายกล่าวบ้าง “ จ..จะทำอะไรน่ะ.อ้อก ” เขากล่าวยังไม่ทันจบก็รู้สึกจุก จนแทบจะสลบและทันทีที่ได้สติก็สังเกตเห็นว่า เด็กชายได้หายไปแล้ว และอยู่เขาก็รู้สึกราวถูกอะไรบางอย่างฟาดจนกระเด็นล้มลงไป เมื่อตั้งสติได้และเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนที่ทำร้ายเขาเมื่อครู่ก็คือเด็กชายคนนั้นน่ะเอง “ ท..ทำไมถึง...อัก ” เขากล่าวอึกอักด่อนจะสำลักด้วยความจุกจาการดดนซัดท้องในตอนแรก ซึ่งทำเอาเขากระอักเอาโลหิตแดงสดๆออกมาเลยเขารู้สึกหายใจติดๆขัดๆและทรมานราวกับจะตายเลยก็ไม่ปาน “ ถ้ายังจะเขียนบทถัดไปอยู่อีกล่ะก็ ” เด็กผู้หญิงกล่าวเสียงเฉียบก่อนจะเล็งปืนที่เขา “ ก็เตรียมตัวตายได้เลย ” เด็กผู้ชายกล่าวพร้อมกับกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา สายตาของเด็กคนนี้ดูดุดันและเย็นชาสร้าง ความหวาดหวั่นให้แก่เขาเป็นอันมาก แต่เมื่อเขาทบทวนคำพูดเมื่อครู่ “ นี่มันหมายความว่ายังไงจะให้เราเลิกแต่งตอนถัดไปเหรอ ทำไมกันไม่ได้เราจะเลิกแต่งได้ยังไงกันตอนต่อไปเป็นบทสำคัญด้วย ไม่ได้เด็ดขาด... ” เขาคิดก่อนจะฝืนพูดออกไปแม้ใจหนึ่งอยากจะรับข้อเสนอเพื่อให้ตัวเองรอด แต่ด้วยความหนักแน่นเขาจึงตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว “ ไม่ฉันจะแต่งหากหยุดแค่ตรงนี้ล่ะก็ศักดิ์ศรีความเป็นนักเขียนของฉันก็ต้องหมองม่นกันพอดี ” เขาตอบทั้งใบหน้าที่เจิงนองไปด้วยน้ำตา ทันทีที่เด็กชายได้ยินคำตอบก็เหวี่ยงตัวเขาออกไปอย่างแรงราวกับ ตัวเขาไม่มีน้ำหนักเลย จนเขากระแทกเข้ากับต้นไม้และครูดลงมากับพื้น ก่อนที่เด็กผู้หญิงจะพุ่งตรงเข้ามาเอามือกดหน้าผากและเอาปืนจ่อที่คอ “ โดนแบบเดียวกับในนิยายเลยฮือๆ ไม่รอดแน่เรา ” เขาคิดอย่างสิ้นหวัง “ ในเมื่อดึงดันที่จะเขียนต่อก็เชิญไปเขียนต่อที่โลกหน้าละกัน ” เด็กหญิงกล่าวจบก็ลั่นไกปืนรัวใส่ร่างของเขา ในวินาทีนั้นเขารู้สึกถูกวัตถุกระแทกไปทั่วทั้งร่าง จนเมื่อเขาสะดุ้งพุ่งพรวดขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ฝูกนอนของตนที่ปูไว้กับพื้นห้อง โดยมีน้องชายและหนังสือตกทับระเกะระกะไปทั้งร่าง “ นี่เรา...ฝันไปเหรอเนี่ย ” แฮ่ๆเป็นไงครับนี่ไม่ใช่นิยายนะครับแค่เอามาเล่าให้ฟังเฉยซึ่งเป็นเรื่องจริงผ่านตัวผมเอง ว่าจะเอามาเล่าแก้เซ็งกันเฉยๆแต่ไปๆมาไหงบรรยายกลายเป็นนิยายไปเลยแหะ ที่แท้ไอ้ที่โดนซ้อมเนี่ยน้องตัวแสบมันนอนดิ้นตกเตียงมาทับเราแล้วขามันไปเกี่ยวโดนขาตั้งชั้นวางของทำ ให้หนังสือบนชั้นมันเอน แล้วก็ร่วงลงมากระแทกอย่างกับห่ากระสุน อันนี้ล่ะมั้งตอนท้ายที่โดนนีน่ายิง สงสัยช่วงนี้ผมคงจะโหมงานหนักไปถึงกับเก็บเอามาฝันเลยเหอๆหรือจะเป็นลางบอกเหตุ ว่าอย่าพิมพ์บทนี้นะไม่งั้นตาย ยังไงอย่างงั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับบทที่19 ลงต่อตามกำหนดภายในสัปดาห์นี้แน่นอนครับ ว่าแต่เคยนึกอยู่เหมือนกันนะว่าไอ้ความรู้สึกเจ็บทรมานที่เราวางไว้ให้ตัวละครเนี่ยมันเป็นยังไงหว่า ยังเคยคิดว่าหากโดนหมัดของเจนัสบ้างจะเจ็บซักเท่าไหร่น้อ หรือความรู้สึกก่อนตายของตัวละครนั้นเป็นยังไง ตอนนี้เจอกับตัวเองมาแล้วซึ้งเลยครับพี่น้อง(เข็ดแล้วจ้าอย่ามาเข้าฝันอีกเลยเน้อ ไม่งั้นคราวหน้าวาร์ปเปลี่ยนเป็น วอเกร์ม่อน ไกอาฟอสใส่เลยแง่งงงง) Title: Re: Legend of The Thaliwilya update คุยเล่นกันหน่อย Post by: boy on May 23, 2008, 08:56:11 PM ........... แต่งเอง ฝันเอง แถมแอคชั่นซะขนาดนั้น ลางดีหรือร้ายเนี่ย (ฝันแปลกจัง ::006::)
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update คุยเล่นกันหน่อย Post by: greamon on May 25, 2008, 07:50:36 PM มาแล้วครับแหมชื่อบทนี้ดูเป็นลางยังไงไม่รู้มิตรกลายเป็นศัตรูเนี่ยเหมือนกับว่าตัวละครท
ี่เราเขียนมันมาเป็นศัตรูตรงกับที่ฝันเป้ะ เลยพอพิมพ์บทนี้เสร็จเมื่อวานหมาดๆก็เก็บไปฝันอีก แต่คราวนี้อย่าหวังจะได้แอ้มเหอเพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็นฝัน ส่วนผมใช้วิธีใดจัดการกับฝันร้ายนี้ผม คงบอกไปในคราวก่อนแล้วนะครับอิอิ ส่วนวันนี้เทพขุนพลไร้นามเป็นใครนั้นคุณทายถูกกันรึเปล่าเอ่ย ถ้าคิดว่าถูกแล้วไปดูกันเลย อ้อตอนวันนี้มีอีกเรื่องให้ตกใจกันด้วยเชิญชมเลยครับ บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี้ โรงเรียนมังกร .. ภายในห้องสมุดของโรงเรียน เมทาไนท์และเทียแมตยังคงสนทนากันอยู่โดยที่แกรนเดครอสขอ ออกไปรอข้างนอกเพราะอึดอัดที่ต้องอยู่แบบคับแคบ ก็าซซซซซซซซซซซซ (หมายความว่าบันทึกนั่นอยู่กับกองกำลังงั้นสินะ) เทียแมตคำรามเบาๆ ขณะที่เมทาไน์เองก็พยักหน้าแทนคำตอบ ก็าซซซซซซซซซซซซ (อืมขอบใจเจ้ามากนะรวมทั้งเรื่องคราวก่อนด้วย) เทียแมตกล่าวขอบคุณถึงงานในส่วนก่อนหน้านั้นและในตอนนี้ ในขณะที่เมทาไนท์เองก็เอาแต่เงียบ เพราะกำลัง นึกย้อนถึงตอนที่เขาลอบเข้ามาสืบภายในบริเวณโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อตรวจหาสาเหตุการ ที่เหล่ามังกรถูกสะกดจิตซึ่งมันก็มีต้นเหตุมาจาก จาไน (Janai, the Black Wood Wizard) ซึ่งเป็นลูกน้องของแบล็คไวเซอร์ (โปรดเข้าใจ ไว้อย่างคำว่าสมุนกับลูกน้องสำหรับแบล็คไวเซอร์นั้นมีคำจำกัดความที่ต่างกัน สมุนของแบล็คไวเซอร์จะเกิดจากดาร์คซีล แต่ลูกน้องจะเป็นคนขององค์กรที่อยู่ภายในกำกับของเขาเอง) นั่นเอง ว่าแต่จะบอกข้าได้หรือยังว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร เมทาไนท์ถามขึ้นอย่างลอยๆผ่านหน้ากากมังกรสีขาวออกมา ทำให้เทียแมตหันมามองเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนักกับคำถามของเขา แต่ก็จำใจตอบ หมายถึงลอว์เรนซ์สินะ ก็ได้เห็นแก่ที่ครั้งนี้เจ้าทำงานได้ดีข้าจะบอกให้ เทียแมตกล่าวออกมาเป็นภาษามนุษย์ซึ่งนั่นทำให้เมทาไนท์รู้สึกแปลกใจ ทำไมจู่ๆถึงนึกจะพูดภาษาคนขึ้นมาล่ะ เกลียดไม่ใช่เหรอ เมทาไนท์ถาม ด้วยความฉงน เกลียดรึ หึ เทียแมตกล่าวก่อนจะเบือนหน้าหนี ราวกับไม่อยากให้เห็นว่าตนรู้สึกเช่นไรหากจะกล่าว ต่อจากนี้ซึ่งเมทาไนท์ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะเขาอยู่กับเทียแมตมานานแล้วจึงพอจะเดาออก ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดหรอกแต่เพราะข้าไม่อยากจะนึกถึงมันน่ะสิเหตุการณ์ก่อนที่ข้าจะได้พบกับเจ้าหลัง จากนั้นไม่นานน่ะ เทียแมตกล่าว ก่อนจะหันหลังกลับไปและเดินตรงไปยังประตูลิฟต์ซึ่งเป็นทางออก เดี๋ยวท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยนะท่านพ .อะ เมทาไนท์ขานให้เขาหยุดแต่ดูเหมือนเขา เกือบจะหลุดคำพูดสักอย่างออกมาแต่ก็นึกได้ทันจึงอุบเงียบเอาไว้ แต่เทียแมตก็หยุดชะงักไปก่อนจะหันหน้า กลับมามองเขาเล็กน้อยด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย โทษทีข้าลืมไป เทียแมตกล่าวก่อนจะหันกลับไปยังประตูและกล่าวโดยไม่มองหน้าเขาเลย เด็กคนนั้นก็เหมือนกันกับเจ้าน่ะแหล่ะ แต่ต่างกันก็ตรงที่คนที่เก็บเจ้ามาเลี้ยงไม่ใช่ คนที่หยุดข้าไว้แต่เป็นข้าที่สังหารแม่ของเจ้า เทียแมตกล่าวซึ่งนั่นทำให้ความทรงจำในอดีตนั้นแวบกลับมาในหัวเขา ภาพเหตุการณ์ที่มังกรดำซึ่งก็คือเทียแมต(Tiamat)ได้บุกเข้า ทำลายหมู่บ้านในเขตฟูดินัน ตอนนั้นเขาอายุเพียง 6 ปีเท่านั้นเขากับแม่และน้องชาย ที่ยังเป็นทารกได้หลบหนีเข้าไปยังเขตชายแดนของฟีเลเซีย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/56.jpg) และเขากับแม่ได้หลบอยู่พุ่มไม้ ในตอนนั้นด้วยความกลัว เขาจึงหนีไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ข้างๆซึ่งห่างจากแม่ของเขาเมื่อ เทียแมตบินผ่านมาและพ่นเปลวเพลิงบรรลัยกัณฑ์ เผาผลาญผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งแม่ของเขาเอาตัวปกป้องน้องของตนไว้ จากเปลวเพลิงที่ลามผ่ามมายังพุ่มไม้ นางจึงต้องสิ้นใจไป เสียงร้องของผู้เป็นน้องชาย ยังคงดังก้องอยู่ในวันนั้น จนถึงตอนนี้เขายังนึกเสียใจที่ไม่อาจช่วยแม่ของเขาไว้ได้ ในตอนนั้นเทียแมตก้าวเข้ามาใกล้พุ่มไม้ เขาพยายามจะเข้าไปช่วยน้องชายที่อยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นแม่ แต่ด้วยความกลัวทำให้เขาก้าวขาไม่ออกได้แต่นั่ง ตัวสั่นหลบอยู่ในพุ่ม ไม้น้ำตาเจิงนองอย่างขมขื่น และเปลวเพลิงของเทียแมตกำลังจะคร่าชีวิตน้องชายเขา แต่แล้ว มังกรขาวขนาดยักษ์ ก็เข้ามาขวางเอาไว้ ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจภาษามังกร จึงไม่สามารถจับความได้ว่าทั้งสองสนทนาะไรกัน แต่เพียงสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือหลังจากที่มังกรทั้งสองสนทนากัน ก็มีกองทหารมังกรของฟีเลเซีย บุกมา แต่ก็ถูกดีวายดราก้อนขัดขวางเอาไว้ ทำให้เทียแมตหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาพยายามจะหาตัวน้องชายแต่ ทว่าก็ไม่พบเพราะที่นั่นเหลือเพียงเขาและร่างไร้ชีวิต ของผู้เป็นมารดา หยุดนะเจ้าพวกปีศาจ เสียงหนึ่งดังมาจากทางเนิน ลาดที่เขาวิ่งหนีผ่านมา เมื่อเขามองออกไปจากพุ่มไม้ ก็ได้เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวกำลังสู้กับเหล่าปีศาจ และดูเหมือนกำลังปกป้อง เด็กประหลาดที่มีหูและหางเป็นสุนัขป่า ก่อนที่พวกปีศาจจะพ่ายไปและพวกเขาก็หายไปกับแสงสว่างที่วาบออกมา จากตัวนาง เขารีบพุ่งตัวออกมาด้วยความประหลาดใจ ซึ่งขณะเดียวกันเทียแมตที่บินกลับมาเพื่อดูว่า ดีวายดราก้อน ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ก็ได้พบเขา ทีแรกเขาก็กลัวอยู่แต่เทียแมตที่สงบจากความโกรธก็เข้าไป ปลอบเขาด้วยภาษามนุษย์ ที่เขาเข้าใจ เขาจึงคลายความกลัวลงเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ได้ตามมาอยู่กับเทียแมต ซึ่งตอนนั้นเขารู้สึกราวกับว่าเทียแมตเป็นพ่อของเขาเลยก็ไม่ปาน งั้นก็หมายความว่าเด็กคนนั้น . เมทาไนท์กล่าวและหยุดไปด้วยเพราะไม่อาจจะพูดได้อย่างชัดเจนนัก ว่านั่นจะเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่หลังจากได้ยินคำพูดนั้น คงจะแปลกใจสินะว่าทำไมโชคชะตามันถึงได้วกวนไปอยู่เรื่อย คำพูดของ เทียแมต ทำเอาเขานิ่งไปก่อนที่จะล้วงเอาสายคาดข้อมือเส้นเล็ก ของเขาที่เคยใส่สมัยเด็กขึ้นมาดู บนสายคาดนั้นเขียนว่า Garet & Laurence ไม่นึกเลยว่านายยังมีชีวิตอยู่นะ ที่จริงน่าจะรู้ตั้งแต่วันที่เจอนายวันนั้นแล้วแท้ๆ เมทาไนท์กล่าวพร้อมกับนึกย้อนไปในวันท ี่พวกแบล็คไวเซอร์บุกโจมตีตอนที่เขามาช่วย ทาลูคูสและจากไปโดยไม่หันกลับไปมองเลยซักนิดว่า ร่างนั้นได้คืนสภาพกลับเป็น Lr ไปแล้ว เทียแมตหลังจากที่กล่าวจบก็เริ่มก้าวเท้าต่ออีกครั้ง แล้วก็อยากจะเรียกก็เรียกไปเถอะข้าไม่ว่าอะไรแล้วล่ะ เทียแมตกล่าวขณะที่เดินผ่านประตูลิฟต์ไปก่อนที่เสียงและแรงสะเทือนจากการทำงานของ พื้นยกที่เป็นลิฟต์ของโรงเรียนจะยกตัวเทียแมตขึ้นไป ซึ่งเมทาไนท์เองเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาก็นิ่งเงียบไปก่อนจะเดินตามเทียแมตที่ขึ้นไปรอข้างบนแล้ว เขาหยุดเดินที่หน้าประตูลิฟต์เพื่อรอให้พื้นเลื่อนลงมารับเขา ขอบคุณครับท่านพ่อ.. คำพูดหลุดลอยออกมาจากปากของเมทาไนท์ก่อนที่เขาจะเก็บสายคาดและเดินขึ้นลิฟต์ ไป เมื่อมาถึงพื้นแล้วเขาก็เดินออกมาจากถ้ำไปสมทบกับเทียแมตและแกรนเดครอส ก็าซซซซซซซซซซซซซซซ (ดูเหมือนว่าลอว์เรนซ์กำลังถูก 12 เทพขุนศึกเล่นงานอยู่นะช่วยไปจัดการทีล่ะจากนี่ไปถ้า ใช้ผ้าคลุมเรดร็อค(Red Roc) คงไม่ไกลนัก) เทียแมตคำรามก่อนจะส่งผ้าคลุมขนนกที่ทำจากขนของเรดร็อค ( Red Feather Robe )ให้เขา (http://image.dek-d.com/9/655530/10776068.jpg) (http://image.dek-d.com/9/655530/10710454.jpg) .. นี่ที่พวกเจ้าคุยกันน่ะมันเรื่องอะไรรึ หญิงสาวที่แววตาของนางแฝงไปด้วยความมาดร้าย กับดาบสีเงินคลิบทองที่มีออร่าพลังเวทย์ปกคลุมอยู่ เล่มใหญ่ ถืออยู่ในมือ กล่าวขึ้นภายในห้องโถงที่มืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมไฟเพียงตัวเดียวส่องลงมาให้ความสว่างแก่ห้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าลูคเรเทีย(Lucretia, the Sword Magician) แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงแหบแห้งก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างหงุดหงิด เพราะนางเข้ามาขัดการสนทนาของเขา กับเซอร์เซส ทำให้เขาอดได้ข้อมูลของบันทึกที่หายไป และเซอร์เซสกับนักประดิษฐ์ก็รีบอ้างตัวไป ทำธุระทิ้งให้เขาต้องมานั่งแก้ตัวกับลูคเรเทีย (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-b97e66.png) ก็ตามใจเจ้าไม่บอก ข้าไม่สนก็ได้ นางกล่าวอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง นังตัวยุ่งเอ้ย..จุ้นไม่เข้าเรื่องจริงๆ แบล็คไวเซอร์คิดเคืองอยู่ในใจก่อนที่เขาจะนึกอะไรบางอย่างได้จึง เรียกวิหกโลกัณฑ์ ของเขามา และริ่มทำพิธีบางอย่าง ณ ทุ่งราบใกล้กับชายป่า นอกหมู่บ้าน บัดนี้เมฆฝนปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าจนแสงแทบส่องลงมาไม่ได้ เสียงและแรงระเบิดจากการ ต่อสู้ซึ่งดังจากในป่าเริ่มเลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเมื่อแรงระเบิดทำเอาต้นไม้บริเวณชายป่ากระจุย ร่างของผู้ที่กระทำการต่อสู้ก็พุ่งออกมายังทุ่งราบ นักรบเกราะเหล็กสีดำสนิทซึ่งแบกร่าง ของชายสุงอายุในเกราะรัดรูปสีดำซึ่งบาดเจ็บจากปากแผลบริเวณหน้าอกและคฑาสีดำที่ลอย เคว้งอยู่กลางอากาศก็ตามหลังเขามา นักรบเกราะเหล็กตัดสินใจวางร่างของ ชายสูงอายุลงและ หันไปประจันหน้ากับศัตรู Great of Dragon (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) สิ้นเสียงมังกรพลังงานก็พุ่งตรงมาที่พวกเขา นักรบเกราะเหล็กรีบสะบัดมือออกไป ลมบริเวณรอบกายของเขาเริ่มพัดอย่างแปรปรวนก็จะสงบลงที่มือของเขา ทันทีที่มังกรพลังงานปะทะ กับมือของเขามันก็ขาดสลายราวกับถูกคมดาบจำนวนมากฟันจนขาดสิ้น ชิ ไม่ได้การไม่ว่าจะโจมตีเท่าไหร่เจ้านั้นก็รับไว้ได้หมด อัศวินมังกรร่างสีขาวกล่าวพร้อมกับบินลงมาสมทบกับครึ่งสมิงสามตนและลูกมังกรอีกสี่ตัว ไม่ต้องไปสนใจลุยเข้าไปพร้อมกันนี่ล่ะเดี๋ยวมันอ่อนแรงลงก็หนีไปเอง นีน่ากล่าวณะที่นับจะนวนกระสุนที่เหลืออยู่ก่อนจะบรรจุมันลงไป เราเหลือกระสุนไว้ยิงอีกแค่1 ครั้งเท่านั้น นางคิดก่อนจะเล็งลำกล้องไปยังร่างของนักรบเราะเหล็กนิรนาม ใช่จริงๆด้วยท่าวิชานี้มันแต่เป็นไปไม่ได้น่า เจนัสคิดขณะที่พยายามหาทางสู้กับนักรบเกราะเหล็กนิรนามผู้นี้อยู่ พวกเขาเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งต่อไป แล้ว ท่านเซอร์เซส สงสัยท่านต้องรอหน่อยแล้วล่ะแต่ไม่นานหรอก นักรบเกราะเหล็กนิรนามกล่าวก่อนจะตั้งท่ารับมืออีกครั้ง นี่ข้าขอถามอะไรอย่าง เจนัสกล่าวขึ้นอย่างปุบปับทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของเขา ซึ่งแม้แต่ตัวเจนัสเองก็ยังสงสัยว่าเขาคิด อะไรอยู่แน่ถึงจะถามคำถามศัตรู แต่ดูเหมือนนักรบเกราะเหล็กจะเข้าใจถึงสิ่งที่จะถามจึงลดมือลงมา ขณะที่มืออีกข้างไปแตะที่สลักบางอย่างของเข็มขัดใต้เกราะเหล็ก จะถามว่าทำไมข้าถึงใช้ คาไมทาจิ (Kamaitachi = เคียววายุ)ได้สินะ (**คาไมทาจิเป็นตำนานทางญี่ปุ่นที่ว่าเมื่อลมพัดผ่านร่างไปและเกิดแผล เป็นเพราะถูกพังพอนเคียวทำร้าย รายละเอียดสามารถหาเพิ่มได้ที่เว็บไซต์วิกิพีเดีย www.wikipedia.com**) คำพูดของนักรบนิรนามผู้นี้ทำเอาพวกเขานิ่งกันไปพักใหญ่ คาไมทาจิเหรอมัน คืออะไรกัน ทาลูคูสหันมาถามเจนัสเมื่อเห็นว่านีน่ากับลากูน่ามีอาการแปลกๆไป มันเป็นท่าวิชาที่ริคุเคยใช้น่ะสิ การใช้ลมแทนอาวุธเพื่อฟันศัตรูให้ขาดสะบั้นคาไมทาจิ เจนัสกล่าวน้ำเสียงเรียบตอนนี้เขางง ไปหมดแล้วเช่นกันนีน่าและลากูน่าเองต่างก็สับสนกับคำถามนี้ นี่พวกเจ้ายังไม่รู้อีกรึ น่าผิดหวังจริงๆ นักรบนิรนามกล่าว ไม่ต้องมาอ้อมค้อมแกน่ะคงจะขโมยท่าวิชาของ พี่ริคุมาเพื่อการเป็นเทพขุนศึกสิ ใช่มั้ยล่ะ ลากูน่ารีบสรุปเอาเองโดยไม่ฟังเหตุผลก่อนจะ พุ่งเข้าไปเพื่อเล่นงานอีกฝ่าย แต่ทันทีที่นักรบนิรนามสะบัดมือข้างที่ว่างออกไป เขากลับถูกลมพัดจนกระเด็นกลับมาโดยที่เสื้อผ้า มีรอยราวกับโดนอะไรบางอย่างตัด ที่ใบหน้าของเขามีเลือดออกจากปากแผลที่ราวกับถูกบาดมา เจนัสและนีน่ารีบเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง ยังไม่เข้าใจอีกรึไง นักรบนิรนามกล่าวขณะที่ย่างเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆโดยที่มืออีก ข้างยังคงจับสลักที่เข็มขัดอยู่ พวกเขาจึงรีบตั้งท่าสวนทันที แต่เมื่อนักรบนิรนามเห็นเช่นนั้นเขาก็หยุดเดินและถอนหายใจเฮือกใหญ่ เฮ่อ ไร้นามรึนั่นสินะก็ข้าคนนี้น่ะไม่ได้มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่ นักรบนิรานามเปรยออกมาด้วยความระอา เต็มทีซึ่งนั่นสร้างความสงสัยให้แก่พวกเขายิ่งขึ้นไปอีก จนเมื่อเฟินกอลโล่เริ่มหงุดหงิดกับคำพูดวกวนของอีกฝ่าย จึงตวาดออกมา กีซซซซซซซซซซ (มัวแต่พูดวกๆวนๆอยู่นั่นล่ะตกลงนายเป็นใครกันแน่) เฟินกอลโล่ตวาดใส่แต่ เพราะ Lr ได้ใช้พลังของ ดราก้อนฮอลลี่เพื่อเป็นทาลิวิลย่า จึงไม่มีการแปลงเสียงของเขาทำให้ นักรบนิรนามเห็นเป็นแค่ ลูกมังกรขู่คำรามเล่นเฉยๆ จึงไม่ได้สนใจและยังคงมองไปยังพวกเขาด้วยสายตา เย็นชาผ่านหมวกเหล็กออกมา เอาเถอะงั้นข้าจะบอกให้ก็ได้เพราะหากต้อง รับมือกับเทพขุนพลตั้งสองคนเพียง ลำพังข้าก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน เขากล่าวจบก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆผ่อนออก ซึ่งพวกเจนัสเองก็ รู้สึกระแคะระคายกับท่าทีของบุรุษผู้นี้มาก จึงไม่คิดที่จะปลอยให้เขาทำตามใจอีก Spell Fist สิ้นเสียงพลังเวทย์ก็ถูกสะสมไว้ที่หมัดของเขาจนเริ่ม เรืองแสงราวกับมีออร่าอาบไว้ Any Spell Pluse สิ้นคำ ลากูน่าก็เริ่มพึมพำ ร่ายคาถาโดยที่ระหว่างร่ายแสงพลังเวทย์ที่ห่อหุ้มตัวของเขาก็เริ่มขยายตัว และย้ายไปเสริมกับพลังเวทย์ที่เจนัส สะสมไว้ที่หมัดจนแสงพลังเวทย์มันขยายขึ้นก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปซัด อีกฝ่าย Title: Re: Legend of The Thaliwilya update คุยเล่นกันหน่อย Post by: greamon on May 25, 2008, 07:50:56 PM Splash Shot
เช่นกันนีน่าเองก็ลั่นไกปืนออกไปพร้อมกับที่แรง ระเบิดจากลูกกระสุนทั้งแปดพุ่งออกไปยังนักรบนิรนาม ก่อนที่การโจมตีของพวกเขาจะถึงตัวนักรบนิรนามเขาก็ออกแรงดันสลักที่เข็มขัดไป ข้างหน้าโดยที่แรงหนืดของสลักไม่มีผลทำให้เขาดันมันยากขึ้นเลย ซึ่งทันทีที่เขาดันสลักไปข้างหน้า ตามรอยต่อของเสื้อเกราะก็มีไอน้ำพวยพุ่งออกมาก่อนที่รอยแยกนั้นจะเริ่มขยายชุดเกราะของ เขาเริ่มแยกชิ้นออกจากกันราวกับจะปริ แตกออกมา พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำจากเข็มขัดซึ่งราวกับเสียงจักรลดังขึ้น Stand By (เตรียมพร้อม) :ควรออกเสียงตามนี้เพื่ออรรถรส สแตน~~บายยย ออกเสียงทุ้มต่ำๆ: ขณะที่การโจมตีเริ่มกระชั้นชิดเข้ามา นักรบนิรนามกลับดูไม่รีบร้อนเลย ซึ่งนั่นทำให้เจนัสรีบพุ่งเข้าไปเร็วขึ้น จนแทบจะแซงแสงกระสุนของนีน่าไปเลย Release Armor (ปลดเกราะ) นักรบนิรนามกล่าวก่อนจะออกแรงดึงสลักกลับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง Push Off (ผลักออก) :แพส~~ออฟฟฟ (ออกเสียงออฟให้ทุ้มต่ำสั้นๆ): เสียงจากเข็มขัด ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ชิ้นส่วนเกราะเขาจะพุ่งแตกกระจายออกจากร่างราวกับ ถูกแรงระเบิดดีดออกมาจากข้างใน การโจมตีของพวกเจนัสถูก ชิ้นส่วนของเกราะจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าประทะจนสูญเสียการควบคุมและพุ่งเฉียงออกไป หมดรวมทั้งตัวของพวกเขาก็ กระเด็นไปตามแรงระเบิดที่พุ่งผลักเกราะออกมา จนต้องถอยกลับมาตั้งหลักในระยะไกลพอสมควร ทันทีที่พวกเขาตั้งตัวได้ ร่างของนักรบนิรนามที่ อยู่ภายใต้ชุดเกราะก็ได้เผยออกมา ร่างนั้นเป็นร่างของเด็กหนุ่มผมสีทองอายุราวพวกเขาในเสื้อไหมพรมแขนสั้นสีดำอมน้ำเงิน กางเกงสีขาวลายแดงขริบทอง ตาของเขาปิดสนิทอยู่ และที่ทำให้ทาลูคูสรู้สึกแปลกใจก็คือ เทพขุนพลคนนี้ก็เป็นครึ่งสมิงเช่นกันกับเจนัส แต่ดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อะไร เพราะหูที่เป็นเฉกเช่นสัตว์นั้น ถูกผมสีทองปรกเอาจนโผล่พ้นขึ้นมาเพียงน้อยนิด ที่เหลือจึงมีเพียงหางสีขาวยาวเป็นพวงของเด็กคนนั้นเท่านั้น ที่จะบ่งบอกได้ แต่ที่ดูจะทำให้พวกเขาแปลกใจกว่าก็คือท่าทีของพวกเจนัสทั้งสาม ที่ตอนนี้ได้แต่นิ่งอึ้ง ตาเบิกโผลงจ้องไปยังเด็กคนนั้น ราวกับเห็นผี นี่พวกนายเป็นอะไรกันไปน่ะ ทำหน้ายังกับเห็นผีงั้นล่ะ ทาลูคูสหันมาถาม แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบจากทั้งสามซึ่งก็ทำเอาเขากับลูกมังกร งงไปตามๆกัน ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มคนนั้นก็ค่อยๆ เบิกตาขึ้นแววตาของเขาดูเย็นชาสีหน้าเรียบนิ่งราวกับไร้ชีวิต นั่นใครกันน่ะ ทาลูคูส ตัดสินใจเปลี่ยนคำถามแทนเพื่อขอคำตอบจากทั้งสามแต่พวกเขาก็ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ พวกนายรู้จักเจ้านั่นด้วยเหรอ ทาลูคูสย้ำอีกครั้งพวกเขาจึง สะดุ้งเหมือนกับพึ่งได้สติกลับมา ยิ่งกว่ารู้จักซะอีก ลากูน่า กล่าวด้วยน้ำเสียงหวั่นๆแต่สีหน้ากลับเหมือนได้พบคนที่อยากเจอมานานแล้ว เค้าน่ะคือ นีน่า กล่าวเสียงสั่นๆอย่างบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือกลัวอยู่กันแน่เพราะตัวของนางสั่นระริกไม่ยอมหยุดเลย ราวกับเนื้อหนังของนางเต้นตุบตับไปทั่ว คนที่ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วไงล่ะ นีน่ากล่าว ออกมาอย่างยากลำบากเพราะนางสั่นไปทั้งตัวจนขาอ่อนแรงและทรุดหวบลงกับพื้น น..นี่รึว่านั่นคือ ทาลูคูสกล่าวเหมือนกับเริ่มเข้าใจแล้วว่าอาการของพวกเขา คืออะไรและสิ่งที่พวกเขาทั้งสามเห็นคืออะไร ใช่แล้ว นั่นน่ะคือ เจนัสกล่าวตะกุกตะกักอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ใช่..ทีนี้ก็รู้แล้วสินะ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก เครสเซนท์(Crescent = จันทร์เสี้ยว)หรือจะให้เรียกว่า ริคุ ดีล่ะ เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆอย่างช้าๆ (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms200883117108.jpg) ริคุงั้นเหรอบ้าน่า ก็ไหนว่าตายไปแล้วไงเจนัส นี่มันยังไงกันแน่ ทาลูคูสหันมาถามอย่างลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ถามมาอย่างนี้พวกเราก็ตอบไม่ได้หรอก เพราะพวกเราเองก็ยังไม่เข้าใจเลย เจนัสตอบด้วยท่าทีอิดโรย ความรู้สึกของเขาในตอนนี้บอกไม่ถูกว่า กำลังดีใจหรือกลัวอยู่กันแน่ ในขณะที่เด็กหนุ่มที่เรียกตนว่าเป็นเครสเซนท์ และบอกว่าเป็นริคุเดินเข้ามาประชิดตัวเขา ซึ่งก็ทำเอาลากูน่ากับนีน่าทำตัวไม่ถูกไปเลยทีเดียว ขณะที่เจนัสจ้องเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่ออย่างที่สุด ไงชาโดว์มูน..ไม่สิตอนนี้นายไม่ใช่แล้วนี่เนอะ งั้นก็ขอคุยในฐานะเพื่อนเก่าก็ละกันนะ .เจนัส เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวก่อนจะเบือนสายตาไปยังนีน่ากับลากูน่า ไง..ไม่เจอกันนานเลยนะลากูน่า นีน่า อ้อไม่สิก็พึ่งเจอกันอยู่ก่อนหน้านี้ไม่นานนี่เนอะ เด็กหนุ่มกล่าวไปยิ้มไปอย่างเป็นมิตร นาย..ตัวจริงสินะสัมผัสแบบนี้ไม่ผิดแน่ริคุนายยังไม่ตายจริงเหรอ ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยริคุ อัก .. เจนัสกล่าวอย่างลิงโลดแต่ยังไม่ทันได้จบประโยค เขาก็รู้สึกราวกับถูกคมดาบจำนวนมากฟาดฟันใส่ ก่อนที่ร่างของเขาจะบิดไปมาตามแรงกระทำโลหิตสีแดง ฉานพุ่งกระฉูดออกมาอาบร่างของเขาก่อนจะล้มฟุบจมกองเลือดไปกับพื้นหญ้า ใช่ฉันกลับมาจากนรกเพื่อมาเอาชีวิตพวกนายที่ทรยศต่อ องค์กร เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเหี้ยมโดยที่สีหน้าเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ก่อนจะสบัดกรงเล็บของเขาซึ่งมีเศษเสื้อผ้าและเลือดของเจนัสติดอยู่ให้หลุดออกไป ทันทีที่เจนัสล้มลงลากูน่าและนีน่าก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเจนัสทันที เจนัส ท่านพี่ ทั้งสองเรียกเขาแต่ดูเหมือนเขาจะอ่อนล้าจากบาดแผล ทำให้ไม่มีแรงจะลุกขึ้นหรือโต้ตอบอะไรได้เลย แก .ทำไม..ทำไมถึงทำอย่างนี้ ทาลูคูสตวาดออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดเขามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาราวกับจะกินเลือด กินเนื้อเขาซึ่งนั้นดูจะทำให้เด็กหนุ่มชอบใจมากกว่าเดิม ทำไมน่ะรึ ก็เพราะมันสนุกน่ะสิ ความรู้สึกผิดหวังยามที่ถูกหักหลังน่ะมันช่างรื่นรมย์ เสียนี่กระไร โกรธด้วยเหรอไงคนนอกอย่างแกน่ะ เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับทอดสายตาเยาะเย้ยราวกับไม่รู้สึกผิดหรือเกรงกลัวอะไรเลยกลับดูเหมือนสนุกสนาน ที่ได้เห็นเพื่อนๆของตนต้องบาดเจ็บและผิดหวังซะมากกว่า แก .ทั้งที่พวกเค้าเป็นเพื่อนแกแท้ๆ..ทั้งที่พวกเขาเชื่อใจแกมาตลอดจนวันนี้พวกเค้าก็ยัง คงเชื่ออยู่สำหรับแกแล้วความเป็น เพื่อนความเชื่อใจนั้นมันคืออะไรกันแน่ ทาลูคูสกล่าวอย่างเดือดดาล ต่อการกระทำที่ฉาบฉวยของเด็กหนุ่มผู้นี้ พวก ลูกมังกร ตอนนี้กำลังช่วยกันพาพวก เจนัส ไปหลบก่อนเพราะสภาพจิตใจของพวกเขาไม่อาจสู้ต่อได้แล้ว หึ..ความเชื่อใจบ้างล่ะมิตรภาพบ้างล่ะ ของไร้สาระแบบนั้นน่ะมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เด็กหนุ่มกล่าวเรียบๆ ซึ่งคำพูดนั้นทำเอา ลากูน่า เจนัส และ นีน่า ซึมไปด้วยความผิดหวังทันที ซึ่งนั่นทำให้ ทาลูคูส เดือดดาลมากขึ้น ไปอีกเขากำดาบเอาไว้แน่นจนมือแทบจะแหลกคาดาบไปเลย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มยิ้มเยาะด้วยความชอบใจ คิดรึว่าตลอดมาน่ะฉันเป็นเพื่อนพวกแก ที่จริงทางองค์กร ต้องการดักคอพวกแกไว้ก่อนถึงได้ให้ข้าทำทีเป็นตีสนิทกับพวกแกเอาไว้ก่อนไงล่ ะ เป็นยังไงความรู้สึกที่โดนทรยศหักหลังน่ะมันเจ็บปวดขนาดไหน..หึฮ่าๆๆ เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงลิงโลดเป็นที่สุดก่อนจะ หัวเราะอย่างยิ้มเยาะด้วยความสะใจ หนอยแก..คนที่ใช้ความเป็นเพื่อนและมิตรภาพเป็นแค่เครื่องมือหลอกลวงคนอื่นอย่างแก น่ะอย่าอยู่เลย ย้ากกก ทาลูคูสที่เดือดเต็มที่บันดาลโทสะออกมาอย่างเต็มทน ก่อนจะฟาดดาบในมือใส่ร่างของเด็กหนุ่มแต่ทว่า ดาบของเขาก็ถูกกรงเล็บของเด็กหนุ่มที่สะบัดมาปัดออกไปพร้อมกับเสียงฉัวะ ราวกับมีดบาดดังขึ้น ดาบของเขาหลุดออกจากมือ พร้อมเลือดที่ไหลพรากจากแผลที่มือ จนเขาต้องเอามืออีกข้างกุมไว้ด้วยความเจ็บแค้น ตายจริงกะว่าจะตัดให้มือขาดติดดาบไปเลยนะพลาดไปซะได้ เด็กหนุ่มกล่าวอย่างอดเสียดายไม่ได้ ก่อนจะเอามือที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตนขึ้นมาเลียเลือดด้วยสีหน้าระลื่น ช่างหอมหวานดีแท้เลือดของคนที่ผิดหวังเพราะถูกทรยศเนี่ย เคี้ยกๆๆ เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างชอบใจ เซอร์เซสที่แม้จะเลือนรางเต็มทีแล้ว แต่ก็ยังได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมอย่างเป็นสุข อ้อจริงสิท่านเซอร์เซส ข้าลืมไปเลยรออีกเดี๋ยวเดียวนะข้าจะรีบๆจัดการให้เสร็จสิ้นไป เด็กหนุ่มกล่าวจบก็พุ่งทะยานออกไปอย่งรวดเร็วราวลมกรด ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าพวกเขา พร้อมกับเลือดที่พุ่งออกจากร่างของพวกเขาทุกคน บาดแผลถูกฟันเปิดเหวอะหวะไปทั่วทั้งร่าง ของพวกเขา แต่สำหรับพวกเจนัสแล้วที่เจ็บกว่านั้นคือใจของพวกเขาที่ถูกหักหลังความเชื่อใจที่เคยมีให้กันตลอดมา ร่างของทาลูคูสเรืองแสงก่อนจะกลับเป็น Lr กับไลท์ตามเดิมโดยทั่วร่างก็ยังคงมีบาดแผลติดตัวมาด้วย เอาล่ะจะปิดบัญชีล่ะนะ เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะก้าวไปหาเจนัสกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาอย่างแรง Lrและพักพวกทำได้ เพียงแต่เฝ้ามองดูเพื่อนของเขาถูกเชือดเท่านั้น เพราะต่างก็บาดเจ็บจนขยับไม่ไหวแล้ว จะเอาตรงไหนก่อนดีน้า เอาเถอะยังไงก็อย่ารีบตายนักล่ะ เดี๋ยวมันจะหมดสนุกเร็วไป ฮิๆๆ เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสะใจขณะที่ค่อยๆเอากรงเล็บกรีดร่างของผู้ที่เคยเป็นเพื่อน ด้วยความสะใจ ไม่มีเสียงแสดงความเจ็บปวดใดๆดังออกมาซึ่งนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ทำไมไม่ร้องล่ะ..เอาซิเอาเลยเชิญกรีดร้องได้ตามสบายเพราะไม่งั้นมันจะหมดสนุกกันพอดี.. เอาสิร้องเลยร้องขอชีวิตหรืออะไรก็ได้เอาสิ เด็กหนุ่มพยายามอยู่นานเพื่อให้เจนัสตอบสนองออกมาแต่เขาก็ยังนิ่งเงียบจ้องมองไปยังสายตาของเด็กหนุ่ม ตลอดเวลา ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงปล่อยตัวเขาให้ล้มลง ทำไมถึงไม่ร้องล่ะ ทำไม แกจ้องอะไรอยู่ ข้าถามว่าแกมองอะไรอยู่ เด็กหนุ่มเริ่มที่จะโมโหหงุดหงิดกับท่าทีที่นิ่งเฉยของเขา นาย ไม่ใช่สินะ.. เจนัสกล่าวพะงาบๆออกมาแผ่วๆลมหายใจของเขาเริ่มแผ่วลงอย่างช้า อะไรของแก เพ้ออยู่หรือไง เด็กหนุ่มกล่าวอีกครั้งด้วยความเดือดดาล แต่เจนัสเองก็ยังคงจ้องไปที่สายตาของเขาอยู่ซึ่งนั้นทำให้เขาแปลกใจและรำคาญมาก เข้าใจแล้ว.. เจนัสกล่าวพร้อมกับค่อยๆยันตัวขึ้นอยางลำบาก แววตาของเขาทำเอาเด็กหนุ่มถอยผงะความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้น เล็กน้อยในใจของเด็กหนุ่ม เมื่อเจนัสมองลึกลงไปในดวงตาของเขา เข้าใจอะไรของแก เด็กหนุ่มกล่าวอย่างลนลานก่อนจะถอยผงะออกห่างมาเรื่อยๆพวกลากูน่าที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามเจนัสที่พยุงตัวขึ้นมาแล้วก็กล่าวออกมา ลากูน่าแล้วก็เธอ นีน่า ที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ริคุ เจนัสเปรยออกมาด้วยสายตามุ่งมั่นซึ่งนั่นสร้างความประหลาดใจให้แก่ทั้งสองฝ่าย เพ้อไปแล้วรึไง ถ้านี่ไม่ใช่ข้าแลวข้าจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ เด็กหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีร้อนรน เมื่อเห็นเจนัสลุกขึ้นมา ริคุจะไม่มีวันหักหลังพวกเรา ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่ริคุแต่เป็นเครสเซนท์ที่อยู่ในร่างของริคุ เจนัสกล่าว แกบ้าไปแล้วตายซะเถอะ Kamaitachi (เคียววายุ) เด็กหนุ่มกล่าวจบลมก็เริ่มก่อตัวที่อุ้งมือของเขาทันทีก่อนจะวาดมันออกไปใส่เจนัส ข้าแต่ผู้ปกครองแห่งดวงเดือนและหน้ากากแห่งเลือดเนื้อจงมอบนิทราอันเป็นนิรันด์แก่อริข้า Bloody Moon สิ้นเสียงของเจนัสศิาจันทราก็ส่องแสงวาบออกมาก่อนที่แสงจะทะยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแหวก หมู่เมฆฝนที่ก่อตัวกันเอาไว้ก่อนจะปรากฏจันทราสีเลือดขึ้นมา พร้อมกับสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาอย่างหนัก เปรี้ยง!!! เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องพร้อมกับสายฟ้าแลบแสงจากสายฟ้าที่สว่างวาบขึ้นมาด้างหลังของเจนัส ทำให้ชั่วพริบตานึงท่าทางของเขาดูน่าเกรงขามอย่างงมาก แสงจากจันทราสีเลือดสาดส่องลงมาอาบร่างของเขา ลากูน่าและนีน่าเองก็เช่นกันหลังจากอาบแสงนั้นบาดแผลก็ปิดสนิททันที และรู้สึกสดชื่นราวกับได้รับพลังเพิ่ม และหายจากความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้จากคำพูดของเจนัสทำให้ทั้งสอง มีกำลังใจจะสู้อีกครั้ง พวก Lr ยังคงบาดเจ็บอยู่จึงไม่อาจร่วมสู้ได้นีน่าจึงพาพวกเขาออกห่างไปก่อนจะกลับมาสมทบซึ่งอีกฝ่ายก็รอท่าอยู่แล้ว เข้าใจแล้วนะทั้งสองคน เจนัสถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าตอบกลับอย่างมั่นใจ นี่พวกคิดแกจะสู้กับข้าจริงๆรึ เด็กหนุมกล่าวน้ำเสียงหวาดหวั่น เมื่อทั้งสามกลับมายืนตรงหน้าพร้อมกันทั้งสามคนท่ามกลางพายุฝน ที่โหมกระหน่ำราวกับความสิ้นหวังแต่บัดนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว พวกเขาพร้อมที่จะรบอีกครั้งแล้ว สายตาของริคุ ได้บอกให้ฉันรู้แล้วว่าแกไม่ใช่ริคุแกแค่อาศัยอยู่ในร่างของริคุเท่านั้นเจ้าปิศาจแห่งความกลัวที่ ท่านผู้นั้นสร้างขึ้นมาในจิตใจของริคุ เจนัสกล่าวจบก็เร่งพลังเวทย์เต็มที่เช่นกันลากูน่าเร่งพลังตามพี่ ของเขาอยางทันถ้วงทีขณะเดียวกันนีน่า เองก็เริ่มแกะประกอบปืน ของตนใหม่พร้อมกับดึงเอาใบมีดที่เก็บเอาไว้มาติดที่ ปืนซึ่งเปลี่ยนโฉมเป็นด้ามมีดไปแล้ว ก่อนจะถอดชุดราตรีสีดำออกเผย ให้เห็นชุดผ้าไหมรัดรูปสีเขียวอมฟ้ากับถุงอุปกรณ์แปลกๆที่คาดเอวไว้ นางคว้าเอาผ้าคลุมสีม่วงผืนใหญ่จากกระเป๋าคาดมาคลุมทันที พร้อมกับที่พวกเจนัสโยนเสื้อที่ฉีกขาดทิ้งไปเพื่อ ไม่ให้เกะกะการส่งพลังมนตราออกจากร่าง ควันสีดำพวยพุ่งออกมา ครอบคลุมร่าง ของทั้งสามและเมื่อลมฝนที่พัดโชยมาพัดเอาละอองควันออกไป ร่างของ สมิงหม่าป่าสีดำ และสีเงินสองตนกับ สมิงแมวป่าขนสีม่วงซึ่งถือมีดด้ามที่แปลงจากปืนของนาง ทันทีที่ร่างของพวกเขาปรากฏ ได้ไม่นานจู่ๆพวกเขาก็หายวับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่เด็กหนุ่ม ถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าใส่ไปมา ซึ่งทุกครั้งที่โดนสิ่งนั้นพุ่งชน ก็จะเกิดบาดหรือรอยช้ำขึ้นซึ่งตอนนี้เด็กหนุ่มก็โดน จนระบมไปทั้งร่างและ ล้มทรุดลงซึ่งสิ่งที่พุ่งไปมานั้นก็คือพวกเจนัสที่ เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วพุ่งเข้าโจมตีเขานั่นเอง ทั้งสามหยุดการเคลื่อนไหวทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้นก่อนจะ ล้อมกรอบเข้าไป เด็กหนุ่มกัดฟันด้วยความเจ็บแค้นขณะที่มองไปหา เซอร์เซส ซึ่งล่อแล่เต็มทนแล้ว เขาจึงคิดจะหาทางหนีไปแต่ตอนนี้เขาถูกทั้งสามล้อมไว้หมด หนอย แล้วจะได้เห็นดีกัน เขากล่าวก่อนที่ควันสีดำ จะพวยพุ่งออกมาเช่นเดียวกับพวกเขาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่เร็วมากพุ่ง ทะยานออกมาจากกลุ่มควันฝ่าละอองฝนจนเกิดเสียง แซ่กๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว เหลือไว้แต่เพียงเสื้อที่เด็กหนุ่มใส่เมื่อครู่ถูกทิ้งไว้ Double Kamaitachi (เคียววายุคู่) เสียงดังก้องขึ้นพร้อมกับคลื่นลมที่ส่งเสียงหวีดหิวพุ่งตรงเข้าหาเจนัสกับลากูน่าแต่ทั้งสองก็ใช้ความเร็วหลบไปได้ เมื่อเจ้าของเคียวสายลมเมื่อครู่หยุดเคลื่อไหว ร่างของสมิงพังพอน ที่ใส่ถุงมือเหล็กสีดำก็ปรากฏกายขึ้น ลืมไปแล้วรึไงข้าคือนักสู้สมิงพังพอน(Waesel Fighter)ที่เร็วที่สุดนะอย่างพวกเจ้าน่ะตามข้าไม่ทันหรอก สมิงพังพอนกล่าวจบก็ทะยานไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/63.jpg) ชิ ลมกรดสมแล้วที่เป็นร่างของริคุไวจนตามไม่ทันเลย เจนัสกล่าวขณะที่คอยรับมือการโจมตีของสมิงพังพอน ดีล่ะ..ถ้างั้นก็ต้องสกัดการเคลื่อนไหว นีน่ากล่าวจบก็กดสวิซต์ที่ด้ามมีด หลังจากนั้นก็มีเสียงสัญญาณดังขึ้นหนึ่งครั้งเสียงนั้นดังกังวาน ขึ้นไปบนฟ้า เหนือเมฆขึ้นไปวัตถุโลหะทรงกลมสีขาวซึ่งลอยลำอยู่เหนือหัวพวกเขาก็บินทะลุเฆมฝนลง อย่างรวดเร็ว เอาล่ะถ้าสู้กันซึ่งๆหน้าไม่ได้ คงต้องใช้เครื่องทุ่นแรงกันหน่อย นีน่ากล่าวซึ่งการปรากฏตัวของวัตถุประหลาดเองก็ทำเอาสมิงพังพอนนิ่งอึ้งไปเช่นกันกับพวกเขา มันมีขนาดใหญ่เท่ากับให้คนสองคนนั่งได้ ยิงเลยจ้ะคาริอุส (Carrius) นีน่ากล่าวจบก็กดสวิซต์ที่ด้ามมีดอีกครั้งซึ่งดูเหมือนวัตถุนั้นจะมีปกิกิริยาตอบสนองกับเสียงที่ดังขึ้นนั้นด้วย Ready (เตรียมพร้อม):เลด~~~ดี้อ่านออกเสียงทุ้มต่ำ: วัตถุนั้นส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกับ กางกลไกภายในออกมาเหมือนกับกางปีกซึ่งกลไกลที่ถูกกางออกมา เป็นแขนกลที่ซ้อนไขว้กันและในช่วงแขนนั้นก็มีอาวุธมากมายติดอยู่ทั้งสองข้างไม่ว่าจะเป็นดาบปืนใหญ่ระเบิดกระสุน หรือแม้แต่ธนูโละก็มี Choose (ยิงส่ง):ชูสสสส ออกเสียงสูงหน่อยๆ: วัตถุนั้นส่งเสียงอีกครั้งก่อนจะทุ่มอาวุธทั้งหมดลงข้างล่างใส่พวกเขา หลบดีๆนะ นีน่าตะโกนพร้อมกับพาพวก Lr ออกจากบริเวณอย่างรวดเร็วทุกคนสามารถหลบพ้นได้หมด แต่เซอร์เซสเพียงคนเดียวกลับถูกห่ากระสุนและดาบเสียบในฝักพุ่งกระแทกใส่เป็นพัลวัน ตอนนี้อาวุธทั้งหมดตกเกลื่อนกลาดระเกะระกะไปหมดซึ่งแม้จะยัง งงๆอยู่แต่ก็รู้แล้วว่าตอนนี้ความเร็วของทุกคนจะต้องถูกจำกัดด้วยอาวุธที่ปักอยู่บนพื้นเหล่า นี้ราวกับเป็นเสาโลหะที่กีดขวางการเคลื่อนไหว หลังจากที่วางพวก Lr ลงแล้วนีน่าก็รีบกลับเข้าไปความหาอาวุธที่ถูกทิ้งลงมา บัดนี้วัตถุประหลาดนั้นได้หดแขน กลของมันกลับและทะยานกลับไปบนฟ้าแล้ว เจนัสกับลากูน่ารีบมาสมทบกับนางทันที ซึ่งนางเองก็ความหาของที่ต้องการเจอแล้ว เอ้านี่สำหรับพวกเธอไอ้นี่น่าจะถนัดมือกว่านะ นีน่ากล่าวขณะที่โยนสนับมือโลหะซึ่งมีปลายหนามเหล็กที่ข้อนิ้วสนับมือ2 คู่ให้พวกเขาทั้งสองซึ่งมันก็พอดีกับ อุ้งมือในร่างสมิงของพวกเขาพอดี ส่วนนางก็ชักเอาดาบยาวออกจากฝักดาบมาสองเล่ม ทีนี้ก็ไปจัดการกันเลย นีน่ากล่าวจบพวกเขาก็แยกกันไปล้อมสมิงพังพอนที่ยืนดูด้วยความตลึงงึงงัน เชอะคิดว่าจะจับข้าได้เรอะฝันไปเถอะ สมิงพังพอนกล่าวจบก็พุ่งออกอย่างรวดเร็วแต่ครั้งนี้ความเร็วของเขากลับตกลงจนสามารถมองตามได้ทัน เพราะอาวุธที่ถูกทิ้งระเกะระกะไปหมดทำให้เขาเคลื่อนที่ได้ไม่สะดวกนัก เผลอตัวอีกทีเขาก็ถูกกำปั้นของเจนัสและลากูน่ารัวๆเข้าไปทั้งร่าง และด้วยสนับมือหนามที่ใช้ทำให้ การโจมตีรุนแรงขึ้นจนจุดที่โดนชกเป็นแผลเหวอะทันทีโลหิตสีแดงไหลพรากออกมาอาบขนสีขาว นวลของเขาไปทั่วทั้งร่าง ความเร็วของฝ่ายเจนัสไม่ตกลงเป็นเพราะจันทราสีเลือดที่อัญเชิญมาทำให้พวกเขามีพลังมากพอ ที่จะเคลื่อนไหวได้ในที่คับแคบแช่นนี้ สมิงพังพอนถูกต้อนจนตรอกแล้ว เป็นวิธีที่เสี่ยงไปหน่อยเพราะถ้าหากแกหยิบอาวุธเหล่านี้มาใช้ด้วยล่ะก็คงลำบากแย่เลย นีน่ากล่าวขณะที่เอาดาบไปจ่อที่คอยของสมิงพังพอนเพื่อไม่ให้เขาหนี แต่เรารู้อยู่แล้วว่าริคุน่ะไม่ถนัดใช้อะไรแบบนี้ ลากูน่ากล่าวโดยแยกเขี้ยวขู่ไปด้วยทำให้สมิงพังพอนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ถึงแกจะไม่ใช่ริคุที่พวกเรารู้จักแต่นี่ก็เป็นร่างของเขาเพราะฉะนั้นแกจึงมีข้อจำกัดเช่นเดียวกับเค้าด้วย เจนัสกล่าว แกแพ้ให้กับความรู้สึกที่เรามีต่อริคุแล้ว เพราะเรื่องของริคุพวกเราที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาต่างก็รู้ดีที่สุด เจนัสกล่าวตอกย้ำความพ่ายแพ้ของสมิงพังพอนอีกครั้ง อึก..ข้ายอมรับเลยว่าแพ้พวกแกแล้วเพราะฉนั้น สมิงพังพอนกล่าวจบก็หายฟุบไปจากตรงหน้าพวกเขา ทำให้ทั้งสามหันไปยังทิศที่เซอร์เซสนอนอยู่ สมิงพังพอนไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะสมิงพังพอนจะกลับเป็นร่างของเด็กหนุ่มตามเดิมเขาหยิบเสื้อ กลับมาใส่และดันสลักที่เข็มขัดอีกครั้ง Push On (ดึงกลับ):พุชออน ออกเสียงตามปกติ: เสียงจากเข็มขัดดังขึ้นพร้อมเศษชิ้นส่วนเกราะที่แตกกระจายไปในตอนแรกเรืองแสงสีม่วงอ่อนและ หายวับกลับมาปรากฏตรงหน้าเขาและค่อยๆประกอบกลับตามเดิม ก่อนจะแบกร่างของเซอร์เซสที่จวนเจียนจะไปอยู่แล้ว ขึ้นบ่า ครั้งนี้ข้าจะถอยก่อน แต่เมื่อเจอกันครั้งหน้าจงจำเอาไว้ให้ดีข้าไม่ใช่ริคุที่พวกเจ้ารู้จักแต่เป็น 12 เทพขุนศึก เครสเซนท์ เขากล่าวจบก่อนทะยานออกไปอย่างรวดเร็วและหายลับไป โดยที่พวกเจนัสตามไปไม่ทัน พวกเขาจึงสลายพลังมนตราพร้อมกับคืนร่างเดิม นีน่ากดสวิตซ์เรียกวัตถุทรงกลมกลับมาเก็บอาวุธ คืนอีกครั้งโดยมันพุ่งลงมาและใช้แขนกลดึงทุกอย่างกลับเข้าตัวและบินหายลับไป พวกเขาเดินไปเก็บเสื้อที่ถอดทิ้งไปกลับมาสวมอีกครั้งส่วนนีน่าก็ประกอบมีดกลับเป็นปืนตามเดิม หลังจากที่อัญเชิญจันทราสีเลือดกลับไป พายุฝนก็หยุดลง แสงจากดวงตะวันยามเย็นได้ทอประกาย ผ่านละอองน้ำในอากาศจนเกิดเป็นสายรุ้งทอดยาวขึ้นมา พวกเขาช่วยกันพาพวก Lr กลับหมู่บ้านเพื่อไปทำแผลที่กองกำลัง และการต่อสู้ของพวกเขาในครั้งนี้ก็ได้รับชัยชนะไป แต่ทว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นทำศึกกับโฮลี่ไนท์แมร์เท่านั้น .. โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า หลังจากที่พวก Lr หายจากอาการบาดเจ็บ พวกเขาก็ได้ข่าวเรื่องที่อยู่ของนิทินโค จึงคิดจะเดินทางออกไปรับตัวและเพื่อทำภารกิจที่ทิโมธีฝากมาด้วย แต่แล้วพวกเขาก็ต้องเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า จะเดินทางไปด้วยกันเรื่อยๆหรือ ทางที่แยกจากกันเป้าหมายของแต่ละคน การตัดสินใจของพวกเขารวมถึงอดีตของนีน่าที่มีต่อริคุคืออะไรกันแน่ น้องชายของเมทาไนท์เป็นใคร ติดตามได้ในตอนหน้า บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน เป็นไงครับไม่นึกถึงกันเลยสิมีเรื่องมากมายให้เลือกอึ้งจริงๆ ว่าแต่ผมเขียนริคุต่างไปจากที่ทุกคนคิดกันมากรึเปล่า ไม่เหมือนที่ได้ยินจากเจนัสเลยสินะครับ แต่ทำใจเถอะครับความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นแล้วก็ติดตามตอนต่อไปกันอาทิตย์หน้านะครับบาย Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี้ Post by: boy on May 27, 2008, 03:51:30 PM อึ้ง ทึ่ง เสียว cresent เป็นใครนะ ลอเรนซ์ น้องชายเมทาไนท์ชัวร์ ฟันธงครับ ::011::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี Post by: greamon on May 27, 2008, 11:46:08 PM เอ่อ creasent ก็คือริคุอ่ะน่ะครับ - -* แต่เป็นฉายาเหมือนกับของเจนัสที่ใช้ชาโดว์มูนน่ะล่ะคับ
แต่ที่เจนัสบอกว่าไม่ใช่ริคุเพราะที่อยู่ในร่างไม่ใช่ริคุครับส่วนสาเหตุเพราะอะไรรอดูกันต่อไปนะครับ ส่วนน้องชายเมทาไนท์ฟันธงเลยครับว่าใช่ไม่แน่อาจหักมุมนะครับ(เออว่าแต่จะหักไงนิมันไม่มีมุมให้หักแล่วงั้นรอดูต่อไป อาจจะถูกเพราะผมกาบุม่อนเป็นผู้ช่วยคนแต่งส่วนเกรม่อนไม่อยู่ตอนนี้เรียนพิเศษอยู่555แมวไม่อยู่หนูร่าเริง) Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี Post by: greamon on May 30, 2008, 09:07:08 PM หวัดดีคร้าบท่าเข้ามาแล้วเห็นว่ากระทู้มีบางอย่างเปลี่ยนไปคุณคือ
ผู้รู้แจ้งนะครับเพราะจำได้มั้ยคราวก่อนรูป weasel fighter มันเบลอผมเลยเอามาลงใหม่อีกที แต่อันนี้มันของที่เขามีในเเว็บน่ะครับเลยปั้ม ตัวอักษรปิดไว้ซะเกือบมิดเลย ต้องขออภัยจริงๆเนื่องจากรูปที่มีมันไม่ใช่มากและอีกอย่างหลังๆอาจมีการใช้รูปพวก นี้อีกดังนั้นหากพบเจอภาพการ์ดที่แปะไว้ มีตัวอักษรปิดก็ทำใจหน่อยนะคร้าบ กระผมอับจนปัญญาแล้ว Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี้ Post by: boy on May 31, 2008, 10:23:17 AM อยากเห็นเมทาไนท์เจอกับพระเอกของเราในสภาพพี่น้องกันน่ะ ::011:: แล้วก็ให้พวกสมิงไปด้วยกันด้วย ::011::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี Post by: greamon on June 01, 2008, 07:17:23 PM มาแล้วค้าบแหมหมู่นี้ชักรู้สึกว่าจะออกทะเลไปเรื่อยแล้วสิเนี่ย
จากนิยายสงครามจะกลายเป็นรักโรแมนติกแทนซะนี่ว่าแล้วไปดูกันเลยดีกว่าครับ บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แสงจันทร์ที่สาดส่องลงยามค่ำคืน และสายลมที่พัดแผ่วๆอย่างอ่อนโยน พัดผ่านหมู่บ้านอันเงียบสงบ ซึ่งห่างไกลจากทวีปเมอริเซียที่บัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ท้องนภาเปิดโล่ง เหล่าดวงดาวต่างออกมาส่องแสงจนแพรวพรายเต็มฟากฟ้า ดวงจันทราในคืนนี้เองก็ส่องสว่างเต็ม ทั้งดวงเป็นดั่งเช่นคืนนั้น ในคืนที่ทั่วทั้งอาณาจักรฟูดินันเกิดความวุ่นวายและเรื่องราวมากมาย สายลมพัดอ่อนๆเพื่อให้ความเย็นสบายแก่ผู้คนของหมู่บ้าน เสียงหวีดหวิว ของลมราวกับจะขับกล่อมให้ทุกผู้ที่ฟังได้หลับในนิทราที่สงบ เอี้ยดดดดอ้าดดด เสียงท่อนเหล็นรูดกับไม้ ของราวตากผ้า ซึ่งตั้งอยู่หลังศูนย์กองกำลังต่อต้าน บนราวมีเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว แจ็คเก็ตสีดำและแจ็คเก็ตสีแดงแขวนไว้ ซึ่งทุกตัวยังคงชื้นจากการซักและยังมีร่องรอย การซ่อมแซมที่แนบเนียนชนิดนับได้ว่าฝีมือ ของผู้เย็บนั้นระดับมืออาชีพเลย และแม้ว่าจะไม่ชัดนักแต่ แจ็คเก็ตสีดำก็ยังคงมีคราบเลือดที่กลายเป็นสีดำจางๆติดอยู่ตามบางจุดต่างๆบ้าง ภายในห้องพยาบาล เด็กมนุษย์ผมสีน้ำตาลแดงในเสื้อยืดสีดำ กับลูกมังกรอีกห้าตัวกำลังหลับจากความอ่อนล้า โดยที่เก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆโต็ะข้างหัวเตียงที่เขานอนอยู่มีเด็กชายอีกคนนั่งสัปหงกเขามีผมสีเงินแต่มีหูเป็นสุนัขป่า และยังมีหางสุนัขป่าซึ่งแกว่งไปมาผ่านช่องพนักเก้าอี้ที่เขาพิงอยู่ ห่างไปจากตัวบ้านไม้ที่เป็นห้องพยาบาลด้านหลังเป็นสวนที่วางราวตากผ้าเอาไว้ และถัดไปอีก หน่อยก็เป็นสวนสาธารณะของหมู่บ้านซึ่งเป็นลานรูปวง มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน ต้นไม้ที่ปลูกรอบๆสวนทำให้บรรยากาศของสวนสาธารณะนี้รื่นรมย์ขึ้น อีกทั้งแสงจันทร์ ที่สาดส่องลงมากระทบกับผิวน้ำแลดูเป็นประกาย บนผิวน้ำช่างน่าจับใจนัก ที่ใกล้ๆนั้นเองใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนึงซึ่งหันเข้าหาดวงจันทร์ มีเงาของใครบางคน กำลังพิงลำต้นพรางมองดวงจันทร์ไป ในมือของเขาถือสายห้อยคอซึ่งคล้องหินสีเขียวไว้ เขายกมันขึ้นสู่ระดับสายตาและมองมันผ่านแสงจันทร์ด้วยท่าทีสงบ ก่อนที่จะมีเสียงกรอบแกรบ จากเศษกิ่งไม้ถูกเหยียบดังขึ้นทำให้เขาชะงักไป ก่อนจะหันไปมองยังทิศของเสียง ก็เห็นเงาของอีกคนกำลังเดินเข้ามา “ นอนไม่หลับเหรอ ” ผู้มาเยือนกล่าวก่อนจะย่างเข้าใกล้มาเรื่อยๆอย่างช้า จนเมื่อแสงจันทร์สาดส่องผ่านลงมายังเบื้องล่าง ร่างของทั้งสองก็ปรากฏแก่สายตาซึ่งกันและกัน “ แล้วเธอล่ะ…มาทำอะไรที่นี่ ” เจนัสถามก่อนจะลดมือที่ถือหินสีเขียวลงและหันไปสนทนาด้วยเขาสวมเพียงแต่กางเกงสีดำของเขา เท่านั้นเพราะตัวที่นีน่าซื้อให้เขายังตากอยู่ “ ก็แค่….. ” นีน่ากล่าวแต่ก็อ้ำอึ้งจนพูดไม่ออก นางตัดสินใจไม่ถูกว่าจะบอกดีหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นเจนัส ก็พอจะทราบว่าเธอต้องการอะไรจึงถามออกไปโดยไม่คิด “ ยังคิดเรื่องเมื่อตอนบ่ายอยู่อีกหรือ ” เจนัสกล่าวเสียงเรียบ แต่สายตานั้นดูอ่อนโยนยิ่งนักซึ่ง นั่นทำให้นางหน้าแดงด้วยความเขินอายอย่างบอกไม่ถูกไปชั่วครู่ “คิดสิ…ใครจะไปลืมลงล่ะ” นางพยายามกล่าวเหน็บกลับแบบทุกทีแต่ทว่าน้ำเสียงนั้นสั่นเครือยิ่งนัก ทำให้เจนัส เริ่มเป็นห่วง “ นี่เธอ… ” เจนัสพยายามจะหาคำพูดมาปลอบเธอแต่ก็ถูกนางหยุดไว้เส้นผมของนางหล่นมาปรกใบหน้าของนางเอาไว้ ทำให้ไม่รู้ว่าสีหน้าของนางเป็นเช่นไรบ้าง “ ตอนที่ฉันยังรับการฝึกเพื่อเป็นเทพขุนพลน่ะ….. ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือซึ่งเจนัสเองก็คิดจะกล่าวถามแต่ก็ล้มเลิกไปเพราะท่าทีของนางเขาจึง จะรอฟังนางให้จบเสียก่อน “ นายก็รู้นี่ว่ามัน…ยากมากตอนนั้นน่ะเพื่อนที่ร่วมฝึกกันมาก็ตายหมดเพราะไม่ผ่านการฝึกเหลือเพียงฉันอยู่คนเดียว… ” นางกล่าวเสียงสั่นเครือมากขึ้นแต่ก็ยังฝืนเล่าต่อ “ ..ตอนนั้นน่ะฉันสิ้นหวังเต็มแก่แล้วอยากจะตายๆไปเสียด้วยซ้ำแต่แล้ว..คนที่มาห้ามฉันไว้ และเป็นกำลังใจให้ฉันฝ่าฟันมาโดยตลอด… ” นางกล่าวยังไม่ทันจบก็เงยหน้าขึ้นสีหน้านางยังคงเป็นปรกติ นางพยายามทำใจอยู่นานซึ่งเจนัสเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรยังคงยืนฟังต่อแต่ขณะเดียวกันก็เตรียม หาวิธีรับมือหากนางเกิดคิดสั้นหรือเป็นอะไรขึ้นมา อยู่ไปพราง “ ใช่แล้วเค้านั่นล่ะ..ริคุ.. ” นางกล่าวออกมาด้วน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุดหากแต่เจนัสนั้นรู้อยู่แล้ว ว่านางแสร้งทำเพราะนางเอามือไปไขว้หลังไว้และบีบมันแน่นแต่เขาก็ยังคงรอนางอยู่ “ วันที่ฉันเข้าพิธีเพื่อรับตำแหน่งเทพขุนศึก หลังจากเสร็จพิธีลูกน้องในสังกัดก็มารายงานว่านายกับเค้ากำลังประลองกันถึงตายเพื่อเป็น เทพขุนศึก….ฉันรีบวิ่งไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดเลย ” นางกล่าวไปพรางขณะเดินอ้อมไปยังอีกด้านของต้นไม้ซึ่งเจนัสก้ได้แต่เชยตามองตามไป แต่นางก็วนกลับมายังด้านที่หันเข้าหาบ่อน้ำ และเดินใกล้มาที่เขา “ ตอนที่ไปถึงฉันก็เห็นเธอกำลังซ้อมเค้าที่สู้ต่อไม่ได้แล้วจนตายน่ะ มันแทบจะทำเอาฉันสิ้นใจเสียตรงนั้นเลย ” นางกล่าวขณะที่มองหน้าเขาซึ่งเขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าสะดุดตาแต่อย่างไรมีเพียงแววตาอ่อนโยนที่ไม่เคยให้เห็น ของเขาเท่านั้นที่ฉายออกมา แตะกระนั้นนางก็ไม่ได้สนใจใยดีด้วยเลยยังคงเล่าต่อไป “ รู้อะไรมั้ยตอนแรกฉันแค้นมากเลยล่ะแค้นซะจนแทบจะฆ่านายให้ได้เลยถ้ามีโอกาส… แต่รู้มั้ยพอได้ทำงานร่วมกับนายฉันถึงรู้ว่าฉันอาจคิดผิดแล้วมันก็จริง ยิ่งได้มาฟังจากปากเธอเองฉันก็เลยแน่ใจแล้วล่ะ ” นางกล่าวเรียบเฉย แต่เจนัสเองก็เริ่มมีปฏิกิริยาบางแล้ว “ แน่ล่ะตอนแรกฉันเองก็ไม่แน่ใจแต่เค้าคนนั้นก็มาบอกให้ฉันรู้… ” นางกล่าวจบเจนัสก็รีบแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย “ นี่รึว่าคนที่บอกเธอก็คือ.. ” เจนัสกล่าวแต่นางก็แทรกประโยคขึ้นมาทันที “ ใช่เค้าเองน่ะแหล่ะ ตอนนั้นฉันก็เลยแค้นเค้าไปโดยไม่รู้เเลยว่า….ว่า.. ” นางกล่าวสะดุดๆเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แต่ยังฝืนกล่าวออกมา “ คนที่ฉันแค้นที่สุดคือคนที่ฉัน….รักที่สุด…. ” นางกล่าวจบก็นิ่งเงียบไปทำให้เจนัสคิดจะกล่าวปลอบเธอแต่แล้วนางก็หันควับมาทันที ทำให้เขาชะงักไปนางสอดส่ายสายตาสำรวจตัวของเขาอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตีสีหน้าเอือมๆ “ นายนี่..ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไง… ” นางถามเสียงอ่อย ก่อนจะหยุดมองเขาแต่เขาก็ยังคงตีหน้านิ่งเฉยอยู่นางจึงถอนหายใจ อย่างเซ็งๆซึ่งนั่นทำให้เขางงกับท่าทีที่เอาแน่เอานอนของนางไม่ได้ซักที “ ไม่ความรู้สึกเจ็บแค้นบ้างรึไง..ที่ต้องสู้กับเขาน่ะ ” นีน่ากล่าว ตวาดด้วยความไม่พอใจ “ แต่… ” เจนัสพยายามจะกล่าวบางอย่างแต่ก็ถูกแทรกทันที “ ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่เค้าแต่ยังไงซะถ้าต้องเจอกับเค้าอีกหนฉันก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเขาได้มั้ย ” นีน่าตวาดกลับทันที โดยไม่ให้โอกาสเขาตั้งตัว “ แต่ว่า…. ” เจนัสยังไม่ทันได้กล่าวอะไรก็ต้องชะงักไปอีกเมื่อรู้ตัวนางก็เข้ามาซบที่อกเขาแล้วหยาดน้ำตาที่หยดลง บนร่างของเขานั้นทำให้เขาหยุดชะงักปล่อยให้นางร่ำไห้ ไปโดยไม่ทำอะไร “ ถึงนายไม่เจ็บ…แต่สำหรับฉันมันเจ็บราวกับถูกทิ้งให้ตายทั้งเป็น เพราะทังชีวิตฉันไม่มีใครอีกแล้วนอกจาเค้าฉันไม่อยากกลับไปตัวคนเดียวอีก….ไม่อยากเเผชิญกับความเหงาอีก ” นางกล่าวด้วยความขมขื่นอย่างที่สุดซึ่งเจนัสเองก็เข้าใจดีเพราะเขาเอง ก็ไม่ได้ไปต่างจากนางเลย แม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่แต่เมื่อต้องสู้กับคนสำคัญของตัวเอง ก็ย่อมต้องปวดร้าวเป็นธรรมดา เขาจึงเอาแขนโอบนางเอาไว้อย่างอ่อนโยน “ ใครว่าไม่เจ็บล่ะ.. ก็ไม่ต่างไปจากเธอหรอก” เจนัสกล่าวปลอบ คำพูดของเขาทำให้นางหยุดสะอื้นไปบ้าง “ รู้นะว่ามันน่ะเจ็บมันแค้น แต่คนที่สอนฉันว่าอย่าจมอยู่กับความแจ็บแค้นก็คือเค้านะ..ริคุน่ะ ” เจนัสกล่าวจบนางก็ปล่อยโฮ่ ออกมาแม้กลัดกลั้นยังไงก็ไม่อาจทนได้ “ ไม่ต้องห่วง ไปหรอกฉันอยู่กับเธอแล้ว..จะไม่ปล่อยให้เธอต้องตัวคนเดียวอีก… ” เจนัสกล่าว ชั่วพริบตานั้นภาพความทรงจำบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัวของนีน่า วันนั้นที่เธอถูกใครบางคนที่ปกป้องเธอไว้จากกลุ่มเด็กที่ไล่ทำร้ายเธอ หลังจากที่ไล่พวกเด็กไปได้แล้วเขาคนนั้นก็เข้ามาพูดกับเธอว่า “ ไม่ต้องห่วง ฉันอยู่ทั้งคนเธอไม่เป็นไรแล้วล่ะ ” เขาคนนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน ความทรงจำนั้นเลือนรางมากนางเองก็จำหน้าของเขาได้ไม่ชัดนัก รู้แต่เพียงว่าเป็นเด็กชายอายุเท่าเธอตอนนั้นเธอกลัวมากกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียวจึงกล่าวออกไป “ ฉันกลัว อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ..ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนี้อีกอย่าทิ้งฉันไปเลยขอร้องล่ะ ” คำพูดที่นางกล่าวไปในตอนนั้นทำให้เด็กชายดูจะแปลกใจอยู่บ้างแต่ เมื่อเห็นว่านางยังคงตื่นกลัวอยู่จึงกล่าวปลอบออกไป “ ไม่ต้องห่วง ไปหรอกฉันอยู่กับเธอแล้ว..จะไม่ปล่อยให้เธอต้องตัวคนเดียวอีก… ” เด็กคนนั้นกล่าวออกมาเช่นนั้น ทันทีที่ความทรงจำนั้นแล่นผ่านไปนางก็ผงะตัวออกห่างจากเจนัสทันทีแรงผลักทำให้เขาเสีย หลักจนเผลอปล่อยหินสีเขียวในมือ ออกไปมันหล่นกลิ้งไปใกล้ๆนาง ทันทีที่นางเก็บมันขึ้นมา ภาพความทรงจำก็ได้แล่นขึ้นมาอีก ท่ามกลางกองซากปรักที่ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงในยามราตรี นางกำลังนั่งร้องไห้อยู่ท่ามกลางกองเพลิงที่ล้อมรอบนั้น จนเมื่อมีเสียงใครบางคนเดินใกล้เข้ามาและเมื่อนางหันไปก็เห็นร่างของเด็กชายคนหนึ่งลากคอเสื้อของ หญิงสาวคนนึงมาที่กองเพลิงที่ลุกโชนที่สุด ก่อนที่เขาจะพุ่งมือทะลุร่างของหญิงสาวจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพร้อมกับโยนร่างไร้วิญญาณนั้น ลงไปในกองเพลิง นางกรีดร้องอย่างโหยหวน พร้อมกับเรียกชื่อของใครบางคน ที่นางเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร เด็กชายที่ได้ยินเสียงนั้นจึงก้าวเข้าไปหานาง แสงจากเปลวเพลิงกับเงาสะท้อนทำให้ นางมองเห็นได้ไม่ชัด แต่นางพอจะจำได้ว่า คนที่ช่วยนางเอาไว้ในป่า คือเด็กชายคนนี้แต่นางก็จำหน้าของเด็กคนนั้นไม่ได้ นางคลานถอยผงะด้วยความกลัว แต่เด็กชายก็ยังคงเดินรุกไล่นางไปเรื่อยจน นางถอยติดของกองเพลิง นางนั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด เด็กชายก้มตัวลงมาหานาง ก่อนจะเอามือที่เปื้อนเลือดสัมผัสใบหน้าของนาง แต่นางก็รวบรวมความกล้ากัดแขนของเด็กชายอย่างเต็มแรง แต่เด็กชายก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บอะไรแต่อย่างใดเขากลับปล่อยให้นางกัดให้จมเขี้ยว จนเลือดไหลออกมา “ เอาเถอะข้าไม่ว่าหรอก ทำซะให้สาสมกับที่ข้าทำไป นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าจะชดใช้ให้ได้ ” เด็กชายกล่าวโดยกัดฟันพูดออกมาเพราะความเจ็บ คำพูดนั้นทำให้นางปล่อยเค้าไปด้วยความฉงน “ คุณหนู! ” “ ท่าน ลาเซริโอ้! ” “ คุณหนู! ” จู่ๆก็มีเสียงดังมาจากนอกกองเพลิง แต่แล้วนางก็รู้สึกเหมือนถูกเรียกอยู่และทุกอย่างก็หายไป …… “ นี่เธอ…นี่ ” เสียงที่ดังขึ้นตรงหน้านางทำให้นางคืนสติกลับมาจจากผวัง เมื่อครู่ ผู้ที่เรียกสตินางกลับมาก็คือเจนัสน่ะเอง “ เจ้าเป็นอะไรไปน่ะไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ” เจนัสถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านางนิ่งไปอยู่นานหลังจากที่จ้องหินสีเขียวก้อนนั้น “ นี่..มัน ” นีน่าเอ่ยขึ้นลอยๆราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะรู้สึกว่ามือไม้อ่อนปวกเปียกไม่มีแรง จนเผลอทำหินหล่น แต่เจนัสก็รับไว้ทัน ก่อนจะมองนางด้วยความฉงน “ ไม่จริง…นี่…นี่เรา ” นางคิดก่อนจะวิ่งหนีเขาไปทันทีทำให้เจนัส ตกใจไม่ทันตั้งตัวก่อนจะได้ทันสังเกตว่าที่ข้อมือนางมีอะไรบาง อย่างสะท้อนกับแสงจันทรืส่องประกายสีเขียวแวบออกมาเล็กน้อย ซึ่งทำให้เค้าชะงักไป จนเมื่อนางวิ่งหายลับไปเขาจึงยกหินขึนมาสำรวจอีกครั้ง “ นี่รึว่า….ไม่จริงน่า ” เขากล่าวอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเดินกลับออกมา ………………………. ……………….. ………… “ กลับมาแล้วหรือคะ ” เสียงดังขึ้นในความมืดมิดที่มองไม่เห็น “ อืมว่าแต่..สองคนนั้นล่ะ ” อีกเสียงที่รู้สึกคุ้นเคยก็ดังขึ้นเช่นกัน “ อ๋อกำลังหลับอยู่น่ะค่ะ ” เสียงแรกดังขึ้นอีกครั้ง “ เหรออืมว่าแต่เราน่าจะตั้งชื่อให้เค้าได้แล้วนะเพราะยังไงเค้าก็เป็นลูกของเราแล้วนี่ ” เสียงที่สองดังขึ้นอีกครั้ง “ แต่เค้าก็น่าจะมีชื่อที่แม่เค้าตั้งให้แล้วนะคะเราไม่ควรจะไปลบกับสิ่งที่เขาควรจะเป็นนะคะ ” เสียงแรกดังขึ้นอีกครั้งเช่นกัน “ แต่เราก็ไม่รู้ชื่อจริงของเขานี่ ” เสียงที่สองดังขึ้นมาอีก “ จริงสิคะสายคาดข้อมือนั่นมีชื่อเขียนไว้ด้วยนี่คะงั้นเราตั้งตมนั้นก็แล้วกันค่ะนั่นน่าจะเป็นชื่อของเค้านะคะ ” เสียงแรกดังขึ้นมาอีกครั้ง “ ก็ดีนะงั้นเราตั้งชื่อเค้าตามนั้นละกันรู้สึกจะอ่านว่า…. ” เสียงที่สองดังขึ้น “ ลอว์เรนซ์ ” “ ลอว์เรนซ์ ” เสียงใครบางคนเรียกเค้าให้ตื่นจากนิทรา เค้าค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยวามงัวเงีย ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็ชะงักกึกไปก่อนจะเอามือกุมข้อมืออีกข้างที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ เขาสบถด้วยความปวดจากแผลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังต้นเสียงที่ปลุกเขา “ อ้าวมีอะไรเหรอไลท์ ” เขาถามลูกมังกรแสงถึงธุระที่ปลุกเขาขึ้นมาทันที “ เกิดเรื่องแล้วล่ะลอว์เรนซ์ ” ไลท์กล่าวอย่างกระวนกระวายแต่ Lr ก็ปรามให้เขาใจเย็นลงก่อนที่จะเล่าต่อ “ เอาล่ะๆมีเรื่องอะไรเหรอ ” เค้าถามอีกครั้งหลังจากที่ไลท์ใจเย็นลงแล้ว “ เรารู้แล้วล่ะ..ที่อยู่ของนิทินโคน่ะ ” ไลท์กล่าวแต่คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายที่ต้องตื่นตกใจแทน “ ว่าไงนะแล้วที่ไหนเค้าอยู่ที่ไหน ” Lr พุ่งพรวดขึ้นมาทันทีทำให้ไลท์ตกใจสะดุ้งจนหงายหลัง ………………………….. ………………….. …………. “ เมื่อคืนมันอะไรกันนะทำไมพอเห็นหน้าหมอนั่นแล้วมันชวนให้ปวดใจยังไงก็ไม่รู้ แถมยังรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างไปนะ ” นีน่าคิดขณะที่นั่งดื่มชาอยู่ที่ร้านน้ำชากลางแจ้งในหมู่บ้าน “ แล้วยังหินนั่นอีก..นั่นน่ะมัน ” นางคิดมาถึงตรงนี้ก็ยกสายคาดข้อมือขึ้นมาสำรวจ “ นี่น่ะมันเป็น.. ” “ นี่เธอ ” มีเสียงใครบางคนแทรกขึ้นมาแต่น้ำเสียงที่คุ้นหูนี้แม้ไม่หันไปมองนางกพอจะรู้ได้แล้ว “ รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่นี่น่ะ ” นางกล่าวถามผู้มาเยือนอย่างไม่พอใจ แต่แล้วเขาก็เดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ด้านตรงกันข้ามกันนาง “ ก็ตามกลิ่นเธอมาไงล่ะ ” เจนัสที่สวมแจ็คเก็ตสีดำที่นางซื้อให้นั่งลงด้วยทีท่าเหนื่อยหน่ายกับกิริยาของนาง ทั้งสองจ้องหนากันโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่นางจะรู้สึกอึดอัดและตัดสินใจเป็นฝ่าย ทำลายความเงียบนี้ “ เรื่องเมื่อคืนน่ะลืมๆไปซะจะได้มั้ย ” นางกล่าวพร้อมกับเอียงหน้าหลบนิดด้วยความเขินอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน นางก็หน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก “ อ๋อได้สิ แต่ฉันมีเรื่องอยากจะถามหน่อยนะ ” เจนัสกล่าวน้ำเสียงเรียบแม้จะยังสงสัยกับท่าทีของนางอยู่บ้างแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ “ เรื่องอะไรล่ะ ” นางถาม “ เธอรู้อะไรเกี่ยวกับหินนี่ ” เขายกสายคล้องคอที่ผูกหินสีเขียวขึ้นมาให้นางดู ซึ่งนางเองก็ดูจะไม่ค่อยอยากตอบแต่นางเองก็รีบเอามือไปป้องสายคาดข้อมือของนางทันที แต่ดูเหมือนว่าเจนัสจะคิดว่าเป็นนิสัยของนางเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ “ หินอะไรไม่เห็นจะรู้จักเลย แล้วนั่นน่ะไม่ใช่ศิลาจันทราของนายเหรอ ” นางกลาวปัดไป แต่เจนัสเองก็ไม่ยอมเชื่อง่ายๆแต่เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ต่อ จึงคิดจะหาเรื่องปัดออกไป “ ศิลาจันทราน่ะอันนี้ต่างหาก ” เจนัสกล่าวพร้อมกับยกศิลารูปจันทร์เสี้ยวอีกชิ้นที่ห้อยคออยู่ขึ้นมา “ เอาเถอะไม่อยากตอบตามใจแต่เรื่องนี้เธอต้องบอก ” เจนัสกล่าว ซึ่งนั่นทำให้นางเบาใจไปเปราะนึง ที่ไม่ต้องตอบคำถามนี้ เพราะถึงอยากจะตอบนางก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไร “ เรื่องอะไรอีกล่ะ ” นางถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่รอช้ารีบถามต่อทันที “ เธอเข้ามารับการทดสอบเป็นเทพขุนพลเพื่ออะไร ” ทันทีที่เขากล่าวจบนางก็ นิ่งอึ้งไปทันทีกับคำถามของเขา แต่นางก็ดึงสติกลับมาก่อนที่เจนัสทันได้ซักถามพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ เธอนี่ชอบถามอะไรที่มันตอบยากเหลือเกินนะ..แต่เอาเถอะฉันจะบอกก็ได ้แต่หลังจากที่ฟังแล้วเธออาจจะอยากฆ่าฉันขึ้นมาอีกซะก็ได้ ” นางกล่าวอย่างมีเลศนัยทำให้เขาเอียงคอด้วยความฉงน “ หมายความว่ายังไง ” เขาตีเสียงเข้มขึ้นมาทันที “ แหมไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ รับรองว่าเธอต้องไม่เชื่อแน่ ” นางเปรยทิ้งท้ายไว้ให้เขางุนงงมากขึ้น และยิ่งสงสัยในตัวนางเข้าไปอีก “ นี่เธอ… ” เขากล่าวได้เพียงเท่านั้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ว่าเจ้าตัวหล่อนต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้คิดจะปั่นหัวเขากลับ ชั่ววูบนึงเขารู้สึกว่าหล่อนเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจเลย แต่เธอคนนี้เป็นคนชวนเขา ร่วมแผนที่จะจัดการเซอร์เซสจากการที่เธอได้แจ้งข่าวสารปลอมไปว่า จัดการคนเดียวคงไม่ไหวขอให้เซอร์เซสมาช่วยด้วย และพวกเขาก็จัดการซ้อนแผนของเซอร์เซสทันที จึงทำให้เขาลืมคิดไปว่าบางทีนี่อาจเป็นแผนของนางที่จะล่อให้พวกเขาตายใจ แต่เขาก็เลิกคิดไป จากที่เห็นนางตั้งใจจะจัดการกับเซอร์เซสอย่างจริงจัง เขาจึงคิดว่านั่นไม่ใช่การเล่นละครเป็นแน่ “ ถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นคนขอเข้ารับการทดสอบด้วยตัวเองล่ะเธอจะว่ายังไง ” นางกล่าวด้วยสายตาเศร้าๆ ที่ทำให้เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรก็ไม่รู้ …………………… ………….. ……… Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี Post by: greamon on June 01, 2008, 07:17:48 PM ที่สำนักงานกองกำลังต่อต้าน ณ เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานที่สนิทกับพวกตั้งแต่มายังหมู่บ้านนี้
กำลังสนทนากับ Lr และลูกมังกรอย่างเคร่งเครียด จากที่หน่วยข่าวกรองรายงานมาน่ะรู้สึกว่าลูกมังกรเพลิงที่เจ้าขอให้ตามหาน่ะเราจะพบเขาแล้วล่ะ พนักงานกล่าวขณะที่เดินไปหยิบเอกสาร รายละเอียดที่ชั้นหนังสือหลังเคาท์เตอร์ มา แล้วแน่ใจได้ยังไงล่ะครับอาจจะเป็นลูกทังกรไฟตัวอื่นก็ได้ Lr ถามซึ่งพนักงานก็กลับมายังที่ก่อนจะยื่นเอกสารให้เขา ซึ่งเขาก็รับมาดูทันที ในนั้นเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับ ทวีปนี้ทั้งทวีป และยังมีแผนที่ประกอบด้วยรวมไปถึง จุดที่ตั้งของกองกำลังทั่วทั้งทวีปคาดาร่านี้ ทำให้เขาสงสัยเล็กน้อยว่าพนักงานต้องการอะไรจึงหยิบยื่นแผนที่ให้กับเขา จริงอยู่ที่ลูกมังกรที่เรากำลังตามหานั้นไม่มีตำหนิหรือสิ่งใดจะทำให้รู้ได้แน่ชัด ซึ่งนั่นคงยากที่จะแยกแยะ และเราก็ฟังที่มันพูดไม่ได้ด้วย แต่ว่านั่นน่ะมันกรณีในเมอริเซีย พนักงานอธิบาย ทำไมถึงเป็นยังงั้นล่ะครับ Lr ถามด้วยความแปลกใจกับคำพูดของเขา ซึ่งเขาก็ยิ้มน้อยๆด้วยความชอบใจก่อนจะเอ่ยต่อ เพราะหน้าตามังกรในเมอริเซียกับคาดาร่าน่ะไม่เหมือนกันหรอกนะ แค่ดูก็รู้แล้วเพราะกองทัพของเราเองก็มีทัพอัศวินมังกรร่วมด้วยดังนั้นให้พวกนั้นช่วยยืนยันให้ก็รู้แล้วล่ะ ยิ่งเป็นลูกมังกรผลัดถิ่นแบบนั้นน่ะยิ่งผิดสังเกตเข้าไปใหญ่ เขากล่าวจบ Lr กับลูกมังกรก็มีสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดก็ตามตัวเพื่อนของเขาได้ เพราะถึงแม้จะทะเลาด้วยกันบ่อยๆ แต่ตอนนี้เขาถือเป็นเพื่อคนหนึ่งเช่นกัน จึงอดเป็นห่วงไม่ได้ แล้วตอนนี้เค้าอยู่ไหนล่ะครับให้ทางนั้นช่วยพาตัวเค้ามาเลยได้มั้ยครับ Lr ซักต่อทันที ซึ่งมาถึงตรงนี้พนักงานก็มีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที คือว่ามันมีปัญหาตรงนี้ล่ะ.. พนักงานกล่าว ซึ่งทำให้พวกเขาใจเสียพอดูกับคำพูดของเขาทันทีที่เห็นเช่นนั้นพนักงานก้รีบตอบปัดในทันที อ..เอ่อไม่ใช่ว่าลูกมังกรเป็นอะไรไปหรอกนะแต่ว่า..ปัญหานี้น่ะ ทางเราเองไม่ค่อยอยากไปยุ่งด้วยเท่าไหร่ ก็เลยต้องให้พวกเจ้าไปตามกลับเอาเองอีกอย่างพวกเธอก็จะต้องทำภารกิจที่ท่านหัวหน้าฝ่ายงานประดิษฐ์ ทิโมธีมอบหมายมา เค้าก้เลยให้ข้าเอาข้อมูลและแผยที่ให้เจ้าน่ะ พนักงานกล่าวอย่างรีบร้อน ซึ่งพวก Lr เองก็โล่งอกทันทีแม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลก็ตามแต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนปลอดภัยดีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แล้วทำไมถึงตามกลับมาไม่ได้ล่ะครับในเมื่อรู้ที่อยู่และเจอตัวแล้ว Lr ถาม ซึ่งพนักงานเองก็ดูกระวนกระวายยังไงชอบกล หันซ้ายทีขวาทีก่อนจะกระซิบกับเขา รู้จัก เรโค่ (Reico) กับ เซโร่ (Zero) บ้างมั้ย พนักงานกระซิบชื่อของอะไรบางอย่างหรือใครบางคนซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ยินหรือรู้จักเลย จึงทำหน้างงๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้พนักงานตีสีหน้าหนักใจอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเพราะจะต้องอธิบาย มากความอีก กะแล้ว..พวกเธอเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกนี่คงไม่รู้ตำนานของทางนี้หรอก พนักงานกล่าว .. ณ ทุ่งราบชายป่าที่พวกเขาสู้กันเมื่อวานร่องรอยจากการปะทะกันของพวกเขายังคงหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะต้นหญ้าที่ถูกตัดจนราบไปหมด หรือหลุมจากแรงปะทะของกองอาวุธที่ถูกขว้างลงมาจากแคริอุส (Carius) ก็ยังคงมีให้เห็น แซ่กๆๆ เสียงหญ้าถูกเหยียบดังขึ้นเรื่อยพร้อมกับการมาของครึ่งสมิงผมสีเงิน ลากูน่านั่นเอง ที่กลับมาที่นี่เพื่อหาอะไรบางอย่าง เขาก้มลงดูตามเพื้นหญ้าหรือที่ต่างแล้วแต่ก้หาไม่เจอก่อนจะสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ โธ่เว้ย เก็บกลับไปเกลี้ยงหมดเลยว่าจะมาหาเจ้าชิ้นส่วนเกราะที่พี่ริคุทำตกเอาไว้บ้างซะหน่อยเผื่อจะได้รู้อะไรบ้างแท้ๆ เขากล่าวอย่างหงุดหงิดก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้นหญ้าแหงนหน้ามองฟ้าเพื่อปล่อยอารมณ์ เฮ้อ..ท่านพี่ตอนนี้จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้อยู่ๆก็บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับยัยนั่นแล้วก็ออกไปไม่รอกันเลย เขาถอนหายใจห้วนๆก่อนจะเกลือกลิ้งไปมาอย่างสบายอารมณ์ ด้วยความไร้เดียงสา แม้ที่ผ่านมาทั้งสองจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุก้ตาม แท้จริงแล้วพวกเขาก้ยังคงมีความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ด้วยสถานภาพ จึงไม่อาจแสดงออกมาได้ จู่ก็มีเสียงใครบางคนเดินแหวกหญ้ามายังทางที่เขานอนอยู่ หุของเขากระดิกด้วยความอยากรู้ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมามอง ผุ้ที่มาปรากฏตรงหน้าเป็นเด็กหญิงที่ดุจะอายุเท่ากับเค้า เธอมีผมขาวยาวสลวยสะบัดพลิ้วไปตามลม เธอสวมชุดคลุมผ้าสีดำทับกับกระโปรงสีขาวเหมือนกับชุดของสาวรับใช้ ในตระกูลขุนนาง(ชุด Maid นั่นเองคงไม่ต้องอธิบาย ยาวดูรูปเอาเลยละกัน) (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms2008831171248.jpg) นางเดินตรงที่เค้าก่อนจะล้มตัวลงนั่งใกล้ เขามองสำรวจใบหน้าของนาง นางมีสีหน้านิ่งเฉยดวงตาสีแดง แววตาเย็นชาดูไร้อารมณ์ นางเองก้มองเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉยซักพักก่อนที่จะปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของนาง ซึ่งนั่นทำให้ลากูน่ารู้สึกกระอึกกระอัก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไป กับท่าทีของนาง ก่อนที่นางจะหัวเราะกับสีหน้าของเขาใบหน้าของนางยามที่ยิ้มและหัวเราะช่าง สั่นคลอนใจของเขายิ่งนัก จนเขาหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่ก็ชะงักไปเมื่อจับสัมผัสพลังมนตราอ่อนๆได้จากตัวของนาง เขารีบกระดจนถอยออกมาทันที ด้วยความหวาดระแวง ซึ่งนางเองที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้มีการตอบสนองแต่อย่างใดยังคงเอาแต่ยิ้ม เล็กยิ้มน้อยให้เขาทำให้ลากูน่า หายระแวงก่อนจะถามนาง เธอเป็นใครกัน เขาถามด้วยความฉงน นางยังคงอมยิ้มอยู่เล็กน้อย ก่อนจะตอบเขา ฉันมารอเพื่อนอยูที่นี่น่ะ นางตอบน้ำเสียงเริงร่า ซึ่งก็ทำเอาเขางง ไปตามๆกันจะเดินไปนั่งลงใกล้ๆกับนาง คุณเป็นจอมเวทย์หรือ ทำไมถึงได้มีคลื่นมนตราจากตัวคุณล่ะ ลากุน่าถามด้วยท่าทีสุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แต่ดูเหมือนกับว่าเขาเกร็งๆ ทำให้นางอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ทำให้ลากูน่ารู้สึกอายนิดๆ รู้ด้วยเหรอนั่นสินะก็เธอเป็นครึ่งสมิงนี่แต่ฉันน่ะไม่ใช่จอมเวทย์หรอก เพียงแต่ใช้พลังที่คล้ายๆกันควบคุมภูตน่ะ นางกล่าวเสียงใส งั้นคุณก็เป็นผู้ร่ายอสูร(Summoner)สินะ เขากล่าวอย่างเกร็งๆซึ่งนั่นก็ทำให้นางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง ใช่จ้ะฉันเป็นผู้ร่ายอสูรแต่ไม่ค่อยคล่องนักหรอก นางกล่าวไปยิ้มไป เหรอ..ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะผมลากูน่า เขาแนะนำตัวซึ่งนางเองก็ยิมเล็กยิ้มน้อยอีกครั้งจนเขาเองก็ชักสงสัยแล้ว ว่าเธอจะอารมณ์ดีอะไรนักหนาถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สดใสอยู่ตลอดต่างจากตอนแรกที่พบเธอ ฉันชื่อ . นางกล่าวยังไม่ทันขาดคำดี ก็มีสะเก็ดไฟกระเด็นมา ทำให้พวกเขาผวาด้วยความตกใจ แกว็ก แกว็ก เสียงนกร้องดังมาจากด้านบน ทันทีที่พวกเขาแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างของนกที่มีขนสีแดงและ ตัวลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง มันคือนกฟีนิกค์ (Phoenix) ในตำนานนั่นเอง พวกเขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาเลยว่าบัดนี้นกที่ว่า ได้มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/78.jpg) ฟีนิกค์ ทั้งคู่อุทานขึ้นพร้อมกันกับที่นกเพลิงพุ่งทะยานลงมา พวกเขาจึงรีบวิ่งหลบอกทันที และทุ่งหญ้าที่นกเพลิงโฉบผ่านไปก็ลุกไหม้เป็นทะเลเพลิงทันที พวกเขาไม่รีรอที่จะคิดรีบสาวเท้าวิ่งหนีทันที แต่ นกเพลิงก็ได้สะบัดปีกอย่างแรงจนสะเก็ดไฟที่ร่างกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้ากลายเป็นทะเลเพลิงล้อมรอบพวกเขาไป มันรีบพุ่งโฉบเข้าหาพวกเขาที่ไร้ทางหนีอย่างรวดเร็วทันที ลากูน่าเอาตัวเข้าปกป้องนางไว้ เขาจึงถูกมันโฉบกระแทรกใส่หลังอย่างแรงจนเขาสลบไป นางพยายามเรียกเขาแต่ไม่มีประโยชน์เขาหมดสติไปแล้วขณะที่นกเพลิง กระพือปีกด้วยความหยิ่งผยอง ก่อนจะพุ่งทะยานมาอีกครั้ง เมื่อนางเห็นว่าเขาสลบไปแล้ว จึงลุกขึ้นยืน พร้อมกับหยิบเอากระดาษที่ เขียนอักขระ แปลกๆไว้ขึ้นมา จงแสดงตน ประกายที่เจิดจ้า ลูเซียส (Lucis) ทันทีที่นางกล่าวจบแผ่นกระดาษก็ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีขาว ก่อนที่นางจะขว้างมันออกมา และขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเป็นภูตสาวผมสีแดงชุดกระโปรงขาวยาวถึงพื้น ขนาดเท่านาง ออกมา วิหกเพลิงยังคงพุ่งทะยานมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ที่นางจะวาดมือวง และสะบัดมือ ออกไป ทันใดนั้นวิหกเพลิงก็หยุดชะงักทันทีราวกับถูกตรึงไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่คล้ายเส้นเอ็น ที่พุ่งออกมาจากมวลแสงสีดำ ที่วนรอบตัวนาง วิหกเพลิงพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่สำเร็จ จัดการเลย ลูเซียส นางออกคำสั่งกับภูตของตนทันที สายตาของนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนแรกเลย ดูเยือกเย็นและน่าเกรงขาม คลื่นพลังมนตราอ่อนเมื่อครู่ของนางเมื่อครู่จู่ๆก็ขยายตัวเพิ่ม ขึ้นอย่างมหาศาล จนวิหกเพลิงคุ้มคลั่งกับแรงดันพลังเวทย์ที่มากมายนี้ ซึ่งลากูน่าที่สลบ ลงไปแล้วก็ รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีแต่เขาก็อ่อนแรง จนขยับไม่ได้และทันทีที่สัมผัส แรงดันนี้เขาก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวก มองเห็นทุกอย่างเลือนรางไปหมด ก่อน จะหมดสติไปอีกครั้ง ภูตของนางหลังจากที่รับคำสั่งก็เร่งพลังมนตราของตน ทันทีก่อนที่ไฟจะลุกพรึ่บขึ้นมาจากมือ และทะยานผ่านร่างของวิหกเพลิง ไปและสลายกลายเป็นแสงพร้อมกับเปลวไฟชีวิตที่ร่างของวิหกเพลิงดับ มอด ลงก่อนจะสลายกลายเป็นขี้เถ้าไป ก่อนมันจะลุกไหม้อีกครั้งและหายไป ฟีนิกค์หรือวิหกอมตะ เมื่อสิ้นชีวีก็จะกลับเป็นขี้เถ้าและเกิดใหม่อีกครั้ง เสียงนึงดังขึ้นจากด้านหลังนาง พร้อมสายฝนที่โปรยปรายลงดับเปลวเพลิง จนมอดสิ้น อีกทั้งน้ำนั้นยังมีพลังมนตราทำให้ ต้นหญ้าที่ไหม้ตายไปกลับงอกงามขึ้นมาจากซากเถ้าถ่าน จนเต็มทุ่งอีกครั้ง นางหันไปมองผู้มาเยือนด้วยสายตาเย็นชา ว่าไปแล้วนกนั่นก็ไม่ต่างไปจากเธอเลยนะ เรโค่ ผู้มาเยือนกล่าว เขาเป็นเด็กชายที่อายุพอๆกับนางและยังสวมชุดเหมือนกับลากูน่าอีกด้วย ต่างกันเพียงแค่กางเกงที่เขาใส่เป็นกางเกงยีนส์สีเทา เดินตรงเข้ามาหานาง พร้อมกับลูกมังกรเพลิงนิทินโค ที่เดินตามเขามาต้อยๆ นั่นอะไรน่ะ นางถามขณะที่มองลูกมังกรด้วยความสงสัย อ๋อนี่น่ะเหรอเจอระหว่างทางน่ะเห็นว่าหลงทางกับเพื่อนๆก็เลยจะช่วยตามหาแต่ก็ถูกพวกกองกำลังทหาร ไล่ล่าไม่รู้จบเลยกว่าจะมาถึงนี่ได้ เด็กชายกล่าวน้ำเสียงขุ่นมัว ว่าแต่นะ เซโร่ ถึงฉันจะเป็นอมตะเหมือนกับนกนั่นก็เถอะ แต่สำหรับฉันนกนั่นก็ยังถือว่าเป็นเทพที่น่านับถือผู้คนพากันบูชายกย่องกลับกัน ฉันกลับได้รับการดูถูกเหยียดหยามพร้อมนามขานที่ไม่ค่อยดีเลยนะ นางกล่าวขณะที่ผ่อนพลังเวทย์ลงและเดินไปหาลากูน่าเพื่อดูบาดแผล ทำไงได้ล่ะ เมื่อมีพลังมากผู้คนก็หย่ำเกรงและก็พากันหวาดกลัวไปต่างๆนานา เธอมันก็ไม่ต่างไปจากฉันหรอก เด็กชายกล่าว งั้นเหรอแต่เธอก็ยังเป็นมนุษย์ แต่ฉัน นางกล่าวพร้อมกับที่ปีกนกเยี่ยงทูตสวรรค์แต่เป็นสีดำจะพุ่งพรวดออกมาจากหลังเสื้อนาง สำหรับทูตนรกอย่างฉันเนี่ยคงเป็นได้แค่ปีศาจสินะ นางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะอุ้มลากูน่าขึ้นมา หาเขา ช่วยรักษาทีสิฉันไม่สันทัดเวทย์รักษาพวกนี้ซักเท่าไหร่หรอกนะ นางกล่าวพร้อมกับหันปากแผลของลากูน่า ให้เขา ซึ่ง เขาก็สำรวจอาการบาดแผลของลากุน่าก่อนจะร่ายคาถาและเกิดมวลน้ำเวียนวนอยู่ในอุ้งมือของเขา ก่อนที่จะเอามันประคบทันทีที่น้ำประคบกับแผลน้ำก็ซึมเข้าไปในปากแผลพร้อมกับรอยแผลที่จางหายไป ราวกับไม่เคยเกิดแผลขึ้น เอาล่ะฉันจะส่งเขากลับก่อนแล้วจะตามไปบอกสถานที่มาทีสิ นางกล่าว ทีนวาแลน รีบตามมาละกันนะ ส่วนเรื่องของลูกมังกรตัวนี้น่ะเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที เด็กชายกล่าวก่อนจะร่ายคาถาอีกครั้งพร้อมกับพื้นเรืองแสงสว่างขึ้นมา และทันทีที่แสงจางลงทั้งสองก็หายตัวไป ส่วนนางเองก็พาลากูน่ากลับไปที่หมู่บ้าน ใกล้ๆนี้ซึ่งก็คือที่พวกเขาพักอยู่ .. ไม่ว่า จะ นักเชิดวิญญาณแห่งรัตติกาล ผู้ร่ายอสูรเดนนรก กับ เทพนทีทลายสวรค์ หรือ เสียงเพรียกจากทะเลทมิฬ ล้วนแต่เป็นชื่อเรียกขานของจอมเวทย์ผู้ชั่วร้ายที่สุดในทวีปนี้ ไม่สิน่าจะในโลกนี้เลยต่างหาก พนักงานกล่าวกับ Lr ด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเขามีกี่คนกันล่ะครับถึงได้มีชื่อเรียกขานเยอะแยะขนาดนี้ Lr ถามสีหน้าหนักใจกับท่าทีของพนักงาน 2 คน คนนึงเป็นนักร่ายอสูรส่วนอีกคนเป็นจอมเวทย์วารีสองคนร้ายกาจมากเลยทำร้ายทหารของเราไปหลายคนแล้วด้วย พนักงานกล่าว จบ นีน่าก็เดินเข้ามา อ้าวไง นางทัก ลากูน่า เจนัสเขย่าร่างที่หมดสติของน้องชายด้วยความเป็นห่วง จนเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ก็ต้องแปลกใจกับสภาพรอบ เจนัสมองเขาด้วยความเป็นห่วง ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าทำไมถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้ล่ะ เจนัสถาม เมื่อเขามองไปรอบๆก็พบว่าเขานอนอยู่ข้างๆบ่อน้ำของสวนสาธารณะ เขามองไปรอบด้วยความงุนงง ซึ่งทำให้เจนัสรู้สึกเป็นมากกว่าเดิม เป็นอะไรรึเปล่าให้พี่ช่วยพยุงมั้ย เจนัสถามอีกครั้งแต่เขาก็ส่ายหัวปฏิเสธทันทีก่อนจะลุกขึ้นยืน ไม่เป็นไรครับผมคงแค่เหนื่อยไปหน่อยเท่านั้นล่ะครับ เขากล่าวซึ่งแม้เจนัสจะระแคะระคายอยู่บ้างแต่ก็ไม่สนใจก่อนจะเดินนำเขาออกมาจากสวนสาธารณะ นี่เราฝันไปเหรอ..หือ เขาคิดขณะที่เอามือไล่แปะหลังเพื่อสำรวจบาดแผลแต่กลับไม่มีร่องรอยผาดแผลเลย เสื้อที่น่าจะไหม้เพราะไฟก็ไม่เป็นอะไรเลย ทำให้เขาคิดว่าคงจะฝันไป ก่อนจะลืมมันและเดินตามพี่ชายกลับไปยังสำนักงานกองกำลังที่ Lr รออยู่ .. .. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี Post by: greamon on June 01, 2008, 07:18:18 PM ณ เวลานี้ตะวันลับขอบฟ้าราตรีได้มาเยือนอีกครั้ง พวกเขาได้กลับมายังห้องพักที่พวกเขาพักอยู่มาหลายคืนแล้ว
“ หมายความว่านายจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เลยงั้นสินะ ” เจนัสกล่าวเพื่อขอคำยืนยันอีกครั้ง ซึ่ง Lr เองก็ผงกหัวแทนคำตอบ “ แต่ว่าพวกนายจะไปด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่นะ ฉันไม่บังคับหรอก ” Lr กล่าวซึ่งคตำถามของเขาเองก็สะกิดใจพวกเขาเช่นกัน “ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ” ลากูน่าถามด้วยความสงสัยเช่นเดียวกันทั้งสามเองก็สงสัยในคำพูดของเขา Lr หันไปมองหน้าลูกมังกรเพื่อนของเขาเพื่อขอคำยืนยัน ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งเพื่อตอบ คำถาม “ พวกฉันจะออกเดินทางเพื่อไปทำภารกิจที่ได้รับมาและก็ตามหาตัวเพื่อนฉันอีกตัว ” เขากล่าว ซึ่งลากูน่าก็แทรกขึ้นมาทันที “ หมายถึงลูกมังกรไฟนิทินโคนั่นน่ะเหรอ ” ลากูน่าถาม ซึ่ง Lr เองก็พยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง “ แต่ทีนี้ตอนนี้เรารู้แค่ว่าเค้าอยู่กับจอมเวทย์ผู้ชั่วร้ายและเก่งกาจที่สุดในปฐพีนี้น่ะ ถ้าไปเจอก็อาจต้องประมือกัน อีกทั้งหากพวกนายยังเดินทางไปกับฉันล่ะก็ข้างหน้าจะมีอันตรายอะไรบ้างก็ไม่รู้ อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาก็ได้ รู้อย่างนี้แล้วยังจะตามไปอีกเหรอ ” เขากล่าวซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจของพวกเขาเช่นกัน จริงของ Lr หากพวกเขายังคงเดินทางร่วมไปด้วยนอกจากต้องฝ่าฟันอันตรายต่างๆนานา อีกทั้ง องค์กรเองก็ยังคงไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่หากเดินทางร่วมไปด้วยกัน ก็รังแต่จะนำภัยมาให้กับ Lr เพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นการแยกทางกันเสียตั้งแต่ตรงนี้ย่อมเป็นการดีกว่าแน่นอน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี ที่จะปล่อยให้เพื่อนของพวกเค้าต้องไปฝ่าฟันอันตรายเพียงลำพัง เมื่อเห็นว่าพวกเขายังไม่อาจให้คำตอบได้เขาจึงกล่าวขึ้นมา “ ฉันจะให้เวลาพวกนายคิดก่อนจนถึงพรุ่งนี้ละกันนะ ” เขากล่าวจบก็แยกตัวออกไปกับพวกลูกมังกรเพื่อวางแผนการเดินทางในวันรุ่งขึ้นที่จะมาถึง ปล่อยให้ทั้งสามครุ่นคิดตัดสินใจไป …………………………….. ………………… ………….. ณ สวนสาธารณะของหมู่บ้าน ที่ใตต้นไม้ริมบ่อน้ำของสวน ที่เดิมที่เจนัสมาพิงอยู่เมื่อคืน ในคืนนี้เขาก็มาอีกเช่นเคย แต่คราวนี้นีน่าตามเขามาด้วย โดยทิ้งลากูน่านอนอยู่ที่ห้องพักกับ Lr และลูกมังกร “ เธอคิดยังไงล่ะ เรื่องที่จะตามเค้าไปหรือไม่น่ะ ” นีน่าเอ่ยถามขึ้นมา แต่เจนัสกลับทำเป็นไม่ได้ยิน ซึ่งนางเองก็ไม่เข้าใจกับท่าทีของเขาจึงคิดจะเอ่ยถามแต่ก็ถูกขัดขึ้นมาซะก่อน “ เรื่องที่คุยเมื่อกลางวันน่ะ ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าทำไมเธอถึงได้คิดไปรับการฝึก ทั้งที่ไม่อยากน่ะ ” คำพูดของเขาทำให้นางนิ่งชะงัก จนลืมสิ่งที่จะพูด “ แต่ฉันจะรอนะ จนกว่าวันที่เธอจะยอมเอ่ยปากเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตามจนกว่าเธอพร้อมที่จะบอก ” เจนัสกล่าวจบก็ลุกขึ้นพร้อมกับหันหลังเดินออกไป “ ส่วนเรื่องนั้นน่ะไม่ว่ายังไงฉันก็จะไปกับหมอนั่นด้วย ลากูน่าเองก็เช่นกันยังไงเจ้านั่นก็ตามฉันไปอยู่ดีหล่ะ ” เจนัสกล่าวก่อนจะสาวเท้าออกไปแต่ก็ถูกเรียกไว้เขาจึงหยุดชะงักไป “ ทำไมล่ะทั้งที่เขาออกปากเองนะว่า อย่าตามไปเลยน่ะ ที่จริงแล้วพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปไม่ใช่เหรอ ” นีน่ากล่าว เจนัสยังคงนิ่งเงียบอยู่ก่อนจะตอบโดยไม่หันไปมอง “ จะให้ทิ้งไปได้ยังไงล่ะ หมอนั่นก็เป็นเพื่อนฉันคนนึงนะฉันจะไม่ปล่อยให้ไปตายเด็ดขาด ” เจนัสกล่าวอย่างมั่นใจ แต่นีน่าเองกลับไม่เข้าใจ คำพูดของเขา ผนวกกับเหตุการณ์ณ์เมื่อคืน ความทรงจำที่แล่นขึ้นมานั้นคืออะไรทำให้นางอยากจะลองพิสูจน์คำพูดของเค้าที่ว่าจะไม่ทิ้งให้นางต้องอยู่คนเดียวอีก จึงบอก ออกไปว่า “ แล้วถ้าฉันยืนกรานที่จะอยู่ล่ะ ” นีน่าถามเพื่อลองใจเขา แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นทำให้นางมั่นใจแล้วว่า ไว้ใจเค้าได้ “ ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้เธอต้องเหงาอีกหากเธอยืนกรานจะอยู่ฉันก็จะลากเธอไปให้ได้เลย ไม่ว่าเธอจะพอใจหรือไม่ก็ตามที ” เจนัสกล่าวจบก็เดินจากไปทิ้งให้นางนั่งคิดอยู่ตามลำพัง “ แทนที่จะมานั่งระแวงยอมเชื่อใจซะดีกว่ายังไงซะหมอนั่นก็ไม่มีทางใช่หรอก…. ” นางคิดก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้า “ คนที่ทำให้ชีวิตฉันต้องพินาศในอดีตจะต้องไม่ใช้เค้าอย่างแน่นอน ” นางคิดก่อนจะเดินตามไปเจอเจนัสที่รออยู่ข้างนอกสวน และเดินกลับห้องพักไปด้วยกัน ……………. ………. . แกว็ก แกว็ก เสียงของวิหกเพลิงดังขึ้นขณะที่บินมาเกาะไหล่ของชายคนหนึ่งเขาอยุ่ในเสื้อคลุมสีแดง ปิดบังใบหน้าไว้ด้วยผ้าคลุมหัว “ พลาดซะได้… ” เขากล่าวก่อนจะวาดมือเป็นวงและเกิดเป็นช่องว่างมิติ ซึงภายในนั้นปรากฏร่างของแบล็คไวเซอร์ขึ้นมา “ ว่าไงพลาดเหมือนกันล่ะสินะ ” เสียงของแบล็คไวเซอร์ดังขึ้นมา “ เงียบไปเลยเจ้าเองก็เหมือนกันล่ะน่า ” เขากล่าวอย่างไม่พอใจ “ ว่าแต่เจ้ารีบกลับมาก่อนดีกว่านะท่านผู้นั้นมีเรื่องด่วนเรียกประชุมหัวหน้าฝ่ายและเหล่า 12 เทพขุนศึกรีบกลับล่ะบลาสเซจ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวจบภาพในช่องว่างมิติก็หายไป เขากัดฟันตัวสั่นด้วยความแค้นจนวิหกเพลิงอดส่งเสียงร้องไม่ได้ เขากระชากผ้าคลุมหน้าออกมาอยางเกรี้ยวกราดใบหน้าของเขาผอมแห้งราวกับหนังติดกระดูก ผิวเป็นสีดำคล้าราวกับซากศพ นัยตาลุกโชนเป็นไฟด้วยความแค้น ดั่งปีศาจ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/74.jpg) “ คอยดูเถอะซักวันข้าจะขึ้นครอบครองทุกอย่างข้าจะเรียกกลับมาให้หมดพลังที่ข้าเคยมีและ มันจะต้องชดใช้เจ้าอิสฮานระวังไว้ให้ดีข้าบลาสเซจผู้นี้ขอสาบานว่าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ” เขากล่าวอย่างสุดเสียงด้วยความเกรี้ยวกราด โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า พวก Lr ที่ออกเดินทางกันไปก็ได้ตั้งเป้าว่าจะไปที่เมืองทีนวาแลนซึ่งห่างออกไปทางเหนือ แต่ระหว่างทางพวกเขากลับหลงป่าและได้เจอคฤหาสน์ เก่าหลังนึงตั้งอยู่กลางป่าจึงได้พักที่นั้น และแล้วเรื่องเล่าสุดสยองกับตำนานครึ่งสมิงของพวกเจนัสก็ได้ถูกเปิดเผยอีกเรื่อง ด้านนิทินโคที่อยู่กับจอมเวทย์น้อยทั้งสอง พวกเค้าต้องเผชิญศึกหนักกับพวกนักรบ เดนตายของ องค์กรโฮลี่ไนท์แมร์ซึ่งผู้คุมทัพก็คือบลาสเซจที่น่าจะตายไปแล้วในสงครามสี่อาณาจักร เขากลับฟื้นคืนขึ้นมาได้เช่นไร ติดตามได้ในบทหน้า บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง การผจญภัยครั้งใหม่ของพวกเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว……….. แหมๆเปิดมาก็เจอฉากเซอร์วิสซะงั้น บทนี้คิดว่าจะไม่บู้แล้วซะอีก แต่ก็บู้จนได้ ที่จริงตอนเขียนบทนี้ กำลังกลุ้มอยู่อย่าง ว่ามันจะไม่ตรงกับชื่อบทซะนี่ เพราะหลักๆแล้วพวกนั้นไม่ได้หนักใจกับ การที่ต้องแยกทางเลยแถมยังจะลากตามกันไปอีกเลยชักงง นะนี่ไปๆมาๆกลายเป็นตอนที่เอื้อให้กับพวกเจนัสอีกแล้ว สงสัยพระเอกกับนางเอกจะเปลี่ยนคนซะแล้วล่ะมั้ง 5555+ ไม่ได้การ Lr รีบกลับมาทวงตำแหน่งเร็วเข้าก่อนจะสาบสูญไป ว่าแต่บทนี้ตัวละครใหม่ออกเยอะเหลือ เรโค่ เซโร่ ชื่อคล้องจองกันดีเนาะ(ไม่ใช่ล่ะที่จริงไม่รู้ว่าจะชื่อไรดีคิดออกแค่เนี้ยะเลยส่งๆไป) ว่าแต่ช่วงนี้บู้กับระลึกเยอะเหลือเกินเครียดมาหลายบทละตอนหน้ามาพักสบายๆกันซักบทดีกว่า (ว่าแต่เรื่องสยองนี่มันน่ารื่นรมย์ตรงไหน) ส่วนวันนี้มีแถมนิดนึงนะครับ tip for dragonology ถามว่าทำไมถึงแถมน่ะเหรอครับเพราะมาคิดดูแล้วบางคน(นอกจากคุณboyนะเอ็ะหรือก็ด้วย) อาจจะยัง งงๆว่าตัวละครตัวไหนใครเป็นใครมีประวัติยังไงหรือ ยังไม่อาจสรุปความจนถึงบทนี้ได้ ดังนั้น TfD บทนี้จะขออธิบายส่วนปลีกย่อยนะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 19 มิตรแท้เมื่อวันวานคือศัตรูในวันนี Post by: greamon on June 01, 2008, 07:18:30 PM Tip for Dragonolgy
The DATA X สถาณการณ์ ทวีปเมอริเซีย ซาโลม : รอดพ้นจากวิกฤติโดนปิดล้อมโดยองค์กรโฮลี่ไนท์แมร์แล้วเพราะได้กำลังเสริมจาก เหล่าคณะ Phophet ที่แยกย้ายกันไป กลับมาช่วย แอนดิซอง : ยังไม่มีบทรอดูตอนต่อไปก่อนแต่เดี๋ยวคงได้รู้ว่าทำไมจอมอนการ์ดถึงได้อาละวาดไปทั่ว ฟูดินัน : หลังจากฟอจูนทรีถูกกลืนหายไปในท้องพันนิชชูล่า ทางโฮลี่ไนท์แมร์ก็ลามือไป คงไม่มีบทอีกซักพัก ฟีเลเซีย : กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 ถูกยึดครองสติไปแล้ว แต่เกรเกอรี่ดันไปตั้งกองกำลังอยู่ใต้จมูกพวก มันซะนี่ ไม่รู้ว่าความจะแตกตอนไหน ส่วนทิโมธียังคงไม่มีบทอีกนาน สภาพรอบทวีป : ถูกปกคลุมด้วยกำแพงน้ำแข็ง ดั่งที่นักเดินทางกล่าวในตอนแรกๆกับเกรเกอรี่ ทวีปคาดาร่า : อยู่เหนือขึ้นไปจากทวีปเมอริเซีย ที่อยู่ของพวก Lr : หมู่บ้านปลายแหลมใต้สุดของทวีป หมู่บ้านแหลมทวีป : ยังไม่ได้รับการยืนยันชื่ออย่างเป็นทางการ แต่สภาพหมู่บ้านยังคงสงบสุขดี ทีนวาแลน : เมืองที่เคยปรากฏไปในตอนพิเศษวันวาเลนไทร์มีใครจำได้บ้างมั้ย แต่ในเนื้อเรื่องหลักคงไม่มีเทียร์ล่ะครับ เพราะตอนที่เขียน ก็ยังไม่รู้จักพวกเจนัสเลย แถมยังไม่ได้มุรามาสะโซลมาเลย คงจะยาก อีกอย่าง Amankris ที่ใครหลายๆคนรออยู่ก็ใกล้จะได้ปรากฏแล้ว ถ้ายังไงรอกันอีกซักหน่อยคงไม่เกิน อีก 5 บท ล่ะมั้งครับเออาจจะ อีก 8 บทก็ได้ ประวัติตัวละคร 1. Laurence ตัวย่อ Lr (ลองเทียบชื่อย่อกับตัวพิมพ์ภาษาไทยบนแป้นสิแล้วจะรู้ชะตาชีวิตมัน อะไม่ใช่สิ) ชื่อสกุลยังเป็นปริศนาอยู่รอต่อไป นิสัย: ร่าเริงกล้าหาญ ชอบช่วยเหลือคนอื่น มักเชื่อใจคนง่าย ในตอนที่ติดเกาะก็เชื่อใจเจนัสที่เป็น 12 เทพขุนศึก แบบไม่ลังเลเลย จึงดูเหมือนจะเป็นข้อเสียของเขา ความสามารถ : ไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากวิชาดาบขั้นพื้นฐานที่เรียนกับชาลว์มา ความสามารถแฝง : สามารถรวมร่างกับลูกมังกรเพื่อกลายเป็นทาลิวิลย่าธาตุต่างๆได้ ครอบครัว : ในเนื้อเรื่องที่โผล่ออกมาแล้วมีพี่ชายกับแม่ส่วนพ่อนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ในบทไตเติ้ลเป็นลูกบุญธรรมของ Divine Dragon และมี ไลท์เป็นน้องชาย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเช่นนั้นเพราะเขาอายุมากกว่าไลท์ประมาณสี่เดือน อายุปังจุบัน 8 ปี ร่างแปลงที่ได้มาแล้ว: 1.Thalucus คำเปรยตอนแสดงตัว: แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกนี้นามของข้าคือ ทาลูคูส 2.Thasolos คำเปรยตอนแสดงตัว: เมื่อความกลัวเข้าปิดหนทาง พลังแห่งปัญญาจักส่องนำทางสู่แสงสว่าง ทาโซรอส 2. ลูกมังกรทั้งหก 2.1ไลท์ ลูกมังกรพลานัลคาร์ นิสัยขี้กังวลแต่บางครั้งก็ดูข้มแข็งกว่าที่เห็น เป็นเสมือนน้องของ Lr 2.2 เอิท์ธ ลูกมังกรนิลเฮอร์ นิสัย ช่างคิด เป็นตัวที่รอบรู้ที่สุดในกลุ่มแต่บางครั้งก็คิดมากเกินไป เป็นเพื่อนสนิทกับไลท์และ Lr ตั้งแต่ที่โรงเรียนมังกร 2.3ไฟร์ ลูกมังกรนิทินโค นิสัย ดื้อรั้นแต่รักคุณธรรมในตอนแรกนั้นเขาจงเกลียดจงชังมนุษย์มากจึงทะเลาะเบาะแว้งกับ Lr บ่อยๆ แต่ในตอนที่หมู่บ้านถูกโจมตีเขาได้แสดงความเปนผู้นำช่วยเหลือพวก Lr มาได้ที่โรงเรียนมังกรเขามีลูกน้องมังกรที่เคารพรักอยู่ด้วยหลายตัว อดีตของเขายังคงคลุมเครืออยู่ 2.4อควา ลูกมังกรเฟินร์กอลโล นิสัย ขี้เล่น ร่าเริง เข้ากับคนอื่นง่าย ดดยส่วนตัวยังไม่ค่อยมีบทซักเท่าไหร่ 2.5วิล ลูกมังกรดิมมิวเนี่ยน นิสัย ช่างเจรจา เขาพูดคล่องทั้งภาษามนุษย์และมังกร อีกทั้งยังมีความสามารถด้านการสู้รบสูงที่สุดในกลุ่มเพื่อน ตัวตนที่แท้จริงของเขายังเป็นปริศนา 2.6ดาร์ค ลูกมังกรนอฟฮอพ นิสัย สุขุม มองโลกในแง่ร้ายเสมอ อาจเป็นเพราะมีอดีตที่น่าเศร้าในตอนที่ทุกคนได้พบกับพ่อแม่ของตนในบทที่ 2 มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไมได้เจอพ่อแม่ ไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใคร คงต้องรอต่อไป 3. Genus Runevel นิสัย : เยือกเย็น แต่แท้จริงแล้วเป็นคนอ่อนโยนรักน้องชายมาก เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ อย่างที่สุด ประวัติ : เป็นชนเผ่าครึ่งสมิง ที่หลงเหลืออยู่ในเมอริเซีย กำพร้าพ่อแม่ ตอนอายุได้เพียง 1 ปีเศษๆ ต่อมาเป็นลูกบุญธรรม ของแอสต้า แม่มดจันทรา และตัวเขายังเป็นผู้รับสืบทอดศิลาจันทราของต้นตระกลูตัวเองอีกด้วย เข้ารับการฝึกเป็น เทพขุนพล ตอนอายุ 5 ปี ใช้เวลาฝึกฝนอยู่นาน 4 ปี และขึ้นเป็นเทพขุนพลด้วยวัยเพียง 9 ปี ความสามารถ : เชี่ยวชาญเพลงหมัดมนตราและการต่อสู้ด้วยมือเปล่า นับได้ว่าเขาเป็นคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มของ Lr ตอนนี้เลยก็ไม่ผิดนัก สามารถแปลงเป็นสมิงหมาป่าแสงจันทร์ได้ (Moon Shine Werewolf) อายุปัจจุบัน 9 ปี นามเทพขุนพลคือ ชาโดว์มูน(Shadow Moon) 4. Laguna Lunevel นิสัย : มีความมั่นใจในตัวเองสูงนับถือและเคารพรัก เจนัสพี่ชายของตนมาก มักจะเดินตามพี่ชายไปไหนมาไหนเสมอๆ ประวัติ : กำพร้าพ่อแม่เช่นเดียวกับเจนัส และถูแอสต้ารับเป็นลูกบุญธรรม เข้ารับการฝึกฝยเป็นเทพขุนพลเช่นเดียวกับเจนัสด้วยวัย 4 ปี สำเร็จการฝึกฝนในเวลา 4 ปีและได้เป็นว่าที่เทพขุนพลด้วยวัยเพียง 8 ปี ความสามารถ : แม้จะได้รับการฝึกมาแบบเดียวกับพี่ชาย แต่ทว่าเขากลับเชี่ยวชาญด้านการประยุกค์มนตราเสริมพลังเสียมากว่า แต่นั่นก็ทำให้การโจมตีแต่ละครั้งของเขามีความรุนแรงยิ่งนัก แม้จะเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่วเท่าพี่ชายแต่เกราะมนตราของเขาก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าพี่ชายนัก สามารถแปลงเป็นสมิงหมาป่าสีเงินได้(Silver Werewolf) นามแฝง ซิลเวอร์มูน (Silver Moon) อายุปัจจุบัน 8 ปี 5. Neena Laserio นิสัย : เวลาปรกติจะทำตัวร่าเริงแต่ความจริงเธอเป็นคนที่ซึมเศร้าหวั่นไหวง่าย และยังเป็นคนขี้เหงาอีกด้วย ประวัติ : ยังไม่มีข้อมุลที่แน่ชัดทราบเพียงแต่ว่าถูกเซอร์เซสจับตัวมาหรืออาจจะสมัครใจมาเอง เข้ารับการฝึกฝนด้วยวัย 4 ปีครึ่ง และสำเร็จการฝึกฝนในเวลา 3 ปีครึ่งพร้อมกับเจนัส เข้ารับการเป็นเทพขุนพลด้วยวัยเพียง 9 ปี ความสามารถ : เชี่ยวชาญการใช้อาวุธฟันและยิงทุกประเภท ได้รับการฝึกฝนจนเป็นนักฆ่าชั้นเยี่ยม ทำงานด้านกาลอบฆ่าและการแฝงตัวสืบข้อมูลของศัตรู จนถูกขนานนามว่าเป็นมือสังหารไร้เงา เพราะทุกรายที่นางสังหารจะไม่ได้เห็นตัวนางเลย สามารถแปลงเป็นสมิงแมวป่าได้(Werecat Bandit) อาวุธคู่ใจคือปืนประดิษฐ์ที่เปลี่ยนเป็นมีดได้อีกทั้งยังเป็นตัวส่งสัญญาณ เรียกแคริอุส (Carius) ซึ่งเป็นจักรกลขนส่งอาวุธไม่มีใครทราบว่าทำไมนางถึงได้มีมัน นามเทพขุนพล ไลซไนท์ (Rise Night) อายุปัจจุบัน 9 ปี 6. Riku ชื่อสกุลยังไม่ทราบแน่ชัด นิสัย : จากคำบอกเล่าของพวกเจนัส เขาเป็นคนใจกว้างเข้มแข็งและเป็นที่รักของเพื่อนๆทุกคน แม้แต่เจนัสเองยังอดชื่นชมเขาไม่ได้นับได้ว่าริคุเป็นเพื่อนตายของเขาเลยก็ว่าได้ แม้แต่ลากุน่ายังคิดว่าเขาเป็นพี่ชายคนที่สองเลย อีกทั้งยังเป้นคนห้ามนี่าไม่ให้ฆ่าตัวตาย และยังคอยเป็นกำลังใจให้เธอด้วย ประวัติ : เจ้าตัวเคยบอกว่าถูกเซอร์เซสจับตัวมาและพรากตนจากน้องชาย ดังนั้นเมื่อเขาได้เจอกับลากูน่า เขาคงจะเห็นว่าลากุน่าเป็นเหมือนน้องชายของเขา เขาได้พบกับเจนัสในตอนที่ แบ่งกลุ่มฝึกฝนในองค์กร และสำเร็จการฝึกพร้อมพวกเจนัส อีกทั้งยังได้รับการคัดเลือกเป็นเทพขุนพลเช่นเดียวกันกับเจนัสแต่ทว่ามีชายไร้นาม คนนึงเข้ามาแทรกแซงทำให้ตำแหน่งเทพขุนพลหายไปที่นึงเขาจึงต้อง สู้ถึงตายกับเจนัสเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแต่ด้วยความเป็นคนใจกว้าง และไม่อยากให้เจนัสและลากูน่าต้องเป็นดั่งเขาที่ต้องสูญเสียน้องชายไปเพราะองค์กร จึงยอมเสียสละให้เจนัสปลิดชีพตน ต่อมาเขากลับมาปรากฏตัวต่อหน้า พวกเจนัสในฐานะเทพขุนพลไร้นาม และคำบอกกล่าวที่เอ่ยขึ้นในตอนนั้นกลับกลายเป็นว่าทั้งหมดที่เขาแสดงให้เห็นเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ทำให้ตอนนี้ประวัติของเขายิ่งคลุมเครือกว่าเดิม นามเทพขุนพล เครสเซนท์ (Crescent) ความสามารถ : เช่นเดียวกับเจนัสเขาเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และยังถนัดการใช้พลังมนตรา สร้างคลื่นสูญญากาศ ผ่าศัตรูซึ่งเรียกว่า คาไมทาจิ (Kamaitachi) หรือเคียววายุ ตัวเขานั้นมีฝีมือที่เก่งกล้ากว่า เจนัสมาก ซึ่งนั่นย่อมรวมไปถึงนีน่ากับลากูน่าด้วย สามารถแปลงเป็นสมิงพังพอนได้ (Weasel Fighter) การปรากฏตัวในตอนแรกเขาจะสวมชุดเกราะเหล็กสีดำสนิททั้งตัวและจะปลดสลักระเบิดเกราะเพื่อต่อสู้อีกที อายุปัจจุบัน: ไม่สามารถระบุได้แต่น่าจะใกล้เคียงกับเจนัส นักเชิดวิญญาณรัตติกาลและผู้ร่ายอสูรเดนนรก ทั้งสองนามเป็นคำกล่าวขานถึงจอมเวทย์หญิงที่ร้ายกาจที่สุดในปฐพีของชาวทวีปคาดาร่า ซึ่งตัวจริงของนางคือหญิงสาววัยเดียวกับลากูน่า นามเรโค่ (Reico) ประวัติและความสามรถของเธอยังเป็นปริศนา เทพนทีทลายสวรรค์และเสียงเพรียกจากทะเลทมิฬ เช่นกันนี่เป็นนามเรียกขานจอมเวทย์ชายที่ร้ายกาจที่สุดในมหาสมุทร ซึ่งตัวจริงของเขากลับเป็นเด็กชายที่ใส่ชุดเหมือนกับลากูน่า และอายุเท่ากับเรโค่ด้วยชื่อจริงของเขา คือ เซโร่ (Zero) ประวัติและความสามารถยังเป็นปริศนา ความทรงจำของนีน่า จากใบทก่อนๆนี้จนถึงบทที่ 20 เราทราบเพียงแค่ว่าเธอเป็นศิษย์ของเซอร์เซสเช่นเดียวกับเจนัสเท่านั้น หากแต่ในอดีตนั้น เธอเป็นใครเรายังไม่อาจทราบได้ จากภาพความทรงจำเธอถูกเด็กชายคนนึงช่วยเอาไว้และคนที่ทำให้ชีวิตของนาง ต้องพินาศก็คือเด็กชายคนเดียวกบที่ช่วยนางไว้ สิ่งที่น่าจะพอเป็นเบาะแสได้มีเพียงเศษหินสีเขียวที่เจนัสและนางถือครองอยู่บาง ทีอาจจะเกี่ยวข้องกับรอยยิ้มที่ลากูน่ารู้สึกว่าคุ้นเคยนั้นอาจจะเป็นเบาะแสก็ได้เช่นกัน สาเหตุของการทรยศ เจนัสกับลากูน่านั้นแต่แรกก็ไม่ได้อยาเข้ารับการฝึกฝนเป็นเทพขุนพลแต่เพื่อแลกกับความปลอดภัย ของแอสต้าแม่บุญธรรมของพวกเขาจึงยอมเข้าสังกัดองค์กรซึ่งทางองค์กรต้องการเพียงแค่จะใช้พลัง ของพวกเขาควบคุมศิลาจันทราเท่านั้น แต่เมื่อแสตาถูกแบล็คไวเซอร์ฆ่าตายเพราะเอาตัวเข้าปกป้องพันนิชชูล่า ทำให้พวกเขาไม่มีข้อผูกมัดใดๆกับองค์กรอีกต่อไปและแอสต้าเองยังเป็นคนบอกให้พวกเขากลับใจ และสู้กับองค์กรเพื่อไม่ให้ใครต้องเป็นทุกข์เพราะพวกมันอีก ส่วนนีน่านั้นสาเหตุอาจจะมาจากต้องการแก้แค้นให้ริคุหรืออาจมีอย่างอื่นแอบแฝงอีกก็เป็นได้ เหล่าผู้ที่เคยตายไปทำไมถึงกลับมามีชีวิตอีกครั้งและยังคอยรับใช้ท่านผู้นั้นด้วย จากที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าแบล็คไวเซอร์ ริคุ หรือแม้แต่บลาสเซจ บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ล้มหายตายจากไปแล้ว ทั้งสินกลับมาเป็นสมุนรับใช้ของท่านผู้นั้น นี่อาจเป็นสาเหตุที่ริคุเปลี่ยนไปก็เป็นได้ อำนาจของท่านผู้นั้นคืออะไรกันแน่ต้องดูกันต่อไป นักประดิษฐ์กับทิโมธี เป็นเรื่องบังเอิญเสียนี่กระไรที่ทั้งสองฝ่ายกลับมี นักประดิษฐ์ช่วยหนุนกองทัพอยู่เหมือนกัน นี่อาจเป็นการงัดข้อกันของวิทยาการของทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้ เทพขุนศึกโผล่ไปกี่คนแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ 11 เป็นต้นมารวมแล้วทั้งสิ้นมี 6 คน 1. ชาโดว์มูน (Shadow Moon) 2.วูลเซวิล (Wurzevil) 3.เซอร์เซส (Xerxes) 4.เครสเซนท์(Crescent) 5.ลูคเรเทีย(Lucretia) 6.ไลซ์ไนท์(Rise Night) (แบล็คไวเซอร์กับบลาสเซจเป็นหัวหน้าฝ่ายจึงไม่ใช่ เทพขุนศึก) จบการแนะนำกันเพียงเท่านี้เจอกันในครั้งหน้านะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แถม TipพิเศษDATA X Post by: ::RedharinG:: on June 02, 2008, 03:20:49 AM กลับมาแล้วค่า~~~~~~
ขอบคุณมากๆเลยเจ้าค่ะที่เมล์ไปบอก *-* ตั้งแต่ไม่มีนิยายเรื่องนี้ให้ตาม เราก็ไม่ได้เข้ามาในบอร์ดนี้เลยแห๊ะ~~~ ขอไล่อ่านก่อนนะงิ >_<~~~~ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แถม TipพิเศษDA Post by: greamon on June 02, 2008, 11:11:56 AM ยินดีต้อนรับกลับมานะคร้าบ ขอให้สนุกนะครับจะพยายามพิมพ์ๆๆและก็พิมพ์ต่อไปนะคร้าบ
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แถม TipพิเศษDATA X Post by: boy on June 03, 2008, 05:42:02 PM อัพเดทตอนแล้ว 555555+ สนุกอีกตามเคย
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แถม TipพิเศษDA Post by: greamon on June 08, 2008, 08:25:22 PM มาแล้วครับสำหรับบทที่ 21 คิดว่าตอนนี้ทุกคนคงจะรู้วันที่อัพเดทของผมแน่นอนแล้วนะครับว่าเป็นทุกวันอาทิตย์
เวลา ประมาณบ่าย4 กว่าน่ะครับ สำหรับตอนในวันนี้ก็มีเรื่องให้ตะลึงอีกแล้วพักนี้ รู้สึกจะตะลึงบ่อยมาก แต่รับรองว่าวันนี้ตะลึงของแท้แน่นอนครับ อีกอย่างเมื่อคืน พิมพ์เองพาลจะหลอนซะเอง บรึ๋ยน่ากัว(มั้ง) ถ้ายังไงเราไปชมกันเลยดีกว่าครับ บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง สายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วหมู่บ้านแหลมเพราะมวลอากาศเย็น ก่อนรุ่งสาง ในตอนนี้แสงจากดวงสุริยันต์ เริ่มสาดส่องไปทั่ว เพื่อบอกเวลาแห่งวันใหม่ แม้ตอนนี้หมอกจะยังคงหนาอยู่ จนราวกับยังมืดค่ำก็ตาม หากแต่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้มันก็จะจางหายไปจนสิ้น . ที่ลานหน้าสำนักงานกองกำลังต่อต้าน กลุ่มเด็กและลูกมังกรกลุ่มนึงกำลัง จัดของและเตรียมตัวออกเดินทางกัน จากนี่ตรงไปทางเหนือจะเจอป่านะ ถ้าผ่านไปได้เห็นทุ่งกว้างที่ตัดกับหุบเขานะ ให้ตรงไปเลยก็จะถึงทีนวาแลนแล้วนะ พนักงานของกองกำลังอธิบายไปพร้อมกับเอานิ้วไล่ตามแผนที่ที่ถืออยู่ก่อนจะส่งมันให้ Lr ซึ่งเค้าก็รับมาดูก่อนจะซักถามในจุดที่ยังสงสัยอยู่บ้างด้านเจนัสพวกเขากำลังจัดสำภาระใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง งั้นสัมภาระพวกนี้น่ะฉันจะรับผิดชอบดูแลให้เอง นางกล่าวจบก็คว้าปืนจากซองที่ไข้วเอวนางไว้ แล้วกดสวิตซ์ที่ปืนของนางทันที พร้อมกับที่คาริอุส จักรกลซึ่งเป็นเสมือนคลังแสงย่อยของนางเลยก็ว่าได้ ค่อยทะยานลงมาจากฟ้า ทันทีที่มันลงจอดเรียบร้อย นางก็เดินอ้อมไปข้างหลังคาริอุสแล้วจัดแจงเปิดฝาครอบแผงวงจรด้านหลังออกมา และกดสวิตซ์ตัวนู้นตัวนี้ของแผงวงจรราวกับกำลังตั้งค่าอะไรบางอย่าง ซึ่งพวกเจนัสก็ได้แต่มองด้วยความสงสัย ทันทีที่นางปิดฝาครอบ แผงวงจรลงก็กดสวิตซ์ ที่ร่องฝาครอบด้านบนของมัน ก่อนที่ฝาครอบด้านบนของมันจะเปิดออก ทำให้มันดูเหมือนกับกล่องกลมๆสำหรับใส่อะไรซักอย่าง นางไม่รอช้ารีบขน สัมภาระทั้งหมดใส่ลงไปในช่องว่างของตัวคาริอุสที่เปิดออกทันที ก่อนจะปิดมันและกดสวิตซ์สั่งให้มันทะยานกลับขึ้นไป เอาล่ะเท่านี้ก็เรียบร้อย ฉันป้อนคำสั่งให้มันบินอย ู่ใกล้ๆพวกเราหน่อยจะได้เรียกใช้ได้ตลอกเวลาน่ะ นางหันมากล่าว แล้วตอนเรียกใช้มันจะไม่โยนโครมลงมา หรอ ลากูน่าแหย่นางเล่นๆซึ่งทำให้นางยิ้มด้วย ความเหนื่อยใจกับท่าทีของเขา ไม่หรอกนั่นน่ะไม่ใช่ช่องใส่อาวุธเพราะฉะนั้นมันโยนลงไม่ได้หรอก และถ้าไม่ทำแบบนี้พวกเราก็คงเดินทาง กันช้าแน่เลยถือซะว่ามันเป็นเครื่องขนส่งก็ละกันนะ นางกล่าวจบก็ หันหา Lr เพื่อขอเสียงสนับสนุน แต่ เค้ากลับตีสีหน้าพะวงกับการเดินทาง ทำให้นางชะงักไป เจนัสที่เห็นดังนั้น จึงเดินเข้าไปตบไหล่ Lr เบาๆ ทำให้ Lr หันมามองด้วยความสงสัย ยังกังวลอยู่อีกเหรอที่พวกเราจะไปด้วยน่ะ เจนัสกล่าวเสียงเรียบ Lr ที่ได้ยินคำพูดของเขาก็มีสีหน้าสลดไปทันที หรือถ้านายคิดว่าพวกเราเป็นตัวเกะกะล่ะก็ ไม่ต้องห่วงหรอกพวกเราไม่คอยขัดแข้งขัดขา นายอยู่แล้ววางใจได้ ลากูน่ากล่าวจบ Lr ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที ม ไม่ใช่นะพวกนายไม่ได้ถ่วงอะไรฉันเลย เพียงแต่ Lr กล่าวยังไม่ทัน จบเขาก็นิ่งไปเมื่อสิ่งที่จะพูดนั้นออกจะอธิบายเป็นพูดได้ยาก แต่เค้าก็พยายามสันหาคำที่จะมากล่าวจนได้ เพียงแต่..ฉันไม่อยากให้พวกนายต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของชั้นน่ะ เพราะสำหรับชั้นแล้วพวกนายก็ถือเป็นเพื่อนคนสำคัญของชั้นเหมือนกันก็เลยไม่อยากให้เพื่อนต้องมาลำบากด้วยน่ะ Lr กล่าวเสียงอ่อยด้วยความเกรงใจ แต่นั่นกลับทำให้เจนัสรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เขากล่าวออกมา ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ เจนัสถาม ซึ่ง Lr เองก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เข้าถึงสิ่งที่เจนัสถามเพราะเค้าเองก็ได้บอกเหตุผลไปแล้วไยจึงจะมาซักทอดกันต่ออีก แต่เจนัสก็กล่าวต่อขึ้นมาอย่างทันท่วงทีเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป ถ้านายเห็นเราเป็นเพื่อนจริงก็ไม่ควรจะ ห้ามไม่ให้เราช่วยเหลือจริงมั้ย เพราะเพื่อนน่ะไม่ทิ้งกัน ..อยู่แล้ว เจนัสเองเมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ทั้งเค้า นีน่าและลากูน่า ก็นิ่งเงียบไปเพราะทันทำให้พวกเค้านึกถึงริคุขึ้นมา พนักงานที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที อ เอ่อว่าแต่ไม่ขาดเหลืออะไรแล้วใช่มั้ย พนักงานกล่าวอย่างลุกลี้ลุกลนซึ่งนั่นก็พอทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่จางหายไปบ้าง ครบหมด เพราะเราตรวจดูตั้งแต่เมื่อวานแล้วของที่ขอมาก็ครบแล้ว เฟินกอลโล่รีบตอบขึ้นทันควันเสียงของลูกมังกรถูก ดราก้อนฮอลลี่แปลแล้วจึงทำมให้พนักงานเข้าใจที่เขากล่าวได้ ทั้งเสบียง ยารักษาโรค เครื่องสาธารณูปโภค และอุปกรณ์สำหรับเดินป่าครบหมดนะ พนักงานถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาก็พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าครบ ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ ที่จริงข้าว่าจะไปส่งพวกเจ้าที่เมืองทีนวาแลน เองหรอกนะแต่ว่าข้าติดงานน่ะเสียใจด้วย พนักงานกล่าวด้วยความเสียดาย แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกเค้าจึงเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อ ครู่ต่อมาเมื่อพวกเขาเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว ก็ออกเดินจากลานหน้าสำนักงานทันที โดยพวกเขาทิ้งให้ Lr ซึ่งขอตัวคุยกับพนักงานเพียงลำพังเอาไว้ จนเมื่อพวกเขาออกไปจาลานหมดแล้ว Lr จึงหันไปหาพนักงานซึ่งหลังจากรู้จักกันมานานตลอดสัปดาห์ ทำให้พอจะรู้จักเขามากขึ้นแล้ว พนักงานคนนี้เป็นชายหนุ่มวัย 18 ปีเค้ามีผมสีดำหยักปลาย ดวงตาคมเกล้าประดุจพญาเหยี่ยว ร่างกายแข็งแรงกำยำล่ำสันได้ส่วนพอประมาณซึ่งน่าจะ เป็นเพราะเขาเองก็ได้รับการฝึกจากกองกำลังนั่นเอง ที่นิ้วของเขามีแหวนซึ่งประดับด้วยหินสีเขียวก้อนขนาด พอเหมาะติดที่หัวแหวน Lr มองเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเรื่องขึ้นมากมายก็ได้เขาช่วยจัดการเรื่องต่างๆให้ ไม่ว่าจะตอนลงทะเบียนแข่งให้กับเจนัส หรือคอยดูแลปฐมพยาบาลพวกเขารวมถึงจัดหา สิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางครั้งนี้ให้ด้วย ที่ผ่านมาผม ต้องขอบพระคุณมากเลยนะครับที่ช่วยพวกเรามาตลอด Lr กล่าวขอบคุณพร้อมกับโค้งด้วยความเต็มใจ แต่พนักงานเองก็รีบปรามไว้ด้วยความเกรงใจ ไม่เป็นไรแค่นี้เองอีก อย่างข้าก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นไม่ต้องถือเป็นบุญคุณหรอก พนักงานกล่าวด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ถ้าเช่นนั้นผมขอทราบชื่อของท่านหน่อยจะได้มั้ย Lr ถามขึ้นซึ่งคำพูด ของเขาทำให้พนักงานนิ่งไปราวกับกำลังชั่งใจว่าจะบอกดีหรือไม่ แต่ก็ตัดสินใจบอกไป กาเทีย .กาเทีย ลาเซริโอ้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ พนักงานกล่าวจบก็จับมือทักทายกับเขาเป็นเชิง ก่อนจะส่งเค้าออกไปสมทบกับพวกเจนัสและลูกมังกร หลังจากที่ส่งพวก Lr เสร็จเขาก็กลับมายังสำนักงาน ตอนนี่สภาพรอบๆยังคงมีหมอกลงอยู่หนาเช่นเคย ทำไมกันนะ เค้าคิดขณะที่นึกย้อนกลับไปเมื่อ 2 วันก่อนที่เค้าติดต่อกับทิโมธี 2 วันก่อน ภายในสำนักงานโต็ะที่วางเครื่องสื่อสารเอาไว้ เค้ากำลังพูดผ่านเครื่องสื่อสารกับทิโมธี ทำไมเราถึงไม่ช่วยเค้าตามหาลูกมังกรให้ถึงที่สุดล่ะครับ ท่านเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ช่วยเขาเท่าที่จะช่วยได้ พนักงานถามด้วยความฉงนผ่านเครื่องสื่อสาร เกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะ ข้าบอกรายละเอียดไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องให้เค้าไปจัดการเอง เสียงของทิโมธี ดังกลับมาจากเครื่องตอบรับ แต่นั่นเท่ากับส่งไปตายดีๆเลยนะครับแล้วอีกอยางทำไมถึงต้องมอบงานสำคัญแบบนั้นให้พวกเค้าไปด้วย พนักงานกล่าวใส่เครื่องรับด้วยความไม่เข้าใจกับความคิดของอีกฝ่าย แต่ทางอีกฝ่ายก็เงียบ ไปครู่ใหญ่ก่อนจะเริ่มกล่าวขึ้นมา รู้จักตำนานของอัศวินมังกรคนแรกแห่งเมอริเซียไหม เสียงตอบกลับจากเครื่องตอบดังขึ้น พร้อมกับความรู้สึกปวดร้าวที่เกิดขึ้นในนทันที แม้ไม่อยากตอบแต่เพราะอยากทราบความตั้งใจของ อีกฝ่ายจึงตัดใจตอบกลับไปทั้งที่ไม่อยากตอบ หมายถึง ซาราเบลด(ZaraBlade)สินะครับ พนักงานตอบกลับน้ำเสียงขุ่นมัวเล็กน้อย ที่ถูกถามถึงสิ่งที่ไม่อยากตอบ จริงสิ เจ้าเองก็เป็นคนจากฟีเลเซียนี่นะ และถึงจะตัดขาด กับตระกูลไปแล้วแต่เรื่องท ี่ได้รับการปลูกฝังมานี่คงลืมไม่ลงสินะ เสียงของทิโมธีดังกลับมาจากเครื่องตอบรับ ตอนนี้พนักงานกำมืออีกข้างที่วางอยู่บนโต็ะแน่น เสียจนเหงื่อไหลอาบไปทั่วทั้งฝ่ามือ เมื่อไม่เสียงตอบกลับจากเขาทิโมธีจึงตอบกลับมาอีกครั้ง ลาเซริโอ้(Laserio) รูลเวลส์(Runevel)สองตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีเมื่อหลายสิบปีก่อนจะล่มสลายไป เจ้าเองที่เป็นคนตระกูล ลาเซริโอ้ น่าจะเข้าใจดีนะถึงตำนานนี้น่ะ เสียงดังกลับจากเครื่องตอบรับ ซึ่งมันทำให้เค้าพูดไม่ออกไปชั่วครู่เมื่อย้อนนึกถึง อดีตของตนก่อนจะมาสังกัดกองกำลังต่อต้าน ใช่ตระกูลของเรากับตระกูลรูลเวลส์ ล้วนมีความสัมพันธ์เป็นกับซาราเบลดทั้งสิ้น ทันทีที่เขากล่าวจบก็ ภาพอดีตสมัยเด็กของเขาก็แวบผ่านเข้ามาในใจ ภาพของเด็กหญิงครึ่งสมิงนางมีผมสีทองหูแมวสีน้ำตาล นางยิ้มแย้มสดใสร่าเริงตามประสาเด็ก รอยยิ้มของนางยังคงตราตรึงอยู่ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ เมื่อหวนนึกถงรอยยิ้มนั้นมันทำให้เค้าเจ็บปวด ใจยิ่งนัก เขาส่ายแรงๆเพื่อสลัดภาพนั้นออกจากหัวเขา ในตอนนั้นน่ะเองที่ทางด้านทิโมธีมีเสียง อะไรบางอย่างแทรกเข้ามาทำให้เค้าสงสัยจึงถามกลับไป เมื่อกี้มันเสียงอะไรน่ะครับ เขาถามด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เป็นอะไรรึเปล่าครับทางนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือครับ เขาถามย้ำอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ และซักพักสายก็ถูกตัดไป ต่อจากนั้นแม้เค้าจะพยายามติดต่อไปอยู่ หลายทีก้ตามแต่ก็ไม่มีการตอบรับจากทิโมธีอีกเลย ว่าแต่เด็กคนนั้นเหมือนมาก เมื่อหันกลับไปมองลานหน้าสำนักงานที่เขาพึ่งไปส่งพวก Lr เขาพยายามใช้ความคิดทบทวนอยู่นาน เขานึกถึงใบหน้าของนีน่า ที่พึ่งจากกันไปเมื่อครู่ก่อนจะย้อนนึกกลับไปถึงภาพความทรงจำในอดีต เด็กคนนั้นเหมือนกันกับ เธอเลยนะ นีน่า เขากล่าวพร้อมกับนึกย้อนไปยังวันที่เขาจากบ้านมา ในวันนั้นเขาตัดสินใจอกจากบ้านและตัดขาดกับตระกูล ก่อนวันทำพิธีสืบทอดตระกูล แต่ทว่าเค้าเองก็ยังมีบางสิ่งที่ค้างคาอยู่จึงได้รออยู่แถงนั้นจนเมื่อพิธีเริ่มไปได้ไม่นานนัก ทั้งหมดก็ตกอยู่ในทะเลเพลิงหลังจากที่เค้าได้ห็นเงาของครึ่งสมิงเด็กชายคนนึงพุ่งตัดหน้าชนเค้าจนหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็ไหม้จนหมด คฤหาสน์ของตระกูลถูกไฟเผาจนมอดไหม้ไม่มีเหลือ บรรดาวงศาคณาญาติ ทั้งหลายที่มาร่วมงานก็ถูกไฟครอกตายแทบทุกคน เค้าในตอนนั้นที่ได้เห็นสภาพเช่นนั้นก็ไม่รีรอช้า รีบเข้าไปรื้อซากไหม้ของคฤหาสน์เพื่อหาอะไรบางอย่าง นีน่า..นีน่า เค้าร้องเรียกหาใครบางคนทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครจะ รอดออกมาจากกองเพลิงนั้นได้ หมอกที่ปกคลุมเริ่มจางลงไปแล้ว เขาจึงเลิกคิดที่จะขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ พร้อมกับเดินตรงเข้าไปยังสำนักงาน รู้อย่างนี้ถามชื่อเด็กคนนั้นไปซะก็จบเรื่องแล้ว เค้าคิดด้วยความเสียดาย ก่อนจะยกแหวนที่ประดับหินสีขียว แบบเดียวกับที่เจนัสและนีน่ามีอยู่ขึ้นมามอง ด้วยสายตาเศร้าๆ สัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างตระกูล ลาเซริโอ้กับรูลเวลส์ ตอนนี้ก็เป็นได้แค่หินธรรมดาๆล่ะนะเพราะความสัมพันธ์นั้นน่ะ มันขาดไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าเด็กนั่นมาล้างตระกูลเราแล้ว พนักงานคิดพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแค้นในใจ ทันทีที่นึกถึงตอนที่ เด็กชายครึ่งสมิงเข้ามา ทำลายชีวิตคนสำคัญของเขา ทำไม ทำไมตอนนั้นเรา ถึงไม่ชวนเธอหนีไปด้วยนะ..ทำไม เขาคิดด้วยความเสียดาย กับการตัดสินใจในวันนั้น .. . . ที่หน้าทางออกของหมู่บ้านเพื่อตรงไปยังป่าทางเหนือ พวกเขาได้เดินฝ่าสายหมอกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จนเริ่มเห็นเงาของคนหลายคนอยู่ลางๆที่ตรงหน้า ทันทีที่หมอกเริ่มจางลงเพราะแสงตะวัน หนทางข้างหน้านั้นก็มี เหล่าผุ้คนที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้มารอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว นีน่าที่เห็นเช่นนั้นก็วิ่ง ตรงเข้าไปหาพวกชาวบ้านซึ่งพวกเขาเองยิ้มรอต้อนรับอยู่ด้วย ความยินดี จะไปแล้วใช่มั้ยจ้ะ ถ้ายังไงรักษาตัวด้วยนะ ยายแก่ครึ่งสมิงหมี ที่รู้จักกับนางเอ่ยด้วยความห่วงใย โฮะๆ ว่างๆก็กลับมาที่นี่บ้างนะ ลุงจะเตรียมเสื้อผ้าใหม่ไว้ให้ลองต้องกลับให้ได้นะ ชายชราที่เป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่นีน่า ไปอุดหนุนบ่อยๆพูดขึ้นด้วยความชอบใจ ซึ่งพวกชาวบ้านคนอื่นๆเองก็เข้ามาบอกลาและพูดคุยกับเธอก่อนจาก ซึ่งภาพตรงหน้านั้นทำเอาพวก Lr นิ่งอึ้งไป หยั่งกับเป็นครอบครัวเดียวกันเลยนะ Lr กล่าวขึ้นลอยๆเมื่อเห็นภาพตรงหน้ามันทำให้เค้านึกถึง สมัยที่ยังอยู่กับดีวายดราก้อนอย่างเป็นสุข ในหมู่บ้านมังกร ทุกคนในหมู่บ้านทักทายเขาอย่างเป็นมิตรทำให้ตลอดมาเขาไม่เคยคิดว่า ตนแตกต่างไปจากคนอื่นเลย แม้รอบข้างเขาจะมีแต่มังกร แต่เขาก็ไม่เคยรู้แตกแยกกับใครเลย เพราะทุกคนในหมู่บ้านล้วนดูแลซึ่งกันและกัน เขาหยุดคิดเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวก บางอย่างดังมาจากทางด้านเจนัส ทำให้เขาหันไปมองด้วยความสนใจ ที่นั่นกลุ่มเด็กประมาณสี่คนทุกคนล้วนมีผ้าพันแผล และรอยฟกช้ำอยู่ตามตัว ซึ่งเขาเองก็พอจะจำได้ว่าเป็นเหล่าเด็กที่ลงงานประลองหมัดแล้ว แพ้ให้กับเจนัสและลากูน่าไปอย่างง่ายดาย ครั้งเราจะยอมปล่อยให้นีน่าไปกับพวกนายก็ได้ แต่นายสองคนน่ะ คอยดูแลนีน่าดีๆนะ ถ้าหากทำให้เธอต้องเสียใจล่ะก้เราไม่ปล่อยเอาไว้แน่ จำเอาไว้ซะ ทั้งสี่คนกล่าวไล่เรียงกันมาด้วยความหึงหวง ซึ่งลากูน่าเองก็พอจะจำได้ว่า พวกเด็กเหล่านี้เป็นพวกกลุ่มเด็กชายที่แอบชอบนีน่า และจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตอนที่เค้าเดินควงแขนกับนีน่าอยู่ในหมู่บ้าน(จำไม่ได้ให้ย้อนกลับไปดูบทที่ 16) เจนัสและลากูน่าทั้งสองมีสีหน้า เหนื่อยหน่ายกับท่าทีของพวกเด็กๆจึงรับปากส่งๆไป ซึ่งทำเอา Lr อดอมยิ้มด้วยความตลกขบขันของพวกเขาไม่ได้ .. .. ทีนวาแลน บัดนี้เมืองใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจาก หมู่บ้านแหลมทวีปไปทางเหนือ ได้ถูกรายล้อมไปด้วยทหารผีดิบที่ เคยถูกใช้เมื่อครั้งสงครามสี่อาณาจักร พวกมันบุกเข้าโจมตีเมืองอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารและชาวเมืองไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกปิดล้อมทางหนีจนสิ้น ที่น่านฟ้าเหนือเมืองทีนวาแลน เด็กสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง และลูกมังกรไฟอีกตัว กำลังลอยตัวอยู่ กลางอากาศ ดูเหมือนว่าเจ้าคนที่ตามราวีมาตลอดนี่มันจะไม่ลดละความพยายามเลยนะ เด็กชายกล่าวเขามีผมสีน้ำเงินสวมเสื้อยืดแขนยาวสีเขียวตัดลายเทา แบบเดียวกับลากูน่า กล่าวขึ้นอย่างเซ็งๆ งั้นเราก็อย่าต้องลากใครเข้ามาพัวพันด้วยเลย ไปช่วยหน่อยคงไม่เป็นไรนะ เด็กหญิงกล่าว นางมีปีกราวกับทูตสวรรค์แต่ปีกกลับเป็นสีดำสนิท ปีกของนางกระพือเบาๆทำให้นางสามารถ ทรงตัวอยู่กลางอากาศได้ในขณะที่เด็กชายนั่งอยู่บนก้อนเมฆ กับลูกมังกรไฟ งั้นข้าทำเองดีกว่าขืนให้เจ้าทำรังแต่จะทำให้เมืองหายไปด้วย เด็กชายกล่าว งั้นฝากด้วยละกันนะเซโร่(Zero)่ นางกล่าวจบ เด็กชายก็ส่งตัวลูกมังกรไฟให้นางอุ้มเอาไว้ก่อน จะสลายเมฆที่ยืนอยู่และพุ่งลงไปอย่างรวดเร็ว (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms2008831171543.jpg) กีซซซซ(สองคนนี่ทำไมถึงเก่งอย่างนี้นะต่อให้ลอว์เลนซ์เก่ง แค่ไหนก็เถอะถ้ามีเรื่องด้วยมีหวังเราไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแน่) ลูกมังกรไฟคำรามเบาๆด้วยความกังวล ขณะที่เซโร่ดิ่งลงไปจนจะถึงพื้นอยู่ทนโท่ ไร้รูปแต่ไม่ไร้ตน เจ้าจงแปรเปลี่ยนไปดั่งใจข้า จงเป็นศาสตราให้ข้าได้ทำลายและปกป้อง เซโร่กล่าวขานคำร่ายมนต์ ขึ้นมาพร้อมกับวาดมือเป็นวงก่อนที่จะดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง จงฟาดฟันให้สะบั้น เขากล่าวจบก็เกิดสายฟ้าแลบ ลมพัดอย่างแปรปรวนทันทีก่อนที่สายฝนจะโปรยปรายลงมา ยังนอกกำแพงเมือง ทันทีที่กองทัพทหารผีนรกภายนอกกำแพงเมือง สัมผัสถูกสายฝนพวกมันก็หยุดเคลื่อนไหวราวกับถูกตรึงไว้ ก่อนที่ร่างของพวกมันจะกลายเป็นน้ำแข็ง ต่อเลยละกัน เซโร่กล่าว บัดนี้มือของเขาถูกห่อหุ้มด้วยมวลน้ำ เป็นรูปทรงแท่งปลายหลามเหมือนทวน ทั้งสองข้าง ที่ไหล่ของเขามีมวลน้ำที่รวมตัวเป็มรูปร่างของปีกนก โดยส่วนที่เป็นขนนั้นเป็นเกล็ดน้ำแข็งเรียงตัวกันอยู่ บนมวลน้ำ ด้วยปีกนี้ทำให้เขาสามารถทรงัวอยู่ในอากาศได้ เขาเอาทวนวารีที่มือทั้งสองมาไขว้กันไหว้ที่หน้าอก ก่อนจะเริ่มร่ายมนต์บทต่อไป พร้อมกับ อีกอึดใจต่อมา พวกทหารผีนรกแช่แข็งก็แตกร้าวสลายกลายเป็นผุยผงไป ภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงนี้กำลังฉายอยู่บนอ่างน้ำ ขนาดใหญ่ ซึ่งวางอยู่ใจกลางห้องโถง ที่มืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากโคมไฟที่ห้อยระย้า อยู่บนเพดานเท่านั้นที่ให้ความสว่างแก่ห้องนี้ ผนังรอบๆห้องมีเงาของกลุ่มคนหลายคน ยืนรายล้อมอยู่รอบห้องที่ใจกลางถัดจากอ่างน้ำขึ้นไป เสาบังลังค์ที่ยกสูงจากพื้น บุคคลที่นั่งอยู่บนบัลลังค์นั้น สายตาของเขาจ้องมองลงมายังอ่างน้ำที่วางอยู่เบื้องล่าง อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อภาพบนอ่างจางหายไป เสียงซุบซิบพูดคุยก็ดังเซ้งแซ่จากเบื้องล่างทันที แต่แล้วทุกเสียงก็หยุดไปเมื่อมีใครบางคนกระแอ่มไอ แทรกขึ้นมา เค้าคนนั้นเดินเขาไปยังวงแสงที่ส่องลงมาจากโคมระย้า พร้อมขุกเข่าลงข้างนึงเพื่อทำความรพก่อนจะลุกขึ้นยืน ที่ได้ชมไปเมื่อครู่คือการบุกโจมตีที่เมืองทีนวาแลนขอรับจากที่เห็น จอมเวทย์น้อยผู้นี้ช่างทรงพลังยิ่งนัก ถึงกับทำเอาหัวฝ่ายของเราต้องแตกพ่ายถอยทัพกลับมาอย่างไม่เป็นท่า ชายผู้นั้นกล่าวจบก็เบือนสายตาไปมองชายอีกคน ที่ยืนอยู่ในความืดนอกระยะแสง ด้วยสายเหน็บแนม ทำเอาผู้ถูก กระทบกระทั่งแสดงอาการไม่พอใจ ได้ยืนทำหน้าบูดบึ้งใส่ ด้วยความเจ็บแค้น ทันทีที่ผู้อยู่บนบัลลังค์ได้ยินคำพูดนั้น เขาก็เอามือทุบลงกับพนักบัลลังค์อย่างแรงจน เหล่าผู้อยู่เบื้องล่างรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือน นี่มันอะไรกันแค่เด็กคนเดียวยังทำอะไรไม่ได้ แล้วพวกเจ้ายังมีหน้ามาเรียกตน ว่าเป็นนักรบแห่งองค์จักรพรรดิ์ทมิฬผู้นี้ได้อีกรึ เขากล่าวด้วยความเกรี้ยวกราด เหมือนครั้งที่แล้วมา ผลันแสงไฟจากโคมระย้าก็สว่างวาบไปทั่วจนเห็นชัดทั้งห้อง เหล่าเทพขุนพลที่เหลืออยู่ หัวหน้าฝ่ายอีกสองนายที่ยืนอยู่เบื้องล่าง พากัน สะดุ้งกับสภาพห้องที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน แม้ตอนนี้ทั้งห้องจะสว่างไปจนมองเห็นชัดทั้งห้องก็ตามที แต่ชายที่ถูกพวกเขาเรียกขานว่าท่านผู้นั้น ยังคงหลบเร้นกายอยู่ในเงามืด ซึ่งแสงจากโคมไฟ ส่องไปไม่ถึงเพราะตัวบัลลังค์อยู่สูงในระดับเดียวกับโคมระย้า แม้พวกข้างล่างจะพยายามเพ่งมองเท่าไหร่ก็ไม่อาจ มองเห็นร่างของเขาได้เลย หึ เซอร์เซส ลูกศิษย์เจ้าทั้งสามคนก็ทรยศหนีตามกันไปอยู่กับเจ้าอัศวินมังกรนั่น แถมเจ้ายังพลาดท่า เสียทีมันจนต้องอยู่ในสภาพน่าสังเวชนั่นอีกเจ้ามีอะไรจะแก้ตัวมั้ย ท่านผู้นั้นกล่าว ขณะที่เบียนสายตาไปยังร่างของ เทพขุนพลคนนึงที่ต้องให้เทพขุนพล ในชุดเกราะเหล็กสีดำอีกคนคอยพยุงเพื่อเข้าประชุมเพราะอาการบาดเจ็บทำให้เทพขุนพลผู้นี้ยังไม่อาจฟื้นตัวได้ทัน ดูเหมือนว่าพักนี้พวกเจ้าชักจะหย่อนยานกันเกินไปแล้วนะ.. ท่านผู้นั้นยังไม่ทันขาดคำก็เกิดวังวนมิติขนาดใหญ่ขึ้นมากลางอากาศถึงสองวงด้วยกัน ในวังวนเหล่านั้น เริ่มปรากฏภาพขึ้นมารางๆ และค่อยๆชัดขึ้น ชายคนนึงมีผมสีทอง เขาอยู่ในชุดเกราะสีเขียว ส่วนอีกหนึ่งเป็นหญิงนางอยู่ในชุดรัดรูปที่ปกน้อยชิ้นซึ่งทำด้วยน้ำแข็งที่ เกิดจาพลังเวทย์ พวกเขาทั้งสอง นั้นหนึ่งคือกษัตริย์แห่งอาณาจักรฟีเลเซีย และอีกหนึ่งคือจอมเวทย์น้ำแข็งผู้มีเชื้อสายพระวงศ์แห่งเแอนดิซอง นี่ข้าทำตามที่เจ้าขอแล้วนะเรื่องการปลดผนึกมังกรวารีบ้าๆนั่นน่ะเมื่อไหร่ข้าจะได้สิ่งตอบแทนซักที จอมเวทย์แห่งเชื้อพระวงศ์กล่าวสีหน้าหงุดหงิด ี่ต้องเป็นฝ่ายติดต่อมาเอง ส่วนกษัตริย์แห่งฟีเลเซียังคงนิ่งเงียบไม่ตรัสอะไร เรื่องการปลดผนึกจอมอนการ์ดเจ้าทำแล้วใช่มั้ยวิโอเรีย ท่านผู้นั้นกล่าว อย่ามาเรียกชื่อข้าห้วนๆนะ และข้าก็บอกว่าทำแล้วยังไงล่ะไม่ได้ยินรึไง แล้วที่สัญญาไว้ล่ะว่าจะให้ข้าเป็นราชินีน่ะ.. นางกล่าวไปได้แค่นั้น ก็หยุดไปเมื่อท่านผู้นั้นยื่นมือขึ้นก็มีพลังเวทย์สีดำพุ่งผ่านวังวนมิตินั้นเข้าครอบงำนางก่อนที่ นางจะถูกคุมสติไป พวกเจ้าทังสองต่อไปนี้จงจับตา ดูความเคลื่อไหวของกองกำลังต่อต้านและสภาศาสนาต่อไปเสีย ท่านผู้นั้นออกคำสั่ง รับทราบ ทั้งสองกล่าวจบวังวนมิติก็สลายไปทันที พร้อมกับที่แสงจากโคมไฟค่อยๆหรี่ลงกลับมา เหมือนเดินทั่วทั้งห้องค่อยๆกลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรจะรายงานอีกแบล็คไวเซอร์ ท่านผู้นั้นหันมาถามเขาโดยไม่ทัน ตั้งตัวทำให้แบล็คไวเซอร์ลุกลี้ลุกลนรีบจัดแจงทำพิธีสะกดจิตวิหกโลกัณฑ์ ทันที่ก่อนจะควักลูกตาชุ่มเลือดของมันออกมาและจุ่มมันลงในอ่าง ซักครู่น้ำทั่วทั้งอ่างก็ละลายเข้ากับเลือดของ วิหกโลกัณฑ์ก่อนมันจะเริ่ม ปรากฏภาพขึ้นมา ซึ่งนั่นคือภาพการปะทะกันของพวกทาลูคูสที่ต่อกรกับเทพขุนพล เครสเซนท์ก่อนที่ตัวของทาลูคูสจะพ่ายไปและแยกกลับเป็น Lr กับ ไลท์ตามเดิม ภาพตรงหน้านั้นทำเอาทุกคนในห้องประชุมที่ยังไม่เคยประมือกับทาลูคูส ต้องตกตะลึงไป และแม้ภาพบนอ่างจะจาง ไปแล้วก็ตามทุกคนในห้งประชุมก็ยังคงเงียบกันอยู่ แบล็คไวเซอร์ที่เริ่มรู้สึกกดดันกับท่าทีของ ทุกคนในห้องจึงคิดเป็นทำลายความเงียบนี้ซะ นั่นคืออัศวินมังกรในตำนานที่โผล่ขึ้นมาขัดขวางแผนการของพวกเรา ท่านมีความเห็นว่ายังไงบ้าง แบล็คไวเซอร์กล่าว โดยขณะที่รอคำตอบเขาเองก็รู้สึก กดดันกับคำตอบที่จะได้รับแต่ท่านผู้นั้นก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่ เขาจึงเริ่มสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามจึงคิดจะบ่ายเบี่ยงคำถามเมื่อครู่ ถ้าเช่นนั้นเรามาถกกันต่อเรื่องแผนการที่จะทำต่อจากนี้ไปละกัน.. แบล็คไวเซอร์กล่าวได้เพียง แค่นั้นเพราะเขารู้สึกเย็นสันหลังวาบทันทีที่ ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของท่านผู้นั้นดังขึ้น หึหึหึ..ไม่นึกเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ที่แท้ตัวตนของอัศวินมังกรแห่งตำนานกลับเป็นคน คนนี้ ท่านผู้นั้นกล่าวยิ้มเยาะด้วยความสำราญ ราวกับโทสะเทื่อครู่ได้มลายหายสิ้นไป ท่านรู้จักเด็กคนนั้นด้วยหรือขอรับ บลาสเซจถามด้วยความรู้สึกแปลกใจ กับคำพูดของท่านผู้นั้น Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แถม TipพิเศษDA Post by: greamon on June 08, 2008, 08:25:56 PM ลอว์เรนซ์
คำพูดที่ท่านผู้นั้นเอ่ยขึ้น มาทำเอาแบล็ครไวเซอร์และเซอร์เซสตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจที่ ท่านผู้นั้นสามารถทราบชื่อของ Lr ได้โดยไม่เคยได้ยินจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ลอว์เรนซ์ ผู้เป็นทายาทแห่งซาราเบลด ท่านผู้นั้นกล่าว ด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่คำพูดของเขาดูจะทำเอาเหล่าผู้ประชุมงงไปตามๆกัน แต่ก็ไม่ได้มีใครเอ่ยถามอะไร สรุปการประชุมในครั้งนี้คือ หันความสนใจจากฟอจูนทรีกับการโจมตีซาโลมไปก่อน เปลี่ยนเป้าหมายหลักไปที่การจับตัวลอว์เรนซ์มาซะ ต้องจับเป็นเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่อยู่กับมันฆ่าทิ้งเสียให้หมด เลิกการประชุม ท่านผู้นั้นกล่าวน้ำเสียงเด็ดขาด ก่อนที่ไฟในห้องจะดับไป . .. ที่โถงทางเดินภายนอกเทพขุนพลเกราะเหล็ก เครสเซนท์ กำลังเดินไปตามทางที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ เขาเดินไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีอีกคนกำลังเดินสวนเขามา ผู้ที่เดินมานั้นเป็นจอมเวทย์หญิงผมสีดำ สีหน้า นิ่งเฉยราวกับไม่สนใจสิ่งใดๆนางสวมชุดรัดรูปและคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทอีกที มือขวาถือไม้กวาดติดมาด้วย กรีแวร์(Grievere, The Dark Witch) เครสเซนท์เอ่ยนามของนางทันทีที่นางเดินเข้ามา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/84.jpg) ประมาทไม่ได้เลยนะเจ้าเนี่ย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวราวกับไปโกรธ อะไรมาผมที่ยาวสลวยลงมาปกใบหน้าไปครึ่งนึงทำให้เห็นหน้านางได้ไม่ชัดนัก บวกกับต้องมองผ่านช่องตาของเกราะหมวกที่ สวมอยู่จึงทำให้ไม่รู้ว่านางซ่อนสีหน้าอะไรไว้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก เรื่องอะไร.. เขาถามย้อน ซึ่งนางเองก็ดูจะอารมณ์ขุ่นมัวลงไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบของเขา แต่นางก็ทำใจเย็นเข้าสู้ อย่าบ่ายเบี่ยงซะให้ยากเลย เจ้าน่ะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่า ยังไงก็หลอกเพื่อนเก่าไม่ได้อยู่แล้วถึงได้โกหกคำโตออกมาซะขนาดนั้น นางกล่าวน้ำเสียงเรียบโดยพยายามอัดอั้นความรู้สึกขุ่นมัวเอาไว้ จะให้ทำยังไงล่ะก็ความทรงจำของเจ้าของร่างนี่น่ะมันดัน ไม่มีช่องว่างให้แทรกได้เลยถ้าไม่โกหกไปว่าที่แล้วมาเป็นการหลอกลวงล่ะก็คงกดดันพวกมันไม่ได้อยู่ดีอีกอย่าง อึก เครสเซนท์กล่าวได้ไม่ขาดคำดี เขาก็รู้สึกมึนหัวและทรุดลงกับพื้นทันที พร้อมกับเอามือดันสลักที่เข็มขัดทันที Stand By เสียงทุ้มต่ำของเข็มขัดดังขึ้นทันทีพร้อมกับไอน้ำที่พุ่งอกมาตาม รอยต่อของชุดเกราะก่อนมันจะเริ่มขยายตัวออกตามรอยแยก เหมือนครั้งที่สู้กับเจนัส ถอยไปก่อน อึกอาาาา Release Armor เขากล่าวทันทีที่นางได้ยินก็รู้ตัวทันทีจึงถอยห่างออกไปหลบตรงมุม ก่อนที่เขาจะดึงสลักกลับอีกครั้ง Push Off เสียงของเข็มขัดดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ชิ้นส่วนเกราะทั้งหมดจะ ดีดตัวกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่วทางเดิน ทันทีที่การปลดเกราะสมบรูณ์ นางก็รีบเดินอออกจากมุมทันที เครสเซนท์เอามือกุมหัวและส่ายไปมา ด้วยความเจ็บปวดภาพ ตรงหน้าค่อยๆพร่ามัวขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติล้มลงไป นางจึงรีบเข้ามาดูอาการของเขาทันที และยังไม่ทันที่นางจะได้แตะต้องตัวเขา เครสเซนท์ก็ยันตัวขึ้นมาเองและเมื่อเขาหันมา สีหน้าเย็นชาไร้เยื่อใยและ แววตามาดร้ายที่เคย มีให้เห็นเมื่อครู่นั้นบัดนี้ได้เเปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนล่ะคน สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าแววตาอ่อนโยนดูไม่เหมือน กับคนที่ร้ายกาจดังตอนแรก เลย นี่ผม นี่มันเกิดอะไรขึ้น..อุ เขายังคงรู้สึกมึนอยู่บ้างเล็กน้อย กรีแวร์ ที่เห็นเช่นนั้นนางเข้าใจได้ในทันทีเพราะนางเองก็เคยผ่านกับเหตุการณ์นี้มาแล้ว ริคุ..เธอกลับมาเป็นริคุแล้วใช่มั้ย นางกล่าวน้ำเสียงสั่นเทิ้มไปด้วยความปิติ ซึ่งนั่นทำให้เค้ารู้สึกแปลกใจแต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจกับสภาพรอบๆตัวแต่อย่างใดนัก เขานึกย้อนถึงเรื่องราวเมื่อวันก่อนนี้ที่ตัวเขาได้ทำร้ายเจนัสไป มันทำเอาเขาเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ได้ที่กระทำเช่นนั้นลงไป นี่ผมทำลงไปแล้วสินะ ผมทำร้ายพวกเจนัสไปแล้วสินะ เขากล่าวด้วยความเจ็บแค้นที่ไม่อาจห้ามตัวเองได้ ไม่หรอกเธอไม่ผิด คนที่ทำร้ายพวกเจนัสก็คือตัวเธออีกคนนะไม่ใช่เธอหรอก พวกเค้าจะต้องเข้าใจแน่ เพราะพวกเค้าที่สู้กับตัวเธออีกคนยังพูดอกมา แบบนั้นเลยนี่ว่านั่นน่ะไม่ใช่เธอ นางกล่าวปลอบแต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ผม พยายามจะควบคุมตัว เองเต็มที่แล้วแต่ว่าจิตของมันแข็งกร้าวมากผมเลยออกมาได้ลำบาก นี่ที่ออกมาได้ก็เพราะมันพึ่งจะบาดเจ็บจากการต่อสู้กับพวกเจนัส มาเลยยังอ่อนแรงอยู่ทำให้ผมสามารถออกมาข้างหน้าได้แต่ เขากล่าวได้ไม่จบก็หยุดไปแต่ นางเองก็พอจะเดาที่เหลือได้ จึงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับจะถามเรื่องสำคัญบางอย่าง ตอนนี้มันคงจะยังไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกนะเพราะ ฉันมีเรื่องจะถามเธอหลายเรื่องเลย นางกล่าวอย่างเร่งรีบ ซึ่งเขาเองก็พอจะเข้า ใจเพราะไม่รู้ว่าเค้าจะกลับไปเป็นอีกคนเมื่อไหร่ เธอรับรู้ทุกอย่างผ่านมันได้แต่ว่ามันไม่สามรถรู้ผ่านเธอได้ใช่มั้ย นางถาม ครับเพราะจิตของมันพยายามจะหนีห่างจากผมก็เลยไม่สามรถ รับรู้ได้แต่ผมพยายามที่จะเข้าใกล้มันจึงพอจะรับรู้ได้เกือบจะตรงตัวเลย เขากล่าว ซึ่งนางที่ได้ยินคำตอบก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ถ้าอย่างนั้นก็ดีจะได้ไม่ต้อง ระแวงถ้ายังไงฉันเองก็ยังมีเรื่องจะบอกเธออีกหลายเรื่องเลยล่ะ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส ที่ได้พบกับจิตที่แท้จริงของเขาอีกครั้ง Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แถม TipพิเศษDA Post by: greamon on June 08, 2008, 08:26:55 PM …………….
…………………. ……………………… เสียงน้ำไหลไปตามลำธารดังก้องขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มเด็กและลูกมังกรต่างรีบเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นไปตามลำธาร จนเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าทะเลสาบกลางป่าที่ลำธารน้ำไหลมาลง ยังที่นี่ซึ่งที่ใจกลางทะเลสาบนั้นมีทางเชื่อมจากขอบทะเลสาบไปยังเกาะกลางทะเลสาบ ซึ่งบนเกาะนั้นมีคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ “ เอาล่ะงั้นเราพักกันที่นี่ก่อนละกัน ” Lr กล่าวขึ้นขณะที่ชูแขนขึ้น ยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง “ ถ้ายังไงคืนเราไปพักกันที่นั่นมั้ย ” เฟินกอลโล่กล่าวขณะที่ชี้ไปยังคฤหาสน์ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลสาบ “ อืม..ก็ดีนะเพราะถ้าเป็นที่นั่นน่าจะใช้เป็นที่พักที่ปลอดภัยได้นะ ” เอิธท์กล่าวอยางพินิจพิเคราะห์ “ ว้ายยยยยยยยยยยย ” เสียงกรดร้องของนีน่าดังขึ้นทำ ให้พวกเค้าหันไปหานางด้วยความเป็นห่วง ซึ่งนางกำลังเอามือปัดไล่พวกหนอนสกาโล่ (Scalo) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/10.jpg) ที่เกาะอยู่ตามตัวของนางด้วยความ ขยะแขยงแต่แล้วนางก็ต้อง หยุดกึกเมื่อสกาโล่ตัวนึงคลานไปอยู่บนหัวนาง ทำให้นางตัวแข็งทื่อด้วยความรังเกียจ “ ช…ช่วยด้วยใครก็ได้เอามันออกไปที เอาออกไปที ” นางตะโกนโหวกเหวกจนลั่นไปทั่วด้วยความขยะแขยง พยายามจะสะบัดมันให้หลุดออกไปและเมื่อนาง สะบัดหัวแรงๆตัวสกาโล่ปลิวไปเกาะที่หัวของวิล เพียงเท่านั้นวิลก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไปด้วยความขยาด จนเจ้าตัวสกาโล่ปลิวไปตามแรงเหวี่ยงไปเกาะเข้าที่ปีกของนอฟฮอฟ “ ว้ายยยยย ” เสียงของนอฟฮอฟถูก ดราก้อนออลลี่ แปลงเสียงออกมาดังลั่นซึ่งทำให้นีน่ารู้สึกเอะใจบางอย่าง นอฟฮอฟวิ่งพล่านไปทั่วด้วยความขยาด จน Lr ต้องเข้าไปช่วยดึงตัวสกาโล่ทิ้งไป นอฟฮอฟถึงหยุดวิ่งลงได้พร้อมกับอาการเหนื่อยล้าจากการตกใจ “ เฮ้อแค่ตัวสกาโล่ตัวเดียวทำเป็นโหวกเหวกไปได้ ” ลากูน่าเอ่ยเหน็บขึ้นมา ทำให้นีน่า และนอฟฮอฟรู้สึกหงุดหงิดกับวาจาของเขา “ ช่วยไม่ได้นี่นะไม่มีผู้หญิงที่ไหนเค้าไม่เกลียดสกาโล่กันหรอก(มีสิชาวฟูดินันไงไม่เกลียดแต่กินเลยเหอๆ) ” ไลท์กล่าวเพื่อปลอบประโลมแต่ดู เหมือนมันจะทำให้นีน่าหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีก แสงตะวันเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆเมื่อดวงตะวันจะคล้อยดินแล้ว พวกเขาจึงรีบเดินไปยังหน้าคฤหาสน์กลางน้ำทันที ……………. ………………. …………………. ตกดึกแสงจันทร์ก็เริ่มสาดส่องอีกครั้ง หมู่ดาวต่างออกมาทอประกายแสงระยิบระยับ แต่พระจันทร์ในคืนนี้กลับแดงฉานเป็น สีเลือดทั้งที่ไม่ได้มีการใช้พลังของศิลาจันทราเลย แต่พวก Lr เองก็ไม่ได้สนใจต่อปรากฏการณ์ นี้แต่อย่างใดเพราะเมฆได้บดบังเอาไว้จนมองไม่เห็นดวงจันทร์ พวกเขาก่อกองไฟขึ้นเพื่อทำอาหารก่อนจะลงมือ ทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อยเพราะความเหนื่อยจากการเดินทางหลังทานอาหารเสร็จ Lr ก็ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวในทันที “ ถ้างั้นเราเตรียมตัวอาบน้ำกันเถอะ ” Lr กล่าวขณะที่ลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวและสมุนไพร สำหรับทำความสะอาดร่างกายจาก ตัวแคริอุสที่นีน่าเรียกลงมาเพื่อเอาสัมภาระออก เมื่อพวกเขาเตรียมของเสร็จก็ลุกขึ้นเตรียมตัวไปอาบน้ำ “ ถ้างั้นพวกเราจะไปอาบทางด้านซ้ายของคฤหาสน์นะนีน่าไปอาบทางขวาละกัน ” Lr อธิบาย “ หวังว่าคราวนี้คงจะไม่ใช่ว่ากลัวจนอาบคนเดียวไม่ได้อีกนะ ” ลากูน่าเหน็บนางอีกครั้งซึ่งทำเอานางไม่พอใจกับท่าทีของเขาเลย ตั้งแต่ที่ทั้งสองฝ่ายรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของกันและกัน “ นี่ ทีตอนเจอกันแรกๆล่ะก็นะ ทำเป็นจ้ะจ๋าแต่พอตอนนี้ล่ะดูทำเข้าสิ อีกอย่างใครว่าฉันจะอาบคนเดียวกันล่ะ สองตัวนี้เค้าก็ไปอาบด้วยน่ะแหล่ะน่า ” นีน่ากล่าวด้วยความฉุน แต่ดุเหมือนคำพูดของนาง จะทำเอาพวกเขางงไปตามๆกัน “ สองตัวใครกันเหรอ…เรามีเพื่อหญิงมาเพิ่มด้วยงั้นเหรอ ” ไลท์กล่าวอย่าง งงๆขณะที่นับจำนวนฝั่งผู้ชาย “ เอ…123456.. 1คน 2ตน 3ตัว เอ้ะมันต้องมี 5 ตัวสิ ” เอิธท์เกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ “ ใครหายไปสองตัว ” เฟินกอลโล่เอ่ยด้วยความงุนงงขณะที่มองหา กันอยู่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่ขาดไปคือใครจึงหันไปหานีน่า ที่ขาของนาง นอฟฮอฟกับวิลหลบหน้าด้วยความเอียงอาย “ นี่หรือว่านาย 2 ตัว… ” ลากูน่ากล่าวได้ไม่จบคำเพราะที่เหลือล้วนกลืนลงไปหมดแล้ว “ เป็นลูกมังกรตัวเมียจริงๆสินะสองตัวนี้น่ะ ” เจนัสกล่าวลอยๆ ซึ่งนอฟฮอฟกับวิลก็พยักหน้ารับว่าใช่ซึ่งนั่นทำให้ลากูน่า Lr และลูกมังกรทั้งสาม อ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ “ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านอฟฮอฟกับวิลจะเป็นตัวเมีย ” Lr คิด ขณะที่สายตาจ้องมองไปยังทั้งสองตัวด้วยความไม่อยากเชื่อ “ อ้าวนี่พวกเธอไม่ได้รู้กันอยู่ก่อนหรอกเหรอ ” นีน่าถามด้วยความงุนงง “ ก็ใช่น่ะสิ ” เฟินกอลโล่อดพูดด้วยความตะลึงไม่ได้ “ แล้วพวกฉันเคยบอกพวกนายไหมว่าเป็นผู้ชายน่ะ ” นอฟฮอฟกับวิลตหวาดพร้อมกัน จนดราก้อนฮอลลี่แปรเสียงของทั้งสองตามแทบไม่ทันจนกลายเป็นก้องเสียงไปในที่สุด “ อ้าวก็เห็นวิลพูดครับพูดห้าวก็เลยนึกว่าเป็นผู้ชายอ่ะ ” เอิธท์กล่าวด้วยตะลึงไม่แพ้กัน “ นั่นสินอฟออฟก็ไม่เคยบอกด้วยว่าเป็นหญิง หรือชายเห็นนิ่งๆเงียบๆแต่ห้าวใช่เล่นเลยนึกว่าเป็นชายซะอีก ” ไลท์เองก็อดตะลึงไม่ได้เมื่อรู้ความจริง “ นี่…อยู่ด้วยกันมาตั้งนานไม่รู้เลยเหรอเนี่ย ” เจนัสเอ่ยถามด้วยความแปลกใจซึ่งพวกเขาก็ส่ายหัวรับว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย ……………….. …………………. ………………….. “ กีซซซซซซซซ ” (เอ้อพวกผู้ชายนี่น่าเบื่อจริงๆเลย ทำไมนะอยู่กันมาตั้งนานดันไม่รู้เลยรึไงว่าเราเป็นผู้หญิงน่ะ ) นอฟฮอฟบ่นอย่างไม่พอใจกับท่าทีเมื่อครู่ของพวกเขา “ กีซซซซซซซซซซซซซซซซ ”(นั่นสิ Lr เองก็ด้วยน่าจะรู้กันบ้างสิดูสิขนาดเจนัสกับนีน่ายังดูออกเลย) วิลบ่นด้วยความหงุดหงิดขณะที่ลงแช่น้ำในทะเลสาบเพื่อล้างตัว โดยที่นีน่าคอยฟังทั้งสองตัวคำรามข้ามกันไปๆมาๆเพราะฟังภาษามังกรไม่ออกด้วยความเหนื่อยใจ “ ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องก็พอจะเดาออกล่ะนะว่าบ่นอะไรกันอยู่ แต่ขอเถอะ ช่วยบ่นกันให้ฉันรู้บ้างสิยะอยู่อย่างนี้ฉันก็อึดอัดตายกันพอดี ” นีน่าคิดในใจขณะที่ฟังลูกมังกรสองตัวบ่น ขณะเดียวกันทางด้าน Lr “ กีซซซซซซซซซซซซซว ” (ร้อยวันพันปีไม่เคยบอกซักคำว่าเป็นผู้หญิงแล้วเราจะไปรู้ได้ไงเนอะ ลอว์เรนซ์) เอิธท์บ่นด้วยความไม่พอใจเช่นกันกับพวกนอฟฮอฟ “ กีซซซซซซซซซซ ” (นั่นสิถึงว่าทำไมสกาโล่แค่ตัวเดียวถึงได้วีนแตกซะขนาดนั้น) เฟินกอลโล่ บ่นด้วยความฉุนเฉียวเช่นกัน “ กีซซซซซซซซซซซซซ ”(เอาน่าพวกเค้าคงไม่ได้ตั้งใจปิด พวกเราหรอกอย่าเก็บมาคิดให้เคืองกันไปเปล่าๆเลย) ไลท์กล่าวเพื่อให้ทั้งสองหยุดบ่นเพราะลากูน่ากับเจนัสที่ฟัง ไม่รู้เรื่องได้ยินแค่ว่าพวกเขาส่งเสียงกีซๆก็าซๆกันเฉย “ ช่วยแปลให้ทีสิ ” เจนัสกับลากูน่าหันมากล่าวกับ Lr ให้เขาช่วยแปลบทสนทนาเพราะดราก้อนฮอลลี่ถอดทิ้งไว้ที่ฝั่ง จึงไม่มีอะไรช่วยแปลให้พวกเจนัสฟัง Lr เลยจำใจต้องเป็นล่ามจำเป็นขึ้นมา ……………. ………………… ……………………… หลังจากที่อาบน้ำกันเสร็จแล้วด้วยความเหนื่อยล้า Lr และลูกมังกรก็ล้มตัวลงนอนข้างกองไฟแสนอบอุ่นจากอากาศที่เริ่ม เย็นลงของป่า ทำให้พวกเขาหลับอย่างสบายอกสบายใจ จนไม่รุ้ว่าเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่แล้ว เมื่อเสียงหอนดังขึ้นทำ Lr และลูกมังกรสะดุ้งตื่น บัดนี้เมฆที่บดบังพระจันทร์เอาไว้ได้เคลื่อนออกไปแล้ว “ ฮ้าวววววววววว ” Lr อ้าปากหาว หวอดด้วยความงัวเงีย ก่อนจะสำรวจไปรอบก็ต้องตาสว่างด้วยความตกใจทันทีเพราะ เจนัส นีน่า ลากูน่าได้หายตัวไป “ วู้วววววววววววว ” เสียงหอนดังออกมาจากคฤหาสน์เก่าที่ตั้งอยู่ด้านหลังพวกเขา “ แย่แล้วพวกเราตื่น..ตื่น ” Lr รีบปลุกลูกมังกรที่ยังงัวเงียอยู่ให้ตื่น “ มี…อะไรเหรอลอว์เรนซ์..ก็าาาาา…ว ” ไลท์กล่าวพรางหาวไปด้วย(ก็าาาว นี่เสียงหาวนะครับ) “ พวกเจนัสหายตัวไป ” Lr กล่าวจบลูกมังกรทุกตัวถึงกับสะดุ้งโหยง รีบพากันสอดส่ายสายตาไปจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ “ วู้ววววววววววววววว ” เสียงหอนนั้นดังมาจากคตฤหาสน์อีกครั้ง “ หรือว่าพวกเขาอยู่ในนั้น.. ” เอิทธ์กล่าวขณะที่ชีไปยังคฤหาสน์เก่าหลังนั้น ทุกคนต่างพากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อคิดว่าจะต้องเข้าไปข้างใน “ นี่คงจะไม่เข้าไปหรอกใช่มั้ย ” เฟินกอลโล่กล่าวด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ “ คงเลี่ยงไม่ได้หรอกพวกเค้าเป็นเพื่อน เราเพราะฉะนั้นเพื่อนต้องช่วยเพื่อนเราจะเข้าไปในนั้น ” Lr กล่าวน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวซึ่งไลทืเองก็เห็นด้วยพวกเขาจึงตัดสินใจเข้าไปในฤหาสน์เก่าหลังนั้น ทันทีที่ประตูคฤหาสน์เปิดออกพร้อมกับ เสียงประตูคราดไปตามพื้นส่งเสียงเอี้ยดอ้าด แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้าไปภายในตัวบ้านทำให้บรรยากาศน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก พวกเขาเดินเข้าไปสำรวจภายในคฤหาสน์ เป็นห้องโถงใหญ่โอ่อ่ามีบันใดใหญ่ตั้งขึ้นไปมีระเบียงขนาบอยู่บนชั้นสองตลอดทาง ภายในบ้านถูกทิ้งร้างมานานจนฝุ่นเกาะหยากไย่เต็มไปหมด Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 20 เป้าหมายของแต่ละคน แถม TipพิเศษDA Post by: greamon on June 08, 2008, 08:27:32 PM “ รู้สึกจะเป็นคฤหาสน์ร้างนะ ”
นอฟฮอฟกล่าวซึ่งนั่นทำให้เฟินกอลโล่รู้สึกใจไม่ดี และเริ่มสั่นด้วยความกลัว “ เราค่อมมาพรุ่งนี้เช้าไม่ได้เหรอ ” เฟินกอลโล่เอ่ยด้วยความกลัวจับจิต แต่ก็ไม่มีใครสนใจฟังต่างยังคงเดินสำรวจไปทั่วห้อง แอ้ดดดดดดดดดด! ปึง เสียงประตูคฤหาสน์ปิดลงทุกอย่างในห้องมืดลงทันที ก่อนที่จะมีแสงไฟส่องสว่างขึ้นมาซึ่งมันเป็นแสงของเทียนจากเชิงเทียนที่วางไว้ทั่วผนังบ้านโดยมันค่อยๆโดน จุดที่ไล่ลึกเข้าไปในบ้านเรื่อยๆ พวกเขามองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนักแต่เพื่อไม่อยากให้บรรยากาศมันเลวร้านลงกว่าเดิมพวกเขาจึงไม่ กล่าวอะไรออกมาเพื่อที่จะได้ไม่เสียขวัญกำลังใจ พวกเขาเดินตรงไปตามแสงเทียนที่ถูกจุดจนเมื่อขึ้นบันไดไปถึงระเบียงที่เป็นทางแยกมันกลับเลี้ยวจุดไฟไปทางซ้าย เพียงทางเดียวพวกเขาจึงตดสินใจเดินไปตามแสงเทียนที่ถูกจุดไล่ไปเรื่อยๆ เฟินกอลโล่เกาะแขนวิลไว้แน่นด้วยความกลัวเขาสั่นตลอดทางจนวิลรู้สึกรำคาญ แสงเทียนจุดไล่เร็วขึ้นจนพวกเขาตามไม่ทันแต่แล้วพวกเขาก็หยุดเดินเมื่อแสงเทียนมันไล่วนไปจนสุดระเบียงและเลี้ยว ไประเบียงอีกด้านวนกลับไปจนถึงบันไดอีกครั้งก่อนที่เทียนของโคมไฟระย้าซึ่งแขวนไว้บนเพดานจะถูกจุด จนสว่างทั้งห้องด้วยไฟสลัวๆจากแสงเทียน “ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ” เสียงหัวเราะแหลมดังลั่นขึ้นมาทั่วทั้งห้องพร้อมกับเสียงโหยหวนที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุดังระงมไปทั่ว ประตูห้องทุกบาน ที่อยู่ตามระเบียงเปิดโพล่งออกมาพร้อมกันกับฝูงค้างคาวที่บินว่อนไปทั่วโถง ตอนนี้จิตของพวกเขาแทบไม่อยู่กัเนื้อกับตัวเมื่อเห็นสิ่งตรงหน้าพวกเขาแทบอยากจะให้พ้นๆไปจากตรงนี้เสีย แต่ก็ก้าวขาไม่ออกด้วยความกลัวทำให้พวกเขาหมดแรงที่เดินฝูงค้างคาวที่บินไปมาเริ่มไปรวมกันตรงกลางห้อง ก่อนจะกระจายตัวออกมาพร้อมกับ การปรากกตัวของลูกไฟที่ลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่มันจะกลายเป็นฝักทอง ติดปีกค้างคาวลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ มันหัวเราะด้วยเสียงอันแหลมตากลวงเป็นรูลึกโบ๋ดวงตาลุกโชนด้วยลูกไฟ พวกเขาไม่คิดอะไรอีกแล้วได้แต ่พากันวิ่งแตกวงกันจ้าละหวั่นก่อนที่เจ้าหัวฝักทองจะหัวเราะชอบใจ พร้อมฝูงค้างคาวที่เริ่มบินว่อนไปมาทั่วห้องอย่างเร็วอีกครั้ง Lr ไลท์ นอฟฮอฟและเอิธท์วิ่ง ไปด้วยกันแต่วิลกับเฟินกอลโล่กลับวิ่งแยกไปอีกทาง เมื่อพวก Lr วิ่งหนีกันเข้าไปหลบ ในห้องบนระเบียงห้องนึงพร้อมกับปิดประตูเพื่อกันไม่ให้พวกค้างคาวตามเข้ามา พวกเขาต่างหอบด้วยความเหนื่อยล้า จนเมื่อ Lr นับจำนวนคนไม่ครบพวกเขาจึงลุกลีลุกลนกันทันที “ วิลกับเฟินกอลโล่ไม่อยู่ ” ไลท์กล่าวย่างร้อนรน “ สงสัยจะหลงทางกันตอนวิ่งตะกี้น่ะ ” เอิธท์กล่าวพรางเอามือกุมหัวไป “ ฮิฮิฮิ.. ” เสียงหัวเราะแหลมๆดังขึ้นราวกับเสียงหัวเราะของเด็ก ทำให้พวกเขาหยุดกึกไป ก่อนจะค่อยๆหันไปมองยังต้นเสียง ที่ตรงนั้นมีตุ๊กตาเด็กผู้หญิงผมสีทองที่มัดปลายเป็นรูปวงเหมือนกับเชือก กำลังหัวเราะสีหน้าของมันไร้ดูอารมณ์ตาเบิกโผลงไร้แวว มือข้างนึงถือมีดอีโต้ ซึ่งอาบไปด้วยเลือดกับอีกมือหิ้วหัวตุ๊กตาที่ถูกฟันขาดไว้ด้านหลังตุ๊กตาตัวนี้ยังมีบางอย่างเรืองแสงท่ามกลางความมืดภายในห้องดูคล้ยกับวิญญาณ และภายในห้องนี้ยังเต็มไปด้วยตุ๊กตาน่ากลัวๆมากมาย จู่ๆก็มีตุ๊กตารูปร่างประหลาดตกลงมาจากชั้นวางของตัวมันเต็มไปด้วยเข็มหมุดและน็อตมากมายถูกฝังไว้จนเละ ดูไม่ออกว่าเคยเป็นตุ๊กตา หลังจากที่มันตกลงมาก็มีเงาร่างเล็กๆโดดตามลงมาที่ตุ๊กตา ตัวนั้นมันหันมายิ้มเยาะพวกเขาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ขณะที่เท้าของพวกก็มีพวกตุ๊กตาหมีซึ่งมีรอยเย็บปะ ไปทั่วตัว จำนวนนึงคลานเข้ามาจับขาพวกเขาเอาไว้ โดยมีตุ๊กตาหมีสีดำแววตาเจ้าเล่ห์คอยบงการอยู่ใกล้ๆกับตุ๊กตาเด็กหญิง พวกเขาแทบจะคุมสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ได้แต่ตัวสั่นพั่บๆเป็นลูกนก อยู่ตรงนั้นขณะที่ตุ๊กตาเด็กหญิงเอามีดสับฉับลงไปเอ็นอะไรซักอย่างที่สะท้อนกับแสงจันทร์ที่สาดเข้ามาในห้องจึงพอจะเห็นได้ลางๆ ทันทีที่เอ็นถูกตัดขาด เลือดสีแดงสดก็หกลงมาอาบร่างพวกเขาทันทีดดยมันมีกลิ่นคาวแปลกๆปนมาด้วย แต่พวกเขาเองก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้แล้ว เพราะทันทีที่พวกมันเดินใกล็เข้ามาอีกพวกเขาก็สลัดเอาตุ๊กตาหมีออกจากขาพร้มกับเปิดประตูห้อง ซึ่งข้างนอกเต็มไปด้วยค้างคาวซึ่งมีกลิ่นคาวแปลกๆโชยมา ทำให้นอฟฮอฟเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ทันได้คิเพราะ Lr ก็เธอไปจากห้องฝ่าฝูงค้างคาวประหลาดที่มีลำตวยาว และมีกลิ่นคาวแปลกๆโชยออกมา ไลท์กับเอิธท์เองก็ไม่รอช้ารีบจ้ำอ้าวตามไปทันที ระหว่างทางไลท์กับเอิธท์ก็ถูกอะไรบางอย่างพุ่งโฉบตัวไป “ กี… ”(อ..) เสียงตะโกนของ พวกเขาทั้งสองส่งไปไม่ถึงแม้แต่จะให้ดราก้อนฮอลลี่แปลพวกเขาก็หายไปกับความมืดแล้ว ขณะที่ Lr กับนอฟอฟพากนวิ่งหน้าตั้งโดยไม่เหลียวไปมอง จนเมื่อพวกเขาวิ่งเข้าไปยังห้องอีกห้อง ใกล้กับบันไดและปิดประตูเพื่อกันค้างคาวทันที แต่ก็มีหลุดเข้ามาฝูงนึง พวกมันบินพุ่งชนใส่พวกเขาเป็นพัลวัน จนต้องเอามือปัดป้อง นอฟฮอฟที่รู้สึกสงสัยต้องแต่เมื่อครู่ นี้เริ่มไม่สบอารมณ์กับเจ้าฝูงค้างคาวและเรื่องสยองเหล่านี้อีกแล้ว จึงพุ่งตัวออกไปจากฝูงค้างคาว “ หมอบลง ลอว์เรนซ์ ” เธอสั่ง ซึ่งเขาก็ทำตามแต่โดยดีทันทีที่เขาหมอบลง เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ Drak Flame ”(เพลิงดำ) สิ้นเสียงเปลวอัคคีสีดำสนิทก็พุ่งออก จากปากเธอเข้าเผาผลาญฝูงค้างคาวจนร่วงหล่นลงมา โดยมีตัวนึงทีถูกเผาไปแค่ปีกเท่านั้น มันยังดิ้นกระเดือกอยู่ซักพักก่อนจะแน่นิ่งไป Lr ที่หายจากอาการผวาแล้วก็เพิ่งรุ้ตวว่าเพื่อนหายไปอีกสองตัว “ ไลท์กับเอิธท์ไม่อยู่หรือว่าหลงไปอีกแล้ว ..โธ่ ” Lr กล่าวด้วยความสลด ขณะที่นอฟฮอฟเอานิ้วป้ายเลือดที่อาบ ตัวอยู่ขึ้นมาชิมและเดินเข้าไปดูค้าวคาวที่ถูกเผาไปเพียงแค่ปีก เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมา เธอก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเมื่อเธอปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้แล้วจึงเดินเข้าไปหา Lr ที่ยังคงสลดอยู่ “ นี่ ลอว์เรนซ์ ” เธอทักเขา ทำให้เขาหันมามองด้วยความสงสัย “ มีอะไรเหรอนอฟฮอฟ ” Lr ถามด้วยความฉงน แต่เธอก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะกระซิบที่ข้างๆหูเขาทำให้เขาตาเบิกโผลงด้วยความแปลกใจ “ จ…จริงเหรอ ” เขาถามเพื่อขอคำยืนยันอีกครั้งซึ่งเธอก็พยักหน้าเป็นสัญญาณรับว่าใช่ ………… ……………… ……………….. ภายในห้องมืดสลัวๆแห่งหนึ่ง ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ภายในห้องมีเพียงตู้ใบใหญ่ตู้นึงกับ โต็ะเก้าอี้และเตียงหนึ่ง หลังวางอยู่สำหรับให้ผู้อาศัยอยู่เพียงลำพัง บนเตียงนั้น มีหญิงสาววัยแรกรุ่นนั่งอยู่ข้างๆกับครึ่งสมิงเด็กชาย หางสีขาวยาวเป็นพวงไขว้อยู่ “ อึก…. ” เด็กชายรู้สึกอึดอัดอยู่เต็มหน้าอก และตัวเริ่มสั่น หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงเอามือลูบที่หน้าผากด้วยความเป็นห่วง “ มันจะออกมาอีกแล้วเหรอ ” นางถามด้วยความลนลาน “ ม..ไม่ใช่ครับรู้สึกว่าวันนี้จะ… ” เด็กชายกล่าวขณะที่ลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่าง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาภายในทำให้พอจะเห็นร่างของพวกเขาทั้งสองได้รางๆซึ่งก้คือริคุกับกรีแวร์นั่นเอง “ จริงๆด้วย…อัก ” ริคุมองพระจันทร์ที่เป็นสีเลือดแล้วกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น เามือกุมหน้าอกด้วยความอึดอัดเหงื่ออาบไหลโทรมกายโดยไม่ทราบสาเหตุ “ วันนี้ครบรอบวันนั้นแล้วเหรอเนี่ย ” คำพูดของริคุทำให้นางรุ้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงรีบเข้าไปปิดม่านแล้วพยุงตัวเขากลับไปที่เตียง “ อ..ออกไปก่อนเถอะครับถายังไม่ถึงรุ่งสางผมอาจจะร้ายคุณได้… ” ริคุกล่าวอย่างยากลำบากเพราะความรู้สึกอัดอั้นที่ไม่ทราบสาเหตุราวกับพลังบางอย่างในตัวเขากำลังจะพุ่งพล่านออกมา “ ไม่นะเธอต้องทนให้ได้เรายังคุยกันไม่จบเลยถ้ารอถึงรุ่งสาง เธอก็จะกลับไปเป็นอีกคนนะแล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมาเป็นคนเดิมอีก ” นางด้วยดึงดันไม่ยอมที่จะออกไป ริคุที่เริ่มจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้วจึงผลักนางออกไปและร่ายเวทย์เปิดโพลงมิติก่อนจะพุ่งเข้าไปในนั้น นางรีบยันตัวขึ้นมาพร้อมกับจะกระโจนเข้าไปในมิตินั้นด้วย แต่ก็สายเกินไปโพลงมิติได้หายไปแล้ว ……………………. ………………………….. ……………………………… ที่คฤหาสน์เก่าบัดนี้เสียงความวุ่นวายได้สงบลงไปแล้ว Lr กับนอฟฮอฟที่หลบอยู่หลังประตูห้องจึงค่อยเปิดประตูออกและ เดินตรงไปยังบันได พลันก็เกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีกครั้งนั่นคือเทียนค่อยๆถูกจุดวนไล่ขึ้นมา ครั้งนี้พวกเขาทั้งสองไม่มีอาการตกใจกลัวหรือหวาดผวาแต่อย่างใดอีกแล้ว พวกเขาทั้งสองรอจนไฟจุดติดครบทุกดวงจนเหลือเพียงโคมไฟระย้าที่ยังไม่ได้ถูก จุดและทันทีที่มันเริ่มติดไฟนอฟฮอฟก็สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนจะเงยหน้าขึ้นไป “ Dark Flame ”(เพลิงดำ) สิ้นเสียงเปลวอัคคีสีดำก็พุ่งเข้าเผาผลาญเชิงเทียนจนลุกไหม้ร่วงลงมายังพื้นเบื้องล่างและลุกโหมอย่างหนัก “ แว้ก ไฟไหม้ ไฟไหม้ ” เจ้าหัวฝักทองบินได้โผล่หัวลงจากจุดที่โคมไฟระย้า ตกลงมาพร้อมกับบินว่อนด้วยความลนลาน ทันทีกับที่ประตูห้องที่มีพวกตุ๊กตา น่ากลัวเหล่านั้นเปิดออกพร้อมกับ ร่างเงาสีดำ ตุ๊กตาเด็กหญิงและตุ๊กตาหมีสีดำ พุ่งออกมาพร้อมถือเอาถังซึ่งใส่น้ำสีแดงคล้ายเลือดสาดลงไปในกองเพลิงจนดับสนิท ทั่วทั้งห้องจึงกลับสู่ความมืดอีกครั้ง ก่อนที่อยู่ก็สว่างขึ้นมาทั้งห้อง ด้วยแสงไฟจำนวนมากที่ล่องลอยอยู่ กลางอากาศพร้อมกับฝูงค้าวคาวที่พุ่งมาหาพวกเขาแต่นอฟฮอฟก็พ่นไฟเผาพวกมันจนหมด พวกตุ๊กตาที่พุ่งเข้าทำร้ายพวกเขาก็ถูก Lr ใช้แชลงเหล็กที่วางอยู่ข้างทางฟาดจนร่วงกราวด้วยวิชาดาบที่เรียนมา และเมื่อพวกเขาสังเกตดีๆจึงรู้ว่าพวกค้าวคาวนั้นไม่ใช่ค้างคาวหากแต่เป็นปลาซาร์ดีนติดปีกค้าวคาวจึงบินได้กลางอากาศ และน้ำเลือดพวกนั้นเมื่อต้องกับแสงที่เจิดจ้าจากดวงไฟที่ส่องให้ความสว่างไปทั่วห้อง มันก็มีสีแดงข้นๆ เมื่อพิจารณาจากสีและกลิ่น มันเป็นเพียงซอสมะเขือเทศที่พวกเขารู้จักในมิติมังกรดีๆนี่เอง ทั่วทั้งห้องกลับสู่ความมืดอีกครั้งเมื่อแสงไฟที่ล่องลอยอยู่จางหายไป “ เอาล่ะเลิกเล่นซ่อนหากันได้แล้ว ” นอฟฮอฟกล่าวด้วยความฉุนก่อนจะพ่นเปลวเพลิงดำเผาเพดานบ้านจนเป็นรูโหว่ ทำให้แสงจันทร์สาดเข้ามาในตัวบ้านจนเห็นชัดแทบทั้งหมด ฝูงปลาซาร์ดีนบินได้เริ่มพุ่งออกมาจากประตูห้องอีกครั้งก่อนมันจะรวมตัวกันและ แยกย้ายกันไปพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้มาเยือนคนใหม่ ร่างนั้นสวมผ้าคลุมสีดำสนิทปลายเป็นหยักราวปีกค้าวคาว ขนาดร่างเตี้ยป้อมราวกับก้อนอะไรบางอย่างลอยเคว้งอยู่กลางอากาศก่อน ที่ร่างนั้นจะสบัดผ้าคลุมออกเผยให้เห็นร่างของอ้วนป้อมจนแทบจะกลม ตั้งแต่ช่วงท้องลงไปลำตัวเป็นสีขาวมีตีนพังพืด มี จงอย ปากเหมือนนก แขนสั้นด้วนราวกับปีกเล็กๆ ด้านหลังมีปีกค้าวคาวขนาดเล็กยื่นออกมา ตาเรืองแสงไร้แวว ราวกับผีดิบแต่ด้วย รูปร่างกับความไม่สมประกอบแทนที่ พวกเขาจะหวาดกลัวกลับหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง “ ก็ากก ฮ่าฮ่าฮ่า…ตัวอะไรเนี่ยนายเป็นนกหรือหมูกันแน่…ฮิฮิฮิ…ฮ่าฮ่าฮ่า ” Lr หัวเราะด้วยขบขันกับรูปร่างของผู้มา เยือนเช่นกันนอฟฮอฟเองยังอดที่จะหัวเราะไม่ได้จนหงายหลังท้องแข็ง “ ฮะฮะฮะ.. นั่นสิ..นั่นสินกก็ไม่ใช่หมูก็ไม่เชิงค้าวคาวยิ่งแล้วใหญ่…ก็ากกกฮ่าฮ่า ” นอฟฮอฟกล่าวอย่างขบขันไม่แพ้ Lr เช่นกัน ทำเอาผู้มาเยือนหงุดหงิดกับท่าทีของพวกเขา เจ้าหัวฝักทองบินด้รีบพุ่งตรงเข้าไปขวางรหว่างผู้มาเยือน ด้วยทีท่าโกรธเกรี้ยว แต่ดูจะน่ารักซะมากกว่าน่ากลัวเมื่อเห็นหัวของมันอย่างชัดเจน ภายใต้แสงจันทร์ “ เสียมารยาท นี่คือท่านเคาท์แวมไพร์เพนกวิน ผู้สูงศักดิ์นะยะท่านเป็นนกเพนกวินย่ะรู้จักไหมน่ะหานกเพนกวินน่ะ ” เจ้าหัวฝักทองวีนแตกด้วยความ ฉุนเฉียวอย่างที่สุดเมื่อเจ้านายของตนโดนดูถูกเหยียดหยาม แต่ผู้มาเยือนก็ไม่ได้ถือสาอะไรก่อนจะค่อยลดตัวลงมาจากด้านบนลงสู่ระเบียงใกล้กับพวกเขา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p004/50.jpg) พร้อมกับเจ้าหัวฝักทองและวิญญาณสีขาวที่สิงอยู่ในตุ๊กตาเด็กหญิงกับร่างเงาดำที่ผลักต๊กตาในห้องและ ตุ๊กตาหมีสีดำกระโดดเข้ามาต้อนรับ “ อย่าโมโหไปนักเลย แจ็ค(Jack)ยังไงพวกเราก็๔ุกมองว่าเป็นตัวตลกมาตลอดอยู่แล้วช่างเขาอีกอย่าพวก เขายังคงไม่รู้ถึงพลังของเราจะไม่กลัวก็ไม่แปลก ” เคาท์เพนกวินกล่าวเน้นเสียงอย่างมีเลศนัยในตอนท้าย ทำให้พวก Lr รู้สึกถึงอันตรายเพราะเพื่อนๆของเขาที่หายตัวไปอาจจะตกอยู่ในมือของพวกมัน จึงรีบตั้งท่าเตรียมสู้ทันที “ ระวังด้วยนะนอฟฮอฟ ถ้าขนาดพวกเจนัสเอง ยังเสร็จมันแสดงว่าศัตรูตัวนี้ต้องร้ายกาจกว่าภายนอกเป็นแน่ ” Lr กล่าวเตือนซึ่งนอฟฮอฟเองก็พยักหน้ารับประสาทรับรู้ของ ทั้งสองเริ่มตื่นตัวไปหมดสถานการณ์ตึวเครียดขึ้นทันที “ เอาล่ะจัดการเลย ฆาตรกรตุ๊กตา(Murderous doll) มือสังหารตุ๊กตา (Assassin doll) ตุ๊กตาหมีจอมเพี้ยน(Crazy Teddy Bear) ” (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/46.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n002/7.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/17.jpg) ทันทีที่เคาท์เพนกวินสั่ง เหล่าตุ๊กตาก็พากันพุ่งเข้าทำร้ายแต่ก็ถูก Lr ปัดกระเด็กด้วยแชลงส่วนวิญญาณตุ๊กตาเด็ก ก็ถูกไฟของนอฟฮอฟเผาจนสิ้นฤทธิ “ หนอยงั้นต้องให้เจอกับพลงของพวกเราพร้อมนะแจ็ค ” เคาท์เพนกวินกล่าวด้วยวามฉุนที่ลูกน้องของตนแพ้หมดท่า “ ค่ะนายท่าน ” หัวฝักทองชื่อแจ็ค รีบเข้าไปร่วมกับเคาท์เพนกวินทันที ทั้งคู่ตั้งสมาธิแน่วแน่เพื่อที่จะปล่อยพลัง จิตสังหารที่แผ่ออกมาทำเอาพวกเขาทั้งสองระวังตัวเป็นพิเศษ “ ท่าพิฆาต ” เคาท์เพนกวินกล่าวขึ้นพร้อมกับแจ็คก่อนที่จะตั้งท่าปล่อยพลัง “ ซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ (Sardines In Tomato Sauce) ”(ให้ลุ้นตั้งนานนึกว่าเก่งดันใช้ท่าพรรค์นี้ฮ่วย!) สิ้นคำฝูงปลาซาร์ดีนและคลื่นซอสมะเขือเทศก็พุ่งออกมา ทำเอาทั้งสองเซถากับความประหลาดของคู่หูคู่ฮาคู่นี้ “ นี่มันอะไรเนี่ย ” Lr บ่นอย่างหัวเสียขณะที่หลบการโจมตีของศัตรูอย่างง่ายดาย “ ถ้ามีแต่ปาหี่หลอก เด็กอย่างนี้ล่ะก็รู้งี้ไม่อยู่ท่าทีหรอกเก็บมันเลยละกัน ” นอฟฮอฟบ่นอย่างหัวเสียพร้อมกับพ่นไฟใส่ แต่เคาท์เพนกวินหลบทว่า ปลายผ้าคลุมดันไปโดนสะเก็ดจนลุกไหม้ทำให้ดิ้นผล่านด้วยความร้อน จนแจ็คต้องเอาซอสมะเขือเทศถังใหญ่มาสาดดับไฟ เคาท์เพนกวินถึงสงบลงได้ “ ย…ยอมแล้ว ” เคาท์เพนกวินกล่าวด้วยความสลด “ ตกลงนี่พวกนายเก่งหรือไม่เก่งกันแน่เนี่ย ” Lr คิด ก่อนจะถอนหายจด้วยความโล่งอก “ นี่ว่าแต่พวกนายทำแบบนี้ทำไม ” Lr ถามซึ่งหลังจากเคาท์เพนกวินยนร่างอ้วนป้อมของตน ขึ้นมาได้ก็สารภาพออกมาหมด “ ที่เราทำอย่างนี้ก็เพราะว่าตลอดมาน่ะพวกเราเป็นพวกที่อ่อนแอ ไม่มีใครหวาดกลัวเลยก็เลยต้องย้ายมาอยู่กลางป่ากลางเขา แต่ก็ยังไม่วายมีพวกอยากลองของเข้ากวนได้ทุกวัน ถึงต้องหลอกให้กลัวกันไง ” เคาท์เพนกวินกล่าว ซึ่งนั่นก็เริ่มทำให้พวกเขาเห็นใจเคาท์เพนกวินขึ้นมาบ้าง แต่ก็ฉุกคิดเรื่องของเพื่อนขึ้นมาได้ “ ว่าแต่เอาตัวเพื่อพวกเราไปไว้ไหนล่ะ ” Lr รีบถามด้วยความลนลานทันที “ เอ๋ เพื่อนๆเธอเหรอ ไม่นี่เราแค่หลอกให้พวกเธอกลัวเฉยไม่ได้จับตัวเอาไว้ซะหน่อย ” แจ็คหัวฝักทองกล่าวด้วยความฉงน ซึ่งนั่นทำเอาพวกเขาเริ่มใจคอไม่ดี “ แล้วงั้นพวกเจนัสกับทุกคนหายไปไหนล่ะ… ” Lr คิดด้เพียงแค่นั้นก็ต้องหยุดกึกไปเมื่อเสียงหอนที่ ได้ยินก่อนจะเข้ามาในคฤหาสน์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังมากราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อมเสียงหายใจดงฝืดฝาด จนรู้สึกได้ เมื่อพวกเขาหันไปข้างหลัง ภาพตรงหน้าแทบจะทำให้พวกเขาช็อคไปเลย “ เจ…นัส ” เขาเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านี้เพราะภาพตรงหน้าคือร่างของสมิงหมาป่าสีดำ และสมิงหมาป่าสีเงินกับสมิงแมวป่าซึ่งพวกเขาก็คือเจนัส ลากูน่า และนีน่า ในร่างจำแลงสมิงนั่นเอง แต่ทว่าท่าทีของพวกเขาแตกต่างไปจากทุกทีแววตาแดงก่ำราวปีศาจจิตสังหารแผ่กร้าวไปทั่ว บัดนี้พวกเขาแทบไม่ต่างไปจากอสูรกระหายเลือดเลยและที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ที่สมิงสีเงินและสมิงแมวป่าหิ้วอยู่คือร่างของ ไลท์และเอิธท์ ที่หมดสติอยู่ “ นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ” Lr คิด ด้วยความสับสนกับสถานการณ์ ในตอนนี้ โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า “ เมื่อจันทราแดงฉานเป็นสีเลือดวันนั้นพลังแห่งเผ่าพันธุ์สมิงจะ เดือดพล่านพวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นอสูรที่กระหายการต่อสู้เท่านั้นจนกว่าจะรุ่งสาง ” “ แล้วเธอล่ะทำไมถึงต้องปกปิดมาตลอด ” “ อย่าหลอกตัวเองอีกต่อไปเลย ” “ อย่าพึ่งสิ้นหวังสิเธอพูดเองไม่ใช่เหรอ ” “ แม้ไร้ตัวตนแต่ก็ไม่ไร้อิสระ แม้หวาดกลัวก็จะไม่สิ้นหวัง เพราะเราคือสายลมที่พัดพาความหวังนามของเราคือ…. ” “ เหล่าผู้ลุ่มหลงในความกลัวเอ๋ย จงชะโงกดูเงาสะท้อนใน นที แล้วประจักษ์ความเป็นตนแก่สายตา ….. ” “ ริคุนี่นาย ” “ ถ้าเจอกันครั้งหน้าชั้นจะไม่ใช่ชั้นอีกต่อไปเตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ ” ความรู้สึกที่ปกปิดมาตลอดหัวใจที่สิ้นหวังการพบกันอีกครั้งและพลังที่ตื่นขึ้น สุดท้ายแล้วพวกเขาจะเดินไปในทางใดติดตามได้ใน ตอนหน้า บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัตย์ เป็นไงอึ้งกิมกี่เลยสิครับ ใครจะไปนึกว่าเป็นตัวเมียเหอขนาดอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้เลย 555+ ส่วนริคุนี่คงต้องดูกันต่อไปว่าแต่บทนี้จะกลัวหรือจะฮาดีเนี่ย ส่วนคุณ RedHarring (อีฟจังละกันถนัดชื่อเก่า)อ่านถึงบทไหนแล้วคร้าบ อย่าหักโหมมากนะครับค่อยๆอ่านไปก็ได้ไม่ต้องรีบนะครับ เจอกันบทหน้าบายครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: boy on June 08, 2008, 09:27:58 PM อึ้งเรื่องคืนพระจันทร์แดงฉานมากกว่า พวกริคุเป็นซะอย่างนั้น ลอเรนซ์ก็ซวยไปเลย จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย
ส่วนเซโร่น่ะเอามาจากเรื่อง mamotte lollipop ใช่ม้า ::013:: 555+ ว่าแต่ท่านผู้นั้นจะจับลอเรนซ์ไปทำไม Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 08, 2008, 10:12:49 PM Quote ส่วนเซโร่น่ะเอามาจากเรื่อง mamotte lollipop ใช่ม้า 555+ ถุ....ถุ...ถุ..ถูกต้องนะคร้าบ ที่จริงตัวอื่นๆก็ด้วย ไม่ว่าจะ เจนัส ลากูน่า เรโค ่เซโร ่นีน่า Lr หรือแม้แต่Riku ก็ล้วนแล้วแต่เอามาจากอนิเมะทั้งนั้น ครับแต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยรู้หรอกว่าเรื่องอะไรเพราะกด Google เข้าไปดู ที่จำได้ก็มี Lr มาจาก เรื่อง Erementar Gerad เรโค่ มาจาก Rozen Maiden ส่วนเซโร่นี่จนปัญญาจริงๆเลยหาไปๆมาๆ ก็ถึงถึงเรื่องนี้เลย เพราะไหนๆก็มีนีน่าแล้วเซโร่แล้วงั้นเซโร่เอาจาก Mamotte Lolipop เลยละกัน ไม่แน่ต่อไปอาจจะมี อิจิอิมาอีกคนก็ได้นะครับเอหรือว่าอาจมีฟอเต้ซัน ยาคุโม่ คิระ L ลุค บลาาาาา ขืนทำอย่างนั้น เรื่องนี้มั่วแน่คงไม่มีมากกว่านี้แล้วล่ะครับ ว่าแต่ดูด้วยเหรอเนี่ยนึกว่าคนดูน้อยแล้วนาเรื่อง mamotte lolipop เนี่ย ชอบมากเลย เสียดายอนิเมะ 13 ตอนจบไม่มีภาคต่อฮือๆๆ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 09, 2008, 01:25:57 AM ว่าแต่ไม่มีใครสงสัยเรื่องกาเทียเลยรึ เคยปรากฏไปในตอนพเศษปะทะเอเลี่ยนอ่ะ
แล้วไหงกลายเป็นอึ้งกับจันทราสีแดงล่ะคร้าบ แค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่านั้นเองบังเอิญมันดันไปข้องเกี่ยวกับความเป็นครึ่งสมิง เหมือนมนุษย์หมาป่าอะไรเงี้ย ส่วนทำไมท่านผู้นั้นถึงต้องจับตัว Lr อาจเป็นเพราะคำพูดที่บอกว่าเป็นรัชทายาทแห่งซาราเบลดก็ได้เอรู้สึกกาเทีย จะนามสกุลไรน้าลองเอาไปทบทวนกันดูอาจจะเดาตอนต่อไปได้นะครับอิอิ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: boy on June 09, 2008, 11:10:43 PM วันอาทิตย์ 4 โมงกว่าใช่มั้ยครับ ::013:: ตั้งตารอแน่นอนครับ
แต่อะไรเหรอครับ กาเทีย ส่วน lr น่ะดูง่ายอยู่แล้ว Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 10, 2008, 12:16:38 AM กาเทียก็ชื่อของพนักงานที่เคยช่วยเรื่องการลงแข่งขันให้เจนัสไงครับโผล่มาหลายบทแล้ว
แถมยังเคยโผล่มาตอนพิเศษที่ปะทะเอเลี่ยนด้วยแต่ อย่างว่านะมันมีบทแค่มาส่งทิโมธีเอาปืนเลเซอร์มายิงเอเลี่ยนนี่เนอะคงไม่มีใครจำได้ งั้นขอแจ้งให้ทราบไว้ณที่นี้เลยแล้วกันครับ หากยังจำไม่ได้เปิดไปหน้า 5 แล้ว กด Ctrl + F พิมพ์ กาเทียลงไปครับ (ไม่น่าเชื่อไม่มีใครจำได้ T_T) ส่วนวันเวลาในการอัพนั้นผมจะคงเวลาไว้ตลอดเดิมนะครับช่วงประมาณซัก 4โมง หน่อยๆก็คลิกเข้ามาดูได้เลยครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 13, 2008, 02:20:23 AM หากว่าวันนี้ท่านใดกำลังอ่านนิยายของผมแล้วรูปบางรูปไม่ขึ้นต้องขออภัยด้วยนะครับเพราะเว็บ
ที่ฝากรูปไว้มันล่ม เดี๋ยวผมจะแก้ไขให้เสร็จโดยเร็วน่าจะสักสองสามวันแต่จะพยายามเพราะต้องไล่ดู13หน้าเลย T_T โดยเฉพาะคุณอีฟที่กำลังไล่ดูอยู่ขอให้ทนรอซํกนิดนะครับถ้าภาพไม่ขึ้นผมเองก็เซ็งเหมือนกัน T_T 13หน้าเหอๆเลขไม่สวยเลย ซวยจริงๆ :'( ขณะนี้การแก้ไขภาพได้เสร็จสมบรูณทั้งหมดแล้วครับอ้อผมเปลี่ยนกระทู้หน้าแรกนิดหน่อยนะครับ ใส่สารบัญบทและเพิ่มองค์นิยายลงไปในกระทู้แรกครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: boy on June 14, 2008, 09:58:00 AM รู้สึกว่ากระทู้ได้รับการพัฒนา ::001:: แล้วก็เพิ่มรูปกับ signature ซะด้วย ::013::
แต่ว่า ทำไมรูปเซโร่ถึงหายไปอ่ะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 14, 2008, 03:44:37 PM เอ้ออันที่จริงผู้ช่วยผม การูรูม่อน(มีจริงๆนะแต่เป็นใครเดี๋ยวเฉลยให้ตอนหลัง)
มันเข้ามาอัพเดทข้อมูลส่วนตัวให้ฉลองการกลับมาของนิยายน่ะครับเหอๆ เจ้าผู้ช่วยคนนี้นี่ เวลามันกวนก็กวนจริงๆแต่บางเวลามันก็ทำประโยชน์ให้ได้เหมือนกันเนาะ สงสัยต้องไปขอบคุณมันซะหน่อย เพราะก่อนจะกลับมาแต่งก็ได้มันคอยช่วยดูกระทู้ให้นี่ล่ะ ว่าตกไปถึงไหนแล้ว ไม่งั้นคงคืนชีพกลับมาไม่ได้แน่ๆเยย T_T ส่วนรูปของเซโร่แก้ให้แล้วนะครับพอดีลืมนึกถึงไปตัวนึงเพราะ มันดันไม่ค่อยมีบท ส่วนตอนนี้ขอลาไปเขียนก่อนนะครับเจอกันวันพรุ่งนี้บทที่22 นะครับว่าแต่ชื่อบทมันทะแม่งๆนา ก่อนหน้านี้ก็มีคล้ายๆกันมาแล้วนิ อะไรน้า บทที่2 กับบทที่12อ่ะ รอลุ้นละกันครับอุหุหุหุห Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: boy on June 14, 2008, 09:26:02 PM Quote ส่วนเซโร่น่ะเอามาจากเรื่อง mamotte lollipop ใช่ม้า 555+ ถุ....ถุ...ถุ..ถูกต้องนะคร้าบ ที่จริงตัวอื่นๆก็ด้วย ไม่ว่าจะ เจนัส ลากูน่า เรโค ่เซโร ่นีน่า Lr หรือแม้แต่Riku ก็ล้วนแล้วแต่เอามาจากอนิเมะทั้งนั้น ครับแต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยรู้หรอกว่าเรื่องอะไรเพราะกด Google เข้าไปดู ที่จำได้ก็มี Lr มาจาก เรื่อง Erementar Gerad เรโค่ มาจาก Rozen Maiden ส่วนเซโร่นี่จนปัญญาจริงๆเลยหาไปๆมาๆ ก็ถึงถึงเรื่องนี้เลย เพราะไหนๆก็มีนีน่าแล้วเซโร่แล้วงั้นเซโร่เอาจาก Mamotte Lolipop เลยละกัน ไม่แน่ต่อไปอาจจะมี อิจิอิมาอีกคนก็ได้นะครับเอหรือว่าอาจมีฟอเต้ซัน ยาคุโม่ คิระ L ลุค บลาาาาา ขืนทำอย่างนั้น เรื่องนี้มั่วแน่คงไม่มีมากกว่านี้แล้วล่ะครับ ว่าแต่ดูด้วยเหรอเนี่ยนึกว่าคนดูน้อยแล้วนาเรื่อง mamotte lolipop เนี่ย ชอบมากเลย เสียดายอนิเมะ 13 ตอนจบไม่มีภาคต่อฮือๆๆ ขอแสดงความยินดีด้วยคร้าบ เรื่อง mamotte lollipop กลับมาฉายที่ ubc - true spark อีกครั้ง ณ วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.00 น. ส่วนจันทร์-ศุกร์ก็ www.truevisionstv.com คร้าบ (ไม่ค่อยแน่ใจเวลา ::010:: ) ::001:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 14, 2008, 09:51:02 PM รอบซ้ำหรือครับ โอว้จอจร์ว่าแต่รู้สึกคุณครูจอมเวทย์เนกิมะภาคสองก็มานิ มาแทนบาคุกันวันนี้อวสานT_T
Drago ตัวน้อยๆจะไปแว้ว รู้สึกเหมือนเสียมังกรไปตัว Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: boy on June 15, 2008, 12:10:54 AM พรุ่งนี้อัพแล้วใช่มะ ::015::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 15, 2008, 05:55:57 PM บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัตย์
ย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน อัศวินมังกรแท้ในเมอริเซีย คนแรกได้ถือกำเนิดขึ้น มีตำนานมากมายกล่าวขานถึงวีรกรรมของเขามาชั่วลูกชั่วหลาน ก่อนจะถูกลืมเลือนและจางหายไปในหน้าประวัติศาสตร์ หากแต่ทว่าบัดนี้ หน้าประวัติศาสตร์ใหม่กำลังจะเปิดม่านขึ้น เมื่อตระกูลทั้งสามตื่นขึ้น …….. ลงชื่อ แวร์เลี่ยน เวสเล่ (Werrian Wesley) …………. ……………….. ………………. ราตรีนี้ท้องฟ้าเปิดโล่งเต็มที่ ดวงจันทราแดงก่ำราวกับเลือด นี่คือพลังแห่งธรรมชาติที่ไม่ได้เกิดจากมนตราใดๆ ซึ่งหากในคืนนี้พวก Lr ได้ชื่นชมกับปรากฏการณ์แห่งธรรมชาตินี้ อย่างเต็มอิ่มมันคง เป็นช่วงเวลาที่ดีๆซักครั้งในชีวิตที่มีแต่อุปสรรค หากแต่สวรรค์ก็ยัง ไม่อาจปล่อยพวกเขาให้พบกับความสุขได้ บางครั้งโชคชะตาก็โหดร้ายเสียนี่กระไร เหล่าครึ่งสมิงที่ได้รัอิทธิพลจากปรากฏการณ์นี้จะกลายเป็นอสูรที่กระหายแต่การต่อสู้ ทำให้พวกเขามีชะตาต้องมาสู้กันเองอีกครา ภายในคฤหาสน์ร้างกลางป่า ซึ่งเป็นจุดเริ่มของเรื่องในครั้งนี้ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนพ้องที่กลายเป็นอสูร อย่างไม่อาจเลี่ยงได้ “ นี่มันอะไรกัน ” Lr กล่าวด้วยความสันสนและกระวนกระวายใจ ซึ่งแม้แต่ เคาท์เพนกวิน เองก็ยังขยาดกับ สิ่งที่อยูตรงหน้า “ ลอว์เรนซ์ ดูถ้าจะไม่ดีแล้วนะ ท่าทางของพวกเค้ามันแปลกๆยังไงๆอยู่นะ ” นอฟฮอฟ กล่าวอย่างหวั่นๆ ขณะที่พวกเจนัสในร่างจำแลงสมิง ยังคงยืนดูทีท่าอยู่ โดยที่นีน่ากับลากูน่า โยนตัวไลท์กับเอิทธ์ ใส่พวกเขา ซึ่งทำเอา Lr รับตัวพวกเขาไม่ทัน ทั้งหมดเข้าปะทะกันทันที โดยที่พวกเขาไม่อาจตอบโต้ได้เลย เจนัสคำรามลั่นขณะที่ ตวัดอุ้งมือใส่ Lr อย่างบ้าคลั่งจน เขาต้องเอาแชลงที่ที่อยู่ในมือ ปัดป้องเป็นระวิงแต่ก็ได้ไม่นาน เพราะเมื่อเทียบกับ Lr ที่ฝึกกับชาว์ลมาเพียง งูๆปลาๆ กับ เจนัสที่ฝึกการต่อสู้จนช่ำชองแล้วยังอยู่ในร่างสมิงซึ่งมีสภาพจิตใจที่ไม่เกรงกลัวอะไรใดๆ ถาโถมเข้าจู่โจมเขาจนเมื่อเขาพลาดถูกตะปบเข้าที่ลำตัว จนแชลงหลุดจามือพร้อมกับร่างกระเด็นปลิวไปกระแทกผนังอย่างแรง เขารู้สึกมึนและจุก เลือดไหลออกมาจากปากแผลที่คิ้วซึ่ง คงจะแตกตอนที่เขาปลิวมากระแทกกับผนัง เขาค่อยๆยันตัวขึ้นมาอย่างลำบาก ขณะที่เอามือกุมแผลที่หัว “ ไม่ไหวถ้าไม่แปลงร่างจะไปสู้ เจนัสได้ยังไงกัน ” นอฟฮอฟกล่าวพร้อมกับบินมาช่วยพยุงตัวเขาขึ้น แต่ทว่านีน่าในร่างสมิงแมวป่ากับลากูน่าในร่างสมิงหมาป่าสีเงิน ก็พุ่งตรงเข้าใส่พวกเขา โดยไม่ทันตั้งตัว “ ซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ(Sardines In Tomato Sauce) ” สิ้นคำฝูงปลาซาร์ดีนปีกค้างคาวกับคลื่นซอสมะเขือเทศก็พุ่งทะลักออกมาพัดนีน่ากับลากูน่าจนไปเกยกับราวระเบียง “ มัวทำอะไรอยู่รีบหนีเร็วเข้า.. ” เคาท์เพนกวินกล่าวพร้อมกับ ปล่อยคลื่นซอสมะเขือเทศออกไปพัดเจนัสที่พุ่งเข้ามา จนปลิวไปไปเกยกับพวก ลากูน่า “ ตามมาทางนี้เร็ว ” เจ้าหัวฟักทองแจ็คกล่าวจบก็ออกบินไปตามระเบียง ซึ่งนำไปยังบันไดโดยที่เคาทืเพนกวินและเหล่าตุ๊กตากัพวก Lr ที่ช่วยกันแบกร่างของเอิธท์กับไลท์ที่หมดสติไปด้วย โดยที่พวกเจนัสเองก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ พวกเขาวิ่งไปตามระเบียงจนถึงบันไดและตอนนั้นเอง เจนัส ก็กระโดดจากระเบียงมาดักที่หน้าบันได ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก และเมื่อจะหันกลับไป ลากูน่ากับนีน่าก็รออยู่ก่อนแล้วโดยนีน่าปิดระเบียงทางเดินด้านขวา และลากูน่าปิดด้านซ้าย พวกเขาโดนล้อมเอาไว้แล้ว “ นี่บ้านนี้ไม่พวกประตูลับหรือห้องใต้ดินมั่งเหรอ ” นอฟฮอฟถามเคาทืเพนกวินโดยขบคิดหาวิธีรอดออกไปด้วย “ มีแต่ทางน้ำใต้ดินเท่านั้นน่ะแต่ประตูมันพังไปแล้วลงไปไม่ได้หรอก ” แจ็คหัวฟักทองกล่าว ซึ่งทันทีที่นอฟฮอฟได้ยินก็เกิดความคิดขึ้น Lr เห็นว่านอฟฮอฟคงจะรู้วิธีที่จะรอดไปได้แล้ว จึงเริ่มมีหวัง “ Dark Flame ” สิ้นคำนอฟฮอฟก็พ่นเพลิงดำอัดใส่พื้นบันไดเต็มแรงจนพื้นบันได ระเบิดและควันฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วพร้อมกับ สะเก็ดไปปลิวว่อนไปทั่วบ้าน แต่เพราะพื้นบ้านและผนังรอบๆเต็ม ไปด้วยซอสมะเขือเทศจึงทำให้สะเก็ดไฟดับไปทั้งหมด และเมื่อควันจางพวกเขาก็หายไปหมดแล้วโดยทิ้งไว้เพียงรูที่พื้น บันไดซึ่งมันลึกลงไปจนถึงชั้นล่าง พวกเจนัสเดินเข้ามาเกาะกลุ่มกันที่รูโหว่ตรงพื้นบันได “ กรรรรรรรร ” เจนัสคำรามเบาๆก่อนที่จะโดดลง ไปในรูโหว่พร้อมกับที่ลากูน่าและนีน่าตามลงไปด้วย …….. ……………. ……………….. ที่หน้าคฤหาสน์ สายลมรอบๆบริเวณเริ่มแปรปรวนเล็กน้อยก่อนทีจะเกิดช่องว่างมิติสีดำ ขึ้นในอากาศและขยายใหญ่ ออกพร้อมร่างของเด็กหนุ่มคนนึงกระโจนออกมา เขากลิ้งคลุกไปกับพื้น ก่อนจะหยุดโอดโอย พร้อมกับประตูมิติที่จางหายไป “ อ…อาาาา..อัก ” เด็กหนุ่มเอามือกุมหน้าอกพร้อมกับสบถ ลั่นด้วยความทรมาน ความอึดอัดจากการกลั้นพลังเอาไว้ ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะบางทีฏ้แทบจะหยุด เต้นหรือระเบิดไปเลย ทำให้หายใจติดๆขัด เสียงหัวใจเต้นดังก้องในหัวของเขา ราวกับมันจะระเบิดซะให้ได้ จนเมื่อถึงขีดสุดแล้ว เขาก็หมดสติ และล้มลงก่อนที่ควันสีดำจะพวยขึ้นมาตลบอบอวล ทันทีที่จางลงร่างของเด็กหนุ่มหายไปกลับกลาย เป็นสมิงพังพอนขนสีขาวปลอดแทน และเมื่อมันเบิกนัยตาขึ้น แววตาของมันแดงก่ำราวกับ ปีศาจ ไร้ซึ่งสติสัมปัญชัญญะ จมูกของมันหายใจฝืดฝาดอย่างรุนแรง ราวกับกระหายบางสิ่ง ก่อนที่มันจะ สัมผัสได้ถึงบางอย่างจากในคฤหาสน์ มันไม่รอช้าเลยแม้แต่น้อย รีบพุ่งหายไปจากตรงนั้นด้วยความเร็วประดุจลมกรด ต่อจากนั้นไม่นานนัก เงาของผู้มาเยือนอีกคนก็ได้ปรากฏขึ้น ทันทีที่ร่างของเขาต้องกับแสงจันทร์ แสงสะท้องจากเสื้อเกราและหน้ากากมังกรเหล็กสีเงินขาว ก็แวบวาบออกมา ผ้าคลุมสีขาวสะบัดพลิ้วเป็นทาง ในมือกระชับดาบ เอาไว้แน่นก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าและทันทีที่สายตาของเขา ได้เห็นดวงจันทราสีแดงฉาน และยังเปล่งรัศมี ออกมาอีก ราวกับจันทร์ทรงกลด “ แย่แล้วพวกที่ตาม Lr ไปด้วยนี่คงจะไม่… ” ผู้มาเยือนกล่าวอย่างร้อนใจเมื่อได้เห็นพระจันทร์ทรงกลด แดงฉาน ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังประตูคฤหาสน์ …………….. ……………….. ……………………. ภายในคฤหาสน์ ที่ระเบียงด้านนึง ประตูห้องถูกเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย ดดยมีสายตาล็กจ้องมองลอดผ่านออกมา ดวงตานั้นเลื่อนไปทางซ้ายทีทางขวาที ก่อนที่ประตูทั้งบานจะเปิดออก พร้อมกับลูกมังกรดิมมิเนี่ยว(Dimminuial, the Baby Dragon) และลูกมังกรเฟินกอลโล(Firngollo, the Baby Dragon) ทั้งสองก้าวออกมาจากห้องด้วยความระมัดระวัง (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-cb2767.jpg) (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-63d9e8.jpg) ก่อนจะสอดส่องสายตาไปรอบตัวคฤหาสน์ ซึ่งเปรอะไปด้วยซอสมะเขือเทศและซากหลังคาที่พังลง ซึ่งแสงจันทร์ที่ส่องทะลุลงนั้นทำให้ภายในบ้านสว่างขึ้นเล็กน้อย “ กีซซซซซซซซซซ ” (ดูเหมือนจะสงบไปแล้วล่ะ) วิลกล่าวอย่างโล่งใจ แต่เฟินกอลโล ยังคงตัวสั่นด้วยความกลัวโดยไม่ยอมหยุดอยู่ดีซึ่งนั่นก็ทำเอาวิล เอือมเต็มที “ ก…กีซซซซ ” (ง…งั้นเราก็รีบไปกันเถอะที่นี่น่ากลัวจะตาย) เฟินกอลโลกล่าวโดยที่ยังคงสั่นไม่ยอมหยุดและยังชำเลืองไปมาด้วยความระแวง “ กีซซซซซซซ ” (แต่เรายังไม่เจอลอว์เรนซ์เลยนะ ต้องหาพวกเขาก่อนสิ) วิลกล่าวขณะที่เท้ากรงเล็บท้าว สะเอว วางท่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ กีซซซซซซ ”(ไม่เอาน่าเธอก็เห็นอยู่ว่าฉันกลัวอยู่เนี่ยไว้เราค่อยมาตอนเช้าก็ได้) เฟินกอลโลกล่าวเสียงสั่น “ กีซซซซซซซซซ กีซซซซซซซ ” (นี่อย่าทำสำออยไปหน่อย เลยนายเป็นผู้ชายซะเปล่าแค่นี้ทำเป็นกลัวไปได้ เพื่อนนายจะเป็นจะตายอยู่นี่นายยังคิดจะเอาตัวรอดอีกเหรอ) วิลกล่าวใส่เค้าเป็นชุดด้วยความโมโห “ กีซซซซซซ ”(งั้นเธอก็ไปเองสิ ฉันจะออกไปจากนี่ ไม่เอาแล้วขืนอยู่อย่างนี้มีหวังฉันไม่รอดแน่) เฟินกอลโลกล่าววาจาเอาแต่ได้ของเขาทำให้วิลถึงกับนิ่ง เงียบไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ว่าเขาจะเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างนี้ ทั้งที่ตลอดมา เธอคิดว่าเขาเป็นเพื่อนของ Lr และน่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อสายสัมพันธ์ดังเช่นที่ เอิธ์ทกับ ไลท์ และ นอฟฮอฟทำกัน แต่ทว่าเขาไม่ใช่ ซึ่งว่ากันจามจริงแล้วเธอแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ พวกเขาเลยเพียงแค่ได้รู้จักกับพวกเขา หลังจากที่ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนมังกร(Dragon Academy)ได้เพียงวันแรก เธอก็ได้ช่วยพวก Lr เอาไว้ และพวกเขาเองยังปฏิบัติราวกับเธอเป็นเพื่อนกับพวกเขามานานแล้ว ทำให้เธอลืมไปว่าแท้จริงเธอยังไม่รู้อะไร เกี่ยวกับพวกเขาเลย และเมื่อคิดทบทวนจากคำพูดเมื่อครู่ของเธอ เธอก็เข้าใจแล้วว่านั่นเป็นการยัดเยียด ให้กับเขา ทั้งที่เขาไม่อยากเธอจึงรู้สึกผิด ที่ตนได้กระทำการอันไม่ควรลงไป “ กีซซซซซ….กีซซซ ”(ขอโทษนะ..ฉันไม่น่าฝืนใจนายเลย ถ้านายกลัวก็ออกไปรอข้างนอกก็ได้เดี๋ยวฉันตามพวกเขา เจอแล้วจะรีบออกไปหา ) วิลกล่าวด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ก่อนจะบินไปที่บันไดเพื่อสำรวจร่องรอย ซึ่งนั่นทำเอาเฟินกอลโล เองถึงกับผงะไปกับท่าทีที่แปรปรวนของเธอ จึงรีบหันกลับไปหาแตเธอก็บินลงไปในรูโหว่ที่พื้นแล้ว ทำให้เขาไม่ทันได้แม้แต่จะทักเธอเลย บรรยากาศที่วังเวงเริ่มทำเอาเขาหัวปั่นด้วยกลัว ก่อนจะตัดสินใจบินตามเธอไป “ กีซซซซซซ ” (รอด้วยอย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวเซ่) เขาตะดกนก่อนจะบินตามลงไปด้วย ……… ………… …………….. เสียงฝีเท้าสะท้อนก้องดังระงมไปทั่วทางน้ำอันมืดมิด ซึ่งน้ำที่เคยไหลในทางน้ำนี้ได้แห้งเหือดไปแล้ว พวกเขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อมีเสียงฝีเท้าดังไล่หลังมาเรื่อยๆ “ แฮ่กๆๆทางน้ำนี่จะยาวไปถึงไหนกันน่ะ ” Lr กล่าวขณะที่วิ่งไปโดยแบกไลท์ไว้บนหลัง ส่วนเอิธท์นั้นพวกตุ๊กตาทั้งสามแบกเอาไว้อยู่ โดยที่แจ็คซึ่งใช้ไฟจากดวงตาส่องนำทาง “ รู้สึกจะยาวไปจนถึงต้นน้ำบนภูเขาหลังทะเลสาบน่ะ ” เคาท์เพนกวินกล่าวขณะที่คอยสั่งการเหล่าปลาซาร์ดีนให้คอยบินปั่นป่วนพวก เจนัสไปเป็นระยะ “ ว่าแต่ทำไมพวกนายถึงมาช่วยพวกเราล่ะ ” นอฟฮอฟกล่าวด้วยความสงสัยขณะที่ คอยพ่นไฟเผาเอาหยากไย่ที่เกาะขวางทางออก “ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทิ้งพวกเจ้าไว้นี่ ว่าแต่นั่นเพื่อนพวกเจ้าไม่ใช่ เหรอแล้วไหงถึงมีเพื่อเป็นสมิงน่ากลัวงี้ล่ะ ” เคาท์เพนกวินกล่าว ถามด้วยความสงสัย “ คือที่จริงพวกเขาไม่ใช่สมิงหรอกนะแต่เป็นครึ่งสมิงน่ะ ” Lr กล่าวตอบแต่ทันทีที่เคาท์เพนกวินกับแจ็คได้ยิน ก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทันที “ งั้นตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในสภาพ คุ้มคลั่งเพราะวันแห่งการคืนสู่สัญชาตญาณสินะ ” เคาท์เพนกวินกล่าว “ แล้วมันคืออะไรล่ะ..ไอ้วันอะไรนั่นน่ะ ” นอฟฮอฟถามด้วยความสงสัย “ มันเป็นเรื่องเล่าที่มีมานานเกี่ยวกับครึ่งสมิงน่ะ ” แจ็คอธิบาย “ ในอดีตมีตำนานที่กล่าวถึงความรักต้องห้าม ระหว่างเผ่าพันธุ์เอลฟ์(Elf)กับสมิงน่ะ ” แจ็คอธิบายต่อซึ่งมาถึงตรงนี้พวกเขาก็พอ จะเดาออกแล้วแต่ก็ยังไม่อยากเชื่อยู่ดี “ หมายความว่าครึ่งสมิงคือสายพันธ์ผสมระหว่างเอลฤ์กับสมิงเหรอ ” Lr กล่าว “ ใช่ เพราะงั้นพวกเขาจึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังไงล่ะ ทั้งพลังกายที่สูงล้ำเหนือมนุษย์ของสมิงและ พลังมนตราอันสูงส่งของเอฟล์พวกเขาแทบจะเป็นเผ่าพันธุ์ ที่ช่ำชองการต่อสู้อย่างที่สุด” เคาท์เพนกวินอธิบาย ซึ่งนั่นทำให้พวก Lr แทบจะไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้รับรู้มาเลย “ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องตอนนี้ล่ะ ” นอฟฮอฟถาม ขณะที่พวกเจันสไล่เข้ามาเรื่อยๆ “ เพราะข้อห้ามระหว่างเผ่าพันธุ์น่ะล่ะที่ทำให้พวกเขาเป็นอย่างนี้ จากการที่ทรงพลังมากเกินไปทำให้พวกเขาจะมีอยู่ช่วงนึงที่จะ ควบคุมพลังไม่ได้เพราะความเป็นสมิงครึ่งนึงในตัว ” แจ็คกล่าว “ เมื่อจันทราแดงฉานเป็นสีเลือดวันนั้นพลังแห่ง เผ่าพันธุ์สมิงจะเดือดพล่านพวกเขาเหล่านั้น จะกลายเป็นอสูรที่กระหายการต่อสู้เท่านั้นจนกว่าจะรุ่งสาง ” เคาท์เพนกวินอธิบายเสริมขณะที่สาดซอสมะเขือเทศ กับฝูงปลาซาร์ดีนใส่พวกเจนัสอีกครั้ง แต่ทว่าทั้งสามก็หลบได้และหายวับไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาที่ไม่ทันได้ระวังตัว จึงถูกชนล้มลงและถูกล้อมเอาไว้อีกครั้ง “ อ…นี่เราจะทำยังไงดี ไม่อยากสู้ด้วยเลย แถมจะแปลง่รางก็ยังทำไม่ได้เพราะสองคนนั้นหมดสติอยู่ จะทำอย่างไงดีล่ะเราจะทำอย่างไงดี ” Lr คิดอย่างสิ้นหวังเต็มที ……………….. …………………… ………………………. “ กีซซซซซซ ” (Flying Flame)(อัคคีเหินหาว) สิ้นเสียงลมพายุอันรุนแรงก็พัดโหมไปทั่วทางน้ำ และทันทีที่มันเสียดสีเข้ากับผนังทางน้ำ ก็เกิดไฟสีเขียวลุกพรึ่บขึ้นมา ลมพายุนั้นพุ่งตรงเข้าหาสมิงพังพอนอย่างรวดเร็วแต่กลับพุ่ง ผ่านร่างของสมิงพังพอนไปดดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ กีซ กีซซซซซ ”(ชิ เกราะมนตรา) วิลกล่าวขณะที่พุ่งตัวหลบคลื่นสูญญกาศที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว จากการวาด กรงเล็บของสมิงพังพอน “ กีซซซซซ ” (Blue Bubble) (ฟองสีน้ำเงิน) สิ้นคำฟองสีน้ำเงินจำนวนมหาศาลก็ถูกพ่นออกมาจากปาก ของเฟินกอลโลจนคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้การเคลื่อนไหวของสมิงพังพอนช้าลง ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งหนีไปตามทางและเลี้ยวไปอีกแยก ครู่ต่อมาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้วพวกเขาจึงหยุด พักด้วยความเหนื่อยหอบ “ กีซ กีซซ ”(แฮ่กแฮ่ก) วิลหอบด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ซึ่งเฟินกอลโลเองก็ไม่ต่างไปจากเขา เอาแต่นอนแผ่หลาด้วยความเหนื่อยหอบ “ กีซซซซซซซ ”(นี่เธอน่ะทำไมถึงได้อยากช่วย Lr ขนาดนั้นล่ะ) เฟินกอลโลถามขึ้นมาทำให้วิลรู้สึก แปลกใจกับคำถามของเขา “ กีซซซซซซ ”(แล้วนายไม่คิดจะช่วยเค้าบ้างรึไงนั่นเพื่อนนายนะ) วิลกล่าวจบ เฟินกอลโล ก็ค่อยพลิกตัวกลับขึ้นมามองเธอด้วยสายตาที่แฝงความนัยบางอย่างไว้ “ กีซซ…กีซซซซซ ”(เพื่อนเหรอ…นั่นสินะเธอพึ่งย้ายมาใหม่ๆนี่ เห็นฉันสนิทสนมกับพวกนั้นเป็นใครก็คงคิดว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้านั่นเหมือนที่ไลท์กับเอิทธ์เป็นสินะ) เฟินกอลโลกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงเลศนัย ซึ่งชั่ววูบนึง เค้าดูเปลี่ยนไปราวกับคนล่ะคนเลยก็ไม่ปาน “ กี…กีซซ..กีซ…แกว็ก…กีซซ ”(ฟ…เฟิน..เฟินโกว..เฟินกอ…ลโล) เธอพยายามจะเรียกชื่อเขาแต่ก็เรียกได้ไม่ถนัดนัก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อสกุลเขา ซึ่งท่าทีกระอึกกระอักของเธอทำเอาเฟินกอลโล ตีสีหน้าเอือมๆด้วยความหน่ายใจ “ กีซซซซซ ”(ถ้ามันเรียกยากนักก็เรียกชื่อชั้นเลยก็ได้ชั้นไม่ถือหรอก ชื่อชั้นอควา) เฟินกอลโลบอกชื่อของเขาให้เธอทราบโดย ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเธอเลย ซึ่งตอนนี้เธอเองก็เกิดความรู้กระดากๆขึ้นมาเพราะอยู่ๆ ก็จะมาให้เธอเรียกชื่อของ เขาอย่างสนิทสนม แม้กับพวก Lr เธอจะเรียกชื่อพวกเขาได้หน้าตาเฉย แต่ว่ากับเขาเธอไม่เคยได้คิดเลย “ ก…กีซซซ ”(จ…จะดีเหรอให้เรียกชื่อนายน่ะ) เธอกล่าวหน้าแดงด้วยความเขินอายแต่เฟินกอลโลเองก็ ไม่ได้ใส่ใจอะไรกลับไม่สนใจกับท่าทีของเธอเลย แม้แต่น้อย “ กีซซซซซ ”(ทำไมล่ะทีเธอยัให้ทุกคนเรียกชื่อได้แล้วทำไมจะ เรียกชื่อฉันไม่ได้อีก อย่างกับพวกนั้นเธอก็ยังเรียกชื่อเลยไม่ใช่เหรอ แล้วกับชั้นมันจะต่างกันตรงไหน) เฟินกอลโลกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยขณะที่ตีหน้ามุ้ยไปด้วย ซึ่งเธอเองก็ ไม่รู้ว่าจะเขินไปทำไมเพราะกับพวก Lr ตัวเธอยังคุยเรียกกันได้อย่างสนิทสนม แต่กับ เค้าคนนี้เธอกลับไม่สามารถที่จะทำเป็นเมินเฉยได้ ซึ่งแม้แต่ตัวเธอก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไม แต่แล้วคำถามที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้กลับถูกแทรกขึ้นมาด้วย เรื่องที่เฟินกอลโลพูดทิ้งไว้เมื่อครู่เธอจึงรีบตัดคำถามทั้งหมดออกไปจากใจ ก่อนจะถามทันที “ กีซซซซซซซซ ”(ว่าแต่เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะที่ว่า ฉันยังไม่รู้น่ะคืออะไร) วิลกล่าวด้วยความลนลานกับสิ่งที่กำลังจะได้รู้ ซึ่งเฟินกอลโลเองก็แปลกใจกับ อาร์มณของเธอที่แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย “ กีซซซซซซซซซซซซ ”(หึเอาเถอะที่จริงเรื่องนี้น่ะ ไม่มีใครเขาอยากจะเล่าให้ใครต่อใครฟังกันหรอกนะ) เขาหลับตาลง นึกเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาซึ่งแววตานั้นดูเศร้าสร้อย เหมือนคะนึงหาอะไรซักอย่าง “ กีซซซซซซซซซซซซ ” (เธอสงสัยมั้ยว่าทำไมไฟร์หรือที่ Lr เรียกว่านิทินโคถึงได้ ทะเลาะกับเขาอยู่บ่อยๆทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้ไม่ค่อยอยากจะคุย หรือสุงสิงกับฉันนักนอกจาก Lr สาเหตุมันก็ง่ายๆเพราะคนที่ทำให้สายสัมพันธ์ของพวกนั้นต้องมลายลง จนแทบกู่ไม่กลับก็คือฉัน) เขากล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจซึ่งคำพูดของเขาทำเอานางรู้สึก สงสัยและอยากรู้มากขึ้นจึงตั้งใจฟังสิ่งที่เขา เล่าออกมาให้เธอฟังอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อ 4 ปีก่อน ในวันที่เขาย้ายมาเรียนที่โรงเรียนมังกร เค้าเป็นคนเงียบขรึม ไม่พูดไม่จากับใคร และยังไม่รู้จักหรือมีเพื่อนเลยซักคน จนเมื่ออยู่มาวันนึง เค้าได้เห็น Lr ซึ่งเป็นมนุษย์ มีเพื่อนฝูงรายล้อมไปหมด แต่เขาที่เป็นมังกรแท้ๆกลับต้องมานั่งเหงาอยู่เพียงตัวเดียว ความริษยาได้เกิดขึ้นในใจของเขาในตอนนั้น เขาจึงคิดหาทางทำให้ Lr ต้องหลายเป็นคนโดดเดี่ยว เช่นเดียวกับเขาบ้าง และแล้วการกลั่นแกล้งต่างๆนานาก็เริ่ม ไม่ว่าจะแกล้งทำเป็นโดน Lr รังแก หรือแกล้งเพื่อนคนอื่น แล้วโยนความผิดให้ Lr เขาก็ทำมันลงไปต่างๆนานา แต่ทว่าถึงกระนั้น ก็ยังมีคนคอยปกป้องเขาอยู่นั่นก็คือลูกมังกรทั้งสี่ตัว ไลท์ เอิธท์ นอฟฮอฟ และนิทินโคที่ยังสนิทสนมกับเขาอยู่ คอยกันท่าให้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ความริษยาที่มีต่อเขานั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่มาวันนึง เขาแกล้งเข้าไปทำเป็นตีสนิทและขอโทษเรื่องที่ทำมาทั้งหมด ซึ่งแน่นอนพวกไลท์ไม่เห็นด้วย แต่ Lr ที่เป็นคนมีน้ำใจและเชื่อคนง่ายจึงถูกหลอกใช้ หลังจากนั้นเค้าก็คอยบงการ การกระทำของ Lr โดยเริ่มจากแกล้งเขียนสมุดของเอิธท์จนเละแล้วทำให้ดูเหมือนว่า Lr เป็นคนทำ หรือแม้แต่กระทั่ง แกล้งหลอกนิทินโค โดยทำเป็นว่า Lr รอเขาอยู่ แล้วก็ไม่ไปตามนัดทำให้เขาต้องยืนตากอากาศหนาวจนจับไข้ และสุดท้ายเมื่อไลท์ได้ถูกการกระทำของเขาหลอกลวง ผลก็คือทั้งสามมีปากเสียงกับ Lr และไม่ยอมคุยกันเลย แต่ทว่านอฟฮอฟที่คอยจับตาดูอยู่ใกล้ๆ เข้าใจถึงสถานการณ์ทั้งหมดได้ดีจึง ได้หาทางช่วยเขาอย่างลับๆ ซึ่งในวันนั้นหลังจากที่ Lr กลับไปบ้านแล้ว นอฟฮอฟก็ได้ ปรากฏตัวออกมาเปิดเผยความจริง และแผนการณ์อันแยบยลของเขา ต่อหน้าเพื่อนฝูง ซึ่งในวันนั้นคือวันที่ตรงกับ วันที่พายุโหมกระหน่ำ เขาว่ายน้ำหนี ไปและเพราะพายุทำให้น้ำไหลเชี่ยวจนเขาว่ายทวนไม่ได้จึงถูกน้ำพัด ไปเกยอยู่ใต้หน้าผา ซึ่งเขาได้เห็นไลท์เกาะอยู่บนชะง่อนผา และถึงแม้จะเลือนรางเต็มทีแต่เค้าก็จำได้ว่าคนที่มาช่วยไลท์ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 15, 2008, 05:56:23 PM ก็คือ Lr ทั้งๆที่แผนการของเค้าน่าจะทำให้สายสัมพันธ์ของพวกเขาพังทลายไปแล้ว
สุดท้ายกลับเป็นตัวเขาเองที่ต้องจมอยู่กับความโดดเดี่ยวเพราะความริษยา “ สายสัมพันธ์ของเจ้าพวกนั้นไม่ได้พังทลายลงซักหน่อยแต่เป็นเราเองต่างหากที่ถูกทำลาย หึ..ฉันอิจฉานายจริงๆ ลอว์เรนซ์ ทั้งที่เป็นนายมนุษย์ศัตรูของมังกร แต่ก็ยังมีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ยังอยากจะเป็นส่วนนึงในนั้นด้วยอยู่หรอกนะ แต่สำหรับชั้นมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ลาก่อน… ” ความในใจที่พุดขึ้นมาตอนนั้น ยังคงตราตรึงอยู่จนถึงวันนี้ หลังจากที่เค้าหมดสติร่างก็ค่อยๆจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำ แต่สุดท้ายแล้วคนที่ช่วยเขาเอาไว้ก็คือ Lr และพรรคพวกที่ไปตามเพื่อนมังกรน้ำมา ช่วยงมเขาขึ้นมา หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมา แม้เขาจะสำนึกผิดกับการกระทำของตนและคิดจะปิดกั้นตนเองแค่ไหน แต่ Lr กลับเป็นคนที่เปิดใจยอมรับเขามาโดยตลอด แม้ในตอนแรกเขาจะไม่อยากรับมันนัก แต่พวกไลท์เอง ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเค้าจริงจังนัก จนนานเข้าเขาจึงเริ่มที่จะเปิดใจยอมรับ ภาพความทรงจำนั้นค่อยๆจางหายไปกับเวลา แต่ก็ยังคงอยู่ในใจเขาเพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เป็นเค้าได้ในวันนี้ “ กีซซซซซซซซซ ”(ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะหลังจากนั้นชั้นก็ไม่เคยเหงาอีกเลย ) เฟินกอลโลกล่าวหลังจากเล่าทุกอย่างให้วิลฟัง ซึ่งหลังจากที่เธอได้ฟังทั้งหมด รู้ได้ทันทีว่าที่แล้วมา สายสัมพันธืของพวกเขาไม่ได้มาจากการคบหาสนิทชิดเชื้ออะไรทั้งนั้น หากแต่เป็นเพราะเคย ขัดแย้งกันถึงได้แน่นแฟ้นกันมากขึ้น “ กีซซซซซซซซ ”(จะว่าไปแล้วถึงตอนนี้ชั้นเองก็อาจจะยังไม่ได้ละทิ้งความ รู้สึกตอนนั้นไปเลยทำให้ทุกคนไม่ยอมรับก็ได้) เขากล่าวอย่างอาลัยอาวร “ กีซซซซซซซซซ ”(ไม่หรอกนั่นน่ะเป็นเพราะนายยังปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ ) เธอกล่าว แต่ดูเหมือนคำพูดของ เธอจะแทงใจดำเขาอย่างจังเพราะเขาตีหน้าบึ้งทันที “ กีซซซซซซซซ ”(อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย..) เขาตะคอกกลับมาทำให้เธอนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ “ กีซซซซซซซ ” (แล้วเธอล่ะทำไมถึงต้องปกปิดมาตลอด) เขากล่าวอบ่างหัวเสียทันที ซึ่งคำพูดของเขาทำเอาเธอเริ่มจะหงุดหงิดตาม “ กีซซซซซซซซซ ”(ปกปิดเรื่องอะไรเล่า) เธอตะคอกกลับเช่นกันซึ่งนั่นทำเอาเขาเริ่มที่จะมีน้ำโห บ้างแล้ว “ กีซซซซซซซซ ”(ก็เรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงไง ทำไมต้องตัวเป็นผู้ชายด้วย เธอคิดจะหลอกพวกเรารึไงที่จริงก็แอบหัวเราะลับหลังอยู่ล่ะสิ) เขากล่าวด้วยความฉุนเฉียว “ กีซซซซซซซซซซซ ”(ไม่จริงนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย นายน่ะล่ะ หัวเสียเรื่องอะไรกันถึงมาตะคอกใส่ฉันเนี่ย) เธอถาม ซึ่งนั่นเองก็ทำให้เขาเริ่มเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าทำไมต้องโกรธนางด้วย แต่ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้กับสิ่งที่เธอกล่าวออกมา มันล้วนเป็นความจริงที่เขาปฏิเสธมันมาตลอด เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เค้าต้องการมาตลอดก็คือมิตรภาพที่ Lr ยื่นให้แต่ด้วยทิฐิทำให้เค้าไม่อาจยอมรับมันได้ และเมื่อถูกจี้เข้า ก็รู้สึกยอมไม่ได้ และเมื่อเขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วเขาก็ก้มหน้าสำนึกได้ วิลที่เห็นเช่นนั้น จึงเข้าไปปลอบเขา “ กีซซซซซซซ ”(อย่าหลอกตัวเองอีกต่อไปเลย หัดเปิดใจยอมรับตัวเองซะบ้าง) เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อย่างที่ไม่เคยกล่าว เพราะปกติเธอจะทำตัวแข็งกระด้าง เหมือนชาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางยอมเปิดเผยตัวให้เค้าได้เห็น “ กีซซซซซซซซ ”(แต่ชั้นกลัวนี่ กลัวว่าถ้าเกิดพวกเขาไม่ยอมรับฉันล่ะ) เขากล่าว “ กีซซซซซซซซ ”(อย่าพึ่งสิ้นหวังสิ ถ้ายังไม่ลองเราก็ไม่รู้หรอก) เธอกล่าว ซึ่งนั่นทำให้หัวใจที่เต็มไปด้วยความหว้าวุ่นของเขาเมื่อครู่จางหายไป แต่แล้วบรรยากาศอันน่าประทับใจนี้ก็ต้องจบลง เพราะเสียงหอนของหมาป่าที่ดังก้องมาทำให้พวกเขาออกบินอีกครั้งโดยตามเสียงนั้นไป “ กีซซซซซซซ ”(ตะกี้มันเสียงอะไรกัน) วิลกล่าวขณะที่เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเฟินกอลโลเริ่มจะตามไม่ทัน “ กีซซซซซซซซ ”(ว่าแต่จะดีเหรอนี่เรากำลังบินเข้าไปยังต้นเสียงนะ) เฟินกอลโลกล่าวด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ “ กีซซซซซซซ ”(ไม่แน่บางทีเสียงเมื่อกี้อาจจะเป็นคำตอบที่อยู่ของ Lr และคนอื่นๆก็ได้) วิลกล่าวและยังไม่ทันได้ฉุกคิดอะไร เมื่อพวกเขาได้บินมาเห็นภาพตรงหน้ากับตาตัวเอง สมิงสามตนกำลังล้อมกรอบ Lr นอฟฮอฟและเคาท์เพนกวินกับสมุนอยู่ “ กีซซซซซ ”(นี่มันอะไรกัน) เฟินกอลโลอุทาน “ กีซซซซ ”(ไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วยังไงก็ต้องช่วยพวกเขาก่อน) ทันทีที่วิลกล่าวจบพวกเขาทั้งสองก็พุ่งถลาข้ามหัวของสมิงแมวป่า กับสมิงหมาป่าสีเงินไป สมทบที่กลางวง “ วิล เฟินกอลโล ” นอฟฮอฟทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ นี่มันเรื่องอะไรกัน ” เสียงของวิลถูกแปลออกมาโยดราก้อนฮอลลี่ ขณะที่กำลังจะอธิบายอยู่นั่นเอง สมิงทั้งสามก็พุ่งเข้ามาแต่ก็ถูกลมที่เกิดจากการ กระพือปีกของวิลและ ฟองสบู่ของเฟินกอลโล เล่นงานจนกระเด็นไปติดผนัง “ ไม่มีเวลาอธิบายแล้วรีบหนีกันก่อน ” แจ็คกล่าวเมื่อเห็นว่าทางเปิดแล้ว พวกเขารีบวิ่งไปตามทางซึ่งชันขึ้นเรื่อยๆโดยที่ระหว่างทางก็อธิบาย เรื่องทั้งหมดให้ทั้งคู่ฟังไปด้วยจนเมื่อเห็นแสงส่องรำไรอยู่ตรงหน้า ก็เริ่มที่จะความหวังขึ้นมา แต่ทว่า… “ กรรรรร ” เสียงคำรามก็ดังขึ้นพร้อมกับคลื่นสูญญากาศพุ่งผ่านพวกเขาไป ทำลายปากทางออกจนถล่มลงมา และเมื่อพวกเขาหันกลับไปดู ก็เห็นว่านอกจากสมิงสามตนแล้วยังมีสมิงพังพอน ที่สู้กับพวกวิลมาเพิ่มอีกตัว “ งั้นเจ้าสมิงพังพอนนี่ก็ เครสเซนท์น่ะสิ ” วิลกล่าว ซึ่ง Lr เองก็พยักหน้ารับแทนคำตอบ “ แต่เครสเซนท์น่ะเป็นศัตรูไม่ใช่เหรอแล้วไหงถึงมาช่วยเจนัสล่ะ ” เฟินกอลโลอ้างขึ้นมาซึ่งพวกเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด แต่ทว่าบัดนี้พวกเขาเข้าตาจนแล้ว “ Paladin Saber ”(คมดาบอัศวินศาสนจักร) สิ้นเสียงที่ดังมาจากที่ใดซักที่ ประตูทางออกที่ถล่มลงมา ก็ถูกเป่าจนเปิดออก “ รีบออกมาเร็วเข้า ” ผู้ทำลายประตูเรียก ซึ่งพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบตะเกียกตะกายกันออกมาอย่างร้อนรน ซึ่ผู้ที่มาช่วยพวกเขาคือนักรบสวมหน้ากากมังกรที่เคยช่วยพวกเขาเอาไว้ เมทาไนท์นั่นเอง “ ท่าน..เมทาไนท์ ” Lr ทักขึ้นแต่ก็ไม่เวลาให้สนทนาเมื่อสมิงทั้งสี่พุ่งตามขึ้นมาด้วย บัดนี้พวกเขาได้มาอยู่บนยอดเขาซึ่งเป็นต้นน้ำไหลไปยังทะเลสาบ เสียงน้ำตกที่ไหลลงปะทะกับโขดหินเบื้องล่าง ดังซู่ซ่า ทำให้พวกเขาทราบได้ว่าเบื้องล่างนี้หากตกไปคงไม่รอดแน่ “ นี่พวกเจ้าพอจะสู้ได้มั้ยได้มั้ย ” เมทาไนท์ถามด้วยความกังวล “ ไม่ได้ ไลท์กับเอิธท์ยังไม่ได้สติเลย ” Lr กล่าวขณะที่ดูอาการของเพื่อนทั้งสองท ี่จำเป็นต้องรวมร่างเพื่อต่อสู้ ซึ่งยังคงไม่ฟื้นจากอาการหมดสติ “ งั้นพวกนายล่ะ ” นอฟฮอฟหันไปถามพวกเคาท์เพนกวินแต่ ระหว่างทางที่คอยใช้พลังขัดขวางพวกเจนัสมาตลอดก็ทำเอา เคาท์เพนกวินเสียแรงไปมาก ซึ่งมาถึงตอนนี้เขาก็ไม่เหลือพลังที่จะสู้แล้ว “ ชิ…ครึ่งสมิงพวกนี้ ระดับเทพขุนพลสามตนแถมอีกตัวถึงจะ ไม่ใช่แต่ฝีมือก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยเราคนเดียวรับมือมันไม่ได้แน่ ” เมทาไนร์คิด ขณะที่หาทางออกจากสถานการณ์นี้ “ หมดกันพวกเราไม่รอดแน่ ” วิลกล่าวอย่างสิ้นหวัง แต่เฟินกอลโลก็เอามือตบเข้าที่ไหล่ของเธอเบาๆ “ อย่างพึ่งสิ้นหวังสิเธอพูดเองไม่ใช่เหรอ ” เฟินกอลโลกล่าว โดยที่สายตาฉายประกายความุ่งมั่นไว้เต็มเปี่ยม ทำให้นางแปลกใจกับทีท่าของเขา “ หึ…เมื่อกี้ยังกลัวเสียงหลงอยู่เลยแต่ตอน นี้กลับมุ่งมั่นเปลี่ยนกันเป็นคนละคนเลยนะ ” เธอคิด “ ใช่แล้วล่ะถ้ายังไม่ลองก็ไม่รู้…งั้นเราก็สู้กัน ซักตั้งเลยแค่ถ่วงเวลาจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นก็พอแล้วสินะ ” วิลกล่าวทำให้ทุกคนเริ่มมีกำลังใจ แต่ทว่า ศิลาจันท ราที่ห้อยคออยู่ที่เจนัสกับลากูน่าในร่างสมิงทั้ง สองชิ้นก็ส่องแสงขึ้นมาพร้อมกันกับ ที่พระจันทร์สีเลือดโผล่ขึ้นมาอีกดวง ซึ่งนั้นทำให้พวกเขา ระเบิดพลังออกมาด้วยความบ้าคลั่งกว่าเดิม “ กึ๋ยยย อยู่ในร่างนั้นยังใช้ศิลาได้อีกเหรอ ” เฟินกอลโลกล่าวด้วยความผวา แต่ก็ไม่มีเวลามานั่งตกใจ เพราะพวกเจนัสพุ่งเข้ามาแล้ว เมทาไนท์กับลูกมังกรพุ่งเข้าปะทะกับเจนัส โดยที่เมทาไนท์รับหน้าที่ คอยล่อพวก เจนัสเอาไว้และให้ลูกมังกรคอยสนับสนุน ส่วน Lr กับพวกที่เหลือที่สู้ไม่ไหวก็ให้ไปหลบที่หลังต้นไม้ต้นนึง โดยที่ Lr พยายามจะปลุกไลท์และเอิธท์ แต่ก็ไม่มีประโยชน์พวกเขายังคงไม่ฟื้นอยู่ดี การต่อสู้เหมือนจะตรึงเวลาไว้ได้อีกไม่นาน และทันทีที่เมทาไนท์พลาดท่าถูกสมิงพังพอนเครสเซนท์กับ สมิงแมวป่านีน่าเข้าตะครุบตัว สมิงหมาป่าสองพี่น้องก็ตรงเข้าตะปบพวกลูกมังกร ทั้งสามจนกลิ้งโค่โล่ และเมื่อเจนัสจะเข้าไปทำร้ายวิล Lr ที่เห็นเช่นนั้นจึงออกขวางไว้ “ หยุดเถอะเจนัส นี่ชั้นเองนะลอว์เรนซ์ไง ตื่นซะทีสิพวกเราไม่ควรที่จะมาสู้กันเองนะ ” Lr กล่าวขอร้องเพื่อเตือนสติให้เจนัสหยุดแต่ดูเหมือนว่า เขาจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพราะทันที ที่ Lr กล่าวจบเจนัสก็เอาอุ้งมือตะปบเขาจนล้มลงไป ก่อนจะเหยียบซ้ำอีกที “ ล…ลอว์เรนซ์ ” เฟินกอลโลเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบากจากอาการบาดเจ็บ แม้ใจเขาอยากจะไปช่วย แต่อีกใจนึงก็กลัวและไม่อยากเข้ายุ่งด้วย ความสับสนที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขาทำอะไรไม่ได้เลย “ เราจะสิ้นหวังไม่ได้… ” วิลเอ่ยขณะที่ค่อยๆยันตัวขึ้นมา “ ไม่ได้การอาจจะเร็ว ไปหน่อยแต่ถ้าอยู่อย่างนี้เราก็เร็วไม่พอที่จะสู้กับพวกนี้แน่ ” เมทาไนท์คิดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตัดสินใจดันสลักที่เข็มขัดใต้เสื้อเกราะ ในสภาพที่โดนกดร่างเอาไว้อยู่ “ Stand By ” เสียงทุ้มต่ำราวกับเสียงกลไก เครื่องยนต์ดังขึ้นมาจากเข็มขัดเหมือนกับที่เครสเซนท์ทำ ผลันรอยต่อเสื้อเกราะของเขาก็ ขยายออกและมีไอน้ำพวยพุ่งออกมาตามรอยต่อ “ Release Armor ” สิ้นคำของเมทาไนท์เขาก็ดันสลักกลับอีกที พร้อมกับเสียงหวีดหวิวราวกับเครื่องยนต์ทำงานดังลั่น “ Push Off ” เสียงทุ้มต่ำเหมือนตอน แรกดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับชิ้นส่วนเสื้อเกราะที่ระเบิดออกมาของเขา ผลักเอาสมิงทั้งสองที่กดร่างเขาเอาไว้ ปลิวกระเด็นออกไป จากแรงระเบิดทำให้ทุกคนหันไปทางต้นตอ ทันทีที่เขายันตัวขึ้นมา เมทาไนท์ที่ เคยอยู่ในชุดเกราะเหล็กปิดหน้าปิดตาก็ได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุราว 14 ปีผมสีทองสวมเสื้อยืดสีดำแขนสั้น พร้อมกับคลุมผ้าที่กลับด้าน ขาวมาเป็นดำ เอาไว้ในมือของเขาถือดาบที่ด้ามดาบมีตรารูปมังกรตัวพันไขว้กันอยู่ เขาไม่รอช้าอาศัยจังหวะที่ ทุกคนกำลังตกตะลึงเพียงชั่วพริบ พุ่งเข้าจู่โจมเจนัส แต่ทว่าก็ถูกสมิงพังพอนเครสเซนท์ เข้ามาขวางเอาไว้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ซัดล้มลงไปพร้อมกับที่นีน่าเข้ามาช่วยกดร่างไว้อีกครั้ง เมื่อความพยายามเอือกสุดท้ายนั้นไร้ความหมาย ความสิ้นหวังก็มาเยือนอีกครั้ง “ กรรรรร ” เจนัสคำรามขณะที่ย่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆพร้อมกับลากูน่า และเมื่อกรงเล็บของเจนัสถูกตวัดลงเพื่อฝังร่างของ Lr และ วิล เฟินกอลโลก็พุ่งเข้ามารับการโจมตีนั้นเอาไว้ทำให้ เขาบาดเจ็บสาหัส “ อควา ” วิลกล่าวออกไปอย่างลืมตัวขณะที่คลานเข้าไปหาร่างของเฟินกอลโล “ ชั้นได้ทำในสิ่งที่ชั้นต้องการ แล้วล่ะชั้นปกป้องเพื่อนๆด้วยความต้องการของชั้นได้…แล้วล่ะ ” เฟินกอลโลฝืนพูดอย่างยากลำบากซึ่งวิล ที่ได้ยินดังนั้นน้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า “ ใช่แล้วนายทำได้แล้ว..นายไม่ได้หลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว ” วิลกล่าวทั้งน้ำตาซึ่งเฟินกอลโลเองมองนางด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้อีก เพราะอาการบาดเจ็บ Lr ที่เห็นเหตุการณ์จึงคลานเข้าไปหาวิลในขณะที่เจนัสเองก็ย่างตามไป เพื่อหมายจะเก็บพวกเขาเสีย “ วิลชั้นไม่รู้หรอกนะว่านี่มันเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่ เราจะต้องทำให้ความหวังมันเกิดขึ้นเองแล้วล่ะ ” Lr กล่าวข.ณะที่ยกดราก้อนฮอลลี่ ขึ้นมา มันส่องแสงวาบออกมาซึ่งแม้วิลจะยัง งงๆอยู่แต่ก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสิ้นหวังหรือเอาแต่รอความหวัง และทันทีที่พวกเขาเข้าใจถึงจิตใจซึ่งกันและกัน ผลันดราก้อนฮอลลี่ ก็ส่องแสงสว่างสีเขียววาบขึ้นมา ซักครู่ก่อนที่มันจะพุ่งขยาย ตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าและแตกกระจายออก กับการปรากฎของวงแหวนพลังงาน ขนาดใหญ่ หมุนวนรอบอยู่อย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆหมุนเร็วขึ้นและดูดเอาละอองพลังงานรอบๆกลับเข้ามาสะสมในวงแหวน และยิงส่งลงสู่ร่างของทั้งสอง ภายในแสงนั้นร่างทั้งสองหลอมรวมกันเป็นหนึ่งก่อนจะค่อยๆเติบโต ขึ้นเรื่อยๆและลอยขึ้นสู่นภา Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 15, 2008, 05:56:50 PM ก่อนที่เสาพลังงานสีเขียวนี้จะสลายลงพร้อมกับลมพายุที่พัดอย่าง บ้าคลั่งก่อนจะสงบลงพร้อมกับการ
ปรากฏตัวของอัศวินมังกรกายสีเขียวมรกต สยายปีกเพียงข้างเดียว ดาบที่ถือไว้ในมือก็แตกต่างจากดาบของร่างก่อนหน้านี้ทั้งสองร่าง ปลายคมดาบเป็นหยักร่องเหมือนขนนก ด้ามดาบบิดเกลียวและหยักเป็นแหลมที่ปลาย สายตาทอดยาวออกไปราวกับจะเมินทุกสรรพสิ่งในสายตา อัศวินมังกร ตวัดดาบอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงหวีดหวิวจากการเสียดสีของอากาศ ก่อนที่จะตวัดดาบทิ้งอย่างแรง จนคลื่นลมที่เสียดสีกันเมื่อครู่ พุ่งลงสู่เบื้องร่าง เกิดเป็นลม พายุพัดอย่างบ้าคลั่งจนผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างไม่อาจทรงตัว อยู่ได้ “ แม้ไร้ตัวตนแต่ก็ไม่ไร้อิสระ แม้หวาดกลัวก็จะไม่สิ้นหวัง เพราะเราคือสายลมที่พัดพาความหวังนามของเราคือทาเวนทอส(Thaventos, the dragoon of Thaliwilya) ” อัศวินมังกรทาเวนทอสกล่าว ก่อนจะทะยานออกไปด้วยความเร็วจนไม่อาจมองตามได้ทัน ร่างของสมิงทั้งสี่ที่ถูกลมพายุหอบพัดอยู่ทำให้ทรงตัวไม่ได้ เคาท์เพนกวินที่เห็นเช่นนั้น จึงพากันออกมารับตัวนอฟฮอฟ กับเฟินกอลโลมาหลบที่หลังต้นไม้ด้วย (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-708276.jpg) ทันทีที่เคาท์เพนกวินพาทั้งคู่ไปหลบแล้ว เมทาไนท์ที่พอจะเดาได้ว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น จึงรีบทะยานตัวออกไปหลบให้พ้นรัศมีลม และทันทีที่ในพื้นที่เหลือเพียงแต่สมิงทั้งสี่ ก็มีเงาอะไรบางอย่างพุ่งไปมาอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าชนสมิงทั้งสี่ที่ลอยเคว้งด้วยความรุนแรง โดยที่ไม่อาจป้องกันตัวได้ จนเมื่อลมสงบลง สมิงทั้งสี่ก็ร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับสภาพอิดโรย จากการโจมตี เงาที่พุ่งชนเมื่อครู่ พุ่งลงมายืนตรงหน้าพวกเขาด้วยความรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็คือทาเวนทอสที่เคลื่อนไหว ด้วยความเร็วสูงน่ะเองสมิงทั้งสี่ยังคงไม่ยอมจำนนแต่โดยดี พยายามฝืนลุกขึ้นมาสู้ต่อ “ Ventus et Dragos ” สิ้นคำทาเวนทอสก็ควงดาบในมือเป็นวงพัดอย่างรวดเร็ว ก่อน จะตวัดสะบัดดาบให้หยุดซึ่งคลื่นพลังที่ เกิดจาการควงนั้นทันทีที่แหล่งกำเนิดหยุดการทำงาน มันก็พุ่งเป็นลมหมุนเข้าใส่พวกสมิงทันทีโดย เมื่อลมนั้นพัดถาโถมใส่พวกสมิงก็พัดเอาก้อน เศษหินเศษดิน ขึ้นมาด้วยและเมื่อมันพัดผ่านไป แทนที่จะสลายไป มันกลับพัดวนทิศกลับมาถาโถมใส่พวกเขาอีก โดยที่วนอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยและทันทีที่พายุสลายลง สมิงหมาป่าสีเงินกับสมิงแมวป่าก็ล้มลงหมดสติ แต่ทว่าสมิงหมาป่ากับสมิงพังพอนกลับหายตัวไป ทาเวนทอส สอดส่ายสายตาหาตัวทั้งสองทันที แต่ไม่ทันไร ก็มีแสงสีครามถูกยิงลงมาจากด้านบน ซึ่งแม้ทาเวนทอสจะเอี้ยวตัวหลบทัน แต่ปีกและแขนของเขาก็กลายเป็นน้ำแข็งไป ซึ่งแสงนั่นมาจากจันทราดวงที่สามนอก จากพระจันทร์ปกติและจันทราสีเลือด นั่นคือจันทราสีคราม “ กรรรรร ” เสียงคำรามของสมิงหมาป่าสีดำดังลั่น พร้อมกับร่างของมันพุ่งเข้าชนร่างของทาเวนทอสที่เริ่ม จับตัวเป็นน้ำแข็ง ทำให้เขาไปม่อาจหลบพ้นได้และโดนกระแทกตกลงไปยังแอ่งน้ำตกเบื้องล่าง “ กีซซ ”(วิล) เฟินกอลโลที่ยังคงประคองสติเอาไว้ได้ ร้องเสียงหลงพร้อมกับวิ่งออกไปจากหลังต้นไม้ทันที โดยที่ไม่มีใครห้ามไว้ทัน เมทาไนท์ที่หลบอยู่คิดจะพุ่งออกไปช่วยแต่ก็ถูกขวางไว้โดย สมิงพังพอน เฟินกอลโลที่วิ่งออกไปนั้นก็ได้กระโดดตามทาเวนทอสลงไปโดยไม่แม้แต่หยุดคิด “ ที่แล้วมาชั้นไม่เคยเปิดใจรับใครเลย ได้แต่หลอกตัวเองมาตลอดว่าไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนด้วยแต่เธอ..เธอที่ช่วยทำให้ชั้นเข้าใจ และเปิดใจยอมรับมันได้ ในเมื่อเธอเองยังไม่ละทิ้งความหวังจนถึง ที่สุดล่ะก็ชั้นก็จะซื่อสัตย์ต่อตัวเองด้วยเช่นกันนี่คือความตั้งใจจริงของฉัน ” เฟินกอลโลคิดขณะที่ดิ่งตามลงไปโดยเขา พยายามว่ายตามน้ำตกลงมาเพื่อเพิ่มความเร็วให้ทันร่างของทาเวนทอส ที่ร่วงลงมาก่อน และทันทีที่เขาสัมผัสตัวของทาเวนทอสได้ ร่างของทาเวนทอสก็เปล่งแสง และแยกกลับเป็น Lr และวิลตามเดิมก่อน ที่ดราก้อนฮอลลี่จะส่องแสงสีฟ้าวาบออกมาอาบร่างของเฟินกอลโลและ Lr ไว้และพุ่งขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้งเหมือนกับที่แปลงเป็นทาเวนทอส วงแหวนแสงสีฟ้าที่หมุนวน รวบรวมเอาละอองพลังงานเข้ามารวมกันและยิงส่งสู่ร่างของทั้งสอง ก่อนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เงาร่างของทั้งสองที่รวมกันนั้นพุ่งหายเข้า ไปในน้ำตกพร้อมกับแสงสีฟ้าที่สลายไปและร่างของวิลที่หายไปแล้ว หลังจากที่แสงหายไป ทุกคนที่อยู่บนยอดน้ำตกก็หยุดนิ่งไปชั่วครู่ ด้วยแรงสะเทือนของยอดเขา และแล้วสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็บังเกิดขึ้นน้ำตกได้ไหลย้อนกลับ ขึ้นมายังยอดด้วยความเร็ว จนมันปะทะเข้ากับชะง่อนผาและแตกกระจาย พร้อมกับการปรากฏกายของ อัศวินมังกรกายสีฟ้าอมเขียวน้ำทะเล มือข้างนึงจับดาบที่เล่มหนาซึ่งบิดเล็กน้อย ส่วนอีกมืออุ้มร่างที่เปียกปอนของวิลที่หมดสติ เอาไว้ “ Great of Dragon ”(ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) สิ้นคำ มังกรพลังงานสีฟ้า ก็พุ่งขึ้นมาจากน้ำที่ไหลย้อนกลับจำนวนสี่ตัวก็พุ่งตรงไปยังร่างของเจนัสและเครสเซนท์ แต่ทั้งคู่ก็หลบได้ และอ้อมมาล้อมตัวอัศวินมังกร แต่แล้วดวงตาของอัศวินมังกรก็ส่องประกายวาบออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะควงดาบ เป็นวงพัดเหมือนกับท่าที่ทาเวนทอสใช้ “ Ventus et Dragos ” สิ้นคำลมพายุหมุนแบบ เดียวกับที่ทาเวนทอสใช้ก็พัดออกมาจากดาบและถาโถมใส่สมิงทั้งสอง จนร่วงลงสู่พื้น พร้อมกับที่อัศวินมังกรกระโดดลงสู่พื้นด้วย ก่อนจะยันตัวขึ้นตั้งท่า “ เหล่าผู้ลุ่มหลงในความกลัวเอ๋ย จงชะโงกดูเงาสะท้อนใน นที แล้วประจักษ์ความเป็นตนแก่สายตาทาลิควาส(Thaliquas, the Dragoon of Thaliwilya) ” อัศวินมังกรทาลิควาส กล่าว แต่ทว่าเจนัสกับเครสเซนท์ก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง และยังไม่ทันที่จะได้คิดแสงสว่างก็ๆได้สาดส่อง ลงมาตกกระทบกับร่างของพวกเขาทุกคน รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ได้มาเยือนแล้ว (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-918189.jpg) ทันทีที่เจนัสและ เครสเซนท์ถูกแสงแดดร่างของพวกเขาก็มีควันไฟโชยออกมา ก่อนจะดิ้นพล่าน ราวกับโดนไฟลนไม่ต่างไปจาก นีน่าและลากูน่าที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ศิลาจันทราที่ส่องแสงวาบอย ู่ก็จางแสงลงพร้อมจันทรามนตราทั้งสองดวงที่สลายสิ้นไป และเมื่อดวงตะวันขึ้นเต็มดวงสมิงทั้งสี่ก็หยุดดิ้นก่อนจะล้มฟุบลง พร้อมกับควันสีดำพวยพุ่งออกมาตลบอบอวล พวกเขาทั้งสี่ได้กลับร่างเดิมแล้ว “ จบซะที ..ช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนานเสียจริงๆ ” ทาลิควาสกล่าวก่อนที่ร่างจะเรืองแสง แยกกลับเป็น Lr และเฟินกอลโล ตามเดิม …………… ………………… ……………………….. “ โอ็ยยยย เจ็บ เจ็บ ” Lr ร้องเสียงหลงด้วยความ เจ็บปวดจากบาดแผลที่ศรีษะเพราะลากูน่ามัดผ้าพันแผลแน่นเกินไป “ เบา เบา หน่อยสิ ” Lr ขอร้องให้ลากูน่าผ่อนแรงลงซึ่งตัวลากูน่าเองพยายามเต็มที่แล้ว แต่เพราะไม่เคยมีปรสบการณ์ทำแผลให้ใคร จึงทำให้เค้าใช้แรงมากเกินจำเป็น “ แค่นี้เองทนหน่อยน่า แล้วไอ้ผ้าพันแผลนี่มันยังของมันนะพันยากพันเย็นจริงๆ ” ลากูน่าบ่นอุบอิบหน้ามุ่ยคิ้วขมวดกับพ้าพันแผลที่พันกันจนวุ่นไปหมด “ เอาล่ะๆ พอเลย เดี๋ยวฉันทำเอง ลากูน่าเธอไปล้างตัวได้แล้วล่ะ ” นีน่าเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาที่นั่ง ทำแผลอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้กับบึงใต้น้ำตกที่ไหลลงมาจากยอดผา ซึ่งพอนางเดนมาถึงก็จัดแจงแกะผ้าพันแผลที่พันกนเละเทะออกจาก ตัวทั้งสองคน “ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ไหงตื่นมาตัวถึงระบมไปหมดงี้นะ แถม… ” ลากูน่าหยุดกล่าวไปกลางคัยเมื่อ กลิ่นคาวปลาและซอสมะเขือเทศโชยออกมาจากตัวเค้า ทันทีที่กลิ่นอันแสบทรวงนี้ ถูกดมด้วยประสาทจมูกที่ยอดเยี่ยมของครึ่งสมิง กลิ่นนี้ ก็แรงขึ้นเป็นเท่าตัว จนทำเอาเค้า แทบจะหน้าเป็นลม สีหน้าบอกบุญไม่รับแบบสุดๆ กับกลิ่นคาวปลานี้ ซึ่งนั่นทำเอานีน่าอมยิ้นหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ “ แถมยังมีกลิ่นคาวปลาแล้วยังน้ำแดงๆเหนียวๆนี่อีก ” ลากูน่ากล่าวด้วยความรำคาญ “ เหรอแต่พี่สาวว่ามันก็ไม่ค่อยเหม็นเท่าไหร่หรอกนะ ” นีน่ากล่าวเหน็บลากูน่าเป็นการเอาคืน จากเมื่อวานที่นางโดนเค้าเหน็บเรื่องสกาโล่ ซึ่งทำเอาลากูน่า หงุดหงิดเล็กน้อย ที่ถูกเอาคืน “ แหงสิก็พี่เป็นแมวนี่นา ” ลากูน่ากล่าวกระแหนะกระแหน ดดยไม่ได้คิดทบทวนคำพูดของตนเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่หลุดคำพูดออกมา ทั้ง Lr และนีน่าแทบจะหยุดกึก ทันที “ ลากูน่าเมื่อก็นายเรียกนีน่าว่ายังไงนะ ” Lr ถามย้ำอีกครั้งด้วยความฉงน ซึ่งลากูน่าเองก็งงๆกับ ท่าทีของเขาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจึงตอบปัดกลับไป “ ก็เรียกว่าพี่ไง พี่สาวน่ะ ก็เค้าแก่กว่าชั้นกับนายปีนึงนี่ ” ลากูน่าตอบซึ่งนั่นเองก็ทำเอา Lr อ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ “ แหมๆลากุ ล่ะก็เดี๋ยวนี้ยอมเรียกพี่สาวแล้วเหรอจ้ะ ว่าแต่…. ” นีน่ากล่าวแทรกขึ้นมาเสียงใสแต่ก้หยุดกึกเอากลางคันแล้วยื่นหน้าเข้าไปหา ลากูน่าพร้อมกับตีสีหน้าฉุนเฉียว ใส่เขา “ แต่ที่ว่าแก่เนี่ยรับไม่ได้ มาว่าพี่แก่เรอะลากุ ย้าาาาา ” นีน่ากล่าวจบจบก็กดสวิตซ์ที่ด้ามปืน เพื่อเรียกให้แคริอุส ทิ้งอาวุธลงมา ใส่เขา “ จ้ากกกกก ” ลากูน่าร้องเสียงหลงทันทีที่อาวุธจำนวนมหาศาลถูกโยนลงนับไม่ถ้วนแต่เค้าก็วิ่งหลบได้หมด “ แฮ่กๆ ทำอะไรของพี่เนี่ยเล่นเอาตกอกตกใจหมด แล้วก็อย่าเรียกผมว่าลากุเฉยๆนะ ” ลากูน่ากล่าวขณะที่หอบแฮ่กอยู่ท่ามกลางกองอาวุธที่หล่นลงมา ซึ่งนีน่าก็ยืนหัวเราะร่า ในขณะที่ Lr กับพวกลูกมังกรอีกสามตัว ยืนมองเหตุการณ์ตาค้างด้วย ความตกใจสุดขีด “ นี่เค้าเล่นกันแรงงี้เลยเรอะ ” Lr คิดอย่างหนักใจกับ เหตุการณ์ตรงหน้าอย่างที่สุด แต่เมื่อเค้าคิดขึ้นมาได้ว่าไลท์ กับเอิธท์ยังไม่ฟื้นซักทีก็เริ่มที่จะเป็นห่วง และทันทีที่ลากูน่าเห็นสีหน้าของ เขาเปลี่ยนไปก็เดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย “ นี่กังวลอะไรอยู่เหรอ ” ลากูน่าถาม Lr จึงหันมามองเขาด้วยสีหน้าแฝงความหวังไว้นิดๆ “ ไลท์กับเอิธท์ยังไม่ฟื้นเลย เมื่อคืนพวกนายทำอะไรพวกเค้ารุนแรงรึเปล่า ” Lr คะยั้นคะยอซึ่งลากูน่าเงก็ทำหน้างงๆ พร้อมกับเอามือเกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ “ จำไม่ได้ หรอกเพราะตอนที่พวกเราอยู่ในสภาพนั้นน่ะเราก็เบลอไปหมดแล้วถ้า ยังไงพาชั้นไปดูหน่อยสิเผื่อจะรู้ว่าเป็นอะไร ” ลากูน่ากล่าวจบ Lr เดินนำลากูน่ากับนีน่าไปที่ใต้ต้นไม้อีกต้นซึ่งพวกนอฟฮอฟกำลัง เช็ดตัวทั้งสองที่หมดสติอยู่ ทันทีที่ลากูน่า เห็นเค้าก็ก้มลงเอามือลูบที่หน้าผากขงมังกรน้อยทั้งสอง ที่สลบไสลไม่ได้สติอยู่ ก่อนจะพึมพำคถา ออกมา ซักครู่ก็เกิดแสงสว่างวาบออกมาจากฝ่ามือของเขา Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: greamon on June 15, 2008, 05:57:19 PM ก่อนที่ควันสีดำจะโชยออกมาจากร่างของลูกมังกรทั้งสอง และถูกดูดกลับเข้าไปในแสงนั่นและจางลง
ทันทีพร้อมกับที่ลูกมังกรทั้งสอง ได้สติ และลุกขึ้นมามองสภาพรอบๆด้วยความงุนงง Lr ที่เห็นทั้งสองฟื้นขึ้นมาก็โผเข้ากอด ทั้งสองด้วยความดีใจพร้อมกับเพื่อนๆมังกรที่พลอยโล่งอกไปด้วย สงสัยเมื่อคืนจะโดนเวทย์นิทราของชั้น ไปเองน่ะล่ะเพราะดูจากอากการหลับลึกแล้วน่าจะใช่ ลากูน่าอธิบายซึ่งไลท์ที่แม้จะยัง งงๆกับสภาพรอบตัวแต่ก็อยากจะไขข้อสงสัยบางข้ออยู่เต็มที จึงกล่าวออกไป นี่แล้วเมื่อคืนทำไมพวกนายถึงหายตัวไปล่ะ แถมจำได้ลางๆว่าชั้นเจอพวกนายตอนเป็นสมิงแล้วจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย ไลท์ยิงคำถามใส่พวกเขาเป็นชุด จนตอบไม่ถูกสุดท้ายนีน่าจึงสรุปให้ฟังโดยรวม คือว่าเมื่อคืนน่ะ พระจันทร์มันโดนบังเอาไว้อยู่เราเลย ไม่รู้ว่ามันเป็นวันแห่งการคืนกลับสู่สัญชาตญาณน่ะ พอรู้ตัวอีกทีก็คุมตัวเองแทบไม่ได้แล้วเจนัสเลยบอก ให้พวกเราไปหลบอยู่ในคฤหาสน์ร้าง นั่นจะได้ไม่ไปทำร้ายพวกเธอน่ะเพราะในสภาพนั้น นอกจากสมิงด้วยกันเราจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเลย ถ้ายังไงก็ขอโทษด้วยนะ ว่าแต่แผลที่หัวนี่ใครทำเหรอเพราะว่าฉันไม่น่าจะแรงเยอะยังงี้นา นีน่ากล่าวซึ่งคำถามตอนท้ายที่นางถาม ลากูน่าแทบจะอยากค้านอยู่เต็มแก่ เพราะตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านแหลมทวีปนาง ลากเค้าไปร้านเสื้อผ้าได้สบายๆเลยขนาดว่าเค้าออกแรงยื้อเอาไว้แล้ว แต่ ก็ไม่ได้กล่าวตัขึ้นมาเพราะต้องการจะรู้เหมือนกัน แต่ทว่า Lr ยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงแทรกเข้ามาซะก่อน แผลนั่นน่ะจากชั้นสินะ ทันทีที่ทุกคนหันไปยังต้นเสียงก็ เห็นเจนัสที่เดินขึ้นมากับพวกเคาท์เพนกวินจากแอ่งน้ำตก เขาเดินเข้ามาใกล้ Lr แล้วดก้มลงดูอาการของเขา อย่างถี่ถวนก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เฮ้อ..นายนี่โชคดีนะที่ไม่โดนหนักมาก เพราะรายสุดท้ายที่โดนเมื่อสองปีที่แล้ว ทหารข้าศึกโดนหักกระดูกจนแหลกไปทั้งตัวเลย เจนัสกล่าวซึ่งประโยคของเขาทำเอา Lr เสียงวาบไปถึงกระดูก ที่ตนยังรอดมาได้ แต่แล้วการสนทนาก็ต้องหยุด ไปเมื่อผุ้มาเยือนอีกสองคนเดินอ้อมมาจากอีกฟากของแอ่งน้ำตก เมทาไนท์ที่ตอนนี้กลับมาใส่ชุดเกราะตามเดิมแล้ว เดินคู่มากับเด็กหนุ่มครึ่งสมิงผมสีทอง เครสเซนท์หรือริคุน่ะเอง ทันทีที่เครสเซนท์เดินตรงเข้ามา ลากูน่ากับนีน่าก็ไม่รอช้ารีบเตรียมตั้งท่า พร้อมประจัญบาญทันทีแต่ทว่าเจนัสกลับยกมือขึ้นปรามเอาไว้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ทั้งคู่ก็ ยอมวางมือ เจนัสที่มองลึกเข้าไปในดวงตาของเครสเซนท์ ก็มีสีหน้าประหลาดใจ ขึ้นมา และแม้ว่าเครสเซนท์จะเดินใกล้เข้ามาเรื่อยจนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แล้วก็ตามเขาก็ยังไม่มีทีท่าจะป้องกันตัวแต่อย่างใด เครสเซนท์ที่เห็นดังนั้นก็ หลับตาลงถอนหายใจก่อนจะลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาให้ชัดๆอีกที นายคงเป็นคนเดียวเลยมั้งที่ดูออกว่าเป็นชั้นเองน่ะ เครสเซนท์กล่าวซึ่งคำพูดของเค้าทำเอา พวกลากูน่าและ Lr งงไปตามๆกัน ริคุนี่นาย เจนัสกล่าว ออกมาได้เท่านั้นเพราะเค้าเองถึงจะมั่นใจแล้วว่าเครสเซนท์ตอนนี้คือริคุตัวจริง แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองอยู่ดี ชั้นรู้นะว่ามันเชื่อยากแต่สิ่งที่ชั้นจะบอกต่อไปนี้คือความจริง . ริคุกล่าว ก่อนจะเริ่มเล่าความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีก่อนทั้งหมด หลังจากที่เค้าเสียชีวิตลงเพราะการประลองกับเจนัส อยู่ๆเค้าก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในความมืดมิดอาการเจ็บจากบาดแผลและรอยฟกช้ำก็หายไปทั้งหมด ในตอนนั้นเค้าคิดว่าตนได้ตายไปแล้ว แต่ทว่าผลันแสงสว่างก็ถูกส่องสว่างจ้าขึ้นมา และเมื่อเค้าปรับสายตาให้ชินกับความมืดเค้าก็ได้เห็นว่าตน อยู่ในห้องโถงประชุมขององค์กรนั่นเอง ที่ตรงหน้าเค้าคือบัลลังค์ของท่านผู้นั้น เครสเซนท์เจ้าได้ฟื้นคืนขึ้นมาจากความตายอีกครั้งด้วยอำนาจของข้าแล้ว จากนี้ไปเจ้าจะต้องรับใช้ข้าด้วยชีวิต เสียงของท่านผูนั้นก้องกังวานลงมา ยังเบื้องล่าง และอยู่เค้าก้รู้สึกว่าในตัวเค้ามีอะไรบางอย่างกำลังคืบคลาน ออกมาเค้าพยายามจะฝืน ไม่ให้มันออกมาแต่ก้ไม่อาจต้านทานกับอำนาจของมันได้ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีเค้าก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ตามที่คิด จากรายงานที่เซอร์เซสส่งมาเจ้าเป็นผู้ที่แนวดน้มจะทรยศและ ก่อกบฏขึ้นในองค์กร จึงต้องทำให้เจ้าตายและคืนชีพขึ้นมาโดยมีจิตอีกด้านของเจ้าเป็น ผู้คุมชะตาของเจ้า จากนี้ไปเจ้าคือ 12 เทพขุนศึก เครสเซนท์ เสียงของท่านผู้นั้นกังวานงมาอีกครั้ง และตัวเค้าก็โค้งลงรับคำ โดยที่ไม่อาจคุมไว้ได้ราวกบตอนนี้เค้าถูกใครบางคนใช้ร่างอยู่ ซึ่งในตอนนั้น 12 เทพขุนศึกอีกคนที่สวมผ้าคลุมดำปิดหน้าปิดตา ซึ่งพวกเค้าเรียกว่านักประดิษฐ์ก็เดินเข้ามาและสวมเข็มขัด ที่มีกลไกแปลกๆให้กับเค้า ก่อนที่ชิ้นส่วนชุดเกราะสีดำจะถูกประกอบเข้ากับร่างของเขา และจากนั้นเป็นต้นมา เค้าจึงได้รู้ว่าตอนนี้ได้มีจิตอีกด้านนึงคอยบงการร่างของเขาอยู่ ส่วนเค้าทำได้เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ภายใน จิตใจส่วนลึกเท่านั้นนานๆครั้งเมื่อจิตอีกด้านอ่อน แรงลงตัวเค้าจึงจะออกมาด้านหน้าได้ หลังจากที่อธิบายจบ พวกเจนัสเองนั้นแม้จะไม่อยากเชื่อแต่ก็ไม่ม ีอะไรที่จะมาอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้นอกจากที่เค้ากล่าวมาอีกแล้ว อย่างที่เล่าไปนั่นล่ะ ตอนนี้ชั้นอาจจะยังประคองสติไว้ได้อยู่แต่อีกไม่นานจิตใจอีกด้าน (AnotherMind)ของชั้นมันก็คงจะตื่นขึ้นมาแล้วล่ะเพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้พวกนายต้องลำบากชั้นควรจะรีบๆไปจากนี่จะดีกว่า ริคุกล่าวจบก็กดสวิตซ์ที่เข็มขัดผลันเกิดช่อง ว่างมิติขึ้นในอากาศและเมื่อเค้าจะดนเข้าไป เจนัสพยายามจะเรียกให้เค้าหยุดไว้ก่อนแต่ ทว่าเค้ากลับหน้ามามองเค้าด้วยแววตา เศร้าๆชั่วครู่ก่อนที่มันจะจาง หายไป เขามองไปที่ Lr (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms2008831172624.jpg) นายน่ะชื่อลอว์เรนซ์ใช่มั้ย เขาถามซึ่ง Lr เองก็พยักหน้ารับ ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรแต่ตอนนี้องค์กร กำลังจ้องจะจับตัวนายอยู่ถ้ายังไงก็ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ เค้ากล่าวเตือนซึ่งนั่นก็ทำให้ตัว Lr เองแปลกใจไม่น้อยกับคำพูดของเขา ริคุหันไปมองเจนัสอีกครั้งก่อนจะเอ่ยทิ้งท้าย ถ้าเจอกันครั้งหน้าชั้นจะไม่ใช่ชั้นอีกต่อไปเตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ เค้ากล่าวจบก็หายวับเข้าไปในประตูมิติที่ค่อยๆปิดลง อย่างรวดเร็วโดยไม่ได้มีดอกาสบอกลา แม้แต่น้อย ริคุ เจนัสเอ่ยชื่อของเขาออกมาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ซึงลากูน่ากับนีน่าเองก็ถึงกับทรุดลง เมื่อได้รู้ความจริงของการมีชีวิตอยู่ของริคุ เพื่อนสนิทที่คิดว่าตายไปแล้ว และยังอำนาจในการคืนชีพ ผู้ที่ตายของท่านผู้นั้นอีกด้วยทำให ้หนทางที่พวกเค้าจะต่อกรกับองค์กรได้นั้น ยิ่งริบหรี่ลงเรื่อยๆ เพราะอย่างนี้สินะ เหล่าผู้คนใน ประวัติศาสตร์ที่ได้ตายลงใน ยุคสงครามแห่งเมอริเซียถึงได้ยังมีชีวิตอยู่ได้ เมทาไนท์กล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจะออกเดินไปแต่ Lr ก็เรียกเค้าเอาไว้ก่อนจนเค้าต้องหยุดชะงักหันกลับไป ทำไม ท่านถึงได้คอยตามช่วยเหลือพวกเราตลอดเลยล่ะ แล้วยังเสื้อเกราะที่ระเบิดออกได้นั่นอีกนั่นน่ะเหมือนกับของที่ ริคุใช้เลยนะ ท่านเป็นใครกันแน่ Lr ถามแต่ดูเหมือนว่า เมทาไนท์จะเมินเฉยต่อคำถามของเขา ก่อนจะล้วงเอาสายคาดข้อมือขึ้นมาแล้วส่งให้กับเขา ก่อนจะออกเดินไปอีกครั้ง นั่นคือคำตอบแล้วซักวันเจ้าจะเข้าใจเอง เมทาไนท์กล่าวโดยไม่หันกลับมามองทิ้งไว้ แต่เพียงสายคาดที่สลักตัวอักษรเอาไว้ว่า Laurence & Garet เท่านั้น นี่มัน Lr เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับล้วง เอาสายคาดอีกเส้นที่ไหม้ไฟจนเหลือเพียงแค่คำว่า Laurence อยู่บนสายคาดเท่านั้นขึ้นมาเทียบ นี่มันหมายความว่ายังไกัน กาเร็ท(Garet)คือใครกันแน่ Lr คิดอย่างสับสน บัดนี้มีเพียงเสียงน้ำที่ไหลลงมาตก กระทบกับโขดหินเบื้องล่างที่ดังก้องอยู่ท่ามกลางวังวนแห่งความสับสนนั้น . . เช้าวันต่อมาที่หน้าคฤหาสน์ร้าง หลังจากที่ล่ำราเคาท์เพนกวินและลูกน้อง พวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อไปโดยมีจุดหมายคือเมืองทีนวาแลนทางเหนือ หลังจากที่พวกเขาเดินป่ามาได้ซักสองสามชั่วโมงพวกเขาก็พบที่ราบลุ่ม อันเป็นที่ตั้งเมืองทีนวาแลน สายลมที่โบกพัดโชยกลิ่นหญ้าตลบอบอวลไปทั่ว พวกเขายิมออกทันทีก่อนที่จะ ตรงต่อไปยังเมืองทันที โดยที่เอิธท์คอยเดินรั้งท้ายกลุ่มเอาไว้ จนเมื่อเห็นว่าทุกคนวิ่งล่วงหน้าไปกันหมดแล้ว จึงหยุดเดิน แววตาของเขาลุวาวเป็นสีแดงขึ้นมาทันที ออกมาได้แล้วน่า เอิธท์กล่าวออกมา เป็นภาษามนุษย์ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งไม่เหมือนเสียงของเขาทุกที ผลันก็เกิดสายฟ้าฟาดลงข้างหลังตัวเค้าพร้อมกับการมาของ บุคคลทั้งสองและเทอเรี่ยนสีดำอีกหนึ่งตัว คนนึงเป็นหญิงสาวแววตามาดร้ายแบกดาบเล่มใหญ่เอาไว้บนบ่า อีกมือลูบหัวเจ้าเทอเรี่ยนสีดำ ด้วยความเอ็นดู ซึ่งมันก็เชื่องกับนางราวกับลูกแมว ส่วนอีกคนสวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้าเอาไว้จนมิดชิด ในมือถือกรง ซึ่งขังแมวขนสีขาวที่หลังของมันมีปีกค้างคาวยื่นออกมา ซึ่งมันมีรูปร่างเหมือนแมวดาร์คเดสทินี่ (Dark Destiny)ทั่วไป แต่ต่างตรงที่ว่าตัวมันเป็นสีขาวปลอดทั้งตัว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/72.jpg) พวกมันมาถึงกันแล้วสินะ หญิงสาวถาม ใช่พร้อมกับเจ้าจอมเวทย์น้อยสองตัวนั้นด้วย เอิธท์กล่าว ซึ่งนางก็ยิ้มขึ้นมาทันที ดีจะได้เก็บกวาดเสียให้หมดๆไปทีเดียวเลย นางกล่าวก่อนจะหัวเราะด้วยกระหยิ่มผยอง โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า หลังจากที่พวก Lr เข้าไปในเมืองทีนวาแลน ก็ได้เห็นใบประกาศจับของ เรโค่และเซโร่ เอิธท์ที่มีท่าทีแปลกๆไป ได้ชักจูงให้พวกเขาได้พบเจอกับ เรโค่และเซโร่ จนเกิดการปะทะกัน แต่นิทินโคที่อยู่ด้วยก็ออกมาห้ามพวกเขาไว้ เหล่าชาวเมืองทีนวาแลนที่ถูกหลอกลวงว่าพวกเซโร่เป็นคนโจมตีเมืองด้วยกองทัพ ทหารผีต่างพากันมาล้อมหน้าล้อมหลังพวกเขาไว้ อดีตที่ทำให้นิทินโคต้องตัดสายสัมพันธ์กับ Lr และท่าทีที่เปลี่ยนไปของเอิธท์คืออะไร เมื่อสิ่งที่ทุกคนลงความเห็นแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกแม้จะไม่ยุติธรรมแต่นั่นก็คือคุณธรรมไม่ใช่รึ คำพูดที่ดังก้องอยู่นั้น ถึงมันจะเป็นคุณธรรมสำหรับพวกเค้าแต่การที่ต้องแลกมาด้วยความเสียสละของใคร บางคนนี่น่ะเหรอคือคุณธรรมน่ะ ชั้นไม่มีวันยอมรับมันเด็ดขาด จงเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมนะไฟร์เพราะน้องคือ..น้องของพี่ พี่คร้าบบบบบบบบบบ อุดมการณ์ที่ถูกเหยียบย่ำ และสายสัมพันธุ์ที่ฟื้นคืนกลับมา เพราะเป็นคุณแก่ตน ถึงได้เรียกมันว่าคุณธรรมงั้นเหรอ..ถึงมันจะจริงแต่นั่นก็ไม่ใช่คุณธรรมที่แท้จริงหรอก สิ่งที่นำไปสู่ขุมพลังอันยิ่งใหญ่คีย์เวิดร์นั้นคือ .. คุณธรรมที่แท้จริงจะไม่เกิดจาจากความกลัว นามของข้าจะเป็นเพลิงแห่งคุณธรรมเผาผลาญความกลัวแห่งปีศาจให้วอดวาย . ตอนหน้าบทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม และแล้วก็จบลงไปแล้วนะครับกับอีกบทนึง ว่าแต่เมื่อวานคุณ boy มีอะไรรึเปล่าครับเห็นส่งข้อความา บทนี้รู้สึกงงๆ กับการบรรยายฉากไหมครับผมเองยังมึนตึ้บเลย และเพราะบทนี้แปลงร่างทีสองตัวเลย เล่นกันซะลากเลือดเหอๆถ้ายังไงก็ขอให้อ่านสนุกๆอย่าซีเรียสกับบทนี้นักเลยครับ เพราะมันวุ่นจริงๆ เหอๆอะไรเป็นอะไรมั่วไปหมดแย้วอ้อได้เวลานับถอยหลังละ End Time 3 Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัตย์ Post by: boy on June 15, 2008, 09:14:32 PM สนุกจังเลยแถมรู้สึกสนุกเป็นพิเศษ
ปล.เอิร์ทแย่แล้ว ::019:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัต Post by: greamon on June 17, 2008, 01:43:55 AM ตอนใกล้เข้าไคลแมกต์และกำลังจะจบช่วงที่สองแล้วนะครับบางทีอาจจะเห็นว่าช่วงนี้แปลงร่างถี่มาก
เลยเพราะอยากจะบอกว่าใกล้ จบช่วงสอง The Dragoon Age แล้ว และจะเริ่มช่วงสามซึ่งจะเข้มข้นยิ่งกว่าเดิมอีกเพราะ จะเริ่มเข้าใกล้จุดแตก หัก ขึ้นทุกทีๆแล้ว ดังนั้นหากในช่วงนี้อ่านแล้วเจอเรื่องน่าตกอกตกใจบ่อยๆ หรือการไขปริศนาที่ทิ้งเอาไว้ กระจ่างออกมามากมาย นะครับส่วนบทที่แล้วถ้าสนุกก็ดีแล้วล่ะครับเอว่าแต่ทำไม เอิธท์ถึงเป็นยังงั้นน้องั้นจะใบ้ให้นะครับลองกลับไปดูบทที่ 16ดูครับแล้วจะกระจ่างขึ้นเยอะ เพราะบทนั้นมีเงื่อนงำออกมามากเลยทีเดียวครับ ถ้าหาไม่เจอก็รอดูวันอาทิตย์นี้นะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัตย์ Post by: boy on June 18, 2008, 10:18:29 PM รู้สึกเหมือนเงื่อนงำที่ว่าคือเอิร์ทถูกเวทย์จำพวกสะกดจิต ใช่มั้ยครับ ::015::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัต Post by: greamon on June 22, 2008, 07:51:33 PM บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม
สายลมที่พัดโชยไปทั่วตลอดเวลาในที่ราบลุ่มอันเป็นที่ตั้งของเมืองทีนวาแลน ซึ่งเป็นเมืองชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่รอบนอกของเมืองก็ยังมีกำแพงเมืองกั้นล้อมเอาไว้ และยังมีการตรวจคนเข้าเมืองอย่างเหมาะสม ภายในเขตเมืองมีต้นไม้ถูกปลูกเป็นแนวยาวไปตามถนน สีขาว อาคารบ้านเรือนมีรูปร่าง เป็นทรงกระบอกเสีย ส่วนใหญ่ เหล่าประชากรในเมืองแห่งนี้ส่วนมากจะเป็นพ่อค่าเร่ และพวกนายพราน เพราะด้วยสภาพของเมืองที่เป็นที่ราบลุ่มจึงชาวบ้านบางส่วนเท่านั้นที่ประกอบการทำไร่ทำนา แต่ทว่าเมืองที่เคยสงบแห่งนี้เมื่อไม่กี่วันมา กลับถูกปิดล้อมโดยเหล่าทหารผีนรก (Necrotrooper) และแม้เหล่าทหารผีนรกจะถูกใครบางคนทำให้เป็น น้ำแข็งและแตกสลายไปจนหมดสิ้นแล้วแต่ชาวเมืองก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้แม้จะไม่มีใครตก เป็นเหยื่อของทหารผีเหล่านั้นเลยก็ตาม แต่ก็เริ่มมีข่าวลือภายในเมืองอย่างหนาหูว่าจอมเวทย์ที่ร้ายกาจที่สุด คือผู้ที่ปิดล้อมเมืองเอาไว้และผู้ที่ทำลายทหารผีนรกก็คือจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกคนเช่นกัน ชาวเมืองต่างพากันคิดไปต่างๆนานาว่า จอมเวทย์ ทั้งสองคิดจะปะทะกันโดยใช้เมืองนี้เป็นสมรภูมิ ในค่ำคืนนึงวันที่จันทราเป็นสีแดงฉาน ได้เกิดฟ้าผ่าขึ้นทั้งที่ไม่มีเมฆฝนผ่าลงมายัง หน้าที่ว่าการอำเภอของเมือง ภายในห้องรับรองของที่ว่าการอำเภอ ชายสูงอายุ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นด้วยความชราของเขาทำให้หนังตาย้อยลง มาปิดตาของเขา ผมสีขาวหงอก บ่งบอกความชราของเขา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมชายแก่ผู้นี้ ถึงได้มา นั่งอยูที่เก้าอี้ไม้ มือทั้งสองข้างเท้าคางไว้บนโต็ะด้านหน้าภายในห้องรับรองของที่ว่าการนี้ และเขามานั่งรอเป็นเวลานานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ แอ้ดดดดดด! เสียงประตูคราดกับพื้นจากการถูกผลักออกดังขึ้น พร้อมกับการมาของคนกลุ่มนึง โดยที่ภายในกลุ่มมีคนนึงเดินแยกเข้ามาหาชายแก่ ก่อนจะทิ้งตัวลง นั่งบนเก้าอี้ ด้านตรงข้ามเชา โดยมีโต็ะไม้คั่นกลางระหว่างเค้ากับ คนกลุ่มนั้น “ ก็อยางที่รู้น่ะล่ะ ว่าตอนนี้เมืองแห่งนี้ไม่ปลอดภัยแล้วเราไม่รู้ว่า จอมเวทย์ทั้งสองจะสู้กันอีกครั้งเมื่อไหร่และครั้งหน้าอาจจะไม่จบแค่นั้นก็ได้ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วเจ้าก็ควรตัดสินใจได้แล้ว ” ผู้มาเยือนกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ทั้งตัวเขาและกลุ่มของเขาล้วนแต่สวมผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด ทุกคน จนไม่อาจรู้ได้เลยว่า ใครเป็นใครบ้าง ชายแก่ค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อมองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างชัดเจน ก่อนจะกระแอ่มไอเล็กน้อย เพื่อทบทวนคำพูดของตน “ อืมจริงอยู่ที่มีความเป็นไปได้แต่เราก็ไม่ควรจะไปกล่าวหาพวกเขานะเพราะเราก็ไม่เห็นกับตาว่าพวกเขา เป็นผู้กระทำเลยไม่ใช่รึ…. ” ชายแก่กล่าว คำพูดของเขาทำเอาอีกฝ่าย ต้องตกตะลึงกับวาจาของเขา “ นี่เจ้าพูดจริงรึ ” อีกฝ่ายถามย้อนกลับมาด้วยความแปลกใจ ชายแก่หรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์ ปฏิกิริยาเมื่อครู่ของอีกฝ่าย “ ความจริงพวกเจ้าคือผู้ที่โจมตีเมืองด้วยกองทัพผีดิบพวกนั้นสินะ…. ” ชายแก่กล่าวดดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่ว่าอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะหมดความอดทน แล้วเพราะผู้ที่มาเจรจาพุ่งตัวลุกขึ้น จนเก้าอี้ล้มโครมไปก่อนจะเอามือทั้งสองข้างกระแทกลงบนโต็ะอย่างแรง แต่ชายแก่ก็ไม่ได้ ขยับหรือมีท่าที สะดุ้งเลย เขายังคงเท้าคางอยู่อย่างนั้นด้วยความสงบเยือกเย็น “ ใช่…พวกข้าเองที่เป็นคนบงการกองทัพผีดิบเหล่านั้นและคนที่มาขัดขวาง ก็คือเจ้าเทพนทีทลายสวรรค์นั่นแหล่ะ รู้อย่างนี้แล้วเจ้าจะทำไมหือ ” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงยียวน เพื่อจะยั่วยวน ให้ชายแก่เสียสมาธิ แต่ทว่าเขากลับไม่สะทกสะท้านใด เพียง แค่ถอนหายใจออกมาราวกับเบื่อหน่าย “ เฮ้อ…แล้วพวกเจ้าจะให้ข้าตัดสินใจอะไรอีกล่ะยังไงซะพวกเจ้าก็คิดจะข่มขู่เราอยู่ดีไม่ใช่รึหาก ปฏิเสธก็ไม่แคล้วโดนบังคับอยู่ดี….แล้วจะมาต่อรองให้เสียเวลาทำไมแล้วแต่พวกเจ้าเถอะ ” ชายแก่กล่าวด้วยความเอือมระอา ซึ่งแม้ว่าน้ำเสียงของชายแก่จะชวนให้หงุดหงิดเพียงใดแต่อีกฝ่ายก็ข่มความรู้สึกนั้นไว้ก่อนจะหันหลัง ก้าวกลับไปที่ประตู และหยุดชะงักเพื่อจะหันกลับมา “ แล้วเราตะได้เห็นดีกันนายอำเภอ… ” เขากล่าวก่อนจะก้าวออกจากห้องไปพร้อม กลุ่มคนที่ตามเขามาพากันเดินตามหลังเขาออกไป ทิ้งให้ชายแก่นั่งอยู่ในห้องเพียงลำพังตามเดิม “ ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำอะไรก็ตาม อย่างไรซะคุณธรรมก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ” ชายแก่กล่าวก่อนที่จะลุกเดินไปปิดประตูห้อง ……………… …………………. ………………………. ในวันรุ่งขึ้น เด็กสองคนในชุดคลุมสีขาว สวมฮู้ดกับลูกมังกรนิทินโค กำลังวิ่งไปตามถนน โดยไม่หยุดพัก พร้อมกับเหล่าชาวเมืองที่ ถือเอา จอบ คราด เสียม ไล่กวดหลังมา แม้จะเหนื่อยหอบเต็มที แต่ทั้งสามก็ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่ลดความเร็วลง จนเมื่อพวกเขาเลี้ยวเข้าไปยังซอกซอยของเมืองและเจอกับทางตัน ด้านหลังชาวเมืองที่ไล่กวดมาก็ ตามมาล้อมพวกเขาไว้ “ พวกแกนี่เองทำให้ เมืองเราต้องกลลาหลกันไปหมด ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มชาวเมืองกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “ หนอยถึงว่าทำไมหาตัวไม่เจอที่แท้ก็ปลอกเป็นเด็กหรอกเรอะ ไอ้ปีศาจ ” หญิงร่างท้วมคนนึงในกลุ่มชาวเมืองกล่าว ด้วยน้ำเสียงหยาบกร้านเต็มที่ “ พวกแกมันปีศาจ ” ชายคนแรกกล่าวย้ำอีกครั้งก่อนที่ชาวเมืองจะโห่ และด่ากล่าวต่างๆนานา ใส่พวกเค้า “ ไร้รูปไม่ไร้ตนเจ้าจงแปรเปลี่ยนไปดั่งใจข้า จงเป็นศาสตราให้ข้าได้ปกป้องและทำลาย ” “ Icicleric Rain ” สิ้นคำของเด็กคนนึงที่สวมเสื้อคลุมอยู่ ฝนแท่งน้ำแข็งจำนวนมากก็พุ่งตกลงมาใส่พวกเขาทั้งสาม จนเกิดควันไอเย็นฟุ้งไปทั่ว พวกชาวเมืองรีบพุ่งเข้าไปเพื่อจะจับตัวพวกเขาท่ามกลาง ไอหมอกสีขาวที่ตลบอบอวลไปทั่วตรอกจนชนกันเองและเมื่อไอหมอกจางลงทั้งสามก็หายไปแล้ว ……… …………. ……………. เหนือขึ้นไปบนน่านฟ้าของเมือง เด็กสวมเสื้อคลุมทั้งสองกับลูกมังกรไฟ ทั้งหมดกำลังทะยานไปบนน่านฟ้าเพื่อตรงไปยังทุ่งราบนอกเมือง “ ทำไมพวกชาวเมืองถึงได้มาไล่ล่าพวกเราทั้งที่พวกเราช่วยเค้าเอาไว้นะ ” เด็กคนนึงถามอีกคนก่อนที่แรงลมจะพัดเอาฮู้ดเสื้อที่คลุมหัวพวกเขาทั้งสองออก พวกเขาทั้งสองเป็นเด็กหญิงและเด็กชายซึ่ง อายุราวๆ 9-10 ปี “ นั่นคงเป็นเพราะไอ้นี่ล่ะมั้ง ” เด็กชายกล่าว ก่อนจะยื่น แผ่นกระดาษในมือส่งให้นางซึ่งนางก็รับมาดูด้วยความงงๆ ว่าเขาหยิบเอามาตอนไหน แต่นั้นก็ยังไม่น่าแปลกใจเท่ากับสิ่งที่พิมพ์อยู่บนกระดาษใบนั้น มันเป็นรูปของพวกเขาทั้งสองคน และที่ใต้ใบก็เขียนประกาศจับพวกเขาทั้งสอง ในข้อหา เป็นตัวอันตราย “ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ” เด็กหญิงกล่าวขณะที่พวกเขากำลังค่อยๆลงสู่พื้นอย่างช้าพร้อมกับลูกมังกรนิทินโคที่บินดูใบประกาศในมือของนาง “ หึ..พวกเค้าคงคิดว่าเราสู้กันจนทำให้เมืองพังพินาศเพราะพลังของพวกเราล่ะมั้ง ” เด็กชายกล่าว “ ไม่ยุติธรรมเลย นี่พวกเขาไม่มีคุณธรรมกันบ้างเลยรึไง คิดกันไปเองแบบไม่ลืมหูลืมตาเลย ” เด็กหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ซึ่งนิทินโคที่ได้ยินการสนทนาของทั้งคู่ก็พลอยไม่ชอบใจไปด้วย กับการกระทำของชาวเมือง “ บ่นไปก็เท่านั้นล่ะ เพราะสำหรับพวกเค้าเราถือเป็นตัวอันตรายอยู่แล้ว ขนาดสมญานามที่ตั้งให้ยังดังกระฉ่อนไปทั่วแบบนี้น่ะ เป็นธรรมดาที่จะมีคนกลัวอยู่แล้ว ” เด็กชายกล่าวอย่างเบื่อหน่าย ซึ่งก็ทำเอาเด็กหญิงถอนหายใจกับท่าทีไม่สนใจอะไรของเด็กชายด้วยความเอียนซะเต็มประดา “ อะไรกันทั้งที่สองคนนี้ช่วยเอาไว้แท้ๆแต่นี่กลับ…เชอะเจ้าพวกมนุษย์ไม่มีคุณธรรมในหัวใจกันบ้างรึไง ” นิทินโคคิดแต่ดูเหมือนว่า เด็กทั้งสองจะรู้ในสิ่งที่เขาคิด เพราะทั้งคู่ต่างหันมาหาเขา “ เธอก็คิดยังงั้นเหรอ ” เด็กหญิงกล่าวกับเขาซึ่งเขาก็ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรเพราะภาษามนุษย์เขาไม่ถนัดนักที่จะพูด ไม่เหมือนกับที่พวกไลท์คุยกับ Lr เขาจึงพยักหน้ารับแทน “ เมื่อสิ่งที่ทุกคนลงความเห็นแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกแม้จะไม่ยุติธรรมแต่นั่นก็คือคุณธรรมไม่ใช่รึ ” เด็กชายกล่าวขึ้นมาก่อนจะเมินสายตาไปยังทิศที่เมืองตั้งอยู่ คำพูดของเด็กชายนั้นทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องในอดีตที่เขาไม่อยากจะนึกถึง “ ถึงมันจะเป็นคุณธรรมสำหรับพวกเค้าแต่การที่ต้องแลกมาด้วยความเสียสละของใครบางคนนี่น่ะ เหรอคือคุณธรรมน่ะ…ชั้นไม่มีวันยอมรับมันเด็ดขาด ” เขาคิดอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะพยายามลืมภาพอดีตนั้นไป …………………… …………………………….. หน้าประตูทางเข้าเมือง การตรวจตราเป็นไปอย่างเข้มงวด เพราะประกาศจับที่ออกใหม่ในวันนี้ ทำให้เหล่าทหารตรวจการต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ซึ่งในวันนี้เกวียนสินค้าที่ขึ้นมาจากเรือซึ่งลอยลำจากทะเลเลาะเข้ามาตามแม่น้ำจนถึงทะเลสาบใหญ่ข้างเมือง อันเปรียบได้กับเมืองท่าย่อยเลยทีเดียว สินค้าทุกอย่างถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด “ จะทำยังไงดีล่ะ เมืองนี้ไม่เหมือนกับหมู่บ้านที่ผ่านมาเลยนะ แล้วพวกนายจะเข้าไปยังไง การตรวจการก็แน่นหนาซะด้วยขืนดุ่มๆเดินเข้าไปมีหวังโดนเรียกแน่ ” Lr กล่าวอย่างกลัดกลุ้มเมื่อมองมายังครึ่งสมิงทั้งสาม ซึ่งเมื่อดูแล้วหากพวกเขา เข้าไปในสภาพนี้คงจะเป็นที่สะดุดตามิใช่น้อย เพราะเด็กชายหนึ่งคน ครึ่งสมิงเด็กชาย 2 และ เด็กหญิง 1 ตน กับลูกมังกรอีก 5 ตัว นอกจากจะไม่ใช่คณะละครหรือกลุ่มนักท่องเที่ยวธรรมดาๆ แล้วยังไม่เหมือนพวกพ่อค้าเร่อีก ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็สะดุดตาเกินไปอีกทั้ง ครึ่งสมิงนั้นแม้ที่ทวีปนี้ จะเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็สำหรับบางพื้นที่เท่านั้น ที่ได้พบเห็น ครึ่งสมิง เหมือนอย่างที่เมอริเซียว่าสมิงนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชาวเผ่าที่อาศัยในอาณาจักรฟูดินัน แต่เป็นสิ่งที่แปลกสำหรับชาวฟีเลเซีย “ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกถ้าเรื่องนั้นล่ะก็สบายมากเนอะ ” นีน่ากล่าวพร้อมกับหันมา ขอเสียงสนับสนุนจากเจนัสและลากูน่าครึ่งสมิงหมาป่าสองพี่น้อง ครู่ต่อมา Lr ที่เดินมาพร้อมกับลูกมังกรทั้ง 5 ตัว และลูกหมาป่าขนสีเงินตัวนึงและขนสีดำอีกตัวนึง เดินสี่เท้าตามมาต้อยๆ โดยมีลูกแมวป่า เกาะอยู่บนไหล่ ของ Lr ขณะที่พวกเขาเดินผ่านประตูไป หลังจากที่ทหารยามตรวจตราพวกเขาเรียบร้อย และกำลังเดินเข้าเมืองนั้นพวกเขายังคงตกเป็นเป้าสายตาจาก ชาวเมืองอยู่ดี เพราะเด็กชายเพียงคนเดียวแต่เลี้ยงสัตว์หลากหลายประเภท มากเหลือเกินจน Lr โดนใครต่อใครทักว่า เขาเป็นผู้ฝึกสัตว์ (Tamer) ครู่ต่อมาที่หน้าร้านเหล้าในเมือง “ ใจร้ายนี่มันทิ้งให้ชั้นรับกรรมคนเดียวเลยนี่ ” Lr ตะคอกด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใส่ลูกแมวป่าซึ่งกระโดดลงจากไหล่เขามาเหยีบลงบนหัวของลูกหมาป่าขนสีเงิน “ โอ้ยมันหนักนะลงไป ” ลูกหมาป่าสะบัดหัวไล่จนลูกแมวป่าต้องกระโดดลงมา “ แหมๆๆ ลากุล่ะก็พี่แค่แหย่เล่นเองนะ ” ลูกแมวป่า กล่าวออกมาเป็นภาษามนุษย์ พร้อมกับยกเท้าขึ้นมาเลียทำความสะอาดขนเหมือนแมวป่าทั่วไป ในขณะที่ลูกหมาป่าขนสีเงินทำหน้ามุ่ยสะบัดหางไปมาด้วยความไม่พอใจ “ แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าพวกครึ่งสมิงเนี่ย นอกจากแปลงเป็นสมิงได้แล้วยังแปลงเป็นสัตว์ป่าได้อีก ” เอิธ์ทกล่าวขึ้นขณะที่มองทั้งสามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ แล้วลูกมังกรที่นายกำลังตามหาอยู่น่ะเราจะหากันยังไง ” ลูกหมาป่าขนสีดำ ถามขณะที่จมูกของมันดม ฟุดฟิดเหมือนกับจับกลิ่นอะไรบางอย่างได้แต่ก็ไม่มีใคร สนใจกับท่าทีของมัน “ ยังไงกันนะเมืองนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว จิตสังหารแผ่ครุกรุ่น ไปทั่วบริเวณเลย ” ลูกหมาป่าสีดำคิดขณะที่พยายามดมกลิ่นเพื่อสืบหาอะไรบางอย่างเกี่ยวกับกลิ่นบางกลิ่นที่ มันรู้สึกได้ในตอนนี้ มันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยแต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก “ ก็ถตอนนี้เรารู้แค่ว่านิทินโคอยู่กับจอมเวทย์สองคนเท่านั้นเอง รู้สึกจะชื่อ เรโค่ กับ เซโร่นะ ” Lr ตอบขณะที่กำลังคิดหาวิธีตามหาตัวนิทินโค แต่คำพูดของเขากลับทำให้สรรพสัตว์ทั้งสามตก ตะอึงตาค้างกับสิ่งที่ได้ยิน “ เดี๋ยวก่อนนะ ลอว์เรนซ์ (Laurence) ตะกี้นายบอกว่าสองคนนั่นชื่ออะไรนะ ” ลูกหมาป่าขนเงินกระโจนใส่เขาจนแทบรับไม่ทัน “ ร…เรโค่ กับเซโร่ น่ะ ” Lr(เป็นคำย่อของลอว์เรนซ์) ทวนให้ฟังอีกครั้ง ซึ่งทันทีที่กล่าวจบลูกแมวป่าก็เดินเข้าไปหาลูกหมาป่าขนสีดำ และมองหน้ากันเหมือนกับรับรู้ในสิ่งเดียวกัน ซึ่ง Lr ก็ได้แต่มองด้วยความสงสัยขณะที่ค่อยๆวาง ตัวลูกหมาป่าขนเงินลงจากแขน หมาป่าขนสีดำหันมาที่เค้า “ งั้นเรายิ่งต้องวางแผนให้รัดกุมเลยล่ะ เพราะเรากำลังเผชิญกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าที่แล้วมาซะอีก ” ลูกหมาป่าขนดำกล่าวเสียงขรึม “ สองคนนั่นน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ ” ไลท์ลูกมังกรพาลานัลคา ถามขึ้น Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัต Post by: greamon on June 22, 2008, 07:51:57 PM “ แหงสินั่นน่ะระดับจอมมารเลยนะสมัยที่พวกเราอยู่ในองค์กรก็เคยได้ยินว่า ระดับหัวหน้าฝ่ายสองคน
ยังสู้ไม่ได้เลย ” ลูกหมาป่าขนเงินกล่าวทั้งที่ยังผวาไม่หาย “ แต่ชื่อ เรโค่ กับ เซโร่น่ะ เป็นชื่อที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักกันนักหรอกนะจะมีก็แต่องค์กรที่ต้องการตัวพวกเขามาเป็นกำลังรบ กับพวกกองทัพต่อต้านเท่านั้นล่ะ ” ลูกแมวป่ากล่าว “ แล้วยังงี้นิทินโคไม่โดนจับกินไปแล้วเหรอเนี่ย ” ลูกมังกรเฟินกอลโลกล่าวด้วยความผวา “ อควานี่ขี้กลัวกว่าที่คิดนะเนี่ย ” วิลกล่าวหยอกทำให้ เฟินกอลโลหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจ แต่ดูเหมือนบทสนทนา ของทั้งคู่จะทำให้พวก ลูกมังกร กับ Lr ประหลาดใจซะมากกว่า “ นี่พวกเธอสนิทกันถึงขั้นเรียกชื่อตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ” นอฟฮอฟถามด้วยความอยากรู้ “ อ๋อเห็นเค้าเรียกชื่อสกุลฉันลำบากน่ะเลยให้เรียกชื่อไปเลยพวกนายจะเรียกก็ได้นะฉันไม่ถือหรอก ” เฟินกอลโลกล่าวตอบ “ งั้นก็ถือซะว่าเป็นการเริ่มต้นสายสัมพันธ์ของเธอกับทุกคนไปพร้อมกับฉันเลยสิ ” วิลกล่าวซึ่งพวก Lr เองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรนัก “ ถ้างั้นตั้งแต่วันนี้เราเรียกนายว่า อควาก็ละกันนะ ” ไลท์กล่าวด้วยความลิงโลด ซึ่งอควาเอง(ขอเปลี่ยนวิธีเรียกเฟินกอลโลตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเลยนะครับ) ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่เพื่อนยอมรับเขา จากการที่เขายอมเปิดใจรับตามที่วิลบอกเขาไป แต่ดูเหมือนว่าวิลจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ เออนี่ อควา ตอนนั้นน่ะเธอเล่าว่าทุกคนเข้าใจและกลับมาคบกันเหมือนเดิมแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมนิทินโคถึงได้ยังทะเลาะกับ ลอว์เรนซ์ อยู่ล่ะ ” วิลถามซึ่งนั่นก้ทำให้พวกเจนัสที่อยู่ในร่างสัตว์สนใจขึ้นมาด้วยทันที ทั้งสามจึงเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย แต่ว่า นอฟฮอฟ ไลท์ และ Lr กลับนิ่งไป ก่อนที่ Lr จะถอนหายใจด้วยสีหน้าเศร้าๆ “ คือ..ฉันขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้รู้สึกแย่หรอกขอโทษด้วย ” วิลที่เห็นท่าทีสลดของทั้งสามก็รีบกล่าวขอโทษทันที แต่ Lr ก็ส่ายหัวไม่รับคำขอโทษ “ ไม่เป็นไรจริงๆนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังกันหรอก ” Lr กล่าวซึ่ง ไลท์กับนอฟฮอฟก้หันมามองเขาด้วยความลำบากใจแต่ก็ ตัดใจยอมให้เล่าทุกสิ่งทุกอย่าง “ คือว่านิทินโคน่ะเค้าเกลียดมนุษย์มากเลย ก็เลยมาพาลกับ ลอว์เรนซ์ น่ะ ” ไลท์กล่าวขณะที่ก้มหน้าลง “ ที่จริงเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรกหรอกนะ พูดไปก็คงจะไม่เชื่อแต่เมื่อก่อนนี้น่ะ ลอว์เรนซ์กับนิทินโค น่ะสนิทกันที่สุดบรรดาพวกเราเลยนะ ” นอฟฮอฟกล่าวแต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย “ แล้วทำไมถึงทะเลาะกันล่ะ ” ลูกแมวป่าถามด้วยความอยากรู้ “ สองปีก่อน พี่สาวของเค้าตายไปต่อหน้าต่อตา ด้วยน้ำมือของมนุษย์อย่างชั้นนี่แหล่ะ ” Lr กล่าวขณะที่นึกถึงความหลังอันเจ็บช้ำที่ทำให้นิทินโค ต้องห่างเหินไปจากพวกเขา ……. ……… ………… เมื่อก่อนนั้นนิทินโคหรือไฟร์ เค้าเป็นลูกของซาลามันเดอร่า (Salamandera) นายพลมังกร ของหมู่บ้าน ครอบครัวของเขาอยู่ด้วยกันสี่ตัวคือแม่มังกรซาลามันเดอร่า พ่อซาลามันเดอร่าซึ่งเป็นนายพลมังกรและลูกๆอีกสองตัว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/83.jpg) โดยตัวนึงก็คือนิทินโค(Niltinco, the Baby Dragon) (http://image.dek-d.com/9/655530/9096002.jpg) และอีกตัวคือพี่สาวของเขาซึ่งโตกว่าเขาและเป็นมังกรนิทินโคออน(Niltincoion, the Fire Dragon) ทั้งสองเป็นลูกมังกรนิทินโคเหมือนกัน (http://image.dek-d.com/9/655530/9095990.jpg) พ่อของพวกเขามักจะสอนให้พวกเขายึดมั่นในคุณธรรมและคอยช่วยเหลือผู้อื่น แรกเริ่มเดิมทีนิทินโคเค้ายังเป็นลูกมังกรขวัญอ่อนเอามากๆและติดพี่สาวอย่างที่สุด พี่สาวของเขาคอยดูแลเขาด้วยความรัก เพราะพ่อของพวกเขาต้องไปประจำการอยู่นานๆที จึงจะกลับบ้านส่วนแม่ของเขาทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือเหล่ามังกรที่ประสบภัยทั้งนอกและในมิติมังกร ในวันแรกที่เขามาโรงเรียนมังกร เขาไม่กล้าที่จะคุยหรือเล่นกับใครเลย และเพราะความขวัญอ่อนกับติดพี่สาวแจ ของเขาทำให้เขามักจะ โดนล้อเป็นประจำ ไลท์ เอิธท์ Lr และนอฟฮอฟ พวกเขาสนิทกับพี่สาวของนิทินโคมาก เพราะพี่ของเขาเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน โดยเฉพาะกับพวก Lr นั้นพี่สาวของเขาจะสนิทเป็นพิเศษ เพราะพี่สาวของเขาคอยช่วยงาน ดีวายดราก้อน พ่อของ Lr และไลท์ ที่โรงเรียนมังกรบ่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาพลอยสนิทกับนิทินโคไปด้วย ซึ่งทุกครั้งที่นิทินโคลำบากพวกเขาก็จะคอยช่วยเหลือเสมอๆมาทำให้สายสัมพันธุ์ของพวกเขาแน่น แฟ้นอย่างมาก จนกระทั่งวันนั้นมาถึง หลังจากที่ความจริงเรื่องที่ อควา แกล้งใส่ร้าย Lr ถูกเปิดเผยขึ้น วันนั้นเขาซึ่งจะไปหา Lr เพื่อขอคืนดีเพราะโดยที่ตัวเองยังมีไข้จากการที่ถูก อควาหลอกให้ไปรอ Lr ที่สวนทั้งคืน แม้พี่สาวจะห้ามเค้าแล้วก็ตามที แต่เขาก็แอบหนีออกมาซึ่งพี่สาวที่รู้เรื่องนี้เข้าก็รีบบินออกตามหาเขา ซึ่งในวันนั้น คือวันเดียวกับที่มีพายุพัดในหมู่บ้านมังกร นิทินโคซึ่งบินหนีพายุผ่านออกประตูมิติไป เพื่อจะไปยังโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในถ้ำซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก โดยที่ไม่รู้ว่า พวก Lr นั้นกลับมาที่มิติมังกรแล้ว ขณะที่เขาเดินไปยังโรงเรียน ก็บังเอิญไปเห็นเด็กหญิงคนนึงกำลังถูกเสือหางดาบ (Saber Tail Tiger) ทำร้ายเขารีบบินเข้าไปช่วยเธอโดยไม่ลังเลทันที แต่แม้เขาจะพ่นไฟสู้ เสือหางดาบก็ยังยากที่จะต่อกรด้วยอยู่ดี และเมื่อพวกเขาถูกต้อนจนมุม ผู้ที่เข้ามาช่วยทั้งสองไว้ ก้คือนิทินโคออน พี่สาวของเขาเอง และทันทีที่เสือหางดาบหนีไป พวกทหารฟีเลเซียที่ ออกตรวจตรา ก็ได้มาเจอพวกเขา เด็กหญิงที่ถูกเสือหางดาบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ กับมังกร สองตัว ทำให้พวกทหารเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นผู้ทำร้ายเด็กหญิง พวกทหารชักดาบออกจากฝักและเข้า ฟาดฟันใส่ทันที นิทินโคที่กลังจะถูกดาบ พุ่งเข้าเฉือนร่าง ในวินาทีนั้น เขาที่ควรจะตายไป กลับต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย พี่สาวไป เมื่อพี่ของเขาเอาตัวเข้าปกป้อง เค้าก่อนจะพ่นไฟไล่พวทหาร ซึ่งทหารคนนึงได้เข้าไปพาตัวเด็กหญิงออกมา และพากันหนีไป ท่ามกลางป่าลุกท่วมไปด้วย เปลวเพลิง ร่างของนิทินโคออนล้มลง ลมหายใจค่อยๆแผ่วเบาลง นิทินโคเข้าไปเขย่าร่าง ที่ใกล้หมดลมหายใจของพี่สาวตนด้วยความหวงว่าเธอจะมีชีวิตรอด แต่บาดแผลของเธอก็สาหัส และเสียเลือดไปมากทำให้ อีกไม่นานเธอคงจะต้องสิ้นใจ เธอยกมือขึ้นลูบใบหน้าของ น้องชายด้วยความเป็นห่วงโดยไม่สนใจตน นางพยายามรวบรวมแรงกำลัง เพื่อจะบอกให้เขาหนีไปจากไฟป่าที่กำลังลุกท่วมนี้ “ ก็าซซซซซ ” (หนี..ไปไฟร์ อีกไม่นานไฟจะลามมาถึงแล้ว) นางกล่าวกระอึกกระอักด้วยความลำบาก “ กีซซ..กีซซซซซซ ”(ไม่..ผมจะไม่ทิ้งพี่เด็ดขาด พี่ต้องไปกับผมนะ พี่ครับ) นิทินโคกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาด้วยความเสียขวัญ พี่ของเขาเอามือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “ ก็าซซซซซ ”(พี่ไม่ไหวแล้วล่ะ ไฟร์น้องรีบหนีไปเถอะ) นางกล่าวจบก็ผลักตัวน้องชายออกไปจากกองเพลิงที่กำลังลุก ท่วมท้นเข้ามา นิทินโคที่กระเด็นออกมาจากกองเพลิงพยายามจะวิ่งกลับเข้าไปหาพี่สาวของเขา แต่ไฟก็ลุกท่วมจนไม่อาจเข้าไปได้ เขาได้แต่มองร่างของพี่สาวที่กำลังจะสิ้นใจ ท่ามกลางกองเพลิง “ ก็าซซซซซซซซ..ก็าซซซ ” (จงเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมนะไฟร์เพราะน้องคือ..น้องของพี่) นางกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอันเสียงอันแผ่วเบา ก่อนที่ต้นไม้ซึ่งลุกโหมด้วยเพลงบรรลัยกัณฑ์จะ ล้มลงทับร่างของนางต่อ หน้าเขา “ กีาซซซซซ ” (พี่คร้าบบบบบบบบบบ) นิทินโคร้องเรียกพี่สาวของตนที่อยู่ในกองเพลิงอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความชอกช้ำใจ “ ทำไม..ทำไมกันทั้งที่เราช่วยเอาไว้แต่พวกมันกลับทำกันยังงี้ พวกมนุษย์ ” เขาคิดอย่างเจ็บแค้น กับผลตอบแทนการกระทำของพวกเขา “ กีซซซซซซซซ ” (มนุษย์อย่างพวกแกไม่มีคุณธรรมกันบ้างรึ ไง….) เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้นอย่างที่สุด อดีตที่ขมขื่นนั้นหวนกลับมาให้เขานึกย้อนอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเซโร่ “ คุณธรรมคือสิ่งที่คนส่วนมากเห็นพ้องกันว่าถูกอย่างนั้นเรอะ..หึ นั่นสิตอนนั้นทหารพวกนั้นมันก็คง เห็นพ้องกันล่ะนะว่าการกระทำของพวกมันถูกต้อง..แล้วพวกเราก็ต้องมาเสียสละให้กับคุณธรรมของพวกมัน ” นิทินโค คิดด้วยความขุ่นเคือง เซโร่เดินเข้ามาลูบหัวเขาเบาๆ ราวกับเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ “ ถึงคุณธรรมนั้นจะเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่แต่ ก็ใช่ว่ามันจะถูกเสมอไปหรอก หากเราคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องก็จงเดินหน้าต่อไปอย่าได้ละทิ้งความรู้รึกนั้นไปซะล่ะ ” เซโร่กล่าว คำพูดของเขาทำให้นิทินโค รู้สึกใจชื้นขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ แต่ยังไงซะตอนนี้ต้องตามหาเอิธท์ที่ถูกจับตัวไปซะก่อน ” นิทินโคคิด ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเวลาที่หยุดนิ่งเริ่มจะเดินขึ้นอีกครั้ง …………….. …………………… ……………………… ย้อนกลับไปเมื่อวันหนึ่งก่อน หมู่บ้านแหลมทวีปคาดาร่า ภายในสำนักงานกองกำลังต่อต้านพนักงานชายคนหนึ่งนอนเท้าแขนอยู่บนเคาท์เตอร์ เขาหลับด้วยความเพลียอยู่บนเคาท์เตอร์นั้นโดยที่ไม่มีใครเข้าไปรบกวน หรือปลุกเขาขึ้นมา เวลาได้ล่วงเลยไปนานจนเมื่อ ราตรีมาเยือน หลังจากที่ทุกคนพากันกลับออกไป หมดทิ้งไว้เขายังคงหลับอยู่เพียงลำพัง เมื่อภายในสำนักงานไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเขา ก็เกิดไอหมอกขึ้นมาตลบอบอวลอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ กาเทีย….กาเทีย ” เสียงแหลมห้วนลึก ดังขึ้นท่ามกลางไอหมอกนั้น ก่อนจะค่อยๆจางหายไปพร้อมกับร่างของพนักงาน ที่หลับอยู่ “ ฮ้าวววววว ” พนักงานอ้าปากหาวหวอดก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ และมองไปรอบๆตัวของ ก่อนจะต้องตกตะลึงกับสภาพในขณะนี้ บัดนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่ที่โต็ะในสำนักงานแล้ว เขารีบยันตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืดเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในถ้ำหินมืดที่ไหนซักแห่ง ใกล้กันนั้นมีเสียง ของน้ำไหลกระทบบางอย่างดังมาเป็นระยะ ด้วยความสงสัยเขาจึงเดินตามเสียงนั้นเข้าไป ในถ้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเห็นแสงสว่างที่ปลายทางเขาก็รีบเร่งฝีเท้า ทันทีและเมื่อเขาออกมาจากถ้ำ ภาพตรงหน้านั้น คือทะเลสาบซึ่งไหลมาจากน้ำตก และป่าทึบรายล้อมไปถั่ว ด้านบนก็มีพุ่มเถาวัลย์ พันเกี่ยวกันอยู่อย่างหนาแน่นจนทึบแสง เว้นแต่เพียงตรงใจกลางของสถานที่นี้ที่ไม่มีเถาวัลย์ปกคลุม เป็น รอยเว้าให้แสงผ่านลงมา และมองเห็นท้องฟ้ากับพื้นป่าเบื้องบนได้ ซึ่งในตอนนั้น ได้มีลมพัดโชยลงยังเบื้องล่าง และทันทีที่เขาสูด ดมมันเข้าไปเขากลับรู้สึก ถึงกลิ่นอายของทะเล ซึ่งนั่นทำให้เขาคิดว่าตัวเขาคงอยู่บนเกาะที่ไหนซักแห่ง “ ยินดีต้อนรับสู่วิหารแห่งปราชญ์มังกร ” เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากฝากน้ำตก พนักงานชายหันขวับไปยังต้นเสียงทันที เงาเจ้าของเสียงค่อยเดินออกมาจากมุมมืดของโพรงถ้ำแห่งนี้ จนเมื่อร่างของมันต้องกับแสงจันทร์ กายสีเขียวมรกต เกล็ดที่ส่องประกายสะท้อนกับแสงจนราวกับอัญมณี ปีกของมัน โปร่งใสจน มองแทบไม่เห็น รูปร่างนั้นประดุจมังกร แห่งวายุ แต่ก็แฝงไปด้วยไอชื้นที่ปกคลุมรอบๆ ร่างเสมือนมังกรวารี มันเดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “ ข้ามีนามว่าอีสควอเทีย หน้าที่ของฉันคือการบอกเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ให้แก่เหล่าอนุชนรุ่นหลัง ” มังกรเกล็ดมรกต แนะนำตัว ซึ่งการที่ตัวมังกรนั้นพูดภาษามนุษย์ขึ้นมาต่อหน้าเขา ทำให้เค้า ตกอยู่ในความสับสน กับสภาพการณ์ตอนนี้ มังกรเกล็ดมรกตหรืออีสควอเทีย นั้นเปรยยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรซึ่งนั่นก็ทำให้เขา สงบลงไปบ้าง “ กาเทีย แห่งตระกูลลาเซริโอ้ บัดนี้ความสงสัยและอดีตของเธอฉันจะเปิดเผยมันให้เอง ” อีสควอเทียกล่าวเสียงเรียบ ขึ้นมาทันทีโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว และรู้สึก แปลกใจที่นางรู้ชื่อของเขา แต่ความคิดที่จะถามเรื่องไร้สาระเหล่านั้นก็หายไปเมื่อ คำพูดที่ว่าจะเปิดเผยอดีตทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งตัวเขาเองก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร “ อดีตของตระกูลทั้งสามและการล่มสลายรวมไปถึง คนที่ทำลายตระกูลลาเซริโอ้ และการหายตัวไปของลูกพี่ลูกน้องของเจ้าที่ชื่อ นีน่าน่ะ คำตอบทั้งหมดที่เจ้าต้องการฉันจะเป็นผู้แสดงมันให้เจ้าเห็นเอง..ว่ายังไงล่ะ ” อีสควอเทียถาม ขึ้นมา ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ลังเลเลยที่จะตอบ “ ครับช่วยบอกทีเถิด ว่าใครกันที่ทำลายตระกูลของผมและนีน่า เธออยู่ที่ไหน สิ่งที่บรรพบุรษทิ้งไว้ให้น่ะมันคืออะไรกันช่วยตอบผมทีเถอะครับ ” กาเทียกล่าวขอร้งซึ่งทันทีที่เขากล่าวจบ อีสควอเทียหลับตาลงพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างออกมาก่อนที่ไอ ควันจากน้ำตกจะ ไหลออกมาปกคลุมพวกเขาไว้ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตได้ไหลเข้า ในหัวของเขา อย่างรุนแรงก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปพร้อมกับไอหมอกที่สลายตัวออก เขาทรุดตัวลงขุกเข่า ก่อนจะเอามือข้างนึงกุมหัวไว้ “ นะนี่คือเรื่องจริงงั้นเหรอ ” กาเทียถามเพื่อขอคำยืนยัน “ ถูกต้อง ลูกพี่ลูกน้องที่เจ้าตามหาอยู่น่ะเจ้าก็ได้พบนางแล้วไม่ใช่รึรวมทั้งตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วซินะว่า ใครทีเป็นคนทำลายตระกูลของเจ้าจนมลายสิ้น ตอนนี้เจ้ารู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นรวมไปถึงทุกสิ่งก่อนหน้านั้นแล้วเจ้าจะทำยังไต่อไปล่ะ จะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปเหมือนที่แล้วมา หรือว่าจะ… ” อีสควอเทียกล่าวแต่ก็หยุดไปก่อนจะกล่าวจบประโยคเมื่อเขายกมือขึ้นปรามไว้ “ รอซักครู่นะครับตอนนี้ผมมึนไปหมดแล้วล่ะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันเร็วมากเลย ” เขากล่าวโดยที่ยังหอบหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ ราวกับพึ่งจะออกแรงมามาก ซึ่งอีสควอเทียก็รอให้เขาทำใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ อยู่ดดยปล่อยให้เขานั่งอยู่คนเดียวโดยตนเองเดินกลับไปที่น้ำตก ครู่ต่อมากาเทียก็เดินตามมาที่น้ำตกอีสควอเทียนั่งรออยู่บนชะง่อนหินที่ยื่นเข้าไปยังน้ำตก ก็หันมายังเขา “ เลือกได้แล้วหรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อไป ” อีสควอเทีย ถามซึ่งนางเองก็พอจะเดาออกอยู่แล้วว่าเขาจะตอบเช่นไร เพราะนางได้เฝ้ามองเขาผ่านน้ำตก แห่งนี้มาตลอด “ ผมอยากจะออกตามหาเธอและพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองแต่ว่าผมคนเดียว ไม่มีพลังพอที่จะทำยังงั้นได้.. ” เขากล่าวไม่ทันด้จบอีสควอเทียก็แทรกขึ้นมาทันที “ มีสิ …พลังของเจ้าน่ะก็อยู่กับตัวของเจ้ามาตลอดอีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้สู้ด้วยตัวคนเดียวซักหน่อย มีไม่ใช่รึเพื่อนที่เฝ้ามองเจ้าอยู่ห่างๆมาตลอด สามปีมานี้น่ะและตอนนี้อีกไม่นานเค้าก็คงจะมาถึงเกาะนี้แล้วล่ะ ” อีสควอเทียกล่าวจบ ก็มีเสียงหวีดหวิวราวกับมีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านอากาศมาด้วยความเร็วสูง จนเกิดเสียงดังระงมไปทั่วและเมื่อทั้งคู่มองขึ้นไปข้างบน ก็มีเงาบางอย่างพุ่งลงก่อนจะหยุด นิ่งลงตรงหน้าพวกเขาอย่างนิ่มนวล มันคือนกกริฟฟินขนสีเขียวขนที่ปลายปีกและหางของมันมีสีแตกต่างกันหลากสี มันมองมาที่กาเทียด้วยสายตา เหงาๆ ตัวเค้าที่ได้เห็นร่างนั้นก็เอามือขยี้ตาด้วยความไม่อยากเชื่อ “ ไดน่าเบลด…แต่ชั้นปล่อยแกไปแล้วนี่ทำไม ” เขากล่าวด้วยความประหลาดใจ “ กริฟฟินปีกสีรุ้ง(Rainbow Wing Griffin)ที่เจ้าเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กๆ สามปีก่อนเจ้าขี่มันออกตามหาลูกพี่ลูกน้องของเจ้าอยู่นานแต่ก็ไม่พบสุดท้ายเจ้าตัดสินใจเข้า กองกำลังต่อต้านและปล่อยมันเป็นอิสระ แต่มันก็ยังคงติดตามเจ้ามาโดยตลอด สายสัมพันธุ์นี้น่ะ ตัวเจ้าเองน่าจะรู้ดีที่สุดนะ ” อีสควอเทียกล่าวจบก็กระโดดลงมาจากชะง่อนหิน เดินตรงมาหาเขา “ จากนี้ไปเจ้าช่วยนำเรื่องนี้ไปบอก กับพวกเด็กๆที่อยู่กับลูกพี่ลูกน้องเจ้าหน่อยนะข้าฝากด้วยล่ะ ” อีสควอเทียกล่าวจบไอหมอกที่อยู่รอบๆน้ำตกก็โชยมาตรงหน้าพวกเขาอีกครั้งและสลายพร้อมกับ ดาบซึ่งเสียบอยู่ในฝักวางอยู่บนพื้น เขาจำได้ว่านั้นเป็นดาบที่เขารู้จัก “ นี่มันดาบของผมนี่… ” เขากล่าวก่อนจะหยิบมันชักออกมาดู “ เจ้าจำเป็นต้องใช้มัน และอีกอย่างหนึ่งข้าฝากพวกเด็กๆเหล่านั้นด้วยนะ ” อีสควอเทียขอร้องซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ รุ่งเช้าในวันต่อมากาเทียกับไดน่าเบลดกริฟฟินคู่ใจของเขาก็ได้พุ่งทะยานอกไปจากเกาะนี้ มุ่งตรงไปยังทวีปคาดาร่าสู่ด้านเหนือของทวีป ซึ่งเต็มไปด้วยเทือกเขาและป่าหิมะ อันเป็นที่ตั้งของ กองกำลังต่อต้านที่พวก Lr จะเดินทางไปรับเอาบันทึกกับแจ้งข่าวการรวมพลให้ทราบ “ หวังว่าการดิ้นรนนี้คงจะไม่สูญเปล่านะ ” อีสควอเทียขณะที่กำลังมองภาพที่ฉายอยู่บนน้ำตก ภาพที่เด็กสี่คนนอนจมกองเลือดและเศษซากของดราก้นฮอลลี่ แตกกระจายเกลื่อนพื้น ก่อนที่ภาพนั้นจะจางหายไป “ จากนี้ไปอีกสองวันโชคชะตาจะยังคงดำเนินต่อไปแบบนี้โดยที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลยรึไงนะ ” อีสควอเทียกล่าวกับตัวเองด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจช่วยอะไรลูกศิษย์ตนได้ ภาพอนาคตที่ฉายบนน้ำตกซึ่งปรากฏขึ้นมาตอนนี้คือภาพของ Lr ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับ เหล่าเพื่อนๆของเขา ด้วยนัยน์ตาที่แข็งกร้าวดุจปีศาจกับปีกสีดำที่สยายออกมาท่ามกลางความมืด ……………… …………………… ………………………. “ หลังจากวันนั้นนิทินโคก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนที่แข็งกร้าวแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ” Lr กล่าวด้วยน้ำเสียงหงอยๆทุกคนเงียบไปทันที ขณะนั้นก็มีกลุ่มคนกลุ่มนึงเดินกระจายเข้ามาล้อมรอบพวเขาอยู่ห่างโดยไม่ให้รู้ตัว ซึ่งเอิธท์เองก็มีท่าทีแปลกๆไปโดยทุกครั้งที่ไม่มีใครมองเขา จะขยับปีกกับมือเล็กน้อย ราวกับกำลังสื่อสารกับอะไรบางอย่าง นอฟฮอฟซึ่งสังเกตเห็ท่าทางแปลกของเอิธท์ก็คอยแอบจับตาดูอยู่โดยไม่ให้รู้ตัว ขณะที่เหตุการณ์เริ่มไม่น่าไว้วางใจ ก็มีเศษกระดาษปลิวตกลงมาต่อหน้าพวกเขา Lr เก็บมันขึ้นมาดู ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งนั่นก็คือใบประกาศจับ พวกเซโร่กับเรโค่ซึ่งมีรูปกับฉายาของทั้งคู่เขียนเอาไว้ “ นี่มัน ” พวกเขาแทบจะกล่าวออกมาพร้อมกัน ซึ่งเอิธท์ ที่เห็นว่าทุกคนกำลังจับจ้องอยู่ที่ประกาศแผ่นนั้น ก็สะบัดปีกเป็นสัญญาณ ให้ผู้ที่ยืนอยู่บนหลังคาซึ่งเป็นคนปล่อยใบปลิวลงมานั้น กระทำการบางอย่าง “ นั่นมันจอมเวทย์ชั่วร้ายที่ประกาศจับอยู่นี่ ” หญิงชาวเมืองคนหนึ่งตะโกนขึ้นพร้อมกับเอามือชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า บนนั้น จอมเวทย์เด็กหนุ่มกับเด็กสาวทั้งสองคนกำลังลอยตัวอยู่ก่อนจะโจมตีลงมาด้วยคลื่นพลังงาน สีดำ ชาวเมืองพากันหลบหนีจนกลลาหลไปหมด พวก Lr ที่กำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนทำอะไรไม่ถูก ขณะนั้นเองลูกแมวป่าที่เป็นนีน่าจำแลงร่าง ก็ถูกฝูงชาวเมืองที่วิ่งหนี ด้วยความแตกตื่นพัดไป ลูกหมาป่าสีดำเห็นดังนั้นก็รีบกระโจนตามออกไปทันที “ ลากูน่าน้องไปกับพวกเค้านะพี่จะไปช่วยเธอกลับมาก่อน ” ลูกหมาป่าสีดำกล่าวทิ้งท้ายไว้ ซึ่งพวก เขาก็เห็นด้วยกับคำสั่งของเจนัส จึงพากันตามจอมเวทย์ทั้งสองซึ่งบัดนี้ได้ บินหนีไปทางประตูเมือง ลูกแมวป่าที่พัดไปกับฝูงคน ต้องคอยหลบซ้ายทีขวาทีเพื่อไม่ให้ถูกเหยียบแต่ทว่า ก็พลาดหกล้มลง ซึ่งเกวียนใส่สิ้นค้า เล่มใหญ่กำลังแล่นมาที่นางลูกหมาป่าสีดำที่ตามมา เห็นก็กระโจนเข้าไปสุดตัว แต่ก็ไม่อาจไปถึงตัวลูกแมวป่าได้ แต่ก่อนที่เกวียนจะได้ทันทับร่างของลุกแมวป่าก็มีเงานึงโฉบพาลูกแมวป่าหนีขึ้นไป บนหลังคาของเรือนแห่งหนึ่ง Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัต Post by: greamon on June 22, 2008, 07:52:43 PM “ ไม่เป็นไรนะสาวน้อย ”
ผู้ที่ช่วยชีวิตนางไว้กล่าว เขาวางนางลงอย่างนิ่มนวล เมื่อนางแหงนหน้ามองเขา ก็รู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้มาก่อน ภาพความทรงจำในอดีตของนาง ในวันที่เด็กชายครึ่งสมิงได้ช่วยนางเอาไว้และฆ่าล้างคนในครอบครัวของเธอ ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง นางก้มตัวลงในร่างของลูกแมวป่าดวงตาเบิกกว้างด้วยความ รู้สึกกลัวหรือโกรธนางก็ไม่อาจทราบได้ ผู้ที่ช่วยชีวิตนางเห็นว่า ลูกแมวป่าตัวสั่นเขาจึงเอามือซึ่งสวมปลอกแขนถุงมือเล็บอันเป็นเหล็กแหลม ลูบหัวนางอย่างอ่อนโยน ทันทีที่เขาสัมผัสนาง ความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้ก็ลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับครึ่งเด็กหนุ่มที่ช่วยนางไว้ แวบขึ้นมาอีกครั้ง “ เอาเถอะข้าไม่ว่าหรอก ทำซะให้สาสมกับที่ข้าทำไป นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าจะชดใช้ให้ได้ ” คำพูดของเด็กคนนั้นดังก้องขึ้นมาในหัวอีกครั้ง จนในที่สุดนางก็เสียสมาธิและไม่อาจ คุมมนตราจำแลงร่างเอาไว้ได้ ควันสีดำพวยพุ่งออกมาตลบอบอวล ก่อนที่นางจะกลับเป็นร่างครึ่งสมิงตามเดิม “ นี่เจ้า…. ” ผุ้ที่ช่วยนางเอาไว้กล่าวด้วยความประหลาดใจ เขากระชับดาบยาวในมือแน่น ร่างของสวมเพียงแค่เกราะปลอกแขน กางเกงขายาว สีดำ ผมยาวปกใบหูจนมิด ตามตัวมีรอยสักและรอยแผลเป็น คอมีห่วงคล้องโซ่เหล็กติดอยู่ ดวงตาสีแดง คมกร้าว และหางอย่างหมาป่าขนสีเทาสามหางที่สะบัดไปมา นีน่าพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้แล้วเขาเองก็คงจะเป็นครึ่งสมิงด้วยและ จากที่กะดูอายุของเขาก็ไม่น่าจะห่างกับนางนัก แต่หางทั้งสามของเขายังคงเป็นประเด็นที่นางยังสงสัยอยุ่ว่าเขาเป็นครึ่งสมิงอะไรกันแน่ “ นายคือ… ” นางกล่าวขึ้นมาขณะที่นึกไปว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนหรือไม่แต่ทว่าอีกฝ่าย จะไม่ไว้ใจกับท่าทีของ นางนัก เขาชักดาบออกจากฝักมา นั่นทำให้นางต้องชักปืนขึ้นมาเล็งเขา แต่ทันทีที่เขาเห็นปืนของนาง ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันทีเขายิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะกระชับดาบในมือแน่น “ เธอเป็นใครชั้นไม่รู้หรอกนะ แต่อย่าคิดใช้ปืนนั่นจะดีกว่านะ ” เขาเตือนนางซึ่งนางเองก็ไม่อยากนักที่จะต้องเล็งปืนใส่คนที่ช่วยชีวิตตนมา “ หยุดเดี่ยวนี้นะ ” เสียงนึงดังขึนพร้อมลูกหมาป่าสีดำที่กระโจนเข้ามาขวางระหว่างทั้งสองเอาไว้ “ เสียงนี้มันหรือว่า… ” เด็กหนุ่มกล่าวขณะที่จ้องมองไปยังลูกหมาป่าสีดำที่เข้ามาขวางก่อนมันจะกลับคืนร่างเป็นเจนัส ทันใดนั้นเองดาบยาวก็ร่วงหล่นลงจากมือของเด็กหนุ่ม ซึ่งนีน่าที่มองอยู่ข้างหลังก็อดสงสัยกับท่าทีของเขาไม่ได้ “ จริงๆด้วยนั่นลูกพี่ใช่มั้ย..ลูกพี่เจนัส ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ ไม่เจอกันนานเลยนะกาโรห์(Garoh, the Half Hell Beast) ” เจนัสกล่าวด้วยความสนิทสนม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้นางสงสัยมากกว่าเดิม (http://www.uppic.net/ig/0garoh.jpg) “ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอลูกพี่อีกนานเท่าไหร่แล้วนะ ” เด็กหนุ่มที่เจนัสเรียกว่ากาโรห์ กล่าวอย่างตื้นตัน “ ชั้นก็เหมือนกันไม่นึกเลยนะว่าจะเจอนายที่นี่ ได้ยินว่าหลังจากภารกิจนั้นนายก็หายตัวไป องค์กรหาตัวท่าไหร่ก้ไม่เจอนี่ ” เจนัสถามน้ำเสียงเรียบ ซึ่งแม้บรรยากาศจะเหมือนกับได้พบคนจากหน้าไปนานแต่ เจนัสดูจะรำคาญและมีทีท่าเหมือนจะระแวงๆซะมากกว่า ทำให้นีน่าสงสัยกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากจนทนไม่ไหว “ นี่พวกนายสองคนลืมฉันไปแล้วเรอะ ” นางเรียกร้องความสนใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าทั้งคู่คงจะลืมนางไปแล้ว ทำให้ทั้งคู่หยุดสนทนากันและหันมาหานาง “ นี่เจนัสเค้าเป็นใครกันเนี่ย ” นางถามด้วยความอยากรู้แต่ยังไม่ทันที่เจนัสจะได้ตอบกาโรห์ก้เข้ามาขวาง เอาไว้ “ นี่เธอเป็นใครถึงมาเรียชื่อลูพี่ห้วนๆแบบนี้… ” กาโร์ กล่าวไม่ทันจบเจนัสก็ปรามไว้ “ไม่เป็นไรหรอก เธอมากับชั้นเอง ” เจนัสกล่าวน้ำเสียงเรียบก่อนจะเดินอ้อมไปหานีน่า ซึ่งทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นกาโรห์ก็รีบก้มลงเก็บดาบลงฝัก และถอยออกห่างเล็กน้อยด้วยท่าทีแสดงความเคารพ เหมือนลูกน้อง “ นี่กาโรห์ เขาเป็นครึ่งสัตว์อสูรนรก เซอเบรัส(Cerberus)น่ะอดีตเคยเป็นมือขวาของชั้นแต่ก็หายตัวไป ขณะปฏิบัติภารกิจน่ะ ” เจนัสกล่าวแนะนำตัวลูกน้องของเขา ซึ่งนางเองก็รู้สึกสงสัยกับความรู้สึกประหลาดๆเมื่อครู่หลังจากที่ได้เจอกับกาโรห์อยู่แต่ก็ตัดใจไม่พูดออกไป “ ว่าแต่ผมได้ยินมาว่าลูกพี่ทรยศองค์กรออกมาแล้วนี่เป็นความจริงหรือครับ ” กาโรห์ซัก ด้วยความสงสัย “ อืม ทั้งชั้นทั้งลากูน่าแล้วก็เธอคนนี้ ตอนนี้เราเป็นคนทรยศต่อองค์กรไปแล้วล่ะ ” เจนัสกล่าว “ ว่าแต่เธอคนนี้ดูๆไปแล้วคล้ายกับ เทพขุนพลไลซ์ไนท์มากเลยนะครับ ” กาโรห์กล่าวขณะที่สอดส่องสายตา สำรวจตัวของนาง “ ก็ใช่น่ะสิเธอคนนี้คือไลซ์ไนท์ไงล่ะ ” เจนัสกล่าวเสียงเรียบแต่ดูเหมือมกาโรห์จะทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย กับสิ่งที่ได้ยิน “ นี่แล้วคนอื่นๆล่ะ ” นีน่าถามขึ้นมาซึ่งทำให้กาโรห์ ตีหน้าสงสัยขึ้นมาทันที “ นี่นอกจากลูกพี่กับลูกพี่ลากูน่าแล้วก็ยัยนี่ยังมีคนอื่นอีกหรือครับ ” กาโรห์ซักด้วยความฉงนอีกครั้ง “ ใช่ แต่ว่านายล่ะจะเอายังไง ตอนนี้ฉันเป็นคนทรยศขององค์กรและก็ไม่ได้เป็นเทพขุนพลแล้ว ด้วยถ้านับกันดูแล้วตอนนี้เท่ากับว่านายกับชั้นเราเป็นศัตรูกัน ” เจนัสถามกลับ “ อะไรกันครับลูกพี่ยังไงซะผมก็ยังอยู่ฝ่ายลูกพี่เสมอมานะครับ ถ้าลูกพี่เป็นคนทรยศผมก็ต้องเป็นคนทรยศด้วยสิจริงมั้ยครับ ถ้ายังไงขอให้ผมได้ติดตามลูกพี่ ต่อไปก็เพียงพอแล้วล่ะครับ ” กาโรห์กล่าวก่อนจะขุกเข่าลงเป็นการแสดงความเคารพต่อนายของตน ซึ่งเจนัสที่เห็นการกระทำเช่นนี้ก็จ้องมองลูกน้อง ของตนด้วยสายตาระแวงแต่ก็ไม่มีเวลา มาสนใจนัก “ เรื่องนั้นไว้ก่อนก็แล้วกันตอนนี้เราไม่มีเวลามากนักหรอกนะ ” เจนัสกล่าวตัดบทไป ก่อนจะหันไปหานีน่า “ นี่ทำไมต้องรีบร้อนนักล่ะ ” นีน่าถามด้วยความรู้สงสัยกับท่าทีแปลกๆตั้งแต่เมื่อครู่ของเขา “ นี่เธอยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ ” เจนัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกได้ถึงคลื่นจิตสังหารที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ตลบอบอวลไปทั่วทั้งเมือง “ นี่เราเข้ามาในดงศัตรูแล้วรึเนี่ย ” นีน่ากล่าวด้วยท่าทีที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่ สีหน้าของนางดูจริงจังขึ้น และประสาทสัมผัสทุกเส้นของ นางก็ถูกขัดเกลาจนตื่นตัวทุกเส้น “ ถ้าไม่รีบไปช่วยล่ะก็พวกนั้นไม่รอดแน่ ” เจนัสกล่าวจบทั้งสองก็กระโดดไปหลังคาบ้านมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองโดยตามกลิ่นของพวก Lr ไป และไม่นานนัก กาโรห์ ก็กระโดดไล่ตามพวกเขามาจนทัน “ ผมไปด้วยนะครับลูกพี่ ” กาโรห์กล่าวจบ ทั้งสามก็พุ่งทะยานด้วยความเร็วกว่าเดิมมุ่งสู่ประตูเมือง ที่เนินหญ้าด้านหน้าเมืองพวก Lr ตามร่างของจอมเวทย์น้อยทั้งสองซึ่งลอยหายมาทางนี้ ก็ได้พบกับ เด็กชายกับเด็กหญิงและลูกมังกรนิทินโคกำลังเดินสวนขึ้นมาบนเนิน “ นั่นไง นิทินโคก็อยู่ด้วย ” เอิธท์กล่าวพร้อมกับชี้ไปยังทั้งสาม “ นั่นใครกันน่ะ ” เด็กชายเอ่ยขึ้น “ จะไปรู้ได้ไง ” เด็กหญิงตอบ “ หมอนั่น! ” นิทินโคคิดทันทีที่เห็น พวก Lr และลูกๆมังกรตัวอื่น “ อ…เธอคนเมื่อตอนนั้นนี่ ” ลูกหมาป่าสีเงินคืดเมื่อเห็นเด็กหญิง เขาจำได้ว่าเธอคือคนที่เขาเจอที่หมู่บ้านแหลมทวีป เขากระโจนออกมาขวางหน้าพวก Lr เอาไว้ก่อนจะกลับคืนร่างเป็นลากูน่าตามเดิม ซึ่งทันทีที่เด็กหญิงเห็นร่างของเขานางก็จำได้ทันทีว่าเขาคือคนที่นางช่วยเอาไว้ “ เธอเด็กเมื่อตอนนั้น ” เรโค่กล่าว “ ถอยออกมาเร็วนิทินโคพวกชั้นจะช่วยนายเอง ” Lr กล่าวจบแสงจากดราก้อนฮอลลี่ก็ส่องสว่างขึ้น อาบร่างของเขากับไลท์เอาไว้ก่อนจะ ยิงลำพลังงานแสงสีขาว ขึ้นสู่ฟากฟ้าและแตกกระจายเกิดเป็นวงแหวนแสงขนาดใหญ่ หมุนวนรวมเอาละอองแสงกลับมารวมกันและยิงส่งลงสู่ร่างของทั้งคู่ ภายในลำแสงพลังงานร่างของทั้งคู่ค่อยๆหลอมรวมกันจนเป็นหนึ่งเดียว และเติบโตขึ้นก่อนที่ แสงพลังงานจะสลายไปพร้อมกับการปรากฏกร่างของ อัศวินมังกรปีกสีขาวปรอด " แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกใบนี้นามของข้าคือ ทาลูคูส " สิ้นเสียงทาลูคูสก็พุ่งทะยานเข้าใส่จอมเวทย์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทันที่ดาบในมือจะแตะต้อง โดนตัวของทั้งสอง ร่างของทาลูคูสก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ บัดนี้ร่างของเขาถูกตรึงเอาไว้ด้วยเอ็นเส้นเล็กๆ จำนวนหนึ่ง ที่พุ่งออกมาจากด้านหลังของเรโค่ “ Silver Claws ” (กรงเล็บสีเงิน) สิ้นเสียงเอ็นทั้งหมดก็ถูกตัดขาดไปด้วยแสงสีเงินที่พุ่งไปมา ซึ่งเกิดจากการตวัดกรงเล็บของลากูน่า หลังจากที่ตัดเอ็นทั้งหมดแล้วเขาก็คว้าเอาศิลาจันทราขึ้นมาท่องคาถา ต่อทันที “ ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสง ในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) ” สิ้นคำเมฆหมอกก็มารวมตัวกันบนท้องนภา ก่อนจะเบิกออกพร้อมกับการปรากฏของจันทราสีคราม แสงสีครามซึ่งจะแช่แข็งทุกสรพพสิ่งที่สัมผัสได้ถูกยิงลงมาจาก ดวงจันทราสีครามพุ่งตรงสู่ ร่างของจอมเวทย์ทั้งคู่ ไอเย็นที่เกิดจากการปะทะของลำแสงฟุ้งกระจายไปทั่ว แต่ทว่าเมื่อควันจางลงจอมเวทย์ทั้งสองกลับไม่มีแม้แต่ รอยขีข่วนเลย “ มนตราเยือกแข็งสายจันทรารึ ก็แรงใช้ได้นะแต่ว่ายังห่างไกลนักจากศูนย์องศาสมบรูณ์น่ะ ” เซโร่กล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะวาดมือออกไปเป็นวง “ ข้าขอวิงวอนต่อ จักรพรรดิแห่งผลึกน้ำแข็ง ด้วยพันธสัญญาอันเป็นนิรันด์ โปรดมอบพลังแก่ข้า จงเปลี่ยนผืนปฐพีอันเวิ้งว้างเป็นทุ่งหิมะ จงแปรสายน้ำ ให้เป็นธารน้ำแข็ง… ศูนย์องศาสมบูรณ์ ” ทันทีที่เซโร่กล่าวจบเขาก็ตวัดมือออกไป “ Perfect Arctic ”(จุดเยือกแข็งสมบูรณ์แบบ) สิ้นเสียง เพียงพริบตา เนินหญ้าแห่งนี้กลับกลายเป็นทุ่งน้ำแข็งในบัลดล ต้นหญ้าทุกต้นถูกน้ำแข็งเกาะ อุณหภูมิอากาศเย็นจนกระทั่งกลายเป็นไอน้ำแข็ง แม้แต่เมฆที่มาก่อตัวด้วยพลังของศิลาจันทรายังกลายเป็นก้อนผลึกโปรยปรายลงมา เป็นหิมะ ดวงจันทราสีครามบัดนี้ได้ กลายเป็นก้อนผลึกและเริ่มปริแตกร้าวก่อนระเบิดอออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ร่างของทาลูคูสและลากูน่าล้มลงฟุบกับพื้นหิมะ พวกลูกมังกรที่ไม่ได้โดนลูกหลงรีบเข้าไปช่วยพวกเขาทันทียกเว้นเอิธท์ยืนดูภาพตรงหน้าพร้อมกับยิ้มเยาะ อย่างมีเลศนัย ร่างของทาลูคูสเปล่งแสงและแยกกลับเป็น Lr กับไลท์ตามเดิม เมื่อพวกเขาได้สติพร้มกับลากูน่าที่พึ่งฟื้น พวกเขาก็ สั่นสะท้านกับพลังอันยิ่งใหญ่ของทั้งสอง “ นี่หยุดนะ ” เสียงของนิทินโคถูกแปลผ่านดราก้อนฮอลลี่ดังขึ้นมาทำให้พวกเขาชะงักไป เขาเอาตัวเข้าไปขวางระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้ “ นี่นายพูดได้ด้วยเรอะ ” เซโร่ถามด้วยความฉงน “ เปล่าหรอกดูเหมือนว่าเครื่องมือประหลาดๆอันนั้นจะเป็นตัวแปลงเสียงของเค้านะ ” เรโค่กล่าวเมื่อเห็นว่าดราก้นฮอลลี่มีปกกิริยาทุกครั้งที่พวกลูกมังกรพูด “ พวกนี้คือเพื่อนๆของชั้นนะพอแค่นี้เถอะ ” นิทินโคขอร้องซึ่งทั้งคู่เองก็ยอมรามือ “ ขอโทษด้วยนะเพราะพวกเธอลุยดุ่มๆเข้ามาเราก็เลยต้องป้องกันตัวเอาไว้ก่อนน่ะ ” เรโค่กล่าวขณะที่เดินเข้ามาช่วยพยุงพวกเขาขึ้นเป็นการแสดงน้ำใจ “ Thunder Sphere ”() เสียงนึงดังขึ้นพร้อมกับมวลไฟฟ้าทรงกลมก้อนใหญ่พุ่งเข้าใส่พวกเขา แต่เซโร่ก็ กางกำแพงน้ำกันเอาไว้ คลื่นไฟฟ้าที่กระทบกับกำแพงน้ำ ได้ไหลลงดินไปจนหมด “ สมแล้วที่เป็นเทพนทีทลายสวรรค์หรือจะให้เรียกว่า เสียงเพรียกจากทะเลทมิฬดีล่ะ ” เสียงดังมาจากทิศที่มวลไฟฟ้าพุ่งมา ตรงนั้น มีกลุ่มคนสวมผ้าคลุมสีดำ อยู่สองคนด้วยกันกับเทเรี่ยนสีดำตัวใหญ่เดินตามหลังมา คนนึงในกลุ่มกระชากผ้าคลุมออกมา โฉมหน้าใต้ผ้าคลุมนั้นคือหญิงสาวที่มีแววตามาดร้ายสวมชุดผ้าหนัง สีเทา ในมือกระชับดาบเล่มใหญ่ยาวเอาไว้แน่น เดินนวยนาดตรงเข้ามาพร้อมกับอีกคนที่ยังคงสวมเสื้อคลุม อยู่ในมือของเขาถือกรงที่ขังแมวดาร์คเดสทินี่สีขาวเอาไว้มาด้วย “ นี่ล่ะมั้งศัตรูที่แท้จริงน่ะ ” เซโร่กล่าว “ พวกแกสินะที่เป็นคนใส่ร้ายพวกเราทำให้ถูกชาวเมืองตามไล่ล่าน่ะ ” เรโค่กล่าวซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ตอบรับแต่อย่างใด “ ดูท่าต้องใช้กำลังบังคับกันงั้นสินะ ” เซโร่กล่าวจบก็เริ่มร่ายเวทย์ทันที “ อ้ะอ้ะอ้ะอ้า อย่าจะดีกว่านะไม่อย่างนั้นล่ะก็พวกชาวเมืองก็จะโดนลูกหลงไปด้วยนะ ” คนที่ยังสวมผ้าคลุมกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังประตูเมืองที่ชาวเมืองและทหาร พากันกรู ตรงมายังพวกเขาซึ่งอยู่ห่างพอสมควร “ ชั้นจัดการเองย้ากก ” ลากูน่ากล่าวจบก็พุ่งเข้าจู่โจมใส่ผู้สวมผ้าคลุมสีดำ แต่ยังไม่ทันที่หมัดของเขา จะได้สัมผัสตัวของอีกฝ่าย เขากลับถูกซัดเข้าที่หน้าท้อง อย่างจังจนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้น “ อ่อก..แค่ก..แค่ก ” เขายันตัวขึ้นด้วยมือข้างนึงส่วนอีกมือกุมหน้าท้องพร้อมกับสำลักด้วยความจุก ครึ่งสมิงพังพอนเครสเซนท์หรือริคุนั่นเอง ที่เป็นคนซัดเขากลับมาก่อนที่จะถึงตัวผู้ที่สวมผ้าคลุม “ Kamaitachi ”(เคียววายุ) สิ้นเสียงเครสเซนท์ก็พุ่งตรงเข้าใส่ลากูน่าอย่างรวดเร็ว โดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว “ Spell Fist ” เสียงดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพี่ชาย ซึ่งเข้ามารับหมัดของริคุโดยสวนหมัดของตนเข้าใส่ ลำตัวของเครสเซนท์อย่างเต็มแรงจน กระเด็นกลับไป ในขณะที่เขาถูกลมเฉือนร่างไปเล็กน้อย “ เชอะแกอีกแล้วเรอะ ” เครสเซนท์ สบถด้วยความขุ่นเคือง “ Lost Soul ” เสียงดังขึ้นพร้อมกับคลื่นพลังสีดำพุ่งตรงมายังพวกเขาสองพี่น้อง แต่นีน่าก็เข้ามาขวางไว้พร้อมกับเล็งปืนใส่คลื่นพลัง “ Splash Shot ” สิ้นคำนางก็เหนี่ยวไกปืนทันทีพร้อมกับแสงกระสุนที่พุ่งออกมาจากปากกระบอกทั้งแปดนัด พุ่งเข้าปะทะ กับคลื่นพลังจนสลายไป พร้อมกับการปรากฏตัวของชายสูงวัยสวมชุดเกราะรัดรูปสีดำ ควงคฑาสีดำในมืออย่างคล่องแคล่วซึ่งก็คือ เซอร์เซส น่ะเองเขามาโผล่ใกล้ๆกับเครสเซนท์ตั้งแต่ เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ “ หนี้แค้นเมื่อครั้งก่อนข้าจะขอชำระเสียที่นี่เลย เตรียมตัวเตรียมใจซะเถอะ ” เซอร์เซสกล่าวด้วยความแค้นที่มีมาแต่ครั้งก่อน “ Gaia Breath ” เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเขาพร้อมกับ ควันดินพุ่งตรงมา กาโรห์ที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายก็เข้ามาขวางเอาไว้ “ Hell Breath ” สิ้นคำไฟบรรลัยกัลป์ก็ถูกพ่นออกจากปากของกาโรห์ เผาผลาญฝุ่นดินจนมอดไหม้ ซึ่งการโจมตีเมื่อครู่นี้เป็นของลูกมังกรนิลเฮอร์ เอิธท์ “ เอิธท์นายทำอะไรน่ะ ” ไลท์กล่าวด้วยความตกใจไม่ต่างไปจากทุกคน แต่นอฟฮอฟกับเจนัสที่ดูจะรู้อยู่ก่อนแล้ว จึงไม่แสดงทีท่าตกใจแต่อย่างใด “ อย่างที่คิดเอาไว้เลย ” นอฟฮอฟกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันไปหานิทินโค “ นี่ตอนแรกเอิธท์อยู่กับนายที่เมืองนี้ใช่มั้ย ” นอฟฮอฟหันมาถามนิทินดคซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ ซึ่งนั่นทำให้ พวก Lr ประหลาดใจเป็นอันมาก “ แต่ว่าเอิธท์น่ะถูกจับอยู่กับ อควาไม่ใช่เหรอตอนที่พวกเราไปที่หมู่บ้านนั้นก็ลงแข่งชิงตัวกลับมาน่ะ..หรือว่า ” Lr กล่าวได้เพียงตรงนี้ก้เริ่มฉุกขคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ซึ่งในตอนนั้นไลท์ วิล และอควา ก็เริ่มจะรู้สึกถึงความผืดแปลกบางอย่าง “ จำได้รึยังว่าภาพบนน้ำตกที่พวกเราเห็นที่วิหารปราชมังกรน่ะ อควาว่ายน้ำแยกอยู่ตัวเดียวต่างหาก ส่วนเอิธท์ก็วิ่งตามนิทินโคอยู่ที่เมืองนี้น่ะ ” นอฟฮอฟไขความจริงให้กระจ่างแก่พวกเขา Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัต Post by: greamon on June 22, 2008, 07:53:12 PM “ อ..จำได้แล้ว ตอนนั้นฉันน่ะถูกเจ้าคนที่สวมผ้าคลุมดำนั้นจับตัวไปแล้วมันก็พาเอิธท์มาด้วย ”
อควา กล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ชายสวมผ้าคลุมดำที่ยังคงยืนถือ กรงอยู่เฉยๆ “ ใช่แล้วเจ้านั่นล่ะที่เป็นคนจับตัวเอิธท์ไป แต่สองคนนี้ก็มาช่วยชั้นเอาไว้เลยรอดมาได้แค่ชั้นคนเดียวน่ะ ” นิทินโคกล่าวด้วยความร้อนรน ซึ่งเอิธท์นั้นบัดนี้เขา ได้เปลี่ยนท่าทีไปจากทุกครั้ง ดวงตาลุกวาวเป็นสีแดง รอบตัวมีคลื่นพลังสีดำพุ่งพล่านออกมา ตลอดเวลา “ เอาล่ะพอได้แล้วซัคคิวบัท(Succubus) ” ชายสวมผ้าคลุมกล่าวจบ พลังงานสีดำที่พุ่งออกมาจากตัวเอิธท์ก็ พุ่งลอยมาจากร่างของเขา ก่อนจะมารวมตัวกันใกล้ๆกับชายชุดคลุมดำ และกลายร่างเป็นนางปีศาจสาวซัคคิวบัท ที่คอยล่อลวงผู้คน เอิธท์ที่หลุดจากการควบคุมของนางก็ล้มลงหมดสติทันที Lr และลูกๆมังกรพากันวิ่งเข้าไปรับ ตัวเขาออกมา และเมื่อเขาได้สติ พวกเค้าจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ไม่มีเวลามานั่งดีใจ เพราะตอนนี้พวกเขาโดนศัตรูล้อมเอาไว้หมดแล้ว อีกทั้งพวกชาวเมือง ที่แห่กันมาจับตัวเรโค่กับเซโร่ ก็มาถึง และตีวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งนันทำให้พวกเขาทั้งสองไม่อาจใช้พลังได้เพราะ ชาวเมืองก็จะโดนลูกหลงไปด้วย นั่นจึงเป็นการเปิดโอกาสนักรบหญิงกับเทอเรี่ยนของนาง และนางปีศาจซัคคิวบัท เข้าโจมตีโดยที่เซโร่ ทำได้แค่กางกำแพงน้ำป้องกันเอาไว้เท่านั้น “ ยังไงตอนนี้จำนวนศัตรูก็เยอะเกินไป เราควรจะถอยก่อนนะ ” เรโค่ออกความคิดเห็น แต่ทว่าบนน่านฟ้าตอนนี้ ก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างไปทั่วจากการใช้พลังของนักรบหญิง ทำให้พวกเขาถูกปิดกั้นทางหนีโดยสมบูรณ์ “ คิดจะหนีตอนนี้มันก็สายไปแล้ว พวกแกจะต้องตายอยู่ที่นี่ด้วยน้ำมือของ12 เทพขุนศึก ลูคเรเทีย(Lucretia, the Sword Magician) คนนี้แหล่ะ ย้ากกกก ” นักรบหญิงลูคเรเทียประกาศกร้าว ก่อนที่เจ้าเทอเรี่ยนสีดำจะพุ่งชนกำแพงน้ำจนทลาย นางก็สะสมพลังงานไฟฟ้า จากฟ้าแลบฟ้าร้องที่อยู่บนฟ้า มาไว้ที่ดาบและ ฟาดดาบลงบนพื้น เกิดเป็นคลื่นไฟฟ้า พุ่งตรงออกไปยังพวกเขาทั้งสอง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/65.jpg) “ จงแสดงตน ประกาpที่เจิดจ้าลูเซียส (Lucis) ” ทันทีที่เรโค่กล่าวจบแผ่นกระดาษก็ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีขาว ก่อนที่นางจะขว้างมันออกมา และขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเป็นภูตสาวผมสีแดงชุดกระโปรงขาวยาวถึงพื้น ขนาดเท่านาง ออกมา ผลันการโจมตีของลูคเรเทียก็สิ้นสลายไปในทันที ก่อนที่จะทันได้ถูกต้องตัวภูตของนาง (http://www.uppic.net/il/lucis.jpg) ขณะเดียวกัน พวกเจนัสเองก็ต้องเข้าปะทะกับ เครสเซนท์ และเซอร์เซสจนไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วย Lr ได้ ที่กำลังจะถูกชายเสื้อคลุมดำจับตัวไป แม้พวกลูกมังกรจะพยายามต่อสู้แต่ก็ไม่อาจโจมตีผ่าน เกราะพลังงานที่คุ้มครองของได้ “ มากับขาซะดีๆเจ้าหนูแล้วจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว ” ชายเสื้อคลุมดำกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ “ Light Flame ” สิ้นเสียงเปลวเพลิงสีขาวก็ถูกพ่นอกมาจากปากของไลท์ แต่ก็ถูกสกัดเอาไว้ด้วยเกราะพลังงานของ เขา “ น่ารำคาญจริงๆ ข้าไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอกนะ ” ชายเสื้อคลุมดำตะคอกพร้อมกับ หยิบเอาแท่งโลหะสีดำ ซึ่งมีปุ่มอยู่สี่ปุ่มบนล่างซ้ายขวาอย่างละปุ่มขึ้นมา และกดปุ่มด้านบนของแท่งลงไป ซักพักก็เกิดการบิดเบี้ยวของมิติและเกิดเป็นประตูมิติขึ้นมา พร้อมกับจักรกลสีขาวขนาดยักษ์ค่อยๆก้าวออกมาจากประตูมิติ “ จัดการมัน ซะ เบต้า บี(Beta - B) ” ทันทีที่เขากล่าวจบเจ้าเครื่องจกัรยักษ์ก็เริ่มทำการสะสมพลังงานทันทีก่อนจะปล่อยคลื่น พลังงานที่มองไม่เห็นออกมา “ Beta Gravity ” เสียงทุ้มแหลมดังออกมาจากเครื่องจักรยักษ์คลื่นพลังงานที่ปล่อยออกไปเมื่อครู่ ก็ส่งผลทำให้ Lr กับลูกมังกรล้มทรุดลง ราวกับถูกกดด้วยอะไรบางที่มองไม่เห็น “ ต..ตัวหนักไปหมดนี่มันอะไรกัน ” Lr กล่าวขณะที่พยายามยันตัวแต่ก็ไม่อาจลุกขึ้นได้ “ เป็นไงล่ะความสามารของ เบต้า บี ที่ข้าสร้างขึ้นตัวนี้ก็คือควบคุมแรงดึงดูด ตอนนี้พวกเจ้าถูกแรงที่ว่านี้กดอยู่ยังไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ชายเสื้อคลุมดำกล่าวพร้อมกับหัวเราะด้วยความสะใจ “ แกเป็นใครกัน ” Lr ถามน้ำเสียงกระอึกกระอักจากการถูกแรงกดทับ ตอนนี้ตัวเขาแทบจะหมอบศิโรลาบลงไปแล้ว “ ข้าคือ 1 ใน 12 เทพขุนศึก นักประดิษฐ์ และก็เตรียมบอกลาเพื่อนๆของแกได้แล้วเพราะเดี๋ยวแกจะต้องไปกับพวกเราแล้ว อ้อแล้วก็เรื่องภารกิจรับมอบบันทึกกับแจ้งข่าวรวมพลของเจ้าน่ะไม่ต้องเป็นห่วงไปเพราะ ถึงไปที่นั่นได้ตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ฮ่าฮ่า ” นักประดิษฐ์กล่าว คำพูดของเขาทำให้ Lr เกิดความสงสัยขึ้นทันที “ หมายความว่ายังไง ” Lr ตะคอกออกไป “ ก็หมายความว่ากองกำลังต่อต้านที่หุบเขาน้ำแข็ง ที่พวกเจ้าจะไปกันน่ะถูกพวกหัวหน้าฝ่ายสองคนกับเทพขุนพลคนอื่นๆจัดการไปแล้วไงล่ะ ” นักประดิษฐ์อธิบายให้พวกเขาฟังด้วยความหรรษาอย่างที่สุดราวกับสุขสรรที่เห็นพวกเขาเกิดความวิตกกังวล “ ท…ทำไมแกถึงรู้ว่าพวกเราจะไปที่นั่น ” วิลถามซึ่งทันทีที่เสียงของเธอถูกแปลผ่านดราก้อนฮอลลี่นักประดิษฐ์ก็หันมามองที่ดราก้อนฮอลลี่ ด้วยความสนใจ “ โฮ่เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจจริงๆ นอกจากจะแปลงร่างของเจ้าให้เป็นอัศวินมังกรได้แล้ว ยังแปลภาษามังกรได้อีกเรอะหึหึ ไว้นำตัวเจ้ากลับไปได้เมื่อไรข้าจะขอเอามาชำแหะดุให้ระเอียดเลย ฮิฮิฮิ ” นักประดิษฐ์กล่าว โดยที่ Lr ไม่อาจทำอะไรเขาทำได้เพียงแค่ขบฟันด้วยความเจ็บแค้นในความไร้พลังของตน สภาพนี้เขาไม่สามารถที่จะแปลงร่างได้เลย และถึงทำได้อย่างมากที่สุดที่เขาสามารถ จะควบคุมการแปลงร่างได้ก็มีเพียงแค่ทาลูคูสตัวเดียวเท่านั้นเพราะพลังอื่นๆที่ได้มานั้น เค้ายังไม่อาจที่จะควบคุมได้คล่องนัก “ ลอว์เรนซ์คอยเดี๋ยวนะชั้นไปช่วยเดี๋ยวนี้แหล่ะ ” นีน่าที่รับมือกับเซอร์เซสอยู่หันไปกล่าวโดยไม่ระวังตัวเซอร์เซส สบโอกาสจึงอาศัยช่วงนี้ ร่ายเวททันที “ Lost Soul ” สิ้นคำ เซอร์เซสก็ยิงคลื่นพลังสีดำออกไปจากฝ่ามือ ก่อนที่ลำแสงจะทันได้พุ่งเข้าใส่ร่างของนาง กาโรห์ก็เอาตัวเข้ามารับการโจมตีแทนจนตนได้รับ บาดเจ็บและทรุดตัวลง “ กาโรห์ ” นีน่าร้องด้วยผวาขณะที่ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ทำให้ภาพอดีตของนางปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง “ นี่มัวเหม่ออะไรอยู่มันจะมาอีกแล้วนะ ” กาโรห์ที่ยันตัวขึ้นมากล่าวเตือนสตินางก่อนจะ อุ้นตัวนางโฉบหลบการโจมตีของเซอร์เซสอีกครั้ง “ อ..อีกแล้ว ความรู้สึกนี้ เค้าเป็นใครกันหรือว่า ” นีน่าคิดขึ้นขณะที่ความรู้สึกจากการถูกช่วยนี้ ทำให้นางเริ่มจะรู้สึกถึงอดีตที่ตนลืมเลือนไป ผลันหินสีเขียวที่สายคาดข้อมือก็สะท้อนประกายแสงออกมาเล็กน้อย ความปวดร้าวที่อยู่ในใจซึ่งอักแน่นอยู่ในอกของนาง อย่างไม่ทราบสาเหตุก็ถาโถมขึ้นมา “ เชอะนี่น่ะรึ ทายาทผู้สืบทอดตระกูลลาเซริโอ้ ” “ ครึ่งสมิงอย่างพวกรูลเวลส์คิดจะยึดอำนาจของตระกูลเรารึไง ” “ ฆ่ามันทิ้งซะเลยดีกว่าอย่างนังเด็กนี่น่ะมันไม่มีค่าพอจะสืบทอดตระกูลหรอก ” “ ใช่..เพราะคนที่จะสืบทอดตระกูลได้ก็มีเพียงคุณหนูกาเทีย ที่มีสายเลือดของลาเซริโอ้อย่างแท้จริงเท่านั้นล่ะ ” “ เพราะท่านคุณ กลับเลือกมันมากกว่าสายเลือดแท้ของตระกูลซะนี่ ดังนั้นไหนๆท่านคุณก็ตายไปแล้ว งั้นพิธีรับสืบทอดตระกูลวันพรุ่งนี้ เราก็ฆ่ามันซะแล้วให้คุณหนูกาเทียขึ้นรับเป็นผู้สืบทอดซะเลยเป็นไง ” เสียงหลายๆเสียงที่เธอรู้สึกคุ้นเคยดังก้องอยู่ในหัว เธอราวกับตกไปในภวังค์ชั่วครู่ “ หรือว่า ” เซอร์เซสที่ปฏิกิริยาของนาง พึมพำออกมาราวกับรู้อะไรบางอย่าง ซึ่งเจนัสเองที่มองคล้อยตามอยู่ก็เริ่มรู้สึกสงสัยและแล้วความวิตกก็บังเกิดขึ้นในใจของเขา จากการที่เขารู้ถึงเรื่องบางอย่างที่นางไม่รู้ก็เป็นได้ แต่ทว่าเขาก็ต้งหยุดคิดไปเมื่อเขาถูกหมัดของเครสเซนท์ กระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง จนกระเด็นไป “ ท่านพี่…หนอย ” ลากูน่าร้องเสียงหลงก่อนจะหันไปคำรามใส่เครสเซนท์ด้วยความฉุนเฉียว พร้อมกับพุ่งตรงเขาหมายจะซัดให้หมอบ แต่เครสเซนท์ก็ดันสลักที่เข็มขัด ทันที “ Push On ” เสียงทุ้มต่ำของเครื่องจักรดังออกมาจากเข็มขัดพร้อมกับชิ้นส่วนเกราะปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ก่อนประกอบเข้ากับตัวเขา และทำให้การโจมตีของลากูน่าไร้ผล พร้อมกับดันสลักอีกครั้ง “ Stand By ” ไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากรอยต่อของเสื้อพร้อมกับแยกขยายออกหลังจากที่เสียงทุ้มต่ำนั้นดังขึ้นอีกครา และไม่รอช้าเขารีบดันสลักกลับอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “ Release Armor ” สิ้นคำของเขาก็เกิดคลื่นพลังว่งวนไปรอบรอยต่อของเสื้อเกราะ “ Push Off ” เสียงทุ้มต่ำของจักรกลดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับ ชิ้นส่วนเกราะที่ระเบิดออกมา พัดเอาตัวลากูน่ากระเด็น ออกไปไม่ไกลนัก ก่อนที่เขาจะยันตัวขึ้นมาอย่างลำบากด้วยความเจ็บช้ำ ทันทีที่เครสเซนท์ปลดเกราะออก ความดันพลังเวทย์ของตัวเขาก็พุ่งสูงขึ้นจนพวกเจนัสรู้สึกได้ “ ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นก็เป็นอีกผลงานของข้าเช่นกันชุดเกราะเสริมพลังทันทีที่สวมใส่เกราะเอาไว้มัน ก็จะคอยสะสมพลังเอาไว้เรื่อยๆจนเมื่อระเบิดเกราะออกพลังที่ว่านั่นก็ไหลเข้าสู่ร่างเป็นการเพิ่มพลังแบบฉับพลันยังไงล่ะ ที่จริงข้าทำไว้สองแบบนะ อันนึงเพิ่มพลังมนตราซึ่งก็คืออันที่เจ้าเห็นอยู่นี่ล่ะส่วนอีกอันเพิ่มพลังกายแต่ก็ดันโดนเจ้า เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนชิงไปซะได้ ” นักประดิษฐ์สาธยาย ด้วยความคับแค้นใจที่ถูกชิงเอาสิ่งประดิษฐ์ไปซึ่งพวก Lr ก็พอจะรู้ว่า คือเมทาไนท์ นั่นเองที่ขโมยเอาของเขาไป ด้านพวก เซโร่กับเรโค่ ที่อยู่ไม่ไกลกันนักบนเนินแห่งนี้กำลังโดนล้อมโดยพวกชาวเมืองและ ต้องรับมือกับลูคเรเทียกับเทอเรี่ยนสีดำของนางและซัคคิวบัท ที่คอยซ้ำอยู่ตลอดโดยทำได้เพียงแค่ ป้องกันตนเท่านั้น และยังต้องคอยหลบหลีกการรุกรานของชาวเมืองด้วย Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัต Post by: greamon on June 22, 2008, 07:53:40 PM “ พวกแกยอมจำนนซะ ”
“ ไอ้จอมเวทย์ชั่วเพราะพวกแก พวกเราเลยต้องอยู่อย่างไปเป็นสุข ” “ ปีศาจอย่างพวกแกน่ะไม่มีซะก็ดีหรอก ” เสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจขงชาวเมืองยังคอยกดดันพวกเขาจน แทบไม่มีสมาธิจะร่ายมนต์หรือเสริมพลังของเกราะแต่อย่างใด ภูตสาวลูเซียสที่เรโค่ส่งออกมา ก็รับมือนางปีศาจซัคคิวบัท เอาไว้แทบไม่ได้ นางจึงหยิบเอากระดาษอีกแผ่น ซึ่งเขียนอักขระคล้ายๆกันออกมาและโยนไปขนาด ที่คอยควบคุมลวดมนตราให้ขึงเป็นตาข่ายไม่ให้ชาวเมืองบุกเข้ามาได้ กระดาษที่โยนออกไปนั้นลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีดำก่อนจะขยายและเปลี่ยนรูปภูดชาย ใบหน้าสวมหน้ากากปกปิดเอาไว้ “ จงปกปิดตัวตน เสียงกรีดร้องในความมืด ออบสคูรี (Obscure) ” สิ้นเสียงของเรโค่ ภูตชายตนนั้นก็ค่อยจางหายไปในอากาศธาตุ ก่อนจะไปปรากฏตัวข้างหลังนางปีศาจซัคคิวบัท พร้อมกับกางกรงเล็บขึ้นเพื่อจะทำลายนาง แต่ก็ถูกเทเรี่ยนสีดำพุ่งเข้าตะครุบเข้าไว้ (http://www.uppic.net/io/0obscure.jpg) “ ทำได้ดีมากไวด์(Wild) ” นางกล่าวชมเทอเรี่ยนของนางมันเป็นเทอเรี่ยนที่มีพิษสะสมในร่างกายจนเป็นสีดำ ลมหายใจของมันล้วนเป็นพิษ ผู้คนขนานนามมันว่าเทอเรี่ยนสารพิษ(Toxic Therion) “ Kamaithachi ” สิ้นเสียงเครสเซนท์ ก็พุ่งเข้าตวักกรงเล็บรัวใส่เจนัสอย่างรวดเร็ว แม้จะป้องเอาไว้ได้แต่ร่างของเขาก็ต้องถูกลมเฉือนเอาไปหลายแผล จนเมื่อเขาเสียท่า ถูกเตะเข้ากลางลำตัวจนล้มลง เครสเซนท์ที่จะซ้ำต่อทันทีก็ถูก กระสุนแสงเป่าจนกระเด็น โดยมีบาดแผลเพียงเล็กน้อยเพราะเกราะมนตราที่คุ้มกายเขาเอาไว้ถูกเสริมพลัง จากการ ใช้ชุดเกราะเสริมพลังที่ระเบิดออกไปเมื่อครู่ นีน่าที่ยิงช่วยมานั้นรีบเข้ามาดู อาการของพี่น้องทั้งสองซึ่งลากูน่ายังนั่งอยู่บนพื้นด้วยความจุกจากถูกเศษชิ้นส่วนเกราะกระแทกอยู่ ก็ได้กาโรห์เข้ามาช่วยพยุงขึ้น “ ไม่เป็นไรนะครับลูกพี่ลากูน่า ” กาโรห์ถามซึ่งลากูน่าก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง “ กาโรห์ไม่นึกเลยว่าจะได้นายมาช่วยเอาไว้นะ ” ลากูน่ากล่าวขณะที่เดินเข้าไปดูอาการของพี่ชายซึ่งพึ่งจะลุกขึ้นมา “ ดูเหมือนจะวุ่นวายไปหมดแล้วนะนี่ก่อนอื่นคงต้องช่วยเจ้าเด็กกับลูกมังกรนั่นก่อนล่ะนะ ” กาโรห์กล่าวหลังจากประมินสภาพสนามรบที่ยุ่งเหยิงนี้ “ นี่แก..คือคนที่หายตัวไปนี่ทำไมถึง ” เซอร์เซสที่มองมายังกาโรห์ด้วยความสงสัย ซึ่งกาโรห์ก็ส่งสายตาแฝงเลศนัยกลับไปทำให้เขา ต้องชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหรี่ตาลงเพื่อประเมินสถานการณ์ กาโรห์ซึ่งชักดาบออกมาจากฝัก ก็จับด้ามดาบไว้ด้วยมือทั้งสอง ก่อนจะเหวี่ยงมันไปรอบอย่างรุนแรง “ Reverse Blade Lightning ”(ดาบย้อนอัศสนีบาต) สิ้นคำ ดาบในมือของกาโรห์ก็ถูกเหวี่ยงขึ้นสู่ฟากฟ้าและหายลับ ไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง จนทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต้องชะงักขึ้นมอง ทันทีที่กาโรห์ตวัดมือลงสายฟ้าก็พุ่งลงมาจำนวนมากมายโดย ทุกครั้งจะฟาดลงไปยังตัว ของ เบต้า บี และนักประดิษฐ์จนกระทั่งกลไลของ เบต้า บีไม่อาจทานทนต่อกระแสไฟฟ้าได้อีก ก็ระบิดออกเป็นเสี่ยงๆทันที พร้อมแรงโน้มถ่วงที่กดร่างของพวก Lr หายไป นักประดิษฐ์เท่านั้นที่ยังคงไม่เป็นอะไร เพราะมีเกราะคุ้มกันอยู่ “ เชอะวันนี้ข้าจะถอยก่อนก็ได้แต่แค่ข้าคนเดียวเท่านั้นแล้วเจอกันใหม่ ฮ่าฮ่าฮ่า ” นักประดิษฐ์กล่าวจบก็เกิดแสง เปล่งขึ้นมาก่อนจะหายตัวไป สายฟ้าฟาดยังคงพุ่งลงมาฟาดใส่พวก เครสเซนท์ กับเซอร์เซสไม่ยั้ง แต่ก็ไม่อาจถูกต้งตัวของทั้งสองได้ เซอรืซสที่มองไปยังกาโรห์ก็เข้าใจถึงความหมายของอะไนบางอย่าง ขึ้นมา “ เข้าใจแล้วอย่างนี้นี่เอง เครสเซนท์เราถอยกันก่อน ” เซอร์เซสกล่าวจบก็เปิดประตูมิตออกและหนีเข้าไปพร้อมกับเครสเซนท์ เมื่อเห็นดังนั้นกาโรห์จึงหยุดยั้งการส่งพลังมนตราพร้อมกับดาบที่เหวี่ยงขึ้นไปก็พุ่งตกลงมา ปักบนพื้นตรงหน้าเขา “ จริงสิสองคนนั้นล่ะ เราต้องช่วยพวกเขานะ ” นิทินโคกล่าวด้วยความร้อนรนเมื่อเห็นพวกชาวเมือง พยายามจะกรูกันเข้าไปจับตัว เซโร่และ เรโค่ โดยที่ทั้งสองยังต้องรับมือับเทพขุนพลอีกคนอยู่ พวกเขาแหวกฝ่าวงล้อมเข้าไปจนถึงใจกลาง โดยที่เจนัสพุ่งเข้าไปซัด เจ้าเทอเรี่ยนสีดำ จนกระเด็นไปชนนางซัคคิวบัทล้มระเนระนาดไปทั้งคู่ นีน่ากดสวิตซ์ที่ปลายปืนทันที พร้อมกับวัตถุโลหะทรงกลม แคริอุส ของนางบินลงมาจากฟากฟ้าและกางแขนกลไลที่ ยึดเอาสรรพอาวุธนานาชนิดออกมา “ Choose ” เสียงทุ้มแหลมของมันดังขึ้นพร้อม อาวุธทั้งหมดถูกโปรยลงมา สู่พื้นทำให้ชาวเมืองพากันวิ่งแตกฝูงไปหมดซึ่งก็ไม่มีใครได้รับอันตรายเพราะลากูน่า ไล่เก็บพาคนที่หนีไม่รอดโยนออกไปทันที แต่ทว่าดุเหมือนนีน่าจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่เพราะแทนที่พวกชาวเมืองจะถอยหนี ไปไม่กลับมาอีกพวกเขากลับพากันมาหยิบเอาอาวุธที่นางทิ้งลงมา ขึ้นมาใช้ และเข้าปิดล้มพวกเขาอีกครั้ง “ แย่ล่ะสิลืมนึกไปเลย ” นีน่าอุทานดวยความตกใจ “ ทำอะไรคิดหน้าคิดหลังบ้างสิ ” เจนัส กล่าวขณะที่พวกเขาถูกบีบวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ เรโค่กับเซโร่ ที่หมดแรงกับการตั้งรับไปแล้วจึงไม่ต่อกรอะไรได้อีก นิทิโคที่เข้าไปดูทั้งสองคนด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ชาวเมืองกำลังปิดล้อมเข้ามาเรื่อย “ เจ้าพวกนี้ก็เป็นพวกเดียวกับเจ้าจอมเวทย์นั่น ” ลูคเรเทียกล่าว ซึ่งชาวเมืองก็พากัน บุกประชิดเข้ามา ทำให้พวกเขาคอยรับมือกับชาวเมืองที่บัดนี้มีอาวุธครบมือแล้ว “ พวกคุณกำลังถูกหลอกอยู่นะพวกเขาไม่ใช่คนไม่ดีซะหน่อยที่ผิดก็พวกนั้นต่างหาก ” Lr อธิบายพร้อมกับชี้ไปเทพขุนพลลูคเรเทีย “ เพราะพวกแกมาที่นี่น่ะแหล่ะถึงได้ทำให้พวกปีศาจแห่กันมา ” “ ไปให้พ้นเลยไปพวกแกมันตัวซวย ” “ พวกไร้คุณธรรมอย่างพวกแกอยู่ไปก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเพื่อคุณธรรมแล้วพวกเรา จะต้องกำจัดปีศาจอย่างพวกแก ” คำพูดของชาวเมืองที่ไม่สนใจเหตุผลใดเข้ากดดันพวกเขา นิทินโคที่ยืนฟังอยู่ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจขัดขืนต่อความเห็นของชาวเมืองได้ “ คุณธรรมน่ะมันก็แค่สิ่งที่ใช้เรียกการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้นงั้นสินะ ” นิทินโคกล่าวออกมาอย่างสินหวัง Lr ที่ฟังอยู่ใกล้นั้นก็เข้าใจได้ถึงความทุกข์ของเขา เพราะที่แล้วมาเขาจะทำทุกย่างเพทื่อคุณธรรมที่เขาได้รับการสั่งสอนมาแม้ ซึ่งการที่เขาโกรธเคืองลอว์เรนซ์นั้น ก็เพราะเขาอยากจะหนีจากความคิดที่ว่าเพราะเขาทำให้พี่สาวต้องตาย จึงพยายามปฏิบัติทุกอย่างเพื่อคุณรรมที่ตนเองเชื่อมาตลอดแม้จะผ่านเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจนั้นมาแล้วก็ตาม ในตอนนี้ความรู้สึกนั้น Lr ได้เข้าใจแล้วจากการที่เขาได้เห้นในหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา ทั้งตอนที่หมู่บ้านถูกโจมตี เขาเป็นคนที่ไปช่วยพวก ไลท์และถึงแม้ต่อหน้า จะทำเป็นโกรธเขาแต่ลับหลังแล้ว เขาก็ยังคอยช่วยเหลือ Lr มาตลอดโดยไม่ให้รู้ตัว Lr ที่เข้าใจขึ้นมาได้ในตอนนี้ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่นั้นคงเป็นเพราะ เขาเอง ก็เคยเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว จึงทำให้เขาเข้าใจในตัวของนิทินโคมากขึ้น “ ไม่ใช่หรอกไฟร์นายจะว่ายังไงก็ตามแต่ก็อย่าทอดทิ้งสิ่งที่เชื่อมั่นอยู่ซะล่ะ ” Lr กล่าวโดยเรียกชื่อของเขาเหมือนเมื่อก่อนที่เคยสนิทกันซึ่งคำพูดนั้นก็เตือนสติเขาขึ้นมาทันที ขณะที่ชาวเมืองกำลังรุกไล่เข้ามามากขึ้น โดยที่พวกลูคเรเทียเอาแต่เฝ้ามองความพินาศของพวกเขาอย่างสบายอารมณ์ “ เพื่อปกป้องคุณธรรมของพวกเราตายซะเถอะพวกปีศาจ ” ชาวเมืองคนนึงโห่ขึ้นมาอีกครั้งซึ่ง Lr เองที่เริ่มจะฉุนก็ตะคอกกลับไปบ้างทันที “ เพราะเป็นคุณแก่ตน ถึงได้เรียกมันว่าคุณธรรมงั้นเหรอ..ถึงมันจะจริงแต่นั่นก็ไม่ใช่คุณธรรมที่แท้จริงหรอก ” คำพูดของเขาทำให้ชาวเมืองต้องหยุดกึกเพื่อทบทวนสิ่งที่เขากล่าวออกมาอีกครั้ง นิทินโคที่ได้ยินคำพูดนั้น ก็นึกถึงคำพูดที่พี่สาวของเขาเคยพูดไว้ “ ประโยคเมื่อกี้มันที่พี่เคยพูดไว้นี่ ” นิทินโคคิดขณะที่ ความทรงจำนั้นได้แวบผ่านเข้ามา ใบหน้าของพี่สาวที่คอยสั่งสอนเขาและดูแลเขามาตลอดนั้นก็ผุดขึ้นมาในใจ “ เพราะเป็นคุณแก่ตน ถึงจะเรียกมันว่าคุณธรรมเลยไม่ได้หรอกถึงมันจะจริงตามความเห็นคนกลุ่มมากแต่นั่น ก็ไม่ใช่คุณธรรมที่แท้จริงหรอกนะไฟร์ ” คำพูดของพี่ก้องอยู่ในหัวของเขา “ อย่าไปฟังมัน พวกมันแค่ต้องการจะทำให้พวกเจ้าไขว้เขวเท่านั้นจงกำจัดมันเพื่อ รักษาคุณะรรมของพวกเจ้าซะ ” ลูคเรเทียกล่าวแย้งขึ้นมาเพื่อให้พวกชาวเมืองลงมือ แต่แล้วก้มีชายแก่คนหนึ่งเดินตรงมายังกลุ่มชาวเมืองซึ่งทันทีที่ ชาวเมืองและทหารยามเห็น พวกทหารยามก็พากันแหวกฝ่าออกไปอารักขาเขาทันที พร้อมกับที่พวกชาวเมืองแหวกทางให้แก่ชายแก่ด้วยความเคารพ เขาคือชายแก่คนเดียวกับที่ เจรจากับพวกกลุ่มคนชุดดำซึ่งก็คือพวกลูคเรเทียในที่ว่าการอำเภอเมื่อคืนก่อนนั่นเอง “ ที่เด็กคนพูดมาน่ะถูกต้องแล้ว ” ชายแก่ประาศก้องทำเอาชาวเมืองพากันนิ่งเงียบไปทันที “ น..นี่ตาแก่แกคิดจะทำอะไรกันแน่เจ้าพวกนั้นมันเป็นตัวอันตรายนะ ” ลูคเรเทียกล่าวด้วความร้อนรน จากการปรากฏตัของชายแก่ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 22 สายลมคือความหวังสายน้ำคือความสัต Post by: greamon on June 22, 2008, 07:53:56 PM “ จริงด้วยนะครับท่านนายอำเภอเราต้องทำเพื่อปกป้องเมืงไม่ใช่หรือครับเพื่อคุณธรรมน่ะ ”
ทหารยามคนนึงกล่าวขึ้นซึ่งนั่นทำให้ชายเบิกตาขึ้น สายตาของเขาดุดันเสียจนชาวเมืองที่ได้เห็นทุกคน ต้องชะงักนิ่งไปทันที “ พวกเจ้ายังมีหน้ามาอ้างว่าเพื่อคุณธรรมอีกเรอะการกระทำของพวก เจ้าตอนนี้น่ะยังไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวอีกเรอะคิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปถึงไหนกันถึงได้มารุมล้อมเด็กพวกนี้ อีกอย่างพวกเขาคือคนที่ช่วยพวกเราเอาไว้นะนอกจากจะไม่สำนึกบุญคุณแล้วพวกเจ้ายัง เนรคุณอีกแล้วยังจะกล้าเสนอหน้ามาอีกเรอะ ” ชายแก่ตะคอกด้วยโทสะที่ครุกรุ่นออย่างเต้มที่ทำเอาพวกชาวเมืองสลดไปตามๆกัน “ ถ้าสำนึกกันแล้วก็เลิกทำแบบนี้ซะศัตรูที่แท้จริงของเราคือเจ้าคนพวกนั้นตะหาก ” สิ้นคำของชายแก่ชาวเมืองก็พากันหันทิศเขาหาเทพขุนพลทันที “ เจ้าพวกสวะเอ๋ยคิดจะต่อต้านพวกข้าเรอะงั้นเราจะได้เห็นดีกันย้ากกกก ” ลูคเรเทียตวาดด้วยความฉุนเฉียวพร้อมกับยิงระเบิดสายฟ้าใส่ชาวเมือง จนแตกพ่ายกันเป็นพัลวัน ทันทีที่กลุ่มชาวเมืองแตกกระจายไปสะเปะสะปะ นางก้พุ่งทะยานเข้าหมายจะบั่นคอชายแก่เสีย แต่ทว่า Lr ก็รีบพุ่งตัวคว้าดาบที่ปักอยู่บนออกไปรับมือกับนางทันทีดดยที่พวกเจนัสจะตามไปช่วยแต่ก็ถูกสกัด โดยนางปีศาจซัคคิวบัทกับเทอเรี่ยนสีดำ นิทินโคที่บินแยกออกไปช่วย Lr ทันที “ คนอย่างพวกแกที่คิใช้คุณะรรมเป้นเครื่องมือหลอกใช้คนอื่นชั้นไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด ” นิทินโคกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดก่อนจะพุ่งเข้าใส่นาง พร้อมๆกับ Lr แต่ก็ถูกนางปัดกระเด็นไป “ งั้นก็เริ่มจากพวกแกก่อนเลยละกันแล้วก็แกเจ้าหนูน้อยอยู่นิ่งๆตรงนั้นซะเดี๋ยวแกจะต้องไปกับข้า ” นางกล่าวจบก็ยิงคลื่นไฟฟ้าจากฝ่ามือใส่ Lr คลื่นไฟฟ้าไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา ความทรมานจากการถูกไฟช็อตได้กล้ำกรายเข้าสู่ร่างของเขา จนดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด “ ลอว์เรนซ์ ” นิทินโคร้องเสียงหลงด้วยความเป็นห่วงทันที ซึ่งดาบของลูคเรเทียกำลังจะพุ่งลงบั่นคอขงเขา ก็ผลันเกิดแสงสว่างสีแดงวาบออกจาก ดราก้อนฮอลลี่ ทันทีดาบของก็ตวัดพลาดไปเมื่อแสงนั้นเปล่งสว่างเสียงจนตานางพร่าไปหมด ร่างของ Lr และ นิทินโคถูกอาบด้วยแสงนั้นก่อนที่นิทินโคจะเดินเข้าไปหาร่างของ Lr ที่หมดสติอยู่ บนพื้น “ ที่แล้วมาชั้นก้แค่จะหนีจากความผิดของตัวเองเท่านั้นเองถึงได้พยายามเป็นบ้าเป็นหลังที่จะทำความดีชดเชย ให้กับพี่จนลืมสิ่งที่สำคัญไป ลอว์เรนซ์เรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งนะเพราะตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่าที่พี่ คอยสอนอยู่ตลอดนั้นไม่ใช่ให้ฉันถือ อคติกับใครหรืออะไรแต่ให้ชั้นเสียสละตนทำเพื่อทุกคนต่างหาก... ” คำพูดที่กล่าวออกมาจากส่วนลึกของจิตใจนั้นทำให้แสงที่อาบร่างทั้งสองไว้หลอมรวมเป็นหนึ่ง ก่อนจะขยายตัวขึ้นสู่ท้องนภา และแตกกระจายเป็นวงแหวนพลังงานสีแดง หมุนวนอย่างรวดเร็ว รวบรวมเอาละอองพลังงานที่กระจายไปกลับมาอีกครั้ง และยิงส่งเปลวเพลิงลงเผาผลาญร่างของทั้งคู่ ท่ามกลางเป็วไฟนั้นร่างของทั้งสองราวกัสูญสลายไปก่อนจะกลับร่วมตัวกันอีกครั้งและขยาย ตัวขึ้นพร้อมกับปีกเพลิงถุกสยายออกมาจากเสาเพลิงที่ถูกยิงลงมาและกระพืออย่างรุนแรงจนเสาเพลิงสลายไป ผยร่างของอัศวินมังกรตนใหม่ร่างสีแดงเพลิงเกล็ดมังกรนั้นเรียงตัวกันเป็นเกราะและทันทีที่ร่างนั้นค่อยๆ ร่อนลงสู่พื้นปีกเพลิงที่สยายออกมาจากหัวไหล่ สลายตัวออกจากกันและมารวมกันที่มือทั้งสองข้าง ข้างนึงเปลวไฟกลายรูปโล่เกล็ดมังกรสีแดงติดกับข้อมือส่วนอีกมืก็ก่อตัวรวมกันคล้ายก่อนที่อัศวินมังกร จะกดดาบเพลิงนั้นลงกับพื้นอย่างอย่างจนเปลวไฟที่ติดอยู่สลายไป เผยรูปร่างของดาบ เรียวยาวเหมือนกระบี่ คมดาบเป็นสีแดงสดและลุกโหมด้วย ออร่าอันร้อนระอุ หางของอัศวินมังกรสะบัดฟาดไปมาตามพื้นดดยทุกครั้งที่ฟาดโดนจะเกิดประกายไฟขึ้นแต่กลับไม่ ลุกไหม้อย่างน่าอัศจรรย์ “ คุณธรรมที่แท้จริงจะไม่เกิดจาจากความกลัว นามของข้าจะเป็นเพลิงแห่งคุณธรรมเผาผลาญความกลัวแห่งปีศาจให้วอดวาย ทาลิกนัส (Thalignus, the Dragoon of Thaliwilya) ” อัศวินมังกรประกาศก้อง ก่อนยกกระบี่ที่ปักพื้นขึ้นมา (http://www.uppic.net/it/thalignus.jpg) “ Great of Dragon ”(ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) สิ้นคำของทาลิกนัสเปลวเพลิงก็ลุกโหมขึ้นบนคมดาบทันที ก่อนที่เขาแทงดาบไปข้างหน้าทันทีที่ดาบถูแทงไป เปลวเพลิงที่คมดาบก็พุ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็วและแปรรูปเป็นมังกรเปลวเพลิงสีแดง หุกโหมใส่นางปีศาจซัคคิวบัทกับเทอเรี่ยนสีดำของนาง โดยที่ไฟนั้นแม้จะครอกพวกเจนัสไปด้วย พวกเขากลับไม่เป็นอะไรเลยกลับกันเทอเรี่ยนสีดำกับนางปีศาจ ถูกเพลิงมังกรเผาผลาญจน ต้องลงไปกลิ้งและเมื่อไฟดับทั้งสองก็ไม่อาจสู้ต่อได้ด้วยอาการเจ็บแผลไฟไหม้ที่เกิดขึ้น ลูคเรเทียได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง “ ข้าก็บอกไปแล้วนี่ว่าข้าจะเป็นเพลงแห่งคุณธรรมเผาผลาญความกลัวแห่งปีศาจให้วอดวายดังนั้น เพลิงนั้นก็จะเผาไหม้แต่เพียงปีศาจแห่งความกลัวอย่างพวกเจ้าเท่านั้นเพราะนี่คือเพลิงชีวิต ของข้าที่ไม่มีวันดับมอด ” ทาลิกนัสประกาศก้อง “ หนอยแกย้ากกกก ” ลูคเรเทียกัดฟันเข้าปะทะด้วยความโกรธเกรี้ยวนางฟาดฟันดาบในมืออย่างรวดเร็วแต่ ทาลิกนัส ก็รับไว้ได้ทั้งหมดโดยใช้เพียงดล่ของตนเท่านั้นโดย ที่ทุกครั้งที่นางลงดาบใส่โล่ของตน ก็จะแทงกระบี่ออกไป อย่างรวดเร็วทันที ซึ่งแม้นางจะหลบได้แต่ออร่าเพลงที่ลุกโหมอยู่ที่คมดาบก็จะเผาถูกนางไปด้วย จนทั่วทั้งตัวนางตอนนี้มีแต่แผลผุพองจากการถูกไฟเผาดาบของนางเริ่มที่จะละลายจากการปะทะ กับกระบี่เพลิงองทาลิกนัส บัดนี้ทาลิกนัสไม่คิดที่ยืดเยื้ออีกต่อไป เขาตวัดกระบี่ในมือจนเกิดประกายไฟในอากาศ เป็นรูปดาวห้าแฉก ก่อนจะถอยกระบี่ออกมาและแทงลงไปตรงกลางแฉกดาวนั้น “ Ignis et Dragos ” สิ้นคำดาวห้าแฉกก็ลุกโหมกระหน่ำเป็นพายุเพลิง พัดกระหน่ำสู่ร่างของนาง โดยที่นางไม่อาจจะหลบหนีได้ แต่ทว่าก่อนที่พายุเพลิงจะกระหน่ำร่างของนาง ให้มอดไหม้เป็นจุล ก็มีร่างขนาดใหญ่พุ่งทะยานมาและยกปีกสีดำขึ้นปกป้องนางเอาไว้จากพายุเพลิง “ อะไรกันน่ะ ” ทาลิกนัสอุทานขึ้นด้วยความตกตะลึงซึ่งทุกคนต่างก็หันกันไปยังทิศทางเดียวกันนั้น ตรงหน้าร่างของผู้มาเยือน คนใหม่ได้ปรากฏต่อหน้าพวกเขาภายใต้ใต้ปีกของ อัศวินนรกกายสีดำ ซึ่งเป็นอัศวินนรกตนเดียวกับที่จู่โจมเกรเกอรี่เมื่อครั้งที่เดินทางไปยังฐานกองกำลังทางเหนือของทวีปคาดาร่านี้ ชายคนนึงที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาซึ่งเป็นดูเหมือยเขาจะเป็นผู้ที่ควบคุมอัศวินนรกตนนี้ เขาสวมชุดเหมือนกับบิชอปแห่งฟีเลเซีย เพียง แต่ชุดของชายผู้นี้เป็นสีดำและสวมหน้ากากสีขาวทรงกลมรีปกปิดใบหน้าที่มีเพียงช่อง สองดวงเท่านั้นที่ถูกเจาะเอาไว้บนหน้ากาก “ แกเป็นใครกัน ” ทาลิกนัสถามพร้มกับกระชับกระบี่ในมือแน่น แต่ชายลึกลับกลับหัวเราะในลำคอเบาก่อนที่ วาดมือออกมา เกิดวงเวทย์รูปดาวหกแฉก ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาพร้อมกับร่างของลูคเรเทีย นางปีศาจซัคคิวบัทและ เทอเรี่ยนสีดำ ได้จางหายไป ทันที ชายลึกลับ็หันมากล่าวกับพวกเขาเสียงเรียบ “ ข้าคือใครบางคนที่พวกเจ้าจะต้องสูญเสียไปในกาลข้างหน้า แล้วเจอกันในอนาคตนะข้าจะ รอจนกว่าเจ้าจะจุติครบทั้งหมด ” ชายลึกลับกล่าวจบเขาก็ถูกอัศวินนรกพาตัวบินหายลับไปอย่างรวดเร็ว “ อนาคตงั้นรึ.. ” ทาลิกนัสกล่าวก่อนจะแยกกลับเป็น Lr และนิทินโค พวกเพื่อนก็รีบเขามาหาเขาทันที “ พวกนายสองคนเป็นอะไรมากมั้ย ” ลากูน่าถามขณะที่มองหาบาดแผลของทั้งคู่แต่กลับไม่เจอแม้แต่น้อย รวมทั้งแผลที่หัวคิ้วของเขา ก็หายไปเป็นปลิดทิ้งไป “ หายไปหมดแล้วแผลทั้งหมดไม่เหลือเลยเป็นไปได้ยังไงกัน ” Lr อุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “ คงเป็นเพราะการกลายร่างนั่นสามารถรักษาบาดแผลให้ได้ด้วยละมั้ง ” เซโร่ที่เพิงเดินมาหาพวกเขาพร้อมกับเรโค่ กล่าวบัดนี้พวกชาวเมืองได้ แต่ยืนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ดดยไม่ละสายตาจนแม้จะจบสิ้นลงไปแล้วพวกเขาก็ยัง คงยืนค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความตกตะลึง “ นี่คงเป็นความสามารถอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมาสินะ ” เอิธท์กล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ “ แต่ว่านะไม่มีเวลาแล้วล่ะฐานที่ตั้งกองกำลังทางเหนือที่ พวกเรากำลังจะไปถูกพวกมันโจมตีแล้วถ้าไม่รีบไปช่วยล่ะก็ ” Lr กล่าวอย่างร้อนรนเพราะเรื่องที่ได้ยินจากนักประดิษฐ์นั้นทำให้เขามั่นใจว่า พวกนั้นอาจจะรู้อะไรบางอย่างจึงรู้สึกร้อนรนที่จะรีบไปให้ถึง “ แต่ว่าที่นั่นน่ะมันไลจากที่นี่มากเลยนะ ” เจนัสกล่าว ซึ่งคำพูดนั้นแทบจะทำให้เขาสิ้นหวังในทันที ไม่มีทางที่พวกเขาจะไปได้ทัน ในเวลาเพียงแค่นี้แน่ “ งั้นพวกชั้นจะใช้มนตราเคลื่อนย้ายไปส่งเอง เพราะพวกเราก้มีธุระที่ต้องไปที่นั่นเหมือนกัน ” เซโร่กล่าวขึ้นทำให้ เขาหันมามองด้วยความหวัง “ จริงเหรอ..ขอบใจมากนะ ” Lr กล่าวซึ่งเซโร่เองก็บอกให้เรโค่เตรียมทำพิธีเคลื่อนย้ายทันที “ ธุระที่ว่าน่ะคืออะไร ” เจนัสถามด้วยความระแวง “ ไม่ต้องระแวงไปหรอก เราก็เหมือนกับพวกนายน่ะล่ะ เป็นคนของกองกำลังต่อต้าแต่ว่าเป็นหน่วยอิสระนะ ” เซโร่กล่าวซึ่งคำพูดของเขาทำเอาพวก Lr แปลกใจไม่น้อยที่ “ ตรานั่นน่ะพวกเธอคงจะเป็นคนของกองกำลังสินะ…ได้ยินมาว่าทางเบื้องบนส่งคนไปทำเรื่งที่ทาง เหนืออยู่พอดีก็เลยขอให้พวกเรามาช่วยคุ้มครองพวกเค้าแต่ไม่นึกเลยนะว่าจะเป็นฝ่ายถูกคุ้มครองซะเองแบบนี้น่ะ ” เรโค่กล่าวเสียงใสพร้อมกับชี้ไปที่ตราของกองกำลังที่ Lr ได้มาจากเกรเกอรี่ “ เพราะงั้นตอนนี้พวกเราก้เป็นพันธมิตรกันแล้วเราจะช่วยอย่างสุดความสามารถเลย ” เซโร่กล่าวแสดงไมตรีทันทีซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาโล่งอกราวกับยกภูเขาออกจากอก เพราะการได้ทั้งคุ่มาช่วยก็ราวกับพวกเขามีกำลังเสริมมาเป็นพัน “ อีกอย่างนะ ชั้นเองก้ชักจะชอบเธอเข้าให้แล้วสิ ” เรโค่กล่าวพร้อมกับโผเข้ากอด ลากูน่าดดยไม่ทันตั้งตัว ลากูน่าที่ถูกเธอกอดจนตีสีหน้าไม่ถูกพูดไม่ออกเพราะจะขืนใจก็คงสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ถนัดกับเรื่องแบบนี้ด้วย จึงรู้สึกเก้ๆกังๆ ทำอะไรไม่ถูก ทำเอาทุกคนอดอมยิ้มด้วยความขบขันไม่ได้ “ เอาล่ะไม่มีเวลาละเราจะไปกันแล้วพร้อมรึยัง ” เซโร่กล่าวตัดบทพร้มกับเริ่มร่ายคาถาทันทีเกิดแสงสีฟ้าเปล่งสว่างขึ้นมาบนพื้นที่พวกเขายืนอยู่ “ ว่าแต่แล้วนายล่ะจะไปด้วยกันไหมกาโรห์ ” ลากูน่าถามซึ่งกาโรห์ก็เดินเข้าไปในวงเวทย์โดยไม่ลังเลเลย “ พวกลูกพี่ทั้งสองจะไปไหนผมคนนี้ก็จะขอตามไปด้วยนะครับ ” กาโรห์กล่าว โดยที่เจนัสยังคงมองเขาด้วยความระแวง ส่วนนีน่าเองก็ยังคิดไม่ตกถึงความรู้สึกที่นางรับรู้เมื่อเขาปรากฏตัวมา ว่าทำไมนางถึงได้จดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตขึ้นมาได้ แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยก่อนจะจายหายไปพร้อมกับร่างของพวกเขาทุกคน ทิ้งไว้แต่ความสงสัยให้ชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์ต้องตกตะลึง ………………. ………………… ………………….. “ ทำไมเราต้องถอยกลับมาให้ลูคเรทียรับมืออยู่คนเดียวล่ะครับท่านอาจารย์ ” เครสเซนท์ถามเซอร์เซสที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ พวกเขาอยู่บนยอดเขาหิมะแห่งหนึ่งในหุบเขา ทางเหนือ โดยที่ด้านหลังนั้นลูคเรเทียกำลังพักฟื้นอยู่โดยมีนักประดิษฐ์คอยดูอาการอยู่เป็นระยะๆ “ นี่เป็นแผนที่ท่านผู้นั้นสั่งลงมาน่ะ ” นักประดษฐ์กล่าวตอบแทนเมื่อเห็นว่าเซอร์เซสยังไม่ยอมบอกกล่าวอะไรแก่ลูกศิษย์ “ แผนงั้นรึ ” เครสเซนท์อุทานขึ้นด้วยความสงสัย “ ในกลุ่มพวกมันตอนนี้น่ะได้มีคนแฝงตัวเข้าไปกับกลุ่มมันแล้ว ” เซอร์เซสกล่าวน้ำเสียงแฝงเลศนัย “ และก็ถ้าพวกนั้นไม่มาเราก็คงจะหยุดเจ้าอัศวินกับมังกรเทอะทะสองตัวนั่นไม่ได้แน่ ” นักประดิษฐ์เอ่ยขึ้น เครสเซนท์ ที่ได้ฟังคำตอบที่กำกวมรู้สึกไม่พอใจนักเขาหันกลับไปยังทิศอื่น “ ฮึ่ม ยังไงซะข้าจะต้องจัดการหมอนั่นให้ได้…เจนัสเจอกันครั้งหน้าข้าจะขยี้แกเอง ” เครสเซนท์คิดอย่างขุ่นเคืองในขณะที่จิตอีกด้านของเขาริคุ กำลังคิดอย่างวิตกกังวล “ เจนัส…ถ้าเป็นไปได้ชั้นก็อยากเป้นอิสระซักทีจากพันธนาการนี่ แล้วเราจะได้สู้ร่วมกันอีก แต่มันคงเป็นได้แค่ความเพ้อฝันเท่านั้นสินะ ” จิตของริคุคิดอยุ่ในส่วนลึกของจิตใจของเครสเซนท์ โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า พวก Lr ได้มาถึงหุบเขาทางเหนืออันเป็นที่ตั้งของกองกำลังต่อต้านที่เขาะมารับบันทึกและส่งข่าว แต่ทว่าพวกเขาก็ไปไม่ทัน กองกำลังทางเหนือถูกทำลายลงแล้ว ที่นั่นพวกเขาได้พบกับ เทียแมต แกรนเดครอสและเมทาไนท์ อีกครั้ง ขณะเดียวกันความทรงจำที่หายไปของนีน่าก็เริ่มจะกลับคืนมาเรื่อยๆ นอฟฮอฟซึ่งเย็นชามาตลอด กลับมีท่าทีปลี่ยนไปเมื่อได้พบเจอกับเทียแมต “ ตอนนั้นที่อาจารย์อีสควอเทียเรียกเธอเข้าไปคุยน่ะคือเรื่องอะไรเหรอ ” “ ก็แค่เรื่องในอดีตที่ฉันอยากจะลืมๆมันไปซะที ” อดีต ที่ไม่อยากจดจำ “ วันนี้นายกับชั้นต้องแหลกกันไปข้างล่ะ ” การตัดสินสุดท้ายที่เจ็บปวด “ พวกนายทำไมถึงต้องทำเพื่อฉันถึงขนาดนี้… ” “ เพราะข้าอยากจะเห็นความเมตตาที่ส่องประกายในสายตาเจ้าอีกซักครั้งน่ะสิ ” สิ่งที่ปกปิดมาตลอดในใจที่เต็มไปด้วยความมืด “ เป็นตัวของตัวเองเถอะเพราะชั้นรู้ดีแม้ว่าเธอจะปกปิดมาตลอดก็ตาม ” “ เมื่อความกลัวเข้าครอบงำ รความมืดจะเป็นผู้ปลอบโยนจิตใจที่หวาดหวั่นนั้นเอง นามของฉันคือ…. ” ตอนหน้า บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา End Time 2 ใกล้เข้าไปเรื่อยๆแล้วนะครับกับบทสรุปของภาค dragoon age นี้ อีกไม่นานความลับของตัวละครอื่อนๆก็คงจะเปิดดปงจนหมดแน่แล้วครับ ว่าแต่บทนี้เหนื่อยมากกว่าทุกบทเลย เพราะดารา ยกโขยงกันโผล่ออกมาเกือบหมดเลยถ้าบางทีผมอัพรูปไม่ครบก็ต้องขออภัยด้วนะครับเพราะมันเยอะจริงๆ ตอนหน้าเป็นทาลิตัวสุดท้าย(จริงเหรอ)คงจะได้เห็นถึงความเก่งกาจของทาลิมืดตัวนี้เป็นแน่ของจริงออกจะแรง โม่ซีลระเบิดอิอิ ส่วนรูปบัดนี้เว็บล่มอีกแล้วทำไมมันต้องล่มทุกเว็บที่เราไปฝากด้วยเนี่ย แล้วเจอกันอาทิตย์หน้านะคร้าบ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: boy on June 22, 2008, 08:59:23 PM สนุกอีกตอน ::015::
ผมต้องเปิดหน้านี้ 2 ครั้งรูปถึงจะขึ้นครบ ::019:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: greamon on June 22, 2008, 09:19:01 PM สงสัยเพราะหน้านีรูปเยอะมั้งครับไม่ก็เพราะ ภาพ signature เลยโหลดช้า
ว่าแต่ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมเอ่ยว่า ทำไมผมให้ย้อนไปดูบทที่16 บ่อยอิอิ ตอนวันนี้ก็เกี่ยวกับการอยู่ผิดที่ผิดทางของนิลเฮอร์ล่ะนะครับ ส่วนภาพผมจะทยอยแก้ให้ไปเรื่อยๆนะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: greamon on June 24, 2008, 01:13:15 AM ช่วงนี้เว็บเป็นอะไรก็ไม่รงู้บางครั้งก็เข้าไม่ได้ เมื่อวานก็เป็นเอหรือจะโดนไวรัส แล้ว
คุณboy เป็นมั่งรึเปล่าครับ ถ้าเป็นด้วยคงเพราะเว็บปิดปรับปรุงมั้งครับ ขอให้เป็นยังงั้นเท้อ จะได้ไม่ต้องขนกันไปซ่อม ปล. อึ้งมากภาพที่ยังไม่ได้ซ่อมแซมขึ้นมาครบหมดแล้ว งง นะนี่ เอาเถอะก็ดีครับจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอัพรูปใหม่อีก Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: boy on June 25, 2008, 10:15:44 PM รูปก็ขึ้นได้ตามปกติครับ ว่าแต่แบบสอบถามหายไปไหนเหรอครับ กะว่าจะตอบให้ซักหน่อย ::001::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: greamon on June 26, 2008, 01:21:56 AM อ๋อแบบสอบถามนั่นเหรอครับ
ไม่ต้องตอบนะ ครับอันนั้นเจ้าผู้ช่วย ตัวป่วนของผมมันมาแอบเขียนไว้เลยแก้ไปแล้วล่ะครับ อีกอย่างแต่ละข้อจะเอาไปปรับปรุงอะไรได้ ดูยังไง ยังไง มันก็แบบสอบถามเช็คเลตติ้งนะนั่น ไว้แบบสอบถามถ้าผมจะตั้งถาม ก็คงจะหลังจบนิยายเรื่องนี้ล่ะครับหรือไม่ก็มา พร้อม tip for dragonology ว่าแต่สุดสัปดาห์นี้บทที่24 มีเนื้อเรื่องชวนออกทะเลพอสมควรเลย อีกอย่างศึกตัดสินของเจนัสกับริคุก็ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ด้วย การดวลครั้งสุดท้ายคงจะมันน่าดู(หรืออาจออกทะเลอีก ::010::) ส่วนด้านอื่นๆก็คือบทอาทิตย์นี้จะ End Time 1 แล้วนะครับการนับถอยหลังเริ่มจะถึงจุดสิ้นสุดเสียที ก่อนการขึ้นมหากาพท์อันเป็นองค์สุดท้ายของนิยาย หรือภาค...... (อุปไว้ก่อนเน้อ) แต่น่าเสียดายบทที่ 25 อาทิตย์หน้าจะต้องเลื่อนเพราะต้องสอบนะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: greamon on June 29, 2008, 08:11:23 PM บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา
ณ อาณาจักรฟีเลเซีย(Felasia)อันเกรียงไกรแห่งนี้ เหล่าราษฎร นั้นต่างยึดมั่นถือมั่นในเกรียติยศ อันยิ่งยง แห่งชาวฟีเลเซีย ทำให้นักรบในอาณาจักรต่างเป็นนักรบ เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ของอัศวิน และทั้งนี้อาณาจักรหาได้เจริญเพียงแค่ทางการทหารไม่ เราระทางการศาสนา นั้นก็ควบคู่กันมากับการทหาร เพื่อให้ทุกคนมีศีลธรรม และยึดมั่นในเกรียติ แห่งความดีงาม ราชวงศ์กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรนี้คือราชวงศ์ อรีธา ซึ่งกษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์ อยู่ในกาลนี้คือ กษัตริย์ซิกมันด์ที่ 3 แต่ก็ได้มีใครหารู้ไม่ว่า บัดนี้อาณาจักรชาตินักรบอันเกรียงไกรนี้ ได้ถูกเปลี่ยนมือผู้ปกครองไปแล้ว เพราะองค์กระษัตริย์ได้ทรงทำสัญญากับ ท่านผู้นั้น จนตกเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในการเฝ้าจับตาดูความเป็นไปของกองกำลังต่อต้านที่แฝงตัวเอาไว้อยู่ จนถึงบัดนี้ทุกท่านคงจะยังไม่รู้ที่มาของกองกำลังต่อต้านนี้ อันที่จริงกองกำลังต่อต้านนี้ ก็คือกองทัพศาสนจักรที่เคยถูกจัดตั้งขึ้นในสมัยสงครามสี่อาณาจักรที่พึ่งจะสงบลงไป เมื่อไม่กี่ปี่นี้เอง โดยกองกำลังต่อต้านนี้ประกอบด้วย ทหารจากแอนดิซองและฟีเลเซียเป็นหลักอีกทั้ง ยังเครือข่ายและกองกำลังแฝงตัวอยู่ตามทวีปอื่นๆอีกด้วย แต่ทว่าทั้งที่มีกองกำลังมากมายเหลือคณานับนี้แต่พวกเขากลับไม่สามารถรวมพลได้นั้น ก็เพราะบัดนี้ได้เกิดโดมน้ำแข็งขนาดยักษ์ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปเมอริเซียแห่งนี้ ตั้งแต่เขตเกาะและเมืองท่าของแอนดิซอง(Annedisonge)ขึ้นไปจนพ้นทะเล อาณาจักรลาซาล (Lazal) ได้ถูกปิดกั้นด้วยกำแพงน้ำแข็ง ซึ่งก่อตัวสูงขึ้นเสียดฟ้า โดยที่ใจกลางน่านฟ้านั้นมี ปราการลอยฟ้า เชื่อมวงแหวน ทรงตัวของมันเข้ากับกำแพงน้ำแข็งที่โน้มเข้ามา ซึ่งบัดนี้ได้มีบางสิ่งกำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง อยู่บนน่านฟ้าภายในโดมแห่งนี้ ซึ่งมันกำลังจะ พุ่งเข้าชนกำแพงน้ำแข็งในไม่ช้านี้ “ พร้อมนะไดน่าเบลด ” ชายผู้ขี่อยู่บนหลังกริฟฟินปีกสีรุ้ง กล่าวให้จังหวะกับมัน ก่อนที่มัน กระพือปีกที่สยายอยู่กลางอากาศ อย่างรวดเร็ว ทันทีที่แสงซึ่งส่องทะลุ ลงมาสะท้อนกับขนปีกของมัน จนเกิดเป็นแสงสีรุ้งกระจายตัวออกมา และเรียงตัวกันราวกับเป็นปีกที่สยายเพิ่มออกมาจาก ปีกทั้งสองนี่คือ การโจมตีโดยใช้แสงสะท้อนของขนสีรุ้งของมันซึ่งราวกับว่ามันกระจายปีกออกไปโจมตี(Spread Wing) ทันทีที่ปีกแสงนั้นกระทบเข้ากับกำแพงน้ำแข็งมันก็เริ่มวูบไหวราวกับมันเป็นภาพมายา ก่อนที่กริฟฟิน และนายของมันจะบินทะลุผ่านกำแพงที่วูบไหวนั้นออกมา ชายผู้ขี่มันหันกลับไปมอง กำแพงที่วูบไหวเมื่อครู่ซึ่งมันเริ่มกลับมาจับตัวแข็งกันดั่งเดิมอีกครั้ง ก่อนจะนึกย้อมถึงสิ่งที่ได้รับรู้มาจาก มังกรปราชญ์ อีสควอเทีย “ ตอนนี้ทั่วทั้งทวีปเมอริเซียถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพงน้ำแข็งขนาดยักษ์ซึ่งสาเหตุมันก็มาจากพวกโฮลี่ไนท์แมร์นั่นล่ะ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังพอที่จะส่งเจ้ากลับไปที่ทวีปคาดาร่าได้ แต่ว่าข้ารู้วิธีที่จะออกไปจากกำแพงน้ำแข็งนี้ได้ ที่ส่วนบนของกำแพงน้ำแข็งจะเป็นจุดที่มีความเข้มแข็งน้อยที่สุด แค่โจมตีใส่นิดหน่อยมันก็จะสลายตัวไป ก่อนที่มันจะกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง ใช้จังหวะนั้นพุ่งผ่านมันออกไปซะ เพราะนี่เป็นวิธีเดียวกับที่ฉัน ให้เทลูมานาไปส่งพวกเขาเมื่อครั้งก่อน ” คำพูดของอีสควอเทียซึ่งเขาจำมันได้ดี บัดนี้เขาได้ผ่านออกมาจากทวีปเมอริเซียแล้ว “ เอาล่ะเราบินลงต่ำกว่านี้หน่อยเถอะ ” เขากล่าวพร้อมกับ บังคับให้มันบินลง พวกเขาค่อยๆทะยานลงมาอย่างช้า จนเมื่อลงมาใต้เมฆก็ได้ พบเห็นเรือสินค้ามากมายกำลังลอยลำอยู่เหนือน่านน้ำ เพราะไม่อาจเดินทางผ่านกำแพงน้ำแข็งเข้าไปได้ “ ทำให้เดือดร้อนกันไปหมดเลยแหะ คงต้องรีบๆทำให้มันจบลงโดยเร็วที่สุดแล้วสินะ ” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะละความสนใจและบังคับให้ กริฟฟินปีกสีรุ้ง ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว สูงอีกครั้ง “ ยังไงซะตอนนี้เราเองก็ไม่มีเวลามารออยู่ที่นี่แล้วต้องรีบไปให้ถึงก่อนที่นีน่าจะรู้ตัว….ไม่งั้นหมอนั่นต้องตายแน่ๆ 4 ปีก่อนที่นายช่วยเธอเอาไว้ จะให้มันสูญเปล่าไม่ได้…. ” เขาคิดขณะที่ กำลังทะยานไปกับกริฟฟินคู่ใจ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง หุบเขา ทางเขตเหนืออันเป็นที่ตั้งกองกำลังต่อต้าน ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาลึก และเป็นที่หมายเดียวกับที่พวก Lr กำลังจะไปในไม่ช้านี้ …………… ………………. ………………….. ณ บ้านริมชายป่าของนักประดิษฐ์สติเฟื่องแห่ง ฟีเลเซีย ได้มีผู้มาเยือนถึงสองคน พวกเขาเปิดประตูบ้านของนักประดิษฐ์ ซึ่งมันไม่ได้ล็คเอาไว้สร้างความแปลกใจให้แก่ทั้งคู่ไม่น้อย ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ซึ่งมืดสนิท จากการที่หน้าต่างถูกปิดเอาไว้ด้วย บานพับเหล็ก แสงที่ส่องเข้ามาภายในห้อง จากประตู ทำให้พอมองเห็นทางได้บ้าง หนึ่งในสองคนนั้น ได้เดินคลำทางภ่ยในห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยสารพัดเครื่องมือและสิ่งประดิษฐ์ อย่างยากลำบาก ก่อนเขาจะผลักบานพับหน้าต่างที่ปิดไว้ออกเพื่อให้แสงส่องเข้ามา “ นี่ท่านบิชอปท่านยังไม่ได้ตอบเราเลยนะว่าทำไมถึงต้องรีบออกมาปุบปับแบบนี้ ” อีกบุคคลกล่าวพร้อมกับย่างก้าวเข้ามาในห้องนางคือ องค์หญิง เรจิน่า(Regina, the Princess of Felasia) แห่งฟีเลเซีย (ที่จริงตอนนี้น่าจะเป็นมหารานีแล้ว แต่ข้อมูลไม่แน่นพอขอให้เป็นองค์หญิงไปก่อนละกันนะครับ) ในขณะที่อีกบุคคลซึ่ง ก็คือบิชอปเกรเกอรี่ แห่งฟีเลเซีย กำลังมองสำรวจไปรอบๆห้องเพื่อหาใครบางคนที่ควรจะอยู่ที่นี่ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/18.jpg) “ ไม่อยู่จริงๆรึนี่ ” บิชอปเกรเกอรี่ พึมพำขึ้นพร้อมกับ ยกมือขึ้นเกาคางพลางใช้ความคิด โดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามที่เจ้าหญิง ซึ่งนั่นก็ทำให้พระองค์ทอดพระเนตร บิชอปด้วยความ งุนงง ขณะที่รอคำตอบ ซึ่งบิชอปเกรเกอรี่ ทันทีที่รู้สึกตัวว่า เจ้าหญิงทรงรอคำตอบจากเขาอยู่ จึงรีบหันไปกล่าวกับพระองค์ ทันที “ โอ้ขออภัยด้วยกระหม่อมลืมตัวไปพะย่ะค่ะ ” “ อันที่จริงแล้วช่วงนี้กระหม่อนรู้สึกสงสัยกับ ท่าทีของทิโมธีอยู่บ้าง และเมื่อสองสามวันก่อนนี้เขามาถามกระหม่อมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ แปดปีและสี่ปีก่อนน่ะพะย่ะค่ะ ” บิชอปเกรเกอรี่กล่าวโดยไม่หยุดพักหายใจเลย ทำให้พระพักต์ของเจ้าหญิงเต็มความไปด้วยความประหลาดใจ กับความรีบร้อนของเขา แต่ก็พระองค์ก็ทรงฉุกคิดขึ้นมาถึงคำพูดของเขา เกี่ยวกับทิโมธี “ ท่านหมายถึงเหตุการณ์การล่มสลายของตระกูล ซาราเบลดและลาเซริโอ้น่ะหรือ ” เจ้าหญิงตรัสถามด้วยความสงสัยซึ่งบิชอปเกรเกอรี่เองก็พยักหน้ารับเป็นเชิง “ แต่ว่ากระหม่อมเองก็ไม่ค่อยจะทราบรายละเอียดนัก แต่ตามที่พระองค์ตรัสมาเขาไปถามพระองค์ใช่มั้ยพะย่ะค่ะ ” เกรเกอรี่กล่าวเสียงเรียบ ซึ่งเจ้าหญิงเองก็ทรงพยายามระลึกถึงเหตุการณ์ณ์เมื่อสองวันก่อน ซึ่งพระองค์ทรงแอบปลอมตัวเสด็จมาพบเขาโดยลำพัง และถูกถามถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งพระองค์ก็ได้ตรัสออกไปจนหมด “ ใช่เราเล่าให้เค้าฟังทั้งหมดไปแล้ว ” เจ้าหญิงตรัสตอบ ทันทีที่ได้ยินคำตอบเกรเกอรี่ก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางขบคิด ไปด้วยความสงสัย ก่อนที่มือของเขาจะไปปัดโดนเอาม้วนกระดาษจนหล่นลงพร้อมกับกางออกในทันที มันเป็นแบบแปลนของสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่รูปร่างเหมือนตัวด้วงหกตัวและเครื่องจักรที่ดูคล้ายกับเข็มขัด ซึ่งไล่ลงมานั้น ยังมีรูปของชุดเกราะโลหะที่มีรอยต่อแยกประกอบชิ้นส่วน เขียนยาวเป็นทาง เกรเกอรี่ย่อตัวลงเก็บมันขึ้นมาดู อย่างถี่ถ้วนไล่ตั้งแต่บนลงมาจนสุดแผ่นกระดาษซึ่ง ที่ตอนท้ายได้มีการบันทึกเอาไว้ด้วย ระบบส่วนประกอบชุดเกราะสะสมพลัง นี่คือระบบที่จะใช้ในการเพิ่มพลังให้กับชุดเกราะ สะสมพลังงานทั้งสองแบบ โดยการนำเอาสิ่งที่เรียกว่า แอกเตอร์(Actor)มาเป็นวัตถุดิบในการเสริมพลัง เพื่อสร้างรูบแบบ(Form)ต่างๆขึ้นมา ซึ่งมันจำเป็นต้องใช้พลังของ ชะตากรรมแห่งแสง(Shine Destiny)ในการทำให้ แอกเตอร์สามารถทำงานได้น่าเสียดายที่เข็มขัดอีกเส้นถูกขโมยไปพร้อมกับ แอกเตอร์ แต่ยังดีที่อีกเส้นนั้นยังอยู่ในตอนนี้ แอกเตอร์ ที่เหลืออยู่นี้ก็จะได้ใช้กับเข็มขัดเส้นนี้เสียที พลังทั้งหกรูปแบบจะนำไปสู่พลังเหนือกาลเวลา แอกเตอร์ ออบซิ …. ส่วนท้ายของบันทึกถูกฉีกขาดไป เกรเกอรี่วางแบบแปลนลงบนโต็ะด้วยความสงสัย แต่ ก็ตัดใจลืมมันไป เพราะตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้น “ ว่าแต่พระองค์จะทรงบอกกระหม่อมได้มั้ยว่าการล่มสลายของสองตระกูลนั้น เกิดจากอะไรกัน ” เกรเกอรี่กล่าวซึ่งยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ สนทนากันก็มีเสียงปิ้บๆ ดังขึ้นมาจากเครื่องมือสื่อสาร แบบเดียวกับที่กองกำลังต่อต้านใช้ดังขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกตัดให้รับเองอัตโนมัติ “ นี่ซิสเตอร์โรซาน่ารายงานจากองกำลังต่อต้านสำนักงานแอนดิซองนะ ตอนนี้กองกำลังทางเหนือถูกโจมตี โดยพวกโฮลี่ไนท์แมร์แล้วนะ ได้ยินแล้วช่วยตอบกลับด้วย..ตอบกลับด้วย ” เสียงนั้นดังออกมาจากเครื่องตอบรับ ซึ่งนั่นก็ทำเอาเกรเกอรี่หน้าถอดสีไปทันที …………………. ……………………. ……………………….. ณ หุบเขาทางเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำลังต่อต้าน อีกแห่ง ซึ่งบริเวณรอบๆ ถูกปกคลุมไปด้วยป่าสนและหิมะสีขาวซึ่งโรยตัวลงมา อย่างช้าๆตลอดวันมานี้ ทำให้ ต้นไม้บริเวณรอบๆแทบจะถูกปกคลุมด้วยผงหิมะ อีกทั้งใบยังแข็งตัวเย็น ราวกับน้ำแข็ง โดยโยกไหวไปตาม ลม ท่ามกลางกองซากปรักของอาคารซึ่งเพิ่งจะถูกทำลายไปไม่นานนี้ ได้เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนพื้นหิมะ พร้อมกับกรปรากฏตัวของ Lr และพวกพ้อง ทันทีที่พวกเขามาถึงก็สอดส่องสายตาไปรอบๆด้วยความตกตะลึง ใบหน้าซีดจนแทบจะกลมกลืนกับหิมะ กองซากปรักและซากศพของเหล่าทหารซึ่งเกลื่อนไปบนพื้นหิมะ โดยที่นัยน์ตาของทหาร ทุกคนยังเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว และตายลงโดยที่ไม่รู้ตัว Lr ทรุดตัวลงขุกเข่ากับพื้น อย่างสลด เรโค่และเซโร่เองก็อดที่จะสลดตามไม่ได้ “ พวกเรามาไม่ทันรึเนี่ย ” เจนัสกล่าวขณะที่สอดส่องสายตามองหาผู้รอดชีวิต จนไปพบเข้ากับนายทหารคนนึงที่ยัง มีชีวิตอยู่ พวกเขาไปรอช้ารีบเข้าไปหาเขาทันที Lr ย่อตัวลงนั่งข้างๆนายทหารที่ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหิมะ ลมหายใจของเขาแผ่วเบาเสียจนแทบ จะไม่รู้สึก ตามลำตัวของเขาเต็มไปด้วยแผลถูกฟันและแทง โลหิตสีแดงที่ไหลออกมาจากตัวของเขาอาบชะโลม ไปทั่วพื้นหิมะที่เขานอนอยู่ แขนทั้งสองข้างกอดกล่องสีแดงใบเล็กขนาดพอใส่หนังสือหนึ่งเล่ม เอาไว้แน่น “ นี่ทำใจดีๆไว้นะ ” เซโร่กล่าวขณะที่ย่อตัวลงใกล้ก่อนจะเริ่ม ร่ายเวทย์ทันทีที่มวลน้ำก่อตัวขึ้นที่อุ้งมือเขา ก็ไม่รอช้ารีบยื่นมือที่มวลน้ำก่อตัวอยู่ ไปสัผัสกับบาดแผลก่อนที่น้ำจะกระจายตัว ไปทั่วร่างและไม่นานนักบาดแผลก็เริ่มปิดสนิท ทีละน้อยๆ “ อดทนหน่อยนะอีกนิดเดียว ” เซโร่กล่าวให้กำลังใจขณะที่พยายามเร่งพลังเวทยืแต่ทว่าการรักษาก็ยังคง กินเวลาอยู่ดีเพราะสภาพร่างกายของนายทหารเองก็ร่อแร่เต็มทีแล้ว ทำให้การรักษาดำเนินไปอย่างยากลำบาก นายทหารพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกล่าวออกมา “ นี่คือบันทึกที่สำคัญมากช่วยนำเอาไปให้กองกำลังต่อต้านสำนักงานอื่นด้วย อย่าให้ศัตรูได้มันไป… ” เขากล่าวได้ไม่ทันจบดีก็สิ้นใจไปพร้อมกับแขนทั้งสองที่รัดกล่องเอาไว้คลายออก Lr รับเอากล่องนั้นมาพร้อมกับลูบเปลือกตาของนายทหารลงมาปิดให้สนิท เซโร่จึงหยุดการรักษาลง พร้อมกับที่เรโค่ทรุดตัวลงอีกคน หยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาจากนัยน์ตาของนาง หยดลงบนร่างของนายทหารที่สิ้นใจ เซโร่เข้ามาปลอบนางด้วยความเข้าใจว่านางเสียใจเพราะเหตุใด “ นี่มัน… ” นีน่าเอ่ยถามขึ้นมาได้ไม่ขาดคำเซโร่ก็แทรกขึ้นมาทันที “ เรโค่น่ะ สูญเสียพ่อแม่ไปจนหมด ต้องทนเห็นคนในครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่นั้นมาหากมีใครตายเธอก็ทนไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเรื่องนั้นอีก… ” เซโร่ตอบให้พวกเขาฟังราวกับรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ นีน่าที่ได้ยินคำตอบเอง ก็ก้มหน้าลงด้วยความสลดเพราะนางเองก็ด้วยที่ต้องเห็นญาติพี่น้องตายไป ต่อหน้าโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ท่าทีของนางทำให้เจนัสที่มองดูอยู่ห่างๆ หรี่ตาลง ขณะเดียวกันกาโรห์ที่เข้ามารวมกลุ่มกับพวกเขาเมื่อไม่นานนี้ ก็ถูกเขาจับจ้องเป็นพิเศษเช่นกัน เช่นเดียวกับนีน่า ที่เริ่มจะสงสัยถึงความทรงจำที่แวบขึ้นมาทุกครั้งที่นางเข้าใกล้เขา ซึ่งกาโรห์เองแม้ต่อหน้าพวกเขาจะทำเป็น ไม่รู้อะไรแต่ทุกครั้งที่นีน่าเผลอ เขาจะชายตา มองความเปลี่ยนแปลงของนางอยู่ตลอดเวลาราวกับ จะรอดูอะไรบางอย่าง ถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงเงียบกันอยู่ แต่ทว่าก็เกิดลมพายุพัดกระหน่ำไปรอบๆจน กลายเป็นพายุหิมะพัดกระหน่ำเสียจนขาวโพลนไปทั่ว และทันทีที่ พายุสงบลง แบล็คไวเซอร์ บลาสเซจ เซอร์เซส และ เครสเซนท์ที่สวมชุดเกราะสีดำก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา “ ส่งกล่องสีแดงใบนั้นกับเจ้าเด็ก นั่นมาเดี๋ยวนี้ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงกร้าว กว่าทุกครั้งก่อนจะถอนขนของวิหกโลกัณฑ์ และเสกลูกบอลสีดำขึ้นมาลูกนึง และประกบมันเข้าด้วยกันก่อนจะโยนมันออกไป “ จงผุดขึ้นมาเดมอนขุมนรก(Deep pit Demon) ” ทันทีที่ควันสีดำจากดาร์กซีลที่ขว้างออกมา จางไปเดมอนกายสีแดงซึ่งรอบกาย ของมันมีไอร้อนของเพลิงแห่งนรกแผ่ออกมาทำให้หิมะรอบตัวมันละลายเป็นโคลนไป ขาขนาดใหญ่ทั้งสองของจมปรักอยู่กับพื้นโคลนแต่ดูเหมือว่านั่นจะไม่เป็นปัญหากับมันเลย เพราะด้วยพลังอันมหาศาลทำให้มัน เดินลุยโคลนออกมาและละลายหิมะตลอดทางที่มันเดิน ผ่านมา “ Icicleric Rain ” สิ้นเสียง ฝนแท่งผลึกน้ำแข็งก็พุ่งลงมาเสียบแทงเดม่อนขุมนรกจน พินาศสิ้น พร้อมกับ โคลนหิมะที่ละลายกลับกลายเป็นเป็นธารน้ำแข็งในพริบตา พวก เขารีบตั้งท่าพร้อมเตรียมรับการบุกของอีกฝ่ายทันที “ อย่าขยับนะ ” เสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกเขา เมื่อหันกลับไป นีน่ากำลังถูกกาโรห์จับรัดโดยเอาดาบดามคอนางไว้ ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงักโดยทำอะไรไม่ถูก “ กาโรห์นี่มันหมายความว่ายังไง ” ลากูน่ากล่าวถามด้วยความ ประหลาดใจอย่างที่สุด กาโรห์ซึ่งถูกถาม ก็หัวเราะขึ้นมา อย่างสะใจ ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตพยาบาท มาที่พวกเค้า “ คิดว่ายังไงล่ะ…ข้าแฝงตัวมาเพื่อจะจับพวกของแกเป็นตัวประกัน และจากที่ประเมินดูแล้ว ยัยนี่จะมีผลต่อ ลูกพี่มากที่สุดด้วยเพราะถ้าเป็นคนอื่น ลูกพี่ก็คงจะไม่สนใจแล้วบุกเข้ามาอยู่ดี แต่ถ้าเป็นยัยนี่ล่ะก็..หึหึ ” กาโรห์กล่าวพร้อมกับยิ้มเยาะด้วยความชอบใจ “ นึกแล้วเชียว ว่ามันบังเอิญเกินไป ” เจนัสกล่าวเสียงห้วน “ สมแล้วที่เป็นลูกพี่ ดูออกในทีเดียวเลยนะ เพราะลูกพี่เอาแต่จ้องไม่วางตาเลย กว่าจะหาโอกาสได้ก็แทบแย่ แน่ะ..เอาเป็นว่ารีบทำตามที่บอกจะดีกว่านะไม่งั้นยัยนี่ตาย ” กาโรห์กล่าวจบก็ออกแรงรัด ดาบที่ดามคอนางเอาไว้ให้แน่นขึ้นจนนางหายใจไม่ออก พวกเขาจึงจำใจต้องทำ ตามแต่โดยดี “ ก็าซซซซซ ”(อย่าไปทำตามที่มันสั่ง) เสียงคำรามดังก้องขึ้นมาจากด้านบน พร้อมกับการปรากฏตัวของ มังกรดำเทียแมตและเมทาไนท์ ที่ตามกันลงมา ขวางไว้ ทำให้พวกแบล็คไวเซอร์ต้องชะงักไป นอฟฮอฟที่ได้เห็นเทียแมตเองก็ถึงกับ หน้าถอดสีขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครทันสังเกต “ จัดการเลยแกนเดครอส ” เสียงของเทียแมตถูกแปลงโดยดราก้อนฮอลลี่ดังก้องขึ้น พร้อมกับ ร่างมังกรขาวขนาดมหึมา ค่อยๆโยนตัวลงมาจากฟากฟ้า พร้อมกับแสงเจิดจ้า ส่องวาบลงมา ทำให้พวกแบล็คไวเซอร์ต้องพาถอยหนี โดยที่กาโรห์ได้จับตัวนีน่า ไปด้วย เจนัสที่คิดจะตามก็กลับถูกพายุหิมะที่เริ่มพัดกระหน่ำอีกครั้ง ขวางเอาไว้ ก่อนที่จะสงบลงพร้อมกับการจากไปของศัตรู โดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย เขาทรุดตัวลงด้วยความสิ้นหวังทันที “ นีน่า ” เขากล่าวออกมาได้เท่านั้นเพราะบัดนี้ เขาสับสนไปหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่เสียบันทึกและ Lr ไปแต่ นีน่า ก็ถูกจับตัวไปโดยทำได้เพียงแค่มอง พวกนั้นพาตัวนางหายวับไปโดยทำอะไรไม่ได้ สร้างความเจ็บแค้นให้เจนัสอย่างมาก ………… ………………. …………………. ราตรีได้มาเยือนอีกครั้ง พวกเขาก่อกองไฟเพื่อพักค้างคืน โดยที่ยังเก็บความรู้สึกเจ็บช้ำเมื่อเย็นนั้นเอาไว้ อยู่ ทำให้บรรยากาศรอบๆนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด “ พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ” Lr หันไปกล่าวกับ เทียแมต ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ เพราะเขารู้ดีว่ามังกรที่ฆ่าแม่ของเขา ก็คือเทียแมตตัวนี้ จากภาพที่ปรากฏในน้ำตกที่ถ้ำปราชญ์มังกร “ เจ้าคงรู้มาจากอีสควอเทียแล้วสินะ จะแค้นข้าก็เชิญ แต่ว่าจะให้พวกมันได้ตัวเจ้าไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะข้าสัญญากับดีวายดราก้อนเอาไว้แล้ว ” เทียแมตกล่าวเสียงของมันก็ถูกดราก้อนฮอลลี่แปลง อีกทีหนึ่งทำให้ทุกคนได้รับรู้กันทั่วทั้งหมด คำพูดของเทียแมตนั้นแม้จะกระตุ้นให้ Lr รู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่เขาก็ข่มมันไว้ “ พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่ บันทึกนี่ยังพอว่าแต่ทำไมพวกมันต้องการจับตัวผมไปด้วยล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะผมนีน่าก็คงไม่ต้อง… ” Lr กัดฟันพูดด้วยความคับแค้นใจที่เขาเป็นตัวต้นเหตุให้เพื่อนต้องถูกจับใช้เป็นเครื่องมือและ ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายโดยที่ เขาต้องเป็นฝ่ายรับการปกป้องจากทุกคน “ เรื่องนั้นข้าเองก็ตอบไม่ได้หรอกแต่พวกเจ้าลองนึกถึงคำพูดของอีสควอเทียดูสิเพื่อมันจะทำให้เจ้าเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น ” เทียแมตกล่าวจบก็ เดินออกจากลุ่มไป หารือกับเมทาไนท์และแกรนเดครอสที่ย่อขนาดของตน ลงมาเพื่อไม่ให้สะดุดตาศัตรู “ คำพูดของอาจารย์อีสควอเทียเหรอ ” Lr ทบทวนคำพูดอีกครั้งก่อนจะพยายามระลึก คำพูดที่อีสควอเทีย กล่าวเอาไว้ “ ไฟร์น่าจะรู้เรื่องราวต่างๆดีเพราะพ่อของเขาที่เป็นนายพลซาลามันเดอร่าได้รับมอบหมายให้สืบเรื่องนี้อยู่ ” คำพูดนั้นก้องขึ้นมาในใจของเขาทันที Lr ไม่รอช้ารีบหันไปหาไฟร์นิทินโคทันที “ นี่นิทินโค ” เขาเรียก ซึ่งนิทินโคก็หันมามองด้วยความสงสัย “ เรียกไฟร์ก็ได้มั้ง ชั้นไม่ได้โกรธอะไรนายแล้วนา ” นิทินโคกล่าวซึ่ง Lr เองก็รีบตรงเข้ามาพร้อมกับกล่าวต่อโดยไม่หยุดทันที “ อ..เอ่อไฟร์พ่อนายเป็นนายพลมังกรซาลามันเดอร่าใช่มั้ย ” เขากล่าวถามซึ่งไฟร์เองก็พยักหน้า รับเป็นเชิง นั่นทำให้เขานัยน์ตาลุกวาวไปด้วยความ หวังซึ่งก็ทำเอาเหล่าลูกมังกรตัวอื่น เข้ามสมทบด้วย “ จริงสิตอนนั้นอาจารย์บอกว่านายน่าจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันนี่ เห็นบอกว่าพ่อนายกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่เหรอ ” วิลกล่าวขึ้นบ้างเมื่อนึกขึ้นได้ “ อ๋อหมายถึงเรื่องที่พวกเราเคยถูกสะกดจิตแล้วรุมทำร้ายลอว์เรนซ์ตอนอยู่โรงเรียนมังกร กับเรื่องที่ลอว์เรนซ์กำลังถูกตามจับตัวน่ะเหรอ ”(* หมายเหตุเรื่องการถูกสะกดจิตให้ย้อนกลับไปดูในช่วงไตเติล ของนิยายนะครับ) ไฟร์กล่าวซึ่งพวกเขาก็พยักหน้ารับว่าใช่ทันที ซึ่งจากการที่พวกเขาจ้องตัวไฟร์ตาไม่กระพริบ ทำให้เขาต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทบทวนเรื่องที่จะกล่าว “ เรื่องนั้นน่ะคงเพราะพวกมันต้องการศิลามังกรที่นายถืออยู่ไปเปิดประตูกักมังกรนั่นล่ะมั้ง เพราะถึงจะทำให้มังกรทั้งหมดในทุกมิติหายตัวออกมาจากมิติมังกรจนเกิดการเสียสมดุลไปทำให้มิติมังกรบาปถูก หลอมรวมเข้ากับมิติจนกลายเป็นทางออกก็เถอะแต่มันก้ยังต้องใช้พลังของศิลามังกรช่วยเปิดอยู่ดีนั่นล่ะ แล้วก็เรื่องที่เจ้าพวกนั้นสะกดจิตเราแล้วก็ได้สร้อยคอที่ วิลห้อยเอาไว้ช่วยน่ะ นั่นพวกมันแค่จะหาทางเข้ามาในมิติเพื่อดำเนินแผนการไงล่ะ ” ไฟร์กล่าวโดยไม่หยุดหายใจแม้แต่น้อยทำให้เมื่อเขากล่าวจบก็ต้องหอบแฮ่กๆอยู่บ้าง ซึ่งทันทีที่กล่าวจบพวกเขาก็นิ่งเงียบกันไปทันที “ จะว่าไปแล้วนอฟฮอฟตอนนั้นเธอก็ถูกเรียกไปคุยกับอาจารย์ด้วยไม่ใช่เหรอ ” วิลกล่าวถามขึ้นมาซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาหันมาสนใจทันที แต่นอฟฮอฟก็ยังคงนิ่งเฉย ราวกับเหม่อมองอะไรอยู่ จนวิลต้องเรียกอีกครั้ง เธอจึงหันมาสนใจ “ ตอนนั้นที่อาจารย์อีสควอเทียเรียกเธอเข้าไปคุยน่ะคือเรื่องอะไรเหรอ ” วิลถามอีกครั้ง ซึ่งนอฟฮอฟเองก็หันหนีจากพวกเขาราวกับไม่อยากตอบแต่ก่อนที่ใครจะได้ ทันกล่าวอะไรเธอก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันที “ ก็แค่เรื่องในอดีตที่ฉันอยากจะลืมๆมันไปซะที ” นอฟฮอฟกล่าวตัดไปก่อนจะไม่หันมาพูดอะไรอีกเลย “ ดูนอฟฮอฟแปลกแปลกไปนะว่าไหม ” ไลท์ขอความคิดเห็นจาก Lr ซึ่งเขาเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ……….. …………. …………….. ครู่ต่อมา ความเหนื่อยล้าจากการสู้ต่อเนื่อง ทั้งที่เมืองทีนวาแลนจนถึงหุบเขาแห่งนี้ ก็ทำเอา Lr และเหล่าลูกมังกร หลับสนิทชนิดปลุกไม่ตื่น ซึ่งลากูน่า เรโค่ เซโร่ เองก็เช่นกันจากการที่ ใช้พลังไปมากทำให้พวกหมดแรงไปด้วย พวกเทียแมตเองก็ได้พากันออกไปที่ไหน ซักแห่ง บัดนี้เหลือเพียงเจนัสเท่านั้นที่ยังไม่ได้นอน เขายังคงยืนพิงอยู่ใต้ต้นไม้ มองดูหินสีเขียว ที่ห้อยคอไว้ ด้วยสายตาที่ราวกับโหยหาอะไรซักอย่าง “ นี่เธอรู้ตัวไปถึงขั้นไหนกันแล้วนะ ” เขาพึมพำขึ้นมา ขณะที่กำลังนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต แต่ทว่าก็ต้องชะงักไป เมื่อมีใครบางคนลอบมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา เขารีบตั้งท่าสู้ทันทีแต่อีกฝ่ายกลับยังยืนเฉยอยู่ดดยไม่มีทีท่าจะสู้ด้วย “ รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้จงไปที่ทุ่งหิมะที่อยู่บนยอดเขาจากนี้ไปทางตะวันออก ข้าจะรอแกอยู่ที่นั่นถ้าอยากช่วยนังคนทรยศนั่นก็จงมาตัวคนเดียวเท่านั้น ” สิ้นคำอีกฝ่ายก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดท้าทาย ให้เขาตัดสินใจ ……….. …………….. ………………….. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: greamon on June 29, 2008, 08:11:48 PM เช้าวันต่อมา บนพื้นหิมะ ได้มีข้อความถูกเขียนทิ้งไว้พร้อมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำของเจนัส ซึ่งสร้างความระทึกใจให้กับพวกเขามาก
ซึ่งทันทีที่พวกเมทาไนท์กลับมาก็ได้ถูกพวกเขาเรียกมาดูข้อความนั้นทันที มันจับนีน่าไว้ที่ยอดเขาทางตะวันออกพวกมันบอกให้ชั้นต้องไปคนเดียว เพราะฉนั้นไม่ต้องตามมาถ้าชั้นไม่กลับไปในวันนี้ล่ะก็ให้ ใช้มนต์เคลื่อนย้ายหนีไปซะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา …เจนัส “ เจ้าบ้านั่นคิดอะไรอยู่นะ ถึงได้ไปตามคำชวนของศัตรูเนี่ย ” Lr กล่าวด้วยความเจ็บใจที่ปล่อยให้เพื่อนของตนออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู โดยไม่อาจห้ามไว้ได้ “ งั้นเรารีบตามไปช่วยท่านพี่เถอะที่ยอดเขานั่นน่ะ ” ลากูน่ากล่าวด้วยความร้อนใจ ที่พี่ชายของตน ออกไปสู้กับศัตรูตามลำพัง “ งั้นจะมัวมารีรออยู่ทำไมล่ะไปกันเลยสิ ” เสียงคำรามของแกรนเดครอสดังลั่นขึ้น พวกเขาทุกคนซึ่งเห็นพ้องกันแล้วจึง พากันมุ่งหน้าออกเดินทางในทันที แต่ทว่าแบล็คไวเซอร์และบลาสเชจก็มาขวางไว้ “ อย่าได้หวังจะไปไหนเลย เจ้าคนทรยศนั่นจะต้องตายอยู่บนนั้นแหล่ะ ส่วนพวกแก ข้าจะบรรเลงเพลงสวดศพให้เอง ” แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงแหบ นัยตาอาฆาตหรี่แคบลงด้วยความพอใจ “ ยังงี้นี่เองถ้าแยกตัวเทพขุนพลฝ่ายเราออกไป กำลังรบของเราก็ตกลงไปมากแล้ว ” เมทาไนท์กล่าวขณะที่กำลังคิดหาวิธีที่จะไปช่วยทางพวกเจนัส “ แต่ทางนั้นก็คงปล่อยไว้ไม่ได้เหมือนกัน..ถ้ายังงั้น เจ้าหนูครึ่งสมิงไปช่วยพี่ชายซะทางนี้พวกเราจะต้านไว้เองส่วนลอว์เรนซ์อยู่ที่นี่ซะเพราะ ถ้ากำลังคนน้อยไปกว่านี้จะไม่เป็นผลดีต่อเรานัก ” สิ้นคำของเมทาไนท์ พวกเขาก็เข้าประจัญบาน เพื่อให้ลากูน่าล่วงหน้าไปช่วยเจนัสและนีน่า ลากูน่าที่เข้าใจถึงแผนการดีแล้วจึงรีบวิ่งนำออกไปทางตะวันออก แต่ก็ถูกเทอเรี่ยนสีดำพุ่งเข้ามาขวางไว้ พร้อมกับลูคเรเทียที่ ขี่อยู่บนหลังของมันกระโดดลง มาขวางทางหนีทั้งหมด แต่แล้วเส้นลวดเส้นบางๆจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าพันแขนขาของทั้งสอง และชุดกระชากจนเสียหลัก ล้มลงไปทั้งตัวนางและเทอเรี่ยนของนาง “ รีบไปเร็ว ” เรโค่ตะโกน ขณะที่มืออกแรงรั้งเส้นเอ็นเอาไว้ ลากูน่าที่ทางเปิดออก แล้วจึงรีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง “ ย้ากกกกก ” ลูคเรเทีย ตะคอกเสียงก้องพร้อมกับออกแรงกระชากจนเส้นลวดขาดออกจากกัน “ แล้วพวกแกจะต้องเสียใจที่ คิดเป็นศัตรูกับพวกเรา ” ลูคเรเทียกล่าวเสียงกร้าว เพราะบัดนี้พวกเขาถูกล้อม เอาไว้หมดแล้ว “ พร้อมนะพวกนายน่ะ ” Lr หันมาถามกับเหล่าลูกมังกรเพื่อขอความเห็นซึ่งทุกตัวก็พยักหน้ารับเป็นเชิง และทันทีที่เริ่มการต่อสู้แสงสว่างก็ส่องวาบออกจากดราก้อนฮอลลี่ ก่อนที่จะจางลงไป พร้อมกับการปรากฏตัวของ ทาลิควาส (Thaliquas, the Dragoon of Thaliwilya) (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-918189.jpg) ……… …………. ……………… ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน ณ ยอดเขาทางตะวันออกบนยอดของเขาแห่งนี้ เป็นทุ่งหิมะ กว้างใหญ่ไพศาล เสียจนแทบจะสุดลูกหูลูกตา จนราวกับว่าด้านล่างของยอดเขานี่เป็นอีกดินแดนเลยก็ไม่ปาน ดวงตะวันยังคงไม่ฉายแสง ในเช้ามืดนี้ บนทุ่งหิมะนี้ เซอร์เซส กาโรห์ นักประดิษฐ์ และ เครสเซนท์ที่ไม่ได้สวมชุดเกราะเอาไว้กำลังรอคอยการมาของ ศัตรูผู้ถูกรับเชิญให้มาตายด้วยน้ำมือของตน “ นี่พวกแกคิดจะเอายังไงกันแน่ ” นีน่ากล่าวเสียงหอบ นางถูกมนตรา ของเซอร์เซสตรึงเอาไว้กลางอากาศ ทำให้นางไม่อาจขยับหนีไปไหนได้ “ อยู่เป็นตัวประกันเงียบๆไปเถอะ เพราะประเดี๋ยวพอเจ้าคนทรยศนั่นมาช่วยเธอ เราก็จะเก็บมันไปพร้อมๆกับเธอด้วยเลยยังไงล่ะสาวน้อย ” กาโรห์กล่าวยั่วนางพร้อมกับเอามือ เกาคางนางด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ซึ่งนั่นทำให้นางฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “ ยังไงซะหมอนั่นก็ไม่หลงกลพวกแกหรอกและ..ถึงยังไงหมอนั่นก็คงไม่คิดที่จะมาช่วยฉันอยู่แล้ว.. ” นีน่ากล่าวสะดุดไปเพราะความคิดที่ว่ายังไงๆก็คงไม่มีใครมาช่วยนาง แต่ทว่าคำสัญญาที่เจนัสเคย ให้ไว้กับนางก็ผุดขึ้นมา พร้อมกับความทรงจำในอดีตที่แวบผ่านเข้ามานั้นอีกครั้ง “ จริงสิ..นี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยในฐานะอดีตลูกศิษย์ของท่านน่ะ ” นีน่ากล่าวกับเซอร์เซส โดยที่ในใจก็เตรียมรอคำตอบไว้แล้วว่า อีกฝ่ายคงไม่ยอมตอบเป็นแน่ เซอร์เซสที่ถูกถามเช่นก็หันมาสบนางเพียงชั่วครู่ เขาก็เดินเข้ามาหานาง “ เรื่องที่เจ้าจะถามก็คงไม่พ้นเรื่องความทรงจำที่มันแวบไปแวบมานี่ใช่มั้ยล่ะ ” เซอร์เซสกล่าว ซึ่งนั่นทำให้นางถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที “ งั้นครึ่งสมิงที่สังหารครอบครัวฉันในตอนนั้นก็คือแกสินะ..กาโรห์ ” นีน่าหนไปกล่าวใส่กาโรห์ที่ยืนอยู่ข้าง ด้วยความคิดที่ว่าหากเซอร์เซสรู้มาตลอดว่า ความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวของนางเริ่มจะกลับคืนมากับความรู้สึก บางอย่างที่คุ้นเคยตอนที่เข้าใกล้กาโรห์นั้น ทำให้ไม่มีข้อสันนิษฐานใดจะอธิบายไปได้ดีกว่านี้แล้ว กาโรห์ที่ได้ยินคำถามของนางก็เลิกคิ้วขึ้นข้างนึงด้วยความสงสัย ก่อนจะหันมามองนางด้วยความงุนงง “ หา…นี่เจ้าจำอะไรสับสนรึเปล่าเนี่ย ข้าไม่ได้ทำอะไรกับครอบครัวของเจ้าซักหน่อย อ๋อคงจะสับสน เพราะตอนที่ข้าแกล้งเล่นละครช่วยเจ้าไว้ มันคงจะเหมือนมากสินะ กับที่เจ้านั่น ช่วยแกไว้น่ะ ” กาโรห์กล่าว ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกสับสนไปหมด “ หมายความว่ายังไงกัน นี่แกจะบอกว่าใครเป็นคนทำกันแน่ ” นีน่าตะหวาดอย่างฉุนเฉียว พยายามจะคลายพันธนาการออกแต่ก็ไม่เป็นผล “ จะจำอะไรไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกเพราะคนที่ขอให้ข้า ปิดผนึกความทรงจำนั่นก็คือเจ้าเองนี่ ” เซอร์เซสกล่าวเสียงเรียบสีหน้าเมินเฉย นั่นทำให้นางยิ่งสับสนลงไปอีก “ เอาล่ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เท่านี้ระบบแอกเตอร์(Actor System)ก็สมบูรณ์แล้ว ” นักประดิษฐ์กล่าวอย่างเบิกบานขณะที่ หยิบเอา วัตถุซึ่งเปล่งแสงสีต่างๆออกมาจากกรงของ ดาร์คเดสทินี่สีขาว อย่างช้าๆก่อนที่ วัตถุเหล่านั้นจะพากันบินหายลับไปจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว “ ต้องขอบใจเจ้า ชะตากรรมแห่งแสง(Shine Destiny) หัวหน้าแบล็คไวเซอร์อุตส่าห์ไปจับมาให้จริงๆ ไม่งั้นระบบนี่คงจะไม่สมบูรณ์เสียดายที่อีกเส้นกับ แอกเตอร์(Actor) อันนั้นดันถูกขโมยไปซะก่อน ” นักประดิษฐ์พูดไม่หยุดปาก ขณ.ะที่ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ซึ่งเรื่องที่เขาพูดทำให้นีน่า หันมาสนใจอยู่บ้าง เพราะทั้งแคริอุส และปืนกระบอกที่เธอพกอยู่ต่างก็เป็นของที่ นางได้จากนักประดิษฐ์ทั้งนั้น ดังนั้นหากสิ่งที่เขาประดิษฐ์คืออาวุธที่จะใช้สู้กับเจนัส นั่นก็เท่ากับว่า หากเจนัสมา ทั้งนางและเค้าก็ต้องตายทั้งคู่เป็นแน่ เครสเซนท์ที่เห็นนีน่าซึ่งมีสีหน้าซีดเซียว ด้วยความกังวลว่าเจนัสจะมาตาย ก็แกล้งกล่าวย้ำขึ้นมา “ นี่คงจะไม่ลืมนะ ระหว่างที่ข้าสู้กับเจ้านั่นอย่าเข้ามายุ่งซะล่ะ ข้าต้องตัดสินกับมันตัวต่อตัวเท่านั้น ” เครสเซนท์กล่าว คำพูดนั้น ทำให้นีน่ารู้แปลกใจที่ทำไมเขาต้องเลือกทางที่อาจจะเสียเปรียบมากที่สุด อย่างนี้ด้วย เพราะหากแพ้เจนัสก็มีโอกาสที่จะช่วยนางได้ทันที “ นี่จะเอาจริง ง่ะถ้าแพ้ขึ้นมาเรามิซวยกันหมดหรือ ” กาโรห์หันไปถามหยอกๆ “ ข้าไม่แพ้มันหรอกน่า อีกอย่างระบบแอกตอร์ก็เสร็จสมบูรณแล้วนี่ไว้ถึงตอนนั้นค่อยใช้มันก็ได้ ” เครสเซนท์ กล่าวอย่างมั่นใจ “ แต่ก็อย่าใช้มันให้เกินกำลังนักล่ะเพราะมันก็มีขีดจำกดอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นนอกจาก จะไม่ชนะแล้ว ร่างจิตมารของแกตอนนี้ก็จะโดนเผาไปด้วย ถึงตอนนั้นคงได้วุ่นกันน่าดู ถ้าแกกลายเป็นคนทรยศไปอีกคนน่ะ ” นักประดิษฐ์กล่าว ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้นีน่ามีหวังขึ้นมาบ้าง ถ้าหาก ร่างจิตมารของเครสเซนท์ถูกทำลายเขาก็จะกลับมาเป็น ริคุ อีกครั้ง แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากให้เจนัสมา เพราะโอกาสที่จะชนะนั้นเป็นไปได้ต่ำมาก “ โอ้ดูเหมือนจะมาแล้วนะ ” กาโรห์กล่าวเสียงใส นีน่าที่ได้ยินก็เหลือบไปมองในทันที เงาของใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ทันทีที่ดวงตะวันเริ่มฉายแสงร่างนั้นก็ปรากฏชัด เจนัสซึงสวมเสื้อยืดสีขาวตัวในเพียงตัวเดียว เดินฝ่าหิมะมาราวกับไม่ได้รับความหนาวเย็นจากสภาพอากาศใดๆเลย “ ตาบ้ามาทำไมกันนี่มันเป็นกับดัก นะรู้ทั้งรู้แล้วยังจะมาอีก ” นีน่าตะคอกใส่ซึ่งเจนัสที่ได้ยินก็ยังคงเดินหน้าต่อมาดดยไม่หยุด “ กลับไปสิอย่ามานะ ถ้ามานายจะตายนะกลับไปซะ ” นีน่าตะคอกใส่อีกครั้งขณะที่พยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ “ ชั้นสัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะปกป้องเธอจะไม่ให้เธอต้องอยู่คนเดียวอีก ” เจนัสกล่าวแววตามุ่งมั่นอย่างที่สุด ซึ่งนั่นก็ทำให้นางยอมสงบลง ในตอนนี้เจนัสต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพียงลำพัง “ แหมสมเป็นลูกพี่จริงๆยังเด็ดเดี่ยวไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเนี่ย ” กาโรห์กล่าวเหน็บ “ แกก็เหมือนกันนะ ยังคอยตามประจบคนโน้นคนนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ นี่คงจะไปได้ข้อเสนอจาก ท่านผู้นั้นมาสินะ อย่างเช่นว่าถ้าชั้นถูกกำจัดไปแล้วแกจะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพขุนพลแทนน่ะ ” เจนัสโต้กลับไปบ้าง ซึ่งนั่นก็แทงใจดำกาโรห์เข้าเต็มๆ “ ไม่ใช่แค่เสนอหรอกแต่ข้าได้เป็นแล้วต่างหาก…เทพขุนพลน่ะ ” กาโรห์กล่าวด้วยความกระหยิ่มจองหอง “ เพราะตอนนี้ข้าคือ 1ใน12 เทพขุนศึกที่ขึ้นมาแทนเจ้าแล้วยังไงล่ะ ” กาโรห์กล่าวพร้อมกับยิ้มเยาะไปด้วย แต่เจนัสก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะตอนนี้ที่เขาต้องพะวงด้วยก็คือคู่ต่อสู้ที่ มายืนประจันหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้ “ เมื่อคืนที่มาท้าทายก็เพื่อจะตัดสินกับชั้นสินะ ” เจนัสกล่าว “ หึ..ตลอดมามีแกคนเดียวเท่านั้นที่ข้าล้มไม่ได้ แค่แกเท่านั้นที่ข้าจะต้องล้มให้ได้ ” เครสเซนท์กล่าวเสียงกร้าว พร้อมกับกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วดูซีดขาว “ วันนี้นายกับชั้นต้องแหลกกันไปข้างล่ะ ” สิ้นคำทั้งคู่ก็เข้าปะทะกันทันที การต่อสู้ของทั้งสองรวดเร็วเสียจนแทบจะมองตามไม่ทัน เครสเซนท์ที่พยายามจะชกด้วยคลื่นสูญญากาศ ซึ่งในทุกดครั้งที่ผ่านมา นั้นก็สร้างความเสียหายให้แก่เขาอย่างมากมาตลอดแต่ในครั้งนี้ หมัดของเครสเซนท์นั้นเขาสามารถหลบและรับไว้ได้ทั้งหมด ทำให้เครสเซนท์ ทึ่งความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก “ เร็วขึ้นนี่แต่ว่านั่นมันก็ยังช้าเกินไป ” สิ้นคำเขาก็ถูกเครสเซนท์เตะตวัดขา จนล้มลง ก่อนจะซ้ำด้วยลูกเตะอีกชุดแต่ทว่าเขาก็กลิ้งตัวหลบ ออกมาได้ทัน ก่อนที่จะถูกถีบ เมื่อเขายันตัวขึ้นมายังไม่ทันที่จะตั้งตัว เขาก็ถูกเตะอักเข้าท้อง อย่างจังจนกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ ความจุกเสียดแล่นผ่านไปทั่วร่าง เขารู้สึกระบบไปหมดลูกเตะเมื่อครู่นั้นรุนแรงราวกับถูกฟาดด้วยท่อนซุง เขาพยายามยันตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่เครสเซนท์ ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ เขาได้ตั้งท่า เข้ามาเตะซ้ำต่ออีกสามครั้งซ้อนยังไม่ทันที่ตัวเขาจะล้มลง ถึงพื้นก็ถูกคลื่นสูญญากาศ ตวัดเฉือนร่างจนเป็นแผลไปทั่ว โลหิตสีแดงสดไหลหยดลงบนพื้นหิมะ จนแดงฉาน เขาพยายามจะยันตัวขึ้นอีกครั้งแต่ทว่าบาดแผลก็ทำให้เขา เชื่องช้าลง เครสเซนท์ไม่รอช้าเข้ากระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาซ้อมต่อไม่วางมือ ก่อนจะถีบส่งอีกครั้ง จนร่างของเขาลอยละลิ่วไปไกล เขายันตัวขึ้นอีกครั้งพร้มกับสำลักเลือดออกมา ใบหน้าบอบช้ำ ริมฝีปากยังคงที เลือดอังอยู่ เขาเอามือกุมหน้าท้องด้วยความจุก ก่อนที่เคสเซนท์จะได้ทันเข้ามาซ้ำต่ออีกครั้ง เขาก็กำเอาศิลาจันทราที่คอเอาไว้แน่น ก่อนที่แสงตะวันจะถูกบดบัง พร้อมกับแสงสีครามที่ถูกยิงลงมา จากจันทราสีคราม ยังตัวเครสเซนท์ แม้จะหลบได้ทันแต่แขนขาก็ถูกแสงแช่เย็นไปบ้าง บวกกับสภาพอากาศรอบๆนั้นเย็นอยู่แล้วจึงทำให้ ความเร็วในการจับตัวของผลึกน้ำแข็งเร็วขึ้น จนเครสเซนท์ไม่สามรถขยับแขนขาของตนได้ “ ชิช่วยไม่ได้งั้นข้าขอเหยื่อตัวนี้ไปละกัน ” กาโรห์ที่มองดูอยู่กล่าวจบก็ชักดาบพุ่งตัวออกไป หาเจนัสหมายจะจบชีวิตของเขา “ อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องน่า ” เครสเซนท์ตะหวาด พร้อมกับเร่งพลังมนตราจนอากาศรอบๆตัว หมุนวน ตัดเซาะผลึกน้ำแข็งจนแตกออก พร้อมกับที่จะพุ่งเข้าไปหยุดกาโรห์แต่ทว่ามันก็สายเกินกว่าจะไปทัน ก่อนที่ดาบของกาโรห์จะถูกฟันลงใส่ตัวเขาที่ ไม่มีแรงจะจะขยับหนีได้ทัน ก็มีแสงสีเงินตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วจนดาบในมือของกาโรห์หลุดออกไป “ ลากูน่า…. ” เจนัสกล่าว ซึ่งแสงสีเงินที่ตวัดขึ้นมาคือกงเล็บที่ถูกเหี่ยวอย่างรวดเร็วของลากุน่านั่นเอง “ นั่งฟังมาต้องนานแล้วล่ะ อย่างแกน่ะเหรอเป็นเทพขุนพล คนที่คอยแต่จะสร้างภาพเอาหน้าอย่างแก น่ะไม่มีทางเทียบชั้นพวกเราได้หรอก ” ลากูน่ากล่าวเสียงแข็งซึ่งกาโรห์ที่ฟันพลาดไปต้องผงะถอยมาเก็บดาบของตน “ ลากูน่ามาที่นี่ทำไมกัน..พี่เขียนทิ้งไว้แล้วนี่ว่าอย่ามาน่ะ…อุบ แค่ก แค่ก ” เจนัสกล่าวได้ไม่จบประโยคดีก็สำลักเลือดอีกครั้ง ลากูน่าที่เห็นพี่ชายของตน สะบักสะบอมอย่างมาก ก็เริ่มร่ายคาถาให้ศิลาจันทราของตนทำงาน จันทราสีเลือดปรากฏออกมาพร้อมแสงของมันที่รักษาบาดแผลให้เขา “ พี่คนเดียวไม่ไหวหรอกครับให้ผมช่วยเถอะ ” ลากูน่ากล่าวแววตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นซึ่งนั้นก็ทำให้เขา ปฏิเสธไม่ลง “ ก็ได้งั้นน้องจัดการ กาโรห์ซะส่วนเครสเซนท์ให้เป็นหน้าที่พี่เอง ” เจนัสกล่าวจบ พวกเขาก็แยกกันจัดการกับคู่ต่อสู้ของตน “ เรามาต่อกันเลย เครสเซนท์ ” เจนัสกล่าวจบทั้งคู่ก็เข้าปะทะอีกครั้งแต่ทว่าในครั้งนี้ เครสเซนท์กลับเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง เพราะจันทราสีเลือดที่ส่องลงเสริมพลังให้ทำให้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ โดยที่เครสเซนท์ได้แต่คอยปัดป้องและหาโอกาส สวนเท่านั้นแต่ทุกครั้งที่สวนไปการโจมตีก็ถูกสกัดเอาไว้ ด้วยเกราะมนตรา ของเจนัสทั้งหมด “ ดาบย้อนอัสนีบาต(Reverse Blade Lightning) ” สิ้นคำของกาโรห์ ดาบของเขาก็ถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้าไป ก่อนที่สายฟ้า สามสายจะฟาดลงมาแต่ลากูน่าก็หลบได้ทั้งหมด พร้อมกับซัดเข้าที่ท้องของเขาอย่างจังจน ตัวของเขาคู้ลงตามแรงชก ก่อนที่จะถูกฟาดลงด้วยสันมือเข้าที่ท้ายทอย จนล้มลง ทันทีที่กาโรห์ล้มลงไป ลากูน่าก็ทะยานตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนอ้อมไปด้านหลังของเซอร์เซส ที่เฝ้านีน่าเอาไว้ และปลดผนึกมนตราออก “ หนอยแก เอานี่ไป ” เซอร์เซสกล่าวจบก็หันคฑาไปยังทั้งสองก่อนที่จะร่ายเวทย์จู่โจมใส่ “ ไม่ยอมให้ทำหรอกน่า ” นีน่าตวัดขาเตะคฑาของเซอร์เซสจนหลุดจากมือ “ ลากุ ไปเอาปืนของฉันมาจากเจ้านักประดิษฐ์นั่นที ” นีน่าสั่ง พร้อมกับจัดการถีบเซอร์เซสจนกลิ้งไป “ ก็บอกว่าอย่าเรียก ลากุ เฉยๆไงล่ะคร้าบ ” ลากูน่ากล่าวน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะตวัดกรงเล็บใส่ นักปรดิษฐ์จนล้มลงและ คว้าเอาปืนของนีน่าออกมาส่งให้นาง ทันทีที่รับปืนมา นีน่าก็บรรจุกระสุนทันที และเล็งเป้ามายังเซอร์เซส ในขณะที่ลากูน่าก็จ่อกรงเล็บไว้ที่คอของนักประดิษฐ์ บัดนี้พวกเขากลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว เครสเซนท์ที่เริ่มกระวนกระวายกับสภาพโดยรอบทำให้เสียสมาธิในการต่อสู้ จนถูกเจนัสซัดหมอบลงไปทันที “ อัก…พวกแก ” เครสเซนท์กล่าวด้วยความกระอักกระอ่วน ก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นมา และพุ่งทะยานอ้อมไปตลบหลัง แต่ทว่าเจนัสก็ไหวตัวทันจึงหมุนตัวเตะเครสเซนท์จนกระเด็นไปพร้อมกับร่ายคาถาให้จันทราสีคราม แช่แข็งทั้งเป็น แต่ก่อนที่ลำแสงจะได้ทันกระทบตัว เครสเซนท์ ก็ดันสลักที่เข็มขัดกลับไปหนึ่งที “ Push On ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเข็มขัดพร้อมกับชิ้นส่วนเกราะปรากฏขึ้นมาและประกอบเข้าด้วยกัน เป็นชุดเกราะ และสะท้อนลำแสงนั้นออกไปจนหมด ก่อนที่เขาจะดันสลักกลับไปมาอีกครั้ง “ Stand By ” “ Push Off ” สองเสียงดังขึ้นไล่เลี่ยกันมาพร้อมกับชุดเกราะที่แยกชิ้นส่วนและระเบิดออก แรงดันพลังเวทยืที่เพิ่มมากขึ้นของเครสเซนท์ ส่งผลให้เขาฟื้นคืนสภาพกลับมาสู้ต่อได้อีกครั้ง “ จงดูซะต่อจากนี้ไปนี่คือของจริงล่ะ ” เครสเซนท์กล่าวหลังจากที่ ทรงตัวได้แล้ว ก็เอามือกุมสลักที่เข็มขัดพร้อมกับบิดมันให้ตั้งขึ้นและดันไปอีกครั้ง “ Set up ” เสียงทุ้มแหลมดังออกมาจากเข็มขัด พร้อมกับชิ้นส่วนชุเกราะที่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะประกอบกันเป็นชุดใหม่ ……………….. ………………… ………………….. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 23 เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม แล้ว Post by: greamon on June 29, 2008, 08:12:01 PM “ Great of Dragon ”
สิ้นเสียงมังกรพลังงานสีฟ้าก็พวยพุ่งขึ้นมา กองหิมะ และทะยานเข้าใส่ วหกเพลิงฟีนิกซ์และวิหกโลกัณฑ์ ที่บินโฉบเฉี่ยวไปมา และพวกมันก็หลบการโจมตีของมังกรพลังได้ทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว “ ชิพวกมันไวจริงๆ ” ทาลิควาสกล่าวขณะที่ตวัดดาบไปมา เพื่อการจู่โจมจากปีกเพลิงของวิหกเพลิง ในขณะที่เหล่าลูกมังกร ก็พากันช่วยยิงสกัดพวกมันไว้อย่างสุดกำลัง “ ลองนี่ดู Ventus et Dragos ” สิ้นคำทาลิควาสก็ควงดาบในมือจนเกิดลมพายุหมุนพัดเข้าถาโถมใส่วิหกทั้งสอง ซึ่งนี่คือกระบรวนท่าเดียวกันกับของ ทาเวนทอส ซึ่งเป็นอัศวินมังกรในอีกร่าง “ เฮลลิค Dark Dance ” แบล็คไวเซอร์สั่งวิหกโลกัณฑ์ของตน ทันทีที่ได้รับคำสั่งมันก็เริ่มบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว ราวกับเริงระบำ วิหกโลกัณฑ์ที่ได้เห็นการร่ายรำนั้น ไฟรอบตัวของมันก็ลุกโหมและพุ่งทะยานเข้า ใส่พายุหมุนโดยไม่หวั่นเกรง ทันทีที่พายุกระทบเข้ากับมัน ไฟจากลำตัวลุกโหมไปกับพายุ จนกลายเป็นพายุเพลิงและสลายไป พร้อมกับร่างของมันที่กลายเป็นเถ้าถ่าน “ จงคืนชีพขึ้นมาฟีนิกซ์ ” บลาสเซจที่กำลังรับมือกับพวกเมทาไนท์กล่าวขึ้น กองขี้เถ้านั้นก็ผลันเปล่งแสงและลุกโชติช่วง เป็นเปลวเพลิง ก่อนที่วิหกเพลิงจะพุ่งทะยานออกมาจาก กองไฟนั้น ความร้อนจากเพลิงชีวิตของมันทำให้หิมะรอบๆเริ่มละลาย สัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในรัศมีนั้นต่างพากัน อพยพอย่างแตกตื่น สะเก็ดเพลิงที่กระเด็นไป โดนต้นสน ก็เริ่มลุกไหม้เพราะอุณหภูมิที่เริ่มร้อนระอุ “ หนอยมันเป็นอมตะรึนี่ ” ทาลิควาสเปรยด้วยความทึ่ง ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กองเพลิงซึ่งยังลุกโหมอยู่ “ ดีล่ะถ้างั้นไฟก็ต้องเจอกับไฟ ลอว์เรนซ์ร่วมร่างกับฉันที ” ไฟร์กล่าวซึ่งทาลิควาสเองก็เห็นด้วยเพราะพลังที่มีอยู่คงไม่อาจเอาชนะได้ แต่หากเป็นทาลิกนัสที่มีพลังในการรุกสูง อาจจะพอมีทางชนะ เมื่อคิดได้ดังนั้น ทาลิควาสจึงสลายพลังแยกกลับเป็น Lr กับอควาตามเดิม “ งั้นเราก็มาเปลี่ยนกันเลย ” Lr กล่าว ซึ่งก่อนที่ไฟร์จะได้ ทันกล่าวอะไรนอฟฮอฟก็แทรกขึ้นมาทันที “ ไม่ได้นะถ้าใช้ไฟีกล่ะก็ที่นี่ต้องกลายเป็นทะเลเพลิงแน่ พวกสัตว์ที่อยู่ที่นี่ก้จะต้องเสียบ้านของพวกมันไปนะ ” นอฟฮอฟกล่าวขอร้องในขณะที่ชี้ไปยังพวกสรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันวิ่งหนีไปเพราะเพลิงที่กำลัง ลุกโหม “ แต่ว่าถ้าไม่เป็นทาลิกนัสล่ะก็เราก็คงสู้พวกมันไม่ได้แน่ เราคงต้องยอมเสียสละบ้างล่ะ ” เอิธท์แย้งแต่ทว่าไฟร์ยกมือขึ้นปรามทั้งคู่ไว้ “ ไม่หรอกชั้นเห็นด้วยกับนอฟฮอฟนะ จะให้ใครต้องมาเสียสละเพราะพวกเราไม่ได้เป็นอันขาด เพราะนั้น มันไม่ใช่คุณธรรมหรอกใช่มั้ย ลอว์เรนซ์ ” ไฟร์กล่าวขณะที่หันไปขอความเห็นจาก Lr ซึ่งเขาก็เห็นด้วยที่ไม่ควรจะไปเบียดเบียนใครเพื่อ ความถูกต้อง ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต่างไปจากชาวเมือง ทีนวาแลนที่ถูกหลอกใช้ “ งั้นเราก็ใช้ทาโซรอสก็ละกันอย่างน้อยๆโคลนหิมะพวกนี้ก็น่าจะช่วยดับไฟพวกนี้ได้ ” ลอว์เรนซ์กล่าวซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย “ ขอบใจนะ ลอว์เรนซ์ที่ยอมรับฟังฉันน่ะ ” นอฟฮอฟกล่าวขอบคุณซึ่งนั่นทำให้ Lr เลิกคิ้วขึนด้วยความฉงน “ ทำไมพูดยังงั้นล่ะก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา ” Lr กล่าวจบ ก็เข้าไปหาเอิธท์ก่อนที่ทั้งสองจะรวมร่างกันเป็นทาโซรอสและออกไปประจันหน้ากับ วิหกทั้งสอง “ ลอว์เรนซ์ ” นอฟฮอฟเปรยเสียงเบาอยู่ตรงนั้นในขณะที่ มองดูพวกเพื่อนๆต่อสู้ ขณะนั้นเองก็ได้มีลูกนกเหยี่ยวเผือก(Albino Hawk) ร้องกระจิบ ดังลงมาจากกิ่งไม้ของต้นสนที่กำลังไหม้ไฟ นอฟออฟไม่รอช้ารีบบินขึ้นไปช่วยทันที (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/16.jpg) แต่ทว่าทาโซรอสที่รับมือกับวิหกเพลิงอยู่ ก็พลาดปล่อยให้วิหกโลกัณฑ์ ซึ่งเห็นนอฟฮอฟที่บินไปช่วย ลูกนก พุ่งไปหาเธอ “ นอฟฮอฟระวัง ” ไลท์ตะโกน แต่สายไปแล้วนอฟฮอฟถูกวิหกโลกัณฑ์เฉี่ยวใส่จนร่วงหล่นลงสู่กองเพลิง “ ซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ” สิ้นเสียงซอสมะเขือเทศสีแดงก็พุ่งทะลักออกมาท่วมจนดับเปลวไฟที่ลุกโชนจนมอดสิ้น พร้อมกับฝูงปลาซาร์ดีนปีกค้าวคาวพุ่งเข้าชนวิหกโลกัณฑ์ จนมันเสียหลักตกลงมาหัวฟาดถูกกิ่งต้นสนคอหัก ตายคาที่อยู่ ณ ที่นั้นนอฟฮอฟที่ร่วงหล่นลงมา กอดลูกนกไว้ในอ้อมอก เพื่อปกป้องมันก็ถูกหัวฝักทองบินได้ ซึ่งก็คือแจ็คนั่นเองที่บินมารับเธอเอาไว้ “ เคาท์เพนกวิน ” ทาโซรอสอุทานสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของผู้มาเยือน ซึ่งก็คือเคาท์เพนกวินที่ พวกเขาเคยพบกันที่คฤหาสน์ร้างนั่นเอง “ รู้สึกว่าจะมาถูกจังหวะพอดีเลยนะนี่ ” แจ็คกล่าวขณะที่วางนอฟออฟลงจากหัวของตน “ เฮลลิค..พวกแก ” แบล็คไวเซอร์ ร้องเสียงหลงขณะที่เห็นวิหกโลกัณฑ์ของตน ตายอย่างน่าอนาถ “ แกเองก็จงจบสิ้นตามมันไปด้วยเลย Paladin Saber ” สิ้นคำเมทาไนท์ก็ตวัดดาบ ผ่าร่างของแบล็คไวเซอร์จนขาดสองท่อนก่อนที่จะสลายกลายเป็นควันสีดำไปพร้อมกับวิหกโลกัณฑ์ของตน “ ต่อไปก็ตาแกล่ะ Promineo Sanctus ” แกรนเดครอสคำรามก้อง ก่อนที่จะอุ้งเล็บขนาดยักษ์ของตนออกไปขยี้ร่างของบลาสเซจ “ ฟีนิกซ์ ” บลาสเซจเรียกวิหกเพลิงให้มาเป็นโล่รับการโจมตีแทนตนเอง “ ถึงมันจะตายก็จะคืนชีพกลับมาปกป้องข้าได้อยู่แล้ว ” บลาสเซจกล่าวอย่างเย็นใจ “ ไม่มีทางหรอกน่าจงรับพลังแห่งแสงนี้แล้วสูญสิ้นไปซะ Lux et Dragos ” ทาลูคูสซึ่งเปลี่ยนตัวกับทาโซรอสเมื่อครู่ก็ตวัดคลื่นดาบจันทร์เสี้ยว ใส่วิหกเพลิงทันทีที่ วิหกเพลิงกระทบกับแสงนั้น ร่างของมันก็ขาดเป็นสองท่อนก่อนจะ สลายกลายเป็นควันปะทุไป ไม่กลับฟื้นคืน(โดน Remove เลยคืนชีพไม่ได้) “ ไม่…. ” บลาสเซจร้องเสียงหลงก่อนที่จะถูกอุ้งเล็บของแกรนเดครอสบดขยี้จนแหลกสลายไปเช่นกัน “ มันไม่ง่ายนักหรอกน่า ” เสียงนึงดังขึ้นจากอุ้งเล็บของแกรนเดครอสที่ขยี้ร่างของบลาสเซจ จนแหลกไปดังขึ้น ก่อนที่แสงสีแดงฉานจะสาดส่องออกมาจากมือของแกรนเดครอส อุ้งเล็บของมันก็ถูกพลังบางอย่างผลักออก จนกระเด็นออกไป “ นี่คือร่างที่แท้จริงของข้า บลาสเซจราชันย์แห่งเหล่าคนบาป(Blaze Sage, Rex Peccata) ” ร่างซึ่งลุกโหมด้วยเพลิงนรกแดงฉาน ปีกที่ดวงตาขนาดยักษ์งอกออกมาจากหลังของมันถึงสี่ดวง ขาทั้งสองหลอมเข้ากันด้วยเนื้อเยื่อตะปุ่มตะป่ำ ที่ปลายนั้นปรากฏดวงตากลมดตดวงใหญ่ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/49.jpg) ซึ่งหยาดเยิ้มไปด้วยน้ำตาแห่งวิญญาณของเหล่าวิญญาณที่ทุกขเวทนาจากการไม่ได้ไปผุดไปเกิด เหนือหัวของมันลุกโชนด้วยเพลิงนรกซึ่งกำลังมอดไหม้ด้วยวิญญาณของเหล่าคนบาป ปีศาจที่น่าสยดสยองนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากร่างบลาสเซจที่สลายไป นี่คือร่างอวตารแห่งบาป ในอดีตเมื่อครั้งสงคราม สี่อาณาจักรที่รวมไปถึงสงครามซึ่งก่อเกิดจากเหล่าบาป (Sin) “ Sinner One ” (คนบาปเป็นหนึ่ง) สิ้นคำเพลิงนรกพุ่งพล่านออกมาเผา ผลาญพวกเขา “ Magnus Templus ” สิ้นคำแกรนเดครอส ก็ประสานอุ้งเล็บเข้าด้วยกระก่อนที่จะตวัดมันออกพร้อมกับเกราะพลัง งานแบบเดียวกับที่เคยป้องกันพวกเขาจากการโจมตีของแบล็คไวเซอร์ ทันทีที่เพลิงนรกนี้ลุกโชนไปทั่วจนสลายสิ้น ทุกชีวิตที่อยู่ในบรเวณนั้นแทบจะต้องสูญสิ้น “ พวก ลอว์เรนซ์จะเป็นยังไงกันมั่งนะ ” เรโค่กล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วงขณะที่ ตรึงร่างของเทอเรี่ยนสีดำเอาไว้และให้ภูตรับใช้ ทั้งสองของเธอ โจมตีใส่มัน “ เปลวเพลิงที่ลุกโหมเมื่อครู่น่าเป็นห่วงจริงๆเราควรรีบกลับไปช่วยพวกเขานะ ” เซโร่กล่าวขณะที่ยืนประเมินสถานการณ์ จากบนยอดผาด้านล่างของยอดเขาที่พวกเจนัสอยู่ พวกเขาทั้งสองได้ล่วงหน้าตามมาช่วยลากูน่า ตามคำขอร้องของ Lr หลังจากที่ลากูน่าล่วงหน้าไปแล้ว ระหว่างทางลูคเรเทียก็ตามขัดขวางมาจนถึงยอดผานี้ แต่ทว่าบัดนี้รแม้แต่เงาของนางก็ไม่เหลือให้ เห็นแล้วมีเพียง ดาบสีเงินเล่มใหญ์ของนางซึ่ง หักเป็นสองท่อนปักทิ้งไว้บนพื้นหิมะเท่านั้น “ แต่ว่าเค้าให้เราไปช่วย สามคนนั่นก่อนนะ เอาไงดีล่ะ ” เรโค่ถามขณะที่สั่งให้ภูตทั้งสองหยุดการโจมตี และตวัดเส้นลวดที่ตรึงไว้ ให้ สับเจ้าเทอเรี่ยนจนละเอียดเป็นชิ้นๆ “ งั้นก็ไปช่วยสามคนนั่นก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยรีบกลับไปช่วยคง ไม่สายเกินหรอกทางนั้นมีคนตั้งเยอะกว่านี่นะ ” เซโร่กล่าวจบพวกเขาทั้งสองลอยตัวขึ้นสู่ยอดผาทันที ป่าสนซึ่งเคยถูกปกคลุมด้วยหิมะในหุบเขาแห่งนี้บัดนี้ ได้ลุกโหมไปด้วยเพลิงนรก เกราะพลังงานที่แกรนเดครอสกางต้านไว้ ก็ไม่อาจจะทนกับโจมตีของบลาสเซจได้ ทันทีที่เพลิงหยุดกระจาย ร่างอันใหญ่โตของแกรนเดครอสก็ล้มลง พร้อมกับเทียแมตที่เข้าไปช่วยเสริมพลังของเกราะ เพราะใช้พลังไปจนหมดสิ้น แม้แต่เหล่าลูกมังกรที่ได้รับการปกป้องอีกชั้นจาก เมทาไนท์ซึ่งยกโล่สีทอง ซึ่งประดับด้วยอัญมณีที่ กลางโล่ ขึ้นมาป้องกันไว้ซึ่งมันก็พอจะช่วยสะท้อนเปลวเพลิงออกไปได้บ้างจากพลังอำนาจของมัน แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่ดี ตามเนื้อตัวมีแผลพุพองบ้างเล็กน้อย ส่วน Lr กับไลท์นั้นได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด เพราะพวกเขาอยู่ในร่างของทาลูคูส แต่ก็หมดแรงจากการ ที่ต้องป้องกันเปลวเพลิงไปด้วย จนแยกกลับสู่ร่างเดิม “ ไม่เป็นไรนะ ” เมทาไนท์ซึ่งสะบักสะบอมไม่แพ้กัน กล่าวขึ้นขณะที่ยกโล่ออก ซึ่งบลาสเซจนั้นกำลังจะโจมตีระลอกใหม่มาอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาไม่มีเกราะกำบังใดๆจะต้านไว้ได้อีกแล้ว เปลวเพลิงนรกพุ่งผล่านออกมาอีกครั้ง และกำลัง จะเผาผลาญร่างของพวกเขา “ Penguin Power ” สิ้นคำของเคาท์เพนกวิน ตัวเคาท์เพนกวินและแจ็คหัวฝักทองก็บินเข้าไปขวางเปลวเพลิงไว้ ออร่าแสงที่เปล่งออกมาจากตัวก็ดูดซับเปลวเพลิงเหล่านั้นไว้แต่ทว่าพลังนั้นก็ไม่พอที่จะต่อกร กับเปลวเพลิงอันร้อนแรงนี้ได้ สุดท้ายแม้แต่ตัวเคาท์เพนกวินเองก็ถูกเปลวเพลิงเผาผลาญไปแต่ทว่าแจ็ค ก็เอาตัวเข้าขวางไว้โดยใช้พลังเฮือกสุดท้ายคุ้มครองเจ้านาย ก่อนจะไหม้สลายไป เปลวเพลงทั้งหมดที่สาดมายังพวกเขาได้ มอดลง แต่ก็มีลูกไฟลูกหนึ่งกระดอนตรง ไปยังนอฟฮอฟที่ยังกอดลูกนกเอาไว้อยู่ เธอหลับตาลงด้วยความกลัวโดยที่หันหลังรับเปลวเพลิงนั้นเอาไว้ เพื่อปกป้องลูกนก ภาพนั้น ทำให้เมทาไนท์หวน นึกถึงแม่ของเขาที่เอาชีวิตของตนปกป้องน้องชายซึ่งเป็นลูกเอาไว้ เปลวเพลิงกำลังจะเข้าไปถึงตัวของทั้งสอง “ ซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ” เคาท์เพนกวินที่รอดมาได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่เสกซอสมะเขือเทศ ดับเปลวเพลิงนั้น โดยเอาตัวเข้าขวางไว้ระหว่างนอฟฮอฟและเปลวเพลิง ทว่าพลังนั้นก็ไม่พอที่จะดับเพลิงนรกได้ เปลวไปจึงเข้าครอกร่างของเคาท์เพนกวินในที่สุด ร่างของเคาท์เพนกวินล้มลงดดยที่ลมหายใจนั้นไม่มีอยู่เพราะตนเป็นผีดิบ แม้จะเป็นอมตะ แต่เมื่อถูกเพลิงนรกเผาวิญญาณจนมอดไหม้ก็ เปรียบเสมือนคนใกล้ตายเต็มที นอฟฮอฟ ที่ได้รับการปกป้องทรุดตัวลง น้ำตาไหรินลงมาจากดวงตาหยดลงบน ร่างของ เคาท์เพนกวินที่นอนแน่นิ่งอยู่ “ พวกนายทำไมถึงต้องทำเพื่อฉันถึงขนาดนี้… ” “ ทั้งแจ็ค ทั้งนาย ทำไมถึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกแบบนี้ ” นอฟฮอฟกล่าวด้วยความปวดร้าวที่ตนเป็นต้นเหตุให้ แจ็คต้องตาย เคาท์เพนกวินที่เห็นเธอร้องไห้ ด้วยความเสียใจก็ยกปีกสั้นๆของตน ขึ้นปาดน้ำตา ออกจากใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน “ ตลอดมาปีศาจอย่างพวกเราถูกหาว่าไร้จิตใจเลือดเย็นและถูกดูถูกเหยียดหยามมาตลอด แต่กับเจ้ามันไม่เหมือนกันเจ้าเท่านั้นที่มองข้าเป็นเหมือนคนอื่นทั่วไป ตอนที่อยู่ที่คฤหาสน์ นั่นน่ะ เจ้าปฏิบัติกับข้าราวกับ เป็นสิ่งมีชีวิต มีจิตใจ ข้าจึงอยากจะตอบแทนเจ้าบ้าง อีกอย่าง ….. ” เคาท์เพนกวินกล่าวไม่หยุดปากราวกับว่าบาดแผลเหล่านี้ไม่มีผลใดๆเลย แต่ทว่าลึกๆแล้ววิญญาณของเขากำลังจะสูญสลาย “ เพราะข้าอยากจะเห็นความเมตตาที่ส่องประกายในสายตาเจ้าอีกซักครั้งน่ะสิ ” เคาท์เพนกวินกล่าวจบดวงตาของเขาก็ปิดสนิทลง ก่อนจะสลายกลายเป็นเถ้าไป “ เคาท์เพนกวิน ” นอฟฮอฟร้องเสียงหลง “ เพื่อฉันที่เย็นชาคนนี้น่ะเหรอ บ้าที่สุดเอาชีวิตของตัวเองมาปกป้องคนไร้ค่าอย่างฉันเนี่ยนะ… ” นอฟฮอฟรำพันด้วยความโศกเศร้า ลอว์เรนซ์ซึ่งมองดูเหตุการณ์ณ์ด้วยความเวทนานั้นเข้าใจดี ว่าตลอดมานั้นแม้จะทำเป็นเย็นชาแต่แท้จริงแล้วนอฟฮอฟเป็นมังกรที่ มีจิตใจ อ่อนโยนคนหนึ่ง เขาจึงเดินเข้าไปปลอบเธอ “ ไม่หรอกนอฟฮอฟชั้นว่าเขาพอใจในสิ่งที่เขาทำแล้วล่ะ และอีกอย่างเธอก็ไม่ได้เป็นคนที่เย็นชาซักหน่อยนี่ ลูกนกตัวนี้น่ะเธอยังปกป้องมันด้วยชีวิตเลยไม่ใช่รึ งั้นเธอก็น่าจะเข้าใจดีนี่ว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องเสี่ยงชีวิตปกป้องเธอ ” Lr กล่าว ซึ่งคำพูดของเขานั้นทำให้นอฟฮอฟ เริ่มจะเข้าใจถึงความหมายที่เคาท์เพนกวินสละชีวิตช่วยเธอเอาไว้ “ ตั้งแต่เด็กๆแล้วพ่อของฉันหายตัวไปและทิ้งฉันซึ่งเสียแม่ไปให้อยู่กับ ญาติๆ ฉันเลยคิดไปเองว่าเพราะพ่อไม่รักฉันแล้วเลยทิ้งฉันไป แต่ว่า อาจารย์อีสควอเทียก็..ก็บอกกับฉันว่า ท่านไม่ได้ทิ้งฉันไปแต่ เพราะได้รับโทษจากการที่ปกป้องฉันและแม่ไว้จนทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน จึงต้องจากฉันไป ตอนนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นแล้วล่ะ ” นอฟฮอฟรำพัน ก่อนจะวางลูกนกลงบนพื้น “ เป็นตัวของตัวเองเถอะเพราะชั้นรู้ดีแม้ว่าเธอจะปกปิดมาตลอดก็ตาม ” “ แต่นั่นก็คือตัวตนของเธอนะ จะปฏิเสธไปทำไม กัน ที่แล้วมาเธอช่วยพวกเราไว้ตั้งหลายครั้งคราวนี้ถึงตาพวกเราตอบแทนบ้างมันจะเป็นไรไป เปิดใจรับมันซะเถอะดาร์ค ” Lr กล่าวชื่อของเธอในตอนท้ายนั้นทำให้เธอยอมที่เชื่อเขาและเปิดใจรับ บลาสเซจที่สะสมพลังงานเพื่อจะโจมตีระลอกต่อไปก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง “ ช่างที่น่าประทับใจเสียงจริงนะ แต่สำหรับข้ามันจะน่าประทับใจกว่านี้ยามที่มันถูกเผาจนวอดวาย เพราะความสิ้นหวัง ” บลาสเซจกล่าวจบเพลงนรกก็พุ่งผลาญออกมาอีกครั้ง ผลันแสงสีดำก็ส่องวาบออกจากดราก้อนฮอลลี่ เวลาในช่วงนั้นราวกับหยุดลงชั่วครู่ “ ถึงตาฉันจะร่วมรบไปกับเธอด้วยแล้วนะ ลอว์เรนซ์ ” “ อื้ม..อย่ามัวรอช้าเลยมาทำให้เรื่องนี้มันจบลงไปเสียที ” เสียงของทั้งสองที่สื่อถึงกันในใจ ก่อนที่เวลาจะเริ่มเดินอีกครั้ง ความมืดสีดำที่แผ่ออกมาจากดราก้อนฮอลลี่ ได้พวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้ากระจายตัวเป็นละอองพลังงานดดยทิ้งวงแหวนสีดำเอาไว้กลางนภา เปลวเพลิงที่ค่อยๆทะยานลงสู่ร่างของพวกเขากับวงแหวนแสงสีดำที่หมุนวนละออง ความมืด กลับสู่วงแหวนและยิงส่งลง สู่ร่างของทั้งสอง พร้อมกับเปลวเพลิงนรกที่สาดใส่พวกเขา แต่ทว่าเพลิงทั้งหมดนั้นก็ถูกความมืดกลืนกิน เข้าไป ก่อนจะหดตัวลง และ ปรากฏร่างของอัศวินมังกรกายสีดำ ลิ้นที่ยาวเรียวแลบออกมา เลียริมฝีปากราวกับพึ่งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มา ก่อนที่จะหันขึ้นไปยังบลาสเซจ นัยตาของอัศวินมังกรตนนี้สร้างความหวาดหวั่นให้แก่บลาสเซจอย่างมาก “ เมื่อความกลัวเข้าครอบงำ ความมืดจะเป็นผู้ปลอบโยนจิตใจที่หวาดหวั่นนั้นเอง นามของฉันคือ ทาไนซ (Thanyx, the Dragoon of Thaliwilya) ” (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms200862916843.jpg) โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า ในที่สุดอัศวินมังกรแห่งตำนานตนสุดท้ายก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว การตัดสินระหว่างเจนัสกับเครสเซนท์ ซึ่งดุเดือดขึ้นทุกวินาที อดีตที่ลืมเลือน “ ข้าจะคืนความทรงจำของเจ้าที่ปิดผนึกไว้และเมื่อนั้นเจ้าจะต้องทุกทรมานกับ ความแค้นนั้นไปจนตาย ” ผนึกที่ถูกคลายความทรงจำที่กลับมา “ คนที่ช่วยฉันไว้และทำลายครอบครัวของฉันเมื่อสี่ปีก่อนคือนายงั้นเหรอ… ” อดีตที่ทำร้ายจิตใจของทั้งคู่จนสิ้น คนที่อยากพบ “ หรือว่าคุณก็คือ ” “ ถูกแล้วนอฟฮอฟแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากนักแต่ข้าคือพ่อของเจ้า ” ความผิดที่แบกรับไว้ ในอดีต และคำทำนายที่ดำเนินมาจนถึงบัดนี้ “ ทำไม…..ทำไมกัน..ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ” พลังด้านมืดที่ถูกปลดปล่อยออกมา “ เมื่อใดที่ความกลัวแข็งแกร่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจก็ล้วนต้องสยบ นามกรของข้าคือ มุรามาสะโซล ” ทูตสวรรค์แห่งความกลัว โชคชะตาที่ไขว้กันนี้จะนำไปสู่บทสรุปที่แท้จริงหรือไม่ ปริศนาทั้งหมดจะถูกคลี่คลายออกจนสิ้นหรือไม่ ในบทหน้าตอนสุดท้ายของภาค Dragoon Age’ บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ End Time 1 โอยกว่าจะเสร็จอาทิตย์นี้ก็แทบแย่เลยครับ มีข่าวร้ายมาบอกครับอาทิตย์ตอนมันส์แท้ๆแต่จะต้อง งดนะครับเพราะต้องอ่านหนังสือสอบดังนั้นจะเลื่อนไปเป็นอีกอาทิตย์นะครับ เอาละบทหน้าจะได้รู้กันเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล้ว Post by: boy on June 29, 2008, 09:40:10 PM ใกล้จบแล้วสินะ ว่าแต่พระเอกของเรา(ลอเรนซ์หรือเปล่านะ)แปลงเป็นมุรามาซะโซลอีกแล้วเหรอเนี่ย ::006:: ::008::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล Post by: cocka-c on June 29, 2008, 10:32:24 PM จบช่วงที่สองจ้ายังไม่อวสานยังเหลือช่วงสามอีกช่วงจ้า นิยายเรามีมหากาพยสามภาค
จ้ะ อ้อมาถึงก็แจ้ ฉอดๆลืมแนะนำตัว เดี้ยน การูรูม่อนผู้ช่วยของเกรม่อนจ้า (Garurumon, the Assit of Greamon) ตั้งแต่นี้ไปขอฝากตัวด้วยน้า Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล้ว Post by: boy on June 29, 2008, 10:40:28 PM ยินดีที่รู้จักคร้าบ พี่การูรูม่อน ::017::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล Post by: greamon on July 09, 2008, 07:09:39 PM โอยอาทิตย์ที่แล้วหยุดอ่านหนังสือหนักซะจนหัวเบลอเลย เจ้าการูรูม่อนมันว่างนักรึไงนะ
บอกให้วาดภาพประกอบตั้งนานแล้ว มันดันวาดสัปดารห์ที่เราหยุดซะงั้น มันไม่อ่านหนังสือสอบรึไงก็ไม่รู้ เอ้อช่างเถอะก็คงจะรู้จักกับผู้ช่วยผมไปแล้วนะครับ อีกอย่างบทที่25 สัปดาห์นี้จะรูปบางส่วนที่ต้องวาดมือ (เพราะหาจากอนิเมะไม่ได้ T_T ) ก็คงจะไม่ได้ลงสีหรอกครับ คนวาดคือเจ้าผู้ช่วยผมนี่แหละครั้งนี้พยายามขอไม่ให้มันวาดเหมือนกันดั้มแต่ก็นั่นปะไร ช่างเถอะมันเป็นพล็อตที่ไม่สำคัญนักหรอกครับ แต่มีความรู้สึกจะไปมล้ายคล้ายการ์ตูนอีกแย้วเพราะระบบชุดเกราะ ที่เครสเซนท์กับเมทาไนท์มีอยู่กันคนละอันมันดันไม่ได้มีดีแค่ประกบแล้วระเบิดน่ะดิ เอาเป็นว่ารอดูอาทิตย์นี้ดีกว่าครับ บทนี้บอกก่อนเลยว่ายาวมาก ประมาณสองตอนควบ ควบสัปดาห์ก่อนกับสัปดาห์นี้ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล Post by: greamon on July 13, 2008, 06:44:17 PM บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์
เมื่อครั้งนานแสนนานมาแล้ว อัศวินมังกรแท้คนแรกแห่งเมอริเซีย ได้ถือกำเนิดขึ้น นามของเขาถูกขนานกันในชื่อทาลิวิลย่า ทว่าชื่อจริงของเขานั้นกลับหามีผู้ใดรู้ไม่ หากแต่มีเพียงตระกูลอันยิ่งใหญ่สองตระกูลซึ่งปกปักรักษาความลับของตระกูล นักรบมังกรทาลิวิลย่า เอาไว้ ซึ่งทำให้ตระกูลทั้งสามนั้น ต่างมีความสัมพันธ์ ในการรักษาและสืบทอดหน้าที่นี้แก่ลูกหลาน ตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน หนึ่งคือตระกูลแห่งเผ่าพันธุ์ครึ่งสมิงแท้อันเป็นต้นกำเนิดจากเชื้อสายของสมิงกับเอลฟ์ อีกตระกูลคือ ตระกูลอัศวินผู้ขับขี่กริฟฟินอันสูงส่งแห่งฟีเลเซีย ทว่าตระกูลทั้งสามนี้ ก็ได้ล่มสลายลงไป ในเวลาที่ไม่ห่างกันมากนักเหลือเพียงเหล่าทายาทที่ยังรอดชีวิตมาได้ บางส่วนเท่านั้น และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นเงื่อนงำที่ไม่มีใครกล่าวถึงอีก ทว่า ณ บัดนี้เงื่อนงำนั้นกำลังจะถูกคลี่คลายออกในวันนี้………… ท่ามกลางป่าสนในหุบเขาลึกที่ปกคลุมด้วยหิมะ บัดนี้ พื้นที่ป่าจำนวนไม่น้อยถูกเผาทำลายจนเหี้ยนเตียนกลาย เป็นทุ่งไปแล้ว ร่างของอัศวินครึ่งมังกรกายสีดำ และ ราชันย์แห่งคนบาป ทั้งสอง กำลังฟาดฟันอย่างรวดเร็วและรุนแรงอยู่เหนือผืนแผ่นดิน ทุกครั้งที่ปะทะเข้ากัน สะเก็ดเปลวเพลิงนรกที่วาบขึ้นมาในทุกคราก็จะถูกความมืดซึ่ง ไหลออกมาจากดาบของอัศวินมังกรและกลืนกินเปลวไฟนั้นเข้าไป “ Nox et Dragos ” สิ้นคำของอัศวินมังกร เขาก็ทะยานออกไปอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพร่างของเขาทับซ้อนกันไปเรื่อยๆขณะที่ พุ่งเข้ามาราวกับภาพติดตา จนทำให้บลาสเซจในร่างราชันย์แห่งคนบาปต้องผงะไป ราวกับโดนมนต์สะกด ก่อนจะได้ทันรู้ตัวว่า อัศวินมังกรได้ย่างกรายมาใกล้แล้ว ก็ถูกฟันด้วยคมดาบสีทองเหลืองคลิบลายดำ แต่แม้ว่าจะถูกฟันจนร่างขาดสะบั้น เพียงชั่วครู่ ท่อนลำตัวที่ขาดไปก็กลับมาเชื่อมกันอีก ก่อนที่ดวงตาขนาดใหญ่ที่อยู่บนหลังของบลาสเซจ จะ ส่องแสงและยิงเปลวเพลิงออกมา แต่ทว่าอัศวินมังกรทาไนซก็ ตวัดดาบผ่าเปลวเพลิงนั้นทันที พร้อมกับที่ความมืดได้ไหลออกมาจากดาบและกลืนกินเปลวเพลิงนั้นเข้าไป “ เมทาไนท์ท่านช่วยไปสนับสนุนพวกเจนัสทีนะ ทางนี้ข้าจะรับมือเอง ” ทาไนซ กล่าวจบ เมทาไนท์ก็พยักรับคำก่อนจะพุ่งตรงไปยังภูเขาทางทิศตะวันออก “ เอาล่ะทีนี้แกกับฉันเรามาต่อกันเลย ” ทาไนซที่เห็นว่าเมทาไนท์ไปไกลแล้ว จึงหันไปกล่าวกับบลาสเซจ ก่อนจะไล่ต้อนฟัน บลาสเซจ จนหลุดออกจากระยะที่เปลวเพลิงจะเข้าไปทำร้ายพวกลูกมังกร กับเทียแมตและแกรนเดครอสที่บาดเจ็บอยู่ “ ทีนี้ก็ลงมือได้ไม่ยั้งแล้ว Great of Dragon ” สิ้นคำทาไนซ ก็ร่ายดาบไปทางซ้ายมืออย่างช้าๆก่อนจะหยุดลง ทันทีที่ดาบเลื่อนไปอยู่ บริเวณเอวซ้าย ตัวดาบถูกปกคลุมด้วยออร่าสีดำ และลุกโชนราวกับเปลวเพลิง ทันทีที่ทาไนซตวัดมันออกไป คลื่นพลังงานสีดำก็ก่อตัวเป็นรูปมังกรพลัง สีดำ และทะยานเข้าชนใส่ร่างของบลาสเซจ จนร่างทะลุกลวง และทันทีที่ร่างของบลาสเซจ สมานตัวอีกครั้ง ร่างของมันกลับถูกเปลวไฟสีดำที่ยังคงหลงเหลือจากการพุ่งผ่านของ มังกรพลังงานเมื่อครู่ ก็เริ่มลุกไหม้จนบาดแผลไม่อาจ สมาน กลับได้ จนเมื่อมันพยายามจะดับไฟนั้น โดยปัดให้มันดับ มือที่ไปสัมผัสโดนก็ ติดไฟและลุกโหมไปทั่วร่าง บลาสเซจกรีดร้องออกมาด้วย ทุกทรมาน ก่อนจะมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีดำ จนร่างกลายเป็นตอตะโก “ และนี่คือส่วนของเธอ เคาท์แวมไพร์เพนกวิน ฉันจะล้างแค้นให้เอง ” ทาไนซกล่าวก้องออกมาขณะที่ทะยานเข้า ฟันตอตะโกนั้นจน ขาดสะบั้นเป็นสองท่อน และมอดไหม้เป็นขี้เถ้าไปในที่สุด ……………… ………………….. ………………………. “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลมที่ดังออกมาจากเข็มขัดของเครสเซนท์ พร้อมกับชิ้นส่วนชุดเกราะสีดำ ที่ปรากฏขึ้นรอบๆตัวของเขาก่อนจะประกอบกันเป็นชุดเกราะรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนกับ ชุดก่อนนี้ “ Exchange Giga Mode ” เสียงทุ้มแหลมดังออกมาจากเข็มขัดอีกครั้งทันทีที่ชุดเกราะประกอบเข้ากับตัวของเขา เสร็จเรียบร้อย มันเป็นชุดเกราะที่ประกอบไปด้วยกลไกไฟฟ้า ต่างๆทากทายราวกับเครื่องจักรก็ไม่ปาน ท่อสายต่างๆ ถูกโยงระยา มาต่อติดเข้ากับชิ้นส่วน ของเกราะจากชิ้นต่อชิ้น (http://u3.popcornfor2.com/show/40K38a17_thumb.jpg) “ นั่นมัน… ” นีน่าที่อดหันไปมองไม่ได้ อุทานขึ้นมาด้วยความตะลึง “ นั่นคือกีก้าโหมดที่เป็นต้นแบบร่างอวตารของระบบแอกเตอร์ยังไงล่ะอีกเดี๋ยวพวกแกก็จะได้รับรู้ถึง ความเหนือชั้นด้านพลังนั้นด้วยตาของเจ้าแล้ว ” นักประดิษฐ์ที่ถูกลากูน่าจับล็อคเอาไว้กล่าวด้วยความผยอง นีน่าที่เล็งปืนไปยังเซอร์เซสเริ่มจะหวั่นใจขึ้นมาแล้วว่า สิ่งที่นักประดิษฐ์ กล่าวนั้นคือ พลังที่พวกเครสเซนท์ กล่าวถึงเมื่อรุ่งเช้าหรือไม่ จนเปิดโอกาสให้เซอร์เซส คว้าคฑามาได้ และระดมยิงคลื่นมนตราใส่นางกับลากูน่าจนต้องหลบเป็นพลันวัน และทันทีที่ลากูน่าตั้งตัวได้เขาก็ถูกกาโรห์ที่โดนซัดสลบไปเมื่อครู่ เตะลำตัวกระเด็นออกมา ลากูน่าที่กระเด็นไปตามแรงเตะจนกลิ้งไปหลายตลบ จึงค่อยๆยันตัวขึ้นมาก่อนส่ายหน้า ด้วยความมึนจากการเตะเมื่อครู่ ส่วนนีน่าที่ ตั้งตัวได้แล้วนั้น เมื่อคิดที่จะไปช่วยลากูน่านางก็ถูก เซอร์เซสเข้ามาขวางไว้ “ แก… ” นีน่ากล่าวก่อนจะหันกระบอกปืน เข้าใส่พร้อมกับลั่นไกทันที แต่เซอร์เซสก็หลบ วิถีกระสุนได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะ ซัดคลื่นพลังเวทย์ใส่นางจนล้มคลุกลงไปกับพื้นหลายตลบ เจนัสที่เห็นทั้งสองกำลังรับมือกับคู่ต่อสู้ที่เกินกำลังนั้น ก็คิดจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูก แสงสีต่างๆหกสีพุ่งตัดผ่านหน้าเขาไปจนต้องหยุดชะงัก แสงทั้งหกนั้น บินทะยานไปวนอยู่รอบๆตัวของเครสเซนท์ ที่สวมชุดเกราะใหม่นั้นอยู่ “ เอาล่ะขอข้าชมพลังของระบบแอกเตอร์เป็นขวัญตาหน่อยเถอะ ” นักประดิษฐ์ กล่าวพร้อมกับเท้าคางด้วยแขนขวาในขณะที่มือซ้ายยังคง หิ้วกรงที่ขังชะตากรรมแห่งแสงเอาไว้อยู่ “ เริ่มจาก นี่ก่อนเลยก็แล้วกัน ” เครสเซนท์ กล่าวจบก็ยื่นมือ ออกไป หนึ่งในแสงทั้งหกที่ บินวนอยู่ นั้นแสงสีเขียวก็ได้บินเข้าไปหาเข้า ก่อนที่เขาจะคว้ามันไว้ด้วย มือขวา แสงนั้นเมื่อมันหยุดนิ่งอยู่ในมือของเครสเซนท์ ก็ปรากฏรูปออกมาอย่าง ชัดเจนมันคือตัวด้วงสีเขียวมรกต (Emerald Beetle) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/67.jpg) “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลมนั้นดังขึ้นอีกครั้งจากเข็มขัดที่ของเครสเซนท์ ก่อนที่ตัวด้วงจะค่อยๆ บิดเกลียวและ สลายกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมกับถูกชุดเกราะดูดเศษเหล่านั้น เข้าหา ทันทีที่เศษชิ้นส่วนนั้นกระทบกับเกราะ สีเขียวมรกตของตัวด้วงก็กระจาย เข้าสู่ตัวชุดเกราะ จนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเดียวกัน เกราะส่วนหัวก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เขาโลหะที่ยื่นออกมานั้น ยื่นตัวออกไปจากกลไก ที่ชักออกมานั้นก่อนเชิดขึ้นตั้ง ในแนวเฉียงจนเกือบตั้ง ก่อนจะเปลี่ยนรูปไปคล้ายกับคมดาบ พร้อมกัยที่ชิ้นส่วนชุดเกราะต่าง เริ่มแยกตัวออกและหมุนวนไปรอบๆเหมือนกับพายุหมุน ก่อนจะประกอบเข้าสู่ ร่างใหม่ “ Change Emerald Form ” เสียงทุ้มแหลมดังก้องออกมาจากชุดเกราะ ซึ่งเปลี่ยนรูปไปเป็นสีเขียว และดูปราดเปรียวกว่าในร่างก่อนนี้นัก ที่ข้อมือมี ทวนโลหะยื่นออกมา ทั้งสองข้าง หลังติดเครื่องจกัรที่คล้ายกับปีก เอาไว้ ก่อนที่มันจะกางตั้งขึ้น และพ่นไอร้อนออกมา ร่างนั้นทะยานตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนแม้แต่เจนัสยัง มองตามไม่ทัน เพียงชั่วครู่ร่างของเจนัส ก็เกิดบาดแผลขึ้นไปทั่วทั้งร่าง พร้อมกับร่างบิดไปมา ราวกับถูกอะไรบางอย่างที่เร็วมากพุ่งเข้าโฉบโจมตี ไปมา ก่อนจะถูกชนกระเด็นล้มลงไป พร้อมกับร่างของเครสเซนท์ที่หยุดต่อหน้าเขา (http://u7.popcornfor2.com/show/84O7cd83_thumb.jpg) “ นั่นคือ เอเมอรอลฟอร์ม (Emerald Form) ฟอร์มที่มีความเร็วสูงสุดในระบบแอกเตอร์ของเข็มขัดเส้นนี้ยังไงล่ะทึ่งไปเลยสิกับพลังของมันน่ะ ” นักประดิษฐ์ กล่าวด้วยท่าทีจองหอง ซึ่งยังไม่ทันขาดคำ แสงสีแดงก็พุ่งออกจากกลุ่มแสงที่บินวน กันอยู่ออกมาหาเครสเซนท์ และทันทีที่เขาคว้ามันไว้ รูปร่างที่ปรากฏก็คือ ด้วงสีแดงทับทิม (Ruby Beetle) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/37.jpg) “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้น พร้อมร่างของตัวด้วงบิดเกลียวอีกครั้ง และสลายเข้าแทรกซึมใส่ชุดเกราะก่อนมันจะเปลี่ยนรูปไปอีกครั้ง เขาดาบที่ยื่นอยู่บนเกราะหมวกถูกพับเก็บลง ก่อนจะหดตัวลงและ ชิ้นส่วนของชุดเกราะ บางส่วนหลุดออกมาติดประกบเข้าที่ด้านข้างคอปกเสื้อเกราะ ก่อนที่จะยืดเขา ออกมาด้วยกลไกของมัน จนดูราวกับเขาวัว ประกบติดเข้ากับเกราะหมวก พร้อมกับที่ชุดเกราะเริ่มแยกตัวออกเพื่อจัดเรียงตัว ใหม่อีกครั้ง “ Change Ruby Form ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับชุดเกราะที่เปลี่ยนรูปไป ต่างจากก่อนหน้านี้ทั้งสามชุด ดูเทอะทะกว่า แขนที่ถูกประกอบด้วย ชิ้นส่วนเกราะจนขยายขนาด และกลายเป็นแขนกลไป (http://ub.popcornfor2.com/show/c8Sb0173_thumb.jpg) “ และนั่นก็คือ รูบี้ฟอร์ม (Ruby Form) ฟอร์มที่มีพลังจู่โจมสูงอีกเช่นกัน ” นักประดิษฐ์อธิบาย ขณะที่ทุกคนได้แต่เฝ้ามอง ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ เจนัสที่ถูก รูบี้ฟอร์มเข้าซัดโจมตีจนสะบักสะบอมโดยไม่สามารถโต้ตอบได้ ก่อนที่ตัวด้วงตัวใหม่จะถูกเรียกออกมาจากกลุ่มแสงที่ยังคงบินวนอยู่ คราวนี้เป็นด้วงสีฟ้าครามไพลิน(Sapphire Beetle) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/52.jpg) “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับชุดเกราะที่เปลี่ยนกับไปอยู่ในฟอร์มที่ดูปราดเปรียวอันเดียวกับ เอเมอรอลฟอร์มก่อนหน้านี้ ต่างกันตรงที่ ฟอร์มนี้เป็นสีฟ้า “ Change Sapphire Form ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่เปลี่ยนร่างเสร็จ เครสเซนท์ในฟอร์มใหม่นี้ ก็ตวัดเขาดาบที่หัว ออกไปอย่างแรง มันเหวี่ยงเป็นกงจักรทะยาน เข้าไปทำลาย ดวงจันทราสีเลือดและจันทราสีคราม อันเกิดจากพลังของศิลา เขาดาบถูกเหวี่ยง ปั่นทำลายทั้งสองดวงจนสิ้นสลาย ก่อนจะวก กลับมาติดที่หมวกเกราะอีกครั้ง “ นั่นก็คือ ฟอร์มที่มีพลังด้านมนตราสูง แซฟไฟร์ฟอร์ม ” นักประดิษฐ์อธิบายอีกครั้ง ซึ่งนีน่า และ ลากูน่านั้นทำได้เพียงแค่มองดู เจนัสถูกซ้อม ขณะที่ อธิบายอยู่นั่นเอง เจนัสก็อาศัยช่วงจังหวะที่เครสเซนท์ หยุดรอเขาดาบกลับมา นั้น ลุกขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่แต่ทว่าทันทีที่ เขาดาบถูกประกบติดกับเกราะแล้วนั้น ด้วงตัวใหม่ซึ่งเป็นด้วงสีน้ำตาลบุษราคัม (Topaz Beetle) ก็บินออกมาจากกลุ่ม และเข้าไปเครสเซนท์ได้ก่อนเจนัสเพียงชั่วพริบตา ชุดเกราะก็ถูกเปลี่ยนอีกครั้งโดยคราวนี้กลับไปอยู่ในรูปของเกราะที่ดูเทอะทะซึ่ง เป็นชุดเดียวกันกับ รูบี้ฟอร์ม เพียงแต่คราวนี้เป็นสีน้ำตาล (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/22.jpg) “ Change Topaz Form ” สิ้นเสียง หมัดของเจนัสก็กระแทกเข้ากับเกราะเต็มแรง ทว่าตัวของเครสเซนท์นั้นกลับ ขยับเลยสักนิดกลายเป็นว่าตัวของเขาเอง แทบจะต้องสั่นสะท้านกับแรงสะท้อน ที่เด้งกลับใส่ร่าง “ นี่ก็คงฟอร์ม ที่มีพลังป้องกันเป็นเลิศอีกสิ ” ลากูน่าประชดขณะที่ คอยเอี้ยวตัวหลบดาบของกาโรห์ที่ไล่ตวัดใส่เขาไม่หยุดหย่อน “ โฮ่ถูกเผงเลย ช่างสังเกตดีนี่ งั้นข้าจะบอกอะไรเพิ่มเติมให้ การเปลี่ยนรูปแบบในแต่ละครั้งนั้น ตอนนี้มีอยู่สองรูปแบบใหญ่ๆ หนึ่งก็คือร่างที่ปราดเปรียว และรวดเร็วอันเป็นพื้นฐานของเอเมรอล และ แซฟไฟร์นั้น จะมีรูปร่างแบบเดียวกัน ต่างกันแค่สีกับพลังที่ได้รับ เช่นกัน รูบี้กับโทแพส นั้นก็ใช้ร่างที่เทอะทะและมีพลังมาก เป็นหลัก เช่นกัน หรือกล่าวคือ จะสังเกตได้จากเขาของด้วงแต่ละตัว หากมีเขาเดียวชุดเกราะก็จะเป็น ชนิดเขายาว(Long Horn Type) และ เขาคู่นั้นก็คือชนิดเขากันไกร (Scissors Horn Type) ยังไงล่ะ ” นักประดิษฐ์กล่าวไม่หยุดปาก ด้วยความเมามันส์ กับการอธิบายความสามารถของผลงานตน ทำเอาเซอร์เซสเอือมระอากับ ความช่างพูดของนักประดิษฐ์ในขณะที่สมาธินั้นยังคงอยู่กับนีน่า ซึ่งนางเองก็ถูกต้อน จากการซัดคลื่นเวทย์มน รัวใส่ไม่ยั้ง โดยนางพยายามยิงสวนกลับ แต่ทว่ากระสุนก็เข้าไม่ถึงตัว เพราะมีเกราะมนตรากั้นขวางเอาไว้ทุกครั้ง ด้านเจนัสนั้น พยายามจะหาทางต่อกรกับชุดเกราะกลายร่างของเครสเซนท์ ที่ได้รับการเสริมพลังป้องกัน ทุกวิถีทางแต่ไม่ว่าจะ โจมตีใส่ยังไงแรงที่กระทำไปก็สะท้อนกลับใส่ จนเริ่มอ่อนแรง วินาทีนั้น เจนัสจึงคิดที่กลายร่างจำแลงเป็นสมิง จึงถอยออกมาตั้งหลัก ก่อนจะกระเสื้อยืดซึ่งขาดวิ่นไปหมดออก และเริ่มเร่งพลังมนตราจนเกิดควันสีดำพวยพุ่งออกมาปกคลุมร่างเอาไว้ ซึ่งเครสเซนท์ที่ เห็นดังนั้นจึงเรียกด้วงมาใหม่อีกตัวจากกลุ่มแสงของด้วงซึ่งเหลือแสงสีดำกับแสงสีขาวที่บินไล่กันอยู่ แสงสีขาวบินเข้าไปหาเขา มันเป็นด้วงสีทองเหลือง สะท้อนกับแสงจนเกิดประกายแสงขาว มันคือด้วงสีทองอำพัน(Amber Beetle) ทันทีที่เครสเซนท์คว้ามันไว้ เจนัสในร่าง ของสมิงหมาป่าแสงจันทร์(Moonshine Werewolf )ก็พุ่งเข้าตวัดกรงเล็บใส่ อย่างรวดเร็วแต่ทว่า ด้วงสีทองอำพันก็ได้รวมร่างเข้ากับชุเกราะเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/7.jpg) “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลงดังขึ้นพร้อมกับที่ชุดเกราะเริ่มเปลี่ยนรูปอีกครั้งโดยคราวนี้ กลับไปอยู่ใน ชุดปราดเปรียว ซึ่งก็คือรูปแบบ Long Horn Type (ขอใช้ภาษา Eng ละกัน เรียกชื่อไทยมันกระดากปากยังไงไม่รุ) เพียงแต่ครั้งนี้เป็นสีทองเหลือง เขารีบยกทวนยาวที่ข้อมือขึ้นมา กันการโจมตีของเจนัส พร้อมกับที่ตวัดทวนออกอย่างแรงจนเจนัสเสียหลักเซไปมา ไม่ทันไรเจนัสก็ถูกทวนของ ชุดเกราะซึ่งเรืองแสงเสียบทะลุลึกลงไปยังสีข้างของเขา ก่อนที่เครสเซนท์จะปลดข้อทวนออกให้ฝังคาอยู่กับร่างของเจนัส ไม่นานนักทวนแสงก็จมลึกลงไปในร่างแต่โดยไม่เกิดบาดแผลขึ้น เจนัสเองก็ไม่รับบาดเจ็บหรือเจ็บปวดอะไรแต่อย่างใด จึงได้แต่ตีหน้าสงสัยกับการโจมตีนี้ ทว่าไม่นานนักเขาก็ได้รู้ว่ามันคืออะไร ควันสีดำพวยออกมาจาร่างของเขาพร้อมกับแรงดันพลังเวทย์ที่ลดลง อย่างกระทันหัน เขากลับร่างเป็นครึ่งสมิงตามเดิมแล้ว “ Change Amber Form ” เสียงทุ้มแหลมดังสวนขึ้นมาหลังจากที่เจนัสทรุดตัวล้มลงขุกเข่าด้วยความอ่อนแรง ทำเอานีน่าและลากูน่า เสียขวัญไปทันที “ นั่นก็คือ ความสามารถในการผนึกพลังของศัตรู ซึ่งเป็นพลังของแอมเบอร์ฟอร์ม นี้ยังไงล่ะ ตอนนี้เจ้านั่นถูกผนึกความสามารถในการแปลงเป็นสมิงไปแล้วแต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ” นักประดิษฐ์อธิบายขณะที่ยิ้มเยาะด้วยงความหยิ่งผยอง “ แค่ชั่วคราวก็พอแล้ว เพราะข้าจะส่งมันลงนรกด้วยฟอาร์มถัดไปนี้ล่ะ ไม่ต้องถึง กับใช้ระดับแอกเตอร์ขั้นสมบูรณ์หรอก ” เครสเซนท์กล่าวจบก็ยื่นมืออกไปรับแสงสีดำที่ ทะยานเข้ามาหา มันเป็นตัวด้วงสีดำนิลแร่เหล็ก (Hematite Beetle) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/82.jpg) “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับ ด้วงสีนิลบิดเกลียวเป็นเศษส่วน เข้าสู่ชุดเกราะก่อนจะเปลี่ยนรูปกลับไปอยู่ใน แบบ Scissors Horn Type อีกครั้งโดยมีกายเป็นสีดำ “ Change Hematite Form ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับที่ เครสเซนท์ยกแขนกลขึ้นกุมหัวของเจนัสและยกร่างของ เขาขึ้นมาทั้งอย่างนั้น โดยที่ไม่อาจโต้ตอบได้ “ ฟอร์มนี้มีพลังเด่นในการโจมตีจิตใจ และบั่นทอนพลังของศัตรู ที่จริงข้าจะบีบ หัวแกให้แหลกคามือเสียตอนนี้ก็ย่อมได้แต่ก่อนตายข้าจะให้แกได้ ทุกทรมานกับความทรงจำของแกก่อนตาย ” เครสเซนท์กล่าวจบ ภาพความทรงจำของเจนัสก็เริ่มที่จะย้อนขึ้นมาทำร้าย ความทรงจำที่ทุกทรมานยิ่งกว่าใดนั้นได้หวนขึ้นมา ทั้งตอนที่แอสต้าตายและการสูญเสียครอบครัวของเขา ทุกอย่างแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่ง ความทรงจำหนึ่งได้แล่นผ่านเข้ามา ท่ามกลางกองเพลิงและซากปรัก เด็กชายครึ่งสมิงซึ่งยืนหันหลังให้เขาอยู่ท่ามกลางกองเพลิงนั้น และเด็กหญิงครึ่งสมิงที่ ขุกเข่าร้องไห้อยู่ต่อหน้าครึ่งสมิงเด็กชาย ภาพความทรงจำนี้ ทำให้อารมณ์ของเขาครุกรุ่นขึ้นมาทันที เจนัสกำมือแน่นเสียจนข้อซีดขาวไป พร้อมกับขบกรามแน่นด้วยความเกรี้ยวกราด จิตสังหารและแรงโทสะ ที่พุ่งผล่าน อกมาจนสัมผัสได้ ทำเอาทุกคนแทบจะหยุดนิ่งไปทันที ไม่นานนักเจนัสก็ยกมือขึ้น กุมข้อแขนกลของเครสเซนท์ ที่กุมหัวเขาเอาไว้อยู่ “ นี่แก… ” เครสเซนท์อุทานด้วยความตะลึงเพราะแขนกลที่เขาใช้อยู่ตอนนี้เริ่มจะปริ ร้าวออก จากแรงกุมของเจนัส ซึ่งเจนัสเองแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ใช่..การโจมตีจิตใจด้วยอดีตที่รันทดน่ะมันอาจจะใช้กับคนอื่นได้และกับชั้นก็ด้วยแต่ไอ้ความทรงจำ ที่ไม่ควรไปขุดมันขึ้นมาแกกลับทำให้มันผุดขึ้นมาซะได้ กรอดดด…จะไม่ปล่อยให้ทำตามใจชอบอีกแล้ว ” เจนัสกล่าวขณะที่ขบกรามกรอดๆ ด้วยความโกรธ ก่อนจะออกแรงบีบจนเกราะแขนกลที่เครสเซนท์สวมอยู่ ระเบิดแตกออก “ อ็าคคคค…นี่แก ” เครสเซนท์ ร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่ชักแขนกลับมาเกราะแขนของเขาถูกทำลายไปข้างหนึ่งแล้ว แต่ เจนัส เองก็ยังไม่ยอมหยุด เขาเดินเข้าไปซัดเครสเซนท์ อย่างรุนแรงเสียสองสามหมัดก่อนจะ เตะทิ้งจนเกลือกลิ้งไปกับพื้นหิมะ นีน่า และลากูน่าที่ได้เห็น ท่าทีของเจนัสนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไม่ไหวติ่ง ซึ่งก็พอๆกับเซอร์เซสที่ ยืนตาค้างด้วยความตะลึง ทว่านักประดิษฐ์กับหัวเราะออกมา สร้างความประหลาดใจแกพวกเขายิ่งนัก “ หึหึหึ ทีแรกนึกว่าจะไม่ได้เห็นขั้นสมบูรณ์ของแอกเตอร์นี้แล้วเสียอีก แต่ต้องขอบใจเจ้าจริงๆเอาล่ะเครสเซนท์ ใช้มันซะ แอกเตอร์ขั้นสมบูรณ์นั่นน่ะ ” นักประดิษฐ์กล่าวจบ เครสเซนท์ก็ยันตัวลุกขึ้นมา “ Push Off ” “ Exchange Giga Mode ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากชุดเกราะก่อนที่ชิ้นส่วนทุกชิ้นจะ ประกอบเข้ากันกลับคืนสู่ ชุดเกราะร่างก่อนที่ ใช้ตัวด้วงในการเปลี่ยนร่าง พร้อมกับที่ตัวด้วงทั้งหก พุ่งผ่านออกมาจากร่างของเขา และกลับไปบินวน กันอีกครั้ง “ เอาล่ะจงรวมตัวกันเป็นขั้นสมบูรณ์เสียแอกเตอร์ Insect Type ” นักประดิษฐ์กล่าวจบ เหล่าตัวด้วงทั้งหกก็ บินวนทะยานเข้าหากันกลางอากาศ ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นด้วงตัวใหม่มันเป็น ด้วงสีดำสนิทมีขาแขนเหมือนกับมนุษย์ และมี จงอย ที่แขนทั้งสองข้าง ตัวมันมีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือ เหมือนกับด้วงตัวอื่นๆแต่มันก็คือด้วง หินเหล็กไฟ (Obsidian Beetle) ขนาดย่อส่วนและยังเป็นจักรกลอีกด้วย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/78.jpg) มันบินเข้าไปหาเครสเซนท์ ก่อนจะบิดเกลียวกลายเป็นเศษๆเหมือนกับที่แล้วมา และแทรกเข้ากับตัวเกราะทันที “ Set up ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นมาจากเข็มขัดอีกครั้ง พร้อมกับเขาดาบที่พับเก็บไว้ที่ส่วนหัว ถูกชักออกและเขาเล็กๆที่เกราะไหล่ทั้งสองข้าง จะยกตัวออกมาพร้อม กับประกบติดเป็นเกราะหมวกส่วนใหม่และเลื่อนย้ายไปอยู่ใกล้กับเขาดาบ จนแลดู เป็นสามเขา ก่อนที่เขาทั้งสองจะเปลี่ยนเป็นใบดาบไป พร้อมๆกับที่ชิ้นส่วนเกราะส่วนอื่นเริ่ม ประกบติดกันใหม่อีกครั้ง “ Change Obsidian Form ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับฟอร์มใหม่ที่ ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา ชุดเกราะได้เปลี่ยน ไปในครั้งนี้มีรูปร่างที่ปราดเปรียวแม้จะดูเทอะทะไปบ้างเกราะที่ข้อแขน ติดใบดาบยื่นออกมา ทั้งสองข้างตัวเกราะเป็นสีดำ (http://ue.popcornfor2.com/show/fbVe34f7_thumb.jpg) “ นี่คือแอกเตอร์ที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์แล้วมันคือฟอร์ม ที่มีแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฟอร์มทั้งหกฟอร์ม ก่อนนี้ ชื่อของมันคือ ออบซิเดียนฟอร์ม(Obsidian Form) ” นักประดิษฐ์กล่าวด้วยความลิงโลดขณะที่ ปรบมือไปด้วยความพอ อกพอใจกับ ผลงานของตน ในขณะที่เจนัสเองก็ไม่รอ ให้อีกฝ่ายบุกก่อนเหมือนอย่างที่ผ่านมา จึงเป็นฝ่ายบุกเข้าไปเอง หมัดรวมเวทย์ของเขาถูกชกนำออกไปแต่ทว่า.. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล Post by: greamon on July 13, 2008, 06:45:05 PM “ Time Walk ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากตัวเกราะก่อนที่เครสเซนท์จะหายไป จากตรงหน้าเขา หมัดของเขาชกพลาดไป ทำให้เซจนเสียหลัก ทว่าเพียงชั่วพริบตาเครสเซนท์ ก็ไปโผล่ข้างหลังเขา ทันทีที่เขาจะหันกลับมา โลหิตสีแดงฉานก็พุ่งพรวด ออกมาจากบาดแผลที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ ตั้ง…แต่เมื่อ..อึก ” เจนัสครวณไม่ทันจบประโยคก็ทรุดล้มลงไป จากพิษบาดแผล “ นี่มันเคลื่อนย้ายพริบตางั้นเหรอ ” นีน่าอุทาน “ ไม่..ไม่ใช่นั่นมันไม่ใช่ทั้งการเคลื่อนย้ายพริบตาหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเลยแต่ว่า…มันเหมือนกับว่า หายไปในชั่วพริบตาน่ะ ” ลากูน่ากล่าวโดยที่ไม่สามารถอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ “ ถูกของแกมันไม่ใช่ทั้งการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงหรืออะไรเลย แต่มันเป็นการเดินทางในห้วงเวลาอย่างอิสระ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ การเคลื่อนไหวเหนือกาลเวลายังไงล่ะ เพราะฉะนั้นหากไม่ตามเข้าไปในห้วงเวลาเดียวกัน ก็ไม่มีทางรับมือการโจมตีเหล่านั้นได้หรอก ” นักประดิษฐ์แก้ให้พวกเขาฟังซึ่งทั้งสองที่ได้ยินคำตอบนั้นก็ถึงกับ นิ่งอึ้งไปทันที “ ช่างเป็นพลังที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ” เซอร์เซสเปรยขึ้นด้วยความทึ่ง ซึ่งกาโรห์เองก็ไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้เพราะ สายตายังคงจับจ้องภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง เครสเซนท์ เดินเข้าไปหาเจนัสที่ขุกเข่าอยู่กับพื้น ก่อนจะเอาใบดาบไปวางประทับไว้กับบ่าของเขา “ ได้เวลาตายแล้วเพื่อนเอ๋ย….หึหึหึ ” เครสเซนท์กล่าวอย่างมีชัย ในขณะที่อีกด้านของจิตใจซึ่งก็คือริคุนั้นกำลังพยายาม จะออกมาด้านหน้าให้ได้เพื่อหยุดการ กระทำของอีกจิตใจ แต่ทว่าก็ไม่อาจสู้กับพลัง จิตของจิตใจอีกด้านได้ “ อย่านะแกจะฆ่าเค้าไม่ได้… ” เสียงของริคุดังขึ้นมาในใจของเครสเซนท์ พวกเขาทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ภายในจิตใจ ของตน “ อย่ามาขวางข้าซะให้ยากเลย อย่างเจ้าไม่มีทางหยุดข้าได้หรอก ” เสียงของเครสเซนท์ดังก้องขึ้นในใจ เพื่ตอบโต้กับ อีกจิตใจ ก่อนที่เขาจะรีบรัดรวบ ออกแรงกดใบดาบลง เพื่อให้จบเรื่องไปนั้น “ Push Off ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากด้านบน ทำให้เขาชะงักหันขึ้นไปมองด้วยความสงสัย ชิ้นส่วนชุดเกราะจำนวนมากปลิวกระเด็นตกลงมา ใส่เขาจนต้องหลบลี้หนีออก “ ไม่เป็นไรใช่มั้ยเจ้าหนู ” เมทาไนท์ที่กระโจนลงมาในสภาพที่ไม่ได้สวมเกราะถาม แต่เจนัสเองก็ ล้าเกินกว่าจะตอบคำถามของเขาแล้ว “ แก..เจ้าเด็กที่โขมยเข็มขัดอีกเส้นไปแก..อ่ะ ” นักประดิษฐ์สบถขึ้นก่อนจะหยุดไปกลางคันเพราะ ความรู้สึกว่ามือที่ถือกรงซึ่งขัง ชะตาแห่งแสงเอาไว้มันเบาขึ้น เขาจึงยกมันขึ้นมาดู ก่อนจะหน้าถอดสีด้วยความวิตก เพราะบัดนี้กรงได้ถูกผ่าจนขาดท่อน พร้อมกับชะตาแห่งแสงได้อันตธานหายไปด้วยกันนั้นเลย ก่อนที่นักประดิษฐ์จะได้ทันหันไปสังเกตว่า ที่เกาะไหล่ของเมทาไนท์อยู่ ก็คือเจ้าแมวสีขาวที่เป็นชะตาแห่งแสง ซึ่งหายไปจากกรงนั่นเอง “ นี่แกเอาไปตั้งแต่ตอนไหนกัน ” นักประดิษฐ์ กล่าวเสียงกร้าวซึ่งเมทาไนท์เองก็แอบแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะปลดเอาเข็มขัดจักรกลที่สวมอยู่ส่งให้เจนัส “ สวมซะไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ” เมทาไนท์กล่าวทันทีที่เจนัสรับมาสวมไว้เมทาไนท์ก็ควักเอาผลึกสีขาวปลอด ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและส่งให้เจ้าแมวขาวซึ่งเป็นชะตาแห่งแสง “ เอาล่ะช่วยหน่อยนะชะตาแห่งแสง ” เขากล่าวกับมัน ซึ่งมันเองก็ยอมทำตามแต่โดยดีราวกับจะตอบแทนที่ช่วยมันออกมา ตัวของมันเรืองแสงขึ้นก่อนที่ละอองแสงจากตัวของมันจะเข้ารวมอัดกับผลึก จนหมด ทันทีที่ตัวของมันหยุดเรืองแสง มันก็ทะยานบินขึ้นหายลับไปในขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้นักประดิษฐ์ยืนจ้องตาค้างโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ส่วนผลึกที่เมทาไนท์ถือเอาไว้นั้นก็พุ่งทะยานออกจากมือของเขาก่อน หายลับไปบนฟากฟ้า เขาจึงหันกลับไปหาเจนัส “ เอาล่ะทีนี้เธอก็จะมีพลังพอที่จะต่อกรกับมันแล้วที่เหลือชั้นคงไม่ต้องอธิบายนะ ” เมทาไนท์กล่าวจบก็พุ่งตัวออกไปตวัดดาบใส่เซอร์เซส ทันทีโดยปล่อยเขาทิ้งไว้กับเครสเซนท์ และนักประดิษฐ์ในขณะที่ลากูน่าเอง ก็ยังคงรับมือกับกาโรห์อยู่ส่วนนีน่า ทันทีที่ได้เมทาไนท์มาช่วย สกัดเซอร์เซสไว้ให้นางก็สามารถบรรจุ กระสุนเพื่อยิงต่อได้ ทำให้เซอร์เซสเริ่มจะต้องตก เป็นฝ่ายรับบ้างแล้ว “ เชอะ…ทำเอาใจหายหมด สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยแกได้สินะ ” เครสเซสนท์หันมากล่าวกับเขาก่อนจะต้องเบิกตากว้าง เมื่อเจนัสลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้งทั้งที่ไม่น่าจะมีแรงเหลือแล้ว “ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยทั้งนั้นเพราะชั้นได้พลังมาไว้ในครอบครองแล้ว ” เจนัสกล่าวจบก็เอามือบิดสลักด้านข้างให้ตั้งขึ้นแบบเดียวกับที่เครสเซนท์ทำ “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลมยานคางดังออกมาจาก เข็มขัด พร้อมกับชิ้นส่วน เกราะที่ปรากฏขึ้นมารอบตัวเขา ก่อนจะประกอบเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นชุดแบบเดียวกับที่เครสเซนท์สวมก่อนจะใช้แอกเตอร์ “ Exchange Giga Mode ” เสียงทุ้มแหลมยานคางดังขึ้นจากตัวเกราะ ก่อนที่ จะมีแสงสีขาวพุ่งทะยานลงมาจาก ฟ้าตรงจุดเดียวกับที่ผลึก แสงนั้นหายไป แสงนั้นพุ่งลงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา ก่อนจะจางลงจนเห็นได้ชัดในร่างของ หมาป่าสีขาวขนาดเล็กขนของมันเป็นโลหะสะท้อนกับแสงตะวัน ระยิบระยับดวงตาเรืองแสงจ้า เขี้ยวใสประดุจเพชร มันมีรูปร่างเหมือนกับ หมาป่าขาว(Hoary Wolf) เมื่อเจนัสยื่นมืออกมามันก็กระโดดขึ้นไปอยู่ บนฝ่ามือของเขา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n010/21.jpg) “ Set Up ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นก่อนที่เจ้าหมาป่าโลหะตัวนี้ จะบิดเกลียวเป็นเศษเช่นเดียวกับที่เหล่าตัวด้วง เคยทำ เศษชิ้นส่วนนั้นแทรกชึมเข้าไปในเกราะและเปลี่ยนสีของชุดเกราะเป็นสีขาวปรอด หนามแหลมที่เกราะไหล่ทั้งสองข้างหดตัวเข้าไปในเกราะก่อนจะยื่นเอาใบโลหะชื้นเรียวยาวออกมา ส่วนเกราะไหล่นั้นก็เลื่อนตัวขึ้นไปประกบเข้ากับ เกราะหมวก เขาใบดาบที่พับเก็บไว้ถูกเลื่อนไปด้านหลัง ทำให้เกราะหมวกนั้นเปิดส่วนล่างของหมวกอ้าขึ้นมา ก่อนจะประกบชิ้นกันใหม่จนแลดู เป็นหัวสุนัข เช่นเดียวกับส่วนอื่อนๆของเกราะที่เริ่มย้ายส่วนและประกอบกันใหม่ “ Change Hoary Form ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นพร้อมกับที่ชุดเกราะประกอบตัวกันใหม่เสร็จสิ้น ที่ข้อมือนั้นถูกประกบด้วยเกราะแขนซึ่งที่ปลายข้อนั้นมี สนับเหล็กอ้าค้างไว้อยู่ บัดนี้เจนัสเองก็ได้ใช้ระบบแอกเตอร์ เปลี่ยนร่างของตนให้มีพลังทัดเทียมกันกับเครสเซนท์ ขึ้นมาแล้ว (http://u0.popcornfor2.com/show/1ZH05610_thumb.jpg) “ นี่มัน แอกเตอร์ขั้นสมบูรณ์ ฮอลี่ฟอร์มที่มีพลังทัดเทียมกับออบซิเดียน ” นักประดิษฐ์อุทานขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะเข้าประจันหน้ากัน “ Time Walk ” สิ้นเสียงจากชุดเกราะของทั้งสองที่ดังขึ้นพร้อมกัน การเคลื่อนไหวรอบๆ ทั้งหมดของพวกเขาทั้งสองคนก็ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า จนราวกับหยุดนิ่ง มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ที่ยังคงขยับได้อย่างเป็นปกติ นี่มิได้เป็นเพราะ เวลารอบข้างนั้นหยุดลง หากแต่เป็นพวกเขาที่ได้ก้าวข้ามขีดจำกัด แห่งกาลเวลาจนสามารถที่จะเคลื่อนที่ได้เหนือกระแสเวลาแล้ว สนับเหล็กที่ข้อมือของเจนัสซึ่ง เปิดอ้าเอาไว้นั้นบัดนี้ ได้เลื่อนลงประกบเข้ากับหมัด ของเขาเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่การปะทะกันจะเกิดขึ้นโดยที่ พวกเขาทั้งคู่สูสีกันมาก หมัดของเจนัสที่ชกออกไปในแต่ล่ะครั้งนั้นแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง จากการเคลื่อนไหวเหนือกระแสเวลา ซึ่งไม่ต่างจากใบดาบของเครสเซนท์เท่าไหร่นักเพราะต่างก็ต้องแหวกฝ่าแรงดันอากาศ เพื่อ ซัดอาวุธใส่อีกฝ่าย ซึ่งมันทำให้พวกเขาเสียพลังงานเป็นอย่างยิ่ง เครสเซนท์ฟาดดาบใส่เจนัสอย่างไม่ลดละ แต่ทว่าแม้จะฟันมา กี่ครั้งก็ตาม เจนัสก็จะหลบและปัดการโจมตีนั้นทิ้งก่อนจะชกสวนกลับไป แต่ก็ชนเข้ากับใบดาบอีกเล่มของเครสเซนท์ ที่ยกขึ้นมาปัดป้องไว้ ทั้งสองฝ่ายยังคงผลัดกันรุกและรับโดยที่ ในห้วงเวลาจริงตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นการต่อสู้ของพวกเขาเป็นเพียงแสงที่ วิ่งตวัดไปมา และผลุบๆโผล่ๆ ไปทั่ว จนเมื่อเวลาล่วงเลยไป 3 นาที ในห้วงเวลาจริง ในขณะที่ในห้วงเวลาของทั้งสองนั้นราวกับผ่านไปหลายสิบนาทีแล้ว “ Time Walk ” เสียงดังจากชุดเกราะของพวกเขาอีกครั้งก่อนที่ ทุกอย่างรอบตัวพวกเขาจะกลับมาเคลื่อนไหวตามเดิม บัดนี้พวกเขาได้กลับสู่ห้วงเวลาปกติแล้ว ทั้งสองต่างเหนื่อยหอบกับการต่อสู้ในอีกห้วงเวลา ทั้งนี้เพราะการต่อสู้โดยต้องรักษา สภาพเหนือกาลเวลาเอาไว้นั้นจำเป็นต้องใช้พลังมหาศาล จึงดึงเอาไว้ได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นก็จะหมดพลังไปเอง แต่แม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยล้า เพียงใดทั้งคู่ ก็ยังคง เข้าปะทะกันอย่างลดละความพยายาม จนในที่สุดเมื่อ แรงของทั้งคู่เริ่มหย่อนลง การหลบหลีกจึงไม่เกิดขึ้นทั้งคู่ต่างผลัดกันรับ การโจมตี หากแต่ความเสียหายที่ได้รับนั้น เกราะที่พวกเขาสวมก็ได้รับมันไว้จนถึงขีดสุด แล้ว “ Mega Punch ” เสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากชุดเกราะของเจนัส พร้อมกับที่ส่วนตาของหัวเกราะจะเรืองแสงขึ้นมาเพียวแวบเดียว กับแรงดันไฟฟ้าที่ไหลจากส่วนหัวลงไปยัง ส่วนของสนับมือขวา เจนัสชกมันออกไปทั้งอย่างนั้น แรงปะทะจากหมัดบวกด้วยแรงดันไฟฟ้า ที่ไหลมารวมกันทำให้เกิดแรงระเบิดพุ่งทะยาน สู่ร่างของเครสเซนท์ ซึ่งเขาเองก็ได้เตรียมการตั้งรับไว้แล้ว “ Mega Slash ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้น ก่อนที่จะเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นระหว่างเขาทั้งสาม จนเกิดเป็นแรงดันไฟฟ้า ไหลไปที่ใบดาบทั้งสองข้าง เครสเซนท์จึงตวัดฟันมันออกมาทั้งอย่างนั้น แรงดันไฟฟ้าที่ พุ่งออกไปตามแรงตวัดนั้นก่อตัวเป็นคลื่นพลังงาน เสี้ยวโค้ง ตัดกันเป็นกากบาท พลังงานทังสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดแสงจ้าไปทั่วก่อนจะค่อยๆสลายตัวไป “ Time Walk ” เสียงดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้งก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากตรงนั้นและ เกิดแสงตวัดไปมารอบๆอันเกิดจากการ ต่อสูกันด้วยความเร็วเหนือกระแสเวลา “ ทำไม…ทำไมแกถึงได้ไล่ตามข้ามาทันตลอดเลย ” เครสเซนท์กล่าวออกมาขณะที่ยังคงยกดาบปัดป้องการโจมตี โดยสวนกลับด้วยใบดาบที่อีกมือ ตลอดเวลา เจนัสที่ได้ยินดังนั้นก็ นึกสงสัยขึ้นมา แต่ก็ไม่มีเวลาจะมานั่งคิด คลื่นดาบแรงดันไฟฟ้าได้พุ่งตรงมาหาเขาแล้ว ซึ่งแม้จะเฉียดฉิวไปบ้างแต่ เขาก็สะสมพลังงานได้พอที่ ใช้หมัดแรงดันไฟฟ้า สวนการโจมตีออกไปได้ในที่สุด ทั้งคู่ต่างถอยผงะออกจากกัน “ ข้าอุตส่าทิ้งห่างแกมาด้วยพลังเท่าที่จะหาได้แล้วแท้ๆแต่แกก็ยังตามทันข้าได้อยู่ดีมันเพราะอะไรกัน ” เครสเซนท์กล่าวจบก็พุ่งทะยานเข้าลงดาบใส่เจนัสโดยไม่เป็นโอกาสให้เขาคิดเลย “ ทำไม..อะไรคือแรงผลักดันให้แกตามข้ามาทันตลอด.. ” เครสเซนท์กล่าวขณะที่ฟันดาบลงไปแต่เจนัสก็ยกแขนขึ้นรับไว้ทัน ซึ่งเครสเซนท์เองก็กะเอาไว้แล้ว ทันทีที่เจนัสชกสวนออกมาเขาจึงหมุนตัว หลบไปด้านหลังของเจนัส พร้อม กับอาศัยแรงเหวี่ยงช่วยส่งมือออกไปฟันใส่ แต่เจนัสก็ก้นตัวหลบไปได้ก่อนจะ เด้งตัวกลับเข้าไปกระแทกใส่หน้าของเครสเซนท์อย่างจัง เสียงเกราะกระทบกันดังเกร้งกร้าง สนั่นไป ทั้งหัวของเครสเซนท์ ทำเอาเขามึนไปบ้าง ทว่าเจนัสก็ใช้จังหวะนี้ สะสมแรงดันไฟฟ้าทันที “ Mega Punch ” สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่ดังออกจากชุดเกราะ เจนัสก็ชกหมัดซึ่งสะสมแรงดันไฟฟ้า เข้าไปที่ลำตัวของเครสเซนท์อย่างจังจนกลิ้งกระเด็นไปตามพื้น ก่อนที่จะยันตัว ลุกขึ้นมาทันทีโดยที่เอามือกุมหน้าอก ก่อนจะสำลักจากอาการจุก หมัดที่เจนัสซัดเข้าไปเมื่อครู่ทำเอากระดูกซี่โครงของเขาแทบจะหักสลาย หากไม่มีชุดเกราะนี้อยู่ เขาคงตายไปแล้ว เกราะลำตัวบริเวณที่ถูกชกไปนั้น เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้น ส่วนเกราะของเจนัสเองก็มีร่องรอยความเสียหายจากการถูกฟันอยู่ไม่น้อย “ เมื่อกี้ แกถามใช่ไหมว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชั้นต้องดั้นด้นมาสู้กับแกด้วย..คำตอบก็คือเพื่อช่วยเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมากับชั้นที่แกสิงร่างเขาอยู่ไงล่ะ ” เจนัสกล่าวพร้อมกับชี้หน้าเขา สายตาส่องประกายความมุ่งมั่นเต็มที่ “ เพื่อเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมางั้นรึ..อึก ” เครสเซนท์ย้อนก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน โดยที่ยังเซไปมาจากอาการบาดเจ็บอยู่ บ้างแต่เขาก็กัดฟันทนฝืนพูดออกไป “ งั้นขอข้าดูหน่อยละกันพลังที่แกขุนมาเพื่อจะช่วยจิตของเพื่อนแกน่ะ ” เครสเซนท์กล่าว เขาก็ยกใบดาบขึ้นไขว้กัน ทันทีที่ใบดาบสีถูกกัน ด้ามดาบที่เป็นปลอกแขนก็ปล่อยไอน้ำสีขาวออกมาตามร่องของปลอกแขน “ Hyper Blade Dance ” เสียงทุ้มแหลมดังออกมาจากชุดเกราะของเครสเซนท์ พร้อมกับ เขาทั้งสามที่ส่วนหัวเรืองแสงขึ้นพร้อมๆกับใบดาบที่เปล่งรัศมีเต็มที่ในขณะนี้ ดวงตาของชุดเกราะที่ปิดสนิทมีเพียงร่องเล็กให้มองลอดออกมาจนถึงบัดนี้ ได้เบิกออก ดวงตาของมันเป็นส่องประกายแสงแดงฉาน เจนัสที่เห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดสนับทั้ง สองข้างที่ประกบอยู่ที่ข้อมือ ให้อ้าขึ้นอีกครั้งก่อนจะประสานมือเข้ากัน “ Hyper Combo Strike ” เสียงทุ้มต่ำดังจากเกราะของเขาเช่นกัน ก่อนที่เขาจะแยกมือ ออกจากกันมาตั้งขนานไว้ที่ข้างเอว พร้อมกับสนับเลื่อนลงมาประกบอีกครั้งกรงเล็บเหล็กที่เกราะขาซึ่งยื่นออกมานั้นกางกว้างขึ้น สัญลักษญ์ที่เกราะอกเรืองแสงขึ้นมา ในตอนนี้ทั้งคู่เตรียมพร้อมที่ จะปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่แล้ว บัดนี้การเคลื่อนไหวรอบๆตัวพวกเขาเริ่มจะเดินต่ออีกครั้งแล้ว พวกเขากำลังค่อยๆลดความเร็ว เหนือกระแสเวลาลงเพื่อกลับสู่เวลาปกติ “ Time Walk ” สิ้นเสียงจากชุดเกราะของทั้งสอง เครสเซนท์ก็ตวัดดาบออกพร้อมกับ หมุนตัวป็นจังหวะร่ายรำ ก่อนจะหยุดเกร็งไปพร้อมกับร่างเงาจำนวนมากมายจะ พุ่งทะยานออกไป โดยมีกระบรวนท่าฟันที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เจนัส เองก็ชกหมัดทั้งสองข้างออกไปเต็มแรง จนเกิดเป็นคลื่นพลังงาน พุ่งเข้าปะทะกับร่างเงา จนสลายและเบนออกไป จำนวนหนึ่ง ทันทีที่การปะทะกันของคลื่นพลังหยุดลง ทั้งสองก็วิ่งเข้าหากัน โดยเครสเซนท์ตวัดใบดาบไปมา ขณะที่เจนัสเมื่อวิ่งมาได้ครึ่งทาง ก็หยุดเพื่อตั้งท่าเตรียม ทันทีที่เครสเซนท์เข้ามาใกล้ เขาก็กระโดดหมุนหลัง ตวัดขาเตะก้านคออีกฝ่ายทันที โดยที่กรงเล็บที่เกราะขานั้นกางออกเพื่อจะสร้างความเสียหายให้แก่อีกฝ่ายในขณะที่ ดาบของเครสเซนท์ ถูกใช้เข้ามาปัดป้องลูกเตะในครั้งแรก จนใบดาบหักกระเด็นไปคนละทิศ ทันทีที่เท้าข้างแรกของเจนัสเหยียบพื้นลูกเตะอีกข้างซึ่งอาศัยแรงเหวี่ยวจากการหมุนตัวเมื่อครู่ก็ยกขึ้นมา เตะต่อทันที ซึ่งเครสเซนท์เองก็ เตรียมการโจมตีในขั้นสุดท้ายไว้แล้วโดย เอาเขาทั้งสาม ซึ่งตอนนี้ยังมีแรงดันไฟฟ้า วิ่งอยู่ กระแทกเข้าที่ลำตัวของเจนัส เขาทั้งสามกางออกทันที และเจาะทะลุเกราะเขาไปถึงเนื้อในเช่นกันกรงเล็บเท้ามที่เจนัสตวัดเตะไป ก็ตวัดหักเอา เขาส่วนหัวหลุดกระเด็นไปบ้าง ผลันแรงดันไฟฟ้า จากเขาของเครสเซนท์ และแรงดันไฟฟ้าจากกรงเล็บ ของเจนัสเกิดลัดวงจรขึ้นจนเกิดแรงดันไฟฟ้าไหลไปทั่วร่างของทั้งสอง ทำให้พวกเขาหยุดนิ่งตัวเกร็ง จากการถูกคลื่นไฟฟ้าตรึงเอาไว้ “ แย่ล่ะสิ….. ดูเหมือนว่าจะใช้งานแอกเตอร์จนเกินขีดจำกัดซะแล้วสิ ” นักประดิษฐ์กล่าวด้วยความวิตก “ จากนี้จะเป็นยังไงต่อล่ะ ” นีน่าถามเมทาไนท์ที่ช่วยสู้ร่วมกันอยู่ ด้วยความกังวล “ เดิมทีแอกเตอร์พวกนั้นน่ะได้รับพลังชีวตจากชะตาแห่งแสง มาจึงทำให้มันขยับได้ แต่ถ้าเกิดมัน ถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัดล่ะก็… ” เมทาไนท์กล่าวได้ไม่จประโยคดี นักประดิษฐ์ก็แทรกขึ้นมากลางคัน “ หากพลังงานไม่พอ มันก็จะดึงพลังงานชีวิตของผู้ใช้มา จนกว่ามันจะได้พลังงานพอที่จะปรับสมดุลลงได้ ซึ่งแอกเตอร์หนึ่งตัวก็ต้องใช้พลังชีวิตครึ่งหนึ่งมีสองก็เท่ากับว่า สองคนนั้นคนใดคนนึงจะต้องเสียชีวิต โดยหากไม่มีใครยอมเสียสละล่ะก็มันก็จะสุ่มเอาชีวิตของใครคนใดไปนั่นล่ะ ” นักประดิษฐ์กล่าวโดยไม่หยุดหายใจ ในหัวนั้นเอาแต่คิดหาทางรับมือกับสถานการณ์ ในตอนนี้อยู่ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล้ว Post by: greamon on July 13, 2008, 06:53:41 PM นี่แล้วมันแบ่งกันหารพลังชีวิตของใครของมันไม่ได้เหรอ..แบบว่าแบ่งกันเสียคนละครึ่งน่ะ
นีน่าหันไปถามด้วยความหวังว่า คำตอบที่ได้รับนั้นจะทำให้พวกขามีหวังขึ้นบ้าง แต่นักประดิษฐ์กลับส่ายหัวปฏิเสธ ไม่มีทาง..แอกเตอร์ทั้งสองตัวตอนนี้มันกำลัง เชื่อมต่อพลังงานกันอยู่เพื่อที่จะปรับสมดุลพลังงาน ถ้ามันเชื่อมต่อกันได้และรู้ว่าไม่มีพลังงาน ล่ะก็มันก็จะเลือกหาเอาจากที่เดียวกัน หรือถ้ามีใครยอมเสียสละจ่ายพลังชีวิตให้ก่อนล่ะก็ แอกเตอร์ทั้งสองตัวก็จะดูดพลังชีวิตจากที่เดียวกันจนหมด นักประดิษฐ์กล่าว คำพูดของเขาทำเอานางใจเสียไปในทันที ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างหยุดนิ่ง เพื่อจะคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ หากเครสเซนท์ ถูกดึงเอาพลังชีวิตไป พวกนางก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบทันที แต่หากเจนัสเป็นฝ่ายถูกดึงพลังชีวิตไปซะเอง พวกเขาก็จะต้องเสียเปรียบทันที ในตอนนี้ คลื่นไฟฟ้ายังไหลหากันไปมายังร่างของทั้งสองเพื่อที่จะปรับสมดุลพลังงาน ทั้งสองที่ได้ยินคำพูดจากรอบข้างก็รู้ตัวแล้วว่าจากนี้จะต้องมีใครคนใดอยู่และอีกคนต้องไป ความกังวล เริ่มเกิดขึ้นในใจของทั้งคู่และจิตของริคุทันที ถ้าแอกเตอร์เลือกที่จะเอาพลังชีวิตของมันล่ะข้าก็ชนะ..แต่ท่าข้าเป็นฝ่ายถูกพรากไปซะเองล่ะก็ เครสเซนท์คิดในใจ ความวิตกเริ่มทำให้จิตใจของเขาหว้าวุ่นไปหมด ถ้าแอกเตอร์เลือกที่จะใช้พลังชีวิตของเรา..ไม่ได้เราจะตายตอนนี้ไม่ได้ แต่ถ้าอย่างนั้นริคุก็ต้องตายแทนเราอีกครั้ง เจนัสคิดขณะที่ความลังเลเริ่มเกิดขึ้นในใจของเขาเช่นกัน ตอนนี้มีทางเลือกสองทงสำหรับเขานั่นคือ รอต่อไปว่าแอกเตอร์จะเลือกใครและหากมันเลือกเครสเซนท์เขาก็ต้องเสียริคุไปอีกครั้ง กับอีกทางคือเขายอมเสียสละ เสียเองเพื่อที่ไม่ให้ริคุต้องมาเสียสละแทนเขาอีก ไม่ได้การแล้วถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ เจนัสจะถูกดึงเอาพลังชีวิตไปตอนไหนก็ได้ไม่ทางเลือกแล้ว งั้นเราจะเป็นคนเสียสละเอง จิตของริคุที่อยู่ในตัวเครสเซนท์คิดก่อนที่จะพยายาม เชื่อมต่อกับอีกจิตให้ได้ ในวินาทีนั้น จากการลัดวงจรของแอกเตอร์พวกมันได้ประสานจิตของ พวกเขาเข้าด้วยกัน ภายใน มโนจิตนั้น พวกเขาทั้งสามได้สื่อสารกันผ่านทางใจได้ ชั้นจะเป็นคนเสียสละเอง เสียงของริคุดังขึ้นใน มโนจิตนั้น อย่านะ ถ้าจะไปล่ะก็เอาชีวิตชั้นไปแทนดีกว่าชั้นจะไม่ยอมให้นายเสียสละอีกแล้ว เสียงของเจนัสก็ดังขึ้นในมโนจิตนั้นเช่นกัน ตอนนี้ภาพในมโนจิตของพวกเขา เริ่มสว่างขึ้นจนมองเห็นรอบๆได้ พวกเขาทั้งสามยืนอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งขาวโพลนไปทั่ว ไกลออกไปไม่มากนัก ที่นั่น แมลงด้วงออบซิเดียนและหมาป่าขนขาว พวกมันล้มระเนระนาดซ้อนกันอยู่ เหนือพวกมันนั้นมีวงมิติความมืดขนาด ย่อมราวกับหลุมอากาศลอยเคว้งอยู่พวกเขาจ้องมองมัน ด้วยสนอกสนใจก่อนที่มันจะเค่อยๆขยายตัวขึ้น ซึ่งนั่นได้ทำให้พวกเขาเข้าใจแล้วว่า ในที่นี้พวกเขาทั้งสามต้องมีคนใดคนหนึ่ง เสียสละจิตของตน ไม่เช่นนั้นหลุมดำนั่นก็จะค่อยขายไปเรื่อยๆจนกว่าจะ ดูดเอาจิตของใครคนใดคนหนึ่งไปได้ ริคุ ค่อยๆก้าวเท้าออกไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ทว่าเขาก็ถูกเจนัสวิ่งเข้าไปล็อคตัวเอาไว้ อย่านะปล่อยสิเจนัส ริคุกล่าวขณะที่พยายามขัดขืนเจนัส ซึ่งยิ่งเขาดิ้นเจนัสก็ยิ่งต้องออกแรงรัดเขาให้แน่นมากขึ้น ไม่ชั้นจะยอมให้นายต้องเสียสละอีกถ้าจำเป็นล่ะก็ชั้นจะไปเอง เจนัสกล่าวคำพูดของเขานั้นยิ่งทำให้ริคุดิ้นแรงขึ้น ไม่นะชั้นจะไม่ยอมให้นายต้องมาเสียสละเด็ดขาดชั้นจะไปเอง ริคุกล่าวพร้อมกับออกแรงดิ้นให้ มากขึ้น แต่เจนัสเองก็กัดฟันออกแรง ล็อคตัวเขาจนล้มลงไปทั้งคู่ เครสเซนท์ยืนจ้องมองการกระทำของทั้งคู่นั้น รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ เจ้าพวกนั้นทำไมถึงได้ยอมเสียสละเพื่อกันและกันได้ถึงขนาดนี้ ชีวิตของตัวเอง ไม่สำคัญรึไง พยายามเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อไปตายแทนกันเนี่ยนะ เครสเซนท์คิดขณะที่เริ่มมองย้นตัวเองที่ผ่านมานั้น ตั้งตัวเขาเองได้ถือกำเนิดขึ้นจาก จิตใจของริคุ ตลอดมาเขาไม่เคยไว้ใจใคร และไม่อาจเชื่อใจใครได้ ไม่มีเพื่อนที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ได้แต่สู้เพียงลำพังมาตลอด มาถึงตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าทำไมเจนัสถึงได้ไล่ตามเขามาได้ทันตลอด สิ่งที่เจนัสมีแต่เขาไม่มี เขาได้ค้นพบมันแล้ว ระหว่างนั้นหลุมดำก็ค่อยๆขยาย ตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เจนัสกับริคุที่ล้มกลิ้งอยู่นั้น ค่อยๆเข้าใกล้หลุมไปทุกทีๆ ไม่มีเวลาแล้วหนีไปเจนัส งั้นเราสองคนจะไม่รอดทั้งคู่นะ ริคุกล่าวขณะที่พยายามยันตัวเจนัสออกไป ไม่..ชั้นจะไปเอง .. เจนัสกล่าวจบก็ยันตัวขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปหาหลุมดำ แต่ทว่า ริคุ ก็กระชากคอเสื้อเขาไว้ และเหวี่ยงออกไป แต่เจนัสก็ไม่ยอมจึงออกแรงยื้อเอาไว้ หลุมดำเริ่มเข้าใกล้พวกเขามาเรื่อยๆ เจ้าบ้าพวกนั้น ขืนไม่รีบถอยออกมาเดี๋ยวก็ได้โดนดูดไปทั้งคู่หรอก เครสเซนท์คิด แต่ทว่าทั้งสองก็ตกลงไปในหลุมดำเสียแล้ว ความมืดค่อยๆดูดทั้งสองลงไปต่อหน้าเขา ความเชื่อใจ พวกพ้องเพื่อนนี่มันอะไรกัน หนอย เครสเซนท์คิดพลางกำหมัดแน่น จนข้อมือซีดขาว ก่อนจะวิ่งออกไปโดยไม่ลังเล เขาจับมือของทั้งคู่และเหยี่วงขึ้นมาจากหลุม จนกระเด็นไปไกล จากหลุม ทว่าตัวเขาเอง กลับเป็นฝ่ายตกลงไปในหลุม ซะเอง ริคุที่ยันตัวขึ้นมาเห็นว่าเครสเซนท์ตกลงไปจึงคิดจะวิ่งเข้าไปช่วยโดยไม่ลังเล อย่าเข้ามานะ เครสเซนท์ตะคอกเสียงใส่ ทำให้เขาหยุดผงะไป แต่เจนัสที่เห็นนั้นก็ไม่คิดจะทิ้งเขาให้ถูกดูดลงจึงคิดจะเข้าไปช่วย ทั้งที่เมื่อครู่พวกเขายังเป็นศัตรูกันอยู่ แต่บางอย่างในใจที่ทำให้เขาไม่อาจทื้งเครสเซนท์ไว้ได้ ก็กระตุ้นให้เขาวิ่งไป แต่ก็อีกเช่นกันเครสเซนท์ ก็ออกปากให้เขาหยุดไว้ ซึ่งเขาเองก็หยุดผงะไป แม้อยากจะเข้าไปช่วยก็ตาม ถ้าไม่รีบออกมาล่ะก็แกจะถูกดูดลงไปนะเป็นแบบนั้นน่ะแกยอมได้เหรอ เจนัสกล่าวซึ่งเครสเซนท์ที่ได้ยินคำพูดนั้น แน่นอนว่าเขาเองก็อยาก จะบอกปฏิเสธไปแต่ทว่าตอนนี้ได้มีบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา มันคือความรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา ของมันแน่อยู่แล้ว ไม่มีทางเด็ดขาด เครสเซนท์กล่าว ถ้างั้น ริคุกล่าวขึ้นไม่ทันจะขาดคำเครสเซนท์ก็แทรกขึ้นทันที แต่ตอนนี้เพราะอะไรก็ไม่รู้สิ ข้ากลับไม่มีความคิดแบบนั้นแล้ว หลังจากได้เห็นแกสองคน แย่งกันไปตายแทน ข้าก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้หล่ะดีแล้วเพราะข้าไม่ได้มีตัวตนอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว เป็นแค่จิตปีศาจที่ถูก สร้างขึ้นมาให้ควบคุมร่างของแกเท่านั้นล่ะ เครสเซนท์กล่าวขณะที่ร่างค่อยๆจมลงไปซึ่งหลุมดำก็เริ่มหดตัวลงเรื่อยๆ เครส เซนท์ ริคุกล่าวออกมาได้เพียงเท่านั้นเพราะประโยคที่เหลือนั้น เขากลืนมันลงไปแล้ว แต่เครสเซนท์เองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า เขาจะพูดอะไร ไม่ต้องมาสมเพชข้าหรอก นี่เป็นทางที่ข้าเลือกเอง..ส่วนแกเจนัสครั้งนี้แกชนะข้าแพ้แล้ว ถ้าเจอกันครั้งหน้าล่ะก็ หึ เครสเซนท์ กล่าวโดยละที่เหลือไว้ พร้อมกับที่ร่างของจมลงไปจนถึงคอแล้ว เจอกันครั้งหน้าตอนนั้นเราก็คงไม่เป็นศัตรูกันแล้วล่ะ เจนัสกล่าวเสียงเรียบโดยที่ในใจก็คิดแน่ไว้แล้วว่าคงจะไม่มีครั้งหน้าอีก แต่นี่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะตอบแทนการช่วยเหลือของเขาได้ หึ ..นั่นสินะถ้ามีครั้งหน้าล่ะก็นะ เครสเซนท์กล่าวก่อนที่ร่างของจะจมลงไปจนมิด เพื่อนงั้นหรือ ความเชื่อใจงั้นหรือ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะลองสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับพวกเจ้าดู บ้างเหมือนกันมันคงเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย ความนึกคิดสุดท้ายของเครสเซนท์ที่หวังจะได้ต่อสู้โดยมีพวกพ้องที่เชื่อใจกันนั้น คือสิ่งสุดท้ายที่เขาไม่อาจได้สัมผัสจนวาระสุดท้าย หลมุดำได้สลายตัวไปแล้ว แอกเตอร์ทั้งสอง ก็เริ่มทำงานขึ้นพร้อมกันก่อนที่ จะเกิดแสงสว่างจ้าขึ้น จิตของพวกเขาแยกจากมโนจิตแล้ว ในตอนนี้ คลื่นไฟฟ้าที่ตรึงร่างของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ ได้คลายตัวออก พร้อมกันชุดเกราะที่ สลายตัวแยกชิ้นออก จากตัวพวกเขาและจางหายไปเหลือไว้เพียงเข็มขัดที่ตกลงใกล้ๆกับตัวพวกเขา ก่อนที่เศษเสี้ยวทั้งหลายจะหลอมตัวกลับเป็นแอกเตอร์ตามเดินและบินหายลับไปทิ้งให้ร่างทั้งสอง ของพวกเขานอนคว่ำสลบอยู่บนพื้นหิมะ ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างยืนนิ่งจนแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ นักประดิษฐ์ เดินเข้าไปเก็บเอาเข็มขัดทั้งสองเส้นออกมา อย่างรีบร้อน แต่ทว่าในตอนที่จะถอยฉากออกมานั้น มือของทั้งคู่ก็ยื่นออกมาจับขา เขาเอาไว้จนสะดุดล้ม ก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะลุกขึ้นยืน สร้างความแปลกใจให้แก่ทุกผู้ที่ยืนดูอยู่ตรงนั้น ยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่รึ เมทาไนท์เปรยเสียงเรียบ ด้วยความประหลาดใจ บ้าน่าเป็นไปไม่ได้ พวกแกคนใดคนนึงต้องตายไปแล้วนี่ นักประดิษฐ์ กล่าวขณธที่พลิกตัวกลับมามองทั้งสองด้วยความผวา อ๋อรู้แล้ว จิตเจ้าของร่างคนเก่าของเครสเซนท์คงจะถูกดึงไปเป็นเครื่องสังเวยสินะ..งั้นรออะไรอยู่ล่ะจัดการ เจ้าคนทรยศซะสิ นักประดิษฐ์กล่าวขณธที่ค่อยๆไถลร่างถอยห่างออก แกสั่งใคร.. ริคุกล่าวถามซึ่งทำเอานักประดิษฐ์ งง ไปขณะหนึ่งเลย ก..ก็แกไงล่ะเครสเซนท์รีบๆจัดการเจ้าคนทรยศนี่ซะ นักประดิษฐ์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเริ่มไม่แน่ใจ กับสถานการณ์ แล้ว งั้นหรือแล้วคนทรยศคนไหนล่ะเพราะตรงนี้ก็ยืนอยู่หน้าเจ้าตั้งสองคนแล้วไง ริคุกล่าวจบนักประดิษฐ์ก็หน้าซีดขึ้นมาทันที ร..หรือว่าแก นักปรดิษฐ์กล่าวเสียงสั่นเครือ ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีไปแต่ริคุก็ตวัดกรงเล็บ ออกไปทำให้เกิดคลื่นสุญญากาศพุ่งไปเฉี่ยวเอา ขาของนักประดิษฐ์จนล้มลง ขากางเกงของนักประดิษฐ์ขาดวิ่นและโลหิตสีแดงเริ่มไหลซึมออกมา เขาล้มลงกุมแผลนั้น ด้วยความเจ็บปวด นี่เครสเซนท์เจ้าคิดจะทรยศด้วยงั้นรึ เซอร์เซสกล่าว เสียใจด้วยนะแต่เครสเซนท์ น่ะได้ตายไปแล้วตอนนี้ชั้นคือ ริคุ เฟ็นเรีย(Riku Fenria) ผู้รับสืบทอดหน้าที่พิทักษ์ดาบศักดิ์สิทธ์แห่งเฟ็นเรีย ริคุกล่าวคำพูดของเขานั้นทำให้ลากูน่าและนีน่าใจเต้นระทึกด้วยความรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้พวกเขาได้ตัวริคุกลับคืนมาแล้ว นี่หมายความว่าจิตที่ถูกสังเวยไปแทนก็คือเครสเซนท์งั้นรึ เซอร์เซสกล่าวในหัวกำลังเร่งคิดหาวิธีรับมือกับ เทพขุนพลที่ได้แปลพรรค ไปเข้ากับอีกฝ่าย อีกคนแล้ว แต่ในขณะนั้นก็เกิดสายฟ้าฟาดลงมาใส่เจนัสและริคุ แม้ว่าเกราะมนตราจะช่วยคุ้มกายให้แก่พวกเขา แต่ทว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เหนื่อยล้าจากการ ปะทะกันจนแทบไม่เหลือพลังกาย แล้วหลังจากโดนสายฟ้าฟาดเข้าไปพวกเขาทั้งคู่ก็ล้มทรุดลง เจนัสพยายามจะยันตัวขึ้นแต่ ก็ไม่สำเร็จเขาล้มผับลงไปกองกับพื้นทันที เช่นเดียวกับริคุ ซึ่งสายฟ้าที่ฟาดลงมานั้นก็เกิดจากวิชา ดาบย้อนอัศนีบาตรของกาโรห์นั่นเอง ลากูน่าหันขวับไปจ้องกาโรห์ด้วยสายตาถมึนถึง แต่ก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัว ให้แก่กาโรห์แต่อย่างใดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็ล้มพวกแกทั้งคู่ได้แล้วท่านผู้นั้นจะต้องเลื่อนยศให้ข้าแน่ ข้านี่หล่ะเทพขุนพลผู้แข็งแกร่ง กาโรห์กล่าวด้วยผยองโดยหารู้ไม่ว่าเขาได้กระตุ้นโทสะของลากูน่าขึ้นมาแล้ว แข็งแกร่งหรือพูดมาได้ไม่อายปากเลยนะ ใช้วิธีลอบกัดแบบนั้นอย่างแกน่ะ.. ลากูน่ากล่าวยังไม่ทันจะจบคำกรงเล็บของเขาตวัด เจาะทะลุร่างของกาโรห์ไปแล้ว อัก ก..แก กาโรห์กล่าวไปสำลักไป เลือดของเขาพุ่งกระเด็น เปรอะเปื้อน ไปทั่วร่างของลากูน่า โดยที่กรงเล็บของลากูน่ายังคาอยู่ คิดจะเทียบขั้นท่านพี่น่ะเหรอแค่ชั้นสำหรับแกมันยังเร็วไปร้อยปีเลย ลากูน่ากล่าวจบก็ชักมือ ออกร่างของกาโรห์ค่อยๆร่วงหล่นลงนอนจมกองเลือด บนพื้นหิมะสีขาวโพลน พร้อมกับที่ดาบซึ่งขว้างขึ้นไป เพื่อประกอบวิชาดาบย้อนอัสนีบาตร พุ่งลงมาปักร่างของกาโรห์ ก่อนที่เขาจะเหลียวหลังกลับไปโดยทิ้งร่างไร้วิญญาณเอาไว้ตรงนั้น เซอร์เซสที่เห็นว่ากาโรห์ถูกเก็บไปแล้วก็เริ่มที่จะคุมสติไว้ไม่อยู่ จึงคิดจะหาทาง จัดการกับสถานการณ์โดยไม่สนวิธีการ ซึ่งในตอนนั้นเขาก็นึกออกขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง เขามองไปหานีน่า ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ นังศิษย์ทรยศข้าจะให้เจ้าต้องทนทุกข์สาสมกับการที่เจ้าทรยศข้า เซอร์เซส พุ่งตรงเข้าไปหานาง ซึ่งแม้เมทาไนท์จะเข้ามาขวางไว้แต่ก็ถูกคฑาของเซอร์เซส ฟาดกระเด็นไปข้างทาง เขาพุ่งเข้าไปคว้าของนางเอาไว้ ซึ่งนางแองฏ้ไม่อาจขัดขืนได้ ใช่แล้วถ้าเราใช้นังนี่ให้เป็นประโยชน์ล่ะก็ เซอร์เซส คิด ลากูน่าที่คิดจะเข้าไปช่วยก็ต้องผงะไปเพราะนางอยู่ในกำมือของเขา หากบุ่มบ่ามเข้าไปอาจทำให้นางเป็นอันตรายได้ ข้าจะคืนความทรงจำของเจ้าที่ปิดผนึกไว้และเมื่อนั้นเจ้าจะต้องทุกข์ทรมานกับ ความแค้นนั้นไปจนตาย เซอร์เซสกล่าวจบ ก็ยกคฑาขึ้นร่ายเวทย์ ทันทีที่ร่ายจบก็เกิดวงแหวนแสงขึ้นเหนือหัวของนาง อยู่ซักครู่ก่อนมันจะสลายไป เซอร์เซสจึงปล่อยมือจากนางซึ่ง นางเองก็ยกมือขึ้นกุมหัวก่อนจะขุกเข่าลงกับพื้น ความทรงจำต่างๆมากมายที่นาง ไม่เคยนึกออกซึ่งนั่นรวมไปถึง ภาพของเด็กชายครึ่งสมิงที่ช่วยนางไว้เมื่อสี่ปีก่อนและยังเป็นคนที่ ฆ่าคนในครอบครัวของนางจนสิ้นแม้ว่าความทรงจำบางส่วนจะยังคืนมาไม่ไหมด แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เซอร์เซสที่เห็นท่าทีของนางเปลี่ยนไปก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันกลับเพื่อจัดการกับลากูน่า ส่วนแกกับพี่ของแกจะต้องตาย..อ็าคคค เซอร์เซสกล่าวไม่จบดี ก็ถูกลำแสงแปดลำด้วยกันระเบิดจนร่างสลายไป พร้อมกับคฑาในมือ ผู้ที่จัดการเซอร์เซสให้สิ้นชื่อลงไปนั้นคือนีน่าน่ะเองนาง ยิงเขาด้วยปืนประดิษฐ์ซึ่งตอนนี้ปากกระบอกมันได้พังยับเยินไปแล้วจากการ ยิงโดยเร่งพลังเต็มที่ นางถอด หัวกระบอกออกก่อนคว้าเอา ใบมีดมาประกอบกับปืนเพื่อเปลี่ยนมันเป็น มีด นัยตาย์ของนางแฝงไปด้วยความแค้น เจนัสที่มองเห็นสภาพนั้นจึงเข้นแรงยันตัว ขึ้นมาในขณะที่รอบๆปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา ได้แต่ยืนมอง ความเคลื่อนไหวของนาง บัดนี้นักประดิษฐ์อยู่เพียงลำพังไม่มีใครคุ้มครอง ความกลัวและความหวาดวิตก เริ่มเข้าถาโถมใส่ นีน่าเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจใยดีตรงเข้าไปหาเจนัส ที่ลุกขึ้นยืนแล้ว คนที่ช่วยฉันไว้และทำลายครอบครัวของฉันเมื่อสี่ปีก่อนคือนายงั้นเหรอเจนัส นีน่ากล่าวคำพูดของนางทำเอาทุกคนรอบข้างถึงกับ ตาเบิกโผลงด้วยความ ตะลึง ใช่ชั้นเป็นคนทำเอง เจนัสกล่าวเสียงเรียบ ทันทีที่เขากล่าวจบ ภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มครึ่งสมิงที่ นางนึกออกแล้วก็ได้ปรากฏชัดแจ้งขึ้นในหัวของนาง เด็กคนนั้นเป็นครึ่งสมิงหมาป่า สีดำ ซึ่งก็คือเจนัสนั่นเอง และแล้วนีน่าก็ได้กระทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นางแทงเขาด้วยมีดจนเลือดสาด ก่อนจะชัดมีอ ออกและถีบส่งเขากลิ้งห่างออกไปจากพวกลากูน่า ท่านพี่ ลากูน่า กล่าวพร้อมกับจะวิ่งเข้าไปห้าม อย่าเข้ามานะ.. นี่เป็นเรื่องระหว่างเรา ห้ามใครเข้ามายุ่งเด็ดขาดไม่งั้นชั้นไม่ปล่อยไว้แน่ เจนัสกล่าวทำให้ลากูน่าต้องหยุดผงะไป ทำไมนายถึงไม่ฆ่าฉันไปตอนนั้นซะด้วยเลยปล่อยให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน เร่ร่อนไปเรื่อยจนไปเจอไอ้ตาแก่เซอร์เซสนั่น แล้วก็ต้องให้มันช่วยปิดผนึกความทรงจำเอาไว้ นีน่ากล่าวด้วยความเคียดแค้น นางกำมีดสั้นในมือแน่นเสียจนข้อขาวซีด เจนัสเอามือกุมบาดแผลเพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมามากเกิน พร้อมกับยันตัวลุกขึ้น แต่ทว่าไม่ทันไรเขาก็ถูกนีน่าเฉือนที่แขนจนได้ไปอีกแผล ก่อนจะถูกตวัดเฉือนไปอีกหลายแผล ซ้ำยังทำให้ปากแผลเก่าที่ได้ตอนที่สู้กับ เครสเซนท์ เปิดอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ยอมตอบโต้หรือหลบเลี่ยงแต่อย่างใดยังคงยืนให้นางฟันใส่ ไปเรื่อยๆจนแผลเต็มตัว ทำไมถึงไม่ตอบโต้ล่ะ สู้สิ นีน่าตะคอกใส่แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่ นางจึงทุบเขาด้วยด้ามมีดจนทรุดล้มลง ทำไมนายถึงไม่สู้จะให้ฉันฟันนายไปถึงไหน ฉันไม่ดีใจหรอกนะ ที่แก้แค้นกับคนที่ไม่สู้น่ะ นีน่าตะหวาดใส่เขา อย่าให้บอกหลายทีได้มั้ย..ชั้นสัญญาไว้แล้วนี่ ว่าจะ..ปกป้องเธอเพราะฉะนั้นชั้นจะไม่ทำร้าย เธอเด็ดขาด เจนัสกล่าวออกมาด้วยความลำบาก นีน่าที่ได้ยินดังนั้นจึงหยุดลง ทำซะสิให้สาสมกับที่ชั้นทำ คำพูดของเจนัสทำให้นาง คิดถึงคำพูดของพวกเขาทั้งสองในวันนั้น ท่ามกลางกองเพลิง นางที่กัดแขนของเด็กชายเอาไว้ แต่เด็กชายก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้นางกัดจนจมเขี้ยว เอาเถอะข้าไม่ว่าหรอก ทำซะให้สาสมกับที่ข้าทำไป นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าจะชดใช้ให้ได้ คำพูดของเด็กชายดังก้องขึ้นมาในใจของนาง คำพูดนี้อีกแล้วนายจะทิ้งให้ชั้นต้องอยู่ตัวคนเดียวรึไง นายยอมให้ฉันฆ่าแล้วกลับมาบอกว่าจะไม่ทิ้งให้ฉันต้องโดดเดี่ยวอีก ถ้านายตายไปแล้วใครจะปกป้องฉันล่ะ จะผิดคำพูดรึไง อย่าทำให้ฉันสับสนนักสิ.. นีน่ากล่าวน้ำเสียงสั่นเครือใขณะที่หยาดน้ำตาของนางก็ค่อยๆไหลรินออกมา อาบใบหน้า เจนัสที่ยกมือที่เปื้อนไปด้วยเลือด ขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของนาง โดยพยายามให้เลือดเปรอะน้อยที่สุด อย่าร้องไห้สิ ชั้นไม่ผิดคำพูดเด็ดขาด ถึงชั้นจะยอมให้เธอทำร้าย แต่ชั้นก็ไม่ยอมตายเด็ดขาด จะอยู่ปกป้องเธอตลอดไป จะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป เจนัสกล่าวเสียงแผ่ว ลมหายใจของเขาเริ่มจะถี่ลง คนบ้า..ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยฉันมันน่าเวทนานักหรือไงสมเพศคนไร้ค่าอย่างฉันหรือไง นีน่ากล่าวพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาจน หยาดน้ำตาหยดลงบนร่างของเจนัส สำหรับคนอื่นเธออาจจะไร้ค่า แต่สำหรับชั้นเธอคือคนสำคัญเลยล่ะ อีกอย่างนอกจากฉันเธอก็ยังมีคนอื่นอีกไม่ใช่เหรอ..ทั้งริคุ ลากูน่า และก็ลอเรนซ์ เธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะนีน่า เจนัส กล่าวนี่นับเป็นครั้งแรกที่เขา เรียกชื่อของนางให้ได้ยิน ตอนนี้ดวงตาของเขาหรี่ลงจนแทบจะปิด ลมหายใจแผ่วเบาลงทุกที นีน่า ที่รู้สึกแล้วว่าเจนัสใกล้จะหมดลมลงทุกวินาทีแล้ว นางรีบพยุงตัวเขาไว้ จ..เจนัสอย่าตายนะ.. นีน่ากล่าวด้วยความเป็นห่วงความแค้นในใจเมื่อครู่มันได้หายไปหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้นางไม่ต้องการให้เขาตาย ลากูน่าและเมทาไนท์ รีบเข้ามาดูอาการทันที Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล้ว Post by: greamon on July 13, 2008, 06:54:33 PM ท่านพี่อย่าตายนะ
ลากูน่ากล่าวขณะที่เขย่าแขนของผู้เป็นพี่ชาย เพื่อเรียกสติ ริคุที่ค่อยๆคลานเข้ามาหา ก็มองดูด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน แย่ล่ะสิอาการสาหัสมากเลยถ้าไม่รีบรักษาล่ะก็ เมทาไนท์กล่าวหลังจากที่พิจารณาอาการของเจนัส นายจะตายไม่ได้นะเจนัสไหนบอกว่าจะอยู่ปกป้องฉันไงเจนัส นีน่ากล่าวอย่างเสียขวัญ โธ่เงียบๆหน่อยได้มั้ยขอนอนซักงีบหน่อยเถอะ อยู่ๆเจนัสก็ตะคอกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ทำเอาทุกคนรอบข้างอึ้ง นั่ง งงเป็นไก่ตาแตก ไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พอสบายใจแล้วหัวมันก็ดล่งไปหมดเลยง่วงขึ้นมาน่ะสิ เจนัสกล่าวก่อนจะอ้าปากหาวหวอด นีน่าที่เห็นเช่นนั้น ก็ปล่อย ตัวเขาให้ร่วงลงไปกระแทกกับพื้น อย่างว่าล่ะนะท่านพี่ใช่ประเภทที่ต้องให้ใครมาห่วงซะที่ไหน ลากูน่ากล่าวด้วยความเหนื่อยใจ กับนิสัยที่ไม่เคยสนใจความเป็นห่วงเป็นใยของคนรอบข้าง เฮ้อนายนี่มันไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่ฝึกเลยนะบาดเจ็บหนักทีไรล่ะชอบแกล้งทำให้ชาวบ้านเขาเป็นห่วงเก้อตลอด ริคุกล่าวพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนข้างๆเขา ส่วนเมทาไนท์เองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แหมก็ทำไงได้ล่ะ สู้ต่อเนื่องมาตั้งนานแล้ว คนเราจะขอพักบ้างไม่ได้รึไง เจนัสกล่าวขณะที่เอามือกุมหัวจากการที่กระแทกกับพื้นทำให้ปวดเล็กน้อย นีน่าที่เห็นเขาร่าเริงก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย อ็าคคคคค เสียงร้องดังมาจากด้านบนของพวกเขาพร้อมกับร่างของจอมเวทย์เด็กชายและเด็กหญิง ร่วงหล่นลงมาใกล้กับพวกเขา เรโค่และเซโร่ที่มีบาดแผลเต็มตัวไปทั่ว พวกเขาถูดซัดร่วงลงมา ซึ่งผู้ที่จัดการโค่นจอมเวทย์น้อยผู้แข็งแกร่งลงได้ก็ค่อยๆโรยตัวลงมาพร้อมกับ ดราก้อนเนโครแมนเซอร์(Dragon Necromancer)จำนวนหลายสิบนาย ซ้ำยังมีทัพอัศวิน มังกรดำ(Black Dragoon)และอัศวินมังกรแดง(Red Dragoon) ทยอยตามลงมาอีกนับสิบ จนเต็มแทบทั้งทุ่งโล่ง ล้อมกรอบพวกเขาไว้ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/29.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/64.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/62.jpg) นักรบครึ่งมังกรที่โบยบินลงมาคนแรก คือแม่ทัพของกองทัพน้อย่างแน่นอน เขาเป็นนักรบครึ่งมังกรเฉกเช่นเดียวกับอัศวินมังกรทาลิวิลย่า มือซ้ายถือโล่ขนาดเล็ก และมือขวา ถือดาบยาวประเภทกระบี่ ร่างเป็นเกล็ดมังกรราวกับชุดเกราะ ข้าคือ 1 ใน 12 เทพขุนศึก แม่ทัพอัศวินมังกร(Dragoon General) รับหน้าที่ควบคุมฝ่ายกองการรบ อย่างที่พวกเจ้าเห็นนั่นล่ะ นี่คือกองทัพของเราที่ได้กระทำการปฏิวัติให้เกิดการล่ามังกรขึ้นมายังไงล่ะ นักรบครึ่งมังกรกล่าว จบก็สั่งให้เหล่าอัศวินมังกรทั้งดำและแดง บุกเข้าโจตี (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n018/37.jpg) ไร้รูปไม่ไร้ตนเจ้าจงแปรเปลี่ยนไปดั่งใจข้าจงมาเป็นศาสตราให้ได้ทำลายและปกป้อง Icecleric Rain เสียงของเซโร่ดังกังวานขึ้นก่อนที่จะเกิดวงเวทย์ขึ้น บนท้องฟ้าพร้อมกับที่ ฝนแท่งน้ำพุ่ง ลงเสียบร่างของเหล่าทหารจนล้มตายไปคนแล้วคนเล่า ดังนั้นพวกดราก้อนเนโครแมนเซอร์ จึงออกมาผนึกเวทย์ สร้างเกราะกำบังให้แก่เหล่าอัศวินมังกร จงแสดงตน ลูเซียส และจงปกปิดตน ออบสคูรี่ สิ้นเสียงภูตสาวทั้งสองตนก็ลอยตัวออกมา เข้าต่อยตีกับเหล่าอัศวินมังกรในระหว่างนั้นเซโร่ ก็ร่ายเวทย์บทต่อไปทันที ข้าขอวิงวอนต่อ จักรพรรดิแห่งผลึกน้ำแข็ง ด้วยพันธสัญญาอันเป็นนิรันด์ โปรดมอบพลังแก่ข้า จงเปลี่ยนผืนปฐพีอันเวิ้งว้างเป็นทุ่งหิมะ จงแปรสายน้ำ ให้เป็นธารน้ำแข็ง Perfect Arctic(จุดเยือกแข็งสมบูรณ์แบบ) สิ้นเสียง เพียงพริบตาเหล่าอัศวินมังกรและดราก้อนเนโครแมนเซอร์รวมไปถึงซากศพของ เหล่าอัศวินที่ถูกแท่งผลึกเสียบตายไปแล้ว ก็กลายเป็นน้ำแข็งไป ข้าแต่ราชันย์แห่งวิญญาณ หยาดน้ำตาแห่งความวิบัติ จงกลืนกินทุกสรรพสิ่ง นั่นคือคำพิพากษาสุดท้าย Final Judgement สิ้นเสียงก็เกิดวงเวทย์ขึ้นที่ใต้เท้าของเรโค่ ภูตทั้งสองของนาง ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีฟ้าก่อนจะ สลายไปรวมตัวกันที่อุ้งมือของนาง ทันทีที่นางผายมือออกไป ก็เกิดหลุมดำขึ้นในอากาศท่ามกลางร่างน้ำแข็งเหล่านั้นพร้อมกับมีแรงดูดบางอย่างทำให้ทุกสิ่งบริเวญรอบๆถูกดูดเข้าหาหลุมดำ ก่อนที่มันจะระเบิดสลายไป พร้อมร่างน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าทุกร่าง ได้อันตธานกลาย ผงตลบอบอวลไปทั่ว สำเร็จมั้ย เรโค่ถาม ชั้นว่าเสร็จไปแล้วมั้งน่ะ ริคุเปรยเสียงเบา ด้วยความไม่อยากเชื่อ กับพลัของทั้งคู่ นั่นสิคงเละ ไปตั้งแต่ โดนแช่แข็งแล้วม้างงง ลากูน่าแกล้งลากเสียงยานคาง หน่อยๆ น นี่มันอะไรกันเนี่ยพริบตาทหารทั้งกองพันของเราก็แพ้ราบคาบเลยรึ เจ้าพวกนี้มันปิศาจ ปิศาจชัดๆ นักประดิษฐ์ กล่าวด้วยความหวาดกลัว ข.ณะที่คลานไปตามพื้นโดยอาศัยผงน้ำแข็งเพื่อจะแอบลอบหนีออกไป แต่แล้วเขาก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่างใน หมอกน้ำแข็งนั่น จนต้องหยุดหันขึ้นไปมอง ตอนนี้ผงน้ำแข็งเริ่มจางลงเรื่อยแสงตะวันที่ส่องทะลุลงไปสะท้อนเงาของ คนสองคนในหมอกนั้น ยัง เจ้านั่นมันยังตาย นีน่าเปรยหลังจากที่เห็นเงาสะท้อน ซึ่งในตอนนั้นเจนัสก็รู้ตัวแล้ว ถึงพลังของเทพขุนพลคนนี้ จึงคิดจะเตือนจอมเวทย์ทั้งสองแต่ทว่า ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก ก็มีคลื่นเสียง ดังกังวานออกมา พร้อมกับคลื่นพลัง ที่รุนแรง เข้ากระแทกถาโถมใส่พวกเขาจนกลิ้งกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง หมอกจางลงไปจนหมดจากคลื่นพลังเมื่อครู่ นักประดิษฐ์นั้นตอนนี้ ได้แต่นั่งกุมแผลที่ขา เอาไว้แน่นริมฝีปากสั่นเครือ แทบเท้าของแม่ทัพมังกร เอาล่ะท่านนักประดิษฐ์ตอนนี้ท่านถอยกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะส่งท่านกลับไปด้วยพลังของข้าเอง แม่ทัพมังกรกล่าวจบ ก็เปิดประตูมิติออก นักประดิษฐ์รีบวิ่งเข้าไปในนั้นทันทีโดยไม่คิด หลังจากที่ส่งนักประดิษฐ์กลับไปแล้ว เขาก็หันมาหาพวกเขา ส่วนพวกเจ้าใครจะเป็นคนแรกว่ามา แม่ทัพมังกรกล่าว ซึ่งในตอนนี้พวกเจนัสเองก็ไม่เหลือแรงจะต่อกรกับ แม่ทัพผู้นี้แล้ว เรโค่คงถึงเวลาแล้วล่ะที่จะใช้มนตราบทนั้น เพราะฉะนั้นช่วยตรึงมันไว้ทีนะ เซโร่กล่าวซึ่งทันทีที่เรโค่ได้ยิน นางก็หน้าซีดเผือกไปแทบจะทันที แต่ถ้าใช้มนต์บทนั้นล่ะเซโร่ก็จะ.. ไม่เวลาแล้วถ้าไม่ทำล่ะก็พวกเราได้ตายหมดแน่ เรโค่กล่าวได้ไม่ทันจบประโยคเซโร่ก็ตะหวาดตัดขึ้นมา แม้นางจะไม่อยากนัก แต่ก็ไม่เห็นทางอื่น แล้วจึงยอมคิดที่จะช่วย เซโร่..คือฉันถ้าต่อจากนี้ไปไม่มีเซโร่แล้ว เรโค่กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเสียใจ เพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทำตามที่เขาบอก แต่เซโร่ ก็เข้ามาโอบปลอบเธอด้วยความเข้าใจ ไม่เป็นไรหรอกเรโค่ ถึงเธอจะไม่มีชั้นอยู่เคียงข้างแล้วแต่เธอก็ต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้นะ..แล้วซักวันนึง ชั้นจะกลับมา หาเรโค่อีกแน่นอน จนกว่าจะถึงตอนนั้นช่วยรอชั้นด้วยนะ.. เซโร่กล่าว เรโค่ที่ได้ยินแล้วึงยอมทำตามในที่สุดแม้ในใจจะยังไม่อยากจากเขาไป นี่พวกนายจะทำอะไรกัน เจนัสถามขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของทั้งคู่ ที่ดูเหมือนจะกล่าวล่ำลากันยังไงยังงั้น เซโร่จะใช้มนตราผนึกเจ้านั่นให้กลายเป็นน้ำแข็งไปชั่วนิรันด์น่ะสิ เรโค่กล่าวโดยยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด เจ้านั่นน่ะขนาดโดนเวทย์ประสาของเราเข้าไปแล้ว มันยังไม่สะทกสะท้านเลย หากใช้มนต์พื้นๆล่ะก็คงเอามันไม่อยู่แต่ถ้าใช้มนต์บทนั้นล่ะก็ทั้งชั้นและก็เจ้านั่นก็จะกลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งคู่ ไม่มีทางหลุดออกมาได้ชั่วนิรันด์ ทันทีที่เซโร่กล่าวจบเขาก็รีบพุ่ เข้าไปหาแม่ทัพมังกรโดยไม่บอกกล่าวทันที ไม่แม้แต่จะเผื่อเวลาให้พวกเขาคิดหรือตกลงกันซักวินาที จัดการเลยเรโค่ เซโร่สั่ง ซึ่งเรโค่ก็จัดการสะบัดเอ็นให้พุ่งออกไปมัดร่างของแม่ทัพมังกรไว้ นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน แม่ทัพมังกรกล่าวพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ ข้าแต่พลังเยือกแข็งอันเป็นอนันต์จงส่งข้าและอริ สู่ความเป็นนิรันด์ สิ้นคำเซโร่ก็เข้าประชิดตัวแม่ทัพมังกร วงเวทย์เกิดใต้เท้าของทั้งคู่ พร้อมกับแสงสีคราม พุ่งขึ้นมาจากวงเวทย์นั้นร่างของทั้งคู่ค่อยกลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆ นี่เจ้าคิดจะแช่แข็งตัวเองไปพร้อมกับข้างั้นรึ แม่ทัพมังกรกล่าวโดยยังพยายามดิ้นรนต่อไป อย่าเสียแรงเปล่าเลย เราไปลงนรกด้วยกันทั้งคู่นี่แหล่ะ เซโร่กล่าว หึ..ลงนรกด้วยกัน..กับเจ้าเนี่ยนะเชิญเจ้าไปคนเดียวเถอะ สิ้นคำของแม่ทัพมังกร เขาก็กระชากเอ็นของเรโค่จนขาดและสลัดตัวออกมา จากวงเวทย์ ปล่อยให้เซโร่ถูกผนึกเป็นน้ำแข็งไปเพียงคนเดียว เซโร่ เรโค่ร้องออกมาสุดเสียงก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะถูก คลื่นพลังเข้าถาโถมเล่นงานอย่างหนัก .. .. ป่านนี้แล้วพวกนั้นยังไม่กลับมาเลยเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้ Lr กล่าวออกมาขณะที่เอาหิมะประคบแผลให้นิทินโคที่โดนไฟลวก ซึ่งนิทินโคก็ร้องโอดโอย ด้วยความปวดแสบ ส่วนนอฟฮอฟเองหลังจากที่แยกร่างกับ Lr แล้วก็เอาแต่มองเทียแมตมาซักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเทียแมตเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า นอฟฮอฟกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเดินเข้าไปหานอฟฮอฟ ข้ามีเรื่องที่จะต้องบอกให้รู้คือ เทียแมตกล่าวออกมาแล้วหยุดชะงักไป เพราะไม่มั้นใจว่าจะพูดดีมั้ย บอกๆ เขาไปเถอะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาปิดนะ แกรนเดครอสกล่าวเทียแทตจึงยอมในที่สุด แปดปีก่อนพ่อของฉันโดนเนรเทศให้ออกจากมิติมังกรทิ้งให้ฉันต้องโตมากับญาติที่รับไปอุปการะ ถ้ายังไงช่วยเล่าให้ละเอียดด้วยนะคะว่าทำไมถึงต้องทิ้งหนูไว้ทำไมไม่พาหนูไปด้วยอย่างน้อยก็น่าจะ ส่งจดหมายหรืออะไรมาบ้างสิคะ นอฟฮอฟเปรยเสียงเรียบ คำพูดของเธอทำให้เพื่อๆพากันมองด้วยความ งุนงง รู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ เทียแมตถาม แน่สิหนูจะลืมได้ยังไงตลอดแปดปีมานี่ หนูรอคอยที่จะพบคุณมานานแล้วแค่คุณเป็นมังกรพันธุ์อะไรมีจุดสังเกตตรงไหนทำไมจะไม่รู้ล่ะ นอฟฮอฟกล่าว หรือว่าคุณก็คือ Lr กล่าวหลังจากที่ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ก่อนจะตีความนัยออกมา ถูกแล้วนอฟฮอฟแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากนักแต่ข้าคือพ่อของเจ้า เทียแมตสารภาพ คำพูดของเขาทำเอาพวก Lr นิ่งตะลึง ด้วยความไม่รู้มาก่อน จ..จริงเหรอนอฟฮอฟ เอิธท์หันไปถามซึ่งนอฟฮอฟเองก็พยักหน้ายืนยันว่าใช่ แล้วจะบอกได้หรือยังว่าตลอดแปดปีนี่ไปอยู่ไหนมาคะ คุณพ่อ นอฟฮอฟถาม หึ..ลูกนี่ไม่ต่างจากแม่เลยนะ งอนพ่องั้นเหรอ เทียแมตกล่าวหยอกหวังจะให้ลูกหายหงุดหงิดบ้าง แหมก็พ่อน่ะ เจอหนูทั้งทียังไม่เห็นทักทายเลยครั้งก่อนนู้นก็ด้วย นอฟฮอฟกล่าวโดยย้อนความรวมไปถึงตอนที่เขามาช่วยพวกเธอที่มิติมังกร โทษทีนะพ่อมีความจำเป็นน่ะ อ้อ ลอว์เรนซ์ ถ้ายังไงข้าก็คงต้องบอกให้เธอได้รู้เอาไว้ ข้าไม่ว่าหรอกนะถ้าเจ้าจะยังแค้นเรื่องที่ข้าพรากเจ้าจากครอบครัวไป เทียแมตกล่าวด้วยความสำนึก ไม่เป็นไรหรอกครับนั้นก็นานมาแล้ว อีกอย่างอาจารย์ไม่สิพ่อดีวายดราก้อนก็บอกแล้วว่า คุณทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจและคุณก็ไม่ได้ต้องการด้วยผมเข้าใจ Lr กล่าวโดยพยายามรักษาน้ำใจอีกฝ่ายแต่ถึงกระนั้นเทียแมตก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี งั้นข้าจะเล่าถึงเรื่องเมื่อแปดปีก่อนให้พวกเจ้าได้รับรู้กับเอาไว้ก็แล้วกันเพราะนี่คงเป็นเพียงอย่างเดียวที่ข้าจะ ทำให้พวกเจ้าได้ เทียแมตกล่าวพร้อมกับเริ่มนึกย้อนไปถึงอดีตในตอนนั้น 8 ปีก่อน เทียแมตกับภรรยาของเค้าซึ่งเป็นมังกรดำเทียแมตเพศเมีย พวกเขาได้ออกบินไปยัง บริเวณหมู่เกาะ แอนดิซอง เพื่อที่จะไปผ่อนคลาย แต่ทว่าระหว่างทางนั้น พวกเขาถูกเหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์เข้ามา ระราน พวกเขาพยายามสู้ป้องกันตัวจนถึงที่สุด แต่สุดท้ายภรรยาของเขาก็ถูกพวกมันฆ่าตายและ ใช้มนต์ควบคุมชักใยร่างของนาง ส่วนเขาก็ถูกจับตัวไว้ คนที่บัญชาการ ในครั้งนั้นคือเซอร์เซส แกจะทำอะไรกับร่างของเธอ เทียแมตคำรามเขาถูกรัดเอาไว้ด้วยวงแหวนทองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นของจาไนท์ซึ่งเป็นลูกสมุนของแบล็คไวเซอร์ นี่เป็นคำสั่งของท่านผู้นั้นให้ทำการโค่นล้มตระกูลซาราเบลด เราแค่จะขอยืมใช้ร่างของเจ้านี่ในการล้มล้างเท่านั้นวางใจได้เสร็จงานแล้ว ข้าจะคืนให้ไปเผาผีแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า เซอร์เซสกล่าวจบ ก็ออกเคลื่อนพลไป ทิ้งให้เขาถูกรัดเอาไว้กลางทะเล เขาพยายามคลายมันออกแต่ก็ไม่ได้ผล มันรัดแน่นมาก แต่จู่ๆวงแหวนก็คลายออกหลังจากนั้นไม่นาน เขาไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วว่าทำไมวงแหวนถึงคลายออกเอง เพราะตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องที่ต้องไปช่วยภรรยาให้ได้ เขาบินข้ามทะเลมาอย่างรวดเร็วจนเมื่อขึ้นฝั่งมาจนถึงเขตฟูดินันแล้วเขาก็เห็นควันไฟลอยยออกมา จากเมืองในเขตอาณาจักรฟีเลเซีย เขาไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปยังที่นั่นแต่ก็ถูกขวางเอาไว้โดยเหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์อีกครั้ง แต่พวกมันกลับไม่ทำอะไรเขา ได้แต่คอยบินล่อ เขาไปโดย ที่เขาเองก็พ่นไฟไล่ใส่ไปเรื่อยจนเกิดไฟป่า ไม่นานนักพวกดราก้อนเนโครแมนเซอร์ก็ล่าถอยกลับลงไปแอบในป่า ด้วยความโกรธแค้นทำให้เขาลงไปอาละวาดโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำให้พวกชาวบ้านที่อพยพกันอยู่ถูกเขาฆ่าตายจนหมด ซึ่งก็รวมไปจนถึง แม่แท้ๆของ ลอว์เรนซ์ด้วย .. . ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวกับการกระทำนี้หรอกนะ หลังจากนั้นศาลสูงแห่งมิติมังกร ก็ตัดสินลงโทษข้าฐานที่ไปก่อความเสียหายให้มนุษย์โดยเนรเทศข้าอออกจากมิติมังกรเป็นเวลา 8 ปีและได้มอบหมายหน้าที่ให้ข้าตามสืบเรื่องขององค์กรโฮลี่ไนท์แมรืหลังจากนั้นมาข้าก็ได้ร่วมเป็นสมาชิก ในการปราบปรามพวกโฮลี่ไนท์แมร์ของกองกำลังมังกร ที่นำโดยดีวายดราก้อน และนายพลซารามันเดอร่า พ่อต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกกล่าวอะไรแก่เจ้าเลย เทียแมตกล่าวด้วยกิริยาสลดตอนนี้พวกเขาได้รู้สาเหตุแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 24 รัตติกาลที่เปี่ยมด้วยความเมตตา แล้ว Post by: greamon on July 13, 2008, 06:55:05 PM ว่าแต่ตอนนี้เราไปช่วยพวกนั้นกันก่อนดีกว่าไหมนี่มันนานมากแล้วนะ
วิลถามซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วย พวกเขาจึงขึ้นขี่แกรนเดครอสตรงไปยังยอดเขาที่พวกเจนัส สู้อยู่ ทว่าทันทีที่ไปถึง ภาพตรงหน้าก็สร้างความสะเทือนใจแก่พวกเขาเป็นอันมาก แม่ทัพมังกร กำลังสู้อยู่กับเจนัสและริคุ ซ฿งไม่มีพล้งพอที่รับมือได้ต่างก็ล้มพ่ายไป นีน่าและลากูน่าเองก็ได้รับบาดเจ็บ หนัก โดยลากูน่ามีแผลถูกที่เข้าที่ท้อง ส่วนนีน่า นั้นถูก ฟันเข้าที่แขนจนเป็นแผลเหอวะ เรโค่ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงหน้าผลึกน้ำแข็งที่กักขังเซโร่เอาไว้ แกรนเดครอส และ เทียแมต ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปต่อกรกับแม่ทัพมังกรเมื่อเขา คืดจะหันมา จับตัว ลอว์เรนซ์ โดยที่ลูกมังกรทั้งหกก็เข้าไปช่วยด้วย ทำไม ..ทำไมกัน..ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ Lr กล่าวเสียงสั่น พวกเทียแมตที่เข้าไปสกัดเอาไว้นั้น ก็สร้างความ ลำบากให้แก่แม่ทัพมังกรอยู่บ้าง แต่ทว่าพวกเขาก็ถูกแม่ทัพมังกรเล่นงานจนแตกพ่ายอยู่ดี ลอว์เรนซ์ที่ได้แต่ยืน ตาจ้องเขม็ง กับภาพความพ่ายแพ้ ของทุกๆคน เพื่อนๆของเขาถูกทำร้ายจนปางตาย ภายในตอนนี้หัวของเขาโล่งไปหมดหัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ต่างๆนานา แม่ทัพมังกรเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ขยับหนี เพื่อนๆของเขาส่งเสียงเรียกให้เขาหนีไป แต่ว่าเสียงเหล่านั้นก็ไปไม่ถึงเขาเสียแล้ว เราจะไปกันหรือยังล่ะท่านผู้นั้นรออยู่ แม่ทัพมังกรกล่าวพร้อมกับ ยื่นมือไปแตะไหล่ของเขา แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ ตอนนี้แววตาของเขานั้น เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ดูเย็นชาและไร้อารมณ์ ผมเผ้า หย่อนลง เขายิ้มอย่างมีเลศนัย อย่ามาแตะตัวข้าไอ้สวะ เขากล่าวเสียงเหี้ยม ก่อนที่จะตวัดดาบซึ่งมีคมเป็นสีแดงรูปร่างแปลกประหลาด ฟันแขนของแม่ทัพกรจนขาดท่อน แม่ทัพมังกร ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด โลหิตที่ไหลออกมากระเด็นเปรอะเปื้อน ใบหน้าของ Lr นั่นยิ่งทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวกว่าที่แล้วมาอีก ปีกนกสีดำขนาดใหญ่กางออกมาจากหลังของเขา ดราก้อนฮอลลี่ เริ่มปล่อยควันสีดำออกมา เข้าคลุมร่างของเขาก่อนจะจางออกไป เผยให้เห็นร่างของอัศวินมังกร ร่างของมันหาได้ปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรเหมือนอย่างทุกทีไม่ หากแต่เป็นเหล็กไหล ปีกของมันมีรูปร่างคล้ายกับดาบที่ Lr ถือเมื่อครู่ซึ่งตอนนี้ ดาบนั้นได้เปลี่ยนรูปไปเป็นดาบยาวแบบคาตานะของพวกซามูไร เมื่อใดที่ความกลัวแข็งแกร่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจก็ล้วนต้องสยบ นามกรของข้าคือ มุรามาซะโซล (Muramasa Soul) ร่างนั้นกล่าวก่อนจะควงดาบยาวในมือพร้อมกับที่มันเปลี่ยนรูปไป กลายเป็นทวนยาว (http://u0.popcornfor2.com/show/1ZH055b2_thumb.jpg) Fear Slash สิ้นเสียงทวนยาวในมือก็สลายตัวกลายเป็น กลีบดอกสีดำจำนวนมาก ก่อนจะพุ่งเข้าโถมใส่ ร่างของแม่ทัพมังกร ทันทีที่พายุกลีบดอกไม้พุ่งผ่านไปร่างของเขา กลายเป็นชิ้นๆและสลายไป พร้อมกับที่กลีบดอกทั้งหมดกลับมารวมกันเป็นทวนยาวอีกครั้ง ลอว์เรนซ์ ไลท์เอ่ยขึ้นสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของ มุรามาซะโซล ด้วยความตะลึง ในวิธีการสังหารที่เหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนา พวกแกก็จงหายไปด้วยซะเลย มุรามาซะโซล กล่าวจบก็สลายทวนของตนให้เป็นกลีบดอกอีกครั้ง และสั่งให้มันพุ่งไปหาพวกเขากลีบดอกจำนวนมาก พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของนีน่า แต่เจนัสได้เอาตัวเข้ามาขวางไว้ โดยทำแล้วว่าตนคงไม่รอดแน่ แต่แล้วกลีบดอกทั้งหมดก็ ปลิวว่อนออกจากตัวเขาไปหมด มีกระแสลมซึ่งพัดมาจากด้านบน กลีบดอกทั้งหมดกลับไปรวมตัวเป็น ทวนยาวอีกครั้ง มุรามาซะโซลพยายามจะมองหาผู้ที่สกัดการโจมตีของตนและเมื่อหันขึ้นไปบนฟ้ากริฟฟิน ตัวหนึ่งซึ่งขนของมันทอประกายเป็นสีรุ้ง กำลังบินอยู่เหนือพวกเขา มันโรยตัวลงมา ขวางพวกเขาเอาไว้จากมุรามาซะโซล ผู้ที่ขี่กริฟฟินนั้นก็คือกาเทียนั่นเอง ทันทีที่กาเทียปรากฏต่อหน้าของนีน่า นางก็จำได้ทันทีว่า เขาคือลูกพี่ลูกน้องของนาง พร้อมกับความทรงจำในวัยเด็กที่นางถูกเหล่าญาติๆพากันเกลียดชัง มีเพียงกาเทียเท่านั้นที่คอย ปลอบโยนนาง ในวันที่ทำพิธีรับสืบทอด ซึ่งการที่นางได้เป็นผู้รับสืบทอดนั้น ทำให้เหล่าญาติๆไม่พอใจและคิดจะฆ่านางเสีย ในตอนนั้นเจนัสได้เข้ามาช่วยนางและฆ่าพวกญาติ ที่จะสังหารนางจนหมด ในวันนั้นกาเทีย ที่คิดจะหนีออกจากตระกูลซึ่งเขาได้คิดจะมาช่วยนางหนีออกไปด้วย ก็ได้มาพบนางและได้เห็นว่าเจนัส ลงทมือสังหารทุกคน ซึ่งนางเข้าใจว่ากาเทียคงจะคิดว่าเจนัสเป็นศัตรู ตอนนี้ความวิตกเริ่มเกิดขึ้นมาแล้ว หากพี่ชายเธอเห็นเจนัสก็คงไม่วายที่จะเข้ามาประหัตประหารกันเป็นแน่ (ไมมันสร้างศัตรูเยอะจังวะเนี่ยไอ้เจนัส) นี่นายน่ะเจนัสใช่มั้ย กาเทียถามซึ่งเจนัสเองก็พยักหน้ารับซึ่งนีน่าเองก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ แต่คำตอบของกาเทียนั้นทำให้นางแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง หนี้ที่นายช่วยนีน่าไว้เมื่อสี่ปีก่อนน่ะชั้นมาใช้คืนให้แล้ว ที่แล้วมาขอบใจมากนะ กาเทียกล่าวสร้างความฉงนให้แก่ทุกคนยิ่งนัก นี่นายรู้แล้วเหรอ เจนัสเปรยเสียงเบา อืม ปราชญ์มังกรชื่ออีสควอทียบอกให้ชั้นรู้หมดแล้วล่ะ รวมถึงเรื่องพลังด้านลบของดราก้อนฮอลลี่ แผ่ออกมาตอนนี้ด้วย แต่ดูเหมือนชั้นจะมาช้าไปนะ กาเทียกล่าวพร้อมกับกระชัดดาบในมือแน่นริคุที่เห็นดาบเล่มนั้นก็ตาเบิกโผลงด้วยความตะลึง นั่นมันดาบศักดิ์สิทธ์แห่งเฟ็นเรีย ชินเซเบอร์(Shin Saber) นี่นายไปเอามาได้ยังไงกัน ริคุถามด้วยความสงสัย อ๋อนี่น่ะเหรอ ชั้นเก็บมันได้ตอนออกเดินทางเมื่อหลายปีก่อนน่ะ แสดงว่านายคือคนของเฟ็นเรียสินะ กาเทียหันมาถามริคุซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ งั้นก็ดีเลยรู้วิธีใช้ใช่ไหม กาเทียถาม อืมแต่การจะปลดปล่อยพลังของชินเซเบอร์น่ะต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วเท่านั้นโดยต้องตั้ง จิตมั่นนึกถึงสิ่งที่คิดจะปกป้องเพราะมันเป็นดาบที่เกิดมาเพื่อการนั้น ริคุกล่าว ถ้าเรื่องนั้นไม่มีปัญหาเพราะชั้นได้รับเลือกจากมันแล้ว สิ้นคำกาเทียทำสมาธิของตนให้แน่วแน่ ก่อนที่ดาบจะเปล่งแสงออกมา เกิดสายฟ้าฟาดลงมาตรงหน้าเขา พร้อมกับการปรากฏตัวของ มังกรปีกสีขาวขนาดใหญ่ มันเป็นมังกรในตำนานซึ่งคืออาวุธแห่งเหล่าทวยเทพ โกรอทพาลม่า(Gorothparma , the Weapon of Gods) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/22.jpg) หึอาวุธเทพโกรอทพาลม่ารึคิดจะเอาไอ้มาสู้กับข้ารึไงกัน มุรามาซะโซล หัวเราะในลำคอด้วยความขบขัน ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าปะทะกับโกรอทพาลม่า ซึ่งแม้โกรอทพาลม่าจะทรงอานุภาพแค่ไหนแต่ก็เคลื่อนไหวได้เชื่องช้าจึงตกเป็นรอง มุรามาซะโซลในทันที White Thunder (สายฟ้าขาว) (รู้สึกจะเหมือนบีสต์เทพมรณะเข้าไปทุกทีแล้วสิ) สิ้นเสียงสายฟ้าสีขาวจำนวนห้าสายก็พุ่งลงมาจากฟ้า แต่มุรามาซะโซลก็หลบได้ทั้งหมดก่อน จะเปลี่ยนทวนให้เป็นกลีบดอกไม้และส่งมันถาโถมใส่โกรอทพาลม่า แต่กลีบทุกกลีบก็ถูกคลื่นไฟฟ้าจากตัวโกรอทพาลม่า สกัดเอาไว้ก่อนจะถึงตัว ทันทีที่กาเทียตวัดดาบ โกรอทพาลม่าก็ส่งแรงดันไฟฟ้าออกมา ทำให้กลีบทั้งหมด พุ่งเข้าเล่นงานตัวมุรามาซะเสียเอง แต่กลีบทั้งหมดก็กลับมารวมตัวกลายเป็นทวนก่อนจะถึงตัวเขา สามารถควบคุมโกรอทพาลม่า ได้อย่างคล่องแคล่วจริงข้าขอชมเชย แต่การที่เจ้าต้องประคองพลังอันมหาศาลขนาดนั้นไว้น่ะมันคงจะหนักมาสินะงั้นอีกไม่นานก็จบเกมส์หึๆ มุรามาซะโซล ยิ้มเยาะด้วยความพึงพอใจ ซึ่งนั่นก็จริงเพราะตอนนี้กาเทียเริ่มหอบเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว กับการที่ต้องคุมพลังอันมหาศาลของโกรอทพาลม่า หากยื้อไว้นานเขาอาจสูญเสียการควบคุมได้ ปิดฉากซะโกรอทพาลม่า.. กาเทียกล่าวจบก็ตวัดดาบอีกครั้ง โกรอทพาลม่าจึงยกกรงเล็บทั้งสองข้างขึ้นมาประสานกัน และเริ่มสะสมประจุไฟฟ้าในอากาศ มาเรื่อยๆจนเกิดเป็นคลื่นไฟฟ้าไหลเป็นสายไปมาระหว่างกรงเล็บ Lighting Claw (กรงเล็บอัสนีบาต) สิ้นคำคลื่นแสงสายฟ้าก็ถูกตวัดออกจากกรงเล็บ เข้าถาโถมใส่มุรามาซะโซล ทว่ามุรามาซะโซลก็ ควงทวนอย่างรวดเร็วจนมันหมุนเป็นใบพัดดูดกลืนเอาแสงเหล่านั้นเข้าไป จนสิ้นก่อนจะย้อนมันกลับไปยิงใส่โกรอทพาลม่า ที่ใช้พลังไปจนสิ้น จึงไม่อาจขยับได้ ทำให้ต้องรับการโจมตีของตนอย่างจังก่อน จะสลายเป็นแสงกลับขึ้นฟ้าไป กาเทียได้ใช้พลังของตนจนหมดสิ้นไปแล้ว ก็ทรุดล้มลง มุรามาซะโซลเดินเข้ามาใกล้ พวกเขา ก่อนที่จะยกทวนขึ้นเพื่อจะจบชีวิตของเขา เจนัสก็เข้ามาคว้าขาของเขาไว้ อย่านะลอว์เรนซ์ พอได้แล้ว ศัตรูมันก็ไปกันหมดแล้วเราจะมาสู้กันเองทำไม เจนัสกล่าวขณะที่คว้า ขาของเขาเอาไว้แน่น เขามองลงมายังเจนัสที่ร่อแร่เต็มที ด้วยสายตาดูถูกเหยีดหยาม พวกสวะอย่ามาแตะตัวข้า ปล่อยซะไม่งั้นแกก็ตายคนแรกเลย เขากล่าวจบก็ย้ายทวนมายังเจนัสก่อนที่จะทันได้แทงลงไป ก็มีเส้นเอ็นพุ่งเข้ามารั้งมือเขาไว้ เรโค่เป็นผู้ที่ยับยั้งเค้าไว้น่ะเอง คิดจะช่วยมันรึ งั้นก็ตายซะ สิ้นคำมุรามาซะก็ สลายทวนให้เป็นกลีบดอกอีกครั้ง และส่งมันไปพัดร่างของนางและเซโร่ที่ถูกผนึกในน้ำแข็งให้ร่วงหล่นลง ไปจากยอด และหายลึกลงไปในหุบเหว ก่อนจะเรียกกลีบกลับมา รวมเป็นทวนอีกครั้ง ลอว์เรนซ์ ลากูน่ากล่าวเสียงอ่อยขณะที่เข้าคว้าขาอีกข้าง ของเขา หึ..พวกแกนี่อาลัย อาวรณ์กันดีจริงๆนะแต่ก็ต้องขอบใจความเป็นห่วงกันและกันของพวกแกนี่ล่ะเพราะ ข้าเกิดขึ้นมาจากความกลัวของเจ้าของร่าง คำพูดของมุรามาซะโซลทำให้พวกเขา สงสัยขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ลอว์เรนซ์กันแน่ กลัวงั้นเหรอ อย่างนายน่ะเหรอกลัว ลอว์เรนซ์ ไม่จริงหรอกกี่ครั้งมาแล้วที่นาย สู้มาตลอดนายเคยกลัวอะไรซะที่ไหนล่ะลอว์เรนซ์ เจนัสกล่าว ซึ่งมุรามาซะโซลที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวตอบ จริงของเจ้า เดิมทีเจ้าของร่างข้าไม่เคยกลัวศัตรูหน้าไหนอยู่แล้ว แต่ความกลัวนี้มันไม่ใช่กลัวศัตรู มุรามาซะตอบ ถ้างั้นกลัวอะไรล่ะ..อะไรที่ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้ ลอว์เรนซ์ ลากูน่ากล่าวถามบ้าง กลัวที่จะสูญเสียยังไงล่ะ ความกลัวที่จะต้องเสียพวกเจ้าที่เป็นเพื่อนไป กลัวที่ไม่อาจช่วยพวกเจ้าได้ ความกลัวนั้นทำให้เกิดความต้องการพลังและมันก็คือที่มาของพลังซึ่งก็คือตัวข้ายังไงล่ะ มุรามาซะโซลกล่าว พวกเจนัสที่ด้ยินดังนั้นจึงปล่อยขาของเขาออก นั่นทำให้เขา เกิดความสงสัยขึ้นมา หมดอาลัยตายหยากแล้วหรือไง หือ เขาถามด้วยความอยากรู้ แต่เจนัสก็ยันตัว ขึ้นมาพร้อมกันกับที่นีน่าลากูน่า เองก็ลุกขึ้นมาแล้ว รู้อะไรไหม พวกชั้นทำไมถึงได้เอาแต่หมอบอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้โดยที่ไม่ลุกขึ้นมาเลย เจนัสเปรยเสียงเรียบ นั่นก็เพราะเรารอเวลาอยู่ไงล่ะ ลากูน่าต่อท้ายให้ ทำให้ความสงสัยของเขายิ่งทวีมากขึ้น พร้อมจะตื่นหรือยังล่พ ลอว์เรนซ์ นีน่ากล่าวจบพวกเขาทั้งสามก็กลายร่างเป็นสมิงทันที ผลจากแอมเบอร์ฟอร์มที่ผนึกพลังกลายร่างของเจนัสได้หายไปแล้ว พวกเขาทั้งสามพากันรั้งตัวมุรามาซะโซลเอาไว้ ซึ่งแม้มุรามาซะโซลจะมี พลังมากแค่ไหน แต่การที่ถูกทั้งสามเข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ก็ทำให้เขาไม่อาจรับมือได้ทัน จนในที่สุดพวกเขาก็ล้มลง ไป มุรามาซะยังคงพยายามดิ้นให้หลุดอยู่อย่างไม่ย่อท้อ ตื่นขึ้นมาซะที ลอว์เรนซ์ ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว เจนัสกล่าวขณะที่ออกแรงรั้งตัวเขาให้มากขึ้น พวกเราไม่เป็นอะไรแล้ว นายไม่ต้องสู้อีกแล้วลอว์เรนซ์ ลากูน่าออกแรงกดให้มากกว่าเดิมขณะที่กล่าวไปด้วย กลับมาได้แล้วเรารอเธออยู่นะลอว์เรนซ์ นีน่ากล่าวขณะเดียวกัน พวกลูกมังกรก็ เข้ามาช่วยรั้งตัวเอาไว้ด้วย หนอยเจ้าพวกสวะน่ารำคาญ มุรามาซะโซล คำรามก้องก่อนจะผลักทุกคนกระเด็นออกไป ทว่าก็มีเส้นเอ็นลวด พุ่งเข้ามาตรึงเขาไว้อีก เรโค่ที่บินขึ้นมาจากก้นเหว พร้อมกับเหล่าภูตสาวทั้งสองตนที่ช่วยยก ร่างของเซโร่ที่ยังคงอยูในผลึกน้ำแข็งขึ้นมาด้วย เทียแมตกับแกรนเดครอสก็เข้าตรึงแขนและขาของเขาเอาไว้เช่นกัน ตอนนี้เขาไม่อาจดิ้นให้หลุดได้อีกแล้ว แล้วจะทำยังดีล่ะ เรียกเท่าไหร่เค้าก็ไม่รู้สึกตัวซักที เจนัสกล่าวขณะที่ยันตัวขึ้นมา กีซซซซซ (จริงสิจี้ห้อยคอที่เราได้มาจากคุณปู่ไง) วิลเปรยขึ้นขณะที่คิดหาทาง ช่วยเขาก็นึกขึ้นมาถึงคำพูดของปู่ตอนที่รับจี้ห้อยคอนี้มา ซึ่งมันเป็นของที่เกรเกอรี่มอบให้ ซึ่งมันมีพลังที่จะขับไล่ความชั่วร้าย ออกจากร่างได้ ในตอนที่ทุกคนโดนมนต์สะกดของจาไนท์ ในวันแรกที่เขาไปเรียน จี้ห้อยคอนี้ก็ได้ช่วย ลอว์เรนซ์มาไว้ครั้งนึงแล้ว กีซซซซซซซ (เออใช่สร้อยของวิลไง เอามันไปใส่ให้ลอว์เรนซ์เร็ว) นิทินโคกล่าวจบพวกเขาก็เอาจี้ห้อยคอไปคล้องให้มุรามาซะโซล ซึ่งทันทีที่ ค้องลงไปมุรามาซะโซลก็ ร้องโหยหวนออกมา และดิ้นพล่านมากกว่าเดิมจน สลัด แกรนเดครอส กับ เทียแมตออกไป แต่เมทาไนท์กับกาเทียก็เข้ามารั้งแขนของเขาไว้ ไม่ให้ดึง จี้ ออก จากนั้นทุกคนก็เข้ามารวบตัวเขาไว้ จนขยับไม่ได้เรโค่ และภูตสาวทั้งสองก็เข้ามาช่วยด้วย กีซซซซ (ตอนนี้ล่ะถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็เสียงของพวกเราต้องส่งไปถึงเขาแน่) อควา กล่าวจบพวกเขาก็ช่วยกันเรียกลอว์เรนซ์ ให้คืนสติ เสียงเรียกของทุกคนดังก้อง ไปทั่วจนมุรามาซะโซลที่ถูกพลังของจี้เล่นงานอยู่ กับเสียงของทุกคนที่คอยเรียกให้ลอว์เรนซ์ ฟื้นขึ้นมา ทำให้พลังของเขาหมดไป ก่อนที่จะแน่นิ่งไม่ไหวติ่ง ตาเหลือกขึ้นและสลายร่างกลับเป็น ลอว์เรนซ์(Lr) อีกครั้ง เขาค่อยๆเบิกตาขึ้น ทุกคนที่เห็นเขาฟื้นต่างก็พากันโล่งใจและโห่ร้องด้วยความ ปิติยินดี .............. ........................ ............................... หลังจากนั้น กาเทียและนีน่าก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แก่ทุกคนแต่ว่าตัวนีน่าเอง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ที่เธอทำร้ายเจนัสไป ทั้งที่เจนัสเองก็ไม่ได้ถือโกรธอะไร ริคุ ที่กลับมาแล้วนั้น ก็ได้ขอแยกทางกับพวกเขาไป โดยไม่ได้บอกกล่าว เพราะไม่อาจ ละทิ้งความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำกับพวกเจนัสตลอดที่แล้วมาในตอนที่เขาเป็นเครสเซนท์ได้ จึงออกเดินทางไปเพื่อที่จะสำนึกผิด ส่วนนอฟฮอฟก็ได้สนทนากับพ่อของเธอเทียแมต อย่างเปิดใจ ทว่า Lr กลับซึมเศร้าไปหลังจากที่ได้กลายเป็นมุรามาซะโซล และ ทำร้ายเพื่อนๆของตนลงไป เรโค่ได้พาเซโร่ที่ถูกแช่แข็งไว้ ไปที่อื่นด้วยมนต์เคลื่อนย้ายพร้อมกับตัวเธอเอง โดยไม่บอกอะไรทิ้งไว้ บันทึกที่ได้รับมานั้นกาเทียรับอาสาเป็นคนเอาไปส่งให้แก่เกรเกอรี่เอง พร้อมกับจะไปแจ้งเรื่องที่ฐานกำลังทางเหนือถูกทำลายไปแล้ว เขาจึงออกเดินทางไปภายในวันนั้นเสีย ส่วนพวก Lr นั้น ตกลงกันว่าจะเดินทางกลับกันหลังจากที่แผลหายดีและขอเวลาทำใจซักระยะ ตอนนี้การต่อสู้ของพวกเขาได้จบลงโดยกวาดล้าง เทพขุนพลไปได้หลายคนแล้วเช่นกันบัดนี้เหลือเทพขุนพล อีกเพียง5 คนเท่านั้น หลังจากนี้ไปการต่อสู้ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าทุกครั้งเป็นแน่ Endding Dragoon Age โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้าจะเป็นการขึ้นต้นของภาคสุดท้าย The Last Legend of The Thaliwilya หลังจากที่กรำศึกหนักมาโดยตลอดเหล่านักรบก็ได้ มีโอกาสพักจากการต่อสู้เสียที พวกเขาได้นึกย้อนรำลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ สุขสันต์วันเกิด งานแห่งการระลึกถึงอดีตที่เต็มไปด้วยความเศร้า จากนี้ไปอนาคตที่สดใสคงจะรอพวกเราอยู่.. ความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง ที่รอพวกเจ้าอยู่จากนี้คือนรกต่างหากล่ะ คำตอบจากพญามาร หนทางที่มืดลง คิดจะอยู่กับพวกมดปลวกนี่ไปถึงไหนข้ามารับเจ้าแล้วซาราเบลด ท่านผู้นั้น..แกเป็นใครกันแน่ ข้าคือคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าดีที่สุดไม่ว่าแม่ของเจ้าเป็นใครและพี่ชายเจ้าเป็นใครรวมไปถึง เชื้อกำเนิดของเจ้าด้วย ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด รู้ว่าเราเป็นใครงั้นเหรอ..นี่รึว่าแกคือ ถูกแล้วข้าคือ ? ของเจ้าไงล่ะ ความจริงที่ปรากฏ ตัวตนที่แท้จริงของท่านผู้นั้นคือ อย่าไปนะ ลอว์เรนซ์ ลาก่อนนะ..ทุกคน หนทางที่ไร้ทางเลือก สุดท้ายแล้วนี้ จากอดีตที่รันทดก็จะนำไปสู่อนาคตที่ไม่มีวันสดใสจริงหรือ และซาราเบลดคืออะไรติดตามได้ในตอนต่อไป บทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นหมอง รู้สึกบทนี้มันน้ำเน่ามากๆเลย นะครับเจนัสมีบทเยอะกว่าทุกทีเลยแหะ แถมตอนนี้เหมือนมาส์คไรเดอร์คาบูโตะเลยอ่ะนี่ผมคิดไว้นานแล้วนาตั้งแต่ยังไม่เคยดูคาบูโตะเลย ไปๆมาๆไปซ้ำกันซะงั้นช่างเถอะอย่าไปถือเลยครับไม่ใช่ส่วนสำคัญ ว่าแต่ตอนหน้าเปิดภาคมาก็มันส์เลยท่านผู้นั้นออกโรงเองเลยเหอๆแล้ว จะสู้ไหวมั้ยเนี่ย Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: boy on July 13, 2008, 08:48:52 PM พระเอกของเราจะตายอย่างนั้นเหรอ ::006::
ปล.เนื้อเรื่องภายหลังเศร้ามากเลย เหมือนเรื่อง d gray man ยังไงไม่รู้ ความจริงโหดร้ายกว่าที่คิด ::008:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: greamon on July 13, 2008, 09:00:15 PM เอ่อคือตายเลยเหรอครับ อ่านตอนต่อไปมันชวนให้เข้าใจผิดขนาดนี้เลยเหรอ ::006::
ไม่ตายคร้าบตายก็จบสิเอ็ะหรือว่าตายแล้วเปลี่ยนพระเอก ช่างเถอะว่าแต่บทที่ 26 นี่ผมอัพวันศุกร์เลยนะครับ เพราะมันเป็นวันหยุดยาวสี่วัน เพราะฉนั้น จะลงให้สองตอนเลยถ้าเป็นไปได้ก็ถ้าทันล่ะนะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: cocka-c on July 15, 2008, 02:28:32 AM โฮ้โฮ่ๆๆๆๆๆ การูรูม่อนมาแว้วววววว คราวก่อนเราแอบเอาไอดีเจ่าเกรย์มา
ตั้งแบบสอบถามมันก็ดันไปลบ คราวนี้ล่ะมันลบไม่ได้แน่เพราะเราเอาไอดีตัวเอง 555555+ วันนี้เดี้ยนจะมาขอถามหน่อยฮ้า ตั้งแต่บทที่24-25มาเนี่ยมีตัวละครล้มหายตายจากไปเยอะจริงๆโดยเฉพาะเทพขุนพลเนี่ยล่ะตายเยอะมาก ถึงก่อนหน้านี้มาจะน่าหมันไส้มากๆก็เถอะ แต่ในบทที่25นั้นได้มีซีนของเทพขุนพล คนนึง ที่แสดงมาดเท่ห์ออกมาฮิฮิ รู้สึกบทพูดจะอันนี้นา ถูกใจเดี้ยมมากเลยฮ้า Quote “ เพื่อนงั้นหรือ ความเชื่อใจงั้นหรือ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากจะลองสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับพวกเจ้าดู บ้างเหมือนกันมันคงเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย ” ความนึกคิดสุดท้ายของเครสเซนท์ที่หวังจะได้ต่อสู้โดยมีพวกพ้องที่เชื่อใจกันนั้น คือสิ่งสุดท้ายที่เขาไม่อาจได้สัมผัสจนวาระสุดท้าย ประโยคนี้ล่ะถูกใจสุดๆ แมนอะไรอย่างนี้ ว่าแล้วเดี้ยนก็ขอถามเลยนะฮ้าว่า คุณผู้อ่านทุกๆท่าน คิดว่าเทพขุนพลคนไหนน่าเห็นใจมากที่สุดในบทที่ 25 ลองเลือกมาซักสองสามคนจากนี้ดูนะฮ้า 1.เจนัส ถูกซ้อมไปหลายดอกเลยตบทนี้ 2.นีน่า เข้าใจผิดว่าเจนัสฆ่าญาติๆของเธอเพื่อต้องการให้เธอทรมานทั้งที่จริง แล้วช่วยเธอเอาไว้จากพวกญาติที่ต้องการจะฆ่าเธอ 3.เครสเซนท์ ยอมสละชีวิตของตนเพื่อช่วยพวกเจนัส 4. เซอร์เซส น่าเห็นใจตรงไหนเนี่ย 5. นักประดิษฐ์เกือบไม่รอด 6. แม่ทัพมังกร Dragon General ถูกฆ่าแบบอำมหิตหลุดเป็นชิ้นๆ อ้าาาา ชอบตัวถูกใจยังไงก็บอกมาเลยฮ้า ส่วนสุดท้ายยังจำประโยคนี้ได้ไหมเอ่ย “ ถูกแล้วข้าคือ ? ของเจ้าไงล่ะ ” ? เจ้าเครื่องหมายในบทพูดนี้เจ้าเกรย์ม่อนมัน ละไว้เพื่อไม่ให้เนื้อเรื่องรั่วแต่ก็พอจะเดาได้รางๆว่า นี่คือคำที่จะบอกถึงสถานะ ของท่านผู้นั้นซึ่งน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับ Lr บ้างล่ะน่ะ ถามมันมันไม่บอกด้วยให้รอดูเอาเอง ก็เลยกะจะมาทายกันเล่นมันบอกใบ้มาให้ด้วย ลองมาทายกันดีกว่านะ “ ถูกแล้วข้าคือ ? ของเจ้าไงล่ะ ” ? ในประโยคคือ 1. คนรัก(สงสัยจะเป็นเทียจัง จากตอนวันวาเลนไทน์) . 2. คู่เกย์ ::010:: อ่านะเอ่อ.... โนคอมเม้น พูดไม่ออก 3.แม่ อันนี้สิน่าจะเป็นไปได้ 4.ตัวตนด้านมืด ถ้าเป็นอันนี้ล่ะก็ ยูกิเกมกลคนอัจฉริยะชัดๆ 5. คนที่ฆ่าพ่อ...เคาท์พันปี 555+ เอ่อ d Gray Man เหรอ ไม่เคยดูอ่า 6.พี่ชาย ตกลงไม่ใช่เมทาไนท์ใช่มะ ::006:: 7. คนเขียนเรื่องนี้ ไม่มีทางตอบข้อนี้ชัวร์ ส่วนตัวแล้วเจ็ ขอเลือกข้อ 1 กะ 3 ดีกว่าน่าจะเป็นไปได้ ส่วนข้ออื่นๆนี่โดยเฉพาะข้อ 2 5 6 และ7 เนี่ยถ้าใช่เราก็เลิกกันเหอะมันคงบ้าไปแล้ว ถ้ายังไงลองเอาไปทายเล่นดูนะ ต้องรีบชิ่งก่อนเดี๋ยวมันมาบายฮ่ะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: boy on July 15, 2008, 03:41:35 PM คนที่น่าเห็นใจน่าจะเป็นนีน่า (ขอพ่วงตามด้วยลอเรนซ์)
ส่วนอีกอันน่าจะเป็นคุณพ่อของลอเรนซ์หรือเปล่า Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: greamon on July 16, 2008, 01:39:59 AM โอ้ว เจ้าการูรูม่อนสุดท้ายก็มาป่วนจนได้นะ ไม่อยากเชื่อ คุณ boy ทายถูก
ทั้งที่ไม่มีในช้อยนะน่ะ เจ้าการูรูม่อนก็นะอุตส่าให้ช้อยหลอกๆไปมันยังอุตส่าลำบากมาตั้งเน้อ เอาเถอะครับเดี๋ยวรอดูวันศุกร์นี้ดีกว่า เพราะอาทิตย์นี้ว่าจะอัพเพิ่ม2บทเลย ที่จริงพูดความสัมพันธ์ของตระกูลสามตระกูลนั้นดูจะยังไม่ค่อยกระจ่างดีเลย อ่านแล้วยัง งงๆ กันอยู่บ้างไหมครับถ้ายัง งง อยู่ล่ะก็รอดูวันศุกร์นี้ครับ เพราะจะเกริ่นเรื่องทั้งหมดในอดีตให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบเลยครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: greamon on July 18, 2008, 07:13:15 PM Last Legend of The Thaliwilya
บทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นหมอง 9 ปีก่อน ณ อาณาจักรแห่งเกียรติยศอันเกรียงไกรฟีเลเซีย ซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆฝน เม็ดฝนหยาดใหญ่ โปรยปรายให้ความชุ่มชื้นแก่ ผืนดินลมอ่อนคอยพัดโชยสายฝนให้สาดกระเซ็นไปต่างหน้าต่าง ก่อนจะไหลลงสู่ดิน เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มขึ้นจากตรงนี้ ยังคฤหาสน์ ซึ่งตั้งอยู่ ในเมืองเอรีมซึ่งได้บูรณะขึ้นมาหลังจบสงครามสี่อาณาจักรได้ไม่กี่ปี คฤหาสน์หลังนี้ ตั้งอยู่ในสวนซึ่งล้อมรอบด้วย สวนหย่อม ที่หน้าประตูใหญ่กลุ่มคนซึ่งมีด้วยกันถึงสิบกว่าคนขึ้นไป กำลังชุมนุมกันอยู่หน้าคฤหาสน์โดย ที่กลุ่มหลังนั้นเป็นนายทหารกว่าสิบคน และกลุ่มด้านหน้าซึ่งสาวรับใช้ สี่โดยแต่คนจะถือ เสาไม้ยาวเรียวซึ่งขึงผ้าใบสีแดงขลิบทองเอาไว้เหนือหัวจนดูราวกับ เป็นเต็นท์ผ้าใบกันฝนเคลื่อนที่ได้ ที่ใต้ร่มนั้นนอกจากสาวรับใช้ ได้มีกลุ่มคนอีกหก กำลังสนทนากันอยู่ใต้ร่ม โดยที่ชายวัยกลางคนซึ่งมีผมสีทองสวมชุดเกราะเต็มยศมือทั้งสอง โอบอุ้มหมวกเหล็ก เอาไว้ และข้างกันนั้น หญิงผมทองสวมชุดผ้าไหมกระโปงจีบเป็นชั้น นางจูงมือเด็กชายซึ่งอายุประมาณห้าปีได้ เขามีผมสีทองเช่นเดียวกับแม่และพ่อของเขา ถัดไปจากนั้น ครึ่งสมิง หมาป่าขนสีดำในชุดเสื้อคลุมใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยเคราสีขาว และข้างนางครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงินซึ่ง มือทั้งสองของนางอุ้มลูกน้อยซึ่งเป็นครึ่งสมิงหมาป่าขนสีดำ เขานอนหลับอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นแม่ ที่ใกล้กันนั้น หญิงชราอีกคนมือทั้งสองของนางกุมหัวไม้เท้าเหล็กซึ่งยันตัวนางเอาไว้ หลังของนางโค้งงอจากความชรา “ ต้องรีบขนาดนี้เลยเหรอคะ ” หญิงผมทองกล่าวน้ำเสียงอ้อนวอน “ งานนี้เป็นเรื่องสำคัญมากข้าต้องรีบไปที่วิหาร St. Laurence โดยเร็วที่สุดเลย ” (วิหารนี้เป็นวิหารที่ สร้างขึ้นเเพื่อเป็นเกรียติแด่ อัศวินมังกรทาลิวิลย่า ตามท้องเรื่องครับ) ชายผมทองกล่าวกับนางซึ่งเป็นภรรยาซึ่งนางเองพอได้ยินเช่นนั้น ก็ก้มสลดลงด้วยความเศร้า “ อย่าห่วงไปเลยข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด ” ชายผู้เป็นสามีกล่าวก่อนจะเหลียวไปมองยังบุคคลทั้งสามที่อยู่ ถัดไป “ ระหว่างที่เราไม่อยู่ขอฝากซาเรีย (Saria) กับกาเร็ท (Garet) ไว้กับพวกท่านด้วยนะ ” เขากล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “ มิได้..ท่านไม่ต้องห่วงฉัน เซโก้ (Seiko) คนนี้ขอเอาชื่อ ตระกูล ลาเซริโอ้ (Laserio) เป็นประกันจะปกป้องตระกูลซาราเบลดให้จงได้ ” หญิงชรากล่าวสำทับเสียงแหลม “ มิได้ท่านอิเดีย (Idia) พวกเรา รูลเวลล์ (Runevel) ได้คอยช่วยเหลือซาราเบลดมา ตั้งแต่อดีตแล้วอีกทั้งแม้ตระกูลเราจะล่มสลายไปแล้วจากการโจมตีของพวกสมิงแต่ท่าน อิเดีย ก็ยังเมตตาคอยอุปการะครอบครัวเราที่เป็นตระกูลหลักมานับว่าเป็นคุณอย่างยิ่งแล้ว หากมีภัยมาเยือนข้าจอมเวทย์ครึ่งสมิง มาฮา รูลเวลล์ (Maha Runevel) ตนนี้จะขับไล่มันไปเอง ” ครึ่งสมิงหมาป่ากล่าว “ และไม่ต้องเป็นห่วงไปหากมีอะไรเกิดขึ้น ข้า ราซานี รูลเวลล์ (Rasanee Runevel) ผู้นี้จะใช้พลังทั้งหมดลี้ภัยไปให้ได้โปรดวางใจ.. ” นางครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงินกล่าว สำทับคำพูดของสามีนาง “ ข้าต้องขอบคุณพวกท่านมากจริงๆ ” อิเดีย กล่าว “ ว่าแต่นะ..ท่านมาฮา ปีนี้ต่อจากเจนัสแล้วลูกคนที่สองท่านจะตั้งชื่อว่าอะไรล่ะฮิฮิฮิ ” เซโก้กล่าวพร้อมกับหัวเราะด้วยหน้าระรื่น “ ข้าว่าคนที่สองจะให้ราซานี เป็นคนตั้งน่ะนะเพราะไหนๆข้าเองก็ตั้งให้เจนัสลูกคนแรกไปแล้วนี่ ” มาฮากล่าว “ ข้าคิดไว้นานแล้วว่าจะตั้งชื่อเค้าว่าลากูน่าเพราะชื่อนี้ข้าไปขอให้ แอสต้าช่วยดูมาให้ตอนที่พาเจนัสไปเยี่ยมนางน่ะ ” ราซานีกล่าว “ จะว่าไปแล้วลูกชายท่านที่พึ่งแต่งกับครึ่งสมิงแมวป่าสาวแห่งตระกูลเฟ็นเรียได้ยินว่าตอนนี้มีลูกสาวมาแล้วนี่ ” มาฮากล่าวถามซึ่ง เซโก้เองก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งกว่าจะกล่าวออกมาได้ “ ใช่แต่น่าเสียดายไม่ทันไรทั้งลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ตายไปหมดแล้ว.. ” นางกล่าวเสียงสลดซึ่งนั้นทำให้ทุกคนรอบข้างถึงกับนิ่งอึ้งไป “ อ..เอ่อคือต้องขออภัยด้วยข้าไม่รู้ว่า.. ” มาฮากล่าวละล่ำละลักแก้ตัวไม่ถูก “ ไม่เป็นไรข้าไม่ถือหรอกอย่าได้ใส่ใจเลยที่จริงมันเร็วเกินกว่าที่ข้าจะตั้งตัวล่ะนะ จู่ๆก็มาป่วยตายแล้วก็ทิ้งหลานสาวไว้กับข้าตอนนี้ข้าทำใจได้แล้วล่ะ ” เซโก้กล่าว “ จริงสินะได้ยินมาเหมือนกันทางตระกูลเฟ็นเรีย มาร่วมพิธีศพเมื่อเดือนก่อน ” อิเดียกล่าว ตามความที่จำได้ “ แล้วหลานสาวเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ” ซาเรียถามด้วยความเป็นห่วง “ ไม่หรอกเพราะนีน่ายังไร้เดียงสาเลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวนักหรอกอ้อ ข้าลืมบอกไป เจ้าลูกชายตั้งชื่อหลานว่านีน่าน่ะที่จริงแล้วพี่สะใภ้ของทางโน้นก็พึ่งจะคลอดลูกครึ่งสมิงพังพอนคนที่สองมาเหมือนกัน รู้สึกคนพี่จะชื่อริคุ นะ ” เซโก้ตอบน้ำเสียงเรียบ พวกเขาสนทนากันถึงเรื่องครอบครัวอยู่พักใหญ่ก่อนที่ อิเดียจะเหลือเวลาไม่มากนักทั้งหมดจึงเดินออกไปส่งเขาพร้อมกับเหล่านายทหารด้านหลังเคลื่อนพลตามออกมาให้ความคุ้มครอง “ คุณคะแล้วชื่อลูกชายของเหล่าอีกคนล่ะคะ ” ซาเรียกล่าวถามด้วยความอาวร เพราะนางรู้สึกว่าเขาจะไม่ได้กลับมาอีก “ อืมชื่องั้นหรือ จริงสิ ลูกคนนี้จะเป็นน้องชายของกาเร็ทแล้วสินะงั้นก็เป็นรุ่นที่ ยี่สิบ แล้วสิ ” อิเดียกล่าวพร้อมกับเกาคางพรางใช้ความคิด “ จะว่าไปแล้วตระกูลเราเองก็มีธรรมเนียมที่สืบต่อกันมาว่า เมื่อลูกหลานรุ่นที่ยี่สิบถือกำเนิดขึ้น เขาคือร่างอวตารของอัศวินมังกรแห่งตำนานซึ่งเป็นต้นตระกูลซาราเบลดของเรา ให้ตั้งชื่อเขาว่าลอว์เรนซ์ เอาตามนั้นก็ละกัน ข้าไปก่อนนะที่รัก ” เขากล่าวจบก็เหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าและควบฝ่าสายฝนออกไปพร้อมกับเหล่า นายทหารหลายสิบนายที่ควบม้าตามออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้นางและลูกชายของตนได้บอกลา ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปและไม่กลับมาอีกเลยจนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไปมาฮาและครอบครัวได้ให้กำเนิด บุตรชายคนที่สองเขาเป็นครึ่งสมิงหมาป่าขนสีเงินและย้ายออกไปอยู่ที่ฟูดินัน หลังจากนั้น ซาเรียได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สองขึ้นมาและตั้งชื่อเขาว่าลอว์เรนซ์ ในขณะเดียวกัน ภัยร้ายก็ได้คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ หลังจากที่โชคชะตาของลอว์เรนซ์ เริ่มเดินขึ้นมา 8 เดือนต่อมา ได้เกิดการจลาจลขึ้น ตั้งแต่ชานเมืองจนมาถึงคฤหาสน์ โดยกลุ่มนักรบมังกรนอกรีต ซึ่งกำลังรักษาการณ์ในเมือง เอรีมตอนนั้น อ่อนแอมาก อีกทั้งกำลังรบของศัตรูยังมากมาย เกินต้านทาน ซึ่งเป้าหมายของพวกนักรบมังกร นอกรีตเหล่านี้คือ โค่นล้างตระกูลซาราเบลด ทว่าตระกูล ลาเซริโอ้ ได้นำกำลังเข้าช่วยเหลือตระกูลซาราเบลดอย่างสุดกำลังแต่ท้ายสุดแล้วก็ไม่อาจต้านไว้ได้ จนทำให้พวกศัตรูบุกเข้าไปในคฤหาสน์ได้ โชคยังดีที่ในวันนั้นมาฮาและครอบครัวได้แวะมาที่คฤหาสน์พร้อมกับเซโก้ทำให้มีคนพอที่จะคุ้มครองซาเรียและลูกๆได้ “ รีบพาท่านซาเรียหนีออกไปทางด้านหลังที่นี่ข้าจะรับมือเอง ” หญิงชราเซโก้กล่าวเสียงลั่น ให้ทหารสองนาย กับ มาฮาและราซานีพาลูกของตนและซาเรียกับลูกของนาง หลบหนีออกไปทางประตูหลัง ทันทีที่พวกนักรบมังกรนอกรีต จะตามออกไป ทหารของตระกูลลาเซริโอ้ ก็เข้ามาขวางไว้ “ เซโก้ คนนี้สาบานไว้แล้วว่าจะปกป้องตระกูลซาราเบลดด้วยชีวิต พวกนอกรีตทั้งหลายจงดูให้ดี นี่คือเพลงดาบผ่าตะวันแห่งตระกลู ลาเซริโอ้ ” เซโก้กล่าวจบนางก็ยกไม้เท้าที่คำยันเอาไว้ขึ้นมากระชับไว้ทั้งสองมือ ก่อนจะ ดึงไม้เท้าให้แยกจากกัน ทันทีนั้นตัวดาบที่ซ่อนอยู่ในไม้เท้าก็ถูกชักออกนางทิ้งปลาย อีกข้างของไม้เท้าไปพร้อมกับกระชับปลายไม้เท้าที่ติดกับใบดาบ ไว้แน่นก่อนจะพุ่งผ่านศัตรูไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตานักรบมังกรนอกรีตก็ถูก จัดการไปคนแล้วคนเล่าอย่างรวดเร็ว ทางพวกมาฮาที่พาซาเรียหนีไปก็ถูก เหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์ซึ่งควบคุมร่างซากศพ ของมังกรดำเทียแมตเพศเมีย มาดักรอพวกเขาไว้ “ พาท่านซาเรียหนีไปก่อน ” มาฮา สั่งให้ทหารทั้งสองพาซาดรียหนีไปส่วนตนและราซานีกับลูกๆก็อยู่รับมือโดยให้ราซานีคอยดูแล ลูกของตนเอาไว้ ส่วนตัวเขาก็ออกหน้ารับมือกับมังกรดำเสียเอง “ เอาล่ะจอมเวทย์ครึ่งสมิงมาฮาผู้นี้จะขอแสดงฝีมือล่ะนะ ” มาฮากล่าวจบก็ร่ายเวทย์ขึ้นทันที เพียงพริบตาดราก้อนเนโครแมนเซอร์ก็ถูกสายฟ้า ผ่าจนสลายสิ้นไปหลายต่อหลายคน ทางด้านซาเรียที่หนีไปก็ขึ้นรถม้าลี้ไปยังประตูเมืองที่จะเชื่อมไปยังเขตฟูดินัน ทันทีที่มาถึงประตูเมืองพวกนักรบมังกรนอกรีตกำลังต่อสู้กับเหล่าทหารรักษาการณ์ จน กลายเป็นสนามรบ นางต้องลงจากรถม้าและพาลูกทั้งสองหนีอ้อมสนามรบ ขึ้นเนินไปยังชายป่า เขตฟูดินัน แต่ทว่าภาพตรงหน้านั้นทำให้นางต้องตกตะลึง มังกรดำเทียแมตเพศผู้ซึ่งกำลังคลุ้มคลั่งอาละวาดได้ไล่กวดชาวป่ามาหานาง จนนางต้องเข้าไปหลบในพุ่มไม้แต่แล้วสุด ท้ายเจ้ามังกรดำก็พ่นไฟเผาทำลายทุกอย่างจนนางต้องเอาชีวิตเข้าปกป้องลูกน้อย ในอ้อมอก และตายไปต่อหน้าต่อตาลูกชายคนโต………… ด้านมาฮานั้นหลังจากจัดการ กับศัตรูทั้งหมดลงก็ได้รับข่าวจาก เหล่าทหารว่าเกิดการรบพุ่งกันในเส้นทางที่ซาเรียหนีไป จึงให้ราซานีใช้เวทย์เคลื่อนย้ายตนและครอบครัวไปที่เขตเผ่าสมิงซึ่งพวกตนได้ย้ายไปอยู่ที่นั่นเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อจะไปขอความช่วยเหลือจากเหล่าสมิง แต่ทว่าความเรื่องที่พวกเขาใช้ร่างสมิงในการแฝงเข้ามาอยู่นั้นก็ได้แตกลง ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปที่คฤหาสน์ ของซาราเบลดในวันนี้ ทำให้พวกเขาต้องลี้ ออกมาเสียเอง จนมาถึงจุดเดียวกับที่ซาเรียสิ้นชีวิตลง กาเร็ทที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ก็ได้ฟื้นขึ้นมาพบว่าน้องชายตนหายไปแล้ว เขาชะเง้อขึ้นมามองหา และพบพวก มาฮา ทว่า เซอร์เซสก็ได้ปรากฏกายขึ้น และฆ่าพวกเขาทิ้ง ในขณะที่ลูกชายของพวกเขาเจนัสและลากูน่า กำลังจะถูกเหล่าสเปคเตอร์ฆ่า แอสต้าแม่มดแห่งจันทราก็ได้มาช่วยเอาไว้ ซึ่งนางเองก็รู้จักกับ ราซานีอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นหลายชั่วโมงเทียแมตก็มาพาตัวเขาไป…… ภายหลังจากนั้นสองวัน พวกนักรบมังกรนอกรีตก็ถอยหายกันไป เซโก้ที่ตาม มาจนพบกับศพของซาเรียและมาฮากับราซานี ก็ได้พาร่างของพวกเขาไปประกอบพิธี ศพทว่าเหล่าลูกๆของพวกเขาได้หายตัวไปซึ่งเซโก้เองก็ออกคำสั่งให้ค้นหาอยู่จนทั่วแต่ก็ไม่เจอสุดท้าย ตระกูลซาราเบลดก็ได้ล่มสลายลงไปในปีนั้น 4 ปีต่อมา เซโก้ได้เสียชีวิตลง พิธีรับสืบทอดตระกูลของลาเซริโอ้ นีน่า ได้รับเลือก ให้เป็นผู้สืบทอดจากคำสั่งเสียของเซโก้ ภายในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางซึ่งเป็นคนในตระกูล ได้มารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธี ทว่าทันทีที่ประกาศชื่อผู้รับสืบทอดตามคำสั่งเสีย พวกญาติทั้งหลาย ก็พากันซุบซิบนินทา นีน่า กันอย่างไม่ขาดสาย “ เชอะนี่น่ะรึ ทายาทผู้สืบทอดตระกูลลาเซริโอ้ ” “ ครึ่งสมิงอย่างพวกรูลเวลส์คิดจะยึดอำนาจของตระกูลเรารึไง ” “ ใครว่านังนี่เป็นพวกเฟ็นเรียต่างหาก ” “ ต้ายย..อย่างนี้ยิ่งต้องไม่ควรให้สืบทอดเลยไม่ใช่แม้กระทั้งรูลเวลล์ที่มีความสัมพันธ์กับเราเสียด้วยซ้ำ ” พวกขุนนางหญิงสามคนกำลังนินทา นางอยู่ ทางด้านขุนนางชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือน จะแม่ทัพ ในกองทัพ ก็กำลังสนทนาบางอย่างกับขุนนางอีกกลุ่มใหญ่ “ ฆ่ามันทิ้งซะเลยดีกว่าอย่างนังเด็กนี่น่ะมันไม่มีค่าพอจะสืบทอดตระกูลหรอก ” “ ใช่..เพราะคนที่จะสืบทอดตระกูลได้ก็มีเพียงคุณหนูกาเทีย ที่มีสายเลือดของลาเซริโอ้อย่างแท้จริงเท่านั้นล่ะ ” “ เพราะท่านคุณ กลับเลือกมันมากกว่าสายเลือดแท้ของตระกูลซะนี่ ดังนั้นไหนๆท่านคุณก็ตายไปแล้ว งั้นพิธีรับสืบทอดตระกูลวันนี้ เราก็ฆ่ามันซะแล้วให้คุณหนูกาเทียขึ้นรับเป็นผู้สืบทอดซะเลยเป็นไง ” เสียงเหล่านี้เล็ดรอดออกมาเข้าหูนางในทันที ความกลัวเริ่มเข้ากัดกินจิตใจ ของนาง นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่อาจขยับได้ เพราะเหล่าขุนนางทั้งหลายได้ตกลงปลงใจกันแล้วว่าจะฆ่านาง ทว่าในตอนนั้นเอง ครึ่งสมิงเด็กชาย ซึ่งก็คือเจนัสได้เข้ามาช่วยนาง และด้วยการฝึกฝนจากเซอร์เซส ทำให้เขาสามารถสังหารขุนนางไปได้ ทีล่ะคนๆ พวกขุนนางที่เป็นแม่ทัพนายพลก็พากันชักดาบเข้ามา ฟันเขาแต่ก็ไม่อาจสู้กับเจนัสได้ พวกทหารยามของตระกูลถูกกันออกจากบริเวณเพราะต้องทำพิธีสืบทอดจึง ไม่มีใครอยู่รักษาการณ์ ไม่นานนักเหล่าขุนนางชั่วที่ คิดคด จะฆ่านีน่าก็ถูกเจนัสฆ่าทิ้งเสียหมด หลังจากวันนั้นนีน่าได้หนีหายไปนางเดินทางร่อนเร่ไปพร้อมกับแบกความทุกข์ใจ ที่นางเป็นต้นเหตุให้เจนัสต้องมือเปื้อนเลือด ฆ่าคนในครอบครัวที่คิดฆ่าเธอ นีน่าเดินทางรอนแรมไปเรื่อยๆจนได้พบเข้ากับเซอร์เซส “ เจ้ากำลังทุกข์ใจอยู่สินะความทรงจำนั่นคงเจ็บปวด ถ้าเจ้ายอมที่จะมารับใช้ข้า ล่ะก็ข้าจะปิดผนึกความทรงจำที่ทำให้เจ้าเจ็บปวดนั้นเอง ” เซอร์เซส ยื่นข้อเสนอให้นาง “ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยผนึกมันไปทีความทรงจำแบบนี้น่ะจะให้ทำอะไรฉันก็ยอม ” นางกล่าวจบเซอร์เซสก็ทำการร่ายเวทย์ ปิดผนึกความทรงจำของนาง และพาตัวนางไป 4 ปีต่อมา อิเดีย ซาเรีย มาฮา ราซานี เซโก้ บัดนี้ลูกหลานของพวกเขาได้มาพบกันด้วยโชคชะตานำพา ทว่าแล้วอิเดียหายไปไหนล่ะ.. ในตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดเผยแล้วในไม่ช้านี้…………. Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: greamon on July 18, 2008, 07:13:37 PM ……….
………….. ……………… 1 วันก่อนการปรากฏตัวของมุรามาซะโซล ณ บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเมืองซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายป่า ภายในบ้าน ระหว่างที่เจ้าหญิงเรจิน่าและบิชอป เกรเกอรี่กำลัง สนทนากันนั้น เครื่องรับส่งสัญญาณก็ดังขึ้น ข้อความจากซิสเตอร์โรซาน่าจากแอนดิซอง ได้ส่งมาถึงพวกเขา ซึ่งได้แจ้งเรื่องของกองกำลังทางเหนือได้ถูกโจมตี “ หมายความว่า ตอนนี้กองกำลังทางเหนือถูกโจมตีงั้นเหรอ ” เกรเกอรี่กล่าวใส่เครื่องรับด้วยความไม่อยากเชื่อ เจ้าหญิงเรจิน่าที่ทรงประทับอยู่ข้างๆ ก็เอียงพระพักต์ด้วยความ งงพระทัยกับการกระทำของเขา “ ค่ะ ตอนนี้ทางเรากำลังวุ่นวายอยู่เลยเพราะบันทึกของ แวร์เลี่ยน เวสเล่ย์ นั้นอยู่ที่ฐานกำลังทางเหนือเสียด้วย ” เสียงของซิสเตอร์โรซาน่า (Sister Rosana) ดังผ่านลำโพงออกมา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n003/9.jpg) “ แย่ล่ะสิพวก ลอว์เรนซ์ จะเป็นอะไรรึเปล่านะ… ” เกรเกอรี่คิดขณะนั้น ก็มีเสียงระเบิดดังแทรกเข้ามาในสาย “ แย่แล้วพวกศัตรูมันบุกมาที่นี่แล้ว..ครืดดด ซ่าาา ” “ นี่ คาดินัล มาซิลิโอ้ (Marsillio, Cardinal of Annedisonge) พูดเราจะถอยไปทางฟีเลเซียใน สองสามสัปดาห์แค่นี้ล่ะเลิกกัน…..ครืดดด ซ่าาาา ” เสียงของซิสเตอร์โรซาน่า ขาดไปกลางคันโดยที่มีเสียงปึกดังแทรกเข้ามาก่อนที่เสียงของ มาซิลิโอ้จะดังขึ้น ซึ่งเขาคงแย่ง เครื่องส่งมาจากนาง และกล่าวอย่างเร่งรีบก่อนจะตัดสายไป (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n003/4.jpg) นั่นยิ่งสร้างความวิตกให้แก่เกรเกอรี่เป็นทวีคูณ เพราะสัญญาณที่ส่งมานั้นมาจาก สภาศาสนาสูงแห่งแอนดิซอง ซึ่งถือเป็นกองบัญชาการสูงสุดของกองกำลังต่อต้าน หรือกองทัพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถูกรวบรวมขึ้นมาใหม่นั้นเอง ทว่าบัดนี้ ฐานใหญ่ได้ถูกบุกโจมตีจนต้องร่นถอยมา ได้สร้างความไม่มั่นคงให้แก่กองกำลัง เสียแล้ว เกรเกอรี่นั่งนิ่งไปนานเสียจนเจ้าหญิงเรจิน่า ทรงทนไม่ไหวจึงตรัสเรียกขึ้นมา “ ท่านเกรเกอรี่ ” เสียงของพระองค์ทำให้เกรเกอรี่ได้สติขึ้น มา “ ท่านเกรเกอรี่นี่มันเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่นั่นมันเสียงของท่านคาดินัลแห่ง สภาศาสนาแอนดิซองมิใช่หรือ เกิดสงครามขึ้นงั้นหรือ ” เจ้าหญิงทรงตรัสถาม เกรเกอรี่พยายามตัดสินใจว่า จะบอกหรือไม่ดีแต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ และยอมเล่าทุกอย่างให้เจ้าหญิงฟังอย่างละเอียด “ คืออันที่จริงได้มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อต่อกรกับอำนาจมืด นี่เป็นคำสั่งที่ทางสภาศาสนาแอนดิซองส่งมา ถึงทางเราให้ทำการสนับสนุน และกระจายกำลังกันออกไปหาแนวร่วมจากทวีปอื่นๆ ในเร็วๆนี้ได้มีคำสั่งระดมพลส่งออกไป แต่ว่าเหล่าแนวร่วมก็เดินทางเข้ามาในทวีปไม่ได้เพราะบัดนี้ได้มีกำแพงน้ำแข็งขนาดมหึมา ปิดกั้นเมอริเซียแห่งนี้จากภายนอกโดยสิ้นเชิง ” เกรเกอรี่อธิบายในขณะที่เจ้าหญิงสดับฟังคำพูดของเขา ก่อนจะไล่ทบทวนมันไปด้วย เพื่อเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ จนเข้าใจในที่สุด “ หมายความว่าตอนนี้ได้มีอำนาจมืดอันยิ่งใหญ่กำลังรุกรานพวกเราและทางสภาศาสนาของแอนดิซอง ก็ได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นมาเพื่อต่อต้านกับอำนาจมืดนั้น แต่ว่าเพราะกำแพงน้ำแข็งที่ ปิดล้อมทวีปเมอริเซียเอาไว้ ทำให้กำลังจากภายนอกทวีปและกำลังทหาภายในที่ส่งออกไปหาแนวร่วม กลับเข้ามาร่วมรบไม่ได้ท่านกำลังจะบอกเช่นนั้นหรือ ” เจ้าหญิงทรงตรัสไม่หยุดพักหายใจเลย ทำเอาเกรเกอรี่ต้องนั่งลำดับคำพูดของพระองค์ อยู่นานกว่าจะกล่าวตอบได้ “ ถูกแล้วพะย่ะค่ะ พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งนัก ทว่าที่กระหม่อนถามไปเมื่อครู่พระองค์จะทรง ตรัสให้กระหม่อนฟังได้ไหมพะย่ะค่ะ ” เกรเกอรี่กล่าวถามถึงสิ่งท่เขาได้ถามถึงเรื่องการล่มสลายของตระกูลซาราเบลด และลาเซริโอ้ “ โอ้จร้งสิ เราลืมไปเลยต้องขออภัยท่านบิชอปจริงๆ ” เจ้าหญิงทรงตรัส ด้วยสีพระพักต์เหมือนพึ่งนึกออก “ ที่จริงเราเองก็ไม่ทราบละเอียดนัก แต่เท่าที่รู้มาคือ เมื่อเก้าปีก่อน อิเดีย ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลซาราเบลดได้หายตัวไป ปีต่อมาเกิดการจลาจลขึ้นรู้สึกว่าภรรยาของอิเดีย จะเสียชีวิตไปในครั้งนั้นด้วย ส่วนลูกชายทั้งสองคนก็หายสาบสูญไปเลยไม่มี ใครสืบทอดตระกูลต่อก็เลยล่มสลายไปส่วนตระกูล ลาเซริโอ้นั้น สี่ปีก่อนในพิธีสืบทอดตระกูล คนในตระกูลถูกสังหารตายทั้งหมดส่วนทายาทที่รับสืบทอดตระกูลหายตัวไปในวันนั้น ทั้งสองคนเลยสุดท้ายตระกูลก็ไม่เหลือใครมาสานต่อและล่มสลายไป ” เจ้าหญิงตรัสอย่างรวดเร็ว เสียจนเกรเกอรี่จับใจความแทบไม่ทัน “ ตระกูลซาราเบลดที่ว่ากันว่าสืบสายเลือดมาจากอัศวินมังกรแท้คนแรกน่ะหรือ… ว่าแต่พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าทั้งสองรายนั้นตายได้อย่างไร ” เกรเกอรี่กล่าวถามด้วยความสังสัย “ เท่าที่เราทราบมา ภรรยาของอิเดียชื่อซาเรีย นั้ถูกมังกรดำที่อาละวาดในป่าเขตฟูดินัน พ่นไฟครอกตาย ส่วนตระกูล ลาเซริโอ้ นั้นเห็นว่าถูกอะไรบางอย่างลอบเข้าไปขณะกำลังทำพิธี และสังหารพวกเขาทั้งหมดตามศพมีร่องรอยเหมือนกับโดนสุนัขป่าทำร้าย แต่ จากปากคำของทหารรักษาการณ์ในวันนั้นกลับให้การว่าที่บุกเข้าไปเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณห้าปีน่ะ ” เจ้าหญิงตรัสโดยครั้งนี้ทรงพยายามชะลอให้ช้าลง “ ถูกมังกรดำเผาตายงั้นหรือนี่รึว่า ลอว์เรนซ์เป็นลูกชายของอิเดียแล้วอิเดียหายไปไหนกัน ทำไมถึงได้ทิ้งลูกกับภรรยาไว้แล้วหายตัวไปนะ ” เกรเกอรี่ครุ่นคิดจนสีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจน “ อืมม..พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าอิเดีย…. ” เกรเกอรี่ต้องหยุดไปกลางคันเมื่อเสียงประตูถูกกระแทกดังเข้ามา ทำให้ทั้งสองต้องหันไปยังทิศของเสียง และแล้วพวกเขาก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง เพราะชายหนุ่มผมสีแดงคนหนึ่งถูกเจ้าหุ่นยนต์ทินทอนพยุงเข้ามา ขาของเขาโชกไปด้วยเลือดที่ไหลรินออกมาจากแผลซึ่งลึกกว้างราวกับถูก มีดฟันมา “ ทิโมธี ” ทั้งสองอุทานขึ้นก่อนจะเข้าช่วยทินทอนพยุงทิโมธีมานั่งบนเก้าอี้ “ ขาเจ้าไปโดนอะไรมาน่ะทิโมธี ” เจ้าหญิงตรัสด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เกรเกอรี่ กำลังดูบาดแผลให้เขา “ อ๋อ คือว่ากระหม่อมไปทำการทดลองในป่ามาแต่ทว่าผิดพลาดไปหน่อยก็เลย ได้แผลมาพะย่ะค่ะ ” ทิโมธี กล่าวเสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดจากพิษบาดแผล “ แผลลึกมากถ้ายังไงเราจะรักษาให้เจ้าเลยละกัน ” เกรเกอรี่กล่าวหลังจากที่ดูแผลให้เขาพร้อมกับร่ายบทสวดสำหรับรักษา บาดแผลให้แก่เขา “ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องข้าไม่เป็นไร ” ทิโมธี กล่าวพร้อมกับชักขาออกห่าง ทว่าทันทีที่บาดแผลของเขาถูก แสงจากเวทย์รักษา บาดแผลกลับผุพองราวกับถูกไฟไหม้แทนที่จะสมานให้หาย นั่นทำให้เกรเกอรี่ สะดุ้งด้วยความตกใจ ที่พลังรักษาของเขา กลับทำให้บาดแผลแย่ลง กว่าเก่า “ อะไรกันทำไมพลังรักษาถึงได้..อ.. ” เกรเกอรี่อุทานขึ้นมาก่อนจะเงียบไป เพราะเขาจับสัมผัสบางอย่างได้จากทิโมธี “ เอาล่ะ ทุกท่านขอเชิญกลับไปก่อนนะแก็ก ทิโมธีต้องการเวลารักษาตัวซักระยะ ช่วยกลับมาวันหลังละกันแก็ก ” ทินทอนกล่าวขึ้นโดยไม่มีเสียงสะดุดเลยแม้แต่น้อยสร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเขายิ่งนัก พร้อมกับถูกทินทอน ไล่ดันให้ออกจากบ้านไปก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพวกเขา “ ดูเหมือนพวกเขาพยายามจะปิดบังอะไรเรายังงั้นล่ะ ” เจ้าหญิงตรัสดสียงขุ่นอย่างไม่พอใจ ในขณะที่เกรเกอรี่ยกนาฬิกาแดด ที่พกติดตัวขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ เพื่อดูเวลา “ ทางเราเองก็ต้องรีบปิดเช่นแล้วพะย่ะค่ะพระองค์กับกระหม่อม ลอบออกมานานเกินควรแล้วพะย่ะค่ะโปรดเสด็จกลับวัง เถิดพะย่ะค่ะ ” เกรเกอรี่กล่าวพร้อมกับผายมืออกให้เจ้าหญิงเดินนำออกไปซึ่ง เจ้าหญิง ทรงถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดายแต่ก็จำพระทัยเสด็จกลับไป กับเขาแต่โดยดี “ สัมผัสที่เรารู้สึกได้จากทิโมธีเมื่อครู่นี้มันเป็นของปีศาจไม่ใช่รึ ” เกรเกอรี่รำพันในใจขณะที่เดินตามกลับไป …. …….. ………. “ ไม่เป็นไรใช่มั้ยทิโมธี..แก็ก ยังเจ็บแผลอยู่รีเปล่า..แก็ก ” ทินทอนกล่าวขณะที่พันผ้าพันแผลที่ข้าเขาด้วยความประณีต “ ขอบใจมากทินทอน.. ” ทิโมธีกล่าวเสียงสลดก่อนจะแกะกระดุมเสื้อแจ็คเก็ตออกสองสามเม็ด และล้วงเอาสายเข็มขัดที่มีกลไลประกอบอยู่ขึ้นมาสองเส้นจากเสื้อใน มากองไว้บนโต็ะข้างๆ “ การทดสอบระบบแอกเตอร์ เป็นไปได้ดีสินะ… แก็ก ” ทินทอนกล่าวก่อนที่จะมัดปลายผ้าให้แน่น และลุกขึ้นยืนตรง “ ใช่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีว่าไปแล้วทินทอนหลังจากได้พลังของชะตาแห่งแสงมาดูเหมือน กลไลของนายจะทำงานได้สมบูรณ์แล้วสินะ ” ทิโมธีกล่าวก่อนจะทันเหลือบไปเห็นว่าพิมพ์เขียวของระบบแอกเตอร์ Insect Type ถูกกางทิ้งไว้บนโต็ะ เขาเอื้อม มือไปคว้ามันมาก่อนจะม้วนเก็บ และวางกลับที่ไว้ “ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นรู้ไปมากขนาดไหนแล้วตอนเข้ามาคงรื้อดู แบบแปลนแอกเตอร์นี่ไปแล้ว ” ทิโมธีกล่าวขณะที่เอื้อมมือไปหยิบเอาม้วนกระดาษอีกม้วนที่วางอยู่ข้างกันกับม้วนแรก ขึ้นมาคลี่ออก “ งั้นให้ทินทอนไปจัดการเลยมั้ย….แก็ก ” ทินทอนกล่าวจบก็คว้าเอาตะไบเหล็กจากโต็ะขึ้นมา แต่ทิโมธีก็ยกมือขึ้นปรามไว้ “ อย่าบุ่มบ่ามไป ยังไงซะจะให้เกรเกอรี่เป็นอะไรไปไม่ได้..เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แอกเตอร์ Necro Type ที่อุตส่าห์ค้นคว้ามานี่ก็สูญเปล่าสิ ” ทิโมธีกล่าวจบก็กางม้วนกระดาษออกจนสุดและพลิกให้ทินทอนดู มันเป็นแบบแปลนการสร้างหน้ากาก กลมรี แบบเดียวกับที่บิชอปชุดดำซึ่ง ควบคุมอัศวินนรกสวมในตอนที่ปะทะกับทาลิคนัส …………. ……………. ………………….. สามวันต่อมา ที่หุบเขาทางเหนือของทวีปคราดาร่า บัดนี้หิมะได้หยุดโปรยลงมาแล้ว ตะวันกำลังจะลับฟ้า แสงสีแดงที่ตกทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา เสียจนพื้นหิมะสีขาวส่องประกาย ระยิบระยับ ที่ตีนเขาแห่งหนึ่ง กองไฟได้ถูกจุดขึ้น เด็ก 4 กับลูกมังกรอีก 6 ตัวกำลังนั่งล้อมวง ผิงไฟ อยู่ทว่าบรรยากาศนั้นกลับเงียบขรึมไม่มีใครสนทนากันเลยแม้แต่น้อย นีน่าและเจนัสทั้งคู่ยังคงหลบกันอยู่ โดยที่ลากูน่าคอยมองดูทั้งสอง ด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกัน Lr ก็เอาแต่เท้าคางนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ ราวกับจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำเอาบรรยากาศรอบๆอึดอัดไปทั่ว พวกลูกมังกรพากันเดินออกไปจากวง เพื่อปรึกษากันอย่างลับๆโดยไม่ให้ทั้ง 4 คนรู้ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: greamon on July 18, 2008, 07:14:30 PM “ กีซซซซซซ ” (นี่จะเอายังไงดีล่ะผ่านมาตั้งสามวันแล้วอาการพวกเขายังไม่ดีขึ้นเลยนะ)
ไลท์กล่าวขณะที่มองดูว่าพวก Lr สังเกตว่าพวกขาออกมาหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครตามมา เพราะพวกเขาต่างกังวลเรื่องของตนจนไม่ได้สนใจรอบข้างแม้แต่น้อย “ กีซซซซซ ”(พวกเมทาไนท์กับพ่อออกไปไหนกันก็ไม่รู้จะขอให้ช่วยก็คงไม่ได้) นอฟฮอฟกล่าวขณะที่คอยสอดส่ายสายตามองหาว่าเมทาไนท์และเทียแมต แกรนเดครอส กลับมากันหรือยัง “ กีซซซซซ ” (จะว่าไปแล้วนี่มันวันที่เท่าไหร่กันแล้วเนี่ย) อควากล่าวพร้อมกับทำท่าใช้ความคิด “ กีซซซซซ ” (จริงสินี่มันวันครบรอบวันที่ ลอว์เรนซ์ ถูกเก็บมาเลี้ยงนี่) เอิทธ์กล่าวพร้อมกับทำท่าทางเหมือนพึ่งนึกออก “ กีซซซซซซ ” (งั้นนี่ก็วันเกิด ลอว์เรนซ์ สินะจะว่าไแล้วจากที่ฟังมา เจ้าหมาสองพี่น้องนั่นก็ถูกเก็บมาเลี้ยงวันเดียวกันกับลอว์เรนซ์ด้วยนี่) ไฟร์วิเคราะห์ให้ฟัง “ กีซซซซซซซซซซ ” (ที่จริงจากที่เจนัสกับนีน่าเล่ามาวันที่เจนัสไปช่วยนีน่าเมื่อสี่ปีก่อน ก็คือวันเกิดเธอด้วยนี่และถ้าจำไม่ผิด ลากูน่าเคยบอกว่าเพราะจำไม่ได้กระทั่งหน้าพ่อแม่ ก็เลยไม่รู้วันเกิด เลยใช้วันที่ถูกเก็บมาเลี้ยงนับเป็นวันเกิดแทนทั้งคู่) วิล กล่าวพร้อมกับเอานิ้วเกาคางขณะที่คิด “ กีซซซซซซ ” (และจากที่เจนัสว่ามา วันที่ไปช่วยนีน่า คือวันเกิดของเขากับน้องชายด้วยนี่ ) อควา กล่าวสำทับตอนนี้จากการปรึกษากันทำให้พวกเขามีความคิดดีๆเกิดขึ้น “ กีซซซซซซซ ” (ดีล่ะงั้นเรามาช่วยให้พวกนั้นหายเศร้าด้วยการจัดฉลองครบรอบวันเกิดกันเถอะ) ลูกมังกรกล่าวขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะพากันแบ่งหน้าที่แยกย้ายกันไปหาของมาจัดงาน ………… …………. …………… ครู่ต่อมา ตะวันได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ดวงจันทราได้ขึ้นแทนที่ เหล่าสรรพสัตว์ เริ่มพากันออกหากิน ทว่ารอบกองไฟนั้นบรรยากาศยังคงเงียบกันอยู่เหมือนเดิมราวกับว่าเวลาได้หยุดลงเสียตรงนั้น พวกเขายังคงไม่ทำอะไรได้แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ซู่ววววว เสียงดังขึ้นทันทีที่กองไฟโดนน้ำสาดใส่จนดับ ทุกอย่างรอบตัว พวกเขามืดลง นั้นช่วยเตือนสติพวกเขาให้กลับมา ในทันที พวกเขาหันไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง จนเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืดพวกเขา ก็เห็นแสงไฟเล็กๆถูกจุดขึ้น 6 ดวง ที่ปลายกิ่งไม้เล็กๆพวกเขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน สัญชาตญาญบอกให้พวกเขาระวังตัวโดยทันที เนื้อตัวของพวกเขาเกร็งไปหมด จนเมื่อจู่ๆก็เกิดประกายไฟขึ้นที่กองไฟซึ่งมอดไปอีกครั้ง รอบด้านกลับมาสว่างเหมือนเดิม แต่ทว่าที่กลางกองไฟนั้นได้มีตัวอักษรซึ่งเรียงจากกิ่งไม้เล็กๆจำนวนมาก ถูกจุดด้วยไฟ จาก กองเพลิง ส่องให้ความสว่างและสวยงามยิ่ง “ สุขสันต์วันเกิด ” เสียงของลูกมังกรทั้งหกตัวถูกแปลผ่านดราก้อนฮอลลี่ที่คาดอยู่ที่ข้อมือของ Lr ดังขึ้น “ วันเกิดเหรอ… ” Lr เปรยเสียงเรียบด้วยความแปลกใจ “ ใช่แล้ววันนี้พวกนายทุกคนโตขึ้นอีกปีแล้วนะ ” ไฟร์ที่เป็นคนจุดไฟกล่าวด้วยน้ำเสียงลิงโลด “ ทุกคนเหรอ… ” ลากูน่าเปรยเสียงเรียบด้วยความฉงน “ ที่จริงถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่าวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดมากกว่านะเพราะพวกนายแต่ล่ะคน ต่างไม่รูวันเกิดจริงๆของตัวเองพวกเราก็เลยใช้วันที่พวกนายบอกว่าถูกเก็บมาเป็นวันเกิดซะเลยไง ” เอิทธ์อธิบาย “ แต่ต้องยกเว้นนีน่านะเพราะวันเกิดเธอเรารู้แน่ชัดเลยนี่ ” วิลกล่าว แต่ทว่าพวกเขาทั้งสี่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา ยังคงก้มหน้านิ่ง “ เป็นอะไรไปไม่ดีใจเหรอพวกเราอยากจะให้พวกนายร่าเริงขึ้นเท่านั้นเองนะ ” อควากล่าวเสียงสลดเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีปฏิกิริยากับ งานที่พวกเขาจัดให้ แต่ทั้งสี่ก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่ “ นี่ชั้นรู้นะว่ามันยากที่จะทำใจ แต่ทำแบนี้แล้วมันจะช่วยได้หรือจะไปยึดติดกับอดีตทำไมกัน ” ไลท์กล่าวเสียงหนักแน่นแต่พวกเขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม ไลท์จึงถอนหายใจ ด้วยความเหนื่อยหน่าย “ จะสลดกันไปถึงไหนพวกนายโกรธแค้นกันรึไง เจนัส นีน่า ทั้งสองคนเลย จะทะเลาะกันไปถึงไหน ” ไลท์กล่าวประชดประชันจนเพื่อนๆมังกรจะเข้ามาห้ามไว้แต่ ไฟร์ก็ปรามพวกเขาไว้เพื่อให้ไลท์จัดการต่อ เจนัสและนีน่าทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ก็รีบตีโพยตีพายปฏิเสธกันทันที “ ม…ไม่ใช่นะชั้นไม่ได้โกรธอะไรเลย…อะ ” “ ฉ..ฉันไม่โกรธอะไรหรอก..อะ ” ทั้งคู่กล่าวขึ้นอย่างละล่ำละลักก่อนจะชะงักไปเพราะคำพูดของอีกฝ่าย ทำให้ทั้งสองหันมามองหน้ากันได้อีกครั้ง ไลท์แอบยิ้มที่มุมปากด้วยความ พอใจที่แผนของเขาเป็นไปได้ดี ทั้งคู่ยังจ้องหน้ากันอยู่ครู่นึงก็รีบหันแยกกนทันที ใบหน้าของทั้งคู่ร้อนผ่าวด้วยความเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก “ อ..เอ่อนายไม่โกรธฉันจริงเหรอ ” นีน่ากล่าวเสียงสั่นพร้อมกับเอานิ้วชี้ชนกันลุ้นด้วยใจระทึก หัวใจของนางเต้นรัว ราวกับจะระเบิดออกเสียให้ได้ “ ง..แหงสิชั้นจะไปโกรธเธอทำไมกันก็คนที่ผิดคือชั้นเองที่ไม่ได้บอกเธอก่อนน่ะ ” เจนัสกล่าวเสียงสั่นเช่นกัน หัวใจของเขาเต้นแรงและรัวเสียจนจะหลุดออกจากปาก “ ม…..ไม่หรอกฉันต่างหากที่ไม่ไตร่ตรองให้ดีซะก่อนเธอเลยต้องมาเจ็บตัวเสียเปล่าๆ ” นีน่ากล่าวจบทั้งเธอและเขาก็หันควบกลับมาพร้อมกัน “ คือว่า..ขอโทษนะ..ชั้น… ” ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกันและจังหวะเดียวกันทำเอาทุกคนอดอมยิ้มด้วยความขบขันเสียไม่ได้ แม้แต่ลากูน่ากับ Lr เองก็เผลอลืมตัวไปเช่นกัน ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองแดงจัดขึ้นกว่าเดิมเสียอีก “ เอ่อคือ..ชั้นขอโทษนะที่ไม่ได้เล่าให้เธอฟังน่ะคือว่าชั้น.. ” เจนัส กล่าวตะกุกตะกัก ในหัวพยายามคิดหาคำพูดที่จะมาอธิบายแต่นีน่า ก็จับมือของเขาไว้แน่นและส่ยหัวไปมา “ ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องพูดก็ได้ฉันเข้าใจดีจากนี้ไปถ้าเธออยากบอกอะไรให้ฉันก็บอกมาได้เลย อย่าเก็บอมทุกข์ไว้คนเดียวเลยนะให้ฉันได้แบ่งเบามันมาบ้างเถอะนี่คือสิ่งเดียวที่ฉันจะทำเพื่อเธอได้ ” นีน่ากล่าวคำพูดของเธอทำให้เขาอยากจะบอกความรู้สึกของเขาออกไป แต่ทว่าอีกใจกลับยั้งเขาไว้ แม้จะยังลังเลอยู่แต่เขาก็ตัดสินใจจะบอกออกไป “ ค..คือว่าที่จริงแล้วชั้น…คือที่ชั้นจะบอกคือเอ่อ.. ” “ ~~~ชอบเธอ~~~~~ ” ประโยคสุดท้ายที่บอกถึงความรู้สึกของเขาถูกกลืนลงคอไปเรียบร้อยแล้วก่อนจะทันได้พูด ออกไปเพราะความรู้สึกที่ว่าพวกเขาตกเป็นเป้าสายตาก็เตือนสติเขาขึ้นมา พวกลูกมังกร ยังจ้องพวกเขาอยู่พร้อมกับ Lr และ ลากูน่า “ มีอะไรจะบอกฉันงั้นเหรอ ” นีน่ามองเขาด้วยความฉงน “ อ…เอ่อ ม…ไม่มีอะไรหรอก ” เขารีบสะบัดมือ ออกจากมือของเธอและหันควับไปเพื่อไม่ให้เธอเห็นสีหน้าของเขา “ นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย ” เจนัสคิดขณะที่เอามือลูบหน้าด้วยความอดสู ทำเอานางเอียงคอด้วยความงุนงง “ ชั้นว่าชั้นได้กลิ่นทะแม่งทะแม่งโชยมาล่ะว่ามั้ย ” วิลเปรยเสียงเบาขึ้นโดยไม่ให้พวกเขารู้ “ ใช่ ดูไปแล้วคู่นี้เขาก็เหมาะสมกันดีนะ ” นอฟฮอฟหรี่ตาลงด้วยความอิ่มอก ขณะที่จ้องดูสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของทั้งคู่ “ จะว่าไปแล้วก็จริงอย่างที่ไลท์พูดนั้นล่ะสลไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ” Lr กล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยสีหน้าระรื่นทำให้พวกลูกมังกรกระโดดโลดเต้น ด้วยความดีใจ ไลท์โผเข้ากอดเขาในทันที “ ขอโทษนะไลท์ชั้นจากนี้ไปถึงจะต้องแบกรับอดีตที่น่าเศร้าไว้แต่เราก็จะก้าวต่อไปด้วยกันนะ ” Lr กล่าว ไลท์ผหงกหัวด้วยความยินดี “ ใช่แล้วถึงที่แล้วมาจะมีแต่ความสิ้นหวังก็ตามแต่เราก็จะก้าวไปพร้อมกันแล้วสักวัน นึงอนาคตที่สดใสคงจะรอเราอยู่อย่างแน่นอน ” ไลท์กล่าวริมฝีปาก ล่างสั่นเครือ พร้อมกับน้ำตาแห่งความปิติไหลริน Lr เอามือลูบหัวของไลท์ด้วยความเอ็นดู “ จากนี้ไปอนาคตที่สดใสคงจะรอพวกเราอยู่.. ” Lr กล่าวได้ไม่ทันจบดี พวกเขาก็ต้องชะงักไป เมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญ เดินเข้ามาชายร่างใหญ่คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าสีดำ มือที่โผล่พ้นเสื้อ ออกมานั้น เป็นกระดูกสีขาวโพลน ทั้งสองข้าง ในแต่ละย่างก้าวนั้นไมเสียงฝีเท้าดังขึ้นแม้แต่น้อย เหล่ามวลไม้ที่อยู่ตามทางที่เขาผ่านมาได้เหี่ยวเฉาและแห้งตายลงอย่างรวดเร็ว “ อนาคตที่สดใสงั้นหรืออย่าได้ฝันหวานไปหน่อยเลย ” เสียงของเขาดังก้องและแหบแห้ง เสียจนราวกับเสียงคำรามของปีศาจ ทว่าเสียงของชายผู้นี้ก็สามารถข่มขวัญกำลังใจของอีกฝ่ายได้มาก ทว่าเจนัส ลากูน่าและนีน่า ที่ได้ยินเสียงนั้นถึงเข่าทรุด จนแทบจะยืนไม่ติดพื้น “ เสียงนี้มัน…. ” ลากูน่าเอ่ยเสียงสั่นเครือเนื้อตัวของเขาเต้นตุบๆไม่ยอมหยุด “ นี่..ลงมาจัดการเองเลยงั้นหรือ ” นีน่ากล่าวด้วยความผวา อาการของพวกเขาสร้างความประหลาดใจให้แก่ พวก Lr เป็นอันมากอะไรที่ทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญผวากันได้ถึงเพียงนี้ จะต้องเป็นอำนาจที่น่ากลัวกว่าที่ผ่านๆมาเป็นแน่แท้ Lr จึงไม่รอช้า รวมร่างกับไลท์กลายเป็นทาลูคูส ชิงบุกเข้าไปหา อีกฝ่ายทันที “ อย่าลอว์เรนซ์นายสู้ไม่ได้หรอก ” เจนัสกยายามจะห้ามเอาไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว ดาบของทาลูคูสที่ฟันลงไปนั้น เขารับไว้ด้วยมือโครงกระดูกเพียงมือเดียว โดยไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย ทาลูคูสพยายามออกแรงกดดาบอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่เป็นผล “ ที่รอพวกเจ้าอยู่จากนี้คือนรกต่างหากล่ะ ” ชายผู้นั้นกล่าวจบก็หักดาบของทาลูคูสเป็นสองท่อนก่อนจะเอามืออีกข้างคว้าปีกของทาลูคูส มาและฉีกมันออกจากร่างของทาลูคูสในทันที ทาลูคูสกลิ้งลงไปกับพื้นก่อนจะแยกกลับ เป็น Lr กับไลท์ตามเดิม “ อึกแข็งแกร่งจริงๆนี่มันเป็นใครกัน ” Lr สบถด้วยความเจ็บแค้นชายผู้นั้นปล่อยมือจากซากปีกของทาลูคูสออกก่อนที่มันจะสลายไป “ ข้าก็คือคนที่พวกเจ้าทุกคนเรียกว่าท่านผู้นั้นยังไงล่ะ ” ชายผู้นั้นกล่าวเสียงก้อง ประโยคที่ออกมานั้น ได้จุดประกายความแค้นให้แก่ Lr เสียแล้ว “ ท่านผู้นั้นหรืองั้นแกก็คือคนที่ทำให้เรื่องบ้าๆพวกนี้เกิดขึ้นใช่ไหมชั้นจะปล่อยแกไว้แน่ ” Lr กล่าวเสียงกร้าวก่อนจะรวมร่างกับไฟร์กลายเป็น ทาลิคนัส “ Ignis et Dragos ” สิ้นเสียงทาลิคนัส ก็ตวัดกระบี่คู่ใจให้เกิดดาวไฟห้าแฉกและแทงออกไปข้างหน้า พร้อมกับเปลวเพลิงแดงฉานที่พุ่งออกมาก่อตัวเป็นพายุเพลิงเข้าโหมใส่ ท่านผู้นั้น “ ไร้พลังสิ้นดี ” ท่านผู้นั้นเปรยขึ้นเปลวเพลิงที่ถาโถมเข้าเผาผลาญ ก็ดับสลายไปทันที “ นี่น่ะรึพลังของอัศวินแห่งตำนานที่จะกอบกู้โลกนี้น่ะ ” ท่านผู้นั้นกล่าวอย่างดูแคลน ทำให้ Lr เริ่มจะคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้ “ งั้นลองนี่หน่อยเป็นไง ” สิ้นของทาลิคนัสเขาก็เปลี่ยนตัวกับนอฟฮอฟเพื่อกลายเป็น ทาไนซ Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: greamon on July 18, 2008, 07:14:42 PM “ Nox et Dragos ”
สิ้นคำทาไนซก็ทะยานออกไปอย่างเร็วจนเกิดภาพร่างซ้อนทัพออกมาและ ในการลงดาบเพื่อจบกระบรวนท่านั้นท่านผู้นั้นกลับรับดาบไว้ด้วยมือเปล่าได้ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่แขนของทาไนซและหักแขนของทาไนซ เสียงกระดูกหักบาด ลึกลงไป เสียจนพวกเจนัสที่ยืนดูอยู่ต้องทนกัดฟันฟัง ร่างของทาไนซได้สลายแยกกลับเป็น Lr และนอฟฮอฟอีกครั้ง แม้พวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่อาจแปลงกลับไปในร่างเดิมได้ชั่วคราว Lr รีบเข้าหาวิลเพื่อรวมร่างทันที พวกเขากลายเป็นทาเวนทอสและทะยานขึ้นสู่ฟ้าอย่างเร็ว “ Great of Dragon ” (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) สิ้นคำมังกรพลังงานสีเขียวขจีจำนวนห้าสายก็ถูกซัดลงมาข้างล่าง เกิดเป็นลมพลังงานโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง “ จิตสัมผัสในการโจมตีเบาบางเสียเหลือเกินนะ ” ท่านผู้นั้นได้อ้อมเข้ามาอยู่ข้างหลังเขาก่อนจะแทงมือทะลุร่างของ ทาเวนทอสและปล่อยให้ร่วงลงมากระแทกพื้น ทาเวนทอสได้สูญพลังและแยกกลับ เป็น Lr และวิลอีกครั้ง “ หนอยงั้นลองเจอนี่หน่อยเป็นไง อควา ” Lr กล่าวจบก็รวมร่างกับอควากลายเป็นทาลิควาส “ รองรับทั้งหมดของพวกเราหน่อยเป็นไง ” สิ้นเสียงกระบรวนท่าไม้ตายประจำตัวของอัศวินทาลิวิลย่า อื่นๆทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกมา ทั้งพายุเพลิงของและลมหมุนกรรโชกของทาลิคนัสและทาเวนทอส คลื่นแสงเสี้ยวพระจันทร์กับรอบสังหารของทาลูคูสและทาไนซก็ถูกใช้ผ่านทาลิควาสออกมาทั้งสิ้น การโจมตีทั้งหมดถาโถมเข้าใส่ร่างของท่านผู้นั้นเสียจนเกิดควันโขมงไปทั่วทาลิควาสที่พุงเข้า ไปฟันจากกระบรวนท่าลอบสังหารของทาไนซได้พุ่งผ่านออกมาจากกลุ่มควัน “ เป็นไงล่ะ.. ” ทาลิควาสกล่าวได้ไม่จบประโยคดี ดาบของเขาก็ร้าวและแตกละเอียด ควันจางลงไปแล้ว ร่างของท่านผู้นั้น ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน “ ข้าเริ่มจะเบื่อกับการเล่นปาหี่ของเจ้าเต็มทีแล้วอัศวิน ที่นี้มาดูกันซิว่าของข้าเป็นยังไงบ้าง ” สิ้นคำของท่านผู้นั้น คลื่นพลังอันมหาศาลที่มองไม่เห็น กดทับร่างของพวกเขาทุกคนจน ไม่อาจทรงตัวได้ต่างต้องทรุดลงไปหมอบศิโรราบ แสงสีรุ้งถูกรวมเข้าที่อ้งมือของท่านผู้นั้นและก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ “ ไม่ได้การแล้ว..เอิทธ์ ” ทาลิควาสกล่าวขณะที่เอื้อมมือไปหาเอิทธ์ก่อนที่จะเปลี่ยนรางเป็นทาโซรอส แสงพลังสีรุ้งก็ถูกซัดลงมา “ Solum et Dragos ” สิ้นเสียงกำแพงศิลาก็ผุดขึ้นมาครอบร่างของพวกเขาไว้ทั้งหมดเพื่อป้องกันพวกเขาจากการปะทะ ทันทีที่แสงพลังงานกระทบกับพื้นป่ามันก็ระเบิดเป็นวงกว้าง เมื่อแสงจางลง ป่าทั้งป่าใน หุบเข้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ก็ได้สูญสิ้นไปในพริบตาพร้อมกับเทือกเขาบางลูกแหว่งขาดหายไปในทันที เหลือทิ้งไว้เพียงกำแพงศิลาที่ผุร้าวและแตกออกไป ทาโซรอสคืนร่างกลับแล้ว ท่านผู้นั้นจึงค่อยๆโรยตัวลงมา และเดินเข้าไปหา Lr และพวกเขาที่ล้มนอนอยู่ “ ได้เวลาที่เจ้าต้องไปกับข้าแล้ว ซาราเบลด ” ท่านผู้นั้นกล่าวก่อนจะเอื้อมมือลงไปคว้าคอเสื้อของ Lr แต่ทว่า มือของเจนัสก็ได้เข้ามายึดแขนของเขาไว้ทัน “ ดื้อด้านจริงๆ ” ท่านผู้นั้นสะบัดมือของเจนัส ออกก่อนจะยืนขึ้น นีน่ากับลากูน่าที่รอบเข้ามาใกล้ตัวเขาได้ ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรก็ถูก กรงเล็บกระดูกที่มือของท่านผู้นั้นตวัดจน ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ เจนัสที่เห็นทั้งสองคนถูกทำร้ายก้เลือดขึ้นหน้าบุกเข้าไปโดยไม่คิด และถูกกรงเล็บ เสียบเข้าที่ท้องจนล้มลงไป อาการคลื่นเหียนเข้าเล่นงานเจนัสในทันทีเขาสำลัก เลือดออกมา ก่อนจะล้มฟุบลงไปแต่ยังคงฝืนประคองสติเอาไว้ “ คิดจะปกป้องซาราเบลดเหมือนที่แล้วมารึ นี่คงเป็นสายเลือดที่พวกเจ้าได้รับสืบทอดมาจากพวกนั้นสินะ ” ท่านผู้นั้นกล่าวจบก็เดินตรงไปยัง Lr อีกครั้งแต่ก็ถูกพวกลูกมังกร เข้ามาขวางไว้ พร้อมกับเจนัสที่คลานเข้ามาคว้าชายผ้าคลุมเอาไว้ พร้อมกับนีน่าที่ลั่นไกปืนยิงกระสุนแสงใส่ไปหลายนัดแต่กระสุนก็ไม่อาจระคายผิว ของเข้าได้เลยแม้แต่จะเจาะทะลุเสื้อคลุมยังไม่เข้า “ เจนัส ลากูน่า สมแล้วที่เป็นลูกของมาฮา ความดื้อด้านนี้ไม่มีใครเทียบจริงๆ นีน่าเจ้าเองก็ได้เชื้อเซโก้มาไม่น้อยเลยนะ ในวิกฤตืแบบนี้ยังอุตส่าห์โจมตีเพื่อไม่ตกเป็นรองศัตรู เชื้อไม่ทิ้งแถวกันจริงๆ ” คำพูดของท่านผู้นั้นทำให้พวกมีปฏิกิริยาเปลี่ยนไปทันที “ มาฮา ทำไมกันนอกจากเรากับท่านแอสต้าไม่น่าจะมีใครรู้จักชื่อนี้ได้นี่ ” เจนัสคิดขณะที่พยายามหาคำตอบ นีน่าที่ได้ยินชื่อเซโก้ ก็มือไม้อ่อนในทันที “ ท่านย่าเซโก้ ทำไมเจ้านี่ถึงรู้ล่ะ ” นีน่าคิดแววตาเต็มไปด้วยความสับสน “ ถึงกระนั้นแล้วพวกแกก็จะให้ซ้ำรอยเดิมกันอีกรึยังไงคิดจะตายอย่างไร้ค่าเหมือนเจ้าพวกนั้นรึ ” ท่านผู้นั้นกล่าวจบก็ปลดปล่อยคลื่นพลังผลักพวกเขาออกไปพร้อมกับพวกลูกมังกร “ ได้เวลาแล้วมากับข้าซะซาราเบลด ” ท่านผู้นั้นกล่าวขึ้นก่อนจะยื่นมือให้แก่ Lr แต่เขาก็ปัดมันออกไปอย่างไม่ไยดีก่อนจะถอยตัวออกห่าง “ ข้าไม่ไปถ้าต้องไปกับแกล่ะก็ข้าขอตายเสียดีกว่า ” การกระทำและคำพูดของ Lr ทำอารณ์ของท่านผู้นั้นเริ่มที่จะครุกรุ่นขึ้น “ คิดจะอยู่กับพวกมดปลวกนี่ไปถึงไหนข้ามารับเจ้าแล้วซาราเบลด ” ท่านผู้นั้นตวาดเสียงกร้าว “ แปดปีก่อนซาเรียแม่ของเจ้าไม่ยอมมอบเจ้าให้แก่ข้าและก็ต้องตายไปแม้แต่พวกมาฮาก็ด้วย ครั้งนี้เจ้ายังไม่ได้คิดอีกรึไง จะต้องลากใครไปตายอีกกี่คนถึงจะสาแก่ใจเจ้า ” ท่านผู้นั้นกล่าวเสียงกร้าวคำพูดของเขาทำให้ Lr ไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้ เขามองไปรอบๆ เพื่อนๆของเขาต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อเขาอีกครั้งแล้ว “ นี่เราทำให้ทุกคนต้องบาดเจ็บงั้นหรือ..เรา.. ” Lr คิดอย่างสับสนในวินาทีนั้นความกลัวเริ่มที่จะกัดกินเขาอกมาจากข้างใน อีกครั้ง “ ท่านผู้นั้น..แกเป็นใครกันแน่ ” Lr ถามขึ้นขณะที่พยายามจะควบคุมไม่ให้ตัวตนอีกด้านตื่นขึ้นมา ท่านผู้นั้นหรี่ตาแคบลง เพื่อพิจารณาก่อนจะเอ่ยขึ้น “ ข้าคือคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าดีที่สุดไม่ว่าแม่ของเจ้าเป็นใครและพี่ชายเจ้าเป็นใครรวมไปถึง เชื้อกำเนิดของเจ้าด้วย ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด ” ท่านผู้นั้นกล่าวเสียงหนักแน่น คำพูดของเขาทำให้ Lr และ เพื่อนๆพากันตื่นตะลึง “ รู้ว่าเราเป็นใครงั้นเหรอ..นี่รึว่าแกคือ ” ลอว์เรนซกล่าวได้เพียงแค่นั้นเพราะคำพูดที่เหลือเขาไม่อาจกล่าวอกมาได้เสียแล้ว “ ถูกแล้วข้าคือพ่อของเจ้าไงล่ะ ” ท่านผู้นั้นได้ตอบแทนให้แก่เขาเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว คำพูดนั้นแทบจะทำเอาหัวใจของพวกเขาหยุดเต้นเอาเสียตรงนั้น “ ไม่จริง แกโกหกชั้นไม่มีวันยอมรับหรอก ” Lr ตะคอกอย่างเสียขวัญ ความคิดที่ว่าเขาคือต้นเหตุให้ทุกคนต้องมารับเคราะห์ และเขาคือลูกของคนที่เขาเคียดแค้นมากที่สุดได้ปลุกเร้าความกลัวในจิตใจของเขาให้ ขยายตัวขึ้น “ เจ้าไม่มีทางปฏิเสธได้หรอก ” ท่านผู้นั้นกล่าวเพื่อที่จะกดดันเขาให้ถึงที่สุด “ อย่ามาพูดชุ่ยๆนะ ” ไลท์ตะหวาดขึ้น “ ใช่แล้วลอว์เรนซ์ไม่มีทางเป็นลูกของคนชั่วอย่างแกหรอก ” ไฟร์กล่าวอย่างหนักแน่น “ แล้วพวกเจ้าจะปฏิเสธสิ่งที่ข้ารู้นี้อย่างไรล่ะ พวกเจ้าทั้งสามก้รู้แล้วใช่ไหมล่ะ ” ท่านผู้นันกล่าวพร้อมกับหันไปทางพวกเจนัส “ ไม่จริงมันหลอกพวกเราใช่ไหมมันต้องการให้พวกเราสับสนใช่ไหม ” เอิธท์ย้ำถามเพื่อขอคำยืนยันทว่าคำตอบที่ได้จากพวกเขากลับทำให้พวกเขาต้องยอมรับ “ ไม่หรอกทุกอย่างคือความจริง เพราะท่านย่าเซโก้บอกแก่ฉันว่า ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นอัศวินมังกรแห่งตำนานคือทายาทซาราเบลดรุ่นที่ยี่สิบ และคนที่จะรู้เรื่องของพวกท่านย่าได้ดีถึงขนาดนี้มีเพียงคนที่หายตัวไปเมื่อเก้าปีก่อนอย่างอิเดีย ซาราเบลด หรือพ่อของลอว์เรนซ์นั่นล่ะ ” นีน่ากล่าวขึ้นแม้จะไม่อยากเชื่อแต่สิ่งที่กล่าวมานั้นก็สามารถที่จะเชื่อถือได้ “ เซโก้เล่าให้เจาฟังทุกอย่างเลยสินะ ” ท่านผู้นั้นกล่าวจบก็เปิดผ้าคลุมหัวออก ใบหน้าของชายวัยกลางคนผมสีทองนั้นยังคงเดิมอยู่ เขาไม่ได้แก่ลงไปเลย เขาคืออิเดีย ซาราเบลด ที่หายตัวไปเมื่อ 9 ปีก่อน “ เอาล่ะได้ยินแล้วใช่ไหมหากไม่อยากให้ใครต้องเสียเลือดไปมากกว่านี้ก็มากับข้าซะ ” อิเดียกล่าวLr ที่บัดนี้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสับสนหากเขายอมไปก็จะต้องจากทุกคนไป แต่หากไม่เขาก็จะต้องเสียทุกคนไป เมื่อคิดได้ดงนั้นเขาจึงยืนขึ้นและกล่าวออกมา “ ถ้าข้ายอมไปท่านต้องไว้ชีวิตพวกเขา ” Lr กล่าวต่อรอง คำพูดของเขาทำให้เพื่อนๆตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง “ ได้ข้าสัญญา ” อิเดียกล่าวจบลอว์เรนซ์ก็เดินเข้าไปหาเขา แต่โดยดี “ อย่าไปนะ ลอว์เรนซ์ ” ไลท์ตะโกนเรียกให้เขาหยุดแต่ทว่า Lr ก็ได้เข้าไปหาอิเดียเสียแล้ว เขาหันหลังกลับมามองพวกเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ ลาก่อนนะ..ทุกคน ” สิ้นคำ Lr ก็ถูกพลังของดราก้อนฮอลลี่ควบคุมจิตใจอีกครั้ง ปีกนกสีดำได้ผุดขึ้นมาอีกครั้งสายตาของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นสายตาเจ้าเล่ห์ และเย็นชาไร้แววท่านผู้นั้นได้สวมผ้าคลุมสีแดงให้แก่เขาก่อนที่จะเปิดประตูมิติ และพา Lr เข้าหายเข้าไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms200871815754.jpg) “ ลอว์เรนนนนนนนนนนนนซ์ ” ไลท์ตะโกนเรียกอย่างสุดเสียงด้วยความขมขื่น ช่วงเวลาแห่งความสุขได้แตกสลายไปเพียงชั่วพริบตาพวกเขาได้เสียเพื่อนคนสำคัญไปแล้ว “ ดูท่าเราจะมาช้าเกินไป.. ” เมทาไนท์กล่าวขึ้นเขากับเทียแมตและแกรเดครอสที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นจากข้างบน โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า Lr ถูกพาตัวไปแล้ว การเคลื่อนไหวของโฮลี่ไนท์แมร์ได้เริ่มขึ้น “ ข้าจะมาขอรับฟอจูนทรีไปล่ะนะ ” Lr ได้เข้าต่อกรกับพันนิชชูร่าและเหล่าทวยเทพแห่งฟูดินัน ทว่าก็ไม่อาจหยุดเขาได้ ขณะเดียวกัน “ พลังของพวเธอในตอนนี้ไม่พอที่จะต่อกรกับศัตรูได้ ” ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นพวกเจ้าต้องดึงเอาพลังของจันทราแบบที่สามของศิลาออกมา ” “ การที่จะใช้พลังนั้นจำเป็นต้องอาศัยพลังของครึ่งสมิงสองตนต่อหนึ่งการอัญเชิญ ” การฝึกฝน เพื่อค้นหาพลังใหม่ “ เธออยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่าพวกเราจะไปช่วยลอว์เรนซ์กลับมาให้ได้ ” “ ถ้าเพียงแต่ฉันมีศิลาและคู่ที่จะร่วมต่อสู้ด้วยล่ะก็.. ” ความรู้สึกที่แรงกล้าแต่ไร้ซึ่งพลัง “ ถ้าเช่นนั้นชั้นจะช่วยเธอเองเพราะนี่คือการไถ่บาปที่ชั้นจะทำให้ได้ ” ผู้ที่กลับมาช่วยเหลือ “ พวกเราคือตัวแทนพลังแห่งจิตใจที่จะต่อกรกับความกลัว ” พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมา “ สุดท้ายข้าก็ต้องเป็นคนจัดการพวกแกเองสินะ ” คมดาบของเพื่อนที่พุ่งเล็งมายังพวกเขา การบุกเข้าสู่ปราการของศัตรู พวกเขาจะช่วย Lr ได้หรือไม่พลังใหม่ที่พวกเขาจะนำมาต่อกรคืออะไร จันทราดวงที่สามคือสิ่งใดติดตามได้ใน… บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ ทำไมมันเศร้าอย่างงงงงงงงงงนี้ เปิดภาคมาก็แพ้แต่หัววันเลย ช่างมันเดี๋ยวกลับไปแก้แค้นอีกทีก็ได้ บทถัดไปอัพวันอาทิตย์นะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาŦ Post by: boy on July 18, 2008, 07:38:23 PM จุดจบของจุดจบจริงๆ ความจริงมักโหดร้ายกับเราเสมอ :'( :'(
ปล.พระเอกกลายร่าง เหวอเลย ปล.2 หากูเกื้ล ลอเรนซ์กลายเป็นสูตรวิทย์ เป็นนู่นเป็นนี่ไปหมดเลย Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นห Post by: cocka-c on July 18, 2008, 08:09:55 PM ว่าไปแล้วนะครับ ชื่อมาฮา ราซานี อิเดีย ซาเรีย เซโก้ เนี่ยมันคล้องจองกันดีจริงๆ
แต่ไมเนื้อเรื่องตอนต้นที่เขียรนเกี่ยวกับอดีตตระกูลเนี่ย มันออกแนว กบฏพระราชสมบัติเลยอ่ะ ปล. ลอว์เรนซ์กลายเป็นสูตรคูณ หน่วยลูมิเนนท์ วิชาฟิสิกส์ป่ะ คล้ายๆกัน Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 25 ความผิดและโทษทัณฑ์ Post by: boy on July 19, 2008, 12:52:17 PM สุดท้ายข้าก็ต้องเป็นคนจัดการพวกแกเองสินะ
คมดาบของเพื่อนที่พุ่งเล็งมายังพวกเขา การบุกเข้าสู่ปราการของศัตรู พวกเขาจะช่วย Lr ได้หรือไม่พลังใหม่ที่พวกเขาจะนำมาต่อกรคืออะไร จันทราดวงที่สามคือสิ่งใดติดตามได้ใน บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ ทำไมมันเศร้าอย่างงงงงงงงงงนี้ เปิดภาคมาก็แพ้แต่หัววันเลย ช่างมันเดี๋ยวกลับไปแก้แค้นอีกทีก็ได้ บทถัดไปอัพวันอาทิตย์นะครับ พระเอกซวย.......ขอเดาตอนของวันอาทิตย์นะ ต้องมีตอนที่พระเอกสู้กับพวกตัวเองแน่เลย ::004:: [/quote] Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นหมอง Post by: greamon on July 19, 2008, 07:02:06 PM Quote พระเอกซวย.......ขอเดาตอนของวันอาทิตย์นะ ต้องมีตอนที่พระเอกสู้กับพวกตัวเองแน่เลย ถูกต้องครับ แต่ผิดวัน บทหน้ายังไม่ได้ปะทะกันหรอกอย่างมากก็แค่โผล่มาแล้วจบว่าแต่บทหน้านี้พวกเราจะได้เห็นความโหดของอีสควอเทียกันแย้วววว Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นห Post by: greamon on July 20, 2008, 07:52:51 PM บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ
9 ปีก่อน ณ วิหาร St.Laurence ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เหนือชะง่อนผา ตัววิหารสีขาว หลังเรียงทรงเป็นหน้าจั่ว ส่วนอาคารที่อยู่ใจกลางนั้น ถูกสร้างเป็นโดม ซึ่งปูด้วยหลังคากระจกเพื่อให้แสงส่อลงมาได้ ที่ลานหน้าวิหารนั้น ได้มีรูปสลักของ นักบุญมังกร มาธา (Martha, the Dragon Gospel Author) ยืนเด่นเป็นสง่าสายฝนที่โปรยปรายลงทำให้ร้านค้า ต่างๆที่อยู่ตั้งแต่เชิงบันได ที่สร้างลงไปจากชะง่อนผาที่ไม่สูงนักนี้ จนถึงลานหน้าวิหารได้เก็บกลับไปกันหมดแล้ว บัดนี้จึง ทหารจากตระกูลซาราเบลดที่ควบม้าตามหลังอิเดียมานั้นได้มาถึงลานของวิหารแล้ว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/5.jpg) พวกเขาลงจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้าไปหลบฝนที่ใต้ชายคา ประตูวิหารได้เปิดออกทว่าแทนที่ พวกเขาจะได้รับการต้อนรับจาก เหล่านักบุญในวิหาร ที่สวนออกมานั้นกลับเป็น แสงสีรุ้งพุ่งผ่านตัวอิเดียไปอย่างฉิวเฉียด ทว่าทหารที่ตามาอารักษ์ขา เขาถูกลำแสงเหล่านั้น ทะลุผ่านร่างจนกลวง ล้มตายลงทั้งหมด บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว ทันทีที่เขาทอดสายตามองเข้าไปยังโถงกลาง ตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างด้วย ความตกตะลึง ภายในโถงใหญ่ ร่างของนักบวชแห่งวิหารมังกรทุกคน ล้มนอนตายเกลื่อนพื้นวิหาร โลหิตสีแดงกระจายเปรอะเปื้อนผนังและพื้นวิหารจนทั่ว ชิ้นส่วนซากศพของนักบวชบางคนก็หลุดกระจายไปอยู่คนละที่จนเละเทะไปหมด สร้างความสยดสยองให้แก่อิเดียเป็นอันมาก เสียจนเขาต้องกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ เขาชักดาบออกจากฝักที่เหน็บไว้ที่เอวขึ้นมาก่อนจะ ย่างเก้าเข้าไปในวิหารและ สอดส่ายสายตาหาผู้รอดชีวิตที่จะมาช่วยอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าเขาเองก็ เตรียมใจไว้เช่นกันว่าอาจไม่เหลือผู้รอดชีวิตและยังต้องปะทะกับศัตรูที่จู่โจมใส่พวกเขาด้วย “ มาแล้วหรือ..อิเดีย แห่งซาราเบลด ” เสียงซึ่งฟังดูเย็นชาไร้ที่ติ ราวกับผู้ที่กล่าวออกมานั้นไม่หลงเหลือไอชีวิต อยู่ในร่างแล้ว อิเดียรีบหันไปยังต้นเสียงนั้นซึ่งดังมาจาก ด้านในสุดของโถง นี้อันเป็นที่ตั้งของแท่นสักการะ ศิลามังกรแห่งทาลิวิลย่าหรืออีกนัยก็คือศิลาที่ฝังอยู่ ในตัวของ ลอว์เรนซ์ (Laurance) ซึ่งเป็นอนุสรณ์ ให้แก่เขา อิเดียเดินเข้าไปใกล้แท่นสักการะสูงซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางโถง โดยที่ ศิลามังกรถูกประกอบเข้ากับเชิงเทียนรูปมังกร ถูกวางเอาไว้บนแท่น แสงซึ่งไม่ควรจะมีในเวลาที่ฟ้าปิดเพราะเมฆฝนเช่นกลับส่องลงมาสะท้อนกับ ผิวของศิลาจนเกิดแสงระยิบระยับไปรอบศิลา เมื่ออิเดียเข้าใกล้แท่นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เห็นใครบางคนยืนหันหน้าให้แท่นสักการะอยู่ เขาหรี่ตาแคบลงเพื่อดูว่า เป็นใคร เขาคนนั้นใส่ชุดบิชอปสีดำ ยืนแหงนหน้ามองศิลา อยู่โดยไม่หันมาสนใจอิเดียแม้แต่น้อย อิเดียค่ยๆเร่งฝีเท้าขึ้นจนกลายเป็นวิ่งไปในที่สุด เขาวิ่งเหยียบย่ำพื้นที่เปรอะไปด้วยเลือด จนรองเท้าโลหะของชุดเกราะกลายเป็นสีแดง แม้ระหว่างทางเขาจะเหยียบถูกเอาซาก ศพ ของนักบวชไปบ้าง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาลดฝีเท้าลง ทันทีที่เขามาถึงตัวบิชอปชุดดำ อิเดียก็หยุดวิ่ง เขาหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆด้วยความเหนื่อยหอบจากการวิ่งและความสงสัยในตัวของเขาทำให้ หัวใจของเขาเต้นรัว และกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วทำให้เขาหายใจได้ลำบาก “ ท่านเป็นใครเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ” อิเดียถามด้วยความหวังลึกๆในใจว่า บิชอปชุดดำจะตอบไม่เช่นนั้น เขาก็อาจจะต้องตอบคำถามให้กับตัวเองว่าทำไมถึงได้เดินเข้ามาตายเสียเอง เพราะนอกจากบิชอปผู้นี้ก็ไม่มีใครในวิหารอีกแล้วที่ได้ฆ่าทหารของเขาไป บิชอปชุดดำยังคงนิ่งเฉย ราวกับไม่ได้ยินคำถามของเขา เมื่อรออยู่นาน ก็ยังไม่ได้คำตอบทำให้อิเดียตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง “ ข้าถามว่าท่านเป็นใครท่านได้ยินไหม ” อิเดียกล่าวเสียงของเขาก้องไปทั่วทั้งวิหาร บิชอปชุดดำจึงก้มหน้าลง นั้นทำให้เขาต้องกระชับดาบในมือแน่น “ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ข้าไม่ทำอะไรท่านอยู่แล้วเพราะในเวลานี้ข้ายังไม่มีตัวตน ” บิชอปชุดดำกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะเงียบไป “ แล้วเกิดอะไรขึ้นที่นี่ท่านเป็นใครกัน ” อิเดียถามอีกครั้งหลังจากที่ได้ฟังคำตอบที่ฟังชวนหัว ขึ้นมา “ ซาราเบลด ท่านเชื่อเรื่องพระเจ้าหรือไม่ ” บิชอปชุดดำถามย้อน สร้างความงุนงง ให้แก่เขาเป็นอันมาก เขาคิดว่าบิชอปผู้นี้คงเสียสติไปแล้วหรือไม่ก็หูพิกลพิการ ถึงไม่ได้ยินคำถามของเขา “ ข้าถามว่าท่านเป็นใครไม่ได้ให้มาถามข้าเชื่อเรื่องพระเจ้าไหม ” อิเดียกล่าวแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับใดจากบิชอปชุดดำ เมื่อนิ่งอยู่นานในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ และคิดที่จะหาทางหลอกถามเขาให้ได้ ด้วยการเจรจา “ ทำไมท่านถึงถามข้าเช่นนั้นล่ะ ท่านไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าหรือ ” อิเดีย ถามย้อนไปบ้างเพื่อจะทดสอบดูปฏิกิริยาของเขา “ เราเคยเชื่อและยึดมั่นในพระองค์มาตลอดแต่… ” บิชอปชุดดำหยุดกล่าวไปกลางคัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ แล้วท่านล่ะซาราเบลด ” บิชอปย้อมถามเขาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาเองจำใจยอมตอบเพื่อที่จะได้พ้นคำถามนี้ไปเสีย “ ข้าเชื่อเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างและประทานชีวิตแก่โลกใบนี้ ” อิเดียตอบดดยหวังว่าบิชอปผู้นี้จะยอมตอบคำถามให้แก่เขา “ ที่ท่านเชื่อนั้นเป็นเพราะเหตุใดท่านเชื่อในปาฏิหาริย์ที่พระองค์ประทาน หรือเชื่อเพราะศาสนาท่านที่ยึดมั่น ” บิชอปชุดดำย้อมถามเขาอีกครั้ง แม้จะรู้สึกว่าเสียเปรียแต่เเขาก็ยอม ที่จะตามน้ำไปก่อนเพื่อจะหาโอกาสถามบิชอปอีกครั้ง “ ไม่ใช่ทั้งสองอย่างข้าเพียงแค่ยึดมั่นในคำสอนของพระองค์และใช้มันเป็นเครื่องนำทางเพื่อ ก้าวไปข้างหน้า ข้าไม่ได้เชื่อเพราะปาฏิหาริย์ย์หรือศาสนาชักจูงแต่อย่างใดข้าเพียงแต่ยึดมั่นในหลักของท่านเท่านั้น ” อิเดียตอบน้ำเสียงหนักแน่น บิชอปชุดดำหัวเราะในลำคอเบาๆด้วยความพอใจก่อนจะเอ่ยต่อ “ คำตอบของท่านทำให้เราแปลกใจเป็นอย่างยิ่งท่านไม่เหมือนคนอื่นที่หวังแต่จะ ให้พระองค์ช่วยเหลือโดยไม่พยายามดิ้นรนให้ถึงที่สุด ท่านแตกต่างจากทุกคนและตัวเรา เพราะท่านยึดมั่นเช่นนี้เอง ” บิชอปกล่าวเสียงเรียบ ครั้นอิเดียจะถามเขาก็แทรกขึ้นมาทันที “ หากวันหนึ่งสิ่งที่ท่านยึดมั่นนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองท่านจะทำเช่นไรล่ะ ” บิชอปชุดดำถามอีกครั้งดดยไม่เปิดโอกาสให้แก่เขาเลย ครั้นจะตอบคำถามก็ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่บิชอปกล่าว “ ท่านหมายความว่าอย่างไร ” อิเดียถามกลับโดยหวังจะใช้โอกาสนี้เป็นฝ่ายรุกกลับเสียบ้าง “ งั้นรึสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครให้คำตอบได้สินะ… ” บิชอปกล่าวตอบก่อนจะหันกลับมา ใบหน้าของเขาถูปกปิดด้วยหน้ากาก กลมมนสีขาว มีเพียงช่องตาที่ถูกเจาะเอาไว้บนหน้ากากสองช่อง ทว่าดวงตากลับไร้แววเสียดำสนิท ราวกับตุ๊กตา อิเดียต้องถอยผงะไปจนสะดุดเข้ากับซากศพ และล้มลงสายตาของถูกเบนขึ้นไป ยังแสงที่อยู่เหนือศิลามังกร สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นสร้างความ ผวาให้แก่เขายิ่งนัก ร่างซึ่งประกอบด้วยโครงกระดูกเป็นทางยาวคล้ายงู ที่กระดูกซี่โครงได้ยื่นออกมาสี่ด้าน ปลายเป็นปีกขนนกและกรงเล็บล่องลอยอยู่กลางอากาศ กระดูกหลังมีเดือยกระดูกยื่นออกมา กะโหลกยื่นยาวและมีเขาสองข้าง คอยื่นผ่านวงล้อ ซึ่งมีแยกอยู่ด้านบนสามแฉก แสงสีรุ้งวิ่งไหลวนอยู่ในวงล้อนั้น ดวงตาของมันลุกวาวด้วยเพลิงนรกร่างกายส่องสกาว ด้วยแสงอันเจิดจรัส ราวกับทูตสวรรค์ “ ตอนนี้พระองค์ได้มาปรากฏต่อหน้าเจ้าแล้ว ท่านคือเจตจำนงแห่งบาปและคุณงามความดีทั้งปวง ที่ก่อตัวขึ้นมาในรูปอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จงแสดงความเคารพต่อพระองค์โดยพลีกายและจิตวิญญาณแก่พระองค์ เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เสียเถิดเพราะท่านได้ถูกเลือกแล้ว ” สิ้นคำของบิชอปชุดดำ สิ่งที่เขาเรียกขานว่าคือพระผู้เป็นเจ้าก็ได้กลายเป็นแสง และพุ่งเข้าหาอิเดีย ในทันที อิเดียรีบลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน เพื่อจะหนีจากแสงนั้น แต่เขาก็ลื่นล้มลงเพราะเลือดที่ท่วมไปทั่วพื้นวิหารแสงทั้งหมดได้แทรกซึมเข้าไปในร่างของเขา ก่อนที่จะแน่นิ่งไป ขณะหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เปรอะไปด้วยเลือด “ เจ้าไม่ใช่คนในยุคนี้ใช่ไหม ” อิเดียกล่าว เสียงหยาบกร้านและดังกึกก้อง เยี่ยงปีศาจ ดวงตาไร้แวว มือของเขาระเบิดออกเหลือแต่เพียงกระดูกเท่านั้นก่อนมันจะลุกโหมด้วยไฟบรรลัยกัณฑ์ “ ถูกอย่างที่พระองค์ตรัสข้าข้ามกาลเวลามาจากอนาคตข้างหน้านี้ ดังนั้นตัวตนของข้าในตอนนี้จึงยังมิได้รับใช้พระองค์… ” บิชอปชุดดำกล่าวแต่ก็ถูกปรามคำพูดไว้ “ ข้าคือผู้อยู่เหนือกาลเวลาและความเป็นความตาย ทำไมเรื่องแค่นี้ข้าจะไม่รู้ ไม่ว่าจะอดีตถึงอนาคต ข้าได้รู้เห็นจนหมดสิ้นแล้ว ข้าคือผู้ลิขิตชีวิตของผู้ที่สิ้นแล้วให้อยู่หรือตายได้ทั้งสิ้น ” อิเดียป่าวประกาศถึงอำนาจของตนก่อนที่จะ ตวัดมือ ออกไปเปลวเพลิงที่เผาไหม้มือของ เขาได้กระเด็นไปลุกไหม้บนพื้นก่อนจะขยายตัวขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น วิหกโลกัณฑ์สีดำและวิหกเพลิงอมตะ ไปบินฝ่าออกมาพร้อมกับนายของตนแบล็คไวเซอร์และบลาสเซจ “ ข้าได้พาพวกเจ้ากลับขึ้นมาจากความตายจงรับบัญชาจากข้า ไปรวบรวมเหล่านักรบมาเพื่อก่อตั้งสิบสองเทพขุนศึก ” สิ้นคำของอิเดีย จอมเวทย์ผู้ฟื้นขึ้นมาจากขุมนรกก็ได้ออกไปรวบรวมเหล่านักรบตามคำสั่ง “ สมเป็นพระองค์ ท่านคือผู้สร้างและประทานชีวิต ลิขิตเป็นตายแก่ทุกผู้ได้ รู้แจ้งเหนือกาลเวลา เช่นนั้นท่านก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าการส่งอัศวินนรก มอลฟาสซ์ (MALPHAS, THE HELL KNIGHT) ไปขัดขวางเกรเกอรี่นั้นไม่เป็นผลแล้ว ไยพระองค์ยังคงให้ข้าข้ามเวลากลับมากระทำการสูญเปล่าเช่นนี้อีก ” บิชอปกล่าวด้วยความสงสัย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n018/94.jpg) “ ข้าไม่คิดอยู่แล้วว่าอัศวินนรกจะขวางเกรเกอรี่ได้ ที่ข้าต้องการคือการรักษากระแสเวลาให้เดินไปอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้นตอนนี้สิบสองเทพขุนศึกลูคเรทีย กำลังถูกไล่ต้อนจงข้ามเวลากลับไปช่วยนางเสียและกลับไปยัง เวลาเดิมของเจ้าเพื่อทำศึกตัดสินกับศัตรูซะ ” อิเดียสั่งราวกับล่วงรู้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตเป็นเช่นไรถึงสามารถอ้างในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้ บิชอปรับคำสั่งแล้วจึงเปิดประตูมิติเพื่อข้ามห้วงเวลา กลับไปยังอนาคตเพื่อชื่วยลูคเรเทียจาก เงื้อมือของทาลิคนัส ที่เมืองทีนวาแลน “ ทีนี้ก็เหลือเพียงเก็บกวาดที่นี่เท่านั้น.. ” อิเดียกล่าวจบ ปีกโครงกระดูกก็กางทะลุเสื้อเกราะออกมา ก่อนจะลุกโหมด้วยเพลิงวิญญาณ ทันทีที่อิเดียสะบัดปีกทะยานทะลุกระจกวิหารออกไป ไฟจากปีกก็โหมกระหน่ำเผาเอาร่างของเหล่านักบวชและนายทหารที่สิ้นชีวิตทุกคน เพียงพริบตาหลังจากที่เปลวไฟได้ดับสลายสิ้นไป เหล่านักบวชและนายทหารทั้งหมดก็ ฟื้นคืนกลับมาโดยไม่มีแม้แต่บาดแผล ร่างของนักบวชที่เคยฉีกขาดมาก่อนก็รวมกลับเป็นอย่างเดิม คราบโลหิตตามผนังและพื้นวิหารได้อันตธานหายไป ราวกับไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้น ทิ้งไว้เพียงเศษกระจก ที่แตกกระจายเกลื่อนแท่นสักการะ กับการหายตัวไปของอิเดีย ทั้งนักบวชและนายทหารทั้งหมดไม่มีใครจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้กระทั่งเรื่องที่ตนได้ตายแล้วกลับฟื้นคืนขึ้นมาก็ตาม ภาพเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดถูกเล่าผ่านน้ำตก แห่งการรู้แจ้งของวิหารปราชญ์มังกร ให้แก่ ลูกมังกร และพวกเจนัสกับเทียแมตได้รับรู้กัน (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/56.jpg) “ ทีนี้พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วสินะว่า ทำไมพ่อของลอว์เรนซ์ถึงได้เป็นท่านผู้นั้นไปได้ ” อีสควอเทียเปรยเสียงเรียบ ขึ้นพวกเขาได้แต่นั่งนิ่ง เพราะไม่อาจ สรรหาคำใดมาพูดได้อีกหลังจากที่ได้รับรู้เหตุการณ์ในอดีตตั้งแต่ตอนที่อิเดียหายตัวไป และการล่มสลายของตระกูลซาราเบลดรวมไปถึงการตายของพ่อแม่พวกเขา และที่น่าตื่นตะลึงกว่านั้น การที่ได้เห็นภาพของกาเร็ทซึ่งก็คือเมทาไนท์ในวัยเด็ก ที่ตอนนี้ไม่มีชุดเกราะมาปกปิดอีกแล้ว ได้ย้ำถึงความเป็นพี่น้องของเมทาไนท์กับลอว์เรนซ์สร้างความประหลาดใจแก่พวกเขายิ่งนัก “ แปลว่าที่แล้วท่านแอสต้ารู้มาตลอดเลยสินะว่าเราสองพี่น้องเป็นลูกของใครกัน ” ลากูน่าเปรยเสียงแผ่ว จากการที่ยังทำใจให้เชื่อในสิ่งที่เห็นมานั้นไม่ได้ “ ที่จริงท่านบอกความจริงแก่พี่ตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนที่เราจะไปเข้าร่วมกับ เซอร์เซสแล้วพี่ต้องขอโทษด้วยที่ปกปิดมาตลอด ” เจนัสกล่าวขณะที่เข้าไปปลอบน้องชาย (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-4658a0.jpg) “ ฉันเองก็เคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมมีแต่ฉันที่เป็นครึ่งสมิงในตระกูล ลาเซริโอ้ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วเดิมทีแม่ฉันเป็นคนตระกูลเฟ็นเรียนี่เอง ” นีน่ากล่าวเสียงแผ่วขณะที่ในใจยังคงไม่อาจปักใจเชื่ออย่างเต็มที่นัก (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-dfdd27.jpg) “ งั้นเธอกับริคุก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะสิ ” ลากูน่าหันไปถามด้วยความสงสัยซึ่งนางก็พยักหน้ารับ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-678779.jpg) “ ตอนนี้เราไม่มีเวลามากแล้ว ต้องรีบไปช่วย ลอว์เรนซ์กับพวกมังกรในหมู่บ้านที่ถูกจับขัง ไว้ที่ปราการลอยฟ้าของมันโดยเร็วที่สุดเพราะนี่จากวันนั้นก็ผ่านมา สองวันแล้ว พวกมันคงไม่อยู่เฉยแน่ ” เมทาไนท์อธิบายสถานการณ์ให้อีสควอเทียฟังอย่างคร่าวๆ “ งั้นจะมัวรอช้าอยู่ทำไมล่ะเรารีบบุกไปชิงตัวลอว์เรนซ์กันเลยสิ ปราการลอยฟ้าของพวกมันตั้งอยู่เหนืออาณาจักรฟีเลเซียนี้เอง ” ลากูน่ากล่าวอกไปโดยไม่ยั้งคิด “ ถ้าไปตอนนี้ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ ตอนนี้เราไม่มีลอว์เรนซ์แล้ว จะเรียกอัศวินทาลิวิลย่ามาช่วยก็ไม่ได้กำลังรบของเราลดลงมากเกินไป ” เมทาไนท์กล่าวยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อเสียลอว์เรนซ์ไป “ พลังของพวกเธอในตอนนี้ไม่พอที่จะต่อกรกับศัตรูได้ ” อีสควอเทียกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปหาเจนัส “ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นพวกเจ้าต้องดึงเอาพลังของจันทราแบบที่สามของศิลาออกมา ” อีสควอเทียกล่าวจบก็เดินนำให้พวกเขาตามนางไปที่ทะเลสาบซึ่งสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่อง ผ่านพุ่มเถาวัลย์เหนือโพลง ลงมา ทันทีที่นางไปถึง อควา ก็โผล่หัวขึ้นมาจากทะเลสาบ พร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเรียบร้อย นางจึงเริ่มคำรามบทสวดขึ้นน้ำในทะเลสาบแยออกจากกัน ในทันทีเผยให้เห็นบันไดที่ทอดลึกลงไปยังก้นทะเลสาบ ที่ก้นทะเลสาบนั้นมีแท่นศิลาซึ่งสลัก รูปจันทร์เสี้ยวเอาไว้ บนแท่นมีโซ่กุญแจมือ คล้องผ่านออกมาจากรูบนแท่นหิน ซึ่งเชื่อมกันไว้ด้านใน “ การที่จะใช้พลังนั้นจำเป็นต้องอาศัยพลังของครึ่งสมิงสองตนต่อหนึ่งการอัญเชิญ ” อีสควอเทียกล่าวขณะที่ผลักให้เจนัสกับลากูน่าเดินลงไปในทะเลสาบและกันไม่ให้คนอื่นเดินตามลง มา ทันทีที่พวกเขาลงมาถึงแท่นที่ก้นทะเลสาบ อีสควอเทียก็ให้พวกเขาใส่กุญแจมือกันคนล่ะข้าง และยืนกันคนละด้านของแท่นหิน ก่อนจะเดินกลับขึ้นไป “ แล้วพวกเราจะต้องทำยังไงถึงจะดึงเอาพลังของจันทราแบบที่สามออกมาได้ล่ะ ” ลากูน่ากล่าวถาม นางจึงหยุดเดินก่อนจะหันกลับมา “ พลังของศิลาจันทราคืออัญเชิญจันทราสามแบบ แบบที่หนึ่งคือจันทราสีคราม มีพลังในการผนึก แบบที่สองคือจันทราสีเลือด มีพลังในการเพิ่มและฟื้นฟูพลังและแบบที่สามนั้น คือการโจมตี ที่แล้วมาพวกเจ้าสองพี่น้องทำได้แค่อัญเชิญจันทราออกมาเพียงสองแบบเท่านั้น การจะดึงเอาพลังแบบที่สามออกมานั้น จำเป็นจะต้องอาศัยพลังของผู้ถือครองศิลาทั้งคู่ เพื่ออัญเชิญออกมา ” อีสควอเทียอธิบาย “ แล้วการฝึกนี่จะต้องทำอะไรล่ะ ” เจนัสถามออกมาด้วยความสงสัย ซึ่งอีสควอเทียก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกเดินขึ้นไปต่อ “ ตอนนี้กุญแจมือทั้งสองที่พวกคล้องไว้น่ะมีพลังในการสกัดกั้นอำนาจในการอัญเชิญจันทรา แบบที่หนึ่งและสอง อยู่การทดสอบนั้นก็ง่ายมากอีกเดี๋ยวน้ำในทะเลสาบที่แยกออกนี้ก็จะท่วมเข้าหากัน ถึงตอนนั้นพวกเธอทั้งคู่ก็จะจมอยู่ใต้ก้นทะเลสาบหากไม่สามารถอัญเชิญจันทราแบบที่สามออก มาได้กุญแจมือนั่นก็จะไม่ปลดออก ถึงตอนนั้นพวกเธอสองพี่น้องก็คงได้กลายเป็นผีเฝ้าทะเลสาบแน่พยายามเข้าละกัน ” อีสควอเทียอธิบายวิธีฝึกเสี่ยงตายให้แก่พวกเขาได้อย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนว่าพวกเขาจะตายหรือไม่ ก็ตาม แม้นีน่าและพวกลูกมังกรจะขอให้ยกเลิกการฝึกก็ตามแต่นางก็ปฏิเสธที่จะทำตาม เพราะหากไม่สามารถเก่งขึ้นได้ภายในเร็ววัน การไปช่วยลอว์เรนซ์อาจสายเกินแก้ ซึ่งพวกเทียแมตก็เห็นด้วยกับวิธีนี้ “ เรื่องอะไรจะมายอมจมน้ำตายอยู่นี่เล่าของแบบนี้น่ะกระชากมันทิ้งซะลยก็หมดเรื่อง ” ลากูน่ากล่าวขณะที่ออกแรงกระชากแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรโซ่ก็ไม่ขาดออก ครั้นเมื่อทุบแท่นหินลงไป แรงสะเทือนก็สะท้อนกลับมาทำเอาเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง “ อย่าเหนื่อยเปล่าเลยนั่นน่ะทำมาจากโลหะเหนียวพิเศษแถมยังอาบอาคมเอาไว้ด้วยส่วนหินนั้นก็อยู่คง ทนใต้ทะเลสาบมาหมื่นปีแล้วแถมยังสกัดกั้นพลังเวทย์ได้ทุกรูปแบบทุบให้ตายก็ไม่แตกหรอก ” อีสควอเทียกล่าวแจ้งให้พวกเขาทราบ “ ชิ..งั้นก็แช่แข็งน้ำพวกนี้ก่อนจะลงมาท่วมก็พอ..อัญเชิญ..อุบ ” ลากูน่าที่คิดจะใช้พลังของศิลาอัญเชิญจันทราสีครามออกมานั้น ต้องหยุดชะงักไปเมื่อโซ่กุญแจมือที่คล้องข้อมือเขาไว้ เรืองแสงสีเขียวขึ้นมา ผลันไอพลังเวทย์ที่ไหลออกมาจากศิลาจันทราซึ่งคล้องคอเขาไว้ก็ถูกดูดเข้าไปยัง โซ่ จากการที่ถูกดึงแรงดันพลังเวทย์ออกกระทันหัน ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกกระชาก วิญญาณออกจากร่างยังไงยังงั้น และที่สุดการอัญเชิญจึงถูกยกเลิกครั้นที่ลองใหม่โซ่ก็ดูด พลังของเขามาเหมือนเดิมจนทำให้การอัญเชิญจันทราของเขาล้มเหลวอีกครา “ ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าโซ่นั่นสกัดกั้นการอัญเชิญจันทราทั้งสองแบบไว้ ที่พวก เจ้าจะอัญเชิญออกมาได้ในเวลานี้คือจันทรารูปแบบที่สามซึ่งไม่ตายตัวว่าเป็นจันทราแบบไหน ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็จะรอดออกมาเอง พยายามเข้าล่ะ ” อีสควอเทียกล่าวเสียงใสราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญเอาเสียเลย ลากูน่าที่ได้ยินดังนั้นก็เข่าอ่อนทรุดลงอย่างหมดหวังในทันที “ ไม่รอดแน่.. ” ลากูน่าเปรยออกมาด้วยความผิดหวัง เขาไม่อาจทำอะไรได้เลยในเวลาเช่นนี้ “ ลุกขึ้นมา ลากูน่า ถ้ามาหยุดอยู่แค่นี้ล่ะก็ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นแต่ลอว์เรนซ์ที่ยอมเสียสละ เพื่อช่วยพวกเราไว้ก็จะไม่รอดเช่นกันจะยอมให้การเสียสละของเขาต้องสูญเปล่ารึ ” เจนัสกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น คำพูดของพี่ชายได้ทำให้ลากูน่ารู้สึกมีหวังขึ้นมา Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นห Post by: greamon on July 20, 2008, 07:53:14 PM “ ถูกของพี่ถ้าเราหยุดอยู่เพียงแค่นี้ไม่ว่าลอว์เรนซ์หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่อาจช่วยเอาไว้ได้.. ”
ลากูน่าทวนคำของพี่ชายอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนสีหน้าของเขาสงบนิ่งลงไม่วอกแวกเหมือนเมื่อครู่ อีกแล้ว สายตาของเขาฉายแววแห่งความมุ่งมั่นออกมาเต็มที่ ในตอนนี้กำแพงน้ำได้ค่อยๆ บีบตัวเข้าหากันพวกเขาสูดลมหายใจลึกๆอย่างรวดเร็วก่อนที่กำแพงน้ำจะประกบเข้าหากัน จนมิดชิดพวกเขาทั้งสองได้เปลี่ยนสถานะเป็นจมน้ำไปแล้วในขณะนี้ “ เอาล่ะต่อไปก็เธอนีน่าช่วยตามฉันมาที..อ้อ อควา ครูฝากสองคนนั้นด้วยนะ ” อีสควอเทียกล่าวฝากฝังสองพี่น้องที่อยู่ข้างล่างไว้กับ อควาเสร็จก็ ออกเดินนำ นีน่าไปยังน้ำตกโดยที่ทุกคนไว้ที่ทะเลสาบเพื่อคอยดูผลการฝึกของทั้งคู่ เมื่อมาถึงน้ำตกอีสควอเทียก็หันกลับมาเธอ “ เธอมีเศษหินสีเขียวนั่นกี่ชิ้นแล้วตอนนี้ ” อีสควอเทียถามพร้อมกับจ้องไปยังหินสีเขียวใสซึ่งถูกติดเอาไว้กับสายคาดข้อมือของเธอ นีน่ายกมันขึ้นมาให้นางดูอย่างชัดๆก่อนจะชูแหวนซึ่งติดหินสีเขียวใสแบบเดียวกันซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วมืออีกข้าง ขึ้นมา “ ที่สายคาดนั่นฉันได้มาตั้งแต่เด็กแล้วส่วนที่แหวนนี่ฉันได้จากกาเทียพี่ของญาติฝ่ายพ่อของฉัน หินนี่มันก็แค่สัญลักษณ์การเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีของรูลเวลล์กับลาเซริโอ้เท่านั้นนี่ ” นีน่ากล่าวจบก็ลดแขนทั้งสองลง อีสควอเทียที่ได้ฟังคำตอบจากเธอก็ถอนหายใจ เบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น “ เธอรู้มั้ยว่านั่นคืออะไร..มันคือเศษผลึกจันทรา ที่ใช้สร้างศิลาจันทราขึ้นมา ” คำตอบของนางทำให้ นีน่าต้องนิ่งอึ้งไปหินที่เธอคิดมาตลอดว่าเป็นเพียงเครื่องประดับนั้น คือส่วนประกอบในการสร้างศิลาจันทราแบบเดียวกับที่เจนัสและลากูน่ามี ความคิดหนึ่งได้แวบขึ้นมาในหัวของเธอทันที “ ถ้างั้นหากเราใช้เศษผลึกนี่สร้างศิลาขึ้นมาอีกชิ้นฉันก็จะสามารถใช้พลังของศิลาได้และอาจ อัญเชิญจันทราแบบที่สามออกมาได้ด้วยสิคะ ” นีน่ากล่าวเสียงใสด้วยความกระดี๋กระด๋ากับความหวังที่ว่านางอาจเป็นกำลังรบให้แก่พวกเขา ขึ้นมาได้อีกบ้าง แต่อีสควอเทียก็ส่ายหน้า ปฏิเสธนั่นทำให้นีน่าหูตก ด้วยความผิดหวัง “ การจะสร้างศิลาจันทราขึ้นมานั้นจำเป็นจะต้องมีเศษผลึกจันทรา สี่ ชิ้น และอีกอย่างหากจะอัญเชิญจันทราแบบที่สามออกมาเจ้าก็ต้องหาครึ่งสมิงอีกคน และศิลาจันทราอีกก้อนเพื่อประกอบการอัญเชิญซึ่งแค่ศิลาก้อนเดียวเจ้ายังสร้างไม่ได้ ที่เหลือก็ไม่ต้องว่ากันเลย ” อีสควอเทียชี้แจงแก่นางอย่างสิ้นหวัง “ งั้นที่เรียกหนูมานี่ก็เพื่อจะบอกว่าหนูไม่สามารถที่จะช่วยพวกเขาไปมากกว่านี้ได้เท่านั้นเองหรือคะ ” นีน่ากล่าวเสียงแผ่วด้วยความผิดหวัง “ ก็แล้วแต่เจ้าจะคิดล่ะนะ ” อีสควอเทียกล่าวก่อนจะหันไปที่น้ำตกและคำรามบทสวดโบราณขึ้นมา ภาพต่างๆเริ่มปรากฏขึ้นบนน้ำตก ซึ่งเป็นภาพของอาณาจักรแอนดิซองและฟีเลเซีย ในภาพนั้นกองกำลังต่อต้านต้องถอยล่าจากการ โจมตีของอาณาจักรตน “ พวกโฮลี่ไนท์แมร์มันเข้าควบคุมจิตสัมปัญชัญญะของผู้นำอาณาจักร โดยใช้ประโยชน์จากด้านมืดในใจมนุษย์ กษัตริย์แห่งฟีเลเซียไม่ต้องการให้พระพี่นางของตน ต้องอภิเษกกับชายต่างแดนอย่างผู้นำอาณาจักรฟูดินัน และความโลภของแม่มดผลึกน้ำแข็งวิโอเรียที่ต้องการ จะกลับคืนสู่บัลลังค์ผนวกกับความต้องการให้ซิสเตอร์อลาน่าฟื้นคืนกลับมาของผู้นำอาณาจักรแอนดิซอง บัดนี้พวกเขาถูกควบคุมให้ทำการต่อต้านกองกำลังต่อต้าน อีกไม่ช้าพวกเขาคงต้องจนมุมเป็นแน่แท้ ” อีสควอเทียแจงให้ทราบขณะที่ภาพบนน้ำตกนั้น ได้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มาสซิลิโอ้ผู้นำสภาศาสนาแห่งแอนดิซอง ต้องถอยหนี เกรเกอรี่ถูกจับฐานให้การสนับสนุนกองกำลัง และถูกขังไว้ในคุกของพระราชวัง แม่าทัพใหญ่ที่คุมกองกำลังต่อต้านต้องยกทัพไปหลบในเขตป่าฟูดินัน “ นี่ร้ายแรงกว่าที่คิดเสียอีก แต่ดูเหมือนทางนี้ก็คงจะมาช่วยเราไม่ได้แน่ ” อีสควอเทียคิดขณะที่ภาพบนน้ำตกได้เปลี่ยนไป อีกครั้งครั้นเมื่อภาพบนน้ำตกปรากฏชัดขึ้น เรโค่ ซึ่งกำลังใช้พลังของตนละลายน้ำแข็งที่ผนึก เซโร่ ไว้อย่างสุดกำลังแต่อย่างไรก็ตาม น้ำแข็งก็ไม่ได้อ่อนตัวลงไปแม้แต่ชั้นผิวเดียว แต่เธอก็ยังคงพยายามต่อไป ภาพบนน้ำตกได้จางหายลงไปก่อนที่จะมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาจากทางทะเลสาบ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-7c7849.jpg) “ กีซซซซซ ”(อาจารย์อีสควอเทียสองคนนั่นแย่แล้วล่ะครับ) ไลท์วิ่งหน้าตั้งมานางกับนีน่าพร้อมกับกล่าวอย่างเสียขวัญ “ เกิดอะไรขึ้น ” อีสควอเทียถามขึ้นด้วยความวิตกทันที ก่อนที่ไลท์จะนำนางและนีน่าไปยังทะเลสาบที่พวกเจนัส ฝึกอยู่ด้านล่าง ………….. ………………. …………………. ณ หมู่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่ปลายทะเลสาบนีรันด้า (Nerunda Lake)ซึ่งไหลรินออกมาจากรากของมหาพฤกษาอิคดราซิล หมู่เกาะเหล่านี้เกิดจากโขดหินขนาดใหญ่ มาซ้อนทับกันที่ปลายทะเลสาบซึ่งไหลออกมายังทะเล บนเกาะโขดหินนี้ ได้มีก้อนผลึกน้ำแข็งขนาดยักษ์ซึ่ง ภายในมีร่างของเด็กหนุ่มถูกแช่แข็งเอาไว้ ซึ่งก็คือเซโร่นั่นเองทว่าตอนนี้ เรโค่ ซึ่งเป็นผู้ที่พาเขามาได้หายตัวไปแล้วนางไปที่ไหนกัน….. ………… …………….. ………………. ณ ท่าเรือใหญ่ของอาณาจักรแอนดิซองอันไกลโพ้น คณะของ คาดินัลมาสซิลิโอ้ ได้เดินทางมาถึงเพื่อที่จะขึ้นเรือลี้ภัยไปยังฟีเลเซีย ทว่ากองทหารก็ยังคงตามมาอย่างไม่ลดละซึ่งนำทัพโดย แม่มดผลึกน้ำแข็งวิโอเรีย ทหารกองกำลังต่อต้านได้เข้าปะทะเพื่อสกัดกองทหารแต่ทว่ากำลังของพวกเขามีน้อยจนเกินไปอีกทั้ง วิโอเรีย ยังคอยร่ายเวทย์ ให้น้ำทะเลซึ่งกระเซ้นขึ้นมาท่วมบนท่าเรือกลายเป็นน้ำแข็งจน เหล่าทหารไม่อาจทรงตัวได้บนพื้นน้ำแข็ง พากันลื่นล้มไปตามๆกัน “ ไร้รูปไม่ไร้ตนเจ้าจงคงตนเป็นศาสตรามาล้างบางศัตรูข้า Glacia Wall (กำแพงผาน้ำแข็ง) ” สิ้นเสียง พื้นน้ำแข็งที่วิโอเรีย ร่ายเวทย์ใส่ ก็พูนตัวสูงขึ้นเป็นกำแพงป้องกันข้าศึกไม่ให้เล็ดลอดเข้ามา ซึ่งกำแพงเหล่านี้เกิดจากฝีมือของจอมเวทย์ชราซึ่งสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม หนวดเคราสีขาวรกรุงรัง และห้อยตุ้มหูขนาดใหญ่ไว้ที่ติ่งหูทั้งสองข้าง “ ท่านอำมาตย์เบอนาร์ด(Bernard)จอมเวทย์สายน้ำแข็งแห่งตระกูลโอดิลอน (Odilon)ท่านมาได้ยังไงกัน ” มาสซิลิโอ้อุทานหลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากจอมเวทย์เฒ่าเบอนาร์ด เขาคืออำมาตย์ของตระกูลโอดิลอน “ ท่านคาดินัลรีบออกเดินทางเถิดที่นี่ข้าจะต้านไว้เอง ” เบอนาร์ด กล่าวจบ คาดินัลมาสซิลิโอ้ ก็ได้ขึ้นเรือไปอย่างเรียบร้อยแล้วทว่าก่อนที่เรือจะออกไปกำแพงน้ำแข็งก็ได้พังทลายลงทหารทั้งหมดเข้ามาล้อมตัวเบอนาร์ดไว้ ครั้นเมื่อเขาจะร่ายเวทย์ ก็ถูกไอเย็นเรียงรูปเป็นวงแหวนเข้า รัดคอของเขาจนออกเสียงร่ายคาถาไม่ได้ วิโอเรียเดินเข้ามาหาเขาโดยที่คฑาของนาง คือสื่อของไอเย็นที่รัดคอเขานั่นเอง “ ท่านเบอนาร์ดคิดคดกบฏต่อราชวงค์หรือยังไงหึหึหึ ” วิโอเรียกล่าวก่อนจะหัวเราะในลำคอด้วยความพอใจ ทหารบางส่วนได้ บุกขึ้นไปยังเรือ เพื่อจับกุมตัวมาสซิลิโอ้ทันที “ ข้าทำ…เพื่อแผ่น..ดินมาโดยตลอด…ไม่มีทางคิด..คดเช่น…เจ้าหรอก ” เบอนาร์ดกล่าวอย่างยากลำบาก คำพูดของเขาทำให้สติของนางขาดผึง “ เชอะไอ้แก่ไร้น้ำยาอย่างแกพูดไม่ได้ก็ร่ายเวทย์ไม่ได้แล้วจะมีปัญญามาทำอะไรได้ ” วิโอเรียกล่าวเหยียดหยาม ใส่เขาอย่างเต็มที่แต่ทว่าเขากลับยิ้มและหัวเราะออกมา ราวกับคนสติไม่ดี “ เจ้าคิด..อย่างนั้น…รึ.. ” สิ้นคำห่วงน้ำแข็งที่คอของเขาก็สลายตัวไปสร้างความตกตะลึงให้แก่นางยิ่งนัก ทว่าไม่เพียงเท่านั้น เหล่าทหารที่ขึ้นไปบนเรือก็ถูกน้ำทะเลซึ่งก่อตัวขึ้นปบนเรือและกวาดลงทะเลจนสิ้น ก่อนที่เขาจะพุ่งศรน้ำแข็งซึ่งสร้างจากพลังเวทย์ไปตัดเชือกที่มัดเรือไว้กับท่าออก เรือได้ลอยรำออกไปแล้ว “ คนอย่างเจ้ามักมองอะไรตื้นเขินเสมอจึงไม่อาจล่วงรู้ถึงกำลังของอีกฝ่ายได้ เช่นกันมนตรานั้นไม่ได้ร่ายด้วยปาก หากแต่ร่ายด้วยใจจงจำคำข้าไว้ซะ ” เบอนาร์ดกล่าวทว่าเขาก็ถูกล้อมไว้จนหมดแล้ว วิโอเรียเดินเข้ามาหาเขาอย่างหงุดหงิด พร้อมกับยกคฑาขึ้น “ มนตราร่ายด้วยใจงั้นหรืองั้นก็สวดภาวนาให้ตัวแกเองในใจด้วยละกันดูสิว่ามนต์ที่ร่ายด้วยปากกับใจอย่างไหนมันจะแรงกว่ากัน ” สิ้นคำนางก็ร่ายมนตราขึ้นผลึกน้ำแข็งเริ่มก่อตัวขึ้นในอากาศและก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหนือหัวเขา ครั้นจะร่ายมนตราก็ถูกหอกของเหล่าทหารจี้คอไว้ จนไม่อาจทำสมาธิร่ายได้ทั้งในใจ และผ่านคำพูด “ เชิญไปเทศนาต่อในนรกเถอะตาแก่ ” สิ้นคำนางก็ตวัดคฑาในมือ ก้อนผลึกน้ำแข็งในอากาศได้ร่วหล่นลง อย่างรวดเร็วทว่า ก้อนผลึกน้ำแข็งนั้นไม่ทันที่จะได้กระทบตัวเขา มันก็ได้แตกสลายกลายเป็นผงน้ำแข็งป่นในทันที เหล่าทหารทุกนายถูก ลวดเอ็นบางๆตรึงแขนและขาเอาไว้ จนไม่อาจขยับได้ “ ฉันยังให้ตาแก่นี่ไปลงนรกไม่ได้หรอกเพราะฉนั้นคนที่ต้องไปลงนรกก่อนก็คงจะต้องเป็นแก ” เสียงอันเยือกเย็นและแฝงไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรงได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่เหล่าทหารและวิโอเรีย เป็นอันมาก เสียงดีดนิ้วดังขึ้นเพียวเปาะเดียว ทหารทั้งหมดบนท่าเรือที่ถูกตรึงเอาไว้ ก็ถูก เหวี่ยงลงทะเลจนหมดเหลือแต่เพียงนางกับเบอนาร์ดและผู้มาเยือนใหม่ ซึ่งเป็นเด็กหญิง นางมีปีกนกสีดำผุดขึ้นจากกลางหลัง ได้โรยตัวลงมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ “ นักเชิดวิญญาณรัตติกาล ผู้ร่ายอสูรเดนนรก นามของข้าคือ เรโค่ ” เด็กหญิงกล่าวจบเส้นลวดก็เข้าไปพันแข้งขานางก่อนจะเหวี่ยงนางตกทะเลไป เรโค่จึงหันมายังเบอนาร์ดที่ยืนอยู่ตรงหน้า (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-80af3c.jpg) “ ที่มานี่เพราะเขาใช้เวทย์บทนั้นไปแล้วใช่ไหม ” เบอนาร์ดกล่าวเสียงแผ่ว “ ใช่ บอกวิธีที่จะช่วยเซโร่อกมาจากผลึกน้ำแข็งมาซะ ” เรโค่กล่าวเสียงเรียบ แต่เขาก็ส่ายหน้า เป็นเชิงปฏิเสธ เพียงพริบตา เส้นลวดก็ได้เข้าไปรัดคอเขา อย่างรวดเร็ว “ บอกมาไม่งั้นหัวเจ้าไม่ได้อยู่บนบ่าแน่ ” เรโค่ตะหวาด เพื่อข่มขู่ให้เขาบอกวิธีช่วยเซโร่ “ ข้าไม่ได้ไม่อยากช่วยเจ้าหรอกนะแต่วิธีแก้นั้นเท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงวิธีเดียวแต่เจ้าจะยอมรับ มันได้รึเปล่าก็เท่านั้นเอง ” เบอนาร์ดกล่าวเสียงเรียบราวกับไม่สะทกสะท้าน ต่อเส้นลวดที่อาจบั่นคอเขาได้ทุกเมื่อ หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเขานางจึงปล่อยเส้นลวด ออกจากคอของเขาแต่โดยดี “ ว่ามา.. ” นางกล่าวเสียงห้วน “ วิธีเดียวที่จะช่วยเขาได้ก็คือการสวดภาวนาเท่านั้น.. ” สิ้นคำเขาก็ถูกนางเข้ามากระชากคอเสื้อลง “ อย่ามาล้อเล่นนะแค่ภาวนามันจะไปช่วยอะไรได้ เซโร่เป็นลูกศิษย์แกนะไม่สิเขาเป็นหลานแท้ๆของแกด้วย แกไม่คิดจะช่วยเขาเลยรึไงกัน ” นางกล่าวเสียงกร้าว ด้วยความโกรธทว่า เบอนาร์ดก็ยังคง มีทีท่าสงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อการกระทำของนาง เมื่อเป็นเช่นนั้นนางจึงยอมปล่อยคอเสื้อของเขา “ ที่เจ้าจะคิดอย่างนั้นก็ไม่แปลกเพราะเจ้ายังไม่คิดจะช่วยเขาอย่างจริงจังน่ะสิ ” เบอนาร์ดกล่าว “ ท่านจะมารู้อะไรทำไมข้าจะไม่อยากช่วยเขาล่ะข้าลองหมดทุกอยางแล้วแต่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้เลย แล้วแค่สวดภาวนาจะไปช่วยอะไรได้ ” เรโค่กล่าวเสียงแผ่ว ตอนนี้นางรู้สึกสิ้นหวังเต็มทีเพราะไม่อาจช่วยเซโร่ได้ “ แน่ใจแล้วรึ..หากเจ้าคิดจะช่วยเขาอย่างแท้จริงล่ะทำไมแคสวดภาวนาถึงทำไม่ได้ล่ะ..ลองหมด ทุกอย่างแล้วแค่สวดภาวนาอีกอย่างมันจะเป็นไรไป หากเจ้าคิดจะช่วยเขาอย่างจริงใจ ทำไมถึงไม่ลองก่อนล่ะ ” เบอนาร์ดกล่าว เรโค่จึงเข้าใจในคำพูดของเขาในวินาทีนั้นเอง เพราะนางเอาแต่รีบร้อนจึงมองข้ามเรื่องนี้ไป นางก้มหน้าลงด้วยความสลด “ จริงของท่าน ลองมาหมดแล้วลองอีกซักอย่างจะเป็นไรไปถึงจะต้องอยู่ภาวนาถึงร้อยปีฉันก็จะไม่ยอมหยุดเด็ดขาดจนกว่าจะช่วยเขาออกมาได้ ขอบคุณท่านมากเบอนาร์ด ” เรโค่กล่าวจบก็ทะยานหายลับไปบนฟากฟ้า ทิ้งให้เขาจ้องมองนางจนลับขอบฟ้าไป “ เซโร่ในที่สุดเจ้าก็มีคนที่อยากปกป้องแล้วสินะถึงได้ยอมเอาตัวข้าแลกเพื่อปกป้องข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆหลานรัก แต่คงไม่ต้องรอถึงร้อยปีหรอกข้าเชื่อว่าถ้าเป็นเธอจะต้องช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน เซโร่แม้เราจะตัดความสัมพันธ์ปู่กับหลานไปแล้วแต่การที่เจ้ามีคนอยู่เคียงข้างเจ้าแล้วก็ทำให้ข้าวางใจได้ซักที ” ความคิดที่กลั่นออกมาจากใจพร้อมกับหยาดน้ำตาซึ่งไหลรินออกมาด้วยความปลื้มปิติ และโหยหา ได้หลั่งล้นออกจากดวงตาของจอมเวทย์เฒ่า ก่อนที่เขาจะล้มลงและสิ้นลมหายใจไปจากการ ฝืนเค้นพลังเวทย์ออกมาในตอนที่ช่วยคาดินัล ให้หนีไป ……………………. ………………………. …………………………… ณ ผืนป่าอันหนาทึบไปด้วยความเขียวขจีของพรรณไม้นานาชนิด และมหาพฤกษาใบสีเงิน ซึ่งยืนตระหง่านท่ามกลางพงไพร บัดนี้ได้เกิดหลุมมิติสีดำขึ้นกลางอากาศ พลังงานที่ไหลออกมาจากมิติ ได้ปลุกเร้าเหล่าเทพพิทักษ์แห่งผืนป่าทั้งหมด มังกรมารัค ได้ตื่นขึ้นจากนิทราและมังกรสองหัวไพทอน ได้ก้าวลงมาจาก เทือกเขาคีรีบันดา ท้องฟ้าเปิดกว้างออก พร้อมกับการปรากฏของเทพีแห่งสายฝนเรน่า และเมการัตต้า วาฬ กินเมฆ ซึ่งเป็นสัตว์รับใช้ของนาง แม้แต่เมพีแห่งสายชะลอันดีนก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้ ไม่เว้นกระทั่งราชสีห์แอนโกริอ้อนเทพแห่งจิตวิญญาณก็ยังอดที่จะออกมาตามเสียงเรียกที่ปลุกเร้าจิตใจ นี้ไม่ได้ ชาวอาณาจักรฟูดินัน ทั้งป่าทมิฬ เผ่าสมิงรวมไปถึงเหล่าเอฟล์ที่อาศัยอยู่ในผืนป่าต่างพากันจับจ้องการ ชุมนุมของเหล่าเทพพิทักษ์อย่างใจจดใจจ่อ เหล่าเทพพิทักษ์ได้มารวมตัวกันยังทะเลสาบนีรันด้าใกล้กับ มหาพฤกษา ทันทีที่ฟ้าเปิดอีกครั้ง พันนิชชูร่า สัตว์รับใช้ของเทพบารามัน ในรูปร่างของปลาสีขาว ซึ่งกลืนกินฟอจูนทรีพลังชีวิตของมหาพฤกษาที่ถูกชิงเอาไปเมื่อครั้งก่อนก็ได้ ปรากฏตัวลงมาด้วยเช่นกัน เมื่อหลุมมิติขยายตัวออกเหล่าเทพพิทักษ์ทั้งหมดก็เตรียมพร้อม ที่จะต่อกรกับอำนาจอันแข็งแกร่งที่จะออกมาจากหลุมมิตินี้ ซึ่งทันทีที่หลุมมิติขยายจนสุดผู้ที่ก้าวออกมานั้น ก็คือ ลอว์เรนซ์ ซึ่งมีปีกนกสีดำในมือกระชับดาบซึ่ง มีคมเป็นสีแดงและรูปร่างแปลกประหลาด สีหน้าของเขาเย็นชาและดวงตาไร้แวว เอาแต่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่เป็นเนืองๆ ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น เหล่าเทพพิทักษ์ ก็ไม่รอช้าได้บุกใส่เขาอย่างไม่ปรานี “ ฮึ..พวกเศษสวะหายไปให้หมด…จงกรีดร้องมุรามาซะ ” สิ้นคำเขาก็ได้เปลี่ยนรูปไปกลายเป็นอัศวินมังกรร่างเป็นโลหะ ดาบในมือเปลี่ยนไปเป็นดาบยาว แบบคาตานะ “ เมื่อใดที่ความกลัวแข็งแกร่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจจะต้องสยบ..นามกรของข้าคือมุรามาซะโซล ” สิ้นคำ ร่างอัศวินมังกรก็ได้หายไป เพียงชั่วพริบตาเหล่าเทพพิทักษ์ทั้งหมดก็ได้พ่ายแพ้สิ้น มารัคและไพทอน ถูกฟันจนเป็นแผลสาหัส เทพีสายชลอันดีน ถูกฟาดจนกระเด็นขึ้นมาจากน้ำ เทพีเรน่าถูกทำลายคันธนูของนาง และเมการัตต้าวาฬของนางก็ถูก ฟันครีบทั้งสองจนขาดและร่วงหล่นลง สู่ทะเลสาบนีรันด้าจนน้ำในทะเลสาบทะลักท่วม ป่าแอนโกริอ้อนถูกจับเหวี่ยงไปชนเข้ากับพันนิชชูร่า จนกระเด็นไปกระแทกเข้ากับมหาพฤกษา ก่อนที่ตัวพันนิชชูร่า จะถูกมุรามาซะโซล จับตัวไว้ “ ข้าจะมาขอรับฟอจูนทรีไปล่ะนะ ” สิ้นคำมุรามาซะโซลก็ล้วงเข้าไปในปากของพันนิชชูร่าและควักเอาก้อน พลังงานสีขาวขนาดเท่าลูกแก้วออกมา ก่อนจะขว้างตัวพันนิชชูร่าให้จมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบนีรันด้า “ ความกลัวคือทุกสิ่งไม่ว่าเทพหรือปีศาจจักต้องสยบจำเอาไว้ Fear Of Testament (คำสอนแห่งความกลัว) ” สิ้นคำคลื่นพลังสีดำก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างของมุรามซะโซล สิ่งมีชีวิตที่สูดมันเข้าไปก็เกิดการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งตาเบิกโพล่งด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่รู้จบ เป็นการซ้ำเติมความพ่ายแพ้ของเหล่าเทพอย่างถึงที่สุด ก่อนที่มุรามาซะโซลจะนำเอาฟอจูนทรีหายตัวกลับเข้าไปในหลุมมิติ …………. …………… …………. “ ทำได้ดีมากลูกของข้า เจาไม่เพียงนำฟอจูนทรีกลับมาแต่ยังทำลายเหล่าเทพพิทักษ์จนสิ้นชื่ออีก ” อิเดียซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังค์สูงกล่าวโดยที่เหล่าเทพขุนศึกอีก 5 คน ซึ่งมีกรีแวร์ และนักประดิษฐ์ที่ ขายังไม่หายดีรวมอยู่ด้วย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/84.jpg) “ ท่านลอว์เรนซ์ทรงมากด้วยความสามารถยิ่งนัก พวกเราเทพขุนพลได้พยายามอย่าง ยิ่งยวดเพื่อที่จะนำเอาฟอจูนทรีนี้มา หลายครั้งหลายคราแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จหากไม่ได้ความสามารถ ของท่านพวกเราคงไม่มีวันนี้ ” นักประดิษฐ์กล่าวขณะที่เข้าไปรับเอาฟอจูนทรีจากมือของลอว์เรนซ์ “ เชอะ….ขืนปล่อยสวะอย่างพวกเจ้าทำงานกันต่อไปแล้วเมื่อไหร่จะรุ่ง” ลอว์เรนซ์กล่าวเหยียดหยามเหล่าเทพขุนพลที่เหลืออย่างสุขสันต์ แม้จะเจ็บใจแต่พวกเขาก็ต้องทนที่จะ โดนดูถูกเพราะที่ผ่านมาพวกเขาถูขัดขวางโดยลอว์เรนซ์มาตลอดครั้นเมื่อเขามาช่วยงานทั้งหมดก็เป็นไปอย่างง่ายดาย ปานพลิกฝ่ามือ นักประดิษฐ์ที่รับเอาฟอจูนทรีไปนั้นได้นำไปติดวางไว้บนแท่น ทรงกระบอกซึ่งยกสูงขึ้นจากพื้น ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับไปยังแผงมอนิเตอร์เพื่ทำการเดินเครื่อง “ ด้วยเครื่องมือนี้เราจะสามารถคลายผนึกสะกดและเปิดประตูมิติมังกรออกมาได้ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาน ครึ่งวันเพื่อดึงเอาพลังงานจากฟอจูนทรี ” นักประดิษฐ์อธิบาย ขณะที่ยังคงปรับปุมบนแผงวงจร อย่างสบายอารมณ์ “ อีกไม่นาน เหล่าคนบาปจะฟื้นคืน มหาสงครามเมื่อครั้งอดีตจะได้ปิดฉากลงในไม่ช้านี้พร้อมกับการจุติ ครั้งใหญ่ของข้าไม่มีใคาขวางข้าได้อีกแล้ว ” อิเดียกล่าวจบก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในชัยชนะของตน ……………… …………………. …………………… “ กีซซซซ ”(หลังจากพวกเขาลงไปนี่ก็เลยมาหลายนาทีแล้วจะลงไปก็ดันเกิดน้ำวนขึ้นในทะเลสาบ อีกสองคนนั่นจะเป็นไรไหมเนี่ย) วิลกล่าวอย่างกระวนกระวาย บัดนี้น้ำในทะเลสาบที่เจนัสกับลากูน่าลงไปฝึกฝนเพื่อการอัญเชิญจันทรา แบบที่สาม ได้ไม่นานก็กระแสน้ำวนเชี่ยวกราดขึ้นจนไม่อาจลงไปช่วยทั้งคู่ได้ “ พวกเขาจะเป็นอะไรไหมคะ ” นีน่ากล่าวถามด้วยความวิตก Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นห Post by: greamon on July 20, 2008, 07:53:36 PM “ ฉันเองก็ยืนยันไม่ได้พวกเขาอาจทำสำเร็จหรือไม่ก็ได้ ”
อีสควอเทียกล่าวอย่างไม่แน่ใจขณะที่คอยมองว่าพวกเขาจะขึ้นมาเมื่อไหร่ ที่ก้นทะเลสาบ เจนัสและลากูน่าทั้งสองจับมือกันเอาไว้ พร้อมกับทำสมาธิให้แน่วแน่ พลังนั้นส่งผลถึงศิลาจันทราทำให้เกิดกระแสพลังงานไหล วนไปรอบๆ จนเกิดเป็นกระแสน้ำวน “ แก่นแท้แห่งมนตราก็คือใจ ” “ หากใจไม่มั่นคงพลังก็จะไม่มั่นคง ” “ เพราะมนตราต้องร่ายด้วยใจ ” เสียงสนทนาของทั้งคู่ที่ดังผ่านจิตใจซึ่งเชื่อมต่อกัน ได้ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทันทีที่ใจของทั้งคู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกระแสน้ำวน ก็สงบลง “ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ” เสียงที่ดังขึ้นในใจของทั้งสอง ได้ดับลงไป ศิลาก็ส่องแสงสว่างจ้า กุญแจมือที่คล้องพวกเขาเอาไว้ ได้ปลดออกเองทันที พร้อมกับคลื่อพลังที่มหาศาล จนน้ำในทะเลสาบพุ่งระเบิดขึ้นทะลุพุ่มเถาวัลย์ที่อยู่เหนือ ทะเลสาบทะลักออกไปท่วมป่าด้านบน โดยที่มีน้ำบางส่วนเท่านั้นที่โปรยปรายกลับลงมาในะเลสาบ พวกเขาสองพี่น้องซึ่งตัวเปียกโชกได้เดินขึ้นมาจากก้นทะเลสาบซึ่งบัดนี้แทบจะไม่เหลือน้ำในทะเลสาบแล้ว มีเพียงน้ำจากน้ำตกที่ไหลลงมาเติมให้แก่ทะเลสาบเรื่อยๆ “ ในที่สุดก็สำเร็จแล้วสินะจันทราแบบที่สามของพวกเจ้า ” อีสควอเทียกล่าว ครู่ต่อมา หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็พร้อมที่จะบุกไปยังปราการลอยฟ้าของศัตรู “ หมายความว่ายังไงทำไมถึงไม่ให้ฉันไปล่ะ ” นีน่าโวยวายด้วยความไม่พอใจหลังจากที่เจนัสได้ห้ามเธอไม่ให้ ไปร่วมรบด้วย “ เธออยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่าพวกเราจะไปช่วยลอว์เรนซ์กลับมาให้ได้ ” เจนัสกล่าวด้วยความเป็นห่วงเพราะไม่อยากให้เธอต้องไปเสี่ยง “ แต่นายสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทิ้งฉันไป ถึงนายจะทำเพราะเป็นห่วงฉันก็ตาม แต่ฉันไม่ยอมหรอกฉันจะไปด้วย ” นีน่ากล่าวอย่างขวัญเสียเมื่อเธอจะถูกกันออกไปแต่เจนัสก็ส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ ขอโทษนะชั้นให้เธอไปเสี่ยงไม่ได้ครั้งนี้มันอันตรายเกินไปชั้นต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจ รักษาสัญญานี้กับเธอได้เพราะฉนั้น เธอช่วยรับนี่ไว้ที มันจะเป็นตัวแทนของชั้นหากชั้นไม่กลับมา ” เจนัสกล่าวจบก็ถอดสายห้อยคอซึ่งร้อยผ่านเศษผลึกดวงจันทร์ของเขาให้แก่เธอ นีน่ารับมันมาไว้ก่อนที่เขาจะเดินจากเธอไป “ เจนัส.. ” นีน่าเปรยเสียงแผ่ว นางไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้ ทำได้เพียงกุมเศษผลึกจันทรา ที่เขาให้เธอมาไว้ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ “ วางใจได้ฉันจะดูแลนางเอง ขอให้พวกเจ้าโชคดี ” อีสควอเทียกล่าวจบ เจนัส ลากูน่า และพวกลูกมังกร ก็ขึ้นไปบนมือของแกรนเดครอสซึ่งรอพวกเขาอยู่ที่ผาน้ำตกด้านนอก โดยที่เมทาไนท์ไปยืนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อทุกคนมากันครบแล้ว เทียแมตก็ออกบินนำ แกรนเดครอสมุ่งหน้าไปยัง ปรการลอยฟ้าเหนือเมฆ ซึ่งอยู่ข้างบนอาณาจักรฟีเลเซีย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n014/1.jpg) ขณะเดียวกัน ยานรูปร่างประหลาดซึ่งเคยช่วยให้ไลท์เปลี่ยนร่างเป็นอิมซานมาแล้วก็ได้มุ่งหน้าไปยัง ปรากการลอยฟ้าเช่นกัน ……….. ……………. ………………… “ ถ้าเพียงแต่ฉันมีศิลาและคู่ที่จะร่วมต่อสู้ด้วยล่ะก็.. ” นีน่ารำพันกับตัวเอง ขณะที่จ้องมองเศษผลึกจันทราทั้งสามชิ้นที่ได้มา ซึ่งขาดอีกเพียงชิ้นเดียว นางก็สามารถที่จะสร้างศิลาจันทราขึ้นมาได้อีกดวงแต่ทว่า นางก็ยังคงขาดคูที่จะร่วมกันอัญเชิญจันทราแบบที่สามอีกทั้งยังต้องศิลาอีกก้อนหนึ่งด้วย “ ถ้าเช่นนั้นชั้นจะช่วยเธอเองเพราะนี่คือการไถ่บาปที่ชั้นจะทำให้ได้ ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังของนาง มีเงาของใครบางคนกลังตรงมาจากปากทางเข้าของถ้ำวิหารแห่งนี้ “ ในที่สุดเจ้าก็มา…ถึงเวลาที่พวกเจ้าทั้งคู่จะอัญเชิญ จันทราแบบที่สามแล้ว ” อีสควอเทียกล่าวขึ้น …….. ………….. …………….. ณ ปราการลอยฟ้าขนาดยักษ์ซึ่งฐานรอบๆปราการถูกล้อมไว้ด้วยวงแหวนขนาดยักษ์ สลักอักขระแปลกๆไว้ที่ด้านนอก วง และยึดติดกับกำแพงน้ำแข็ง ที่ปิดล้อมทั้งทวีปเมอริเซียไว้ ตัวปราการ เป็นฐานลอยฟ้าซึ่งมีหอคอยสูงตั้งอยู่บนลานฐาน ขนาดใหญ่ โดยที่ใต้ฐานมีการต่อเติม ชั้นลงไปเพื่อใช้สำหรับเป็นคุกใต้ดิน ซึ่งกักขัง พวกมังกรที่หมู่บ้านมังกรเอาไว้ บัดนี้พวกเขาได้มาถึงปราการแห่งนี้แล้ว ทันทีที่ก้าวลงจากมือของแกรนเดครอส เหล่าดราก้อนเนโครแมนเซอร์ก็กรู กันออกมาจากประตูหอคอย เข้าล้อมกรอบพวกเขาไว้ ทว่าแกรนเดครอสก็ได้ใช้ร่างกายอันใหญ่โตผลักพวกมัน ออกเพื่อเปิดทาง “ พวกเจ้ารีบไปซะข้ากับเทียแมตจะต้านพวกนี้ไว้กาเร็ทจะลงไปช่วยพวกที่ถูกขังอยู่ใต้ดินก่อน พวกเจ้ารีบไปช่วยลอว์เรนซ์เร็ว ” แกรนเดครอสกล่าวจบ เจนัส ลากูน่า กาเร็ท และพวกลูกมังกรก็พากันวิ่งฝ่ากองทัพดราก้อนเนโครแมนเซอร์ เข้าไปในหอคอย ภายในหอคอยชั้นแรกเป็นห้อง โล่งกว้าง มีเพียงบันไดที่ ต่อลงไปข้างใต้กับบันไดเวียนที่ต่อขึ้นไปด้านบน พวกเขาจึงตัดสินใจแยกทางกันตรงนี้โดยกาเร็ท ลงไปชั้นใต้ดินเพื่อช่วยพวกมังกรที่ถูกจับตัวไว้ ส่วนพวกเขาก็บุกขึ้นบันไดเวียนไปยังชั้นบนเพื่อช่วย ลอว์เรนซ์ที่น่าจะอยู่ชั้นบนสุดกับอิเดีย เมื่อมาถึงชั้นสอง ห้องทั้งห้องนั้น มืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวๆจากหน้าต่าง ที่เล็ดลอด เข้ามาเท่านั้นที่พอจะทำให้มองเห็นสภาพของห้องได้ ภายในนอกจากบันไดเวียนที่พวกเขาวิ่งขึ้นมา ที่ด้านในของห้องมีเพียงบานประตูเหล็กที่แง้มไว้เล็กน้อย เสียงลมที่ลอดผ่านหน้าต่างจากผนังฝั่งซ้าย ไปฝั่งขวา ส่งเสียงหวีดหวิว ราวกับท่วงทำนองแห่งปีศาจ ทว่าทันทีที่เสียงประตูครูดไปกับพื้นดังขึ้น พวกเขาก็ต้องชะงักไปประตูเหล็กได้ เปิดออกพร้อมกับ เผยให้เห็นบันไดหินหลังประตู บุรุษลึกลับสามคน ได้ย่างก้าวลงบันไดหินตรงมายังพวกเขา ทุกฝีเก้าที่เสียงเท้ากระทบพื้นดังก้องไปทั่วห้อง พวกเขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงและ แรงดันพลังเวทย์ที่สูงส่ง ทันทีที่บุรุษทั้งสามก้าวเข้ามาในห้อง ดวงไฟที่ติดบนเพดานก็ ส่องแสงทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้น “ ยินดีต้อนรับสู่ปราการลอยฟ้า พวกเราสิบสองเทพขุนศึกจะต้อนรับพวกเจ้าเอง ” บุรุษทั้งสามกล่าว คนหนี่งสวมชุดสีเทาขาว ปกปิดตั้งหัวจรดเท้า รอบๆกายของเขาปกคลุมด้วยฝุ่นควันซึ่งลอยเคว้งในอากาศ อีกคนสวมเกราะ รัดรูปสีดำปิดทับด้วยผ้าคลุมหนังสัตว์สีน้ำตาลในมือกระชับดาบโลหะซึ่งสะท้นแสงแวววาว ผมดำยาวสลวยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก ส่วนชายอีกคน สวมชุดสีดำปิดทับด้วยผ้ำกำมะหยี่สีม่วง กระโปรงยาวถึงเท้า ในมือมีออร่าพลังเวทย์ลุกโชนอยู่ทั้งสองข้าง “ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก จอมเวทย์ภาพลวงตาดำ(Black Mirage Sorcerer) ” (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n018/96.jpg) “ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก มือสังหารแห่งความมืด (Dark Slayer) ” (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/21.jpg) “ ข้า 1 ใน 12 เทพขุนศึก ผู้ควบคุมวิญญาณ เมฟิส (Mephist, the Necroancer) ” (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p004/13.jpg) เทพขุนศึกทั้งสามแนะนำตนเสร็จก็ไม่รอช้าเริ่มบุกใส่พวกเขาไม่ให้ตั้งตัว จอมเวทย์ภาพลวงตาดำ ได้โปรยผงฝุ่นที่ลอยเคว้งอยู่ใส่พวกเขา หลังจากที่พวกเขาสูดดมมันเข้าไป พวกเขาก็เห็นภาพบิดเบี้ยวเลือนรางไปหมด ไม่นานนักภาพทั้งหมดก็กลับมาเป็นปกติทว่าบุรุษทั้งสามคนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาได้เหลือเพียงมือสังหารแห่งความมืด เท่านั้นแต่ที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาแทนนั้นแทบจะหยุดลมหายใจของพวกเขา เอาเสียดื้อๆ เพราะผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นก็คือ เหล่าเทพขุนพลที่ได้ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะ เซอร์เซส ลูคเรเทีย วูลเซวิล แม่ทัพมังกร หรือแม้แต่ กาโรห์ ก็ได้ปรากฏอยู่เคียงข้างกับมือสังหารแห่งความมืด “ นี่มันอะไรกัน ” เจนัสกล่าวได้เพียงเท่านั้น เหล่าเทพขุนพลที่ตายไปแล้วก็ได้บุกเข้าใส่พวกเขา ครั้นจะถอยหนีก็ถูก รากไม้ของวูลเซวิล จับตรึงเอาไว้ เซอร์เซสและลูคเรเทีย เตรียมสะสมพลังเวทย์เพื่อจัดการกับพวกเขา กาโรห์กับแม่ทัพมังกร พุ่งโฉบเข้าโจมตีใส่พวกเขา อย่างไม่ปราณี แม้พวกลูกมังกรจะกัดทำลายรากไม้และหลุดออกมาได้ แต่ก็ต้องรับมือ กับมือสังหารแห่งความมืดซึ่ง มีความรวดเร็วมากเสียจนการโจมตี ของพวกเขาไม่อาจต้องตัวของมือสังหารได้ เจนัส กับ ลากูน่ายังคงถูกตรึง เอาไว้ และถูกดาบของแม่ทัพมังกรกับกาโรห์เฉือนไปมาแม้จะมีเกราะเวทย์คุ้มกัน อยู่แต่ทว่าการที่ต้องรับอยู่เพียงฝ่ายเดียวทำให้เกราะเริ่มอ่อนตัวลง จนในที่สุดเมื่เกราะได้สลายตัวไป เซอร์เซสและลูคเรเทียก็ ใช้ท่าวิชาประเคนใส่พวกเขา จนหมอบในที่สุด ส่วนพวกลูกมังกรก็ถูกมือสังหาร เล่นงานจน ล้มไม่เป็นท่า “ ดวงจันทราที่สถิตย์ในรัตติกาลโปรดมอบลมหายใจที่หนาวเหน็บแก่ผืนพิภพ จันทราที่ส่องแสงในรัตติกาลอันหนาวเหน็บ จงมาจันทราเยือกแข็ง(Cool Moon) ” สิ้นคำของสองพี่น้อง ดวงจันทราสีครามก็ได้ปรากฏขึ้นด้านนอกหอคอยและยิงแสง สีครามเข้ามาแช่แข็งตัวหอคอยชั้นที่พวกเขาอยู่แสงสีครามทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามา กระทบกับร่างของเทพขุนพลทีฟื้นกลับมา ทว่าพวกมันกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย แสงทั้งหมดทะลุผ่านร่างของพวกมันไป ครั้นเมื่อไลท์พ่นเปลวไฟใส่ เปลวไฟก็ทะลุ ผ่านร่างพวกมันไปเช่นกัน กระทั้งการโจมตีของลากูน่าและเจนัสก็ไม่อาจจับต้องตัวพวกมันได้ “ ชิ..เจ้าพวกนีมันเป็นวิญญาณรึไงกัน.. ” ลากูน่าสบถพร้อมกับยกมือขึ้นปาดคราบเลือดที่มุมปาก การโจมตีของพวกเขาไม่อาจทำร้ายเหล่าเทพขุนพล ที่ราวกับวิญญาณนี้ได้แม้แต่น้อย ทว่านั้นคือภาพที่พวกเขาเห็น สภาพภายในห้งที่แท้จริงตอนนี้ มีเพียงพวกเขากับเทพขุนพลเพียงสามคนเท่านั้น นอกนั้นพวกเขากำลังโจมตีใส่อากาศ ที่ไม่มีตัวตน ราวกับเห็นภาพหลอน “ หึหึ..การที่พวกแกเขามาในดงศัตรูอย่างนี้ก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆโดนวิชาภาพลวงความมืด(Phantasmagoric Darkness) เข้าไปก็แตกตื่นเหมือนตอนอยู่ที่ ทีนวาแลนเชียวนะ ” จอมเวทย์ลวงตาดำ กล่าวขณะที่กำลังบริกรรมคาถาอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วเขาคนนี้ คือผู้ที่สร้างภาพลวงให้พวกเขาเห็นเรโค่กับเซโร่โจมตีใส่ชาวเมืองที่ทีนวาแลนนั่นเองและนำให้พวกเขาต้อง เข้าปะทะกับเรโค่และเซโร่ไปในครั้งนั้น “ เมื่อผนวกเข้ากับวิชาผนวกอเวจี(Seizure Abyss)ที่สามารถดึงเอาท่าวิชาของผู้ที่ตายไปแล้ว ออกมาใช้ได้ทำให้การประสานเวทย์ของข้ากับเจ้ามีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก ” เมฟิสกล่าวขณะที่บริกรรมคาถา ท่าวิชาของเหล่าเทพขุนศึกที่ตายไปแล้วมาใช้ ผนวกเข้ากับวิชาภาพลวงของจอมเวทย์ลวงตาดำ ทำให้พวกเจนัสต้องสู้กับ ภาพหลอน เหล่านั้น “ ได้เวลาปิดฉากแล้วดาบแห่งการล้มล้าง(Abolish Sword) ” สิ้นคำของมือสังหารแห่งความมืด ดาบในมือของเขาก็ได้พุ่งตวัดเข้าไปหมายจะบั่นคอของเจนัส เสียทว่า ไม่ทันที่ดาบจะตวัดไปถึง ผนังของหอคอยก็ พังครืนเข้ามา จนมือพวกเขาต้องหลบลี้เป็นพัลวัน สายลมที่กรรโชกอยู่ภายนอกได้ถาโถมเข้ามาในห้อง จนพัดเอาฝุ่นที่ทำให้เกิดภาพลวงออกไป ความจริงได้ปรากฏแก่สายตาพวกเขา เหล่าเทขุนศึกทั้งหมดที่เป็นภาพลวงได้หายไป พร้อมกับสิ่งที่พุ่งเข้าชนจนผนังหอคอยพังครืนลงมา มันคือยานรูปร่างประหลาดหัวยานมีแหลมยื่นออกมาคล้ายหอกและยังมีกรงเล็บยื่นออกมาจากลำตัว ปีกโปร่งใสดังแก้วมันคือยานที่เคยช่วยส่งพลังงานให้ดราก้อนฮอลลี่ เปลี่ยนร่างของไลท์เป็นอิมซานนั่นเอง “ นี่มันมังกรจักรกลเทียม (Cyberlica Dragon) ในตำนานนี่ ” เมฟิสอุทานออกมา หลังจากได้เห็นยานยนต์ยักซึ่งคือมังกรจักรเทียม (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-6d0078.jpg) ล่องที่ส่วนหัวของมันซึ่งเป็นเสมือนตาของมันเริ่มส่องแสงสีแดงออกมา ก่อนที่ สิ่งที่คล้ายกับปืนใหญ่กำลังจะรวบรวมพลังงานจนเกิดเป็นสว่างส่องวาบออกไปอย่างรวดเร็ว แสงนั้นตรงออกไปยังชั้นบนอย่างรวดเร็ว …….. Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 26 จุดเริ่มต้นแสนเศร้าสู่อนาคตที่หม่นห Post by: greamon on July 20, 2008, 07:54:57 PM …………..
……………… ที่ชั้นบนสุดของหอคอย 12 เทพขุนศึก กรีแวร์และนักประดิษฐ์ รู้สึกได้ถึงแรงสเทือนจากด้านล่าง พวกเขาจึงเปิดจอมอนิเตอร์ที่ตั้วไว้ภายในห้อง ภาพของมังกรจักรกลเทียมได้ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา อิเดียที่เห็นฉีกยิ้มออกมาที่มุมปากเล็กน้อย แสงสว่างซึ่งส่องออกมาจากมังกรจักรกลเทียม ได้พุ่งตรงขึ้นมายังห้องนี้อย่างรวดเร็ว จนเมื่อมันทะลุบานประตูเข้ามา ตรงไปยังดราก้อนออลลี่ที่ คาดกับข้อมมือของลอว์เรนซ์ ดราก้อนฮอลลี่เริ่มทำปฏิกิริยากับแสงนั้น ไฟหน้าจอของมันเริ่มกระพริบอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงออกมา “ Down Load Tag ” เสียงของมันดังออกมาเป็นเสียงทุ้มต่ำราวกับเสียงเครื่องยนต์กลไกที่กระหึ่มเป็นเสียงออกมา “ Set Up Complease ” เสียงของมันดังอีกครั้งก่อนที่จะมีสัญลักษ์ขึ้นบนหน้าจอ มันเป็นสัญลักษณ์ ประจำธาตุแห่งแสง “ Light FriendShip ” (แสงแห่งมิตรภาพ) “ Wind Hope ” (สายลมแห่งความหวัง) “ Earth Intelligent ”(ผืนปฐพีแห่งปัญญา) “ Fire Principles ” (เปลวเพลิงแห่งคุณธรรม) “ Aqua Honest ” (สายน้ำแห่งความสัตย์) “ Dark Kindness ” (ความมืดเปี่ยมเมตตา) เสียงทั้งหมดดังขึ้นจากดราก้อนฮอลลี่โดยที่สัญลักษณ์ธาตุได้เปลี่ยนผันไปตามเสียงเรื่อยๆ จากแสงเป็น ลม ดิน ไฟ น้ำ และความมืดตามลำดับ จนครบก่อนที่จะยิงแสงส่งกลับลงไปเป็นแสงหกสี พุ่งลงกลับไป “ เริ่มแล้วสินะ.. ” ลอว์เรนซ์เปรย ก่อนจะค่อยๆก้าวท้าวออกไป “ จะไปไหนรึ ” อิเดียกล่าวเสียงห้วน “ ก็แค่ลงไปเล่นพวกมันเท่านั้นเองไหนๆก็อุตส่าห์มาแล้วทั้งทีขอสนุกหน่อยละกันท่านพ่อ ” ลอว์เรนกล่าวเสียงเรียบก่อนจะเดินลงไปอย่างช้าๆ ……… …….. …. แสงที่สะท้อนกลับ ออกมาจากดราก้อนฮอลลี่ ได้พุ่งลงมาอาบร่างเหล่าลูกมังกรเอาไว้ เหล่าเทพขุนพลรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังพุ่งมาหา จึงไม่รอช้าคิดจะปิดบัญชีเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าเหล่าลูกมังกรก็ได้เปลี่ยนร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไลท์กลายเป็นมังกรกริฟฟิน อิมซาน (Imsarn, the Shining Dragogriff)อีกครั้ง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/16.jpg) เอิธท์ได้เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นมังกรกริฟฟินเกล็ดสีเขียวปีกขนาดยักษ์พัดเอาฝุ่นผง ขึ้นมาคละคลุ้ง มันคือบารานนิทิล มังกรกริฟฟินแห่งดิน(Baranitihil, the Earth Dragogriff) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/17.jpg) ไฟร์ได้กลายเป็นมังกรกริฟแห่งไฟแมนเซเร็ก(Mansereg, the Fire Dragogriff) อุญหภูมิร่างกายที่ร้อนระอุถึงกับทำให้หินละลายได้แผ่ออกมาจากร่าง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/18.jpg) อควา ได้กลายเป็นมังกรกริฟฟินแห่งพายุหิมะ โอโลฟาเชี่ยน(Orofacion, the Blizzard Dragogriff)ไอเย็นที่โชยออกจากร่างทำให้ ทุกอณูในอากาศหยุดนิ่งและจับตัวกลายเป็นไอเย็นในที่สุด (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/19.jpg) วิลเปลี่ยนร่างเป็น มังกรกริฟฟินแห่งพายุ รอสทลอส(Lostros, the Gale Dragogriff) ปีกปกคลุมด้วยขนนกซึ่งเก็บประจุไฟฟ้าไว้จนทำให้เกิด ไฟฟ้าสถิตในอากาศได้ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/20.jpg) และสุดท้าย ดาร์คได้กลายร่างเป็น มังกรกริฟฟินปีกแห่งความตาย ดอนฟอลม่า(Donfalma, the Death Wing Dragogriff) ลมหายใจของมันเป็นสามารถละลายหินได้ในพริบตา (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/21.jpg) มังกรกริฟฟินทั้งหกได้ทะยานขึ้นสู่เพดานห้องและบินเรียงกันเป็นวงล้อมกรอบศัตรูไว้ “ พวกเราคือตัวแทนพลังแห่งจิตใจที่จะต่อกรกับความกลัว ” เหล่ามังกรกริฟฟิน ประกาศกร้าว พร้มกับที่การโจมตีของเหล่ามังกรกริฟฟินซึ่ง ประกอบด้วยพายุหิมะ แสงซึ่งเผาผลาญทุกสิ่ง เปลวไฟร้อนระอุ พายุคลื่นไฟฟ้า เสียงคำรามแห่งแผ่นดินที่เป่าพื้นกระจุย ไปจนถึงลมหายใจกรดที่พ่นออกมา ได้พุ่งเข้าทำลายร่างของจอมเวทย์ลวงตาดำจนสิ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้ รับรู้ถึงความทรมานก่อนตายแม้แต่น้อย “ หนอยพวกแก.. ” เมฟิส สบถด้วยความเจ็บใจ ทว่าเขาก็ต้องชะงักไปเพราะเสียงร่ายคาถาของเจนัสกับลากูน่าที่ดัง ขึ้นมา “ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ” เจนัสและลากูน่าผลัดกันกล่าวคาถาขึ้นที่ละประโยค ขณะที่ศิลาเริ่มเรืองแสง จนเปล่งประกายเจิดจ้า “ จันทรคลาสพิโรธ (Wrath Eclipse moon) ” สิ้นคำของทั้งคู่ ดวงจันทราสีดำก็ปรากฏขึ้นเหนือพวกเขา ก่อนที่จะปล่อยคลื่น ประกายแสงแวววาว ออกไปทันทีที่มือสังหารและเมฟิสถูกประกายนั้นเข้าก็เกิดสัญลักษณ์ จันทร์เสี้ยว ขึ้นเหนือหัวของพวกเขา ก่อนที่แสงใสจะส่องสกาว เผาผลาญร่างของเมฟิส โดยวาบขึ้นมาอยู่หลายครั้ง จนร่างของเมฟิสดับสูญไปในที่สุดทว่ามือสังหารกลับ อาศัยความเร็วของตนหลบออกมาได้ก่อน “ ช่างเป็นพลังที่รุนแรงอะไรเช่นนี้…หึแต่ก็ช่างเถอะพวกแกก็หมดพลังไปกับมันแล้วสินะ ” มือสังหารกล่าวเมื่อเห็นสองพี่น้องทรุดตัวลงด้วยความเหนื่อยหอบ จากการอัญเชิญจันทราแบบที่สามออกมา ซึ่งสิ้นเปลืองพลังเวทย์เป็นอย่างมาก พวกมังกรกริฟฟินไม่อาจทีจะเข้าไปช่วยพวกเขาได้เพราะมือสังหาร อยู่ใกล้ทั้งสองเกินไป “ ได้เวลาตายแล้ว ” มือสังหารกล่าวพร้อมกับยกดาบขึ้นเพื่อจะจบชีวิตของทั้งคู่ “ Kamaithachi ”(เคียววายุ) สิ้นเสียงคลื่นสุญญากาศก็พุ่ง ตวัดดาบหลุดจากมือเขาไป ผู้ที่มาเยือนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ริคุ (Riku, the Half Werebeast) นั่นเองโดยที่นีน่าก็มากับเขาดวยทั้งสอง อยู่บนหลังของเทลูมาน่า เนื้อตัวเปียกโชกราวกับพึ่งขึ้นจากน้ำ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-0ef3f0.jpg) “ ริคุ..นีน่า ” เจนัสเปรยเสียงแผ่วด้วยความไม่อยากเชื่อ ทั้งสองลงจากหลังของเทลูมานา ก่อนที่มันจะบินกลับไป “ เธอมาที่นี่ทำไมแล้วยังพี่ริคุอีก ” ลากูน่ากล่าวละล่ำละลักด้วยความตะลึง “ อย่าพึ่งตะลึงขนาดนั้นสิจ้ะลากูน่าพี่ยังมีเรื่องให้ประหลาดใจกว่านี้อีก ” นีน่าฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นนัยพร้อมกับส่งสายตาให้ริคุ ซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบ “ เชอะก็แค่คนเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นข้าจะจัดการพวกแกซะก่อนก็ได้ ” มือสังหารกล่าวจบก็พุ่งเข้าทั้งสอง ทว่านีน่าและริคุก็คว้าเอาศิลาจันทราของตนขึ้นมา กันคนละก้อน สร้างความตกตะลึงให้แก่พวกเจนัสมากขึ้นไปอีก “ ยามใดทีนภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร…. และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ” ทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยคเหมือนกับที่เจนัสและลากูน่าทำ สิ้นคำศิลาก็เรืองแสงเปล่งประายเจิดจ้า “ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer) สิ้นเสียงของทั้งคู่ ก็เกิดหลุมสีดำลอยเคว้งเหนือทั้งสอง ภายในมีพลังงานทรงกลม ลอยเคว้งอยู่ในความมืด ราวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นตอนกลางคืน คลื่นพลังที่รุนแรงถูกพัดออกมา ถาโถมใส่มือสังหารแห่งความมืด ร่างของเขาถูก ตรึงเอาไว้กลางอากาศ ก่อนที่แสงสีดำ รูปเสี้ยวจันทร์จะพุ่งออกมาจากหลุมมิตินั้นอย่างไม่ขาดสาย และตวัดผ่านร่าง ของมือสังหารไปจนสิ้นสลายในพริบตา หลุมมิติจึงปิดลง พวกเขาทั้งคู่ที่ใช้พลังจนเกือบหมดถึงกับทรุดล้มเช่นกัน “ นี่พวกเธอไปเอาศิลามาได้ยังไงกันแล้วยังอัญเชิญจันทราแบบที่สามได้อีก ” เจนัสกล่าวถามด้วยความงุนงง ซึ่งนีน่าก็ยิ้นให้เล็กน้อยก่อนจะยันตัวขึ้นมา “ ริคุเป็นคนเอเศษผลึกจันทราชิ้นที่สี่มาให้ชั้น พร้อมกับศิลาจันทราอีกก้อน อีสควอเทียก็เลยทำศิลาให้ฉันอีกก้อน แล้วก็ฝึกเราสองคนให้ดึงเอาพลังแบบที่สามออกมาไงล่ะแต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน เพราะแมวอย่างฉันไม่ค่อยถูกกับน้ำเท่าไหร่เลย แหะ แหะ ” นีน่ากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ ตระกูลชั้นก็ทำศิลาจันทราเหมือนกับนายนั่นล่ะเพราะต้นตระกูลเฟ็นเรียซึ่งเป็นวิราเทพได้เจรจากับตระกูลนาย ทำสัญญาสร้างศิลานี่ขึ้นมา เพราะชั้นกลับไปที่ซาก คฤหาสน์ของตระกูล ก็ไปเจอเศษผลึกกับหินนี่เข้าก็เลยคิดว่าน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง พอได้ข่าวว่าพวกนายไปที่ ้าปราชญ์มังกรก็เลยตามไปแต่พอไปถึงพวกนายก็ไปแล้วซะนี่ ”(วิรา=แมว) ริคุอธิบายซึ่งนั่นก็พอทำให้พวกเขานึกภาพออกได้ ว่าหลังที่ไปถึงและไม่เจอพวกเขาริคุจึงมอบเศษผลึก ให้แก่นีน่าเพื่อทำศิลาพร้อมกับฝึกดึงเอาพลังออกมาด้วย และขี่เทลูมานาที่บินเร็วกว่าเสียง มาที่นี่ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเสียงฝีเท้าได้ดังกึกก้องลงมาอย่างช้าๆ พวกเขาหันไปยังบันไดชั้นบนที่อยู่หลังประตูเหล็ก มีใครบางคนกำลังมา “ สุดท้ายข้าก็ต้องเป็นคนจัดการพวกแกเองสินะ ” เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นพร้อมกับการปรากกตัวของ Lr บัดนี้พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนเสียแล้ว พวกเขาจะทำเช่นไร…. โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า พวกเขาที่ต้องรับมือกับพลังอันแข็งแกร่งของมุรามาซะโซล ไม่อาจต่อกรกับเขาได้ แม้จะมีพลังของมังกรกริฟฟินก็ตาม “ ตายซะพวกสวะ ” อีกตัวตนที่แข็งแกร่ง “ ได้สติซะทีลอว์เรนซ์ ” ความหวังที่น้อยนิด “ เราคือจิตวิญญาณแห่งศิลามังกรนี้ นามข้าคือลอว์เรนซ์ อัศวินทาลิวิลย่าเมื่อร้อยปีก่อน ” “ ศิลามังกรจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกของเจ้าเป็นพลังซึ่งที่แสดงอยู่ตอนนี้คือความกลัว หากเจ้าไม่อาจเอาชนะความกลัวได้เจ้าก็ไม่อาจเป็นตัวของเจ้า ” คำชี้แนะที่ นำไปสูการควบคุมตัวตน “ เมื่อเจ้าเตรียมใจพร้อมที่รับชะตากรรมเจ้าจงกลับมาที่นี่อีกครั้งข้าจะมอบดาบให้แก่เจ้า ” การทดสอบที่ได้รับมา “ ลูกเติบโตด้วยการดูแลของพ่อแม่..เราเป็นลูกของเจ้าแต่เจ้าไม่ได้เลี้ยงดูเรา ครอบครัวของเราคือนั่น.. ” “ งั้นรึ..เอาเถอะข้าแค่ต้องการหลอกใช้พลังของเจ้าเพื่อเปิดประตูเท่านั้นแต่ข้าก็จะไม่ให้เจ้าขวางทางข้าเช่นกันจงตายซะ ” ในเสี้ยววินาที ชี้เป็นตายของลอว์เรนซ์ ความหวังได้บังเกิดขึ้น “ ที่พวกเราต้องการก็คือช่วยลอว์เรนซ์…ช่วยเพื่อนของเรา ” สิ่งที่หัวใจทั้งหกเรียกหา ก่อกำเนิดซึ่งพลัง ร่างลุกโชนด้วยพลังทั้งหกลมหายใจอันพิสุทธิ์ “ มิตรภาพ ความหวัง ความสัตย์ คุณธรรม ปัญญา และความเมตตา เมื่อใดที่พลังทั้งหกมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน นามของข้าคือมังกรหกธาตุทลายมาร….. ” อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่จะต่อกรกับเหล่าบาปทั้งสิบที่คืนชีพขึ้นมา สงครามระหว่างพวกเขากับมังกร แห่งบาปทั้งปวง ทางจิตใทั้งหกรวมเป็นหนึ่งสุดท้ายคืออะไรติดตามได้ในตอนหน้า บทที่ 28 ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง 6 นามนั้นคือ Amankris บทนี้เอ่อคืออึ้งจนบรรยายไม่ถูก ว่าไงว่าตามละกันครับ แต่งเองมึนเองไปหมดแย้ว ตอนหน้าอัพตามเวลาเดิมวันอาทิตย์นะครับใกล้มันส์เข้าไปทุกทีแล้ว Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ Post by: boy on July 20, 2008, 10:52:56 PM คืบใกล้จุดไคลแมกซ์เข้าไปทุกที อาทิตย์นี้ดีหน่อย ได้ดูเรื่อง 2 ยกเลย ::011::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ Post by: cocka-c on July 22, 2008, 02:13:09 AM อัก...บทเดียวเล่นแปลงใหม่หกตัวเลยเรอะ สมชื่อบทลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการจริงๆ
เล่นซะมึยเลยตอนหน้าอแมนคริสจังจะออกโรงแว้วเย้ๆๆ จะเก่งขนาดไหนน้า.... ::018:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ Post by: greamon on July 23, 2008, 02:54:57 AM ช่วงหลังๆมานี่พึ่งรู้สึกตัวว่าตัวละครของเราเนี่ยนิสัยออกจะคล้ายๆกันอยู่นะ
คือรูปแบบของตัวละครทุกตัวคือมีอดีตที่น่าเศร้าเหมือนกันทำให้ดูแล้วเป็นคนที่แอบเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลาเลย ที่จริงมันก็ไม่น่าแปลกเนอะเพราะตัวละครทั้งหมดที่อยู่ฝ่ายพระเอกแทบจะนับเป็นญาติกันได้เลย ดูอย่างนีน่าสิ ท่านพี่แกเล่นควบลูกพี่สองคนเลยทั้งกาเทียทั้งริคุ สาเหตุเพราะพ่อของ นีน่าไปรักกับน้าของ ริคุ เลยกลายเป็นว่า เชื่อมพันธไมตรีมั่วไปหมด(เห็นเจ้าการูรูม่อนบ่นว่า ถ้ามันเป็นเซโก้นะไม่ยอมให้ไปแต่งกับเฟ็นเรียหรอกให้แต่งกับรูลเวลล์นี่แหละ สงสัยมันอยากให้นีน่ากับเจนัสเป็น ญาติกันจะได้แต่งงานกันไม่ได้ หงะหรือว่า เจ้าการูรูม่อนมัน...จะว่าไปมันชอบแนวโชตะบวกอินุอยู่ด้วยนิอ็าคคคแย่แว้ว) เฮ้อเกริ่นซะยาวที่จริงคือจะมาบอกว่าภาคสุดท้ายนี้ตัวละครหลายตัวอัพเกรดขึ้นเยอะเลยมีอะไรบ้างไปดูกัน 1.อายุเพิ่มขึ้น อันนี้แน่นอนเลยครับเพราะเปิดภาคมาก็เจอ unhappy birth day เลยกำลังฉลองวันเกิดอยู่ดี แขกไม่ได้รับเชิญมาซะงั้น แล้วจะจัดฉลองซ่อมไหมเนี่ยจะได้ไปด้วย..... ::010:: ดังนั้นมาถึงตรงนี้แล้วเรามารู้อายุของพวกเขากันเถอะ อายุภาค dragoon age' 1.ลอว์เรนซ์ 8 ปี 2.เจนัส 9 ปี 3.นีน่า 9 ปี 4.ลากูน่า 8 ปี 5.ริคุ 9 ปี อายุภาค Last legend of the thaliwilya 1.ลอว์เรนซ์ 9 ปี 2.เจนัส 10 ปี 3.นีน่า 10 ปี 4.ลากูน่า 9 ปี 5.ริคุ อายุไม่ทราบเพราะตายไปช่วงนึงแล้วคืนชีพเป็นเครสเซนท์ เลยกะวันไม่ถูกแต่ก็ไล่เรี่ยกับพวกเจนัสเช่นกัน อืมเด็กจริงๆพวกนี้แต่ความคิดโตเกินเด็กนะเนี่ย จริงๆยังอยู่ในวัยซุกซนอยู่เลย แต่ช่างมันปะไรเราจะโหดซะอย่าง5555+ 2. พลัง นี่ก็ขาดไม่ได้ เพราะในบทที่ 27 มีอะไรใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาเพียบเลย 1. ร่างดราก้อนกริฟฟินของลูกมังกรทั้งหก บทเดียวมาครบทั้งทีมที่จริงตอนแรกว่าจะให้ค่อยๆมาทีละตัวนะแต่มันรัดรวบเหลือเกินเลย ควบมันทีเดียวเลย 2.ท่าไม้ตายลับของครึ่งสมิงจันทราแบบที่สาม เป็นปริศนาที่มาตั้งแต่ภาค dragoon age' แล้ว จากคำพูดของเจนัสและลากูน่าในตอนที่ สู้กับลอว์เรนซ์ ตอนที่พวกตนยังเป็น 12 เทพขุนศึกอยู่ ได้กล่าวไว้ว่า ศิลาจะอัญเชิญจันทราได้สามแบบ แต่ที่เห็นมาทั้งหมดกลับมีเพียงสองแบบ คือ cool moon กับ bloody moon เท่านั้น ตอนนี้ได้แจ้งแถลงไขเป็นที่เรียบร้อย นั่นคือจันทราแบบที่สามใช้สำหรับโจมตีซึ่มีพลังทำลายที่รุนแรงมากเสียจนตัวผู้ใช้เองต้องมีถึงสอง จึงจะ ใช้ได้อีกทั้งยังสิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาลด้วย เรียกได้ว่าเป็นท่าไม้ตายก้นหีบเลยทีเดียว โดยจับคู่กันดังนี้ 1. เจนัสกับลากูน่า จะได้เป็น Quote “ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ” เจนัสและลากูน่าผลัดกันกล่าวคาถาขึ้นที่ละประโยค ขณะที่ศิลาเริ่มเรืองแสง จนเปล่งประกายเจิดจ้า “ จันทรคลาสพิโรธ (Wrath Eclipse moon) ” สิ้นคำของทั้งคู่ ดวงจันทราสีดำก็ปรากฏขึ้นเหนือพวกเขา ก่อนที่จะปล่อยคลื่น จากในบทที่ 27 จะได้เป็นท่าจันทรคลาสพิโรทนั่นเองเป็นการทำลายล้างแบบหมู่โดยกำหนด เป้าที่ตัวศัตรู เป็นการทำเครื่องหมายก่อนจะเผาด้วยแสงสีขาว 2. นีน่า กับ ริคุ จะได้เป็น Quote “ ยามใดทีนภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร…. และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ” ทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยคเหมือนกับที่เจนัสและลากูน่าทำ สิ้นคำศิลาก็เรืองแสงเปล่งประายเจิดจ้า “ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer) เช่นกันเมื่อนีน่ากับริคุจับคู่กัน ท่าที่ได้คือ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ซึ่งจะเน้นการโจมตีรวมศูนย์ โดยจะตรึงศัตรูด้วยคลื่นพลังก่อนจะยิงม่านดาบจันทราสีดำออกไปฟันศัตรูจนดับสิ้น ที่นี้คงเห็นแล้วว่าพวกเขาทั้งสี่คนอัพเกรดขึ้นขนาดไหน ทว่าการจะได้มาก็ต้องผ่านการฝึกที่โหดหิน เกือบตายจริงๆ คงเห็นได้จากการทดสอบของอีสควอเทีย เจ็แกเลือดเย็นมาก แต่พวกเขาทั้งสี่ก็ผ่านมันมาจนได้แล้วพลังเหล่านี้จะต่อกรกับมุรามาซะโซลที่แข็งแกร่ง ขนาดล้มทัพเทพพิทักษ์ของฟูดินันได้รึเปล่าคำตอบคือ..... ติดตามได้ในบทที่ 28 จ้ะอิอิ กลิ้งออกจากกระทู้ทันทีก่อนโดนเตะ....ขลุก....ขลุก ::020:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ Post by: greamon on July 27, 2008, 08:11:29 PM บทที่ 28 ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง 6 นามนั้นคือ Amankris
หลังจากการ ปรากฏตัวของมุรามาซะโซล จิตวิญญาณอันเปี่ยมด้วยพลัง ซึ่งแม้แต่เหล่าเทพพิทักษ์แห่งฟูดินัน ก็ไม่อาจต่อกรได้ อาณาจักรแอนดิซอง และฟีเลเซีย ได้เริ่มการล้มล้างกองกำลังต่อต้าน อย่างต่อเนื่อง แม้แต่สภาศาสนาของแอนดิซองซึ่งเป็นเสมือนเสาหลัก ก็ได้ถูกยึดอำนาจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บัดนี้อาณาจักรทั้งสองได้แก่ฟูดินันและซาโลมจึงเริ่มเคลื่อนไหว ณ อาณาจักรซาโลมซึ่งตั้งอยู่บนผืนทะเลทรายอันแห้งแล้งทว่าบัดนี้ หลังจากที่เจ้าชาย ซาร์ อิสฮาน ทรงขึ้น ครองราชย์ โฉมหน้าของอาณาจักรก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นผืนทราย บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นไร่สวน อันเป็นที่ทำกินของประชาชน ราษฏรได้อยู่อย่างเป็นสุขบ้านเมืองเริ่มพัฒนา หลังจากที่ต้องเสียหายอย่างหนักจาก ทำสงครามเมื่อครั้งสงครามสี่อาณาจักร ทว่าเมื่อหลายเดือนก่อนก็ได้มีการโจมตีจากเหล่า 12 เทพขุนศึก แต่สุดท้ายด้วยการช่วยเหลือของเหล่าคณะประกาศก ที่กลับมารวมตัวกันอีกครา พวกเขาสามารถขับไล่ผู้รุกรานไปได้…… ซุ้มประตูพระราชวัง เหล่าคณะประกาศก 9 คนซึ่งรวมถึง อิสฮาน (Ishan, The Prophet)ด้วยพวกเขาได้ควบเหล่า อาชา ทยานผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก “ พวกเรากำลังจะไปไหนกัน ” เจ้าหญิงซูไลก้า (Zuleika, The Lazal Princess) ตรัสถาม อิสฮาน ถึงจุดหมายที่จะไป เพราะพวกนางถูกเรียกให้ออกไปกับเขา อย่างปุบปับ “ ฟีเลเซีย….เมื่อวันก่อนหมายสารจากฮารีซัน ได้ส่งมาในนั้นมีข้อความว่าที่ฟีเลเซีย มีการล้มล้างกองกำลังต่อต้านที่ทางอาณาจักรเรากำลังให้การสนับสนุนเมื่อไม่นานนี้อยู่….แล้วก็ ที่ฟูดินัน พวกโฮลี่ไนท์แมร์ คนหนึ่งได้บุกไปที่นั่น เทพเจ้าที่พิทักษ์คุ้มครองอยู่ถูกเจ้านั่นจัดการจน เสียท่าหมด มีประชาชนหลายคนที่โดนลูกหลงสัมผัสถูกแสงสีดำ แล้วก็มีอาการร้องครวนไม่หยุด ” อิสฮานอธิบายระหว่างที่สายตาคอยแหงนมองฟ้าอยู่ตลอดเวลาราวกับ มองหาอะไรบางอย่าง “ นี่แม้แต่เหล่าเทพเจ้าก็พ่ายแพ้ พวกมันมีพลังถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ” วานาอัน (Wanaan, The Prophet’s Follower) อุทานหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากเขา “ แล้วทำไมเราถึงไม่ไปที่ฟูดินันก่อนล่ะเพราะทางนั้นน่าจะต้องการความช่วยเหลือมากกว่า ” ฟีเดลม่า (Fidelma, the Prophet’s Follower) กล่าวขณะที่โจฮัน (Johan,the Prophet’s Follower) ซึ่งซ้อนท้ายอยู่ ก็พยักหน้าสนับสนุน “ ไม่..ในข้อความนั่นบอกไว้อีกว่าให้ไปพบกันที่ ฟีเลเซีย เพื่อจะช่วยไกล่เกลี่ย เรื่องราวทั้งหมด เลยให้ทางเราไปช่วยเจรจาด้วย ” อิสฮานตอบโดยที่สายตายังคงจ้องหาอะไรบางอย่างอยู่ “ แต่ว่าจากน่ไปฟีเลเซียหรือฟูดินัน น่ะลำพังแค่ม้าพวกนี้ไปไม่ถึงแน่… ” จีน(Gene,the Prophet’s Follower) กล่าวได้ไม่ทันจบก็มีเงาแวบผ่านนางไป ทันทีที่ พวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า คำตอบก็ปรากฏแก่พวกเขาว่าจะไปอย่างไร ครุฑกายสีขาวและร่างวิญญาณซึ่งโปร่งแสง ของเด็กหญิง ซึ่งอุ้มตุ๊กตาตัวน้อยมาด้วย กับ พาหนะรูปร่างเหมือนเรือซึ่งบินอยู่เหนือหัวพวกเขาขนาดพอให้คนสิบคนขึ้นได้ ผู้ที่บังคับหางเสืออยู่เป็น มนุษย์สุนัข โคบลอด(Kobold) “ กาเลน (Galen, the Prophet’s Follower) คลอเดเรีย (Corderia,the Prophet’s Follower) อัลเมอร์ (Koblod Ulmer, the Prophet’s Follower) ” ฟาริด (Farid, Zalom’s Headman General) ซาโลเม่ (Salome,the Prophet’s Follower)กับ ไนซ์ซา (Nyssa,the Prophet’s Follower) ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าอุทานขึ้นพร้อมกันทั้งคู่ …….. …………… ……………….. ณ ห้องใต้ดินซึ่งเป็นคุกของพระราชวัง ตามผนังหินอ่อนมีฝุ่นจับเขรอะไปทั่ว โซ่ตรวนและเครื่องพันธนาการมากมายถูกวางก่ายกองเอาไว้ตามทางเดิน ซึ่งมืดสลัวมีเพียงแสงตะวันที่เล็ดลอดผ่านช่อง เพดานลงมาเท่านั้น ที่พอจะทำให้มองเห็นรอบๆได้บ้าง ทันทีที่เสียงประตูเหล็กคราดจากการถูกออกดังขึ้นกลิ่นอับชื้นภายในห้อง ก็โชยออกไป เสียงฝีเท้าดังกึกก้องสะท้อนไปตามผนังห้องเป็นจังหวะ ชาว์ลแม่ทัพแห่งฟีเลเซีย (Charles, the General of Felasia) เดินลัดเลาะไปตามทางซึ่งเต็มไปด้วยเครื่อง พันธนาการต่างๆนานา จนมาหยุดอยู่หน้า ลูกกรงเหล็ก ซึ่งปิดขังห้องขนาดกว้างห้องหนึ่ง เอาไว้พื้นห้องขังถูกปูด้วย ฟางแห้ง ที่เพดานซึ่งตั้งเอียงลง มีบานหน้าต่างซึ่งปิดกั้นไว้ด้วยลูกกรงเหล็ก ภายในห้องขัง บิชอปแห่งฟีเลเซียเกรเกอรี่ ซึ่งยงคงอยู่ในชุดสงฆ์และไม่ได้ถูกปลดตำแหน่งจากการเป็นบิชอป ถูกจองจำเอาไว้ด้วยโซ่ข้อมือ นั่งตัวคู้ก้มหน้าลงราวกับหมดอาลัยตายอยาก ทันทีที่ชาว์ล หันมามองเขา เกรเกอรี่จึงชะโงกหน้าขึ้นเลยน้อยเพื่อมองดูว่าใครเป็นผู้ที่ มาเยือน “ ชาว์ลท่านเองหรือ… ” เกรเกอรี่เปรยเสียงเบาด้วยความอ่อนเพลีย ใบหน้าหม่นหมอง สายตาไร้แววราวกับตุ๊กตา “ ข้าไม่เข้าใจจริงทำไมพวกเขาถึงได้สั่งคุมตัวท่านโดยไม่ไตร่สวนแม้แต่น้อย เพียงเพราะท่านให้ความร่วมมือกับกองกำลังต่อต้าน…แล้วยังหมายจับกองกำลังต่อต้านใสนฐานะกบฏ ของบ้านเมืองในเวลานี้อีก ” ชาว์ลกล่าวด้วยความไม่พอใจ ในการกระทำของเหล่าคณะขุนนางซึ่งลงความเห็นว่าเกรเกอรี่เป็นกบฏและ จับโยนส่งคุกใต้ดินพร้อมกับขังลืมไปอย่างทันที “ เราประมาทไปจริงๆนั่นล่ะ..ทั้งที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกมันได้แทรกแซงเข้ามาแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่า จะเป็นถึงขนาดนี้… ” เกรเกอรี่กล่าว ก่อนจะยื่มมือซึ่งถูกพันธนาการไว้ คว้าเอาไม้เท้าประจำตำแหน่งขึ้นมา มองดูด้วยความอาวร “ จากการที่เราถูกคุมตัวเอาไว้โดยที่ไม่แม้แต่จะปลดตำแหน่งจากเราก่อน…แค่นั้นก็เพียงพอจะบอกได้แล้วว่า พวกมันแทรกแซงไปจนคุมทุกอย่างในอาณาจักรไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ตอนนี้กระทั่งองค์กษัตริย์…..พระองค์เองคงไม่พ้นจากเงื้อมือพวกมันเป็นแน่แท้ ” เกรเกอรี่กล่าวจบก็ปล่อยมือออกจากไม้เท้าให้ลวงลงสู่พื้น ชาว์ลมองเขาด้วยความสมเพช เขาดูตกต่ำลงไปกว่าที่คิด “ ตอนนี้เจ้าหญิงพระองค์ทรงเดินเรื่องการไตร่สวนของท่านด้วยตัวพระองค์เองอย่างสุดพระปรีชา เพื่อที่จะช่วยท่านอยู่…แต่ก็อย่างที่ว่าพวกมันแทรกซึมเข้ามาลึกซะจนคุมไว้ได้หมดเสียแล้วการเดิน เรื่องของพระองค์ทรงถูกปัดตกไปหลายครั้งแล้ว ” ชาว์ลอธิบายให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ “ ทำไมตอนนั้นท่านถึงไม่หนีไป… ” ชาว์ลกล่าว คำถามของเขาทำให้เรื่องที่เกิดเมื่อหลายวันก่อน ในตอนที่มีคำสั่งให้ทำการล้มล้างกองกำลังต่อต้านขั้นเด็ดขาด พวกทหารได้กรูกันเข้ามาจับตัวเขา ทว่าชาว์ลและเจ้าหญิงเรจิน่าก็เข้ามาขวางไว้ “ นี่มันเรื่องอะไรกัน ” เจ้าหญิงตรัสขึ้นด้วยความสงสัยนายทหารคนหนึ่งออกมาจากกลุ่มทำความเคารพเจ้าหญิงก่อนที่จ ยื่นม้วนกระดาษซึ่งเป็นหหมายสารทางราชการให้ พระองค์ทรงรับมาคลี่ออกทอดพระเนตร ลงบนหมายสารนั้น “ มีรับสั่งให้คุมตัวเกรเกอรี่ไปพระองค์ทรงหลีกทางเถิดพะยะค่ะ ” นายทหารกล่าวซึ่งเจ้าหญิงเรจิน่าทันทีที่พระองค์ทรงเห็นข้อความในหมายสารนั้น ดวงพระเนตร ของพระองค์ก็เบิกโผลง ก่อนที่จะปล่อยพระหัตถ์ออกจากหมายสาร ทว่าชสว์ลก็รับมันมาก่อนที่จะร่วงลง พื้น ทันทีที่เขาอ่านมันจบก็แทบจะมีอาการไม่แตกต่างไปจากเจ้าหญิง ชาว์ลส่งหมายสารนั้นต่อให้เกรเกอรี่ เมื่อเขารับมาอ่านมันเป็นหมายสาร การคุมตัวเขาไปจองจำฐานเป็นกบฏเพราะให้การสนับสนุน กองกำลังต่อต้าน ทันทีที่เหล่าทหารจะบุกเข้าไปจับตัวเขาเจ้งหญิงเรจิน่าทรงชักพระแสงขันต์ ออกจากฝัก และเข้ามาขวางไว้ “ ท่านรีบหนีไปเร็วทางนี้เราจะต้านไว้เอง.. ” เจ้าหญิงตรัสพร้อมกับโบกพระหัตถ์ เป็นเชิงบอกให้รีบหนี “ หากพระองค์ทรงขัดขวางจะได้รับอาญาด้วยทรงหลีกทางเถิดพะย่ะค่ะ ” นายทหารกล่าวเพื่อหวังให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย “ เราไม่เชื่อหมายสารนั่นเด็ดขาดจนกว่าจะพิสูจน์ได้จริงว่ากองกำลังต่อต้านเหล่านั้นจึงเป็นกบฏ ” พระองค์ทรงตรัสเสียงหนักแน่น ทว่าเกรเกอรี่กลับเดินผ่านพระองค์เข้าหาเหล่าทหาร พร้อมกับที่นายทหารทังหมดเข้าจับกุมตัวเขาอย่างทันที พระองค์กับชาว์ลได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก เรื่องราวในวันนั้นได้กลับมาวนเวียนในหัวเขาอีกครั้งหลังจากที่ถูกชาว์ลถาม “ ถ้าท่านเป็นเรา..ท่านคงไม่ถามเช่นนั้น ” เกรเกอรี่กล่าวชาว์ลเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยในคำพูดของเขา “ ถ้าต้องเลือกระหว่างเหตุผลกับหน้าที่ท่านจะเลือกอะไรล่ะ… ” เกรเกอรี่กล่าว ……….. …………… ………………. “ ตายซะพวกสวะ ” Lr สบถขึ้น ก่อนจะสยายปีกออกและบินโฉบ เหล่ามังกรกริฟฟิน มังกรจักรกลเทียมได้เคลื่อนตัวออกไปจากปราการแล้ว จึงทำให้ผนังที่มันพุ่งเข้ามาชนเปิดกว้างออก จากการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของ Lr และพลังทำลายของพวกเขาซึ่งอาจจะโดนกันเอง เหล่ามังกรกริฟฟินจึงพยายามดึง Lr ให้ออกไปสู้ด้าน นอกทันทีที่ Lr บินตามออกไป ยังดาดฟ้าของหอคอย พวกเจนัสก็รีบวิ่งขึ้นบันไดหลังประตูเหล็ก ตามขึ้นไป จนเข้ามายังห้องซึ่งมืดสนิทมีเพียงแสงกระพริบจากอุปกรณ์รอบๆ และโคมไฟระย้าที่แขวนไว้บนเพดานเท่านั้น ที่คอยให้ความสว่าง ภายในห้องเสาบัลลังค์ซึ่งยกสูงได้ค่อย เลื่อนลงมาสู่พื้น พร้อมกับบัลลังค์ซึ่งอิเดีย นั่งอยู่ นักประดิษฐ์ที่คุมแผงวงจรอยู่ใกล้ๆทำการกดปุ่มบนแผงวงจรอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานนักตัวหอคอยก็เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วก่อนที่เพดานและผนังห้องจะแยกตัวออกจากกัน โคมไฟที่แขวนไว้ร่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้นจนแตกกระจาย ผนังห้องเลื่อนออก จนในที่สุดห้องได้เปิดออกสู่ภายนอกแรงลมและแสงตะวันอ่อนๆที่ส่องลงมา ทำให้สภาพภายในห้องเปิด เผยแก่สายตาของพวกเขา ผนังทั้งหมดที่เคลื่อนตัวออกไปจากห้องนี้ได้ตกลงกระทบ กำแพงน้ำแข็งที่ยึดติดกับวงแหวนลอยตัวของปราการก่อนจะลื่นไถล หายไปจากสายตา Lr และเหล่ามังกรกริฟฟินทั้งหก ได้เข้าปะทะกันอยู่เหนือหัวพวกเขา “ อีกสามสิบนาที เครื่องขยายอำนาจจะพร้อมทำงาน ” นักประดิษฐ์กล่าวจบก็รามือ ออกจากแผงวงจร “ กรีแวร์… ” ริคุกล่าวชื่อของแม่มดสาวซึ่งยืนอยู่เคียงข้างอิเดีย “ ริคุนั่นเธอ… ” กรีแวร์กล่าวได้ยังไม่ทันขาดคำ นางก็ถูกอิเดียใช้โครงปีกกระดูกทิ่มแทงจนล้มลง “ ข้ารู้อยู่แล้วกรีแวร์ว่าเจ้าต้องทรยศข้าเพราะเมื่อสี่ปีก่อนคนที่ขอให้แกมาเข้าร่วมกับสิบสองเทพขุนศึก ก็คือแอสต้าเพื่อที่จะได้หาทางช่วย เจ้าครึ่งสมิงพวกนั้น เละเพราะเจ้าเป็นแม่มดที่รู้จักกับตระกูลเฟ็นเรีย เพื่อที่จะช่วยเจ้าพังพอนนั่น เจ้าจึงยอมตกลงเข้ามาหาทางพาพวกมันหนีไปจากข้า เรื่องแค่นี้ทำไมข้าจะไม่รู้ ” อิเดียกล่าวก่อนจะกระชากโครงปีกออกจากร่างของนาง ก่อนจะหันไปสั่งนักประดิษฐ์ซึ่งสวม ชุดสีดำที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าและใบหน้า มีเพียงช่องดวงตาที่หน้ากากที่สวมอยู่เท่านั้นที่โผล่ สายตาของเขาออกมา “ เปิดเกราะพลังงานคุ้มกันเครื่องเอาไว้จนกว่าจะพร้อม ” สิ้นคำของอิเดีย นักประดิษฐ์ ก็กดปุ่มบนแผงวงจรอีกครั้ง ทันใดนั้นที่แท่นสีดำซึ่งวางฟอจูนทรีเอาไว้ ก็ถูกเกราะพลังงานสีเหลืองคลุมเอาไว้ “ ทำ..ลายเครื่องนั่น..ก่อนที่มันจะเปิดประตู ” กรีแวร์กล่าวกระอึกกระอักออกมา อย่างยากลำบาก “ ยังมีลมหายใจอยู่อีกรึ.. ” อิเดียกล่าวจบก็ฟาดโครงปีกลงไปอีกครั้งหมายจะซ้ำนางให้ตาย ทว่าโครงปีกทั้งหมดกลับถูก คลื่นสุญญากาศ พุ่งตัดจนหักร่วงลงทั้งหมด พร้อมกับที่ริคุ พุ่งเข้ามาพาตัวนางออกไป “ ไม่เป็นไรใช่มั้ย.. ” ริคุกล่าวขณะที่แบกนางกลับไปยังฝั่งที่พวกเขารออยู่ “ เราต้อง..ทำลาย..เครื่องนั่นเดี๋ยวนี้..ไม่งั้นประตูมิติมังกรจะเปิดออกแล้ว.อัก ” นางกล่าวได้ไม่ทันจมประโยคอาการคลื่นเหียนก็เข้าเล่นงานนาง จนสำลักเลือดออกมา “ นี่รึว่าเครื่องขยายพลังสำหรับเปิดประตูมิติที่มันต้องการสร้างสำเร็จแล้วหรือ ” ริคุคิดขณะที่วางตัวนางลงให้นีน่าดูอาการ “ Gaia Scream ”(ปฐพีโหยหวน) สิ้นคำบารานนิทิลก็ส่งคลื่นเสียงซึ่งสั่นไหวอนุภาคให้กระจัดกระจายออกได้ก็แหวกอากาศเข้าเล่นงาน Lr ทว่าเขาก็บินหลบไปได้ ก่อนะจะสะบัดขนนกที่ปีกกระจายออกไป ทิ่มแทงบารานนิทิล ก่อนที่มันจะ ระเบิดใส่บารานนิทิล จนได้รับบาดแผล “ ชิหนอยลองเจอไฟบรรลัยกัณฑ์หน่อยเป็นไง ” แมนเซเร็กกล่าว “ ไม่ได้นะเราจะทำร้ายลอว์เรนซ์ไม่ได้ ” โอโลฟาเชี่ยนกล่าว เตือนก่อนที่แมนเซเร็กจะโจมตี “ หึ..น่าเบื่อพวกแกนี่มันน่าเบื่อจริงๆ ” Lr กล่าวจบดราก้อนฮอลลี่ก็ส่องแสงสีดำอกมาพร้อมกับควันสีดำที่ตลบออกมา ปกคลุมเขาเอาไว้ก่อนจะจางหายไป เขาเปลี่ยร่างเป็นมุรามาซะโซลเสียแล้ว “ จงหายไปซะให้หมด ” สิ้นคำทวนในมือของมุรามาซะโซล ก็สลายตัวเป็นกลีบบุปผา สีดำและกระจายตัวเข้าเชือดเฉือน มังกรกริฟฟินอย่างไม่ปราณี ทว่ากลีบดอกทั้งหมดก็ถูกคลื่นไฟฟ้าที่ไหลออกมาจากขน ปีกของ รอสทลอส สกัดเอาไว้ “ ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อนแน่ ” รอสทลอสกล่าวจบโอโลฟาเชี่ยน ก็รวบรวมไอเย็นไว้ที่กรงเล็บก่อนจะ สบัดมันออกไปให้ ไอเย็นจับตัวกับกลีบดอก ทันทีที่กลีบดกกลายเป็นน้ำแข็ง แมนเซเร็ก ก็พ่นไฟ ออกมาเผาผลาญมัน จนในที่สุดเมื่อไม่อาจปรับสมดุได้ทัน กลีบดอกจึงแตกสลายทั้งหมด “ คิดรึว่าทำลายมุรามาซะของข้าได้น่ะ ” มุรามาซะโซลกล่าวจบก็ประสานมือเข้าด้วยกันก่อนจะวาดมือออก ตามยาวเกิดแสงสีดำขึ้นที่มือเรียงตัวเป็นแท่งยาวก่อนจะเปลี่ยนรูปเป็นทวนอีกครั้ง “ Spell Fist ” “ Kamaithachi ” “ Any Spell Plus ” “ Splash Shot ” สิ้นเสียง การโจมตีของพวกเจนัสก็พุ่งเป้าไปยังเกราะซึ่งคุ้มกันแท่นพลังงานเอาไว้ ทว่าการโจมตีของพวกเขาก็สะท้อนออกไปหมด “ งั้นทำลายแผงควบคุมของมันก่อน ” เจนัสกล่าวจบ ทุกคนก็หันไปยันแผงวงจรที่นักประดิษฐ์คุมอยู่ “ ใครจะยอมเล่า ” นักประดิษฐ์กล่าวจบก็สะบัดชายผ้าคลุมออก แล้วบิดสลักเข็มขัดกลไลซึ่งริคุและเมทาไนท์เคยใช้ หลังจากที่เขาสร้างมันสำเร็จ ชุดเกราะรูปแบบ กีก้าโหมด ปรากกขึ้นพร้อมกับประกอบสู่ร่างของเขา ก่อนที่ออบซิเดียนแอคเตอร์ จะบินทะลุหมู่เมฆ มาหาเขา นักประดิษฐ์คว้ามันเอาไว้ ก่อนที่มันจะรวมตัวเข้ากับชุดเกราะและเปลี่ยนรูปอีกครั้ง “ Change Obsidian From ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากชุดเกราะหลังจากที่เปลี่ยนรูปคล้ายตัวด้วงสามเขา แบบที่ริคุใช้ตอนที่เป็นเครสเซนท์ “ Time Walk ” สิ้นเสียง นักประดิษฐ์ก็หายตัวไปก่อนที่ พวกเขาจะถูกกระแทกและถูก เฉือนไปมาจนล้มลง “ Time Walk ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่นักประดิษ์จะโผล่มาอยู่ กลางวงพวกเขา “ เชอะพวกหนังเหนียวตายยากเย็นซะเหลือเกินนะ.. ข้าเองก็เป็นแค่นักประดิษฐ์ คงไม่มีเรี่ยวแรงจะ มาสู้รบปรบมือกับพวกเจ้านักหรอกนะ แอคเตอร์พวกนี้ไม่เหมาะกับข้าเอาซะเลย ” นักประดิษฐ์บ่นไม่หยุดปาก ทว่าเจนัสก็ได้อาศัยจังหวะนั้น กระโจนขึ้นมาใส่เขา แต่แล้วหุ่นรูปร่างหมาป่าสีขาว ซึ่งบินมาจากหมู่เมฆก็พุ่งเข้าชนเขาจนกระเด็นล้มลง ซึ่งมันก็คือ ฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์ นั่นเอง “ คงจะเจ็บล่ะสิที่ถูกอาวุธที่ตัวเองเคยใช้เล่นงาน ข้าละอยากรู้นักว่าความรู้สึกตอน ที่เจ้าสวมใส่เจ้านี่มันเป็นยังไง ” นักประดิษฐ์กล่าว “ Push Off ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากตัวเกราะ ก่อนที่จะแยกชิ้นส่วนออกจากกันและบิดตัวสลาย กลับเป็นออบซิเดียนแอคเตอร์ จากนั้นนักประดิษฐ์จึง เปลี่ยนเข็มขัดที่คาดเอวไว้เป็นอีกเส้นแทน และคว้าตัวฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์ ขึ้นมา ก่อนจะบิดสลักให้ชุดเกราะกีก้าโหมดทำงาน และรวมตัวกับแอคเตอร์ “ Change Hoary From ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้น พร้อมกับชุดเกราะที่เปลี่ยนรูปไป เป็นสมิงหมาป่าซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่เจนัสเคยสวม สนับเหล็กที่เปิดอ้าเอาไว้ได้เลื่อนตัวลงมา เพื่อการใช้งาน นักประดิษฐ์พุ่งเข้าหาเจนัสและซัดเขาด้วยสนับเหล็ก ครั้นเมื่อเขาจะหลบ นักประดิษฐ์ก็ใช้พลังเคลื่อนไหวเหนือกาลเวลาเหมือนกับตอนออบซิเดียนฟอร์ม รุกไล่เขานไม่อาจหลบพ้น ปากแผลที่ท้องซึ่งมาจากตอนที่สู้กับอิเดียครั้งก่อน เปิดออก เลือดจึงไหลซึมออกมา “ มาทั้งที่ยังไม่หายดีแท้ๆน่าประทับใจเสียจริงแต่มันคงช่วยอะไรแกไม่ได้หรอก ” อิเดียกล่าวทันทีที่เห็นบาดแผลนั้น “ Fear Slash ” เสียงดังขึ้นมาจากด้านบนพวกเขาก่อนที่ร่างของ มังกรกริฟฟินทั้งหกจะร่วงหล่น ลงตรงหน้าพวกเขาและกลับร่างเป็นลูกมังกรตามเดิม “ Mega Punch ” เสียงทุมแหลมดังขึ้นจากชุดเกราะของนักประดิษฐ์ คลื่นไฟฟ้าที่เป็นสัญญาณการใช้ท่าพิฆาตของ ฮอลี่ฟอร์ม ก็ไหลมารวมกันที่สนับข้างขวา ทันทีที่นักประดิษฐ์พุ่งตัวออกไปหมายจะใช้ท่าพิฆาตจัดการ พวกเขาทั้งหมด “ Paladin Saber ” เสียงดังขึ้นพร้อมกับคลื่นแสงรูปเสี้ยวจันทร์พุ่ง กระแทกร่างของนักประดิษฐ์จนลงไปกอง ชุดเกราะสลายตัวออกทันที แอคเตอร์ทั้งสองจึงบินกลับลงไปหมดทิ้งให้นักประดิษฐ์ ต้องล้มนอนด้วยความระบม “ นี่มัน… ” มุรามาซะโซลอุทาน บัดนี้พวกเขาถูกล้อมเอาไว้ด้วยฝูงทัพมังกรอันทรงพลังของมิติมังกร แกรนเดครอส และเทียแมตที่ต้านพวกเนโครแมนเซอร์ไว้ ได้ตามขึ้นมาช่วยพวกเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ที่ช่วยพวกเขาไว้เมื่อครู่ ก็คือกาเร็ทนั่นเอง (http://www.bcoms.net/upload/images/bcoms2008727161954.jpg) “ ฮูมม ”(ไลท์) เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น ไลท์จึงลุกขึ้นมาทันที ดีวายดราก้อนพ่อของเขานั่นเอง “ กีซซซ ”(พ่อครับ) ไลท์กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับโผเข้าหา ดีวายดราก้อนผู้เป็นพ่อที่ตรงเข้ามา ด้วยความคิดถึง “ หึ หึ หึ ถึงจะยกกันมาเป็นกองทัพ ยังไงสวะก็คือสวะจะมาซักกี่ร้อยกี่พันก็เท่านั้นจงสลายไปซะ ” มุรามาซะโซล กล่าวทว่าก็มีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องขึ้นมาจากเบื้องล่าง “ Lighting Claw ”(กรงเล็บอัศนีบาต) สิ้นเสียง โกรอทพาลม่า ก็ปรากฏตัวพร้อมกับยิงคลื่นสายฟ้าที่รวมไว้ยังกรงเล็บ ออกไป ใส่มุรามาซะโซล ทว่าเขาก็สลายทวนเป็นกลีบดอกไม้อีกครั้งและใช้มันกันการโจมตีของอีกฝ่าย “ ข้ามาคิดบัญชีกับแกแล้วมุรามาซะโซล ” กาเทียซึ่งขี่ไดน่าเบลดพุ่งตามขึ้นมากล่าวอย่างฮึกเหิม ก่อนจะกระโดลงจากหลังของไดน่าเบลดกริฟฟินสีรุ้งคู่ใจ ลงตรงหน้าพวกเจนัส พร้อมกับโกรอทพาลม่า “ ข้าจะแสดงผลการฝึกที่ได้มาจากวายเวินร์ลัวโมส(Raumose, the Wool Wyvern)ให้ดูใช่มั้ยกาเร็ท ” กาเทียกล่าวพร้อมกับขอเสียงสนับสนุน ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนในวันที่แยกจากพวก Lr ไปพวกเขาได้ไปฝึกฝนกับ ลัวโมสวายเวินร์เฒ่าซึ่งรู้จักกับเทียแมต ที่ยอดเขาแถวนั้น (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/45.jpg) Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ Post by: greamon on July 27, 2008, 08:11:52 PM “ โฮ่งั้นข้าขอดูหน่อยสิว่าจะเก่งอย่างที่ปากว่ารึเปล่า ”
มุรามาซะกล่าวท้าทายก่อนจะให้กลีบดอกทั้งหมดพุ่งใส่โกรอทพาลม่า “ ไม่ง่ายนักหรอกน่า ” กาเทียกล่าวพร้อมกับที่คลื่นไฟฟ้าแผ่ออกจากร่างของโกรอทพาลม่า และสกัดกลีบทั้งหมดไว้ “ Growth ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา ไลท์กลับดีวายดราก้อนได้ใช้เงื่อนไขแห่งวิวัฒนาการรวมร่างกันเป็น วอลวาทอสเหมือนครั้งที่เคยช่วยหมู่บ้านมังกรไว้ “ ได้สติซะทีลอว์เรนซ์ ” วอลวาทอสกล่าวจบก็เปล่งแสง จากร่างของตนใส่มุรามาซะโซล ทว่ามันกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย “ คิดใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ช่วยข้ารึอย่าหวังไปหน่อยเลย ” สิ้นคำของมุรามาซะโซล เหล่าทัพมังกรทั้งหมดที่ล้อมเอาไว้ก็เริ่มบุกโจมตีทว่า การโจมตีทั้งหมด ก็ถูกเกราะพลังงาน ที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นและครอบคลุมพวกเขาไว้ก็ป้องกันการ โจมตีทั้งหมดไว้ได้ ครั้นเมื่อมุรามาซะจะโจมตีใส่พวกทัพมังกร กาเทียก็ให้โกรอทพาลม่าเข้าไปขวางไว้เสียทุกครั้ง จนในที่สุดมุรามาซะโซลจึงเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง “ ขัดแข้งขัดขากันดีนัก Fear of Testament ” สิ้นคำ ควันสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่างของมุรามาซะโซล จนตลบอบอวล อยู่ภายในเกราะกำบังที่ครอบพวกเขากับพวกมันเอาไว้ “ อย่าสูดควันนี่เข้าไปนะ..,มันจะทำให้เราเสียสติอดทนหน่อย ” วอลวาทอสกล่าว ก่อนจะรวบรวมพลังงานไว้ที่ช่องอก และยิงแสงทะลุเกราะพลังงาน ที่ขังพวกเขาไว้ทว่าลำแสงก็ไม่อาจเจาะทะลุออกไปได้ แม้ว่าพวกทัพมังกรที่อยู่ข้างนอกจะช่วยกันยิงสนับสนุนเข้ามาจากด้านนอกก็ตาม นักประดิษฐ์ที่นอนหมอบอยู่กับพื้นไม่รอช้าที่จะคว้าเอาหน้ากาก ซึ่งมีอุปกรณ์กรองอากาศที่เขาสร้างขึ้นมาสวม ทันทีส่วนอิเดียนั้นกลับไม่ได้รับผลกระทบจากควันเหล่านี้เลย พวกเจนัสที่เริ่มจะกลั้นหายใจเอาไว้ไม่ไหวแล้ว ควันจึงแทรกซึมเข้าสู่ร่างของพวกเขา ความรู้สึกที่ ทำให้กลัวจนตัวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุลุกพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ ทีละน้อยๆ “ อย่าพยายามให้เสียแรงเปล่าเลยพวกแกต้องหวาดกลัวไปจนตายอยู่ในนี้หล่ะ ” มุรามาซะโซลกล่าวจบก็ สลายทวนในมืออีกครั้และสั่งให้กลีบดอกทั้งหมดพุ่งเข้าจู่โจมให้พวกเขาหมดแรงเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้สูดเอาควันเข้าไปมากๆ “ โกรอทพาลม่า กางกำแพงคลื่นไฟฟ้าที่…อุบ..แค่กๆ ” กาเทียกล่าวจบโกรอทพาลม่าก็ปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาสกัดกลีบดอกทั้งหมดเอาไว้ ในตอนนี้พวกเขาก็อ่อนแรงเต็มทีแล้ว หากทนต่อไปคงไม่แคล้ว ต้องตายอยู่ในเกราะพลังงานนี้เป็นแน่ “ ชิ…กาเร็ทมัวรอ อะไรอยู่มิรัยเคนที่อยู่ในมือนายเล่มนั้นน่ะมันเป็นแค่ท่อนไม้ให้แกว่งเล่นหรือไง ปลดปล่อยมันออกมาสิ พวกเราจะไม่ไหวกันอยู่แล้วนะ…อึก ” กาเทียกล่าว กาเร็ทยกดาบที่ตนถือเอาไว้ขึ้นมาจ้องดูอย่างพิเคราะห์ในขณะที่ ย้อนรำลึกถึงสิ่งที่ลัวโมสพูดเอาไว้ “ ดาบที่เจ้าถืออยู่เล่มนั้นคือดาบแห่งอนาคต มิรัยเคน (MiraiKen)สินะแต่ดูเหมือนมันจะ หลับใหลอยู่มากกว่า ” คำพูดของวายเวินร์ขนสีเขียวมรกตที่ดังก้องขึ้นในหัวของเขาก่อนที่จะย้อนลำรึกไปถึงเมื่อ ตอนที่เขาอายุครบ 5 ปี ครึ่งสมิง มาฮา ได้นำเอาดาบคมสีดำด้ามสีขาว ที่กรรเชียงดาบยื่นออกมา มีรูปร่างเหมือนปีกซึ่งทำจากทองคำ มาให้เขา “ นี่คือ มิรัยเคน ดาบวิเศษที่ตระกูลรูลเวลส์ของเราปกป้องสืบมา บัดนี้ดาบได้เลือกนายน้อยเป็นเจ้าของแล้ว ” มาฮากล่าวพร้อมกับมอบดาบเล่มนั้นให้แก่เขา ทันทีที่เขารับดาบนั้นมามันก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ในมโนสำนึกของเขาตอนนั้น ภาพของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กว่าตัวเขาหลายเท่าได้ ปรากฏแก่สายตา รูปร่างของมันทำให้เขาหวั่นเกรงต่อพลังอันยิ่งใหญ่ที่เขาถือครองอยู่ หลังจากที่ได้รับมอยดาบนั้นมา เขาไม่เคยคิดที่จะใช้พลังของมันด้วยความหวาดกลัวในพลังของมัน ในวันที่เขากับครอบครัวต้องหลบลี้หนีออกมา แม้เขาจะพกดาบนี้ไปด้วยแต่เขากลับไม่กล้าที่จะนำมันออกมาใช้ เพื่อปกป้อง ทุกคน ความรู้สึกผิดต่อตัวเองในครั้งนั้น หลังจากที่เขาได้มาอยู่กับเทียแมต ดาบก็ได้เปลี่ยนรูปไปจากเดิมกลายเป็นเพียง ไข่มุกสีแดงสดเม็ดใหญ่ธรรมดาเท่านั้น หลังจากที่เวลาผ่านไปเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากเทียแมตมากมาย จนในที่สุดไข่มุกก็ได้กลับคืนเป็นดาบอีกครั้ง แต่ทว่ามันก็ยังไม่สมบูรณ์ดี เนื่องจากหลับใหลมานาน ทำให้พลังในดาบสลายสิ้นไปจนเกือบหมด มันจึงเป็นได้เพียงแค่ดาบโลหะธรรมดาๆซึ่งสลักตรารูปมังกรไขว้เอาไว้ที่ แก่นดาบเท่านั้น “ ข้าจะบอกวิธีที่จะคืนพลังให้แก่ดาบของเจ้าทว่ามันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเจ้าด้วยว่าจะสามารถรับมันได้มั้ย ” เสียงของลัวโมสที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดช่วยดึงให้เขากลับมาสู่ความจริง บัดนี้เขาต้อง ตัดสินใจแล้วว่า จะยอมให้ความกลัวนั้นเอาชนะเขาหรือเขาจะเอาชนะและควบคุมมัน “ ดูเหมือนพวกครึ่งสมิงนี่จะชอบสะสมอาวุธวิเศษกันซะเหลือเกินนะ ” กาเร็ทกล่าวก่อนจะตวัดดาบในมือขึ้นมาชี้ไปข้างหน้า “ มาลองกันซักตั้ง….ตื่นขึ้นมาได้แล้วเจ้าดาบขี้เซา ” กาเร็ทกล่าวเสียงห้วนเพื่อปลุกให้ดาบตื่นขึ้น ตัวดาบเริ่มเปล่งประกายแสงออกมา ทันใดนั้นร่างของเทียแมตและวอลวาทอสก็เปล่งแสงขึ้น ก่อนที่แสงทั้งสองนั้น จะเข้าไปหาดาบที่กาเร็ทยื่นออกไป วอลวาทอสแยกร่างกลับเป็นดีวายดราก้อนและไลท์ตามเดิม พวกเขาได้แต่จับจ้อง ดูเหตุการณ์ณ์ตรงหน้าด้วยความลุ้นระทึก ตัวดาบค่อยเปลี่ยนสีไป คมดาบกลายเป็น สีดำ ด้ามดาบทองเหลืองเปลี่ยนเป็นสีขาว แก่นดาบที่สลักมังกรไขว้เปล่งแสงออกพร้อมกับ กรรเชียงปีกทองคำยื่นออกมาจากแก่นทั้งสองด้าน ดาบได้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว “ การจะปลุกให้มันตื่นขึ้นอีกคราจำเป็นต้องใช้พลังของมังกรดำและขาวเพื่อกระตุ้นมัน..ใจของเจ้า ต่อต้านมังกรอยู่ลึกๆเพราะ การที่เจ้าต้องสูญเสียครอบครัวเพราะมังกรมนได้ทำให้เจ้าปิดผนึกดาบไว้ หากจะปลุกมันเจ้าก็ต้องยอมรับ ที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น ” คำพูดของลัวโมส ดังก้องขึ้นในหัวเขา มโนภาพของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่เขาเคยเห็นมันตอนที่สัมผัสดาบเป็นครั้งแรกได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันคำรามดังกึกก้องปานฟ้าร้อง สัมผัสพลังอันยิ่งใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่ว ทำให้ความกลัวเมื่อครั้งวัยเยาว์หวนกลับมาอีก ทว่าเขาก็กัดฟัน ทนกับสิ่งนั้นให้ได้ “ ข้าจะไม่กลัวเจ้าอีกแล้ว เจ้าคือพลังของข้า ข้าคุมเจ้า ” กาเร็ทคิดขณะที่มือของเขาสั่นจากแรงสะเทือนที่ปล่อยออกมาจากดาบ “ จงตื่นขึ้นมา มิรัยเคน ” สิ้นคำดาบก็ ปลดปล่อยคลื่นพลังอันทรงอานุภาพออกมา เกราะพลังงานที่ขังพวกเขาเอาไว้ ได้แตกสลายออก คลื่นพลังอันรุนแรงพัดเอาควันออกไปจนสิ้น แม้แต่พวกทัพมังกรที่อยู่รอบนอกยังต้อง ฝืนบินต้านแรงปะทะเอาไว้แทบไม่อยู่ เศษหินของผนังหอคอยที่หลงเหลืออยู่ถูกเป่ากระเด็นออกมาจนหมด พวกเจนัสและลูกมังกรต้องหาร่องพื้นก็กันจ้าระหวั่น ทว่าอิเดียยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในขณะที่หรี่ตาแคบลงเพื่อลดแรงปะทะจากคลื่นลมที่พวยพุ่งออกมาตอนนี้ ทันทีที่ลมจางลงฝุนควันที่ตลบอบอวลไปรอบๆก็ได้สลายตัวไป ดาบในมือของกาเร็ทหายไปแล้ว ทว่ากลับมีมังกรขนาดยักษ์ซึ่งมีขนาดถึงครึ่งหนึ่งของแกรนเดครอส ปรากฏอยู่เหนือพวกหัวของกาเร็ท มันมีพังผืดปีกที่โปร่งแสงและกระพืออย่างรวดเร็วส่งเสียงกระหึ่มออกมาราวกับผึ้ง “ นี่คือร่างที่แท้จริงของมิรัยเคน สุดยอดมังกร นิลทูเรี่ยน (Nilturien, the Giga Dragon) ” กาเร็ทกล่าวก่อนที่ นิลทูเรี่ยนจะคำรามเสียงของมันดังกึกก้องราวฟ้าคำราม คลื่นพลังที่แผ่ออกมานั้น สร้างตกตะลึงแก่มุรามาซะโซลยิ่งนัก (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/43.jpg) “ น…นี่มันอะไรกันเนี่ย ” นักประดิษฐ์ที่หมอบอยู่กับพื้นกล่าวด้วยความกลัวขณะที่คลานไปหลบด้านหลัง เสาบัลลังค์ที่พังไปแล้วตัวสั่นราวกับลูกนก “ พึ่งจะมาใช้เอาปานนี้รึกาเร็ทพลังที่เจ้าเคยปฏิเสธมันมาตลอด แล้วตอนนี้เจ้ายอมรับมันมาไว้เพื่ออะไรล่ะ ” อิเดีย เปรยเสียงเรียบขณะที่จ้องมองดูลูกชายคนโตของตน ด้วยสายตาเย็นชา กาเร็ทไม่ตอบแต่หันคนดาบไปที่เขา อิเดียที่เห็นการกระทำเช่นนั้น ก็หัวเราะในลำคอเบาก่อนจะกล่าวต่อ “ ข้าคิดแล้วว่าซักวันเจ้าจะต้องหันคมดาบมาหาพ่อ… ” อิเดียกล่าวไม่ทันขาดคำกาเร็ทก็ตะหวาดแทรกเข้ามา “ หุบปากเจ้าไม่ใช่ท่านพ่อที่ข้ารู้เคยจัก ท่านพ่อที่ข้ารู้จักได้เสียชีพลงในหน้าที่อย่างทรงเกรียติแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าข้าเป็นเพียงบาปแห่งความกลัวที่ใช้ร่างของท่านพ่อเป็นที่สิงสู่เท่านั้น ” กาเร็ทกล่าวเสียงกร้าว ทว่ามุรามาซะก็เข้ามาขวางระหว่างทั้งสองเอาไว้ “ งั้นหรือเจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ไม่แปลกแต่ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าข้ายังมีสติอยู่สมประกอบ ตอนนี้ข้าก็ยังคงเป็นอิเดียพ่อของเจ้าอยู่ดี เพียงแต่ข้าได้รับพลังจากเจตนารมณ์แห่งบาปทั้งปวง มาเท่านั้น ดังนั้นในตอนนี้ร่างของข้าก็ยังคงเป็นของข้าอยู่ ” อิเดียกล่าวหวังจะให้เขายอมจำนน ทว่าสายตาของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ยังคงมุงทั่นที่จะ โค่นเขาลง “ เจ้าคงไม่เห็นข้าเป็นพ่อแล้วสินะ..งั้นก็เอาสิถ้าเจ้าจะห้ำหั่นกับน้องชายของเจ้าด้วยก็เชิญ ” คำพูดของอิเดีย ทำให้ความทรงจำของกาเร็ทแวบขึ้นมา ถึงคำพูดของมารดาที่ กล่าวไว้ในวันที่น้องชายของเขาเกิด “ กาเร็ทแม่ขอร้องล่ะลูกช่วยปกป้องน้องแทนแม่ด้วยหาก วันใดที่แม่ไม่อาจอยู่ปกป้องเจ้าทั้งสองได้ ” เสียงนั้นดังขึ้นมาในใจของเขา “ ขอโทษด้วยครับท่านแม่ผมไม่อาจปกป้องใครเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้องก็ตาม แต่ตอนนี้ผมจะรักษาคำพูดให้ได้ ผมจะทำให้น้องฟื้นสติกลับมาให้ได้ ” กาเร็ทคิดก่อนจะกระชับดาบในมือแน่น โกรอทพาลม่าได้เข้ามาสมทบเป็นกำลังเสริมให้แก่นิวเทอเรี่ยนด้วยอีกแรง “ ชั้นจะช่วยนายเอง ” กาเทียกล่าวขณะที่ตบไหล่เขาเบาๆก่อนที่ทั้งคู่จะสั้งให้มังกรของตนเข้าปะทะกับมุรามาซะโซล “ White Thunder ”(สายฟ้าขาว) “ Shinning Shadow ” (เปล่งประกายเงามืด) สิ้นคำสายฟ้าสีขาวก็ถูกพุ่งออกมาจากร่างของโกรอทพาลม่าและตรึง ร่างของมุรามาซะเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีได้ ขณะเดียวกัน นิลทูเรี่ยน ก็วาดกรงเล็บในมือทั้งสอง ขึ้นมาไว้รดับสายตา ก่อนที่จะเกิดแสงสีดำหนุมวนในอุ้งเล็บนั้นซักพักก็มีประกายแสง เปล่งประกายระยิบระยับราวกับดวงดาว ในความมืดนั้น ทันทีที่กาเร็ทตวัดดาบออกไป นิลทูเรี่ยนก็ขว้าง มวลพลังงานนั้นใส่มุรามาซะโซล ทันทีที่มันกระทบเข้ากับร่างของมุรามาซะโซล มันก็ได้ระเบิดออกสร้างความเสียหายให้แก่มุรามาซะโซล เป็นอันมากร่างโลหะมีรอยไหม้ และถูกหลอมจนเหลวเหยิ้ม ออกมา ใบหน้ายุบบุจากแรงปะทะปีกทั้งสองข้างหักสลาย ยืนประคองตัวเอาไว้ ด้วยทวนที่ถืออยู่ ทว่ามุรามาซะโซล กลับหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์ “ หึ หึ หึ .. อย่างนี้สิค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อยเดี๋ยวข้าจะให้พวกแกได้ดูพลังสุดยอดของข้า ” มุรามาซะโซลกล่าว จบก็ยันตัวขึ้นควงทวนขึ้นมาตั้งประคองด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะแยกลูบมันจากกลางทวนไปจนสุดปลายในขณะที่ มือของเขาลูบผ่านไปนั้น ตัวทวนก็จะเปล่งแสงสีดำไล่ไปเรื่อยจนครบทั้งด้ามในที่สุด “ มุรามาซะเอ๋ยจงแยกเขี้ยวออกมา….ยาฉะและซานเกะ(Yasha & Sange) ” สิ้นคำเขาก็ดึงทวนให้แยกออกจากกันมันเปลี่ยนรูปเป็นดาบยาวสองเล่มในทันที ก่อนที่แสงจะจางลง เขาตวัดมันไขว้กันไว้ที่อก เล่มหนึ่งด้ามด้ามพันด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงคมดาบสีเงิน อีกเล่มด้ามดาบเป็นโลหะ เงิน คมดาบบางเสียจนแทบมองไม่เห็น สะท้อนประกายแสงระยิบระยับ อยู่ตลอดคม “ ยาฉะคือกลีบบุปผา ซานเกะคือประกายแสงจงรับไปซะ Petal Spark Dance (ระบำประกายบุปผา) ” สิ้นคำมุรามาซะโซลก็ตวัดดาบทั้งสอง อย่างรวดเร็ว ประกายที่สะท้อนอกจากซานเกะ วูบไหวไปมาจนทำให้มองเห็นร่างของมุรามาซะโซลได้ลำบาก ขณะที่มุรามาซะโซล อ้อมไปข้างหลังมังกรซึ่งมาจากดาบทั้งสอง และตวัด ยาฉะฟันใส่ทั้งสองตัว ทันทีที่ดาบกระทบกับ ร่างของมังกรทั้งสอง ก็จะเกิดประกายแสงขึ้นพร้อมกับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเงินปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ แม้ว่ามังกรทั้งสองจะได้รับบาดเจ็บจากการฟัน แต่ก็ไม่ได้สาหัสอะไรนัก ทว่าทันทีที่มุรามาซะโซลถอยออกห่างและตวัดดาบทั้งสองลงมา กลีบดอกที่ลอยเคว้งอยูนั้น ก็พุ่งเข้าสู่ร่างของมังกรทั้งสอง พร้อมกับทุกครั้งที่กลีบดอกเฉือนโดนร่างก็จะเกิดประกายแสง แวบวาบขึ้นมาจนแสบตา และมองไม่เห็นไปชั่วครู่ ทันทีที่กลีบทั้งหมดร่วงโรยลงสู่พื้น มังกรทั้งสองก็สลายตัวกลับเป็นพลังงาน และย้อนกลับไปหาดาบของตน “ อาวุธเทพโกรอทพาลม่ากับสุดยอดมังกรนิลเทอเรี่ยนแพ้แล้ว…เป็นไปได้อย่างไรกัน ” มังกรขาวตัวหนึ่งในทัพมังกรอุทานทันทีที่เห็นภาพการร่ายรำสังหารของมุรามาซะโซล มังกรตัวอื่นเริ่มเสียขวัญทันทีต่างบินหนีกันจ้าระหวั่น ทว่าทุกตัวก็ถูกกลีบดอกไม้ที่ปลิวมาอยู่รอบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเฉือนจนบาดเจ็บร่วงหล่นไปตัวแล้วตัวเล่า โชคยังดีที่แกรนเดครอสไม่ได้รับบาดเจ็บจึงใช้ร่างกายอันใหญ่โตของตนรับร่างของมังกรที่ร่วงหล่นลงมา ส่วนตัวอื่นๆที่รับไม่ทัน พวกมังกรที่คอยสนับสนุนอยู่ข้างล่าง ก็ขึ้นมาช่วยรับไว้ “ น่าเบื่อ…นึกว่าจะได้สนุกกว่านี้ซะอีก…อัก ” มุรามาซะโซลกล่าวได้ไม่ทันจบประโยคเขาก็ถูกซัดจนหน้าหัน ครั้นเมื่อหันกลับมาก็พบว่า เจนัสนั่นเองที่เป็นคนซัดเขา ไม่รอช้าเขารีบตวัดดาบใส่ร่างของ เจนัสทันที ทว่าเจนัสก็หลบเบี่ยงออกมาด้านข้าง ก่อนจะล็อคคอเขาลงมาและกระแทกเข่าใส่เข้าไปอย่างจังจนร่างโลหะ ของเขายุบลง แต่ที่ตามมา ก้คือกร็อบราวกับกระดูกร้าวแตกดังขึ้น ทันทีที่เขาถอยห่างออกจากเจนัส ดวงตาก็ลงมาจับจ้องที่ หัวเข่าของเจนัส มันแตกออกอาบเลือดสด ขาข้างนั้นของเขาทรุดลงเล็กน้อย ข้อนิ้วมือที่ซัดหน้าของเขาก็แตกเช่นกัน แต่เจนัสก็ไม่มีทีท่าแสดงความเจ็บปวดออกมาให้เห็น มีเพียงสายตาที่คมกร้าวจ้องมาที่เขาเท่านั้น “ เชอะฝืนสู้จนต้องเจ็บเองงั้นรึโง่สิ้นดี ” มุรามาซะกล่าวก่อนจะเอามือขึ้นปาดคราบเลือดที่ริมฝีปากซึ่งกระอักออกมาเล็กน้อยตอนที่ถูกซัด “ เจ็บงั้นหรือ จริงอยู่มันอาจจะเจ็บแต่ตอนนี้ที่ที่เจ็บยิ่งกว่าไม่ใช่ร่างกายแต่จิตใจของชั้นจิตใตของพวกเรา ที่ต้องมาสู้รบกับนายมันเจ็บยิ่งกว่าซะอีก ” เจนัสกล่าวเสียงร้าวจนเขาต้องผงะไป เจนัสได้ก้าวเข้าไปใกล้เขาด้วยสัญชาติญาณ เขาจึงตวัดดาบออกไป เพื่อหวังให้เจนัสหยุดทว่า เจนัสก็ยังคงลากขา เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาอย่างไม่ลดละไม่ว่าจะฟันออกไปกี่สิบครั้งก็ตาม เขาก็ไม่อาจที่จะฟันให้ลึกลงไปในร่างของเจนัสได้เลย ยิ่งฝืนจะควบคุมก็กลับ เหมือนถูกแรงบางอย่างในตัวของเขาต่อต้านมากยิ่งขึ้น จนเมื่อเจนัสเข้ามาประชิดเขาจึงหยุด “ กลัวที่จะสูญเสียเพื่อนสูญเสียคนสำคัญไปอย่างนั้นหรือ..ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ลุกขึ้นสู้ล่ะ กลัวไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาจะปล่อยให้ความกลัวเอาชนะไปตลอดรึไง ถึงนายไม่อยากเสียพวกเราไปแต่ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันจะมีความหมายอะไรเล่า ได้สติซะทีลอว์เรนซ์ ” เจนัสกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น ในที่สุดดาบในมือของมุรามาซะก็หลุดออกจากมือทั้งสอง ก่อนที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา มันกุมหัวด้วยมือทั้งสองและดิ้นพล่านไปมา Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 27 ลูกโซ่แห่งวิวัฒนาการ Post by: greamon on July 27, 2008, 08:12:01 PM “ ป…เป็นไปไม่ได้นี่แกพยายามฝืนอยู่งั้นรึทั้งที่แกน่าจะหายไปแล้วนี่..ไม่..กลับไปซะข้าจะอยู่
ความหิวกระหายของข้ายังไม่หมดสิ้นกลับไป..กลับ..อ็่าคคคค ” มุรามาซะโซลกรีดร้องอย่างโหยหวนก่อนที่จะกลับร่างเป็นลอว์เรนซ์ ดราก้อนฮอลลี่ เรืองแสงขึ้นก่อนที่แสงจากมันจะพุ่งทะลุเกราะซึ่งคุ้มกันแท่นพลังงานเข้าไปรวมกับฟอจูนทรี แท่นพลังงานส่องแสงเปล่งประกายเจิดจ้า ก่อนที่ลำแสงจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้าและ ดิ่งลงสู่เบื้องล่างไปยัง เขตป่าของฟูดินัน ที่ประตูมิติมังกรซึ่ง ถูกปิดเอากั้นไว้ด้วย กำแพงพลังงานสีดำขุ่น แสงเเจาะทำลายกำแพงนั้นจนแตกสลายและประตูมิติขยายกว้างออก เงาดำและเสียงกรีดร้องแหลมไอความชั่วร้ายได้ถูกปลดปล่อยออกจากมิติที่ จองจำพวกมันเอาไว้ เงาดำทั้งหมดพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนหมดสิ้นประตูจึงปิดลงและคืนสภาพกลับเป็น มิติมังกรดังเดิมอีกครั้ง เงาทั้งหมดคือเหล่ามังกรที่เคยรับใช้บาปทั้งปวง และที่หัวขบวน เงาดำสิบร่างได้พุ่งขึนมาหาพวกเขาที่ปราการลอยฟ้า ร่างปีศาจทั้งสิบตนได้ปรากกแก่สายตาของพวกเขา พวกมันคือบาปทั้งสิบประการ ที่คอยล่อลวงมนุษย์ มาตั้งแต่อดีต บัดนี้พวกมันถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว “ ยินดีต้อนรับกลับหุ้นส่วนทั้งหลาย ” อิเดียกล่าว ขณะที่พวกบาปทั้งสิบกำลังสอดส่ายสายตามองไปรอบ ดราก้อนฮอลลี่ได้หยุดเปล่งแสงแล้ว ลอว์เรนซ์ในคราบมุรามาซะโซล ล้มลงอย่างอ่อนแรงก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองอิเดียด้วยความอาฆาต “ นี่แกหลอกใช้ข้างั้นรึ..อึก ” มุรามาซะโซลกล่าวเสียงสั่นด้วยความอ่อนแรง “ การจะเปิดประตูมิติจำเป็นต้องอาศัยพลังของศิลามังกรของเจ้ากับ ฟอจูนทรีเพื่อที่จะคืนตัวตน ให้แก่เหล่าบาปทั้งปวง เจ้าทำได้ดีมากที่ถ่วงเวลาเอาไว้จนถึงตอนนี้ได้..หึ หึ หึ ” อิเดียหัวเราะในลำคออย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้มุรามาซะโซลต้องกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคืองก่อนจะฟุบสลบไป ภาพรอบข้างมืดลงสนิทก่อนที่จะสว่างวาบด้วยแสงซึ่งไม่รู้ที่มา ทั่วบิรเวณเป็นสีขาวโพลน ลอว์เรนซ์ซึ่งเป็นร่างต้นได้เดินไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจะหาคำตอบว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อเขาเดินมาได้ซักพัก ก็พบชายชราสวมชุดคลุมสีขาวคนหนึ่งที่ข้างๆเขา เด็กชายซึ่งมีปีกนกสีดำยื่นออกมานั่งโค้งตัวดดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา Lr เดินเข้าไปหาเด็กชายเพื่อที่จะดูว่าเขาเป็นอะไร ทว่าเขากลับต้องแปลกใจเสียเอง เมื่อเด็กคนนั้นก็คือเขานั้นเอง ตัวขาอีกคนเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดะไร Lr จึงตัดสินใจที่จะถามชายแก่ “ท่านเป็นใครกันแล้วทำมตัวผมถึงได้…. ” Lr กล่าวก่อนจะนิ่งไปเพราะไม่อาจจะอธิบายได้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรให้ชายแก่ทราบกันแน่ “ เราคือจิตวิญญาณแห่งศิลามังกรนี้ นามข้าคือลอว์เรนซ์ อัศวินทาลิวิลย่าเมื่อร้อยปีก่อน ” ชายแก่ตอบ แต่เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ชายแก่พูด “ ท่านว่าท่านคือจิตวิญญาณของดราก้อนฮอลลี่นี้เหรอ แล้วทำไมท่านถึงชื่อเหมือนผมด้วย ” Lr ถามด้วยความอยากรู้ชายแก่ยิ้นอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะก้มตัวลงคุยกับเขา อย่างสนิทสนม “ ลอว์เรนซ์เธอกคือเธอไม่ใช่ใครอื่นว่าแต่ทำไมเธอหวังอะไรจากพังของศิลารึ ” ชายแก่กล่าว ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจกับคำพูดของชายแก่แต่เขา ก็ยอมที่จะตอบคำถาม ของชายแก่ “ ผมอยากจะปกป้องเพื่อนและคนสำคัญของผม ” Lr กล่าว “ แต่เธอกลัวที่จะสูณเสียพวกเขาไปใช่มั้ยเธอถึงต้องการที่จะดึงเอาพลังออกมา ” ชายแก่ถามซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบถูกของชายแก่เขาหวาดกลัวมาตลอดว่า ซักวันเขาจะต้องสูญเสียทุกคนไปนันเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องการพลังมาจนบัดนี้ “ ศิลามังกรจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกของเจ้าเป็นพลังซึ่งที่แสดงอยู่ตอนนี้คือความกลัว หากเจ้าไม่อาจเอาชนะความกลัวได้เจ้าก็ไม่อาจเป็นตัวของเจ้า ” ชายแก่กล่าวก่อนจะผายมือไปยังเบื้องหน้า ก็เกิดภาพขึ้นในอากาศ มันเป็นภาพที่เพื่อนๆของเขากำลังต่อสู้กับเหล่ามังกรแห่งบาปและบาปทั้งสิบตนซึ่งถูกปลดปล่อยออกมา โดยทีเพื่อนๆของเขาพยายามปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถแม้จะบาดเจ็บจนแทบล้มก็ตาม ลูกมังกรทั้งหก เข้าต่อกรกับมังกรแห่งบาปอย่างอาจหาญ แม้แต่อควาที่ขี้กลัวเป็นที่สุดก็ยังเข้าปะทะแบบลืมตาย “ เพื่อนๆของเจ้ากำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะช่วยเจ้าด้วยความกล้าหาญแต่เจ้ากลับปกป้องพวกเขาดวยความกลัว ทีนี้คงจะเข้าใจแล้วสินะว่าทำไมเจ้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ” ชายแก่กล่าวซึ่ง Lr ก็พยักหน้ารับเช่นเคยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เขาเอาแต่กลัวที่จะสูญเสียและยึดติดกับมัน จนเกินไปและในที่สุดเขาก็แสดงพลังของดราก้อนฮอลลี่ออกไปด้วยความกลัว จนเกือบจะต้องฆ่าเพื่อนของเขาเสียเอง แววตาของเขาเปลี่ยนไปดูแฝงไว้ด้วยความหวังที่จะช่วยเพื่อนของตนชายแก่เห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู “ เจ้าพร้อมจะกลับไปหาพวกเขาแล้วใช่มั้ย ” ชายแก่กล่าวจบก็เปิดทางให้แก่เขา “ เมื่อเจ้าเตรียมใจพร้อมที่รับชะตากรรมเจ้าจงกลับมาที่นี่อีกครั้งข้าจะมอบดาบให้แก่เจ้า ” ชายแก่กล่าวจบภาพทั้งหมดก็มืดลงอีกครั้ง จนเมื่อเขาพยายามที่จะเปิดตาออกอย่างยากลำบาก ภาพต่างๆเริ่มทีจะชัดเจนขึ้น เขากลับมาแล้ว “ ทุกคน… ” Lr กล่าวเสียงอ่อนด้วยความอิดโรย เสียงของเขาสร้างความยินดีให้แก่ทุกคนไม่น้อย ทว่าหากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คงเป็นเวลาที่น่าประทับใจไม่น้อย “ คืนสติกลับมาแล้วสินะ..ที่นี้เจ้าจะเอายังไงลูกข้า ” อิเดียกล่าวเสียงเรียบ Lr ยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับตอบออกไปน้ำเสียงหนักแน่น “ ลูกเติบโตด้วยการดูแลของพ่อแม่..เราเป็นลูกของเจ้าแต่เจ้าไม่ได้เลี้ยงดูเรา ครอบครัวของเราคือนั่น.. ” เขากล่าวจบก็ผายมือไปยังพวกเพื่อนๆและครอบครัวของเขา อิเดียหรี่ตาแคบลงก่อน จะสยายโครงปีกกระดูกออกมา “ งั้นรึ..เอาเถอะข้าแค่ต้องการหลอกใช้พลังของเจ้าเพื่อเปิดประตูเท่านั้นแต่ข้าก็จะไม่ให้เจ้าขวางทางข้าเช่นกันจงตายซะ ” สิ้นคำของอิเดียโครงปีกทั้งหกเส้นก็พุ่งเข้าหาเขา ทว่าพวกลูกมังกร เจนัส ลากูน่า นีน่า ริคุ กาเร็ท กาเทีย และเทียแมตก็เข้าไปสกัดโครงทั้งหมดไว้ แต่ทว่าด้วยพลังของอิเดียพวกเขาก็ถูกปัดกระเด็ยออกทั้งหมด ก่อนที่จะตวัดโครงทั้งหกเส้นอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้พวกลูกมังกรทั้งหก ก็ได้เอาตัวเข้าแลก จนถูกโครงปีกเสียบทะลุร่าง “ พวกเรา… ” Lr ร้องเสียงหลงทันทีที่เห็นเพื่อนๆของตนถูกทำร้าย อิเดียกระชากโครงปีกออก ก่อนจะหันไปหาเขา “ ทีนี้ก็ไม่มีใครขวางแล้วตายซะ ” อิเดียกล่าวในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่โครงปีกทั้งหมดจะพุ่งเสียบทะลุร่างของ Lr คำวิงวอนในใจของลูกมังกรทั้งหกที่ประสายเป็นเสียงเดียวกันก็ได้ส่งไปถึงดราก้อนฮอลลี่ “ ที่พวกเราต้องการก็คือช่วยลอว์เรนซ์…ช่วยเพื่อนของเรา ” ความคิดที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นทำให้ดราก้อนฮอลลี่ เริ่มทำงาน แสงอันเจิดจรัส ส่องสว่างไปยังร่างของลูกมังกรทั้งหกก่อนจะรวมกันเป็นร่างเดียวซึ่งมีขนาดกายใหญ่โต ได้พุ่งเข้ามาขวางโครงปีกทั้งหกไว้และหักมันทิ้ง ร่างนั้นยังคงเปล่งแสงอยู่ก่อนจะจางลง มังกรซึ่งมีสภาพร่างกายแตกต่างกันถึงหกแบบ พลังหกธาตุพุ่งพล่างลุกโชนทั้งร่าง “ มิตรภาพ ความหวัง ความสัตย์ คุณธรรม ปัญญา และความเมตตา เมื่อใดที่พลังทั้งหกมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน นามของข้าคือมังกรหกธาตุทลายมาร Amankrist ” สิ้นคำของเจ้ามังกรยักษ์ก็สูดลมหายใจเข้าปากไป (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p004/73.jpg) “ Albino Breath ” (ลมหายใจพิสุทธิ์) สิ้นเสียงเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ ก็ถูกพ่นออกมาเผาผลาญ ทำลายเหล่ามังกรบาปที่เขาโจมตีพวกเขาจน สิ้น เปลวเพลงรุนแรนจนทะลุลงไปยังชั้นล่างของปราการและระเบิดออกที่วงแหวนลอยตัวจนพังทลาย ตัวปราการซึ่งสูญเสียวงแหวนลอยตัวจึงเริ่มที่จะพังทลาย กำแพงน้ำแข็งที่ครอบคลุมทั่วทั้งทวีปได้หายไป จนสิ้น “ ครั้งนี้ข้าจะยอมถอยก่อน.. ” อิเดียกล่าวก่อนที่จะเปิดประตูมิติแล้วหนีหายไปกับนักประดิษฐ์และเหล่าบาปทั้งปวงกับทัพมังกรแห่งบาป พวก Lr เองก็ไม่รอช้าพวกเจนัสพา กรีแวรืที่บาดเจ็บขึ้นหลังเทียแมตไป ส่วนกาเร็ทและกาเทีย ก็ขึ้นขี่ไดน่าเบลด หนีออกมา Lr ถูก อะแมนคริส อุ้มลง ซากปราการที่โค่นลงไปยังเบื้องล่าง ค่อยๆร่วงหล่นลงไป “ เราต้องทำลายซากพวกนั้นก่อนที่มันะทำให้ผู้คนข้างล่างล้มตาย ” Lr กล่าวจบ อะแมนคริสก็พ่นเปลวเพลิงสีขาวออกไปอีกครั้ง เปลวเพลิงเผาผลาญซากพวกนั้นอย่างรวดเร็วจนสลายไปในที่สุด จากการบุกโจมตีในครั้งนี้พวกเขาสามารถล้มล้าง ฐานอำนาจของโฮลี่ไนทแมร์ได้สำเร็จ เหล่าผู้นำาในแต่ละอาณาจักรที่ถูกควบคุมก็ได้คืนสติกลับดั่งเดิมแล้ว จากการที่ เครื่องขยายพลังควบคุมบนปราการถูกทำลายลงไป ทว่าศึกที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าบาปทั้งสิบและทัพมังกรครั้งสงคราม ทูตสววรค์ที่ถูกปลดปล่อยออกมา พวกเขาจะทำเช่นไร….. โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า การประชุมหาแนวทางรับมือกับการรุกรานของอิเดียได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เหล่าอาณาจักรใหญ่ทั้งสี่อาณาจักร ได้ตัดสินใจร่วมกัยต่อสู้กับ พลังอำนาจของ อิเดีย ขณะเดียวกัน เรโค่ที่ยังคงภาวนาให้เซโร่หลุดจากผนึกก็ได้ย้อนรำลึกถึงตอนที่พบกันครั้งแรก ด้านเดียวกันนั้นเอง Lr ที่กลับมาก็ยังคงมีอาการหวาดกลัวว่าตนจะเผลอปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ส่งผลต่อพวกเขาด้วย “ แปลงร่างไม่ได้..นี่เราสูญเสียพลังไปแล้วหรือ ” พลังที่สูญเสียไป “ อาจจะเป็นเพราะนายยังมีความรู้สึกต่อต้านกับมันอยู่ก็ได้ทำให้นายใช้มันไม่ได้ ” เพราะไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตนจึงต้องระทมกับความทุกข์นั้น “ ถ้าชั้นอยู่ไปก็คงจะป็นตัวถ่วงพวกนาย ” “ แล้วที่พวกเราพยายามกันมานี่ล่ะเพื่ออะไรนายจะบอกว่าที่พวกเราเสี่ยงเข้าไปช่วยนายมันไร้ค่ารึไง ” ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน “ จะกลัวก็ไม่แปลกหรอกเพราะชั้นก็เหมือนกันกลัวว่าอีกตัวตนจะอกมาเมื่อไหร่… ” ความรู้สึกเดียวกัน “ ผมอยากช่วยทุกๆคนช่วยมอบพลังให้ผมด้วย ” “ งั้นก็จงรับมาคายาเดียเล่มนี้ไป… ” พลังที่ตื่นขึ้น “ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดฟันไปสู่อนาคตจงจำนามเราไว้….. ” ติดตามได้ใน บทที่ 29 ดาบแห่งความกล้า Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือ Amakrist Post by: boy on July 27, 2008, 09:07:52 PM พระเอกก็คือพระเอก (แล้วจะให้เป็นนางเอกรึไง ::010::) ยังไงก็คืนสู่สภาพเดิมแล้ว อีกอย่างอีกไม่นานก็จะครบ 30 ตอนแล้ว เตรียมฉลองดีกว่า ::020::
ปล.ถ้าจำไม่ผิด ภาพการ์ดเสริมวันนี้จะเป็นพระเอกของ tsubasa chronicle นะ ::011:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือ Amak Post by: cocka-c on July 27, 2008, 10:49:12 PM โอ้จะครบ 30 ตอนแล้วจริงๆด้วย แต่ว่าใกล้ครบรอบตอนนั้นอีกความนัยก็คือคืบใกล้ตอนอวสานไปทุกที
ซึ่งจากการคำนวณดูแล้วน่าจะจบในอีก 4-5 บท ก็คง จบบริบรูณ์แล้วฮ่ะ ว่าแต่ช่วงนี้เจ้าเกรม่อนมันใช้งานฉันหนักจริงสงสัยใกล้จบแล้วมั้ง เห็นว่ามีโปรเจคภาคพิเศษหลังอวสานด้วย และไม่แน่อาจมีภาคสองแต่ เปลี่ยนชื่อเรื่องกับพล็อตเรื่องเป็น Crisis of Valkyrie โดยโปรเจคนี้ถ้าทำเดี้ยน จะเป็นตัวตั้งตัวตีเองจ้า โดยจะเป็นภาคขยายความ ถึงประวัตืของตัวละครอื่นๆอย่างเรโค่ เซโร แล้วก็การใช้ชีวิตหลังจากจบศึกไปแล้วของพวก Lr จัง ปล.เห็นว่าคำบอกใบ้ที่ดูจากน้ำตกในถ้ำปราชญ์มังกร เห็นว่ามีเด็กสี่คนนอนสลบอยู่ท่ามกลางกองเพลิงแล้วก็ดราก้อนฮอลลี่แตกกระจาย มีความนัยว่าโปรเจคนี้อาจจะไม่ได้ทำเพราะพวกพระเอกตายหมด โอ้ม่ายยยเจนัสของฉ้านน ไม่ยอมนะถ้าตายอ่ะ ยังไงก็คงต้องติดตามกันต่อไป ว่าแต่ตอบถูกอีกแล้วกาเร็ทที่โพสวันนีเป็นตัวเอกจากเรื่องที่ว่าน่ะล่ะฮ่ะ ้ Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือ Amak Post by: greamon on August 03, 2008, 05:36:33 AM อาทิตนี้งดนะครับเพราะเนื่องด้วยสัปดาห์ที่หยุด วันเข้าพรรษานั้นไม่ได้ไปร.ด. เพราะงั้นอาทิตย์นี้เลยต้องไปเรียนชดเชยไม่มีเวลาพิมพ์เยย งานเยอะอีก
เพราะงั้นขอ งดอาทิตย์นี้นะครับเจอกันอาทิตย์หน้า บทที่29 ดาบแห่งความกล้าจ้า Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmankrist Post by: brighttp on August 06, 2008, 01:57:59 AM คนแต่งคงหน้าตาหล่อมากเลยนะครับ ;D
Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: cocka-c on August 06, 2008, 04:26:23 AM (http://คนแต่งคงหน้าตาหล่อมากเลยนะครับ Grin)
พูดเหมือนรู้เลยใครหว่านิ เจ้าเกรม่อนคุงเนี่ยนะหล่อโฮะๆคิดไงเนี่ย แฟนมันเปล่าหว่าเหอๆ Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmankrist Post by: boy on August 06, 2008, 10:09:18 PM ...เฮ้ย!! ทำได้ไงเนี้ยะ....เจ๋งว่ะ... (http://www.supermmorpg.com) เอ่อ อะไรเจ๋งเหรอครับ ???คนแต่งคงหน้าตาหล่อมากเลยนะครับ ;D รู้ได้อย่างไรล่ะครับเนี่ย ::010::Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: greamon on August 07, 2008, 01:29:29 AM Quote ...เฮ้ย!! ทำได้ไงเนี้ยะ....เจ๋งว่ะ... เอ่อ อะไรเจ๋งเหรอครับ ??? เมาหรืออะไรป่ะครับ คลิกไปดูดันโผล่ที่ supermmorpg อะไรก็ไม่รู้สงสัยมาผิดกระทู้ไม่ก็ จะโฆษนาแฝงประมาณนี้มั้ง ถ้ายังไงช่วยขยายความที ::010:: Quote คนแต่งคงหน้าตาหล่อมากเลยนะครับ ;D รู้ได้อย่างไรล่ะครับเนี่ย มันจะไม่รู้ได้ยังไงก็มันเพื่อนร่วมชั้นผมง่ะ ง่าบอกว่าอย่ามาดูอย่ามาอ่านมันก็ยังจะมาโดนล้อจนอานเลย ::008:: เจ้าการูรูม่อนก็นะทำเป็นเนียนมันจะใครซะอีกล่ะถ้าจะให้เรียกโคดเนมของมันคนนี้ก็คือ แวนเดม่อนล่ะมั้ง....นะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: greamon on August 07, 2008, 11:59:43 PM เมาแล้วโพสมันหายไปไหนแว้ว สงสัยมาทำลายหลักฐานทิ้งมั้ง 5555+
ปล.สัปดาห์นี้อาจอัพ 2 ตอนจนถึงวันแม่รวมๆอาจจะได้4 ตอน แล้วอวสานในวันอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้ Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: greamon on August 10, 2008, 07:32:47 PM บทที่ 29 ดาบแห่งความกล้า
ณ ทุ่งราบหน้าประตูเมือง เหล่าทหารของกองกำลังต่อต้านและฟีเลเซียรวมไปถึงทัพชาวป่าบางส่วนของฟูดินัน ทั้งหมดร่วมมือกันเพื่อที่จะต่อกรกับทัพมังกรปีศาจที่บุกเข้าโจมตีมาอย่างไม่เว้นว่าง ที่ทัพหน้านั้น ลากูน่า กำลังโบกไม้โบกมือให้พวกทหารทั้งหมด ถอยออกห่างจากเจ้ามังกรพ่นพิษอันกาวี(Ungawee, the Venomous Dragon) ซึ่งมีขนาดใหญ่โตและบุกนำเข้ามา ทันทีที่มันพ่นไอพิษออกมาเหล่าทหารต่างต้องกลั้นหายใจกันเป็นพัลวัน เพราะหากสูดเข้าไปก็จะได้รับพิษในทันที แม้จะไม่รุนแรงมากแต่หากได้รับพิษสะสมไปเรื่อยก็จะถึงแก่ชีวิตได้ ทว่าไม่นานนัก ก็มีลมพัดกรรโชกเอาพิษของพวกมันกลับไป เสียเอง ทว่ามังกรทั้งหมดที่บุกมาในครั้งนี้ล้วนเป็นมังกรพิษอยู่แล้ว พวกมันจึงไม่ได้รับผลกระทบกันเอง ที่ กลางทัพนั้นมีฐานไม้ยกสูงขึ้นเพื่อให้สามารถมองสภาพ การของสนามรบได้ชัดเจน ริคุที่คอยบริกรรมคาถา เรียกลมของตนอยู่บนฐานให้ มาพัดเอา ไอพิษกลับยังคง บริกรรมคาถาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เจนัสสอดส่องสายตามองดูสถานการณ์การรบ อย่างถี่ถ้วน ก่อนที่พลทหารของกองกำลังต่อต้านคนหนึ่งจะเดินเข้ามาทำความเคารพเค้าและเริ่มรายงาน “ ตอนนี้พลธนูทั้งหมดพร้อมเรียบร้อย ส่วนทัพหน้านั้น รองแม่ทัพ ลากูน่าได้ถอยทัพกลับมาหมดแล้วครับ โปรดออกคำสั่งด้วยท่านรองแม่ทัพ ” พลทหารรายงาน จบเจนัส ก็ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าทั้งหมดก่อนจะ หันไปออกคำสั่งให้แก่พลทหาร “ ให้พลธนูทั้งหมดเตรียมยิงเล็งที่ ขาของมันทำให้มันล้มลงซะทันทีที่ให้สัญญาณ ” เจนัสออกคำสั่งจบ พลทหารก็รีบวิ่งกลับไปแจ้งให้ทัพพลธนูเริ่มทำการยิง เจนัสจึงดีดนิ้วขึ้น พลังมนตราที่ถูกดีดอัดนั้น ส่งผลให้เกิดแสงสว่างเป็นสัญญาณขึ้น พร้อมกับที่พลธนูทั้งหมดโก่งคันธนูออก พริบตาลูกศรทั้งหมดก็พุ่งออกมาเป็นสายจาก ระเบียงกำแพงเมือง ทว่าลูกศรทั้งหมดพุ่งเข้าปะทะกับเกล็ดของ อันกาวี ก็หักเปาะทั้งหมดด้วยเกล็ดอันแข็งแกร่งของมันทำให้แม้กระทั่งดาบหรือลูกศรก็ไม่อาจ ทำอันตรายมันได้ พวกมันเริ่มเดินหน้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทัพหน้าที่รับมือ จึงต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นท่ากว่าเดิม ขณะเดียวกัน จอมทัพแห่งสายลม ชาว์ล ก็ได้สั่งให้ทัพหน้าถอยลงมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากลมที่พัดไอพิษเริ่มอ่อนกำลังลง ริคุที่บริกรรมคาถาอยู่ได้หยุดการบริกรรมคาถาไปแล้วโดยมีอาการเหนื่อยหอบอยู่เป็นนิจ จากการใช้พลังเวทย์เป็นเวลาเนิ่นนาน นีน่าเข้ามาประคองริคุให้นั่งลงพักเพื่อฟื้นสภาพ บนระเบียงกำแพงเมือง กษัตริย์ซิกมันต์ กับองค์หญิงเรจิน่า ทั้งสองพระองค์ประทับเพื่อทอดพระเนตร การรบเบื้องล่าง โดยมีบิชอปเกรเกอรี่ ฮารีซันผู้นำอาณาจักรฟูดินันซึ่งมีคาร์นและเซนทอร์ทราเฮิร์นอยู่ข้าง และเหล่าคณะประกาศกซึ่งนำโดย อิสฮานกษัตริย์พระองค์ปัจจุบันของซาโลม รวมไปถึงคณะของคาดนัล มาสซิลิโอ้ ทั้งหมดกำลัง จับจ้องภาพการรบที่นำทัพโดยพวกเด็กๆ อย่างไม่ละสายตา “ การคิดการตัดสินใจในการรบนั้นถือว่าสูงล้ำเกินกว่าวัยจริงๆ โดยเฉพาะครึ่งสมิงหมาป่าสีดำตนนั้น ” คาร์นเปรยเสียงเรียบขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยูที่เจนัส ซึ่งเริ่มสั่งให้เหล่าทัพหน้าถอยเข้ามาให้ประชิดติดกำแพงเมืองยิ่งขึ้นเพื่อเปิดที่กว้าง “ ถึงจะนำทัพได้ดีแต่เด็กก็คือเด็ก ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมท่านคาดินัลถึงได้แต่งตั้งให้พวกเขา เป็นรองแม่ทัพของกองกำลังง่ายๆอย่างนี้ ” องค์หญิงเรจิน่าตรัส ทรงว้าหวุ่น พระทัยเป็นยิ่งนักที่ต้องให้เด็กๆเหล่านั้นมานำทัพการรบ ซึ่งทุกคนในที่นั้นเว้น แต่ฮารีซัน คาร์น และ เกรเกอรี่ ล้วนเห็นด้วยกับองค์หญิงทั้งสิ้น “ แล้วนี่เจ้าเด็กนั้นจะทำอะไรกันน่ะถึงได้เปิดทางให้ศัตรูซะโล่งขนาดนั้น ” กษัตริย์ซิกมันต์ ตรัสทว่ายังไม่ทันที่ทุกคนจะได้กล่าวอะไรต่อ พวกทั้งหมดก็ต้องตกตะลึง ทันทีที่เจนัสกระโดดลงไปจาก ฐานไม้และไปสมทบกับลากูน่าโดยให้ทหารทั้งหมดหลีกทาง เป็นวงกว้าง ก่อนที่พวกเขาจะเข้าเผชิญหน้ากับ มังกร อันกาวี ทั้งหมดที่บุกเข้ามาในช่องที่เปิดนี้ “ สองคนนั้นจะทำอะไรน่ะถึงได้ไปอยู่กลางวงศัตรูเยี่ยงนั้น ” เซนทอร์ทราเฮิร์นอุทานขึ้น ก่อนที่พวกเขาทุกคนรวมไปถึง กลุ่มที่ทำการ รบอยู่ข้างล่างกำแพงเมือง จะต้องตกตะลึง เจนัสและลากูน่าได้ใช้จันทราแบบที่สาม จันทรคลาสพิโรท ดวงจันทราสีดำ ดวงใหญ่ได้ปรากฏขึ้นเหนือสนามรบ ก่อนที่จะเปล่งประกายแสงแวววาว ใส่มังกรอันกาวี และมังกรที่ อยู่ด้านหลัง ทุกตัวที่สัมผัสถูกประกายแสง ก็จะถูกทำเครื่องหมายรูปจันทร์เสี้ยวลอยอยู่เหนือหัว ก่อนที่แสงใสจะส่องสกาวออกมาจากเครื่องหมายเหล่านั้นและเผาผลาน สื่งที่ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้จนมอดไหม้ คาแสงสว่าง ทัพมังกรปีศาจกว่าครึ่งได้หายไปในพริบตา “ มิน่าล่ะสัมผัสพลังเวทย์อันสูงล้ำที่รู้สึกได้ แผ่ออกมาจากเด็กพวกนี้นี่เอง ” อิสฮาน กล่าวขณะที่ทุกคนยังคงได้แต่จ้องมองด้วยความตกตะลึง “ ตอนนี้เราพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงได้แต่งตั้งพวกเขาเป็นรองแม่ทัพ เด็กพวกนี้เป็นใครกัน ” องค์หญิงเรจิน่าตรัสถามด้วยสงสัย “ ทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมทราบมา ครึ่งสมิงเหล่านั้นเคยเป็นอดีต 12 เทพขุนศึกมาก่อน ” เกรเกอรี่กล่าว “ ตอนนี้เราไม่ติดใจเรื่องที่ท่านให้พวกครึ่งสมิงเด็กเหล่านั้นเป็นรองแม่ทัพแล้ว แต่ทำไมเด็กที่อยู่กับลูกมังกร คนนั้นถึงได้รับแต่งตั้งกับเขาด้วยล่ะ ” องค์หญิงตรัส ถามหลังจากที่อดพระเนตรไปยัง Lr ที่ยืนอยู่ข้างพวกนีน่า โดยมีเหล่าลูกมังกร บินล้อมรอบ “ ทูลฝ่าบาท เด็กคนนั้นคือร่างอวตารของอัศวินมังกรเทพ ทาลิวิลย่าที่มาเกิดในยุคนี้อีกครั้ง แต่กระหม่อมเองก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเขาจึงยังไม่สำแดงพลังโปรดรออีกซักระยะ ” เกรเกอรี่กล่าว ขณะนั้นเองก็มีเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า ทันทีที่พวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นไป มังกรรับใช้บาปเมื่อครั้งมหาสงครามทูตสวรรค์ มังกรแห่งความกลัว แคมลอส (Camlost, the Dragon of Fear) และมังกรหมอกราตรี เดลดูวาทอส (Delduwathos, the Night Mist Dragon) จำนวนหลายร้อยตัวกำลังบินทะยานลงสู่สนามรบ พวกมันมีความเร็วสูงมากเสียจนเหล่าทหารที่อยู่เบื้องล่าง ไม่อาจ รับ มือกับพวกมันได้ ต่างถูกพวกมนตะปบและฟาดจนกระเด็นกระดอนไปทั่ว มังกรหมอกเดลดูวาทอส (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/49.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/53.jpg) จะคอยสร้างหมอก ด้วยไอหมอกที่มันหายใจออกมา ปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบ ทำให้บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยหมอก จนเหล่าทหารไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนได้ ด้วยหมอกที่หนาทึบเสียจนมองไม่เห็นรอบๆ โดยที่มีเสียงของเหล่าทหารที่อยู่บริเวณรอบๆกันนั้นดังระงมไปทั่ว ทหารหลายนายถูกพวกมันโฉบ ออกจาก กลุ่มมาคนแล้วคนเล่าโดยที่พวกเขาไม่อาจตอบโต้ได้ จนเมื่อหมอกเคลื่อนตัวสูงขึ้นถึงกำแพง เมือง พวกแคมลอสและเดลดูวาทอสก็ ไล่ต้อนพลธนูที่ประจำการอยู่ ลงมาทึ้งทีละคนๆ จนโกลาหล ไปทั่วครั้นเมื่อหมอกเคลื่อนตัวมายัง เหล่าผู้นำที่เฝ้าจับตาดูการรบอยู่ พวกเขาก็ไม่รีรอที่จะให้มันมา โฉบไปง่ายๆต่างใช้วิชาและความสามารถ เข้าต่อกรกับพวกมัน อย่างสุดความสามารถ ที่ข้างล่างเจนัสและลากูน่าต้องรับมือกับพวกมันอย่างยากลำบากเพราะไม่อาจมองเห็น ตัวศัตรูได้ เสียงปืนของนีน่าที่ดังเป็นระยะ ทำให้ทั้งสองเริ่มเป็นห่วงจึงอาศัยเสียงของปืน นำทางมาจนถึงเชิงฐานไม้ที่พวกเขาอยู่ตอนแรก รอบเชิงฐานถูกพวกมันล้อมไว้ทั้งหมดแล้ว เพราะริคุยังคงเหนื่อยจากการ ใช้พลังเวทย์อยู่จึงไม่อาจปกป้องตัวเองได้ แม่ทัพใหญ่ของกองกำลังต่อต้านที่ อยู่ด้วยกันกับพวกเขาก็ยังคงตะโกนสั่งให้ทหารทั้งหมดถอยลงไปอยู่โดยใช้คบไฟ เป็นสัญญาณว่าประตูเมืองอยู่ที่ใด เพื่อให้ทหารทั้งหมดที่อยู่รอบนอก ใช้เป็นเครื่องนำทาง พวกลูกมังกรเองก็สู้อย่างเต็มที่แต่ทว่าพวกมันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เสียจนการโจมตีของพวกเขา ไม่อาจถูกตัวพวกมันได้ “ ชิเพราะหมอกพวกนี้แท้ๆ…. ” ลากูน่าสบถ ขณะที่ซัดกำปั้นใส่เดลดูวาทอสตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาจนมันล้มลงก่อนจะเหยียบ ซ้ำอีกครั้งให้มันสลบลงไป “ ลอว์เรนซ์แปลงเป็นทาเวนทอสแล้วใช้ลมพัดหมอกพวกนี้ออกไปทีได้มั้ย ” เจนัสหันไปถามซึ่ง Lr ก็รับคำก่อนที่จะยกแขนข้างที่คาดดราก้อนฮอลลี่เอาไว้ ขึ้นมาและตั้งสมาธิ วิลที่รู้ตัวว่าจะต้องรวมร่างจึงบินมาอยู่ใกล้ๆกับเขา แสงสีเขียวส่อง สว่างวาบออกมาจาก หน้าจอของดราก้อนฮอลลี่ ซึ่งมันส่องอยู่นานกว่าทุกครั้งแต่ก็ไม่มีทีท่าว่า เขาจะแปลงร่างได้เลย จนเมื่อนานเข้า Lr ก็หมดแรงที่จะตั้งสมาธิ เสียแล้ว พวกมังกรต่างบุกเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆพลทหารที่อยู่รอบๆเริ่มจะมารวมกันที่ประตู เมืองมากขึ้นๆ ทว่าประตูเมืองก็ไม่อาจเปิดออกได้เพราะ ทหารที่คุมกลไก อยู่ด้านในต่างถูกพวกมัน ฆ่าทิ้งจนหมดแล้ว ภายในกำแพงเมืองก็ต้องรับมือกับพวกมันอย่างยากลำบากเช่นกัน ทั้งทัพเปกาซัสและทัพอัศวินมังกร รวมไปถึงทัพสรรพสัตว์ ก็ไม่อาจต่อกรกับกองทัพมังกรรับใช้บาป ที่อาศัยหมอกในการลอบโจมตีเช่นนี้ได้ เพราะที่แล้วมาไม่เคยมี การรบแบบใดที่ใช้มังกรทรง พลังอำนาจเช่นนี้ มาเป็นกองทัพ ได้ ทำให้พวกเขาต้องเสียเปรียบเป็นอันมาก ที่นอกกำแพงเมือง พวกเจนัสยังคงต้องรับมือกับพวกมันจนไม่อาจขยับไปไหนได้ พวกเขาถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว “ ทำงานสิ..ทำงานเร็วเข้า…ขอร้องล่ะทำงานที ” Lr กล่าวอย่างเสียขวัญขณะที่เขย่า เครื่องดราก้อนฮอลลี่ ไปมา เพราะไม่ว่าเขาจะเปลี่ยน ตัวเลือกในการแปลร่างเป็น ทาลิวิลย่าตนอื่นๆแล้วก็ตามสุดท้าย ก็จะมีเพียงแค่แสงประจำธาตุ ส่องแวบวาบออกมาเท่านั้น “ แปลงร่างไม่ได้..นี่เราสูญเสียพลังไปแล้วหรือ ” Lr กล่าวอย่างสิ้นหวังก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง ด้วยความอาวร ตอนนี้แม้แต่เจนัสกับลากูนาก็ต้องถอยขึ้นมา บนฐานด้วยเช่นกัน พวกเขาได้แต่คอยปัดสอย ให้พวกมันร่วงลงไปเพียงเท่านั้น ในขณะที่นีน่า ต้องคอยยิงขับไล่พวกมันที่ไล่หลังกองทหารที่ถอยมา “ ชั้นจะลองฝืนใช้พลังดูอีกครั้งอย่างน้อยก็ต้องเรียกลมมาพัดมันออกไป ” ริคุกล่าวขณะที่พยายามทรงตัวขึ้น มาอย่างยากลำบาก ทว่าเขาก็ ล้มลงด้วยความอิดโรยจนเจนัสต้องเข้ามาประคองไว้ ในขณะนั้น ก็มีเดลดูวาทอสตัวนึง กระชากร่างของนีน่า หายเข้าไปในกลุ่มหมอก “ นีน่า… ” เจนัสกล่าวเสียงก้องก่อนจะที่จะวางตัวริคุให้นั่งลงแล้วกระโดดตามลงไปช่วย ในขณะที่ลากูน่าเองก็เริ่มจะทานกำลังพวกมันไม่อยู่ แล้ว พวกมันขึ้นมาบนเชิงฐานได้สำเร็จ เสียงตุบตับดังขึ้นมาจากด้านล่าง ของฐาน ซึ่งคงจะเป็นเสียงการปะทะของ เจนัสที่ลงไปช่วยนีน่า ขณะที่พวกมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผลัน ดราก้อนฮอลลี่ ก็ส่องแสงวาบออกมา ลมซึ่งพัดลงมาจากด้านบนพัดเอาม่านหมอกรอบตัวพวกเขาออกไป พร้อมกับการปรากฏ ของมังกรจักรกลเทียม ไซเบอร์ลิก้า ที่บินต่ำลง ก่อนที่มันจะยิงแสงลงมาใส่ดราก้อนฮอลลี่ และแสงเหล่านั้นก็สะท้อนกลับออกจากดราก้อนฮอลลี่ เข้าอาบร่างของลูกมังกร และกลายร่างเป็นเหล่ามังกรกริฟ ก่อนที่ไซเบอร์ลิก้า จะทะยานกลับขึ้นฟ้าไป “ เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง ” มังกรกริฟทั้งหกกล่าวก่อนที่จะทะยานขึ้นไป ลอสทอสมังกรกริฟแห่งสายลม และ โอโลฟาเชี่ยน มังกรกริฟแห่งพายุหิมะ ทั้งสองได้ กระพือปีกอันกว้างใหญ่จนเกิดแรงลม พัดหอบเอาม่านหมอกหายไปจนสิ้น ร่างของพวกมังกร ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกก็ปรากฏชัดแก่สายตา ของทุกคน รวมไปถึงร่างของเหล่ามังกรกริฟทั้งหก พวกมังกรบาปทั้งหมดเปลี่ยนความสนใจมาที่ มังกรกริฟทั้งหกทันที ทว่าพวกมันก็ถูกเปลวเพลิงอันร้อนระอุ ของแมนเซเร็ก และแสงแดดแผดเผาของอิมซาน เล่นงานจนพ่ายไป คลื่นเสียงของ บารานนิทิล มังกรกริฟแห่งดิน ได้ตรึงร่างของพวกมันเอาไว้ ก่อนที่ลมหายใจกรดของ ดอนฟอลม่า มังกรกริฟผู้มีปีกแห่งความตาย จะละลายผืนดินที่พวกมันยืน จนอ่อนยวบยาบ ในที่สุดเมื่อพื้นไม่อาจรับน้ำหนักของพวกมันได้ พื้นดินก็ทรุดตัวลง และสูบพวกมันลงปฐพีไป ทันทีที่พวกของมันถูกกำจัดไปเป็นจำนวนมากพวกที่เหลือก็ถอยหนี ไปทันที …… …….. ………….. สองวันต่อมา ณ ค่ายพักของกองกำลังต่อต้านซึ่งตั้งอยู่ ใกล้กับทะเลสาบของเมืองเอรีม Lr และพวกของเขา ได้ประชุมหารือกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในการบวันนั้น “ อาจจะเป็นเพราะนายยังมีความรู้สึกต่อต้านกับมันอยู่ก็ได้ทำให้นายใช้มันไม่ได้ ” ริคุกล่าวหลังจากที่พิจารณาตัวของดราก้อนฮอลลี่ อย่า ถี่ถ้วนซึ่งก็ไม่ได้มีร่องลอยความเสียหายแต่อย่างใด “ หรือว่าจะเป็นปัญหาด้านพลังงานของตัวเครื่อง ” นีน่าออกความคิดเห็นบ้าง แต่ริคุก็ส่ายหัว “ ไม่ใช่หรอกเพราะเสียงของพวกมังกรก็ยังถูกแปรได้เหมือนปกติ และวันนั้นยังเปลี่ยนร่างพวกลูกมังกรเป็นมังกรกริฟ ได้อีกไม่เกี่ยวกับพลังงานแน่นอน ” ริคุอธิบาย “ หรือเพราะว่าตอนที่สู้กับอิเดีย ร่างของทาลูคูสกับตัวอื่นๆได้รับความเสียหายหนักเลย ทำให้แปลงร่างไม่ได้ล่ะ ” เจนัสออกความเห็น “ ที่จริงตอนแรกชั้นก็คิดยังงั้นแต่จากที่ฟังพวกลูกมังกรเล่ามา ร่างอื่นๆนอกจากทาลูคูส ทาเวนทอส ทาไนซ ที่บาดเจ็บก็ยังมี ทาลิคนัส กับ ทาลิควาสที่ไม่ได้เสียหายอะไรมาก ให้เปลี่ยนอีกแต่นี่กลับเปลี่ยนไม่ได้ แม้แต่ร่างเดียว ” ริคุตอบ “ ซึ่งจากการประเมินโดยรวมแล้ว เขายังไม่สูญเสียพลังไปอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่อาจเป็นเพราะ จิตใจบางส่วนอาจยังต่อต้านการใช้ดราก้อนฮอลลี่ สาเหตุก็คงมาจากมุรามาซะโซล…สินะ ” ริคุกล่าวก่อนจะหันไปหา Lr ซึ่งเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น เพราะทันทีที่จะแปลงร่าง ความกลัวที่จะกลายเป็นมุรามาซะอีกก็ วาบขึ้นมาจนเขาไม่อาจจะใช้มันได้ “ ไม่เป็นไรหรอกมั้งก็ลอว์เรนซ์น่ะยังสามารถแปลงร่างให้พวกลูกมังกรได้นี่ ถึงไม่ต้องมี ร่างของพวกอัศวินมังกรก็ยังช่วยสู้ได้นี่เนอะ ” ลากูน่ากล่าว “ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ…แต่ว่าลองคิดดูนะ ว่าในขณะที่ลูกมังกรทั้งหมดเปลี่ยนร่าง แล้ว แต่ตัวเขากลับทำได้แค่ยืนดู ก็ย่อมจะตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายๆ อีกทั้งถ้าให้เทียบกันแล้วพลังของอัศวินมังกรยังมีมากกว่าพวกมังกรกริฟเสียอีก ขืนเป็นอย่างนี้คงให้เขามาร่วมสู้ด้วยไม่ได้หรอก ” ริคุอธิบาย ซึ่งคำพูดของเขาทำให้ Lr เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี เขาเดินแยกออกไปจากกลุ่ม โดยไม่ให้ทุกคนรู้ เขาเดินไปโดยแบกรับ เรื่องที่เขาไม่มีพลังพอที่จะร่วมสู้กับทุกคนได้อีกเอาไว้ในใจ Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: greamon on August 10, 2008, 07:33:05 PM ขณะที่เดินผ่านค่ายพักของพวกทหาร เขาก็ได้ยินกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งที่ จับกลุ่มคุยกันอยู่พูดขึ้นว่า
“ นี่พวกเรา รองแม่ทัพใหม่ที่หน่วยของข้าเป็นครึ่งสมิงเด็กที่เก่งสุดๆไปเลยล่ะ เห็นรึเปล่าตอนที่ จับคู่กับรองแม่ทัพลากูน่าน่ะ แค่พริบตาเดียว มังกรยักษ์นั่นร่วงไปหลายสิบเลย ” “ นั่นยังไม่เท่าไหร่ รองแม่ทัพนีน่าของหน่วยข้าสิ แม่นปืนสุดๆไปเลย แถมยังใช้อาวุธได้คล่องแคล่วจริงๆ ” “ รองแม่ทัพริคุก็ สุดยอดเหมือนกันนา เกิดมาข้าไม่เคยเห็นใครเร็วขนาดนั้นมาก่อนเลย แถมยังมี ความสามารถด้านเวทย์มนต์อีก ” “ รองแม่ทัพของพวกแกน่ะยังดีแต่รองแม่ทัพหน่วยข้าน่ะสิ ดูยังไงก็แค่เด็กธรรมดาเองมีดีหน่อยก็เห็นแค่ เลี้ยงลูกมังกรไว้หกตัวแล้วก็สื่อสารกับพวกมังกรได้เท่านั้นเอง ” “ จะว่าไปนะตอนที่รบกันข้าก็ไม่เห็นเขาจะทำอะไรเลย นี่ถ้าไม่ได้มังกรลึกลับหกตัวนั่นมาช่วยไว้ล่ะก็ ป่านนี้คงแพ้ไปแล้ว ” “ ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าเด็กนั่นมาเป็นรองแม่ทัพกับเขาได้ยังไง ” คำพูดติฉิน นินทาที่ดังมาเข้าหูของเขานั้นยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกในตอนนี้ลงไปอีก ครู่ต่อมา พวกเจนัสออกตามหาตัวเขาจนไปพบเข้าที่ เพิงพักพิงในค่าย “ นี่เราเล่าเรื่องที่เมทาไนท์คือกาเร็ทพี่ชายของเขาให้ฟังรึยัง ” นีน่ากระซิบกับเจนัส ขณะที่เดินไปยังเพิงแห่งนั้น “ กาเร็ทบอกเอาไว้ก่อนที่จะพาพวกมังกรที่ช่วยออกมาไปหาที่หลบภัย ว่าอย่าพึ่งบอกอะไรกับเขาน่ะสิ ” เจนัสกล่าว “ แล้วกาเทียลูกพี่ของเธอ ล่ะเขาไปไหนตอนรบก็ไม่เห็นอยู่ด้วยเลยนี่ ” ริคุถามขึ้นมาบ้าง “ คือพี่เขาอาสาไป นำทางพวกกองกำลังเสริมจากทั่วทุกทวีปที่เดินทางมาน่ะเพราะ กำแพงน้ำแข็งที่ปิดกั้นเอาไว้โดนทำลายลงแล้ว พวกเขาก็เลยจะมาถึงในอีกสองสามวันนี้หล่ะ ” นีน่ากล่าว พวกเขาได้มาถึงเพิงที่ Lr นังพักอยู่ “ นายหายไปไหนมาน่ะพวกเราาหากันซะทั่วเลย ” ลากูน่ากล่าว ทว่า Lr กลับไม่ตอบเอาแต่ซึมกะทือ จนพวกเขาเริ่มเป็นห่วง “ ลอว์เรนซ์เธอเป็นอะไรรึเปล่าไม่สบายตรงไหนมั้ย ” นีน่ากล่าวขณะที่เข้าไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง “ นี่ถ้าไม่มีชั้นอยู่ด้วยพวกเธอจะสู้ได้สบายขึ้นรึเปล่า ” คำพูดของ Lr ทำให้พวกเขาต้องนิ่งอึ้งไป “ ท…ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะถ้าไม่มีเธอแล้วพวกเราจะสู้สบายขึ้นได้ยังไงกัน ” นีน่ากล่าวตะกุกตะกัก แต่แล้วเขาก็ ปัดมือของนีน่า ออก และลุกขึ้นพรวดในทันที “ อย่ากลบเกลื่อนกันอีกเลย..ที่จริงก็คิดใช่มั้ยล่ะ ” Lr ตะหวาด นีน่าที่ถูกปัดล้มลงนั้น ลากูน่าได้เข้าไปพยุงตัวเธอขึ้นก่อนจะหนไปพูดกับเขา “ ทำไมต้องทำยังงี้ด้วยพี่นีน่าไม่เคยบอกเลยนะว่านายเป็นตัวถ่วงน่ะ ” ลากูน่ากล่าวทว่าคำพูดของเขานั้นก็ชวนให้ Lr เข้าใจผิดในทันที “ งั้นสินะเพราะชั้นแปลงร่างไม่ได้อีกแล้วก็เลยจะเฉดหัวชั้นออกงั้นสิ ” Lr กล่าวประชดประชัน ก่อนจะเดินแยกออกไป “ เดี๋ยวนั่นนายจะไปไหนน่ะ ” เจนัสเรียกเขาไว้ “ ถ้าชั้นอยู่ไปก็คงจะป็นตัวถ่วงพวกนาย ” Lr กล่าวอย่างหัวเสีย “ แล้วที่พวกเราพยายามกันมานี่ล่ะเพื่ออะไรนายจะบอกว่าที่พวกเราเสี่ยงเข้าไปช่วยนายมันไร้ค่ารึไง ” เจนัสถามโดยหวังว่าเขาอาจจะให้การตอบกลับที่ดีกว่านี้ ทว่า “ ชั้นไม่ได้ขอให้พวกนายมาช่วยซะหน่อย อยากทำอะไรก็เชิญชั้นมันเป็นตัวถ่วงอยู่แล้วนี่…อุบ ” Lr ตะคอกใส่ ก่อนที่เขาจะถูก เจนัสซัดจนหน้าหัน “ นายจะว่าจะประชดยังไงก็เชิญแต่คนที่ทิ้งขว้างน้ำใจของเพื่อน และไม่เห็นค่าของมัน นี่ล่ะที่ชั้นทนไม่ได้ ” เจนัสกล่าวอย่างหัวเสีย “ ก็แล้วมันยังไงล่ะ…สุดท้ายมันจะมีอะไรดีขึ้นอีกล่ะ ” Lr กล่าวขณะที่ซัดเจนัสกลับไปอย่างเต็มแรง “ นี่นายจะหาเรื่องใช่ไหม… ” เจนัสกล่าวขณะที่ซัดกลับไปอีกครั้ง “ ก็เอาสิ… ” Lr กล่าว จบทั้งคู่ก็เข้าไปซัดกันนัวเนีย ล้มกลิ้งไป “ ชั้นทนมานานแล้วกับไอ้นิสัยประชดประชันของนาย ” เจนัสตะคอกขณะที่ซัดหน้าของ Lr อย่างเต็มแรง ก่อนที่เขาจะถูกดึงให้ล้มลง และถูก กำปั้นของ Lr อัดเข้าอย่างจัง “ ชั้นมันคนธรรมดา ไม่เหมือนพวกนายนี่ ” Lr กล่าวก่อนจะซัดเจนัสไปอีกทีแต่เขาก็ถูกถีบให้ล้มลงเช่นกัน “ ถ้าจะพาลก็ให้มันมีขอบเขตบ้างสิ ” เจนัสกล่าว ทว่าเขาก็ถูก Lr ดึงให้กลับลงมาอีกครั้ง “ ทุกคนเอาแต่พูดถึงพวกนายลืมชั้นราวกับไม่มีตัวตน...ชั้นทนมาพอแล้ว ” Lr กล่าวก่อนจะซัด เจนัสเข้าไปอีกที เจนัสเริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว เขาซัดเข้าที่ท้องของ Lr อย่างเต็มแรง จนทำเอาเขาจุกสำลัก ก่อนจะซัดเขาให้ลงไปจากตัว “ ชั้นชักจะหมดความอดทนกับนายแล้วนะ ” เจนัส กล่าวก่อนจะเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของ Lr ขึ้นมาและง้างหมัดเพื่อจะชก ทว่า Lr ก็เกร็งหมัดแน่นเช่นกันก่อนจะง้างขึ้นชกใส่ “ น…นี่พอเถอะทั้งสองคน ” นีน่ากล่าวเพื่อที่จะให้ทั้งคู่หยุด ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ยังคงวิวาทกันต่อโดยไม่สนใจ ฟังคำของนีน่า ด้วยความเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าเสียทั้งคู่ “ พอได้แล้ว ” เสียงตะหวาดดังขึ้นก่อนที่ ทั้งสองคนจะถูกผลักออกจากกัน จนล้มลง ไปคนละทาง ริคุที่เป็นคนเข้ามาห้ามเอาไว้นั่นเอง “ พวกเราไม่ควรจะมาแตกคอกันเองนะ ” ริคุกล่าว “ ก็เจ้านี่มันหาเรื่องก่อนนี่ ” “ พอได้แล้วเจนัส ” เจนัสกล่าวได้ไม่ทันจบริคุก็ตะคอกแทรกขึ้นมา จนเขาต้องหยุดลง “ ชั้นเข้าใจนะเจนัสว่านายรู้สึกยังไงแต่ช่วยสงบสติอารมณ์ลงหน่อยเถอะ ” ริคุกล่าวก่อนจะหันไปกล่าวกับ Lr ต่อ “ แล้วก็ ลอว์เรนซ์ชั้นมีเรื่องจะพูดด้วยอีกช่วยตามมาที ” ริคุกล่าว ......... .................... .......................... ณ เกาะโขดหินเล็กๆที่ตั้งอยู่ชายทะเลซึ่งไหลติดต่อกับทะเลสาบนีรันด้า เรโค่ ยังคงนั่งภาวนาอยู่ต่อหน้าเซโร่ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ โดยที่น้ำแข็งไม่มีท่าจะละลายเลยแม้แต่น้อย กลับขยายตัวและหยั่งรากลงกับพื้นจนเป็นน้ำแข็งไปทั่วอาณาบริเวณ จนสภาพอากาศรอบเกาะอุณหภูมิลดต่ำลง เสียจนเป็นน้ำแข็งไปทั้งเกาะ แม้ความหนาวเย็นจะทำให้แขนขาของนางชาเสียจนแทบไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่นางก็ยังคงนั่งภาวนาต่อไปด้วยความหวังที่ว่าเด็กหนุ่มจะฟื้นขึ้นมา กาลเวลาผ่านไปนานมากแล้ว นางนั่งภาวนา มา 4 วันเต็มๆแต่ก็ยังคงไม่เกิดอะไรขึ้น ก้อนน้ำแข็งมีแต่จะขยายขึ้นเท่านั้นนางนั่งภาวนาตัวสั่นเทาด้วยความหนาว แต่ก็ไม่ปริปากบ่นแต่อย่างใด จนเมื่อมีลมอ่อนๆพัดโชยเข้ามากระทบกับใบหน้า นางจึงลืมตาขึ้น ก่อนทีภาพความทรงจำจะผุดขึ้น มาในใจนาง มันเป็นภาพที่เด็กสามคนเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหิมะ นางลุกขึ้นเดินเข้าไปเอาแก้มแนบกับก้อนน้ำแข็ง ไอเย็นที่ระเหยออกมาจากการที่สัมผัสถูกร่างของนาง โชยลอยออกมาก่อน แม้จะเย็นแสบเสียจนอยากจะถอยห่างแต่นางกลับไม่ทำยังคงแนบนิ่งอยู่ “ นี่เซโร่......เธอได้ยินฉันมั้ย...นี่ก็ผ่านมาตั้ง 15 ปีแล้วสินะนับตั้งแต่วันนั้น ” นางเปรยเสียงสั่นจากความหนาวเหน็บ “ จำได้มั้ย เพื่อนของเราอิจิกิ (Ichigi) น่ะตอนนั้นพวกเราเล่นด้วยกันสนุกมากเลยนะถ้าเป็นตอนนั้นพวกเราก็น่าจะอายุ 14- 15อยู่ล่ะถึงตอนนี้จะผ่านมา 10 ปีแล้วก็ตามแต่ร่างกายของพวกเราก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเลย..... ” นางเปรยก่อนที่จะหลับตาลงนึกย้อนรำลึกความทรงจำเมื่อครั้งอดีต 10 ปีก่อน ณ ทุ่งหิมะสีขาวโพลนบนเกาะร้างเล็กใกล้กับเมืองท่าแอนดิซอง เรโค่ซึ่งเดิน ไปบนพื้นหิมะ ลมเย็นจัดซึ่งพัดโชยมา ทำให้ผมยาวสลวยของนางปลิวสะบัดพลิ้ว ลู่ไปกับลม นางเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย อยู่ก็มีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังแว่วมากับลม นั่นทำให้นางรู้สึกสนใจ ไม่น้อยนางจึงตามเสียงนั้นไป ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่เสียงหัวเราะนั้นก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ นางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นๆ แม้ว่าตัวนางจะหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังวิ่งโดยไม่ลดฝีเท้า จนเมื่อนางได้วิ่งขึ้นเนินไปและหยุดมองลงไปยังเบื้องหน้า เด็กชายสองคนซึ่งมีอายุพอๆกับนาง ทั้งสองกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ภาพที่ทั้งสองเล่นสนุกและยิ้มแย้มอย่างมีความสุขนั้นทำให้นางอดที่จะ อยากเข้าไปร่วมด้วยเสียไม่ได้ ทว่านางก็ชงักเท้าไว้ ทันทีที่ระลึกได้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ ปีกสีดำสนิทที่อยู่บนหลังของนาง อาจทำให้เด็กสองคนนั้นกลัวและหนีไปนางไม่อยากทำลายช่วงเวลา แห่งความสุขของทั้งคู่ จึงตัดใจ นั่งดูทั้งสองเล่นกันแทนดดยพยายามไม่ให้เด็กชายรู้ตัว ทว่าเรื่องก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อเด็กชายคนนึงซึ่งอายุมากกว่า เกิดมีไฟลุกท่วมหลังขึ้นมาในบัลดล นางคิดที่จะเข้าไปช่วยด้วยพลังของนาง ทว่านางก็ต้องชะงักไปเมื่อไฟนั้นกลับ แปรรูปเป็นปีกเพลิงลุกโหมและ ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะควบคุมมันอยู่ “ ว้าว ทำได้แล้วเหรออิจิกิ วิชาปักษาเทวะ ที่คุณปู่สอนให้น่ะ ” เด็กอีกคนถามเขามีผมสีน้ำเงินสวมเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้าแบบเด็กธรรมดาทั่วไป ที่หัวคาดแว่นกันลม เอาไว้ ทันทีที่เด็กชายอีกคนมีผมสีน้ำตาลสวมเสื้อเชิตสีแดง ชายออกนอกกางเกง ซึ่งมีปีกเพลิงลุกโชนถูกถาม เขาก็ยิ้มด้วยความภูมิใจ ก่อนจะหันมาทางนาง “ นี่มาเล่นด้วยกันสิ ” เด็กชายตะโกนเรียกนาง ซึ่งนั้นทำให้นางประหลาดใจมากที่พวกเขารู้ว่านางอยู่ตรงนั้น เด็กชายอีกคน ทันทีที่เห็นนาง เขาก็รีบวิ่งเขามาหาอย่างรวดเร็วเสียจนนาง ไม่ทันตั้งตัว “ น่ารักจังเลยเธอชื่ออะไรเหรอ ” เด็กชายถามทว่าด้วยความตกใจทำให้นางเผลอ ใช้พลังของตนออกไปโดยไม่รู้ตัว เส้นลวดอัน คมกริบสามเส้น สร้างตัวขึ้นมาในอากาศก่อนจะพุ่งเข้าหาเด็กชายอย่างรวดเร็ว “ หนีไปเร็ว… ” นางรีบตะโกนให้เด็กชายหนีไป ทว่าเส้นลวดก็ได้พุ่งเข้าใกล้เด็กคนนั้นแล้ว “ จงประทับยังนภาเหมันต์…. ” สิ้นเสียง เส้นลวดอันคมกริบก็แข็งตัวเป็นผลึกน้ำแข็งก่อนจะแตกสลายไป ร่างกานของเด็กชายมีถูกปกคลุมด้วย น้ำแข็งซึ่งเว้าเป็นรูป เกาะติดตั้งแต่ ไหล่ไล่ขึ้นไปยังหัว ซึ่งน้ำแข็งที่อยู่บนหัวนั้น มีแปลงรูปคล้ายกับหัวนกที่เหนือหัวของเขา มีผลึกหิมะ แปดแฉกลอยตัวอยู่ซึ่งตอนนี้มันได้สลายแฉกของมันออกไปด้วยกันสามแฉกแล้ว และแผ่นน้ำแข็งยังไล่บนหลัง เป็นปีกน้ำแข็งและหางน้ำแข็งหกแฉก ที่สะบัดไปมา ราวกับขนหางของนกจริงๆ ที่แขน ผลึกน้ำแข็ง ก็เว้าตัวเข้า จับตัวที่แขนเป็นแนวตามยาว และยื่นออกที่ ข้อมือราวกับกรงเล็บ ที่ขาของเขาเองก็เช่นกัน น้ำแข็งเว้าตัวเข้า จับกันเป็นเกราะกรงเล็บทั้งสองข้าง พร้อมกับปล่อยควันสีขาว ออกมาตลอดเวลา จนร่างของพวกเขาทั้งสองแทบจะ ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาว บัดนี้ร่างของเด็กชาย Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: greamon on August 10, 2008, 07:33:26 PM ราวกับสวมชุดเกราะที่ทำด้วยผลึกน้ำแข็งเป็นรูปร่างของนก
ความคิดที่ว่านางแปลกจากพวกเขาในตอนแรกหายไปจนสิ้น เด็กทั้งสองดูจะแปลกกว่านางเสียด้วย ซ้ำ นางซึ่งเอนตัวถอยเพื่อที่จะดึงให้เส้นลวดห่างออกจากตัวของเด็กชาย อย่างกะทันหันทำให้นางเสียหลัก และล้มหงายลง แต่เด็กชายก็คว้าตัวนางไว้ได้ทันก่อนจะ จูงขึ้นมายืน เด็กอีกคน ใช้ปีกเพลิงบินเข้ามาหาทั้งคู่ก่อนจะโรยตัวลงมาหาพวกเขาพร้อมกับที่ปีกเพลิงสลายไป “ ขี้โกงนี่เซโร่ นายใช้ได้เต็มขั้นแล้วนี่นาชั้นยังได้แค่ปีกเอง ” เด็กชายซึ่งมีปีกเพลิงกล่าวด้วยความน้อยใจ ผลึกหิมะแปดแฉก ที่เคยเหลือแฉกอยู่ห้าจากแปดได้สลายแฉกของมันทั้งหมดลงก่อนที่ปีกและเกราะน้ำแข็งจะสลายตัวไปเขาหันไปพูดกับเพื่อนของตน “ ยังไม่เต็มขั้นเลยตะหาก ถึงจะได้แต่ก็แค่ แปปเดียวเอง พอแฉกบนผลึกหิมะแตกหมดก็ หลุดหมดแล้วล่ะ ” เขากล่าว ก่อนจะหันกลับไปหานางอีกครั้ง “ จริงสิเรายังไม่รู้จักกันเลยนี่เมื้อกี้โทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจหรอก ” เด็กชายซึ่งมีปีกน้ำแข็ง กล่าวขออภัย “ ม...ไม่เป็นไร ” นางตอบตะกุกตะกักด้วยความ ตื่นเต้นตกใจที่ยังไม่คลาย “ จริงด้วยชั้นยังไม่ได้แนะนำตัวเลยแต่ดันถามชื่อเธอก่อนซะแล้วชั้น เซโร่ ส่วนนี่ก็ อิจิกิ เพื่อนชั้นเอง พวกเราสองคนอาจแปลกๆไปบ้างแต่ไม่ต้องกลัวไปนะ เราไม่ทำร้ายใครหรอก ” เด็กชายกล่าวแนะนำตัวเองและเพื่อน แม้จะยัง งงๆอยู่บ้างแต่นางก็ดีใจที่มีคนมาตีสนิทด้วย “ ชั้นชื่อ เรโค่ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ ” นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม ทว่า อิจิกิ ก็เดินอ้อมไปที่หลังของนาง พร้อมกับเอามือ ลูบไปบนปีกสีดำของนาง “ อืม…นุ่มแหะ ” อิจิกิ กล่าวก่อนจะลองเอาหัวหนุน ลงไปบนปีกของนาง ซึ่งทำให้นางรู้สึก จั้กจี้ “ หอมด้วยอีกตะหาก ” เซโร่กล่าวขณะที่ ดมปีกของนางอย่างแนบชิดติดจมูก การกระทำของทั้งคู่ทำให้นาง รู้สึก เก้ๆกังๆ อย่างบอกไม่ถูก “ นี่เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ” อิจิกิถาม ทันทีที่ถูกถามนางก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าจะบอกไปดีหรือไม่ เพราะจนบัดนี้มาแล้วตั้งแต่อายุครบ 10 ปีมานางก็ไม่เคยโตขึ้นเลยแม้ว่าจะผ่านมา 4 ปีแล้ว ก็ตาม “ อ..เอ่อ ส…สิบห้าปีแล้วจ้ะ… ” นางตอบตะกุกตะกักด้วยความ เขินอาย ทว่าทั้งคู่ก็ทำตาโตใส่ ก่อนจะรีบปล่อยมือ ออกจากปีกของนาง และไปไขว้ไว้ข้างหลัง หน้าแดงเสียจนสังเกตได้ “ ตกใจใช่มั้ยแต่ว่า สี่ปีมาเนี่ยฉันไม่โตขึ้นเลยสักนิดเดียวยังคงเป็นยัยเปี้ยกอยู่วันยังค่ำเนี่ยแหละ ” นางตอบเสียงใส “ ป….เปล่าหรอกแค่ว่าเหมือนกันเลยกับพวกเราน่ะ ” อิจิกิ กล่าวทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำ ด้วยความเขินอาย “ เพราะเราสองคนปีนี้ก็ สิบสี่สิบห้าแล้วแต่ก็ยังเปี้ยกอยู่แบบเนี้ย ” เซโร่กล่าว ด้วยท่าทางเขอะเขิน ซึ่งนั่นทำให้นางตาเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ “ หมายความว่าพวกเธอก็อายุไล่เลี่ยกับฉันเหรอ ” นางกล่าว ทั้งคู่พยักหน้า “ คุณปู่เคยบอกไว้ว่าชั้นเป็นภูตน้ำที่ถูกให้ชีวิตขึ้นมาจากเทพีอันดีนแม่ของชั้น ทำให้ชั้นเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย ” เซโร่กล่าว “ ส่วนชั้นเป็นร่างจริงเป็นนกฟีนิกซ์ในเชื้อพระวงศ์ จะให้เรียกง่ายๆก็ ประมาณเจ้าชายของเผ่าพันธุ์ฟีนิกซ์น่ะ เลยมีที่แปลกกว่าฟีนิกซ์ตัวอื่นๆก็คือจะหยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่เกิดถ้าตัวไหนเกิดมาเป็นผู้ใหญ่ร่างกายก็หยุดอยู่แค่วัยนั้น ตัวไหนเกิดเป็นเด็กก็เป็นอยู่อย่างนั้นล่ะแต่พวกเราก็มีจำนวนน้อยมาก ซึ่งอายุน้อยสุดที่เคยมีมาก็สิบปีนี่ล่ะ ” อิจิกิกล่าวจบก็ ไขว้มือไว้ที่หน้าอก ของตนก่อนที่จะเผาผลาญตัวเอง กลายเป็นวิหกเพลิง ซึ่งที่ปลายปีกลุกโชนด้วยเปลวไฟตลอดเวลา ความจริงของทั้งคู่ทำให้นางประหลาดใจเป็นอันมาก (http://image.ohozaa.com/ip/ichigilimited.jpg) แต่นั่นก็เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเขาซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ของนางเลยทีเดียวเพราะที่แล้วมามีแต่ คนถอยหนีจากนางไป ด้วยความที่นางเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย แต่เมื่อมาเจอกับทั้งสอง ที่เป็นเหมือนกับนาง ทำให้นางเหมือนได้เจอกับครอบครัวเลยทีเดียว ภาพทั้งหมดได้จางลงไปจากความคิดของนางก่อนที่น้ำตาจะไหลหยดลงบนก้อนน้ำแข็งที่นางซบอยู่ นางดึงหน้าออกจากน้ำแข็งอย่างแรงแม้จะเจ็บและชา จากการถูกน้ำแข็งกัด อยู่บ้าง “ ถ้าวันนั้นฉันไม่ไปเจอพวกเธอซะก็ดีหรอก…เพราะฉันแท้ๆทำให้อิจิกิ ต้องแยกจากเธอไป ส่วนเธอก็ต้องคอยดูแลฉันโดยหนีจากบ้านมา แล้วครั้งนี้ก็เพราะฉันทำพลาดแท้ๆทำให้การเสียสละของเธอต้องสูญเปล่า ฉันขอโทษ…ขอโทษ ” นางกล่าวสะอึกสะอื้นในลำคอ ก่อนจะร้องไห้ด้วยความขมขื่น ก่อนที่ความทรงจำในวันที่ พวกเขาต้องแยกจาก อิจิกิ และหนีออกมาเดินทางเร่ร่อนเช่นนี้จะหวนกลับมา …………. ………………. ………………….. ณ ทะเลสาบด้านหลังค่ายพัก ริคุ ได้มายืนรอ อยู่ก่อนแล้ว Lr ได้เดินตรงเข้าไปหาซึ่งหน้าตาบอบช้ำจากการ ทะเลาะกับเจนัสนั้นยังคงเจ็บและชาอยู่ โดยที่เขาต้องเอามือกุมรอยช้ำมาตลอดทาง Lr เดินเข้าหยุดอยู่ข้างเขา ที่ริมน้ำ “ ที่ชั้นบอกไปว่าจิตใจนายยังต่อต้านอยู่น่ะ ที่จริงก็คือนายกลัวใช่มั้ยลอว์เรนซ์ นายกลัวที่จะใช้มัน ” ริคุถาม “ ถูกของนาย…คงจะเพราะชั้นมันขี้ขลาดเองที่กลัวกระทั่งตัวของตัวเอง เพราะชั้นไม่รู้เลย ว่าถ้าใช้ดราก้อนฮอลลี่ไปแล้วชั้นจะกลายเป็นมุรามาซะโซลอีกรึเปล่า ” Lr กล่าวยอมรับในความกลัวของตน “ จะกลัวก็ไม่แปลกหรอกเพราะชั้นก็เหมือนกันกลัวว่าอีกตัวตนจะออกมาเมื่อไหร่… ” ริคุกล่าวก่อนจะหันมาหาเขา “ ความรู้สึกของนายชั้นเข้าใจดีเพราะก่อนนี้ชั้นก็เคยถูกอีกจิตใจเข้าครอบงำจนทำร้ายพวกเจนัสไป แต่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ช่วยชั้นกับเจนัสเอาไว้ในตอนที่ติดอยู่ในแอคเตอร์ก็คือ ตัวชั้นอีกคน ” ริคุกล่าวก่อนจะ หันลงไปมองยังผิวน้ำซึ่ง Lr ก็มองตามลงไปเช่นกัน เงาสะท้อนของพวกเขาทอดยาวอยู่บนผิวน้ำ “ ลอว์เรนซ์นายมองเห็นอะไรในน้ำนี่บ้าง ” ริคุกล่าวถาม “ เงาสะท้อนของตัวชั้นเอง ” Lr กล่าวตอบด้วยความสงสัยในความคิดของริคุ “ ถูกแล้วล่ะนายก็คือนายลอว์เรนซ์ ขอแค่นายพยายามควบคุมตัวเองให้ได้เท่านี้ เจ้านั่นก็จะไม่มีทางออกมาได้ นายต้องสลัดความกลัวออกไปจากใจให้หมด เพราะในสนามรบนั้น หากกลัวแม้แต่น้อยนั้นก็หมายถึงชีวิตของนายและคนอื่นๆอีกมากมายด้วย ” ริคุ กล่าวซึ่งนั่นทำให้เขาได้คิดขึ้นมาว่า หากเขามัวเอาแต่กลัว ก็จะทำให้ทุกคนต้อง ลำบาก “ จริงด้วยสินะแทนที่จะมานั่งกลัว สู้กล้าใช้ๆให้มันรู้แล็วรู้ไปเลยยังจะดีกว่า ” Lr กล่าว สีหน้าของเขาดูมีกำลังใจมากขึ้น ริคุที่ยืนมองเขาอย่างโล่งใจ ที่สามารถเรียกให้ Lr คนเดิมกลับมาได้แล้ว ทว่าจู่ๆก็มีเสียง ระเบิดดังขึ้นมาจากทางกำแพงเมือง พวกทหารที่พักอยู่แถวนั้น รีบพากันออกไปปกป้องประตูเมืองกันเป็นการใหญ่ “ ดูเหมือนศัตรูจะบุกแล้วล่ะ ” ริคุกล่าว สายตามุ่งมั่น ซึ่งนั่นก็พลอยทำให้ Lr รู้สึกขึงขันตามไปด้วยทั้งสองรีบ วิ่งออกไป สู่สมรภูมิรบ …………………. ……………………….. …………………………. Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: greamon on August 10, 2008, 07:33:42 PM “ ต้านไว้อย่าให้มันเข้ามาได้ ”
แม่ทัพใหญ่ของกองกำลังออกคำสั่งเสียงดัง เพื่อให้เหล่าทหาร อกไปต้านรับการโจมตีของทัพมังกรปีศาจที่ บุกมาอีกครา เจนัส ลากูน่า และ นีน่า ก็นำทัพออกแนวหน้าเพื่อเข้าทำการรบอย่างรวดเร็ว “ ชิมันมากันเยอะจริงๆ ” เจนัส สบถขณะที่ยังคงรัวกำปั้นใส่ มังกรที่พุ่งเข้ามา จนล้มลงไปกองกับพื้น ครั้งนี้พวกมันยกทัพกันมาอย่างมากมาย ทั้งพื้นดินและท้องฟ้า อีกทั้งเหล่ามังกรที่บินได้ก็หอบหิ้วเอา มังกรไฮดราขนาดยักษ์มาทิ้งลงใน ทะเลสาบของเมืองเพื่อให้มันสร้างพิษขึ้นมาในอากาศ จนควันพิษตลบอบอวลไปทั่วทำให้ ผู้คนและทหารที่อยู่บริเวณทะเลสาบตก เป็นเหยื่อของไอพิษจนถึงแก่ชีวิตทั้งหมด ขณะที่ นีน่า กำลังเล็งปืนไปยังกลุ่มมังกรที่อยู่ทัพหลัง โดยปรบกำลังปืนสูงสุด ก็มีนายทหารจากหน่วยของนางเข้ามารายงาน “ ท่านรองแม่ทัพหน่วยส่งอาวุธถูกฆ่าจนหมดทหารของเรามีอาวุธไม่พอจะเอายังไงดีครับ ” ทันทีที่นายทหารรายงานเสร็จ นีน่าก็ลดปืนลงก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่นางจะส่งสัญญาณมือให้กลุ่มทหารที่รออาวุธ ถอยออกเป็นวงกว้าง นางกดสวิตซ์ที่ปืนให้ส่งสัญญาณไปยัง แคริอุส ยานทรงกลมลอยลงมาจาก ก้อนเมฆ ก่อนจะยืดโครงเหล็กซึ่งมีอาวุธติดตามโครงที่ยื่นออกมา และยิงส่งมันทั้งหมดลง สู่เบื้องล่าง นายทหารที่มารายงานได้แต่ยืนจ้องตาค้าง ไปยังกองอาวุธ ที่พึ่งจะถูกส่งลงมาจากฟ้า “ ทีนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะจ้ะ ” นางกล่าวก่อนที่ หันไปยิงเป่าพวกมังกร นายทหารยังคงนิ่งค้างอยู่ จนนางต้องเตะเบาๆเข้าที่ ข้อเข่าของเขาเพื่อให้ได้สติ “ มัวทำอะไรอยู่บอกให้พวกนั้นเอาไปใช้ซะสิ เราต้องถ่วงเวลารอจนกว่า ลอว์เรนซ์จะมาให้ได้ ไม่งั้นศึกนี้เราแพ้แน่ ” นางกล่าว ทว่านายทหารกลับงง กับคำพูดของนางที่ว่าให้ถ่วงเวลารอ ลอว์เรนซ์กลับมา “ เอ่อคือทำไมต้องรอท่านรองแม่ทัพลอว์เรนซ์ด้วยล่ะครับเขาเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเองนะครับ ” นายทหารกล่าวถามด้วยความสงสัย แต่นีน่าก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยขณะที่ตายังคงส่องลำกล้องปืนอยู่ “ อ๋อฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมเค้าถึงได้สลดหนักขนาดนั้น เธอคิดว่าเขาช่วยเราไม่ได้หรือ ” นางกล่าวก่อนจะลั่นไกปืนออกไปเสียงระเบิดดังกึกก้องเสียจนนายทหารต้องเอามือขึ้นป้องหูไว้ นีน่าวางมือลงก่อนจะหันไปกล่าวกับเขา “ พวกเราต่างหากที่จะถูกเค้าช่วยทั้งครั้งนี้แล้วก็ครั้งที่แล้วด้วย ” นีน่ากล่าว แม้นายทหารจะยัง สับสนอยู่บ้างแต่เขาก็วิ่งจากไปเพื่อจะไปส่งคำสั่งให้นำอาวุธไปออกรบได้ “ ถ้าลอว์เรนซ์ยังไม่มาเร็วๆนี้ล่ะก็เราแพ้แน่ ” ลากูน่ากล่าวขณะที่ ตวัดกรงเล็บฟันร่างของมังกรที่วิ่งเข้ามางับแขนของเขา “ เด็กคนนั้นจะทำอะไรได้เหรอครับท่านรองลากูน่าสู้เราหาทางเองจะดีกว่า ” นายทหารกล่าวขณะที่เอาดาบรับกรงเล็บของมังกรที่บุกเข้ามา ทว่าก็มีมังกรตัวหนึ่ง พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ก่อนที่หัวของเขาจะถูกมันงาบไป มังกรตัวนั้นก็ กระเด็นปลิวลอยขึ้นฟ้าไป จากการที่ถูกเจนัสชก “ ลอว์เรนซ์น่ะไม่ได้ไร้พลังอย่างที่เห็นหรอกนะ ” เจนัสกล่าว แต่เหล่าทหารทั้งหมดก็ยังคงไม่มั่นใจในคำพูดของเขาอยู่ดี “ บ้าไปแล้วรึไงกัน ” “ นั่นสิเด็กนั่นจะไปทำอะไรได้ ” “ สงสัยจะช่วยพวกเดียวกันมั้งคงเห็นว่าเราไม่เชื่อใจก็เลยจะสร้างเรื่องรึเปล่า ” เสียงกระซิบกระซาบ ดังขึ้นท่ามกลางการสู้รบ ซึ่งแม้จะถูกเสียงดังกลบไปแต่ ด้วยประสาทหูที่ดีเยี่ยมของครึ่งสมิงทั้งสอง พวกเขาจึงได้ยินการสนทนาของเหล่าทหารทั้งหมด จึงได้เข้าใจในตอนนั้นเองว่าทำไม Lr ถึงได้พูดกับพวกเขาแบบนั้น “ เจ้าพวกนี้… ” ลากูน่ากัดฟันกรอดด้วยความโกรธ แต่เจนัสก็ปรามเขาไว้ “ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเอาเรื่องหรอก ถ้าพวกเขายังไม่ได้เห็นกับตา ” เจนัสกล่าวซึ่งแม้จะปวดใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองพวกเขาเหล่านั้น ก็คงจะไม่รับรู้ถึงความจริง “ ลอว์เรนซ์นี่นายต้องแบกรับความกดดันนี่ไว้ตลอดเลยสินะ ทั้งที่ยังกังวลว่าจะถูกครอบงำแล้วยัง ถูกบีบบังคับให้ใช้พลังอีก พวกเราไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของนายเลยแต่ตอนนี้ถ้านายไม่มาพวกเรา ต้องแพ้แน่ ” เจนัสคิด พวกเขาลืมนึกถึงความรู้สึกและภาระที่ Lr แบกรับไว้ ขณะนั้นอยู่ๆก็มีเสียงคำรามดังกึกก้องมาจากด้านหลังทัพมังกรปีศาจ ร่างมหึมาสีดำสองร่างได้บินโฉบลงมา ยังเบื้องหน้า พวกมันเป็นมังกรที่มีขนาดใหญ่ได้ครึ่งหนึ่งของ แกรนเดครอสเลยทีเดียว โดยที่ตัวนึงมีแขนที่ใหญ่โต และกรงเล็บอันทรงพลังมันคือมังกรเพลิงโลกันต์ มอนิอัส (Mornius, the Portentous Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/59.jpg) ส่วนอีกตัว มีเขาถึงสี่แฉกด้วยกัน ปีกขนาดใหญ่ที่โอบกองทัพทั้งกองได้ของมันกระพือ แต่ละครั้งนั้นบันดาลให้เกิดแรงลมสลาตัน พัดเสียจนพวกทหารรับไว้แทบไม่อยู่ มันคือมังกรแห่งการทำลายล้าง ลุมเบเลนอส (Lumbelenos, the Dragon of Destruction) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/57.jpg) “ เราคือ หัตถ์แห่ง อิเดีย ผู้สร้างและลิขิตโลกนี้… ” เสียงของมังกรทั้งสองถูกสื่อ ออกมาผ่านโทรจิตของมัน “ เจ้าพวกนี้… ” เจนัสกล่าวขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างอันมหึมาของมังกรทั้งสอง “ ระดับของพวกนี้ไม่ธรรมดาเลย ” ลากูน่ากล่าวขณะที่ประเมินพลังของมังกรยักษ์ทั้งสอง “ ต้องรีบไปช่วยสองคนนั่น ” นีน่ากล่าวก่อนจะ กระโดลงจากเชิงฐาน เพื่อไปสมทบกับพวกเจนัส “ Dark Judgment ” (การตัดสินแห่งความมืด) สิ้นคำของ มอนิอัส ก็บังเกิด มวลพลังงานทรงกลมลุกโชนขึ้นจำนวนมากมายเหนือน่านฟ้า ก่อนที่มันจะพุ่งฉวัดเฉวียน กระแทกใส่เหล่าทหารเบื้องร่างจนล้มสลบลงบ้างก็ถูกชนจน ร่างมอดไหม้ ไม่ก็ถูกกระแทกเข้าที่ศรีษะจนขาดหาย ไม่มีใครได้หนีจากการโจมตีครั้งนี้ ทหารกว่าครึ่งกอง ถูกทำลายในพริบตา ทว่ามีแต่เพียงเจนัสกับลากูน่า ซึ่งมีเกราะมนตราคุ้มกายเอาไว้ จึงรอดมาได้แม้จะถูกเฉี่ยวจนบาดเจ็บอยู่บ้าง “ End of Era ” (จุดจบแห่งประวัติศาสตร์) สิ้นคำของลุบเมเลนอส เพลิงสีดำอันร้อนระอุลูกใหญ่ก็ถูกพ่นออกจากปากของมัน และปะทะเข้ากับกำแพงเมือง เพียงพริบตากำแพงเมืองและค่ายพักด้านหลังก็ พินาศสิ้นราเป็นหน้ากลอง ด้วยพลังทำลายอันมหาศาลทำให้เหล่าทหารต่างหมดกำลังใจที่จะสู้ “ พลังเหลือร้ายอะไรขนาดนี้ ” นีน่ากล่าวแขนขาสั่นด้วยความกลัวในพลังอำนาจของมังกรทรงพลังทั้งสองตัวนี้ “ เอาไงต่อล่ะจะยอมแพ้หรือจะสูญสลายเป็นเถ้าอยู่ตรงนี้เลือกซะ ” มอนิอัสส่งกระแสจิตสื่อสารกับทุกผู้ที่อยู่ในสนามรบ “ ไม่ยอมหรอกน่า ” ลากูน่าตะโกนสุดเสียงก่อนจะพุ่งเข้าไป หาลุมเบเลนอส ทว่าก็ถูกมันพัดด้วยลมจากปีก จนปลิวกลับมา ทว่าเจ้ามังกรก็ถูกกระสุนพลังงานของนีน่ายิงกระแทกใส่ แต่ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่มันได้ “ เรื่องอะไรจะยอมให้พวกแกชนะกันล่ะ เขาคนนั้นจะต้องมาแน่พวกเราก็อย่าพึ่งท้อสิ ” นีน่ากล่าวเพื่อปลุกขวัญแก่ทหารแต่พวกเขาก็ไม่มีทีท่าจะตอบสนองต่อคำพูดของนางเลย ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของมังกรทั้งสอง “ แย่ล่ะสิพวกทหารไม่มักำลังใจจะสู้กันแล้วขืนยังสู้ต่อไปก็มีแต่จะแพ้แน่ทำยังไงดีนี่เราจะทำยังไงดี ” เจนัสครุ่นคิดขณะที่กำลังพยายามหาวิธีอยู่นั้น เขาก็ถูกกรงเล็บอันทรงพลังของมอนิอัสอัด กระเด็กครูดไปกับพื้นจนไปกระแทกเข้ากับกำแพงเมืองที่ยังเหลืออยู่ ก่อนที่มอนิอัสจะตามเข้ามา กดเขาด้วยกรงเล็บของมันอย่างรวดเร็ว และลากตัวของเขาครูดไปกับกำแพงเมือง อย่างรุนแรง เหล่าทหารคิดว่าเขาคงไม่รอดจากการโจมตีนั้นเป็นแน่ จึงพากันทิ้งอาวุธแล้วหนีกันจนเกิดกลลาหลไปทั่ว “ ฟีเลเซียสิ้นแน่แล้ว ” กษัตริย์ซิกมันต์ทรงตรัสอย่างสิ้นพระทัย ขณะที่เดินเสด็จร่วมกับเหล่าผู้ประชุมที่เดินทางมาจากทุกอาณาจักร สู่ขบวนราชรถเพื่ออพยพไปยังอีกเมือง ทว่าการเดินทางทั้งหมด ก็ถูดสกัดเอาไว้ด้วย ควันพิษจากไฮดรา “ หนีเร็วมันมาแล้ว ” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นก่อนที่เจ้าไฮดรา ยักษ์จะเลื้อยเข้ามาพร้อมกับลมควันพิษ ใส่พวกเขา “ Thunder Beak ” (จงอย อัสนีบาศ) “ Flash Flame ” (แสงจ้าเผาผลาญ) สิ้นเสียงไฮดราทังหมดก็ล้มลง ก่อนที่ลมพายุจะหอบเอาควันพิษออกไป กษัตริย์ซิกมันต์ ทรงออกจากราชรถ เพื่อทอดพระเนตรเห็นการที่เกิดขึ้น แต่ก็ทรงเห็นเพียงแค่เงาของเหล่ามังกรกริฟที่บินผ่านไปอย่างรวดเร็ว “ ไปที่กำแพงเมืองเดี๋ยวนี้ ” ซิกมันต์ตรัสก่อนที่จะทรงกลับเข้าไปยังราชรถ …… …………… ……………….. “ พวกแกสองคนจะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่แหล่ะ ” ลุมเบเลนอสสื่อผ่านกระแสจิตออกมา ก่อนะจะสะบัดปีกฟาดใส่ลากูน่า กับนีน่า ทีจะเข้าไปช่วยเจนัส ซึ่งมอนิอัสหลังจากที่กดเจนัสครูดกับกำแพงเมืองมาก็ ทุบซ้ำลงไป จนร่างของเขาจมดิน “ อึดจริงๆนะแต่ก็มาได้แค่นี้ล่ะ ” มอนิอัสสื่อกระแสจิตผ่านออกมา ก่อนที่จะยกกรงเล็บขึ้น หมายจะ บี้ เจนัส ให้แบนติดพื้น ทว่ากรงเล็บนั้นก็ถูกพวกมังกรกริฟ เข้ามาสกัดไว้ “ มาช้า….ซะจริง ” เจนัสเปรยเสียงแผ่วด้วยความอ่อนล้า “ นายน่ะหยุดไปเลยคิดยังไงถึงได้ไปแลกหมัดกับมันยังงั้น ” ริคุกล่าวขึ้นขณะที่เดินเข้ามาหาเขาที่นอนอยู่ “ หือ…แกก็จะมาตายอีกคนรึไง ” มอนิอัสกล่าวก่อนที่ออกแรงสะบัดเสียจนเหล่ามังกรกริฟทั้งหมดกระเด็นออกไป “ หึถ้าเรื่องแลกหมัดกันล่ะก็หมาป่าอย่างเจนัสอาจจะเก่งกว่าชั้นอยู่แต่สำหรับพังพอนอย่างเรา น่ะเป็นสัตว์ขี้อาย… ” ริคุกล่าวไม่ทันจบเขาก็อ้อมไปอยู่ข้างหลัง มอนิอัสพร้อมกับกลายร่างเป็นสมิงพังพอน ในพริบตา “ ดังนั้นวิธีสู้ของพวกเราก็คือจะไม่สู้ตรงๆเด็ดขาด ” สิ้นคำ ริคุก็พุ่งโแบไปมาอย่างรวดเร็ว จนมอนิอัส จับไว้ไม่ทัน ได้แต่ถูกเคียวลมกระแทกไปมาแต่ก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้ต่อเกล็ดที่ แข็งดุจเหล็กกล้า ของมันได้ “ ลอว์เรนซ์เรารีบไปช่วยพวกนีน่ากันเถอะ ” อิมซานมังกรกริฟที่กลายร่างจากไลท์กล่าวก่อนที่จะ L r ซึ่ง ตกลงมาจากหลังตอนที่ถูก มอนิอัส สะบัดมา จะขึ้นไปนั่งอีกครั้ง และบินเข้าไปต่อกรกับ ลุมเบเลนอส “ พวกแกไม่มีทางชนะได้หรอก ” ลุมเบเลนอสสื่อกระแสจิต ก่อนจะพ่นเพลิงพิฆาตออกมา เหล่ามังกรกริฟทั้งหก ต่างได้รับความเสียหายจากการโจมตีของมันและกลับร่างเป็นลูกมังกร รวมทั้ง Lr ก็ถูกไฟลวกข้าที่แขนเช่นกัน “ ไวนักนะเจ้าพังพอน ถ้างั้นเพื่อนของแกข้าจะฆ่าทิ้งซะให้หมดดูสิว่าแกจะเร็วพอ ไปช่วยพวกมันไหม ” มอนิอัสสื่อความคิดจบก็สร้างมวลพลังงานทรงกลมขึ้นมาจำนวนมากอีกครั้งก่อนที่ ทั้งหมดจะพุ่งตรงไปยังนีน่า ริคุจึงเผลอหยุดดดยไม่รู้ตัว และตัวมอนิอัสกดทับไว้ด้วยกรงเล็บของมัน “ นีน่า…หนีไปเร็ว ” ริคุพยายามตะโกนเพื่อให้นีน่า หนีไปจากวิธีกระสุนทว่ามันมายเกินไปกว่าที่นางจะหนีทัน เสียงตุบตับราวกับว่าลูกพลังงานทั้งหมดกระทบกับเกราะหรืออะไรซักอย่างดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เจนัสเอาตัวเข้ารับกระสุนทั้งหมดเอาไว้ จนเลือดไหลอาบไปทั้งตัว “ รักกันดีนักก็ตายไปซะทั้งคู่เลย ” ลูกพลังงานทั้งหมดยังพุ่งเข้าใส่แลวนกลับไปมาเรื่อยๆจนในที่สุดเจนัสก็ทรุดตัวลง ลูกพลังงานทั้งหมดเรียงตัวกันอีกครั้งเพื่อที่จะปิดฉากทั้งคู่ “ พี่หนีเร็ว ” ลากูน่ากล่าวขณะที่จะเข้าไปช่วยทั้งสองแต่ก็ ถูกลุมเบเลนอสเหยียบร่างเอาไว้ จมคากรงเล็บ ของมัน Title: Re: Legend of The Thaliwilya updateบทที่ 28ปลายทางแห่งจิตใจทั้ง6นามนั้นคือAmank Post by: greamon on August 10, 2008, 07:33:51 PM “ ลากูน่า.. ”
Lr กล่าวเสียงผวาหลังจากที่เห็นร่างของลากูน่าจมหายไปกับกรงเล็บของเจ้ามังกรยักษ์ต่อหน้าต่อตา ลูกพลังงานทั้งหมด พุ่งตรงเข้าหาเจนัสกับนีน่า อย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้น Lr ได้วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่น นีน่าที่พยายามโอบร่างบอบช้ำของเจนัสเอาไว้ ทั้งคู่หลับตาด้วยความระทึก ว่าจะตายเมื่อใดทว่าเมื่อนานเข้าแล้ว พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไรแต่อย่างใดพวกเขาทั้งคู่จึง เปิดตาขึ้น ภาพตรงหน้านั้นแทบจะทำเอาหัวใจพวกเขาหยุดเต้นเสียตรงนั้นให้ได้ Lr ได้เอาร่างของตนเขามารับการโจมตีของลูกพลังทั้งหมดเอาไว้ ด้วยร่างที่ไม่ได้รับการคุ้มกันจากอะไรเลย ความเจ็บปวดที่เขารับไว้นั้น อาจทำให้เขาตายไปทั้งที่ยังยืนอยู่นี่ก็เป็นได้ “ ล…ลอว์เรนซ์ ” นีน่ากล่าวเพื่อที่จะดูว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ “ ทั้ง…สองคนไม่เป็นไรนะ ” Lr หันกลับมากล่าวอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าที่ เต็มไปด้วยบาดแผล และรอยไหม้จางๆ เขารู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดทั้งหมด นั้นเขาแทบจะไม่รู้สึกเลย ภาพของเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเขาค่อนๆเรือนลาง ลงก่อนที่ทุกอย่างจะพร่ามัวไปหมด ร่างของเขาล้มลงต่อหน้าเพื่อนๆ “ ลอว์เรนซ์ ” เสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาดังระงม แต่เขาก็ได้ยินมันเลือนรางก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป [อวสาน Lr ตายอิเดียยึดครองโลกเทอร่าได้ ยุคมืดได้มาถึง ซะ.เมื่อ.ไร] ……………. ………………. ……………….. ณ โรงเรียนมังกร “ เป็นอะไรไปรึเห็นนิ่งไปตั้งนานแล้ว ” ดีวายดราก้อนซึ่งเป็นพ่อของไลท์กล่าวกับกาเร็ท หลังจากที่เห็นเขาเงียบอยู่นาน “ อ…เอ่อคือผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลยที่ให้น้องชายกับพวกนั้นอยู่รับมือกับพวกมัน ” กาเร็ทกล่าวเขารู้สึกเป็นห่วง ลอว์เรนซ์ที่ทิ้งให้เขาอยู่กับพวกเจนัสเพื่อสู้กับศัตรู ในขณะที่ตัวเขามาส่งพวกทังกรทั้งหมดที่ช่วยออกมาได้ “ เพราะมิติยังไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม ระยะนี้ก็คงต้องให้พวกมังกรทั้งหมดมาหลบภัยกันอยู่ที่โรงเรียนซะก่อน ส่วนกองทัพของพวกเรานั้น กำลังรวบรวมกำลังอยู่ กว่าจะไปช่วยรบด้วยได้ก็คงต้องรออีกซักระยะ ” ดีวายดราก้อนกล่าว ขณะนั้นเทียแมตก็ได้เดินเข้ามาหาทั้งคู่ “ ถ้ายังไงก็ไปเถอะจะได้สบายใจ อีกอย่างมีของที่ต้องเอาไปให้เขาไม่ใช่รึไง ” เทียแมตกล่าวก่อนที่จะมองค้อนไปยังดอกไม้ผลึกใสที่ กาเร็ทถือเอาไว้ “ อืม..ที่จริงตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวแล้วล่ะนะที่เหลือพวกเราจะจัดการกันเองเธอไปเถอะ ” ดีวายดราก้อนกล่าว “ งั้นผมไปนะครับ ท่านมังกรขาว แล้วเจอกับครับ…พ่อ ” กาเร็ทกล่าวลาทั้งสองโดยเรียกเทียแมตว่าพ่อ ตามที่เทียแมตอนุญาติไปแล้วเมื่อครั้งที่มา หาข้อมูลที่โรงเรียนนี้ ก่อนจะให้ดาบกลายเป็น นิลทูเรี่ยน แล้วขี่บินไปยังฟีเลเซีย …………… …………………. ……………………… รอบๆขาวโพลนไปทั่วสภาพรอบที่คุ้นเคยนี้ เกิดขึ้นอีกครั้ง Lr เดินตรงไปเรื่อยๆราวกับจะ หาอะไรบางอย่างจนเมื่อเขาเห็นเงา ของใครบางคนอยู่ตรงหน้าเขาจึงรีบเร่งฝีเท้า ให้เร็วขึ้นๆ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าชายแก่ที่เคยอยู่กับตัวเขาอีกคนหนึ่ง “ แฮ่ก แฮ่ก ….ในที่สุดก็เจอท่านจนได้ ทาลิวิลย่าคนก่อน ” Lr กล่าวขณะที่หอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ ที่เจ้ากลับมานี่แสดงว่าเจ้ายอมที่จะแบกรับชะตาของตัวเองแล้วใช่มั้ย ” ชายแก่กล่าว คำถามของเขาทำให้ Lr ตีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “ ถึงผมจะพยายามหนีไปแค่ไหนสุดท้ายผมก็คงหนีไม่พ้นความจริงที่ ตัวผมเป็นต้นเหตุให้ทุกคนต้องมารับเคราะห์ ผมไม่อาจหนีต่อไปได้อีกแล้ว ” Lr กล่าวหลังจากที่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย ในที่สุดเขาก็ตระหนักแล้วว่า เขาไม่มีทางที่จะหนีจากความจริงข้อนี้ไปได้ เขาที่ไม่เคยคิดว่าตนคือร่างอวตารของอัศวิน มังกรแห่งตำนาน และพยายามหนีจากมัน บัดนี้เขาพร้อมที่จะยอมรับมันแล้ว “ งั้นต่อจากนี้ไปเธอจะทำอย่างไรล่ะตัวเธอในตอนนี้ ได้ตายไปแล้ว ” ชายแก่กล่าวก่อนที่ภาพ สถานการณ์ณ์ข้างนอกจะปรากฏ เพื่อนๆของเขา เศร้าสลดกับการจากไปของเขา ลากูน่าที่ถูกลุมเบเลนอสเหยียบอยู่ได้เค้นแรงยก กรงเล็บของมันออก อย่างแค้นเคือง ทว่าเขาก็ถูกลูกพลังงานของมอนิอัส กระแทจนไปกองกับเจนัสและนีน่า ส่นริคุก็ถูกมอนิอัสเหวี่ยงซ้ำเข้าไปใส่พวกเขาอีก “ ผมอยากช่วยทุกๆคนช่วยมอบพลังให้ผมด้วย ” Lr กล่าวเสียงหนักแน่น “ แม้ว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นอีกคนน่ะรึ..เพราะตัวเจ้าในตอนนี้ไม่มีพลังชีวิตที่มากพอจะกลับไปได้แล้ว ” ชายแก่กล่าว โดยหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าที่ผิดหวังของเด็กน้อยทว่า “ ครับขอแค่ให้ผมกลับไปช่วยพวกเขาได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ” Lr กล่าวสายตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น นั่นทำให้ชายแก่แปลกใจเป็นที่สุด “ เพื่อนๆของเธออาจจะต้องถูกเธอทำร้ายอีกก็ได้… ” “ ไม่ครับผมจะพยายาม…จะควบคุมตัวเองให้ได้จะไม่ให้อีกจิตใจของผมเข้าครอบงำเด็ดขาด ” Lr แทรกขึ้นขณะที่ชายแก่ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค เขายิ้มน้อยๆก่อนจะลูบหัวของ Lr ด้วย ความเอ็นดู “ เธอนี่เป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ…แล้วเธอล่ะว่ายังไง ” ชายแก่กล่าวก่อนจะหยุดแล้วหันไปถามกับใครบางคนที่มาอยู่ด้านหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใครคนนั้นก็คือตัวเขาอีกคนที่เป็นมุรามาซะโซลนั่นเอง “ เฮอะ..อย่าให้พูดดีกว่าใช่ว่าข้าอยากจะญาติดี กับมันนักหรอก ” มุรามาซะโซล สบถด้วยความไม่พอใจ ซึ่งกิริยาของเขาทำให้ชายแก่อดอมยิ้มด้วยความขบขันเสียไม่ได้ ทำให้มุรามาซะโซลหันมามองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรชายแก่ “ เธอก็ผ่านการทดสอบจากข้าแล้วล่ะ ” ชายแก่กล่าวก่อนที่ร่างของเขาจะเปล่งแสงและกลายเป็น ดาบทองแดงซึ่งสักอักขระ แปลกตาเอาไว้ตั้งแต่ด้าม จนถึงคม กรรเชียวดาบมีลักษณะเป็นเขายื่นขึ้น ตัวดาบลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับที่บริเวณรอบเริ่มมืดลงเรื่อยๆ “ งั้นก็จงรับมาคายาเดียเล่มนี้ไป..นี่คือก้าวแรกของเธอจากนี้ไปจงตามหาโล่ มิคาเอลซึ่งเป็นอีกสิ่งที่จำเป็นสำหรับเธอ ” ดาบกล่าวออกมาด้วยเสียงอันกึกก้องพร้อมกับภาพของโล่ที่เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันเป็นโล่สีทองหยักตลอดปลายจากแกนกลางซึ่งเป็นอัญมณีสีน้ำเงิน ภาพได้หายไปพร้อมกับที่ Lr คว้าดาบมาไว้ในมือ ในขณะที่มุรามาซะโซล กำลังเปิดประตูมิติขึ้น “ เอ้าจะไปกันได้ยังข้ายังต้องรวมจิตกับแกเพื่อกลับร่างนะ แล้วก็ความ ทรงจำของข้าก็จะถูกส่งถ่ายให้แกด้วย ” มุรามาซะโซลกล่าวจบก็กระโดเข้าไปในประตู ซึ่ง Lr ก็ตามไปแต่โดยดี ก่อนที่ประตูจะปิดลง ภายในมิตินั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ร่างเขากับมุรามาซะโซลค่อยๆประสานเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นความทรงจำของมุรามาซะโซลในช่วงที่อยู่กับอิเดีย และตอนที่สู้กับเพื่อนๆของเขา ก็ไหลเข้ามา ทั้งเรื่องโศกนาฏกรรม ของครอบครัวที่อิเดยเล่าผ่าน มุรามาซะโซล รวมไปถึงเรื่องที่พี่ชาย ปล่อยให้เขากับแม่ถูกเทียแมตทำร้ายโดยที่เอาแต่หวาดกลัว ……………… ………………… …………………. “ จะไม่มีอนาคตสำหรับพวกแกอีกแล้ว No Future ” สิ้นคำมอนิอัสก็ เรียกให้ลูกพลังทั้งหมดกลับมารวมกันที่กรงเล็บของมัน ก่อนที่จะประสานมันเข้าด้วยกันจนเกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรง แสงระเบิดที่เคลื่อนตัวเข้ามาพวกเขาที่กองกันอยู่อย่างรวดเร็ว “ ต…ต้องหนีแล้ว ” นีน่ากล่าวด้วยความกระวนกระวายขณะที่ค่อยๆพยุงร่างของเจนัส ขึ้นพร้อมๆกันกับที่ริคุพยุงลากูน่าขึ้นมา แต่ทว่าแสงระเบิดกพุ่งผ่านพวกเขาไปเสียแล้ว เหล่าทหารที่อยู่รอบๆพากันทรุดตัวล้มลงนั่ง ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก พวกเขาไม่อาจหนีหรือสู้กับพวกมันได้เลย ขบวนราชรถ ของซิกมันต์ได้มาถึงพร้อมกับเหล่าณะประกาศกและพวกฮารีซัน ภาพตรงหน้านั้นคือสนามรบที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แสงระเบิดยังคงส่องสว่างและหยุดอยู่ แค่รัศมีนั้น หลังจากที่กลืนร่างของ Lr และเพื่อนๆทั้งหมดลงไปแล้ว จู่ๆก็แสงระเบิดก็สลายไปราวกับถูกอะไรบางอย่างผ่า จนสายไป ท่ามกลางความสับสนของเหล่าทหารที่จับจ้องไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ร่างของ Lr ที่น่าจะตายไปแล้ว ได้เรืองแสงสีทองเขายืนกำบังพวกเจนัสไว้จากแรงระเบิด ลูกมังกรทั้งหกที่ ได้บินเข้ามาหาเขาด้วยความดีใจ ที่เขายังไม่ตาย ท่ามกลางสายตาที่ ไม่อยากเชื่อในปาฏิหารย์ ที่บังเกิดขึ้นตรงหน้า “ ล..ลอเรนซ์ ” นีน่าอุทานขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อในสายตาของตน “ ยังไม่ตายสินะนายนี่อึดเป็นบ้าเลย ” ลากูน่ากล่าวหยอก ด้วยความดีใจ “ ถ้านั่นยังทำให้นายตายไม่ได้ก็คงไม่มีอะไรฆ่านายได้แล้วล่ะ ” เจนัสกล่าว “ แสดงให้พวกมันเห็นไปเลยว่านายคือผู้กล้า ” ริคุกล่าว ซึ่งแรงใจจากเพื่อนที่ส่งมาให้เขานั้น ทำให้เขาไม่กลัวอีกต่อไปที่จะใช้พลังของตน ยานมังกรเทียมไซเบอริก้า ได้แหวกหมู่เมฆลงมาพร้อมกับ เปิดช่องที่ใต้ท้องยาน ออกก่อนจะยิงดาบ ที่เหมือนกับในมโนภาพที่เขาเห็น ลงมาเขาคว้ามันไว้ก่อนที่ แสงจะเปล่งประกายเจิดจ้า ดราก้อนฮอลลี่เริ่มทำปฏิกิริยากับแสงนั้น กก่อนที่เปล่งแสงสีรุ้งออกมา “ Metamorphose Fusion ” เสียงดังขึนมาจากดราก้อนฮอลลี่ ก่อนที่แสงจะจางลง Lr ได้กลายเป็นทาลูคูส ไปแล้วโดยที่ไม่ต้องรวมร่าง กับ ไลท์ ร่างอัศวินมังกรสีขาวที่ลอยตัวอยู่เหนือสนามรบทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเริ่มกลับมา ทาลูคูสตวัดดาบเป็นกากบาทอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นมังกรพลังงานสีขาว พุ่งเข้ากวาดล้างเหล่ามังกรปีศาจทั้งหมด ก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นทาเวนทอส และ อัญเชิญมังกรพลังงานสีเขียวให้พุ่งเข้าไปในเมืองและจัดการพัดหอบเอาพวกมังกร ที่บุกเข้าไปออกมารวมกันด้านนอก พร้อมกับหมุนตัวเปลี่ยนร่าง อีกครั้งในครั้งนี้ ทาโซรอส มังกรพลังงานสีน้ำตาลพุ่งลงไป รัดรวบพวกมังกรทั้งหมดที่ถูกหอบมาเอาไว้ ก่อนที่จทาโซรอสจะเปลี่ยนร่างอีกครั้ง เป็นทาลิคนัส มังกรพลังงานสีแดงประดุจเพลิงโลกัณฑ์ พุ่งเข้าเผาผลาญศัตรูทั้งหมดจนเหลือไว้เพียงแค่กองเพลิง ที่ตกค้างไปทั่วสนามรบ ก่อนจะเปลี่ยนร่างอีกครั้งเป็นทาลิควาส มังกรพลังงานสีน้ำเงิน พุ่งเข้า ชนร่างของมอนิอัสจนล้มทับกำแพงเมืองที่เหลืออยู่ ก่อนที่จะเปลี่ยนร่างอีกครั้งเป็น ทาไนซ และยิงมังกรพลังงานสีดำ เข้าใส่ลุมเบเลนอส จนถอยห่างไป พร้อมกับที่กลับร่างเป็น Lr อีกครั้ง “ Weapon Fusion Metamorphose ” ของดราก้อนฮอลลี่ มังกรพลังทุกสีที่เรียกออกมาก็รวมตัวจากพลังงานที่ตกค้างอยู่ มารวมกันยังร่างของเขา “ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดฟันไปสู่อนาคตจงจำนามเราไว้ เทพแห่งอัศวินมังกร ทาลิวิลย่า (Thaliwilya, the God of Dragoon) ” เสียงดังขึ้นจากร่างที่เปล่งแสงเจิดจ้าก่อนจะจางลงเผยให้เห็นร่างสีทองอาร่ามตาของอัศวินมังกรตนนี้ ในมือซ้ายถือดาบมาคายาเดีย (Macarhyadia, the Blade of Thaliwilya) ที่เสียบอยูในฝักเอาไว้ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/24.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/67.jpg) “ คิดจะก้าวไปยังอนาคตงั้นรึน่าขำสิ้นดี ” มอนิอัส สื่อความคิดออกมาก่อนจะลุกขึ้น มารวมพลังงานอีกครั้ง “ เราจะให้มันเป็นอดีตเองเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ” ลุมเบเลนอส สื่อความคิดของมันออกมา ก่อนจะสะสมประจุเพลิงไว้ในปากอย่างรวดเร็ว “ อนาคตจะสูญสิ้นหรือพวกแกจะหายไปก่อนกันถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู ” ทาลิวิลย่า กล่าวก่อนจะชักมาคายาเดียออกจากฝัก “ No Future ”(ไม่มีอนาคต) “ End of Era ”(จุดจบแห่งประวัติศาสตร์) สิ้นคำการโจมตีของมังกรทั้งสองก็พุ่งเข้าหาทาลิวิลย่าในทันที “ ข้าแต่มังกรผู้ยิ่งยงมหาเทพผู้ทรงอำนาจ จักใช้เสียงคำรามกึกก้องกัมปนาททำลายมาร Great of Dragon ” สิ้นคำทาลิวิลย่า ก็ตวัดดาบในมือ มังกรพลังงานจำนวนมากลงมาจากฟ้าราวกับสายฟ้าฟาด โดยที่ทุกตัวพุ่งไปตามความนึกคิดของทาลิวิลย่า พวกมันกระแทกใส่การโจมตีที่รุนแรงของมังกรทั้งสอง จนแตกสลายก่อนจะเล็งเป้าไปยังพวกมัน มังกรพลังงานทั้งหมด พุ่งเข้าระเบิดใส่ร่างของพวกมันจน ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักทั้งที่ตลอดการต่อสู้มานั้น แทบจะไม่มีอะไรทำอันตรายมันได้เลย “ ข…แข็งแกร่ง….สมแล้วที่เป็นพลังของอัศวินมังกรแห่งตำนาน ” มังกรทั้งสองส่งกระแสความนึกคิดออกมา ก่อนจะลุกขึ้นถอยหนี “ คิดหนีงั้นหรือ อย่าได้หวัง ” ทาลิวิลย่ากล่าวจบก็ตวัดดาบออกไปมังกรพลังงานทั้งหมดพุ่งลงมาอีกครา ทว่า เทพขุนพลนักประดิษฐ์ ก็ปรากฏตัวขึ้น และเปิดปนะตูมิติให้มังกรทั้งสองหนีไปสำเร็จ แต่เขาก็ถูกมังกรพลังงานทั้งหมดเล็งเป้าแทน ทันใดนั้น ก็มีบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้เร็ว จนเห็นเป็นแสง พุ่งลงทำลายมังกรพลังงานทั้งหมดก่อนจะถึงตัวเขา เจ้าสิ่งนั้นคือ ผู้พิทักษ์แห่งตราเล็คดีทีโอ้ (The Guardian of Lexdetheo Seal) ซึ่งเป็นเสมือนทูตสวรรค์องค์หนึ่งเลยทีเดียว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/4.jpg) “ ผู้พิทักษ์ตราแห่งศาสนา เล็คดีทีโอ้ ทำไมถึงได้ไปเข้าร่วมกับฝ่ายนั้นล่ะ ” คาดินัล มาสซิลิโอ้ที่รู้จักตรานี้เป็นอย่างดีถึงกับอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา นักประดิษฐ์ไม่กล่าวอะไร เพียงแต่เปิดประตูมิติอีกครั้ง ก่อนจะเดินกะโผลก กะเผลก เข้าไปในประตู พร้อมกับที่ผู้พิทักษ์ตราจะเหินกลับขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ได้สิ้นสุดลง อย่างรวดเร็วทันทีที่อัศวินมังกรแห่งตำนานได้ปรากฏกายขึ้น สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้คนเป็นอันมาก เหล่าทหารต่างโห่ร้องอย่างมีชัย “ ที่ท่านบอกให้รอก็คือนี่สินะตอนนี้เราไม่คลางแคลงใจแต่อย่างใดแล้วล่ะ ” องค์หญิงเรจิน่าตรัสกับเกรเกอรี่ที่ยืนอยู่ข้างที่ประทับ “ ที่พวกรองพูดกันว่าให้รอ ท่านรองลอว์เรนซ์ก็เพราะอย่างนี้นี่เอง ” “ ไม่อยากเชื่อเลยรองแม่ทัพเด็กคนนั้นจะเป็นอัศวินมังกรแห่งตำนานที่เคย ช่วยกองทัพเรากวาดล้างพวกโฮลี่ไนท์แมร์ ” “ ถ้ามีท่านรองแม่ทัพลอว์เรนซือยู่ล่ะก็พวกเราต้องชนะแน่นอน ” เสียงสรรเสริญ เขาดังไปทั่วในวีระกรรมที่เขาได้ทำลงไป เพียงไม่นานนัก ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกทหารต่อเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นพวกทหารเริ่มเชื่อฟังเขาในฐานะที่เป็นผู้นำขึ้นมาบ้างแล้ว ………………… ……………………….. …………………………… สองวันต่อมา “ เมทาไนท์กลับมาแล้วเหรอ ” Lr กล่าวหลังจากที่ได้ยินข่าวการกลับมาของเมทาไนท์ซึ่งก็คือกาเร็ท จากปากของไลท์ก็พากันออกไปต้อนรับ ทันทีที่ไปถึงเขาก็เห็นพวกเจนัสรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เจนัสและทุกคนแหวกทาง ให้ Lr ที่ได้เห็นหน้าของเมทาไนท์ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ชุดเกราะอีกครั้ง กับดาบ มิรัยเคน ที่อยู่ในมือ ความทรงจำในส่วนของมุรามาซะโซลก็ได้ทำให้เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเมทาไนท์ในทันที “ พี่…เมทาไนท์คือพี่กาเร็ทงั้นเหรอ ” Lr กล่าวออกมาก่อนจะล้วงเอา สายคาดข้อมือที่เคนได้รับมาจากกาเร็ท ขึ้นมาดู เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที นีน่าที่เห็นว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดก็รู้สึกแปลกใจพอๆกับกาเร็ท ที่เขารู้ว่าตนเป็นพี่ชายของเขา “ ทำไม.. ” Lr กล่าวขึ้นมาอย่างปุบปับ กาเร็ทจึงรู้สึกแปลกใจทว่าทันทีที่ดาบมาคายาเดียพุ่งจากฟ้าลงมา ปักลงไม่ไกลนัก ทำให้สัญชาตญาณเตือนเขาว่า เรื่องคงจบไม่สวยแน่ “ ทำไมตอนนั้นพี่ถึงปล่อยให้แม่ตาย…ผมจะไม่ยกโทษให้พี่เด็ดขาด ” Lr กล่าวจบก็ชักดาบขึ้นมาจากพื้นและพุ่งเข้าฟันใส่พี่ของตน โปรดติดตามตอนต่อไป “ ทิ้งผมกับแม่ไว้แล้วหนีไป..ตอนนี้กลับจะมาช่วยผมไปเพื่ออะไรกัน ” “ คนที่ทิ้งคนอื่นแล้วเอาตัวรอดไปอย่างพี่แม้แต่โล่วิเศษก็ยังไปอยู่ในมืออีกเหรอ ” “ ถ้าเช่นนั้นผมจะฆ่าพี่แล้วเอามาซะพร้อมกับทุกอย่างที่พี่เอามันไป ” “ พี่ได้ไปหมดในสิ่งที่ผมไม่มี ทั้งอาวุธทั้งความรักความทรงจำเกี่ยวกับแม่พี่พรากมันไปหมด ” ความคับแค้นในโชคชะตาที่นำมาซึ่งการห้ำหั่นระหว่างพี่น้อง “ เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะลาก่อนนะ เซโร่ เรโค่ ” “ ถ้าแกจะปกป้องนังเด็กนี่ล่ะก็แกกับชั้นก็ขาดกันแต่เดี๋ยวนี้ล่ะ ” “ ผมขอโทษครับคุณปู่…ลาก่อน ” “ เซโร่เจ้าจงเดินไปตามทางที่เชื่อมั่นเถอะข้าเชื่อว่าซักวันเราคงจะได้พบกันอีก ” อดีตที่เต็มไปด้วยการแยกจากของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ “ จิตที่เข้มแข็งคือพลังไปสู่วันพรุ่งนี้นามข้าคือโล่แห่งศรัทธา…. ” ติดตามได้ในบทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ ไปๆมาๆ ชักจะ งง กับตัวเองแล้ว ไหงตัวละครมันถึงได้เยอะอย่างนี้ นี่ปาเข้าไปเกือบ20ตัวแล้วนะเนี่ยที่ต้องบรรยาย ว่าแต่สะใจดีจัง ดถูกู LR กันดีนัก โชว์เกรียน เอ้ยเทพให้เห็นเลยเป็นไง ว่าแต่นี่จะเอานีน่าจังมาเพิ่มอีกตัวดีไหมเนี่ย อิจิอิมาแว้ว ลูกครึ่งฟีนิกซ์ซะด้วย ตกลงเรื่องนี้หา ไอ้ตัวที่มันเป็นคนไม่ได้เลยล่ะมั้งเนี่ย เป็นลูกครึ่งไปไหมด ขนาดสมิงยังเป็นครึ่งเลย เหอๆ เกือบลืม พรุ่งนี้อัพอีกบทตอนเย็นๆหน่อย Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 29 ดาบแห่งความกล้า Post by: boy on August 10, 2008, 08:48:20 PM ไหงเรื่องราวมัน.....................แย่ลง...แย่ลงล่ะเนี่ย เฮ้อ-------------
ตอนแรกก็เป็นมุรามาซะ โซลเสร็จก็มาหดหู่แล้วก็มาห้ำหั่นเป็นหมูสับกันอีก ::006:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 29 ดาบแห่งความกล้า Post by: cocka-c on August 10, 2008, 08:52:04 PM นั่นสิช่วงนี้ไมมันมีแต่ขาลงอย่างเดียวเลย สงสารตัวละครอ่ะ แต่คงเพราะใกล้อวสานแล้ว
มั้งมันเลยมีเรื่องตลอดว่าแต่เวอร์ไปเปล่าให้อิเดียเป็นพระเจ้าเนี่ย แล้วใครที่ไหนมันจะไปสู้ได้ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 29 ดาบแห่งความกล้า Post by: greamon on August 11, 2008, 08:06:03 PM บทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ
Lr ที่หันคมดาบเข้าหากาเร็ทพี่ชายของตน ทำให้กาเร็ทต้องยกดาบขึ้นประมือกับน้องชายทั้งที่ไม่เต็มใจ ทั้งคู่ประดาบกันโดยถอยห่างออกจากพวกเจนัสที่ยืนมองด้วยความประหลาดใจ ต้องรีบห้ามแล้ว นีน่ากล่าวขณะที่จะเข้าไป แต่เจนัสก็เข้ามาขวางไว้ ถอยไปนะเจนัสถ้าปล่อยไว้ Lr อาจจะฆ่าพี่ชายของตัวเองก็ได้นะ นีน่ากล่าวขณะที่พยายามผลักแขนของเจนัสออกไป ถึงไปก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก..นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจเองเถอะ เจนัสกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น ด้วยเพราะเขาเป็นพี่คนเหมือนกันจึงรู้ดีว่า ควรจะทำอย่างไร ซึ่งริคุกับลากูน่าก็เห็นด้วยที่จะให้พวกเขาแก้ปัญหากันเอง เมื่อเป็นดังนี้ นีน่าจึงยอมสงบลง และปล่อยให้สองพี่น้องประดาบกันต่อไป ทว่าฝ่ายที่ลงดาบนั้นกลับเป็น Lr เสียฝ่ายเดียว เพราะกาเร็ทเอาแต่รับโดยไม่ตอบโต้ ทิ้งผมกับแม่ไว้แล้วหนีไป..ตอนนี้กลับจะมาช่วยผมไปเพื่ออะไรกัน Lr กล่าวเสียงแข็งขณะที่ออกแรงลงดาบหนักขึ้นเรื่อยๆ กาเร็ทยกดาบขึ้นรับไว้ก่อนจะผงะถอยออกมา และโยนดาบขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่มันจะกลายเป็นมังกรนิลทูเรี่ยน และฟาดหางอันทรงพลังของมันใส่ Lr ทว่าเขาก็กระโดดข้ามหางมันไป พร้อมกับกระโจนใส่กาเร็ทในทันที กาเร็ทจึงต้องยกเอาโล่ทองซึ่งมีอัญมณีสีน้ำเงินใสอยู่ตรงกลาง Lr จำมันได้ในทันทีโล่ที่ เขาเห็นในมโนจิตนั้นคือโล่ที่พี่ของเขาใช้มาตลอด จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม โล่นั่นถึงได้มีพลังที่สามารถช่วยให้พวกเขารอดมาได้หลายคราแล้ว มันคือโล่วิเศษ มิคาเอล อันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องตามหามันในฐานะร่างอวตารแห่งทาลิวิลย่า ซึ่งบัดนี้มันได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด อย่างบอกไม่ถูก มังกรนิลทูเรี่ยน ที่ถูกเรียกออกมาจากดาบของกาเร็ทคิดที่จะโจมตีเต็ม กำลังใส่เขา ทว่าอยู่ๆมันก็ เลิกไปและหันไปใช้หางฟาดใส่แทน เชอะไม่คิดจะเอาจริงกับเรางั้นเหรอ . Lr คิดขณะที่เอี้ยวตัวหลบ หางของนิลทูเรี่ยนที่ฟาดลงมา เขารู้แล้วว่าพี่ชายไม่ได้คิดจะสู้กับเขาจริงจัง จึงคิดจะยั่วยุ คนที่ทิ้งคนอื่นแล้วเอาตัวรอดไปอย่างพี่แม้แต่โล่วิเศษก็ยังไปอยู่ในมืออีกเหรอ Lr กล่าวออกมาโดยไม่คำนึงเลยว่าใครจะคิดยังไง วาจา กิริยา ของเขาแทบไม่ต่างไปจาก พวกอันธพาล เลยทีเดียว ลอว์เรนซ์ดูแปลกๆไปนะเขาถูกมุรามาซะโซลเข้าสิงอยู่รึเปล่า ลากูน่ากล่าวอย่างวิตก ว่าเรื่องจะไปกันใหญ่ ไม่หรอก เขาไม่ได้ถูกสิงหรืออะไรทั้งนั้น แต่ดูเหมือนเขาจะได้รับเอานิสัยมาจากมันมากกว่า เจนัสกล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ เป็นไปได้มั้ยว่าตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาทั้งที่น่าจะตายไปแล้ว มุรามาซะโซลฉวยโอกาสเข้าสิงแทนน่ะ นีน่ากล่าวแสดงความเห็น ซึ่งก็น่าคิดแต่ริคุกลับส่ายหัวก่อนจะกล่าวต่อ ถ้านั่นเป็นมุรามาซะโซลจริงล่ะก็ป่านนี้พวกเราคงไม่ได้อยู่มาถึงนี่หรอก ถ้าจะให้เดาล่ะก็วิญญาณของเขาอาจจะรวมเข้ากับมุรามาซะโซล เพื่อฟื้นพลังชีวิตมากกว่านั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาในตอนนี้มีนิสัยที่เปลี่ยนไปด้วย ริคุ อธิบาย งั้นที่จริงมุรามาซะโซลก็น่าจะเป็นนิสัยที่เขาเก็บงำเอาไว้จนเกิดเป็นอีกจิตใจขึ้นมาสินะ ไลท์กล่าวออกมาเป็นภาษามนุษย์ เพื่อที่จะร่วมสนทนากับพวกเขาด้วย กีซซซซซ (ก็จริงอย่างว่าล่ะเจ้านั่นเมื่อก่อนก็ชอบเก็บเรื่องไปคิดอยู่คนเดียวตลอดเลย) ไฟร์คำรามเสียงขุ่นอย่างไม่พอใจนัก นี่ไฟร์หัดพูดภาษามนุษย์ไว้บ้างก็ดีนะ เพราะเราก็อยู่ร่วมกับมนุษย์มาเกือบปีแล้วนา วิลแกล้งหยอกไฟร์ ในเรื่องที่เขาพูดภาษามนุษย์ได้ไม่คล่อง เพราะถืออคติกับลอว์เรนซ์มาก่อน กีซซซซซ (เรื่องของชั้นน่า) ไฟร์ตะคอกด้วยความรำคาญ แต่ฉันก็เห็นด้วยกับวิลนะ เธอควรจะหัดพูดซะบ้างก็ดีใช่ว่ามนุษย์ที่เธอจะสื่อสารด้วยจะมีแค่ลอว์เรนซ์นี่ ดาร์คกล่าวขณะที่ สายตายังคงมองการปะทะกันของ ลอว์เรนซ์อยู่ กีซซซซ (งั้นขอถามนะนอกจากสองคนนั่นแล้วไอ้ที่ยืนอยู่ตรงเนี้ยเรียกว่ามนุษย์ได้ซักคนมั้ย) ไฟร์กล่าวซึ่งคำพูดของเขาทำให้ลูกมังกรทั้งห้าตัวอด หัวเราะด้วยความขบขำกับ สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ เพราะที่จ้อกันอยู่ตั้งนานนี่พวกเขาแค่สนทนากันในภาษามนุษย์ เท่านั้นแต่พวกเขาทั้งหมดนอกจากลอว์เรนซ์และกาเร็ท ไม่มีใครที่เป็นมนุษย์จริงๆ เลยซักคน พวกลูกมังกรไม่สบายรึเปล่าน่ะ กลิ้งหัวเราะท้องแข็งอย่างนั้น นีน่ากล่าวด้วยความสงสัย ขณะที่มองลูกมังกรทั้งห้านอกจากไฟร์เอาแต่เกลือก กลิ้ง หัวเราะไปมา อย่าไปสนใจเลย พวกเขาคงแค่คุยเรื่องขำขันกันน่ะ ริคุกล่าวแก้ให้ ด้วยความเหนื่อยใจ ทำไมเล่นกันไม่ดูเวลาเลยนะเจ้าพวกนี้ ลากูน่าแอบคิดอยู่ลึกๆ ในขณะที่เจนัสไม่ได้สนใจกับการสนทนาเล็กๆ แม้แต่น้อย สายตาของเขายังคงจับจ้องที่การต่อสู้ของ Lr ที่ยิ่งทวีความรุนแรงและความเร็วขึ้นเรื่อยๆ หางของนิลทูเรี่ยนฟาดตวัดเป็นพัลวัลในขณะที่ กาเร็ทได้แต่ยกโล่ขึ้นป้องดาบของ Lr ไว้ โดยไม่ยอมตอบโต้กลับ ยังไม่คิดจะเอาจริงอีกจะดื้อด้านไปถึงไหนให้คนแบบนี้มาออมมือให้ถึงฆ่าได้ก็ไม่หายแค้นหรอก Lr คิดทว่าทันทีที่เขาเผลอเปิดช่องให้ หางของนิลทูเรี่ยน ก็มัดร่างของเขาไว้จนขยับไม่ได้ ยังอ่อนหัดเหมือนเดิม..คิดจะสู้ด้วยอารมณ์อย่างนั้นจะทำให้ลำบาก สิ่งที่สำคัญคือความเยือกเย็น คอยมองสถานการณ์รอบๆแล้วจึงเข้าโจมตีที่แล้วมานายไม่เคยสู้ให้อยู่ในกรอบนี้เลยซักนิด กาเร็ท กล่าว Lr ที่อยู่ในสภาพป้องกันตัวไม่ได้ก็เอาแต่ดิ้นรนไปมา อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย ที่ผ่านมาทำไมถึงต้องปิดบังกันด้วย แค่จะสู้หน้าพี่ยังไม่กล้าเลย Lr สบถ ด้วยถ้อนคำที่ไม่น่าฟังนัก แต่กาเร็ทก็ยังคงเย็นใจ เมื่อเห็นดังนั้นทำให้ขายิ่งโมโหมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเช่นนั้นผมจะฆ่าพี่แล้วเอามาซะพร้อมกับทุกอย่างที่พี่เอามันไป Lr กล่าวจบหางของ นิลทูเรี่ยน ก็ถูกฟันขาดในทันที ดาบมาคายาเดียในมือของ Lr กลาย เป็นมุรามาซะไปเสียแล้ว ทว่าปีกสีดำของร่างมุรามาซะก็ยังไม่งอกออกมา มีเพียงดาบที่เปลี่ยนไปเท่านั้น พี่ได้ไปหมดในสิ่งที่ผมไม่มี ทั้งอาวุธทั้งความรักความทรงจำเกี่ยวกับแม่พี่พรากมันไปหมด สิ้นคำ Lr ก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ นิลทูเรี่ยน ถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ก่อนจะกลับเป็นดาบดังเดิม .. .. 10 ปีก่อน สายแล้ว สายแล้ว ไม่น่าตื่นสายเลยเรา เซโร่วิ่งพรวดออกมาจากประตูบ้านโดยมีเรโค่ปิดประตูแล้วจึงบินตามไป นี่ชั้นปลุกเธอตั้งแต่ตะวันสางแล้วนะ เลิกซะทีเถอะไอ้นิสัยที่ชอบฝึกเอาเป็นเอาตายน่ะ เรโค่บ่นไปอย่างไม่หยุดทำให้เซโร่ รู้สึกหนักใจที่นางช่างจ้อเสียนี่ ก็มันสนุกนี่นาเวทมนต์น่ะทำให้ทุกคนมีความสุขได้นั่นล่ะที่ชั้นชอบมัน เซโร่กล่าวอย่างอารมณ์ดี ซึ่งถ้อยคำนั้นทำให้นางรู้สึกหลงใหลในตัวเขา ที่คิดว่าเวทมนต์เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อความสุขของทุกคน หลังจากวันที่ได้พบกับเซโร่และอิจิกิ นางก็ได้มาอาศัยร่วมฝึกเวทมนต์กับเซโร่และอิจิกิ โดยมีเบอนาร์ด จอมเวทย์ชราผู้เป็นอำมาตย์ ของตระกูลโอดิลอนที่สูงส่งของแอนดิซอง เป็นอาจารย์ ระหว่างทางที่ผ่าน ตลาดไปนั้น ทุกคนทักทายพวกเขาอย่างสนิทสนม จนดูเหมือนว่า เธอได้มาพบสถานที่ที่จะอยู่ได้อย่างมีความสุขตลอดไป ทว่า ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่คิดว่า เรโค่ เป็นปีศาจที่จะนำหายนะมาสู่เมืองอยู่เช่นกัน แต่นางก็ไม่เคยคิดติดใจอะไร จนในที่สุดทุกคนก็ลืมมันไป พวกเขาทั้งสองมาถึงเนินหญ้าที่ปกคลุมด้วยหิมะอ่อนๆพืชพันธ์ซึ่งเติบโตท่ามกลาง หิมะสีขาว ที่ปกคลุมตลอดปี นี่เป็นฤดูร้อนในแอนดิซองที่ ทิวทัศน์งดงามยิ่งนักในแต่ละปีจึงมีผู้คนจากหลายที่มาท่องเที่ยว พวกเธอมาสายนะอิจิกิสำเร็จขั้นสามของวิชาปักษาเทวะ แล้วนะ เบอนาร์ดกล่าว ขณะที่มองทั้งสองหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน งั้นพักซักหน่อยก็ได้แต่จะต้องฝึกชดเชยด้วยนะ เบอนาร์ดกล่าว ซึ่งทำให้ทั้งสองยิ้มออก ในทันที นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขาได้อยู่กันราวกับเป็นครอบครัว แต่เหมือนสวรรค์เล่นตลก เมื่อคืนไฟลุกท่วมเมืองที่พวกเขาอยู่ จากการ อาละวาด ของวิหกเพลิง ขนาดยักษ์ อิจิกินายจะบอกว่านกยักษ์นั่นคือแม่ของนายและมาตามนายกลับไปงั้นเหรอ เซโร่ตะคอกใส่ อิจิกิ ด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา จากปากเพื่อนของเขา ที่จริงชั้นหนีมาจากพระราชวังฟีนิกซ์ (Phoenix Palace) เพราะแม่บังคับให้ชั้นสืบทอดตำแหน่งเป็นราชาต่อจากพ่อแต่ว่าชั้นอยากจะท่องเที่ยวอย่างอิสระ มากกว่าเพราะถ้าเป็นราชาชั้นก็ต้องอยู่แต่ในวัง อิจิกิ สารภาพ แล้วทำไมแม่นายถึงตามมาเจอได้ล่ะ เซโร่ กล่าวถามถึงสาเหตุ หรือเพราะสร้อยคอของอิจิกิที่ฉันเก็บได้เมื่อวาน เรโค่กล่าวขณะที่นึกย้อนถึงเรื่องที่ผ่านมา เมื่อวันก่อน ในขณะที่เซโร่และอิจิกิ ฝึกการใช้ วิชาปักษาเทวะ นั้นในระหว่างการประลองพลังของทั้งคู่ สร้อยคอเงินที่ของอิจิกิถูก ตัดขาดนางได้เข้ามาเก็บมันไว้ ทว่าพลังมนต์ของนางก็ทำปฏิกิริยา กับสร้อย มันส่องแสงขึ้นแล้วจึงจางลง เพียงพริบตานั้นพวกเขาหาได้รู้ไม่ว่า สร้อยคอได้ อาศัยพลังเวทย์ของนาง ส่งสัญญาณ ให้วิหกเพลิงยักษ์ บินตรงมายังเมืองท่าแอนดิซองแห่งนี้ สร้อยคอของชั้นเป็นเครื่องส่งสัญญาณไปยังพระราชวัง แม่คงตามสัญญาณนั้นมา อิจิกิ ขยายความให้ก่อนจะก้าวออกไปยัง เนินที่ด้านล่างคือเมืองซึ่งกลายเป็นทะเลเพลิงไป นั่นนายจะไปไหนน่ะ เซโร่เรียกเพื่อจะหยุดเขาไว้ ถ้าชั้นไม่ไปแม่ก็จะเผาเมืองนี้จนเป็นเถ้าชั้นไม่อยากให้ใครต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย อิจิกิกล่าว ก่อนที่ร่างของเขาจะลุกเป็นไฟและกลายเป็นนกฟีนิกซ์ เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะลาก่อนนะ เซโร่ เรโค่ อิจิกิกล่าวก่อนจะบินเข้าไปหาวิหกยักษ์ ขณะเดียวกันพวกชาวเมืองก็แห่กันขึ้นเนินมาหาพวกเขา พร้อมกับที่นกฟีนิกซ์สองแม่ลูกจะบินจากไปทิ้งไว้แต่เพียงซากปรักในกองเพลิง พวกมันอยู่นั่นไง จับตัวไว้ เสียงดังขึ้นก่อนที่ชาวเมืองจะแห่กันมาล้อมกรอบพวกเขาไว้ นี่มันเรื่องอะไรกัน เซโร่กล่าวด้วยความสับสน เซโร่ออกมาให้ห่างจากเธอคนนั้นซะ เบอนาร์ดกล่าวออกมาต่อหน้าฝูงชนที่ล้อมกรอบพวกเขาทั้งสองไว้ ปู่นี่มันเรื่องอะไรกันครับ เซโร่ถามด้วยความงุนงงในขณะที่ เรโค่เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี นังเด็กนั่นเป็นปีศาจ มันเป็นคนพาหายนะมา นังตัวซวย เสียงโห่อย่างไม่พอใจของชาวเมืองดังระงม หุบปากซะ เซโร่ตะคอก ก่อนที่ แท่งผลึกน้ำแข็งปลายแหลม จะพุ่งทะลวงพื้นขึ้นมากัน เขากับเรโค่ไว้จากชาวเมือง เรโค่ไม่ได้ทำอะไรผิด อย่ามาใส่ความกันเอาเอง..... เซโร่ตะหวาดด้วยโทสะ ที่ครุกรุ่นเต็มที เซโร่ส่งเด็กคนนั้นมาซะ เพื่อความสงบเราต้องกำจัดเธอ เบอนาร์ดพยายามเจรจาอีกครั้งแต่ทว่า วาจาที่กล่าวออกมานั้นยิ่งทำให้เซโร่ ทวีความโกรธยิ่งขึ้น เพราะลงความเห็นพ้องกันก็จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรโดยจะไม่ดูความจริงเลยรึไง เซโร่ ตะคอกอย่างไม่พอใจในการกระทำของพวกเขาและปู่ของตน ถ้าแกจะปกป้องนังเด็กนี่ล่ะก็แกกับชั้นก็ขาดกันแต่เดี๋ยวนี้ล่ะ เบอนาร์ดกล่าว เสียงแข็ง คำพูดของชายชรา ทำให้เซโร่ สลดด้วยความผิดหวังเขาหันไปมองหน้าเธอ ก่อนตัดสินใจ ลากเธอบินหนีไป ผมขอโทษครับคุณปู่ ลาก่อน เซโร่หันลงมาบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจูงมือของเธอลอยหายลับไป ทิ้งให้ชายชราต้องผิดหวังกับการตัดสินใจของเขา ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางที่จะไปแล้วสินะ ชายชราคิด อย่างเศร้าหมอง เซโร่เจ้าจงเดินไปตามทางที่เชื่อมั่นเถอะข้าเชื่อว่าซักวันเราคงจะได้พบกันอีก ชายชราเปรยเสียงแผ่วขณะที่แหงนหน้ามองฟ้า ด้วยความอาวรอยู่ลึกๆ ภาพทั้งหมดเลือนรางลง ก่อนที่เรโค่จะรู้สึกตัวว่าเธอหลับไ ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการนั่งภาวนาติดต่อกัน ความกังวลทำให้นางฝันถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง พอมาคิดดูอีกทีฉันอาจจะเป็นคนที่นำโชคร้ายมาก็ได้ พูดตอนนี้ก็สายไปแล้ว เรโค่กล่าวกับ เซโร่ที่ถูกขังไว้ในผลึกน้ำแข็ง ด้วยสายตาเหม่อลอย . .......................... ............................ ระหว่างที่สถานการณ์ กำลังแย่ลงเรื่อยๆนั้น Lr ได้ปลดปล่อยพลังของมุรามาซะโซลออกมาและพุ่งตรง ฟันใส่ร่างของกาเร็ททว่าโล่ที่เขาถืออยู่ก็สร้างเกราะพลังคุ้มกันเขาไว้ ทำให้ดาบไม่อาจเข้าถึงตัวเขาได้ ทันทีที่ Lr ใส่แรงฟันลงไปมากขึ้นเกราะก็สะท้อนแรงของเขากลับจนกระเด็นออกไปกาเร็ทจึงถือโอกาสวิ่งไปคว้า มิรัยเคนขึ้นมา และยกขึ้นรับดาบของ Lr ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วไว้อีกครั้ง ทั้งสองประดาบโดยแข่งกันใส่แรง กาเร็ทตัดสินใจผลักตัวออกห่าง ซึ่ง Lr ก็ตวัดดาบกลับขึ้นอย่างเร็วในทันที คลื่นพลังสีดำถูกฟาดออกไปพร้อมกัน โล่ของกาเร็ทได้สร้างเกราะขึ้นมาด้วยตัวเองทันที ถ้าแสงนั่นโดนโล่ล่ะก็.. กาเร็ทอุทาน ภาพความคิดที่โล่สะท้อนพลังของ Lr กลับไปจะฆ่าน้องชายของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเบี่ยงโล่ออกและยอมรับคลื่นพลังไปเต็มๆร่างของเขาล้มลง พร้อมกับที่ดอกไม้ผลึกที่เหน็บไว้ ที่คอเสื้อปลิวหลุดออกมา จบกันซะทีโล่ของพี่ผมจะขอรับไว้เองแล้วทีนี้ผมก็จะเป็นผู้กล้าที่สมบูรณ์แบบซะที Lr กล่าวพร้อมกับหันคมดาบลงเพื่อจะแทงซ้ำเสียให้ตาย ในขณะที่กาเร็ท คลานเพื่อที่จะไปเก็บดอกไม้ผลึกที่ตั้งใจจะเอามาให้ Lr ในวินาทีที่คมดาบกำลังจะฝังลงไป นั้น พวกเจนัสที่คิดจะเข้าไปห้าม ซึ่งไม่มีทางที่จะไปทัน Time Walk สิ้นเสียงทุกอย่างรอบๆก็เคลื่อนไหวช้าลงจนแทบจะไม่ไปไหนเลย ผู้สวมใส่แอคเตอร์ ออบซเดียนฟอร์มได้เดินเขย่งขาตรงไปยังคู่พี่น้อง ก่อนจะตวัด ดาบปลายข้อมือใส่ดาบมุรามาซะ ในมือของ Lr จนหลุดกระเด็นออก ไปลอยเคว้งอยู่ในอากาศ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง Time Walk เสียงดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเคลื่อนไหวตามเดิม ดาบมุรามาซะที่ลอยอยู่ ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาพากันประหลาดใจที่ดาบกระเด็นไปอยู่ตรงนั้น โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว นี่มันอะไรกัน... Lr เปรยด้วยความสับสน ท่ามกลางความสงสัยนั้น ไอเย็นสีดำได้คละคลุ้งตลบใส่พวกเขา จนหายใจไม่ออก พร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษซึ่ง ขี่นกยักษ์ที่มีขนาดพอๆกับตัวเขาเอง มันมีปีกสีน้ำเงินดำ ดวงตาแดงฉาน แฝงความริษยาที่แรงกล้าเอาไว้ในนัยน์ตา และทันทีที่ปีศาจอีกตนที่ก้าวเข้ามาในกลุ่มควันนั้น ก็เพลิงลุกโหมเผาไหม้อากาศไปแทบจะสิ้น พวกเขาต่างทรมานกับสภาพขาดอากาศที่เกิดจากควันและไฟ เหล่านี้ ในขณะที่อีกตนซึ่งมีหน้าตา ชวนให้หวาดหวั่น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธคลื่นพลังอันปลุกเร้าอารมณ์ของพวกเขาจนฉุนเฉียว แต่ด้วยสาภพที่ทรมานเช่นนี้พวกเขาจึงไม่อาจแสดงอารมณ์ออกมาได้ ไม่นานนักทันทีที่ริคุจะใช้พลังเวทย์เรียกลมมา เขาก็ถูก ใยแมงมุมพุ่งมากดร่างจนหมอบลงกับพื้น ซึ่งแหใยแมงมุมที่ปามานั้นเป็นของปีศาจร่างยักษ์อีกตน เพราะการต่อสู้ของพวกแกมันส่งพลังด้านลบออกมามากมายเสียจนพวกข้าครั่นเนื้อครั่นตัว ทนไม่ไหวต้องออกมาดูที่ไหนได้กลับเป็นพวกเจ้าเองรึ บุรุษซึ่งเป็นปีศาจที่ขี่นกยักษ์ กล่าวขึ้น ปีศาจทั้งสี่ตนนี้คือเหล่าซิน(Sin)บาป ทั้งสิบที่ได้รับการคืนชีพจากอิเดีย ด้วยพลังของฟอจูนทรีนั่นเอง ลอว์เรนซ์เจ้าจะไม่ทบทวนเรื่องมาร่วมมือกับพวกข้าหน่อยรึ ถึงยังไงเจ้าก็เป็นบุตรของอิดีย ถ้าเจ้ายอมล่ะก็ข้าจะช่วยขอร้องเขาให้ก็ได้นะ ปีศาจซึ่งร่างลุกโชนด้วยเพลิง ยื่นข้อเสนอให้ ใช่แล้วลอว์เรนซ์เจ้าปล่อยพลังด้านลบที่มีความริษยาอันแรงกล้า ทำให้เซรัส(Pecca Zelus, the Sin of Envy) แห่งความริษยาผู้นี้อยากจะดื่มด่ำความริษยาของเจ้าให้ชื่นใจเสียจริง ปีศาจที่ขี่นกซึ่งเป็นผู้สร้างไอเย็นสีดำ กล่าว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/72.jpg) ความเห็นแก่ได้ของเจ้าก็ช่างหอมหวานยั่วยวนอวารูเซจแห่งความเห็นแก่ตัว(Pecca Avarusage the Sin of Selfishness)ผู้นี้อีกด้วย ปีศาจที่สร้างไฟ กล่าวน้ำลายสอ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/48.jpg) ความโกรธของเจ้าก็ช่างรุนแรงซะจนข้าอยากจะรู้ว่าอะไรทำให้เจ้าโกรธได้ขนาดนี้มันช่าง มากมายเหลือคณาจริงๆช่วยให้ความกระจ่างแก่ไอราห์ แห่งความโกรธ(Pecca Ira, the Sin of Anger)ผู้นี้ที ปีศาจซึ่ง ปลดปล่อยคลื่นกระตุ้นจิตให้พวกเขา รู้สึกกระวนกระวายกล่าวขณะที่ควงขวานซึ่งเป็นโลหะดำทั้งเล่มอย่างสบายอารมณ์ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/116.jpg) ความแค้นของเจ้าทำให้ อัลคิสซิ แห่งการแก้แค้น (Pecca Ulcisci, the Sin of Revenge) ผู้นี้อยากจะลองกัดกินดูเสียจริง ปีศาจที่ขว้างใยแมงมุมมากล่าวขณะที่ยกเอาใยออกจากร่างของรุคิที่ไม่มีแรงจะขัดขืนเพราะหายใจไม่ออกแล้ว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n012/115.jpg) เจ้าจะว่ายังไงล่ะ ลอว์เรนซ์ ถ้าตกลงก็เดินมาหาข้าซะสิ เซรุสแห่งความริษยากล่าว ซึ่งพวกลูกมังกรก็เข้าไปรั้งตัว Lr ไว้ทันทีด้วยกลัวว่าเขาจะยอมเสียสละอีกครั้ง แต่ Lr ก็ไม่ยอมที่จะไปอยู่แล้ว เขาพยายามจะเข้าไปคว้าดาบมุรามาซะที่กระเด็นออกไป ทว่าด้วยความที่หายใจไม่คล่องทำให้เข้าเริ่มรู้สึกเพลีย และทรุดตัวลงนั่ง ภาพทั้งหมดเริ่มพร่าเลือน เช่นเดียวกับ พวกเจนัสและเหล่าลูกมังกร ที่เริ่มจะหมดสติ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเหล่าซิน ทั้งสี่ แต่แล้วกาเร็ทก็เอาโล่ มิคาเอล มาให้เขาถือโล่สร้างเกราะกำบังขึ้นมาคุ้มครอง เขาไว้จากควันและไฟทำให้อากาศเริ่มหมุนเวียนสู่ร่างของเขา จนได้สติในที่สุด พี่ครับ.. Lr อุทานที่เห็นว่าพี่ของตนยอมเสียสละให้โล่คุ้มครองเขาไว้ส่วนตัวก็ออกไปเผชิญหน้า กับเหล่าซินแต่ นิลทูเรี่ยนที่เรียกมานั้นก็แทบจะต้านพวกมันไว้ไม่ได้ ที่มือของ Lr ดอกไม้ผลึกที่ พี่ของเขาพยายามจะเก็บ มาอยู่ในมือของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ ดอกไม้ส่องแสงาว่างขึ้นมา พร้อมกับภาพของหญิงสาววัยกลางคนหนึ่งขึ้นมาซึ่งเขาจำได้ว่านั่นคือแม่ของเขานั่นเอง ซาเรีย ซาราเบลด ที่เห็นผ่านความทรงจำของมุรามาซะโซล นี่หรือว่าพี่ตั้งใจจะเอามันมาให้เรา..เพื่อที่เราจะได้เห็นแม่ Lr เปรยขณะที่ความรู้สึกผิด ได้ประดังเข้ามา เพราะความเข้าใจผิดทำให้เขาเรียกเอา เหล่าซินมาและยังเกือบฆ่าพี่ชายของเขาไปแล้ว ทว่าตอนนี้ มังกรนิลทูเรี่ยนก็ได้พ่ายแก่เหล่าซิน เสียแล้ว พวกเจนัสและลูกมังกร ต่างหมดสติเพราะขาดอากาศ กาเร็ทที่ไม่เหลืออะไรจะป้องกันตัวอีกแล้ว กำลังจะถูก ขวานของ ไอราห์ จาม อย่านะ..อย่าทำอะไรพี่เลยขอร้องล่ะ Lr กล่าวความรู้สึกที่อยากจะช่วยพี่ของเขาทำให้เขาพุ่งเข้าไปหา เหล่าซินอย่างไม่เกรงกลัว ความเข้มแข็งของจิตใจที่แสดงออกมาในตอนนี้ ส่งไปถึงโล่มิคาเอลซึ่งเป็นโล่แห่งจิตวิญญาณ ที่จะทรงพลังขึ้นกับสภาพจิตใจที่เข้มแข็งหรืออ่อนแอ ยานไซเบอริก้า ได้เคลื่อนตัวลงมาและ ยิงสาดใส่เหล่าซินจนต้องถอยร่น Lr เข้าวิ่งไป รับร่างของพี่ชายเอาไว้ พี่ผม ผมขอโทษครับ..พี่ น้ำตาแห่งความเสียใจได้ไหลอาบใบหน้าของเด็กน้อย ต่อหน้าของผู้เป็นพี่ชาย กาเร็ทจึงปลอบน้องของตน Lr ยกเอาดอกไม้ผลึกที่กาเร็ทให้ไว้พร้อมกับโล่ขึ้นมา พี่ตั้งใจจะเอามันมาให้ผมแท้ๆ..แต่ผมกลับ Lr พยายามจะโทษตัวเองแต่ ก่เร็ทก็ลูบหัวเขาเบาๆอย่างเอ็นดู พี่ไม่ขอให้นายยกโทษให้ที่หนีไปหรอกนะแต่อย่างน้อยก็อยากจะให้นายได้เห็นแม่ได้มีความทรงจำ เกี่ยวกับแม่บ้างโดยผ่านจากความทรงจำของพี่ ดอกไม้นั่นได้บันทึกมันเอาไว้ตอนแรกพี่ตั้งใจจะให้ ในวันเกิดน้องแต่ว่าก็มาเกิดเรื่องอิเดียซะก่อนก็เลยต้องล่าช้าไป...แค่ก กาเร็ทกล่าวจบก็สำลัก เพราะอาการช้ำในจากการปะทะเมื่อครู่ พอเถอะครับพี่ไม่ต้องพูดแล้ว..เท่านี้พี่ก็ลำบากเพราะผมมามากพอแล้ว Lr กล่าวน้ำเสียงสั่น ดาบมุรามาซะกลับคืนสภาพเป็นมาคายาเดียอีกครั้งหลังจากที่จิตใจของเขาสงบลง เชอะน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ ความรักความห่วงใยต่อกันเนี่ยข้าเกลียดที่สุด งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว ขยี้มันเลย เหล่าซินทั้งสี่กล่าวจบก็ พุ่งเข้าไปหมายจะสังหารไปพร้อมกันซะทั้งคู่ จะทำได้เรอะ...พวกแกน่ะ Lr เปรยเสียงเรียบก่อนจะวางร่างของพี่ชายที่สะบักสบอมลง ก่อนจะหันไปยังเหล่าซิน และยกโล่มิคาเอลขึ้น ดราก้อนฮอลลี่ ได้ส่องประกายแสงขึ้นหลังจากนั้นมังกรพลังทั้งหกสี ก็ได้พุ่งลงมาจากฟากฟ้า และไหลเข้าสู่ร่างของเขา จนร่างกายของเขาเปลี่ยนไป Weapon Fusion Metamorphose สิ้นเสียงของดราก้อนฮอลลี่ ร่างซึ่งทองแสงก็ปรากฏรูป อัศวินมังกรผู้มีปีกสีขาวสะอาด เกราะทั้งร่างเป็นทองขาวบริสุทธิ์ โล่มิคาเอล เปล่งประกายเจิดจรัส จิตที่เข้มแข็งคือพลังไปสู่วันพรุ่งนี้นามข้าคือโล่แห่งศรัทธา ทาลิวิลย่า(Thaliwilya) ทาลิวิลย่า ประกาศก้อง ร่างที่สองของอัศวินแห่งตำนาน ผู้ถือครองโล่แห่งศรัทธาได้ ตื่นขึ้นจากนิทราแล้ว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n007/57.jpg) จิตวิญญาณอันหาญกล้าแห่งมังกรจักคุ้มครองทุกสรรพสิ่ง Great of Dragon สิ้นคำ โล่มิคาเอล ก็เปล่งแสงขึ้นพร้อมกับ มังกรพลังงาน จำนวนมหาศาลก่อรูปขึ้นในอากาศ และหมุนวนกันเป็นพายุ พุ่งเข้าพัดโหมใส่เหล่าซินจน พวกมันต้องเปิดประตูมิติหนีก่อนที่จะถูกดูดลงไปยังตาพายุที่เต็มไปด้วยมังกรพลังงาน ซึ่งรอจะขย้ำพวกมันให้สิ้น พายุได้สลายตัวลงพร้อมกับ ศึกที่จบลงไปอีกครั้ง หลังจากนั้น Lr ก็ได้มีเวลาปรับความเข้าใจกับกาเร็ทพี่ชายของตน และหวังว่าหลังจากที่จัดการโค่นอิเดียลงได้ พวกเขาจะสร้างอนาคตที่สดใสและอยู่ด้วยกันอย่าง สุขสงบที่หมู่บ้านมังกร ............. ................. ..................... ณ บ้านของทิโมธี ตอนนี้ท่านอิเดียคือผู้ทรงอำนาจปกครองทั้งฟ้าดิน พระดำรัสแห่งการล้างโลกจะเริ่มในอีกไม่ช้า ขอให้รีบตัดสินใจหน่อยล่ะ ทิโมธีกล่าวขณะที่ถอดหมวกผ้าสีดำที่คลุมหน้าเอาไว้ในชุดของเทพขุนพลนักประดิษฐ์ ต่อหน้าเกรเกอรี่ ซึ่งตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ทิโมธีเจ้าทรยศต่อพวกเรางั้นรึ เกรเกอรี่กล่าว ซึ่งคำพูดของเขาทำให้ทิโมธีหัวเราะด้วยความขบขันราวกับเป็นเรื่องตลก ข้าไม่ได้ทรยศก็แค่ทำตามที่เจ้าบอกไว้บ่อยๆ จงเชื่อในคำสอนของพระองค์...ฮิฮิตอนนี้พระประสงค์ของท่าน ก็คือชำระโลกนี้ให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า เจ้าเองก็ได้เห็นแล้วไม่ใช่รึในบันทึกนั่นน่ะ ทิโมธีกล่าวเสียงเรียบ เกรเกอรี่ได้แต่สับสนกับสิ่งที่ทิโมธีกล่าว หมายความว่าบาปที่ 11 อันเป็นบาปแห่งความกลัวแท้จริงคืออวตารแห่งองค์พระเจ้าสูงสุดงั้นหรือ เกรเกอรี่กล่าวขณะกำไม้เท้าแน่นจนข้อมือขาวซีด ก่อนจะวิ่งออกประตูบ้านไปทิ้งให้ทิโมธีหัวเราะด้วยความพึงพอใจ โปรดติดตามตอนต่อไป ในตอนหน้า ทุกคนต่างมีที่มาที่ต่างกัน บัดนี้พวกเขาได้หวนกลับไปยังถิ่นฐานที่กำเนิดมา นี่อดีตคฤหาสห์แห่งซาราเบลด นี่น่ะเหรอ ที่พ่อกับแม่เคยอยู่ ซึ่งมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่แสนสาหัสซึ่งหวนกลับมา คฤหาสน์ของ ลาเซริโอ้ จำได้ใช่ไหมคะพี่ นีน่า... สัญญาที่ที่ให้ไว้กับมารดาในป่าลึก ผมกลับมาแล้วครับแม่.. ลากูน่าเองก็ร่าเริงขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วตอนนี้ผมยังไม่อยากให้เขาคิดถึงเรื่องนั้นไว้สงครามนี่จบลงผมจพาเค้ามาช่วยรอด้วยนะครับแม่....ท่านแอสต้า จะทำเช่นไรเมื่อหนทางที่เลือกคือศรัทธาและเหตุผล แล้วที่ท่านทำมาตลอดนี่ไม่ใช่ความต้องการของท่านหรือ นี่เป็นชะตากรรมที่ฟ้าลิขิตไว้แล้วไม่อาจเปลี่ยนได้อีก... สาวกข้า นับแต่นี้เจ้าคือเนโครบิชอป ผู้ที่เฝ้ามองประวัติศาสตร์และนำมาซึ่งคำทำนายแห่งการดับสูญ มนุษย์นั้นจะก้าวต่อไปเพื่อ ให้รู้ยังจุดหมายข้างหน้าแต่เมื่อใดที่รับรู้ถึงสิ่งนั้นก่อนจะได้เดิน ทางก็ไม่อาจเปลี่ยนไปได้นี่คือชะตา สุดท้ายแล้วพวกเขาจะเป็นเช่นไรติดตามได้ใน บทที่ 31 Believe or Reason ตอนวันนี้สั้นมาก ใกล้จะถึงจุดแตกหักละ อีกตอนจะโพสวันพรุ่งนี้นะครับ ส่วนบทนี้ยังกะจะมา for Mother Day ซะจริง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกี่ยวกับแม่ไปหมดโฮะๆตามกระแส Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ Post by: boy on August 11, 2008, 09:22:44 PM ดีจัง คุณ greamon เข้ามาโพสนิยายติด ๆ กันเลย อ่านเพลินสุด ๆ ::001:: ::020::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ Post by: greamon on August 12, 2008, 07:37:28 PM บทที่ 31 Believe or Reason (ศรัทธาหรือเหตุผล)
ณ คฤหาสน์ร้างซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเอรีม บริเวณซากปรักของคฤหาสน์ นั้นล้อมรอบไปด้วยต้นไม้รกหนา แมลงและสัตว์ขนาดเล็กได้เข้ามาอาศัยอยู่เนื่องจากถูกทิ้งร้างไว้นาน และไม่ได้มีการบูรณะแต่อย่างใด ที่ประตูทางเข้าซึ่งปิดเอาไว้ด้วยประตูลูกกรงเหล็ก ซึ่งตอนนี้ มันได้หักและผุพังไปจนสิ้นแล้ว กลุ่มคนสามคนกำลังเดินเข้ามาภายในบริเวณสวนของ คฤหาสน์ “ นี่อดีตคฤหาสน์แห่งซาราเบลด ” ชายหนุ่มซึ่งอายุมากกว่าสองคนที่ตามมากล่าวเขาสวมเสื้อเกราะประจำกองกำลังต่อต้าน โดยผู้ที่ตามเขามานั้น เด็กคนหนึ่งซึ่งมีอายุน้อยที่สุดแม้เขาจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวสีแดง ทับเสื้อยืด แขนสั้นแบบเด็กธรรมดาทั่วไปแต่ที่จะทำให้สะดุดตานั่นก็คือ ตรารองแม่ทัพ ซึ่งเป็นเข็มกลัดรูปปีกสีทองสองปีกกางติดอยู่ที่ปกเสื้อของเขาซึ่งบ่งบอก ยศรองแม่ทัพของเขานั่นเอง และที่ข้างๆกันนั้นเด็กหนุ่มอีกคนที่โตกว่าและดูเหมือนจะเป็นพี่ชายของเขา ซึ่งสะพายดาบไว้ที่ หลัง “ 8 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้กลับบ้านเนี่ย ” พี่ชายของเด็กหนุ่มกล่าว นายทหารที่เดินนำทั้งสองมาหันกลับไปทำความเคารพกับน้องชายของเขา ก่อนจะรายงานอย่างกระฉับกระเฉง “ หลังจากนี้จะให้ปฏิบัติอย่างไรต่อครับ ” นายทหารกล่าวอย่างขึงขัง ซึ่งท่าทีที่เคร่งครัดต่อกกของเขาทำเอาเด็กน้อยต้องเหนื่อยใจ “ กลับไปได้แล้วที่เหลือชั้นกับพี่จะเดินสำรวจต่อเอง ” เด็กน้อยกล่าวซึ่งนายทหารก็โค้งรับคำก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง “ โห…กระฉับกระเฉงจัง ลอว์เรนซ์พี่ว่าน้องเคี่ยวกับเขามากไปรึเปล่า ” พี่ชายกล่าวหยอกน้องชายซึ่งเป็นหัวหน้าของหน่วยนายทหารที่เดินออกไป “ โธ่พี่กาเร็ทล่ะก็ผมไม่ได้อยากเคร่งครัดขนาดนี้ซะหน่อยเฮ้อ..นี่ก็เพราะเจ้าดราก้อนฮอลลี่ นี่ชอบแสดงพลังเกินความจำเป็นตลอด เลยพลอยทำให้พวกทหารคิดว่าผมเป็นคนเคร่งครัด ไปด้วย ” Lr บ่นด้วยความรู้สึกคลางแคลงใจ ในยศรองแม่ทัพที่เขาได้รับแต่งตั้งมา แม้ในตอนแรก ที่เขากับเจนัส นีน่า ลากูน่า และ ริคุ จะปฏิเสธแต่เป็นจำนวน ของทหารที่มาเพิ่มมากขึ้นเพราะการคมนาคมของกองกำลงสามารถเดินหน้าได้โดยไม่มีอุปสรรค จากกำแพงน้ำแข็ง ทำให้ต้องแต่งตั้ง รองแม่ทัพมาช่วยบังคับการและเพื่อเป็นกำลังเสริมให้กับ พวกเขาที่มีพลังพอจะต่อกรกับพวกระดับผู้นำของศัตรู เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่ออย่างเซ็งๆ “ ทีตอนแรกก็ทำเป็นไม่เห็นหัวพอตอนนี้ล่ะจะมาทำประจบ….เฮ้อจะมีใครในใต้บังคับบัญชาของผมที่ จริงใจกับผมบ้างนะ ” Lr บ่นไม่หยุดซึ่งกาเร็ทเองก็ปล่อยให้เขาบ่นให้ฟังไปเรื่อยๆเพราะเขารู้ดีว่าที่แล้วมาน้องชาย คงต้องเก็บความอัดอั้นตันใจไว้มาตลอด โดยไม่สามารถระบายกับใครได้เลยนั่นก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนถูกมุรามาซะโซลครอบงำ “ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆก็คิดจะมาที่นี่ล่ะหืม ” กาเร็ทถามด้วยความอยากรู้ ลอว์เรนซ์ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยก่อนจะ หันไปมองซากคฤหาสน์ “ นี่น่ะเหรอ…ที่พ่อกับแม่เคยอยู่ ” Lr เปรยเสียงเรียบ ก่อนจะจูงมือกาเร็ทแล้วดึงเขาไป “ น....นี่จะไปไหนน่ะ ลอว์เรนซ์ ” กาเร็ทร้องเสียงหลงขณะที่เดินเสียหลักเซไปเซมาจากการถูก Lr ลากจูงไป บวกกับคาดไม่ถึงในพละกำลังของ Lr ที่ลากเขาซึ่งแก่กว่า 5 ปีไปได้อย่างสบาย “ เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะครับพี่ต้องไปเล่าด้วยว่าห้องไหนเป็นยังไง ใช้ทำอะไรด้วยนะ ” Lr กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสซะจนกาเร็ทอดแปลกใจไม่ได้ “ เฮ่อ…เจ้าน้องคนนี้ไม่อยากเชื่อเล้ยว่าจะเป็นคนๆเดียวกับที่แค้นเคือง เราจะเป็นจะตายตอนนี้กลับยิ้มแก้มปริเชียวนะ…ว่าแต่แค่เราไม่อยู่ดูแปบเดียว เจ้าน้องตัวดีเราทำไมมันแรงเยอะจังหว่า..ต้องถาม..แบบนี้มันต้องถาม ” กาเร็ทคิดด้วยความแปลกใจ [แปบเดียวบ้านแกสิเจอกันตรงๆครั้งสุดท้ายก็ที่บ้านผีสิงเก๊ โน่นหลังจากนั้นแก เคยไปถามสารทุกข์สุขดิบกับเค้าไหม] “ นี่ว่าแต่ช่วงนี้รู้สึกจะแรงเยอะขึ้นเป็นกองเลยนะถามจริงเถอะช่วงที่พี่ไม่อยู่เนี่ยไปทำอะไรมารึเปล่า ” กาเร็ทถามด้วยความอยากรู้ [แหมมันน่าหมันไส้จริงไอ้เจ้ากาเร็ทเนี่ยไม่ค่อยชอบหน้าเลย ; พอแล้วเกรม่อนคุงบรรยายแทรกแบบนี้ คนอ่านเขารำคาญนะ] “ อ๋อแค่พักหลังมานี้ สู้บ่อยจนแทบไม่ได้หยุดน่ะครับ ก็เลยไปขอให้เจนัสช่วย ฝึกพลังกายเพิ่มให้นิดหน่อยจะได้ไม่ล้มพับเอา ” Lr กล่าวอย่างลิงโลด ขณะที่ลาก กาเร็ทวนเข้าห้องนู้นห้องนี้ไปทั่ว “ ร…เหรอคงเหนื่อยแย่เลยสิ…แหะแหะ ” กาเร็ทแกล้งหัวเราะกระหยุมกระหยิม อย่างหนักใจ “ นี่เจ้าหมานั่นมันฝึกอะไรให้น้องเราเนี่ยแค่นี้ก็จะไม่เป็นคนอยู่แล้ว….เฮ่อแต่ก็ดีแล้วล่ะ ที่อย่างน้อยเจ้านี่ก็ยังมีเพื่อนในตอนที่เราไม่ได้อยู่ปกป้อง..น้องโตขึ้นมากเลยนะลอว์เรนซ์ ” กาเร็ทคิดแล้วก็อดปลื้มไม่ได้ [อ๊างงงง เค้าไม่ยอมนะเจนัสคุงมาฝึกให้เค้าบ้างสิเอาแบบ2ต่อ2 น้าาา ;แล้วแกจะมาเสนอตัวออกนอกหน้าทำไมเจ้าการูรูม่อน โป้ก~~~ร่วงคู่ : ขออภัยในความไม่สงบ by ปิโยม่อน] ขณะเดียวกัน [ปิโยม่อน: เห็นมั้ยตัดฉากเลย ; เกรม่อน&การูรูม่อน: ขอโต้ด ] ณ ซากปรักซึ่งเต็มไปด้วยรอยไหม้จากเปลวเพลิงตัวบ้านถูกเผาจนแทบไม่เหลือเค้าให้เห็น ริคุ นีน่า และ กาเทียทั้งสามได้เฝ้ามองซากที่เหลือเมื่อครั้งอดีต หลังจากที่เจนัสได้บุกเขามาช่วยนีน่า และจุดไฟเผาทั้งคฤหาสน์ เมื่อ4ปีก่อน [ปิโยม่อน: ใช้ศัพท์ผิดอ้ะเปล่าเมื่อครั้งเยาว์วัยตอนนี้ยังเด็กอยู่นะเธอ ; เกรม่อน: พอแล้ว! :จากนี้ไม่มีขั้นแล้วจ้า] “ คฤหาสน์ของ ลาเซริโอ้ จำได้ใช่ไหมคะพี่ ” นีน่าเปรยขึ้นมาทำให้พี่ชายทั้งสองสะดุ้งด้วยความกังวลว่าการที่เธอกลับมาที่นี่ จะทำให้ความปวดร้าวในอดีตกลับมาอีก “ นีน่า... ” กาเทียกล่าวก่อนจะหยุดกึกไปเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี “ ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่ชั้นได้มาก็เถอะ แต่ก็รู้สึกได้ว่าที่นี่น่ะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเลยนะ ” ริคุกล่าวขณะที่เดินเข้าไปตบไหล่ นีน่า เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น ทำให้กาเทียอดที่จะ ฉุนขึ้นมาไม่ได้ แต่อีกใจก็คิดว่า ริคุ เป็นญาติกับเธอและเขาเหมือนกันจึงไม่ ถือสาอะไรที่มาละราบละล้วง “ อืม…ถ้าจะว่าไปที่นี่ก็เป็นที่ๆฉันถูกเจนัสช่วยเอาไว้ครั้งแรก… ” “ ครั้งที่สองต่างหากล่ะนีน่าน้องจำผิดแล้วล่ะ ” นีน่ากล่าวได้ไม่ทันจบ กาเทียก็แก้ให้ ซึ่งทำให้นางหน้าแดงด้วยความ เขินอาย “ ว่าแต่แล้วเจ้าตัวดีที่เผาบ้านเธอไปไหนซะแล้วล่ะ ” ริคุกล่าวพร้อมกับหันซ้ายทีขวาทีเพื่อหาตัวเจนัสแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเขาเลย “ รู้สึกว่าเขาออกไปจากค่ายตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ” นีน่ากล่าว “ งั้นแล้วใครดูแลพวกทหารที่ต้องฝึกกันเช้านี้อยู่ล่ะในเมื่อเธอชั้นแล้วก็ลอว์เรนซ์ออกมากันหมดเนี่ย ” ริคุถามด้วยความสงสัย “ อ๋อชั้นฝากลากุเค้าไว้ทั้งหมดเลยน่ะ ” นีน่ากล่างเสียงเรียบในขณะที่ ริคุได้แต่ยืนตาค้าง ขณะที่คิดทบทวนประโยคของนางเมื่อครู่อีกครั้ง “ แต่นั่นมัน..1..2..3..4..ส…สี่กองพันเชียวนะแล้วเจ้าลากุมันจะไหวเหรอ ” ริคุกล่าวอย่างกระวนกระวาย อีกด้าน ที่ค่ายพัก เสียงนับจังหวะหนึ่งสองดังมาแว่วมาเรื่อย พร้อมกับเสียงสนทนาที่ดังแจมาตามกัน “ ท่านรองลากูน่ากองร้อยที่ 7 กับ 8 เป็นลมไปแล้วครับ ” “ ท่านรองครับ หน่วยเสบียงยังไม่ได้เตรียมอาหารเลยครับจะทำยังไงดีครับ ” “ ท่านรองลากูน่าครับรายงานจากหน่วย 5 มาครับเพราะท่านรองนีน่า ติดธุระเลยให้ส่งรายงานมาที่ท่านแทนครับช่วยตรวจให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะครับ ” เสียงสนทนาจากเหล่าหัวหน้ากองที่มาายงานและแจ้งข่าวสารต่างดากันเข้ามาไม่หยุดเสียจน ลากูน่าต้องวิ่งวุ่นไปทางโน้นทีทางนี้ที จนชุลมุนไปหมด “ โอยท่านพี่ก็ไม่อยู่นีน่ากับริคุก็ออกไปข้างนอก ลอว์เรนซ์ ก็ไปตั้งแต่เช้าแล้ว ทำไมไม่มีใครอยู่เลยรึไง ” ลากูน่าโวยวายด้วยความหวุดหวิดขณะที่มือต้องเขียนนู่นทำนี่เป็นประวิง ไม่วายแม้จะต้องเอาหาง ของตนตวัดช่วยแทนมือด้วยซ้ำ “ พลังในการทำงานสุดยอดจริงๆใช้หางทำก็ได้ด้วย ” “ ใช่ๆถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ป่านนี้บ้าไปแล้ว ” เสียงซุบซิบของทหานหญิงที่ช่วยอยู่ข้างๆเขาดังแว่วมา “ นี่…ได้ยินนะพวกเธอสองคนน่ะอย่าอู้งานสิ ” ลากูน่าตวาดอย่างเสียอารมณ์ ทำให้ทหารหญิงทั้งสอง สะดุ้งโหยง “ ข…ขอโทษค่า ” ทหารหญิงทั้งสองกล่าวก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ “ ลืมไปว่าหูไวปานฟ้าแลบ ” ทหารหญิงแอบซุบซิบกันอีกครั้งก่อนจะต้องหยุดกึกเมื่อรู้สึกได้ว่าถูกจ้องมาจากด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆหันไปดูอย่างช้าๆด้วยหวั่นวิตก รองลากูน่า ได้มายืนอยู่ด้านหลังเธอแล้ว พร้อมกับใบหน้าไม่สบอารมณ์แม้แต่น้อย “ ม…มีอะไรหรือคะท..ท่านรอง ” ทหารหญิงที่ถูกจ้องกล่าวด้วยความระสับระส่าย “ ไม่ต้องมาไก๋ ไปวิ่งรอบสนามมาสิบรอบเดี๋ยวนี้เลย ” ลากูน่าตะคอกเสียงดังก่อนที่ทหารหญิงจะรีบวิ่งตัวปลิวออกไป ด้วยความตกใจสุดขีด “ หนูขอโต้ดค่าจะไม่ทำอีกแล้วค่า ” ทหารหญิงตะโกนน้ำตาไหลเป็นสาย วิ่งพล่านด้วยความกลัวสุดขีด ทิ้งให้เพื่อนของเธออีกคนต้องนั่งอยู่กับ ลากูน่าที่เดือดพล่านเต็มทน “ แล้วเธอล่ะว่ายังไง ” ลากูน่ากล่าวเสียงแข็ง พร้อมกับมองค้อนด้วยสายตา ปานจะกินเลือดกินเนื้อ “ หนูกลัวแย้วค่า…. ” ทหารหญิงอีกคนวิ่งตามเพื่อนของเธอ ออกไปแบบไม่คิดชีวิต “ เชอะวุ่นวายกันซะจริ้งงงนี่มันจะไม่มีใครมาช่วยเราเลยรึไงกัน ” ลากูน่าบ่นก่อนจะกลับไปนั่งที่โต็ะและเริ่มทำงานต่อ “ ท่านรองครับนักประดิษฐ์ ที่จะมาซ่อมกองทัพหุ่นยนต์มาถึงแล้วครับจะให้พาเค้าไปที่ โรงเครื่องจักรเลยไหมครับ ” นายทหารอีกคนเข้ามารายงาน “ หือนักประดิษฐ์เหรอ… ” ลากูน่าเปรยขึ้น ก่อนจะทำหน้าราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ …………. ……………. ………………… ณ วิหารแห่งจันทรา เจนัส กำลังยกแท่นหินแท่นใหญ่มาวางไว้ก่อนจะสลักอะไรบางอย่างลง บนแท่นด้วยเล็บของเขา “ เสร็จซะที ” เจนัสรำพันขณะที่เอามือปาดเหงื่อที่หน้าผากออก ก่อนจะก้มตัวลงต่อหน้าแท่นหินทั้งสอง “ ผมกลับมาแล้วครับแม่.. ” เขารำพันกับมัน บนแท่นหินนั้นสลักไว้ว่า ราซานี และอีกแท่นสลักไว้ว่า แอสต้า นี่คือหลุมศพที่เขาสร้างขึ้น โดยตั้งไว้ใก้กับทะเลสาบของวิหาร “ ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยมีเลาเท่าไหร่ไว้ของพ่อผมจะมาสร้างให้อีกทีแล้ว ตอนนั้นเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง ” เจนัสรำพันกับแท่นหิน ก่อนจะวางดอกไม้ที่เขารวบรวมมาได้ จากทั่ววิหารเพื่อเซ่นไหว้ให้แก่หลุมศพของแม่ทั้งสอง “ ลากูน่าเองก็ร่าเริงขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วตอนนี้ผมยังไม่อยาก ให้เขาคิดถึงเรื่องนั้นไว้สงครามนี่จบลงผมจะพาเค้ามาแน่ ช่วยรอด้วยนะครับแม่....ท่านแอสต้า ” เจนัสกล่าวก่อนจะลุกขึ้นและเดินลงไปในมะเลสาบซึ่งเป็นทางออกไปจากวิหาร ทันทีที่เขาขึ้นมาจากทะเลสาบลวงตา เขาก็มาโผล่ท่ามกลางป่าลึกในอาณาจักรฟูดินัน กึงกังกึงกัง! เสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังแว่วมาก่อนที่ ฮอลี่วูลฟ์แอคเตอร์จะวิ่งผ่านเขาไป “ นั่นมันฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์หรือว่าเจ้านักประดิษฐ์มันจะ… ” เจนัสคิดก่อนจะวิ่งตามมันไป ……………. ……………….. ……………………. ณ เกาะปลายทะเลสาบนีรันด้า “ ฉันต้องไปแล้วล่ะเซโร่ทุกคนกำลังต้องการความช่วยเหลือแล้วฉันจะกลับมาแน่นอน และจะต้องล้างแค้นให้เธอด้วย ” เรโค่กล่าวก่อนจะออกบินไปจากเกาะทิ้งให้เซโร่ ซึ่งยังคงไม่หลุดจากผนึก เอาไว้เพียงลำพัง ภาพทั้งหมดนี้กำลังถูกฉายผ่านทางน้ำตกในวิหารปราชญ์มังกรเช่นกัน อีสควอเทียที่ยังคงมองดูความเป็นไปของแต่ละคน อย่างเย็นใจ ทว่าก็ได้มีแขกมาเยือน ชายหนุ่มซึ่งถือไม้เท้าเดินเข้ามาพร้อมกับแมวดาค์เดสทินี่ “ ให้รอซะนานเชียวนะเวสเล่รู้ตัวไหมว่าบันทึกของเจ้าน่ะมันสร้างปัญหาไว้ขนาดไหน ” อีสควอเทีย เปรยขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มหยุด “ แหมข้าแค่เขียนมันเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้นตามนั้นซะหน่อย ” ชายหนุ่มกล่าวเขาคนนี้ก็คือแวเลี่ยนเวสเล่ (Werrian Wesley) ผู้ที่เขียนบันทึกซึ่ง บรรยายความเป็นไปทั้งหมด ณ ช่วงเวลานี้นั่นเอง (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n001/24.jpg) …………. ……………… ………………… ตอนสายของวันนั้น “ งั้นข้ากลับก่อนนะ ” ทิโมธีกล่าวก่อนจะเดินออกจากโรงเครื่องจักร เพื่อกลับบ้าน โดยมีลากูน่า คอยสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ ทันทีที่ทิโมธีเข้าไปในบ้าน และปิดประตูลง ครั้นเมื่อลากูน่า เปิดประตูเข้าไป เขาก็หายไปแล้ว ลากูน่ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านและไปชนเอาม้วน กระดาษบนโต็ะ จนมันคลี่ออกมา ซึ่งในกระดาษนั้นเขียนแบบแปลนของ ออบซิเดียนแอคเตอร์และฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์ไว้ รวมไปถึงแอคเตอร์รูปแบบหน้ากาก กลมมนสีขาว ที่ไม่เคยเห็นอีกด้วย “ นี่มันแบบการสร้างแอคเตอร์นี่ใช่จริงๆด้วยเจ้านักประดิษฐ์ขาเป๋ ที่เข้าออกภายในกองทัพของเราคือเทพขุนพลนักประดิษฐ์…ต้องรีบบอกให้ทุกคนรู้ ” ลากูน่าคิดก่อนที่จะคว้าเอาม้วนกระดาษออกไปจากบ้าน ทว่าเขาก็ถูกทินทอน หุ่นกระป๋องของทิโมธีเข้ามาขวางไว้ “ อย่าคิดว่าจะกลับออกไปนะ..แก็ก ” เจ้าหุ่นกระป๋องกล่าวก่อนจะพุ่งเข้าโจมตี …………. ………………… ……………………. ขณะเดียวกัน ลอว์เรนซ์ กาเร็ท กาเทีย นีน่า และ ริคุก็ได้ออกตามหา ลากูน่าที่หายตัวไป จนไปเจอเข้ากับออบซิเดียนแอคเตอร์ ที่บินผ่านไป พวกเขาได้วิ่งตามมันไปเพราะคิดว่า อาจเกี่ยวข้องกับการหายไปของลากูน่า จนในที่สุดเมื่อแอคเตอร์ทั้งสอง มาเจอกัน ที่ทุ่งหญ้านอกกำแพงเมือง ที่นั่นพวกเขาได้พบกับเจนัสที่วิ่งตามฮอลี่วูฟล์แอคเตอร์ มา “ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ” เจนัสกล่าวขณะที่วิ่งมาสมทบกับพวกเขา “ เราออกมาตามลากูน่าน่ะเค้าหายตัวไปไม่มีใครรู้ว่าเค้าไปไหนก็ตามไป เรื่อยจนเจอแอคเตอร์ก็เลยตามมาเนี่ย ” Lr อธิบายพร้อมกับชี้ไปยังแอคเตอร์ทั้งสองที่ ยังคง วนเวียนอยู่แถวนี้ “ อ้าวว่าไงพวกเจ้าสบายดีไหม ” ทิโมธีซึ่งโผล่มาโดยไม่รู้ตัวทักทายพวกเขา โดยเดินสะเปะสะปะ ตรงมาหาพวกเขา “ บาดเจ็บที่ขาข้างเดียวกับเจ้านักประดิษฐ์เลยจะว่าไปเจ้านี่ก็เป็นนักประดิษฐ์ ของกองกำลังเหมือนกันไม่แน่…นี่หรือว่า ” เจนัสคิดซึ่งนีน่าและริคุเองก็เริ่มคิดแบบเดียวกับเขา “ ทุกคนถอยออกมา…เจ้านั่นคือนักประดิษฐ์…เทพขุนพลนักประดิษฐ์ ” เสียงตะโกนของลากูน่าดังมาจากด้างหลังของพวกเขาเมื่อหันไป ก็เห็นลากูน่าวิ่งโบกม้วนกระดาษอยู่ในมือ โดยมีเจ้าหุ่นกระป๋องลากติดมาด้วย ไม่นานนักแอคเตอร์ทั้งสองก็พุ่งเข้ามายังกลุ่มของพวกเขาจนต้องถอยหนี ออกมา “ รู้ตัวแล้วรึ ” ทิโมธีเปรยก่อนที่เหล่าซินทั้งสิบตนจะปรากฏกายขึ้น พร้อมกับการมาของเกรเกอรี่ โดยที่เหล่าอารักขเทวดาทั้งห้าของเขาถูก เหล่าซินตรึงไว้ “ นี่มันเรื่องอะไรกันท่านบิชอป ” กาเร็ทกล่าวด้วยความสับสนเช่นกันกับทุกคนที่อยู่ตรงหน้า ทว่าเกรเกอรี่ก็โยนหนังสือซึ่งเป็นบันทึกที่ Lr ได้ไปเอามาจากฐานกำลังทางเหนือ ทันทีที่เขาเก็บขึ้นมาอ่านเนื้อความในหน้าที่ถูกขั้นไว้ …..และแล้วบิชอปแห่งฟีเลเซียผ้ยึดมั่นในพระองค์ ก็ได้เลือกที่จะรับใช้พระองค์ และทรยศต่ออุดมการณ์แห่งศาสนจักร……….. “ นี่มันอะไรกัน ” Lr เปรย มือที่กางหนังสือสั่นเทา “ ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะเกรเกอรี่จะมารับใช้พระองค์อย่างเต็มใจใช่มั้ยล่ะ ” ทิโมธีกล่าวขณะที่หันไปขอเสียงสนับสนุนจาก เกรเกอรี่ ไม่นานนัก ประตูมิติก็เปิดออก มังกรเพลิงโลกัณฑ์มอนิอัส และมังกรแห่งการทำลายล้างลุมเบเลนอส ได้ก้าวออกมาจากประตู พร้อมกับ ชายผู้อยู่เหนือกาลเวลาความเป็นและตาย ลิขิตชีวิตของทุกผู้ ก็ได้ปรากฏต่อหน้าพวกเขา “ อิเดีย… ” สิ้นคำของ Lr ดราก้อนฮอลลี่ก๋ส่องแสงสว่างขึ้นก่อนที่ดาบมาคายาเดียจะมาอยู่ในมือของ เขา และกลายร่างเป็นทาลิวิลย่าพร้อมกับที่ลูกมังกรทั้งหกได้เปลี่ยนร่างเป็น มังกรกริฟ ชินเซเบอร์และมิรัยเคนของกาเทียและกาเร็ทได้ อัญเชิญ มังกรอัสนีบาตอันเป็นอาวุธแห่งเทพ โกรอทพาลม่า และสุดยอดมังกร นิลทูเรี่ยน ออกมา ในขณะที่พวกเจนัสก็เตรียมพร้อมรับมือ “ ศึกที่ยาวนานมาตัดสินกันที่นี่เลย ” ทาลิวิลย่ากล่าวก้อง “ วันนี้ข้าไม่ได้มีธุระกับพวกเจ้า แค่จะมาต้อนรับสาวกคนสุดท้ายของข้าก็เท่านั้น ” อิเดียกล่าวขณะที่มองค้อนไปยังเกรเกอรี่ “ เอาล่ะมาอยู่ด้วยกันเถอะสหายข้า เราจะช่วยกันชำระโลกนี้ซะ ” ทิโมธียื่นหน้ากาก กลมสีขาวซึ่งเป็นอันเดียวกับที่บิชอปชุดดำผู้ซึ่ง ควบคุมอัศวินนรก ให้แก่เขา “ นี่คือ มาร์คแอคเตอร์ (Mask Actor)เพียงสวมมันเจ้าก็จะได้มารับใช้พระองค์อย่างที่เจ้าหวังแล้ว ” ทิโมธีกล่าว “ รับใช้พระองค์อย่างที่หวังอะไรกันแกมันจอมมารชัดๆท่านบิชอปที่ยึดมั่นและศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีทางไปเข้าพวกกับแกหรอก ” ทาลิวิลย่า กล่าวทว่า เกรเกอรี่กลับ ส่ายหน้า “ ไม่ทิโมธีพูดถูกแล้ว ท่านผู้นี้คือร่างอวตารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริง ” เกรเกอรี่กล่าว คำพูดของเขาทำให้ Lr และพรรคพวกแทบไม่อยากเชื่อ ว่าอิเดียคือร่างอวตารของพระเจ้าสูงสุด “ แล้วที่ท่านทำมาตลอดนี่ไม่ใช่ความต้องการของท่านหรือ ” ทาลิวิลย่ากล่าวโดยหวังว่า เกรเกอรี่จะเข้าใจแต่คำตอบที่ได้รับมานั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “ นี่เป็นชะตากรรมที่ฟ้าลิขิตไว้แล้วไม่อาจเปลี่ยนได้อีก... ” เกรเกอรี่กล่าวจบก็รับเอามาร์คแอคเตอร์ มาจากทิโมธี “ ที่แล้วมาเรามักจะเลือกทางเดินที่สวนกับสหายมาตลอดทั้งเคอวินแล้วก็ทิโมธี บางทีนี่อาจจะดีแล้วก็ได้ ” เกรเกอรี่คิดในก่อนที่หน้ากากจะถูกสวมลงบนใบหน้าของเขาจนเต็ม ออร่าสีดำแผ่กระจายปกคลุมร่างของเขา ชุดบิชอปได้เปลี่ยนสีไปจากขาวเป็นดำ “ สาวกข้า นับแต่นี้เจ้าคือเนโครบิชอป(Necro Bishop) ” อิเดีย ประกาศก้องก่อนที่ อัศวินสวรรค์จะจุติลงมาจากฟ้า และเปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นอัศวินนรก และมาอยู่ข้างกายของเกรเกอรี่ที่กลายเป็นเนโครบิชอป ภาพเหตุการณ์นี้ก็ได้ฉายไปถึงน้ำตกของวิหารปราชญ์มังกร โดยมีปราชญ์ทั้งสองเฝ้ามองเหตุการณ์ ที่เป็นไปตามคำทำนาย “ มนุษย์นั้นจะก้าวต่อไปเพื่อ ให้รู้ยังจุดหมายข้างหน้าแต่เมื่อใดที่รับรู้ถึงสิ่งนั้นก่อนจะได้เดิน ทาง กระนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนทางไปได้นี่คือชะตา ” เวสเล่กล่าว เมื่อได้เห็นหนทางที่ดำเนินไปตามอนาคตที่พวกตนได้รับรู้มา “ จากนี้ไปที่ทะเลทรายแห่งการสูญสิ้นอีกสิบวันดวงสุริยาและจันทรา จะขึ้นพร้อมกัน เมื่อนั้นข้าจะทำพิธีมหาจุติและโลกนี้ก็จะถึง กาลปวสานทุกๆอย่างจกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ไม่ว่าเทพปีศาจมนุษย์สัตว์ก็จะต้องหายไปจนหมดสิ้น ” สิ้นคำอิเดียก็ได้เผยร่างที่แท้จริงออกมา มันมีรูปร่างที่ไม่อาจแยกออกได้ว่าเป็นเทพหรือปีศาจ แต่นี่คือสิ่งที่เข้าสิงร่างของอิเดียเมื่อ 9 ปีก่อนปีกทั้งสี่ที่มาพร้อมกรงเล็บทั้งหกลำตัวเป็นกระดูกเรียงตัวเป็นเส้น ดวงตาลุกโชนด้วยเพลิงสีรุ้ง ร่างกายเปล่งประกายสีรุ้งเจิดจรัสตลอดเวลา (http://image.ohozaa.com/ir/m7t2a.jpg) “ ข้าจะบอกอะไรดีๆให้ วิญญาณของอิเดีย..ไม่สิวิญญาณของทุกชีวิตในโลกนี้ได้ถูกผนึกอยู่ในตัวข้า นับตั้งแต่วันที่ข้าจุติลงมา ดังนั้นวิญญาณของครอบครัวพวกเจ้าก็ยังคงอยู่ในอานัติของข้า ” สิ้นคำ ร่างโปร่งใสของ อิเดีย ซาเรีย ราซานี เซโก้ แอสต้ารวมไปถึงเหล่าเทพขุนพลทั้งหมด และทุกคนที่ได้ตายไปในศึกนี้ก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา “ วิญญาณของเจ้าพวกนี้จะถูกข้าผนึกไว้และไม่ได้อิสระพวก มันจะถูกทำให้หายไปพร้อมกับพวกเจ้าแน่นอน ” อวตารแห่งพระเจ้าได้กล่าวก้องก่อนที่จะเปิดประตูมิติอีกครั้งและ หายลับไปในพริบตา “ อีกสิบวัน..งั้นเหรอ ” ทาลิวิลย่าเปรย ข่าวเรื่องการทรยศของเกรเกอรี่และทิโมธีรวมไปถึงวันตัดสินของศึกได้ถูกแจ้งไปอย่างรวด เร็วในวันนั้น และแน่นอนความวุ่นวายได้เข้ามาเยือนเมื่อวันประกาศศึกตัดสินได้ใกล้เข้ามา บันทึกที่รับมาจากเกรเกอรี่ได้ถูกถอดความออกมาทั้งหมดเกี่ยวกับรายละเอียดที่เหลือ ……ผู้เป็นความหวังที่สามแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้นจะกอบกู้โลกจากตัวพระองค์ที่แบกรับพลังด้านลบของ โลกเอาไว้และจุติลงมานำโลกนี้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า …….. ……..เหล่ามนุษย์ได้ดิ้นรนที่จะอยู่รอดโดยพยายามอย่างไร้ผลต่อสู้กับเปลือกนอกของพระองค์ และจบลงที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้……….. ………วันที่สุริยาและจันทราจุติ เมื่อนั้นคือสัญญาณแห่งอวสานโลก พระองค์จะจุติอย่างสมบรูณ์ และจะไม่มีใครหรืออะไรมาขวางได้ แม้แต่ผู้เป็นความหวังที่สามของพระองค์ก็ตาม สวรรค์จะถูกกลืน นรกจะสูญหายโลกจะพังทลาย และดับสิ้นคืนกลับสู่ความไร้ตัวตน…… “ เราไม่มีทางชนะเลยจริงๆนั่นล่ะ ” อีสควอเทียกล่าว ขณะที่ภาพบนน้ำตกซึ่งฉายภาพอนาคตแห่งความพ่ายแพ้ ของพวกเขา แผ่นดินลุกเป็นไฟ ฟ้าแตกทลาย ท่ามกลางการสู้รบนั้น นอกจากร่างของเด็ก สี่คนและคนอื่นที่เหลือ กับเศษดราก้อนฮอลลี่ที่แตกกระจาย ดาบมาคายาเดีย หักท่อน โล่มิคาเอล ถูกเจาะทลาย และร้ายที่สุดร่างของ Lr ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดไหลโทรมกาย กับลมหายใจที่แผ่วเบา ต่อหน้าความมืดอันยิ่งใหญ่ที่ดูดกลืนทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่า ภาพทั้งหมดที่อีสควอเทียดูในวันที่พวก Lr มาที่นี่เป็นครั้งแรกจนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยน แปลง โปรดติดตามตอนต่อไป ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงทะเลทรายแห่งการสิ้นสุดและเข้าปะทะกับกองทัพมังกรปีศาจทั้งหมด ในขณะที่ร่างอวตารกำลังรอการจุติ ครั้งใหญ่ วิกฤติการได้เข้ามาเยือนเมื่อเทพไม่อาจยื่นมือเข้าช่วย เหมือนที่แล้วมา เหล่าผู้กล้าต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไร้ทางสู้ วินาทีนั้นจอมเวทย์ผู้แข็งแกร่งก็ได้ปรากฏกาย “ ฉันจะแก้แค้นให้เซโร่ ” ทว่าก็ไม่อาจทานอำนาจที่ยิ่งยงได้ ปาฏิหาริย์ที่ได้บังเกิดในขณะนั้นเมื่อจอมเวทย์แห่งการคืนชีพได้ เข้าช่วยเหลือ “ เซโร่ชั้นจะเอานายออกจากผลึกนี่เองถ้าเป็นไฟของชั้นล่ะก็ต้อง ละลายมันได้แน่แล้วเราจะได้ไปด้วยกันไปปกป้องเรโค่ ” เมื่อจอมเวทย์ทั้งสามได้กลับมาอยู่ร่วมกันพลังของวิหกแห่งตำนานจึงเริ่มขึ้น “ นี่คือพลังที่แท้จริงของพวกเรา ” “ เปล่าประโยชน์ข้าทำมหาจุติสำเร็จแล้วโลกนี้จงกลับสู่ความว่างเปล่า ” อวสานโลกได้คลืบคลานเข้ามา ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้นผู้กล้ายังคงไม่ย่อท้อกัดฟันสู้ต่อไป “ จะโชคชะตาหรืออะไรก็เถอะแต่ทางเดินนั้นตัวเราคือผู้ลิขิตแกไม่มีสิทธิมาลิขิตทางเดินของพวกเรา ” “ ขอร้องล่ะตัวชั้นอีกคนช่วยมอบพลังให้ด้วย ” “ หึ หึ หึ ไม่อยากเชื่อเลยที่จะได้ยินคำนี้จากปากของแกก็ได้ข้าเองก็ยังมีเรื่องต้องสะสางกับมัน เหมือนกันบังอาจหักหลังข้า เอ้าเจ้าพวกปีศาจปลายแถวทั้งหลายจะมายืนโง่อยู่ทำไม ถ้าอยากหายไปนักพวกแกก็นอนรอวันตายอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ” ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นอีกคราจิตใจที่รวมเป็นหนึ่งก่อกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่ “ พลังแห่งความนึกคิดคืออำนาจที่จะดำรงไว้ซึ่งทุกสรรพสิ่ง และบัดนี้เราคือ…. ” ก้าวข้ามลิขิตแห่งฟ้าเพื่อไขว่คว้าอนาคตมาไว้ในกำมือ แสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมิดที่ว่างเปล่า ติดตามได้ใน บทที่ 32 ก้าวข้ามโชคชะตาสู่ขีดสุดแห่งวิวัฒนาการ ในที่สุดก็มาถึงตรงนี้จนได้ ว่าแต่บทนี้ช่วงต้นแทรกเยอะไปหน่อย แหะๆ ถือว่าคลายเครียดละกันครับ ว่าแต่หมันไส้เจ้ากาเร็ทอ่ะดูมันดิทิ้งน้องไว้ตั้งนาน ว่าแต่เจ้าการูรูม่อนเนี่ยสิมันเผยธาตุแท้ออกมาเลยง่ะ ตอนพิมพ์กันเนี่ยมันกรี้ดลั่นห้องซะ เลยหยิบมาใส่โลดให้เขารู้กันให้โม้ด ประจานอย่างนี้ต้องประจาน เอหรือไม่ต้องประจานก็ออกลายมาแต่หัววันแล้วหว่าเหอๆ ว่าแต่บทหน้างานหนักแน่ จะพิมพ์ได้มั้ยเนี่ยตัวละครเยอะอ่ะ ขนาดบทนี้รวบเต็มที่แล้วยังยาวเลย ส่วนเรื่องเนโครบิชอป เนี่ยมีใครคาดถึงมั้ยเอ่ยว่าจะเป็นเกรเกอรี่เนี่ย เจ้าทิโมธีนี่คงไม่ต้องบรรยาย เพราะโผล่หางมาแต่ต้นแว้ว ที่นี้ร่างสุดท้ายของทาลิคุงคือร่างไหนน้า จำได้ว่าเคยโพสให้ดูไปแล้วแต่ไม่ได้บอกว่า ไว้ว่าเป็นร่างสุดท้าย ใบ้ให้เป็นโปรโมการ์ดอิอิ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ Post by: greamon on August 12, 2008, 07:51:59 PM บทที่ 32 ก้าวข้ามโชคชะตาสู่ขีดสุดแห่งวิวัฒนาการ
สถานการณ์ภายในกองทัพนับจากวันนั้นก็เกิดกลลาหลไปทั่ว พวกทหารต้องทำงาน กันเป็นประวิง หลังจากที่คำสั่งเคลื่อนพลได้ถูกแจ้งลงมา การสะสมเสบียงและอาวุธถูก ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จำนวนทหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องประชุมของพระราชวังเองก็ ตกอยู่ในสภาวะเคร่งเครียดไปต่างกัน เมื่อกำลังหลักโดยตลอดอย่างกองทัพหุ่นยนต์ของทิโมธี กลับไปอยู่ฝ่ายศัตรู แม้แต่บิชอปเกรเกอรี่ ก็ยังตามไปกับเขาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง ผนวกกับข้อความทั้งหมดที่บันทึกไว้ในบันทึกของเวสเล่ นั่นยิ่งทำให้พวกเขาสิ้นหวังลงไปอีก “ ตอนนี้เราก็ได้แต่ปิดเรื่องตัวจริงของอีกฝ่ายไว้อย่าให้พวกทหารรู้เท่านั้นเพราะหาก รู้ว่าจะต้องสู้ทั้งๆที่แพ้พวกเขาอาจจะหมดกำลังใจก่อน ” แม่ทัพชาว์ลรายงานถึงสถานการณ์ภายในที่เวลานี้สิ่งสำคัญก็คือกำลังใจของทหาร “ ไม่อยากเชื่อเลยนี่เราจะต้องสู้รบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ” คาดินัลมาสซิลิโอ้ เปรยด้วยความผิดหวัง ที่ตลอดมาเค้าคิดว่ากองกำลังต่อต้านนี้ จัดตั้งขึ้นมา เพื่อขับไล่วัญจนะแห่งความมืด แต่กลับเป็นว่าพวกเขาสู้กับสิ่งที่ตนศรัทธามาตลอด “ แล้วตอนนี้เราก็ยังสูญเสียคนสำคัญในเวลานี้ไปอีก ทั้งท่านบิชอปกับทิโมธี ตลอดเวลาที่ผ่านมากองทัพหุ่นยนต์ของเราถึงไม่เคยออกไปรบกับพวกมันได้เลยซักครั้ง และในทุกครั้งทิโมธีจะต้องไม่อยู่เสมอเพราะเขาเป็นอริกับเรานี่เอง ” องค์หญิงเรจิน่าตรัสอย่างสิ้นหวัง “ ตอนที่พวกเรามาที่นี่ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่า เหล่าบาปจะต้องกลับคืนชีพมาอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้เราจะต้องสู้โดยปราศจากความช่วยเหลือของพระองค์ ” อิสฮานตรัสทรงกำพระหัตถ์แน่นด้วยความเจ็บพระทัย “ มาถึงตรงจุดนี้แล้วเราจะทำยังไงกันต่อ…..นี่ก็เหลือเวลาอีกแค่ 5 วันเท่า นั้นเองพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทัพแล้วเพราะต้องใช้เวลาถึง 4 วันที่จะเดินทางไปยังทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด ในเขตทะเลทรายของ ซาโลม ” ฮารีซันกล่าวอย่างพิเคราะห์ในขณะที่คำนวณระยะเวลาในการเดินทาง “ เราก็คงได้แต่เดินหน้าต่อไปเท่านั้นถ้าคำทำนายในหนังสือนั่นเป็นจริง เราก็ต้องรบและแพ้ตามนั้น ยังดีกว่าไม่ทำอะไรรอให้จุดจบมาเยือน ” กษัตริย์ซิกมันด์ตรัส ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดการประชุมเพื่อหาข้อยุติของ การเดินทัพครั้งนี้ ………………. ……………………. ………………………. ณ ทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด บริเวณรอบๆอากาศร้อนอบอ้าวด้วยขี้เถ้าของ ภูเขาไฟซึ่งยังคุรกรุ่นอยู่ ลาวาไหลเจิงนองลงมารอบๆปล่อง ภายในปล่องภูเขาไฟ ซึ่งเต็มไปด้วยลาวาร้อนแรงที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ อวตารแห่งพระเจ้าได้เฝ้ามองลึกลงไปใต้ลาวานั้น ก่อนที่ประตูมิติจะเปิดออก พร้อมกับการมาของ เนโครบิชอป “ ไปจัดการเรื่องในอดีตเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ” อวตารแห่งพระเจ้าได้ตรัสถาม “ ขอรับด้วยพลังของแอคเตอร์นี้ทำให้กระหม่อมสามารถเคลื่อนที่ในเวลาได้อย่างอิสระ และควบคุมอัศวินนรกได้ มันช่างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่นัก ภารกิจที่ท่านมอบหมายจึงมิได้ผิดพลาดแต่ประการใด ” เนโครบิชอปกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ “ ดีมาก…เจ้าทำได้ดีสาวกเอ๋ย..ข้าจะขึ้นไปตรวจการ…ตอนนี้เตรียมพร้อมไปถึงไหนแล้ว ” อวตารแห่งพระเจ้าตรัสถามอีกครา “ ทูลพระองค์ตอนนี้เราได้ดำเนินการปิดล้อมทะลทรายแถบนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว นักประดิษฐ์กำลังจัดเตรียมสนามพลังที่จะใช้ทำพิธีอยู่ ” เนโครบิชอปรายงานพร้อมกับที่ทั้งสองลอยตัวขึ้นมายังปากปล่อง ทั่วทั้งผืนทรายเต็มไปด้วยฝูงมังกรปีศาจเดินป้วนเปี้ยนเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ใครหรืออะไรเข้ามาในบริเวณได้ มอนิอัสกับลุมเบเลนอสได้บินตรงมายังพวกเขา ก่อนจะโรยตัวลงพร้อมกับทำความเคารพ “ บัดนี้เราได้เตรียมการพร้อมแล้วหากศัตรูบุกมาก็สามารถรับมือได้ทันที ” มอนิอัสรายงายผ่านกระแสจิต “ ด้วยกองทัพนับแสนล้านนี้พวกเราไม่มีทางปราชัยแน่นอน ” ลุมเบลเนอสแจ้งด้วยความมั่นใจ “ ไม่จำเป็นต้องถึงให้กับชนะขอแค่ให้ข้าทำการมหาจุติได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ” อวตารแห่งพระเจ้าตรัส “ นี่มันหมายความว่ายังไง…เราตกลงกันแล้วไม่ใช่รึ เจ้าเป็นอิสระจากการจองจำของตัวเจ้าเองแล้ว โลกนี้ก็จะยกให้พวกเราปกครองน่ะ ” นางปีศาจกายสีขาวและเจิดจรัสด้วยแสงราวกับทูตสวรรค์ถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจโดยที่เหล่าบาปที่เหลือ ตามหลังมา “ สมกับเป็นบาปแห่งการละเลยในคุณงามความดีจริงๆเรื่องชั่วๆไม่มี ปล่อยให้หลุดมือเลยนะ อิคนอแรนเทีย(Pecca Ignorantia, the Sin of Ignorance) ” อวตารนั้นตรัส ในขณะที่มังกรทั้งสอง ได้เข้ามาขวางเหล่าบาปเอาไว้ “ นี่มันไม่เหมือนที่ตกลงกันไว้เลยแกไม่เคยบอกว่าจะชำระล้างทั้งหมด ” อิคนอแรนเทียกล่าวทวงถึงสัญญาที่เคยตกลงกันไว้ “ ข้าได้ผนึกจิตของตัวเองซึ่งแบกรับเอาพลังแห่งความหวาดกลัวเข้ามาและแยกออกจากพลังอำนาจ โดยผนึกตัวข้าที่เป็นจิตเอาไว้ที่นรกร่วมกับพวกเจ้า เพื่อที่จะทำให้การจุติสมบรูณ์แบบ ข้าจำเป็นต้องให้พวกเจ้าช่วย และข้าก็ไม่ได้ผิดคำพูดซะหน่อย ข้าคืนชีพให้แก่พวกเจ้า แล้วส่วนจะยึดครองโลกนั้นพวกเจ้าก็ไปจัดการกันเอาเองสิ ข้าก็แค่ทำตามความตั้งใจของข้า แต่เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็คงไม่ได้ปกครองอะไรรวมทั้งตัวเจ้าเองด้วยนั่นล่ะ ” ร่างอวตารตรัส เหล่าบาปต่างจ้องด้วยสายตาโกรธแค้นที่ถูกหลอกใช้ “ นี่เจ้า.. ” อิคนอแรนเทียสบถก่อนจะ ปล่อยแสงสีขาวออกจากมือพุ่งตรงไปยังร่างอวตาร ทว่าแสงนั้นก็ได้จางหายไปก่อนจะถึงตัว “ อย่าพยายามให้เสียแรงเปล่าเลยพวกเจ้าก็มาช่วยกันทำให้โลกนี้และจักรวาลนี้กลับสู่ความว่างเปล่าเถอะ ” ร่างอวตารตรัสจบก็เดินจากไปทิ้งให้เหล่าบาปต้องกัดฟันด้วยความแค้นเคือง “ ว่าไงล่ะเนโครบิชอปรู้สึกยังไงบ้าง ” นักประดิษฐ์เดินเข้ามาถาม เนโครบิชอปที่ยังคงยืนนิ่งอยู่บนปากปล่อง “ ข้าขอถามหน่อยเถอะเจ้าหวังอะไรจากการศึกครั้งนี้ ” เนโครบิชอปกล่าวถามด้วยความอยากรู้ ก่อนที่นักประดิษฐ์จะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ “ ข้าก็แค่ปรารถนาจะเห็นจุดจบของโลกนี้มันก็แค่นั้น ” นักประดิษฐ์กล่าวเสียงเรียบก่อนจะเดินจากออกไป “ จุดจบของโลกหรือ.. ” เนโครบิชอปทวนคำอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้เหล่าบาปทั้งสิบ นั่งสำนึกในความเขลาของตน ……………. …………………. ……………………. ณ ปลายทะเลสาบนีรันด้าซึ่งติดกับทะเล วิหกเพลิงซึ่งปีกของมันลุกด้วยเพลิง สีแดงฉานตลอดเวลา มันบินอย่างรวดเร็วเหนือน่านน้ำ ตรงไปยังเกาะโขดหินซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ทันทีที่มันบินมาถึงไฟจากปีกของมันก็ได้ละลายน้ำแข็งที่ปกคลุม จนหมด มันบินไปหยุดกระพือปีกพั่บอยู่หน้าผลึกน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ แช่งแข็งเด็กชายเอาไว้ มันจ้องลึกลงไปก่อนจะหุบปีกและใช้กรงเล็บเกาะลงบนก้อนน้ำแข็ง “ ที่แท้คำภาวนาอันแรงกล้านั้นก็เป็นของเรโค่สินะ ไม่งั้นชั้นคงมาไม่ถูกแน่ ” วิหกเพลิงกล่าวก่อนที่ตัวจะลุกโหมด้วยเพลิงอมตะและกลายร่างเป็นเด็กหนุ่ม “ เซโร่ชั้นจะเอานายออกจากผลึกนี่เองถ้าเป็นไฟของชั้นล่ะก็ต้อง ละลายมันได้แน่แล้วเราจะได้ไปด้วยกันไปปกป้องเรโค่ ” เด็กหนุ่มกล่าวจบเปลวไฟก็ลุกท่วมผลึกน้ำแข็ง ฝู่วววววววว! เสียงน้ำแข็งละลายพร้อมกับระเหยเป็นไอก่อนที่จะหยดลงพื้นดังขึ้น น้ำแข็งค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆจนแตกออกในที่สุดร่างของเด็กชายซึ่งถูกแช่แข็ง เอาไว้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากน้ำแข็งผิวตัวที่ซีดเซียวจากการถูก แช่เย็นไว้นานได้กลับมาผุดผ่องจากไฟชีวิตที่เผาผลาญร่างของเขา จนในที่สุดเมื่อไฟดับเด็กชายก็ได้สติ เขาแหงนหน้าขึ้นมองผู้ที่มาช่วยเขาไว้ ก่อนที่ตาจะเบิกกว้างด้วยความตะลึง (http://image.ohozaa.com/ix/zerolimited.jpg) (http://image.ohozaa.com/ip/ichigilimited.jpg) “ อิจิกินาย…. ” เซโร่อุทานเมื่อคนที่มาช่วยเขาไว้คือเพื่อนที่จากหายไปนาน …………….. …………………….. …………………………. วันต่อมา ขณะที่กองทัพเรือนแสน ได้เคลื่อนตัวออกจากฟีเลเซีย โดยมีทัพจากฟูดินันและซาโลมมาช่วยเสริมทัพทำให้กองทัพนั้น มีขนาดใหญ่มากนัก อีกทั้งพลทหารและยุทโทปกรณ์จากแอนดิซอง ก็ทำให้พวกเขาเคลื่อนทัพได้เร็วขึ้นด้วยพาหนะต่างๆ ขณะที่พวกเขามาถึงพวกเขามาถึงช่องแคบมาซาด้า ก็ต้องหยุดทัพเพราะเหนือน่านฟ้านั้นได้ฝูงมังกร หลากหลายธาตุบินตรงมาซึ่งข้างหน้านั้นนำทัพมาด้วย มังกรขาวดีวายดราก้อนและมังกรดำเทียแมต ตามมาด้วยร่างยักษ์ของแกรนเดครอส พวกมันร่อนลงตรงหน้าทัพ “ พวกเราทัพมังกรจะขอเข้าร่วมรบไปกับพวกท่านในศึกครั้งนี้ด้วย ” ดีวายดราก้อนกล่าว นำมาซึ่งขวัญและกำลังใจแก่ทหารทั้งหมดที่พวกเขาได้ ทัพมังกรซึ่งดูจะมีพลังอันแข็งกล้า มาช่วยเหลือ “ ทุกอย่างกำลังเต้นไปตามจังหวะแห่งโชคชะตาและจะจบลงเมื่อเพลงที่บรรเลงหยุด ซึ่งนั่นก็คือจุดจบของทุกสิ่ง ” เวสเล่กล่าวขณะที่มอง ภาพบนน้ำตก ทั้งการรวมทัพใหญ่เพื่อจะทำศึกครั้งสุดท้าย และทางเดินของเหล่าจอมเวทย์ผู้ทรงอำนาจ ชะตากำลังจะไปบรรจบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ …………….. ……………….. …………………… Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ Post by: greamon on August 12, 2008, 07:52:20 PM 4 วันต่อมา
เหนือทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด ท้องนภามัวหมองไปด้วยเมฆฝน เสียงฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาท ดวงสุริยาซึ่งแหวกเมฆาทอแสงลงมาพร้อมกันกับดวงจันทราที่ขึ้นมาผิดเวลา สายฝนโปรยปราย ลงสู่สมรภูมิรบ แต่ทว่าหยดน้ำก็ระเหยก่อนที่จะถึงพื้นด้วยอุณหภูมิที่ร้อนระอุ หลังจากที่โปรยปรายเป็นเวลานาน อากาศก็เริ่มที่จะเย็นลงมาบ้าง มหากองทัพทั้งสองฝ่ายได้ยืนประจันหน้า กันก่อนที่เสียงแตรเขาสัตว์ อันเป็นสัญญาณ แห่งการรบจะดังขึ้น การปะทะกันได้เริ่มตั้งแต่วินาทีนั้นเสียงปะทะของศาสตราวุธดังระงมไปทั่ว สมรภูมิ เลือดและหยาดน้ำฝนไหลรดลงดินทรายจนแดงฉาน ฟ้าร้องกึกก้อง ราวกับกรีดร้องด้วยความทุกข์ทน “ Great of Dragon ” สิ้นเสียงมังกรพลังงานจำนวนมากก็พุ่งลงจากฟ้าเข้ากวาดล้างมังกรปีศาจ ทว่า อัศวินนรก ก็เข้ามาขัดขวางการโจมตีของทาลิวิลย่า มอนิอัสและลุมเบเลนอสได้เข้าปะทะกับแกรนเดครอส มังกรกริฟทั้งหก ต้องตีฝ่าวงล้อมเข้าไปให้ถึงปากปล่องภูเขาไฟ โดยมีเจนัส ลากูน่า นีน่า และริคุ ที่กลายร่างสมิง นำทัพตีทะลวง ดวงจันทราเยือกแข็งและดวงจันทราสีเลือดถูกเรียกออกมา เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ เหล่าบาปทั้งสิบต้องต่อกรกับคณะประกาศก ส่วนการทัพโดยรอบจะบังคับการโดย กษัตริย์ซิกมันต์และองค์หญิงเรจิน่า นักประดิษฐ์ได้สร้างกองทัพหุ่นยนต์ขนาดยักษ์อย่าง เบต้า- บี ขึ้นมาจำนวนมาก ทำให้ กาเร็ทและกาเทียต้อง อัญเชิญ โกรอทพาลม่าและนิลทูเรี่ยนลงมา “ Lighting Claw ” “ Shining and Darkness ” สิ้นเสียงสายฟ้าฟาดและประกายแสงดำ ก็ส่องสว่างวูบวาบไปทั้งสนามรบ “ ยามใดที่ท้องนภาเปิด….เมื่อนั้นดวงเนตรจักเบิกออก..นำมาซึ่งแสงแห่งจันทรา…ชี้นำทุกสรรพสิ่งสู่ความพินาศ…จงรับความพิโรธนี้ไป….. ” เจนัสและลากูน่าผลัดกันกล่าวคาถาขึ้นที่ละประโยค ขณะที่ศิลาเริ่มเรืองแสง จนเปล่งประกายเจิดจ้า “ จันทรคลาสพิโรธ (Wrath Eclipse moon) ” สิ้นคำแสงจันทราก็แผดเผาทัพมังกรจนราบคาบทางได้เปิดตรงขึ้นไปจนถึงปากปล่อง “ Weapon Fusion Metamorphose ” เสียงของดราก้อนฮอลลี่ดังขึ้นก่อนที่ทาลิวิลย่าจะยกโล่มาคายาเดียขึ้นมาและกลายเป็น อีกร่างซึ่งถือครองโล่มิคาเอล พายุหมุนซึ่งเกิดจากมังกรพลังงานได้พัดทำลายร่างของอัศวินนรก จนแตกสลาย “ ยามใดที่นภาปิด…ดวงเนตรจักปรากฏ…รัศมีแห่งอรุณที่ดับสูญ…นำมาซึ่งคมดาบแห่งการสังหาร…. และจักสังเวยเลือดเนื้อของอริจนสิ้นสลาย… ” นีน่าและริคุทั้งคู่ผลัดกันกล่าวคนละประโยคเหมือนกับที่เจนัสและลากูน่าทำ สิ้นคำศิลาก็เรืองแสงเปล่งประายเจิดจ้า “ มือสังหารตะวันเที่ยงคืน ”(Midnight Sun Killer) ดวงตะวันสีดำได้ปล่อยคลื่นพลังตรึงร่างของเบต้า-บีเอาไว้ ก่อนจะสลายมันด้วยคลื่นเสี้ยวสีดำ “ เจ้านั่นอยู่ในปล่องภูเขาไฟรีบจัดการมันก่อนจะจุติสำเร็จ ” ดีวายดราก้อนกล่าว ขณะที่ช่วยเทียแมตกับแกรนเดครอสรับมือ การโจมตีของ มอนิอัสและลุมเบเลนอสอย่างเต็มที่ ทาลิวิลย่าได้นำพวกเจนัสขึ้นไปยังปากปล่อง กาเร็ทและกาเทียก็ได้ให้โกรอทพาลม่าบินตามลงดดยที่ตนเรียกไดน่าเบลดกริฟฟินคู่ใจมาช่วยอีกแรง นิลทูเรี่ยนได้หันไปยิงประกายแสงดำอีกครั้งเพื่อจัดการกับ เบต้า- บี ที่ตามมา ก่อนจะลงมาสมทบ “ Change Obsidian From ” เสียงดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนักประดิษฐ์ ในชุดเกราะออบซิเดียนและเนโครบิชอปที่เดินเข้ามาล้อมพวกเขาไว้ อัศวินนรกถูกเรียกตัวลงมาอีกครั้ง “ ทางนี้พวกเรารับมือเอง ลอว์เรนซ์ นายลงไปจัดการมันก่อนเลย ” เจนัสกล่าวจบทาลิวิลย่าก็รับคำก่อนจะบินดิ่งลงไปยังปล่องภูเขาไฟ ซึ่งถูกปิดไว้ด้วยสนามพลัง “ Weapon Fusion Metamorphose ” สิ้นเสียงเขาก็เปลี่ยนกลับมายังร่างของทาลิวิลย่าผู้ถือครองดาบมาคายาเดีย และฟัน สนามพลังจนแตกร้าว ร่างอวตารซึ่งรอเข้าอยู่ได้บินขึ้นมาหาเขา “ ที่จริงพวกแกไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาขัดขวางข้าเลยด้วยซ้ำแต่ก็ยังจะทำเพื่ออะไร ” ร่างอวตารตรัสถาม “ เพื่อปลดปล่อยเหล่าวิญญาณที่ถูกแกจับไว้ และเพื่อปกป้องอนาคตของพวกเราทุกคน ” ทาลิวิลย่ากล่าวจบก็ไม่รอช้าพุ่งเข้าฟันร่างอวตารแต่กรงเล็บทั้งหกก็รับดาบไว้ก่อนที่ หัวกะโหลกของร่างอวตารจะพ่นรังสีเป่าเขาจนกระเด็นขึ้นไปยังปากปล่อง “ ลอว์เรนซ์เรามาช่วยแล้ว ” อิมซานมังกรกริฟแห่งแสงได้เข้ามาพยุงเขาไว้พร้อมกับเพื่อนๆมังรกริฟตัวอื่น ร่างอวตารได้ตามเขาขึ้นมา และส่งกรงเล็บทั้งหกไปจับตัวเหล่ามังกรกริฟไว้ ก่อนจะเป่าด้วยรังสี แบบเดียวกันอีกครั้งจนพวกเขากลับร่างเป็นลูกมังกร “ หนอยแก.. ” ทาลิวิลย่ากัดฟันก่อนจะยกโล่มิคาเอลที่สะพายไว้ขึ้นมาแล้วเปลี่ยนร่างอีกครั้ง ยานไซเบอริก้าได้แหวกเมฆลงมาและ หันปากกระบอกลำแสงทุกกระบอกไปยังกรงเล็บของร่างอวตาร จนแตกละเอียด ทาลิวิลย่าเริ่มสะสมพลังงานทันที อัญมณีกลางโล่เริ่มเปล่งแสงจ้าขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเมื่อร่างอวตารจะเป่าด้วยรังสีอีกครั้งเส้นลวดอันคมกริบก็พุ่งตัดปีกทั้งสี่ของมันจนเสียหลัก รังสีจึงเบนทิศพลาดไป “ ฉันจะแก้แค้นให้เซโร่ ” เรโค่นั่นเองที่ได้ตวัดเส้นลวดตัดปีกของร่างอวตาร ก่อนที่จะมัดเส้นลวดให้ตรึงร่างอวตารไว้ “ ตอนนี้แหล่ะจัดการมันเลย ” เรโค่กล่าว “ Aurora Beam ” เสียงของดีวายดราก้อนดังขึ้นพร้อมกับแสงพลังงานจากช่องตรงลำตัว ถูกยิงทะลวงร่างของมอนิอัส ก่อนที่มันจะสูญสลายไป “ มอนิอัส….พวกแกอย่าอยู่เลย End of Era ” สิ้นคำของลุมเบเลนอสแต่ยังไม่ทันที่จะได้โจมตีออกไปมันก็ถูกแกรนเดครอส ขยี้ด้วยกรงเล็บซึ่งเปล่งสร้างเจิดจรัส จนร่างสลายลง ทัพมังกรปีศาจเมื่อไร้ผู้นำก็เริ่มแตกสะเปะสะปะ และถูกตีแตกพ่ายในทันที กองทหารได้เข้าล้อมรอบปล่องภูเขาไฟไว้ทันที “ มันจบแล้วแกไม่มีทางชนะ…Great of Dragon ” สิ้นคำของทาลิวิลย่ามังกรพลังก็รวมตัวเป็นพายุและพุ่งตัวเข้าหมายจะ ขยีร่างอวตารให้สิ้นสลาย แต่ทว่าภูเขาไฟก็ได้ปะทุขึ้นลาวาอันร้อนแรงได้พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า พร้อมกับที่ดวงสุริยาและจันทราซ้อนเป็นหนึ่งเดียวกัน ท้องนภาแดงฉาน แผ่นดินแตกแยก ท้องทะเลปั่นป่วนพายุพัดโหมกระหน่ำ การโจมตีของทาลิวลย่าได้พุ่งเข้าไปถึงตัวของร่างอวตารแล้ว ทว่าร่างอวตารกลับสลายไปก่อนจะถูกทำลาย ละอองแสงของร่างอวตารได้ลอยขึ้นไปรวมกันบนเสาลาวา ซึ่งภายในเสานั้นผลึกแก้วทรงสิบเหลี่ยม ก็ได้แตกร้าวออก ความมืดอันเวิ้งว้างได้แผ่ขยายออกมาจาก ผลึกนั้นและเริ่มกลายรูปไป ร่างของมันเป็นมิติอันเวิ้งว้างราวกับหลุมดำที่จะดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง ทั่วทั้งโลกเทอร่าได้เกิด ภัยพิบัติ น้ำท่วม ไฟไหม้ ดินถล่ม มรสุม สิ่งมีชีวิตล้มตายเป็นจำนวนมาก ในท้องทะเลเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นและดูดกลืนทุกอย่างในทะเลลงไปเรื่อยๆ “ นี่น่ะหรืออวสานของโลกน่ะ… ” นักประดิษฐ์เปรย ด้วยความผิดหวังก่อนจะทรุดตัวลง “ ไม่ยอมหรอกวันพรุ่งนี้ของพวกเราของทุกๆคนจะไม่ให้มันสูญหายไปเด็ดขาด ” สิ้นคำทาลิวิลย่าก็พุ่งตัวเข้าไปยังร่างอวตารที่จุติสำเร็จแล้ว Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 30 โล่แห่งจิตวิญญาณ Post by: greamon on August 12, 2008, 07:52:31 PM “ เปล่าประโยชน์ข้าทำมหาจุติสำเร็จแล้วโลกนี้จงกลับสู่ความว่างเปล่า ”
ร่างอวตารสมบูรณ์กล่าวจบ ความมืดก็ได้ดูดกลืนทุกอย่างเข้ามาร่างของมันขยายขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่แสงสีรุ้งจะถูกยิงออกมาทำลายทุกอย่างรอบๆ ทาลิวิลย่าที่และทุกคนที่ถูกรังสีนั้นก็ได้ถูกดูดกลืนพลังไป ดวงจันทราอัญเชิญของศิลาจันทราได้ สลายลงพร้อมกับร่างของพวกเจนัสที่กลับสู่ร่างเดิม “ ข้าคือผู้สร้างและทำลาย ข้าคือพระเจ้าแห่งเทอร่า(THE GOD OF TERRA) และเจ้าอัศวินมังกร…เจ้าจะต้อง หายไปคนแรก ” สิ้นคำแสงสีรุ้งก็ถูกยิงทะลุร่างของทาลิวิลย่า จนล้มลงก่อนจะคืนร่างเป็น Lr ดาบและโล่กระเด็นไปคนละทิศ ก่อนจะถูกเสี้ยวของแสงที่ยิงมาทำลายจนเสียหาย รวมไปถึงดราก้อนฮอลลี่ที่คาดเอาไว้ที่ข้อมือ Lr ก็ถูกยิงแตกกระจายเป็นเศษแสงที่ถูกยิงออกมานั้นได้ย้อนขึ้นไปโจมตีใส่ยานไซเบอริก้าจนพังทลายร่วงลงมา (http://image.ohozaa.com/in/mycard.jpg) “ อาวุธของพวกเจ้าข้าจะทำให้มันพังเสียให้หมด ” พระเจ้าแห่งเทอร่าตรัสจบก็ยิงแสงสีรุ้งออกมานับถ้วน แสงพุ่งเข้าทำลายแคริอุส หุ่นขนส่งอาวุธจชของนีน่า จนร่วงตกลงมาเช่นกัน แสงที่เหลือทั้งหมด ได้พุ่งลงไปทำลายผืนแผ่นดินจน สลายและกลายเป็นความมืดพร้อมทั้งดุดกลืนบริเวณรอบลงไปและขยายตัวขึ้น เหล่าทหารต่างต้องพากันหนีเอาตัวรอดเป็นการใหญ่ แต่ก็ไม่อาจหนีพ้น ความสิ้นหวังได้มาเยือน อัสวินมังกรแห่งตำนานผู้กอบกู้โลกนี้ได้แพ้ลงเสียแล้ว “ จงหวาดกลัวเข้าไปมันจะยิ่งทำให้ข้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพราะความกลัวจะทำให้พลังแห่งความนึกคิดหายไป เมื่อกลัวก็ไม่อาจทำได้ทั้งความดีและความชั่วสุดท้ายก็จะกลับคืนสู่ความว่างเปล่านั่นคือที่สุด ” พระเจ้าแห่งเทอร่าตรัส เจนัสและทุกคนต่างล้มลงอย่างอ่อนแรงจากการที่ถูกชิงพลังไปจนหมด มังกรที่อัญเชิญจากดาบได้กลับคืนสภาพเป็นดาบดังเดิม เรโค่ที่โดนลูกหลงของแสงก็ไม่อาจลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ แม้แต่ Lr ที่ตอนนี้สูญเสียพลังที่จะต่อกรไปเสียแล้วอีกทั้งร่างกายยังบอบช้ำ บาดแผลเต็มไปทั้งร่าง เลือดไหลชะโลมกาย แววตาไม่เหลือความมุ่งมั่นแต่อย่างใดอีกแล้ว “ ที่ผ่านมาพวกเจ้าพยายามได้ดีมากแต่โชคชะตาได้ถูกลิขิตให้ต้องจบลงตรงนี้แล้ว ” พระเจ้าตรัสอีกครา ความมืดอันเวิ้งว้างเริ่มดูดกลืนทุกๆอย่างไป “ นี่เราคิดถูกแล้วหรือที่จะให้มันกลืนกินทุกอย่าง ” อิคนอแรนเทียเปรยขณะที่ยังรับมือกับอิสฮาน “ จะโชคชะตาหรืออะไรก็เถอะแต่ทางเดินนั้นตัวเราคือผู้ลิขิตแกไม่มีสิทธิมาลิขิตทางเดินของพวกเรา ” เสียงดังขึ้นจากฟากฟ้าพร้อมกับ แท่งผลึกน้ำแข็งจำนวนมหาศาลอาบด้วยเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่ร่างของพระเจ้า แต่ทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนให้ว่างเปล่า และร่างของพระเจ้าก็ขยายขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว “ เซโร่..อิจิกิ ” เรโค่อุทานขณะที่เพื่อชายทั้งสองลงมาสมทบกับเธอ พระเจ้าได้โจมตีมาอีกครั้งแต่พวกเขาทั้งสามก็ต้านรับไว้ด้วยกำแพงเวทย์เพื่อไม่ให้ เกิดความมืดมากไปกว่านี้ “ พวกเราไม่มีทางชนะหรอก… ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับไอควันสีขาวจางลง อีสควอเทียและเวสเล่ได้เดินตรงมา หาพวกเขา “ พระเจ้าสูงสุดได้จุติลงมาแล้วและโลกก็จะถึงกาลอวสาน ” เวสเล่กล่าวขณะที่จ้องมองสภาพรอบๆ “ ถ้าเรา…ถ้าเราไม่พยายามต่อไปถึงตอนนั้นก็จะไม่เหลืออะไรอยู่ดีตราบเท่าที่เรายังพยายามอยู่ มันก็ยังไม่จบไม่ใช่รึไงนักปราชญ์อย่างพวกท่านคิดกันได้แค่นี้หรือ ” เซโร่ตะคอกขณะที่พยายามดันต้านไว้คำพูดของเขาได้กระตุ้นให้ Lr และพรรคพวก รู้สึกตัว “ จริงสิถ้าตัดใจมันก็จบแต่หากพยายามแม้จะน้อยนิดแต่เรายังอยู่ต่อไปนี่ ” กาเร็ทกล่าวขณะยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับทุกคนและเข้าไปช่วยเสริมแรงต้านให้กับพวกเซโร่ Lr ที่ได้เห็นความพยายามของทุกคนจึงเกิดความรู้สึกที่อยากจะพยายามต่อไป เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ทรุดลงอีกแต่ก็ยังฝืนต่อไป “ ขอร้องล่ะตัวชั้นอีกคนช่วยมอบพลังให้ด้วย ” Lr คิดทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากในใจของเขา เศษเสี้ยวที่แตก ของดราก้อนฮอลลี่ได้เปล่งแสงและเริ่มมารวมตัวกันอีกครั้งจนกลายเป็นศิลามังกร ซึ่งติดกับเชิงตะเกียงเหมือนเมื่อครั้งที่ถูกนำออกมาจากวิหารแห่งมังกร แสงสว่างวาบขึ้นและขยาตัวไปจนถึงพวกเซโร่ที่ยันกันเอาไว้ แสงของพระเจ้าที่ยิงลงมานั้นได้ถูกดูดกลืนกลับและสลายไป “ หึ หึ หึ ไม่อยากเชื่อเลยที่จะได้ยินคำนี้จากปากของแกก็ได้ข้าเองก็ยังมีเรื่องต้องสะสางกับมัน เหมือนกันบังอาจหักหลังข้า เอ้าเจ้าพวกปีศาจปลายแถวทั้งหลายจะมายืนโง่อยู่ทำไม ถ้าอยากหายไปนักพวกแกก็นอนรอวันตายอยู่อย่างนั้นแหล่ะ ” เสียงของมุรามาซะโซลดังขึ้น พร้อมกับร่างของ Lr อีกคนที่แยกออกมาได้มาอยู่ต่อหน้าพวกเขา ดาบมาคายาเดียและโล่ถูกซ่อมจนกลับมาใช้ได้อีกครั้ง “ พวกเราก็จะร่วมสู้กับพวกแกด้วย ” เสียงของเหล่าบาปทั้งสิบดังขึ้น หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมุรามาซะโซล จึงตัดสินใจจะร่วมมือกันเพื่อยับยั้ง อวสานโลก แม้แต่เหล่าปีศาจทั้งหลายที่เคยอยู่ฝ่าย อิเดียก็มาเข้าร่วมด้วย ฟ้าได้เปิดออกเหล่าทวยเทพซึ่งนำโดยหลักสวรรค์ทั้ง 5 ก็ลงมาให้ความช่วยเหลือโดยรักษาบาดแผลให้แก่พวกเขา “ พวกเราทราบซึ่งในความพยายามของพวกเจ้า ถึงคราวที่เทพมนุษย์และปีศาจจะร่วมมือกันบ้างแล้ว ” เจนนิเฟอร์(Jennifer, the Immaculacy of Heaven)หลักสวรรค์ผู้มีเพลงแห่งจักรวาลกล่าวก้องกังวาล (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n007/1.jpg) “ พระองค์ทรงดูแลและช่วยเหลือทุกชีวิตบนโลกเทอร่านี้มาตลอดพวกเราปฏิบัติและเชื่อฟังท่าน แต่ครั้งนี้เราจะขอขัดอานัติของท่านถึงคราวที่พวกเราจะช่วยเหลือท่านจากพลังชั่วร้ายบ้างแล้ว ” เรกูลัม (Regulam, the Order of Heaven) หลักสวรรค์ผู้พิทักษ์กฎแห่งสวรรค์กล่าว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n008/17.jpg) “ ข้าตาสว่างแล้วจะขอช่วยอีกแรงละกัน ” นักประดิษฐ์กล่าวขณะที่เดินมาพร้อมกับเนโครบิชอป “ พวกเราสามคนก็เอาบ้างสิแสดงพลังให้ทุกคนเห็นเลย ” เซโร่กล่าวจบ พวกเขาทั้งสามก็เริ่มร่ายคาถา “ จงประทับยังนภาเหมันต์ Ice Swan(หงส์น้ำแข็ง) ” (http://image.ohozaa.com/if/zerobirdfrom.jpg) “ จงลุกโชนเหนือฟ้าร่ายรำเหนือเวลา Fire Phoenix(ฟีนิกซ์เพลิง) ” (http://image.ohozaa.com/ib/ichigibirdfrom2.jpg) “ จงสยายคมดาบและร่อนสู่ท้องนภา Sword Condor(แร้งดาบ) ” (http://image.ohozaa.com/il/raicobirdfrom.jpg) สิ้นคำของทั้งสามร่างของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เซโร่สวมแผ่นน้ำแข็งจับรูปเป็นชุดเกราะซึ่งลักษณะคล้ายหงส์ อิจิกิ ก็เช่นกันร่างปกคลุมด้วยเปลวเพลิงซึ่งจัดรูปราวกับฟีนิกซ์ และเรโค่ ขนปีกของเธอแปลสภาพเป็นดาบข้างละหกเล่มเรียงไล่กันลงมา ตัวถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะ เหล็กกล้า “ นี่คือพลังที่แท้จริงของพวกเรา ” ทั้งสามกล่าว บัดนี้เป้าหมายของทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นคือ ปกป้องโลกนี้และอนาคตไว้ ต่างลืมความบาดหมางทั้งหมดไปและหันหน้าเข้าหาศัตรูที่แท้จริง ศิลามังกรที่ซึมซับพลังแห่งความนึกคิดอันแรงกล้าเข้าไปนั้นได้เปล่งแสงอีกครั้ง “ เริ่มแล้วสินะ ” มุรามาซะโซลกล่าว แสงหกสีได้พุ่งออกมาจากศิลาก่อนจะลงล้อมร่างของ Lr ไว้ แสงเหล่านั้นกลายเป็นอัศวินมังกรทั้งหก ทาลูคูส ทาโซรอส ทาลิควาส ทาเวนทอส ทาลิคนัส และ ทาไนซ “ พวกเราคืออัศวินรับใช้แห่งทาลิวิลย่า..โปรดออกคำสั่งด้วยท่านผู้ถูกเลือก ” อัศวินทั้งหกกล่าว “ สุดท้ายแล้ว ลอว์เรนซ์ ที่ชั้นเคยบอกว่าถึงยังไงเธก็ยังเป็นเธอตอนนี้คงเข้าใจความหมายนั้นแล้วใช่มั้ย ” ดาบมาคายาเดียกล่าวขึ้นมา “ ครับผมเข้าใจดีแล้ว…ไม่ว่าผมจะเป็นผู้ถูกเลือกและได้รับโชคชะตาอย่างไร สุดท้ายผมก็คือผมทางเลือกที่จะเดินนั้นผมคือผู้ลิขิต ” Lr กล่าวจบศิลามังกรก็เปล่งแสงอีกครั้ง “ Hyper Fusion ” เสียงของศิลามังกรดังกังวานก่อนที่เขาจะเปลี่ยนร่างเป็นอัศวินมังกรขนาดใหญ่ ร่างสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดวงสุริยา ดาบมาคายาเดียถูกขยายขนาดขึ้น และมีคลื่นไฟฟ้าทรงพลงอาบไปทั่วทั้งเล่ม โล่มิคาเอลกลายเป็นปีกให้แก่อัศวิน “ พลังแห่งความนึกคิดคืออำนาจที่จะดำรงไว้ซึ่งทุกสรรพสิ่ง และบัดนี้เราคือ ที่สุดแห่งตำนาน ทาลิวิลย่าที่แท้จริง (Thaliwilya, the Transformism ) ” ทาลิวิลย่ากล่าว ก่อนที่พลังงานของร่างจะไหลไปอาบร่างของเหล่าลูกมังกรทั้งหกจนหลอมรวมเข้าด้วยกัน (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/p002/19.jpg) “ มิตรภาพ ความหวัง ความสัตย์ คุณธรรม ปัญญา และความเมตตา เมื่อใดที่พลังทั้งหกมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน นามของข้าคือมังกรหกธาตุทลายมาร Amankrist ” อแมนคริสได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง พลังที่เหลือยังส่งผลให้เหล่ามังกรที่มาร่วมต่อสู้พัฒนาตามๆกันไปด้วย “ เอาล่ะตาข้าแล้วสินะ ” มุรามาซะโซลเปรยก่อนจะควงดาบยาวในมือและเปลี่ยนร่างเป็นอัศวินมังกรเหล็กกล้า “ การดิ้นรนครั้งสุดท้ายหรือน่าสนุกดีนี่ ” พระเจ้าตรัส ก่อนที่อัศวินมังกรทั้ง แปดและเหล่าผู้กล้าทั้งหลายจะหันเข้าใส่ บัดนี้ม่านแห่งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังจะเปิดขึ้น…. โปรดติดตามตอนต่อไป Legend of the Thaliwilya ตอน อวสาน ในที่สุดพลังที่แท้จริงของอัศวินแห่งตำนานก็ได้ตื่นขึ้นมาครบแล้ว การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จะตัดสินชะตาของโลกเทอร่า ได้อุบัติขึ้น “ จงหายไปให้หมดทั้งโลกและจักรวาลนี้จงหายไปซะ ” พลังแห่งความมืดเข้ากัดกินโลกทีละน้อยๆ “ พลังแห่งความนึกคิดของทุกคนที่ปรารถนาในความสงบสุขนั้นไม่มีขีดจำกัดจึงไม่มีทาง …สูญสลาย.. ไปได้… ” คำอธิษฐานและเสียงวิงวอนในความสงสุข “ รอด้วย…ไลท์ ” สุดท้ายแล้วอนาคตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ สงครามอันยาวนานนี้กำลังจะปิดม่านลง ในไม่ช้า ติดตามได้ในตอนอวสาน บทที่ 33 อนาคตที่แท้จริง โอยเหนื่อยสายตัวแทบขาด บทนี้รวบสุดๆ ว่าแต่พักหลังรู้สึกลูกมังกรไม่มีบทเลยนะว่ามั้ยครับ และวันอาทิตย์นี้คอยดูตอนอวสานกันด้วยนะจ้ะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 31-32 Post by: boy on August 12, 2008, 10:30:56 PM จะจบแล้ว ๆ จบอยู่ที่ 33 ตอน ถ้าเกิดเอาไปทำเป็นอนิเมชั่นก็ตอนน้อยเหมือนกันนะเนี่ย ::008:: ถ้าจบแล้วแผนงานเรื่อง crisis of valkyries จะมีมั้ยล่ะเนี่ย ::006::
Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 31-32 Post by: cocka-c on August 12, 2008, 10:50:43 PM แหม 33 ตอนนี่ก็เยอะแล้วน้า ทีมนต์รักสาวลอลลี่ป็อบ ยังมี แค่13ตอนจบเลย
ว่าแต่พระเจ้าแห่งเทอร่าเนี่ยหน้าตาคุ้นๆมะ ส่วนโปรเจ็คภาค 2 ได้ ชื่อมาแว้ว และเจ็ก็เป็นคนแต่งแทนเองจ้า แต่เกรม่อนคุงยังคงช่วยงานอยู่ ดังนั้นในส่วนของเนื้อหาก็ยังคงไสตล์เดิมๆจ้า ส่วนชื่อนั้นจะประกาศให้ทราบอีกทีจ้ะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 31-32 Post by: greamon on August 17, 2008, 07:33:01 PM บทที่ 33 อนาคตที่แท้จริง (บทอวสาน)
“ เร็วเข้ารีบออกจากเมือง…. ” เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับฝูงชนที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ประตูเมืองทีนวาแลนถูกเปิดออกอย่างอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยฝูงชนที่กรูกันออกมา ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ สายฟ้าฟาดลงครั้งแล้วครั้งเล่า จนอาคารบ้านเรือนเสียหาย ณ หมู่บ้านแหลมทวีปคาดาร่า ครึ่งสมิงและมนุษย์ในหมู่บ้าน พากันวิ่งหนีเข้าไปยังป่านอกหมู่บ้าน ท่ามกลางพายุหิมะที่ โหมกระหน่ำจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ไม่เพียงความหนาวเย็นเท่านันหากแต่ความสูง ของหิมะที่ไม่มีทีท่าจะหยุดทำให้พวกเขาต้องพากันหนีออกจากบ้านและอพยพเข้าไปยังป่า โดยมีเหล่าทหารของกองกำลังต่อต้านคอย ต้อนผู้คนออกมา ท่ามกลางมหาสมุทร จอมอนการ์ด มังกรวารีในตำนาน ที่เคยต่อกรกับพวก Lr มาแล้ว มันได้ว่ายวนจนเกิดน้ำวนขนาดยักษ์ขึ้นมา เพื่อที่จะต้านกำลังของ น้ำวนยักษ์ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและ ดูดเอาทุกอย่างลงไป การกระทำเช่นนี้เพื่อให้พลัง น้ำวนอ่อนแรงลง โดยที่จอมอนการ์ดนั้นว่ายทวนกระแส จึงเกิดน้ำวนสลับทิศทำให้มันหักล้างกันเอง เหล่าสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ได้พากันว่ายออกห่างจากน้ำวน ในขณะที่จอมมอนการ์ดได้สร้างน้ำวนเพื่อทานแรงดูดไว้ “ ก็าซซซซซ ” (รีบหนีออกห่างจากน้ำวนเร็วข้าคงต้านได้อีกไม่นาน) จอมอนการ์ดคำราม ขณะที่พยายามเพิ่มแรงว่ายเพื่อสร้างน้ำวนให้ใหญ่ขึ้นพอที่จะต้านกระแสกลับ น้ำวนนั้นได้ ณ อาณาจักรฟูดินัน ผืนดินได้แยกออกและสูบเอาผืนป่ากว่าครึ่งแถบลงไป สายฟ้าได้ ผ่าลงจนเกิดไฟป่าลุกโหมและกระแสลมที่แรงจัดทำให้ไฟ แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว มังกรมารัคได้ตื่นจากนิทราและเข้าไปโอบมหาพฤกษาไว้ก่อนที่ร่างของมันจะเปลี่ยนรูปไป ต้นไม้รอบมหาพฤกษาได้โน้มเข้ามาพันเกี่ยวร่างของมันไว้ ร่างของมารัคได้เปลี่ยนไป เป็นสีเขียวราวกับใบไม้กิ่งไม้งอกขึ้นมาตั้งแต่หัวจรดหาง ขาทั้งสองข้างได้รวมกับหางและ พันเข้าไว้หกกับหมู่ไม้ที่โน้มเข้ามา จนดูราวกับเป็นต้นไม้ยักษ์บัดนี้ มารัคได้พัฒนาร่างของมันไปเป็น ผู้พิทักษ์แห่งมหาพฤกษา อาร์กรอท (Argruth, the Guardian of Yggdrasil) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/25.jpg) ทันทีที่วายฟ้าฟาดลงอาร์กรอทก็ได้ยกร่างของมันขึ้นโดยที่ผืนป่าซึ่งล้อมรอบร่างขนาดใหญ่ของมัน พูนขึ้นสูง จนเมื่อมันได้ ขึ้นมาถึงครึ่งของลำต้นมหาพฤกษา มันก็อ้าปากและดูดกลืนสายฟ้าเข้าไปเพื่อปกป้อง มหาพฤกษา อย่างเต็มที่ แต่ทว่าเวลาก็ไม่คอยท่าเพราะบัดนี้ปฐพีได้แยกตัวร้าวมาจนถึงรากของมหาพฤกษา เสียแล้ว ตัวลำต้นของมหาพฤกษาค่อยๆจมดิ่งลงไป อาร์กรอทจึงใช้พลังของมัน โน้มต้นไม้รอบ ให้มาพันเกี่ยวลำต้นไว้ ก่อนจะยึดเข้ากับร่างของมันเพื่อดึงไม่ให้มหาพฤกษาจมลงไป เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ ต่างแห่กันออกจากป่า เพื่อหนีอาเพทเหล่านี้ รวมไปถึงเหล่าชาวป่าทั้งหลายด้วย แต่ทว่าตอนนี้ก็ไม่มีที่จะให้พวกเขาหนีได้อีกมากนัก เพราะผืนป่าได้จมหายลงไป ในความมืดที่รออยู่ด้านล่าง ก่อนที่มันจะเริ่มขยายตัวทะลักขึ้นมาและดูดกลืนเอาทุกอย่างเข้าไป เรื่อยๆ เวลาของโลกเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ไม่เพียงแต่ทวีปเมอริเซีย แต่เหตุเหล่านี้ได้เกิดขึ้นไปทั่วโลกเทอร่า โลกเทอร่ากำลังจะพบกับจุดจบในไม่ช้านี้ ความสิ้นหวังและความกลัวเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งโลกและได้ถูกดูดกลืนมายัง ทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด ร่างของพระเจ้าได้ซึมซับพลังด้านลบอันเกิดจากความกลัวนั้น และขยายขอบเขตการดูดกลืนของร่างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งท้องฟ้าและพื้นดินถูกดูดหายเข้าไปในความมืดอัน เวิ้งว้าง อย่างไม่สิ้นสุด [ตั้งแต่ท่อนนี้ไปเปิดเพลงนี้ http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218960806.49136_Mahou_Shoujo_Lyrical_Nanoha_As___Brave_Phoenix.wma&mime=video/ms-asf (http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218960806.49136_Mahou_Shoujo_Lyrical_Nanoha_As___Brave_Phoenix.wma&mime=video/ms-asf) ไปด้วยจะได้อารมณ์มากยิ่งขึ้นโหลดโหดนิด] “ จงหายไปให้หมดทั้งโลกและจักรวาลนี้จงหายไปซะ ” พระเจ้าตรัสและเริ่มที่จะดูดกลืนเร็วขึ้น จนร่างขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ “ พวกเราระดมโจมตีเต็มกำลังเลยไม่ต้องออมมือ ” ทาลิวิลย่ากล่าว ทุกคนจึงเริ่มโจมตีพร้อมๆกัน เหล่าทหารพากันใช้อาวุธยิงทั้งหมดเล็งเป้าไปยังพระเจ้าก่อนที่กระสุนเพลิงและธนูไฟ จำนวนมหาศาลจะพุ่งตรงไปยังร่างอันมืดมิดและเวิ้งว้าง ทว่าทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนเข้าไป สายฟ้าได้ฟาดลงมากลางกองทัพ ขณะนั้นองค์หญิงเรจิน่า ทรงเสียหลักลื่นล้มความมืดได้ขยายตัวมาถึงพระองค์และกำลังจะดูดร่างของพระองค์ลงไป แต่ฮารีซันก็ได้คว้าพระหัตถ์ของพระองค์และช่วยฉุดพระองค์ขึ้นมา ทันเวลา “ ท่านไม่เป็นไรใช่มั้ย ” ฮารีซันกล่าว “ ขอบคุณท่านมากฮารีซัน.. ” องค์หญิงตรัสทว่าทั้งสองก็ไม่มีเวลาพอที่จะ สนทนากันได้ เพราะสายฟ้ายังคงฟาดอย่างต่อเนื่อง “ Great of Dragon ” เสียงทั้งหกดังขึ้นก่อนที่มังกรพลังงานจะพุ่งขึ้นไป แต่ก็ถูกความมืดนั้นดูดกลืนหายไปในพริบตา “ Albino Breath ” สิ้นเสียงของ อแมนคริส เพลิงสีขาวก็ถูกพ่นออกมา “ Petal Spark Dance ” สิ้นคำดาบของมุรามาซะโซลก็แยกออกเป็นยาฉะและซานเกะ ก่อนจะร่ายรำกระบรวนท่าโจมตี อออกไปพร้อมกับพายุกลีบดอกไม้และประกายแสง “ White Thunder ” สิ้นเสียงโกรอทพาลม่าก็ปล่อยคลื่นไฟฟ้าเต็มพลังออกมา สายฟ้าสีขาวพุ่งออกมาจากร่าง ถึงหกสาย “ Shining Shadow ” สิ้นเสียงลำแสงซึ่งกลมกลืนกับความมืดก็ถูกยิงอกมาจากนิลทูเรี่ยน “ นี่คือพลังสุดท้ายของพวกเราประสานจันทรา Eclipse Blast ” ครึ่งสมิงทั้งสี่กล่าวก่อนที่ ท่าของจันทราแบบที่สามจะถูกประสานเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นท่าใหม่ ดวงจันทราสีดำซึ่งมีรัศมีแห่งอาทิตย์ได้เฉิดฉาย ขึ้นเหนือฟ้าก่อนที่ ประกายแสงสีดำและขาวจะพุ่งเป็นเกลียวตรงเข้าหาพระเจ้า “ Thunder Dragon Blade ”(ดาบมังกรอัสนีบาศ) สิ้นคำทาลิวิลย่าก็ชูดาบมาคายาเดียขึ้น คลื่นพลังทรงอานุภาพได้พุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าก่อนจะแตกกระจายออกเป็น ดาบสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงลงมายังร่างของพระเจ้า “ ช่วยทีนะ ลูเซียส ออบสคูรี่ ” เรโค่กล่าวกับภูตรับใช้ทั้งสองของตนก่อนที่จะ ตั้งท่าร่วมกับอิจิกิและเซโร่ (http://www.uppicz.com/image/free-image-hosting-80af3c.jpg) (http://www.uppic.net/il/lucis.jpg) (http://www.uppic.net/io/0obscure.jpg) “ พร้อมนะ ” เซโร่กล่าว (http://image.ohozaa.com/ip/ichigilimited.jpg) “ พร้อมทุกเมื่ออยู่แล้ว ” อิจิกิกล่าวจบทั้งสามก็เริ่มร่ายเวทย์ทันที โดยที่ภูตรับใช้ของเรโค่คอยเสริมพลังให้ ด้วยพลังเวทย์ของตน (http://image.ohozaa.com/ix/zerolimited.jpg) “ สุดยอดพลังแห่งวิชาปักษาเทวะ God Bird ”(เทพปักษา) สิ้นคำของทั้งสาม การโจมตีซึ่งรวมด้วยไฟน้ำแข็งและความมืดก้รวมเป็นหนึ่งเดียว และพุ่งออกไปในรูปของวิหกยักษ์ “ โจมตีเต็มกำลัง ” สิ้นคำของกษัตริย์ซิกมันต์ เหล่าทหารก็เริ่มโจมตีอีกคราพร้อมกับที่เหล่าคณะประกาศก ได้เริ่มทำการโจมตีอย่างต่อเนื่อง “ ไม่ต้องยั้งมือถ้าโค่นมันลงไม่ได้ พวกเราก็อยู่ไม่ได้ใส่ให้เต็มที่ซะ ” อิคนอแรนเทีย ผู้นำแห่งเหล่าบาปออกคำสั่ง ก่อนที่การโจมตีของเหล่าบาปและปีศาจ ทั้งหลายจะถูกส่งออกมาโดยมีเป้าหมายคือพระเจ้า “ เพื่อปลดปล่อยพระองค์ ขอพลังศักดิ์สิทธิจงมาสถิต ” สิ้นคำของหลักสวรรค์ทั้งห้า เหล่าทวยเทพก็เริ่มการโจมตีขึ้นบ้างเหล่าอัศวินสวรรค์ได้ พุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว “ อวสานโลกหรือ..ข้านี่มันบ้าจริงๆที่อยากเห็นของแบบนี้ ” ทิโมธีกล่าวขณะที่ชาร์จประจุพลังงานจนเต็มเปี่ยนดาบของ ออบซิเดียนฟอร์ม และตวัดออกไป “ ถ้างั้นก็ต้องปกป้องทุกอย่างเอาไว้ไม่งั้นคงจะไม่มีอนาคตไว้ให้เจ้าเสียใจทีหลังแน่ ” เกรเกอรี่ซึ่งเป็นเนโครบิชอปกล่าวขณะที่ ระดมโจมตีด้วยกระสุนมนตรา การโจมตีทั้งหมดได้พุ่งเข้าหาร่างของพระเจ้าทว่าทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนเข้าไป ร่างได้ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิมจนแทบจะ ปกคลุมเหนือฟ้าทั้งหมดแล้ว “ ชิ…โจมตีไปก็รังแต่จะทำให้พลังของมันมากขึ้น ” ทาลิวิลย่าสบถ ขณะที่พยายามหาทางจัดการกับความว่างเปล่าอันไร้ขีดจำกัดนี้ “ เปล่าประโยชน์ทุกอย่างจะต้องกลับสู่ความว่างเปล่าทั้งหมดนี้มันก็เพราะพวกแกที่สร้างข้าขึ้นมานั่นล่ะ ” พระเจ้าตรัส “ หมายความว่ายัง ที่เราสร้างแกขึ้นมา ” ทาลิวิลย่า กล่าวถามด้วยความสงสัย “ ข้าเกิดขึ้นมาจากความหวาดกลัวของพวกเจ้าทุกคนตลอดมาสงคราความขัดแย้งต่างๆนานา ได้ก่อให้เกิดพลังด้านลบ ซึ่งก็คือความกลัวปกคลุมไปทั้งเทอร่านี้ และเพื่อที่จะ ดึงเอาพลังด้านลบซึ่งปกคลุมเทอร่าเอาไว้ออกมา ในครั้งที่ผู้เป็นความหวังที่สองของข้า ได้เสียสละตนเป็นภาชนะรองรับพระพรจากข้า พลังด้านลบเหล่านั้นก็ได้ถูกดูดกลับออกมา ข้าได้แบกรับพลังนั้นไว้และในที่สุดเมื่อไม่อาจควบคุมได้ตัวข้าจึงได้แยกจิตกับพลังออกจากกัน เพื่อมิให้พลังด้านลบนี้ แผลงฤทธ์ได้ และได้สร้างเจ้าซึ่งเป็นความหวังที่สามขึ้นมา เพื่อจะหยุดตัวข้าเอง และเพื่อที่จะปลุกพลังนั้นขึ้นมาต่อกรกับเจ้าข้าจึงต้องปลดผนึกสามอย่าง อย่างแรกก็คือปลดปล่อยเหล่ามังกรแห่งบาปออกมา…พวกเจ้าคงจะรู้สินะว่าอีกสองอย่างที่เหลือคืออะไร ” พระเจ้าตรัส “ นี่รึว่าอย่างที่สองก็ คืนชีพให้แก่เหล่าบาป ” ทาลิวิลย่าอุทาน “ และอย่างที่สามเพื่อที่จะปลดผนึกของพลังจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความกลัวซึ่งเป็นแหล่งพลัง จึงก่อสงครามนี้ขึ้นมาเพื่อรวบรวมพลังด้านลบสินะ ” เวอทูเทมหนึ่งในหลักสวรรค์กล่าวต่อ (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n008/30.jpg) “ นี่วางแผนไว้ถึงขนาดนี้เชียวรึ…. ” ลาดามัส อีกหนึ่งในหลักสวรรค์กล่าว (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n007/43.jpg) “ ถูกต้องที่แล้วมาพวกเจ้าก็แค่เดินไปตามหมากที่ข้าวางไว้ ความกลัวนั้นไม่ใช่ทั้งบาปและความดีงาม หากแต่เป็นพลังที่จะไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นเลยเพราะเมื่อกลัวในบาปก็จะไม่ก่อบาปและเมื่อกลัวที่จะ ลำบากเพื่อความดีงามก็จะไม่ปฏิบัติดี …ซึ่งนั่นก็คือความว่างเปล่า อันเป็นสันติที่แท้จริง เพราะเมื่อไม่มีสิ่งใดเลยก็จะไม่เกิด ทั้งทุกข์และสุข ” พระเจ้าตรัส ท่ามกลางความเงียบกริบ ที่ไม่อาจคัดค้านต่อสิ่งที่กล่าวมาได้ “ ลอว์เรนซ์เจ้าคือผู้ที่เป็นความหวังที่สาม ข้าซึ่งรู้เรื่องนั้นดี จึงได้เลือกที่จะใช้ร่างของอิเดีย ในการดำเนินแผนการนี้ เพื่อตัดซึ่งเขี้ยวเล็บที่เจ้าจักใช้ต่อกรกับข้า แต่สุดท้ายแล้ว อิเดีย พ่อของเจ้าก็ได้พยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะควบคุมข้าซึ่งยังอ่อนแออยู่ ในที่สุดข้าจึงได้เลือกที่จะค้นหาด้านมืดในใจของอิเดียและเลือกใช้มันดำเนินแผนการ ความหวังของมันก็คืออยากให้เจ้า ซึ่งเป็นบุตรได้มีชีวิตอย่างสงบสุขและเพื่อสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมา ข้าจึงได้ยื่นข้อเสนอที่จะทำให้โลกนั้กลับสู่ความว่างเปล่าเพื่อสร้างสันติขึ้นมาพ่อของเจ้าก็ตกลงในทันที แต่ก็ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายในครั้งที่เจ้ากับพี่ชายห้ำหั่นกัน อิเดียจะเป็นคนสั่งให้เจ้านักประดิษฐ์ไปหยุดแกไว้ ไม่งั้นข้าก็อาจจะได้พลังแห่งวามกลัวที่ยิ่งใหญ่มาก็ได้…แต่ตอนนี้ทั้งวิญญาณของอิเดียและทุกชีวิตในเทอร่า ที่ตายลงข้าได้ครอบครองเอาไว้หมดแล้วในร่างนี้ ” พระเจ้าตรัส เพื่อที่จะตอกย้ำให้เขาช้ำใจและส่งพลังด้านลบมา “ หมายความว่าพ่อทำเพื่อเรางั้นสินะ ” ทาลิวิลย่า เปรยพร้อมกับลดดาบในมือลง “ ล…ลอว์เรนซ์ ” อแมนคริสกล่าวอย่างเสียขวัญ ไม่ต่างไปจากทุกคน ที่เห็นว่าเขามีทีท่าจะยอมจำนน แต่แล้ว ดาบในมือก็ถูกตวัดขึ้นมาอีกครั้ง “ เท่านี้เรื่องที่คาใจข้ามาตลอดก็หมดแล้ว เพื่อไม่ให้ความพยายามของพ่อต้องเสียเปล่า ข้าจะจบเรื่องนี้ซะ ” ทาลิวิลย่ากล่าว “ หึหึหึ…จงดิ้นรนต่อไปเถอะไม่ว่าพวกแกจะทำอะไรสุดท้ายก็ต้องถูก ความกลัวกัดกินจนว่างเปล่านั้นล่ะ ” พระเจ้าตรัสอย่างมั่นพระทัย “ ทุกคนมีทางเดินซึ่งแตกต่างกัน บัดนี้มีเป้าหมายเดียวกัน ข้าเชื่อว่า..นั่นจะก่อให้เกิดพลัง แห่งความนึกคิดอันเป็นพลังแห่งการสร้างสรรได้ ” ทาลิวิลย่ากล่าว “ ถูกต้อง…สิ่งที่จะต่อกร กับพลังแห่งความกลัวได้ก็คือพลังแห่งความนึกคิดของทุกคนขอเพียงอธิษฐาน ด้วยใจที่แรงกล้าและก้าวไปตามนั้น พลังที่จะไขว่ขว้าอนาคตก็จะมาอยู่ในกำมือ ” เสียงอันอ่อนหวานดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ แมวสีขาวซึ่งเป็นชะตาแห่งแสง “ นั่นมัน Shining Destiny ราชินีผู้ ปกครองโลกแห่งชะตาทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ ” เวสเล่อุทานซึ่งเจ้าแมวดาร์คเดสทินี่ ของเขาเองก็ทำตาโตใส่ด้วยความตะลึง “ ดูเหมือนอนาคตจะเปลี่ยนไปแล้วล่ะ..ลองดูที่บันทึกของเจ้าสิเวสเล่ ” อีสควอเทียกล่าว พร้อมกับยื่นเอาบันทึกของเขา ซึ่งเอามาจากเหล่าคณะประกาศกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ให้แก่เขา ทันทีที่เปิด หน้าซึ่งบันทึกว่าโลกจะดับสูญ หน้ากระดาษหน้านั้นได้เปลี่ยนเป็นสีดำทึบไปทั้งหน้า “ นี่มัน.. ” เวสเล่ อุทานอีกครั้ง “ อนาคตจากนี้ไปไม่แน่นอนอีกแล้ว นั่นคือหลักฐานยังไงล่ะ ” อีสควอเทียกล่าว “ เอาล่ะเรามาเปลี่ยนกันเถอะ…เปลี่ยนแปลงอนาคตที่ดำเนินต่อไปนี้ ” ชะตาแห่งแสงกล่าวจบร่างของมันก็เปล่งแสงวาบ และรวมเข้ากับดาบมาคายาเดีย และขยายใหญ่ขึ้นเป็นดาบแสง เล่มยักษ์ ทันทีที่ทาลิวิลย่าชูดาบนั้นขึ้น มังกรพลังงานขนาดยักษ์ก็พุ่งตัวขึ้นสู่ท้องนภา ก่อนจะสยายปีกออก ประกายแสง ได้แผ่กระจายออกจากตัวของมัน และพุ่งไปทั่วทั้งโลกเทอร่า ทันทีที่ทุกชีวิตในโลกได้รับแสงเหล่านั้น ต่างก็หันไปยังที่มาของแสง มังกรพลังงานซึ่งส่องประกายเจิดจ้า ท่ามกลางเมฆหมอกแห่งกลียุค นั้นทำให้ ทุกผู้ที่ประสบพบเริ่มสวดภาวนา คำวิงวอนที่เป็นหนึ่งเดียวกันนั้นได้ ก่อให้เกิดพลังแห่งคำอธิษฐานส่งไปรวมยังดาบแสงจนเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ ทาลิวิลย่าตวัดดาบออกไป คลื่นพลังงานแสงได้พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของพระเจ้า และถูกดูดกลืนเข้าไป “ เปล่าประโยชน์…..ไม่ว่าอะไรข้าก็จะทำให้มันกลับสู่ความว่างเปล่า ให้หมด…อัก…นี่มันอะไรกันข้าไม่มีขีดจำกัดนี่แล้วทำไม ” พระเจ้าตรัสก่อนจะทรงชะงักไป เพราะร่างซึ่งเป็นความมืดมิดอันเวิ้งว้างเริ่มที่จะเสียรูป และบิดเบี้ยว “ พลังแห่งความนึกคิดของทุกคนที่ปรารถนาในความสงบสุขนั้นไม่มีขีดจำกัดจึงไม่มีทาง …สูญสลาย.. ไปได้… ” ทาลิวิลย่ากล่าวจบ แสงพลังแห่งคำอธิษฐานของทุกคนในโลก ก็เริ่มแผ่ขยายและอาบร่างอัน มืดมิดของพระเจ้า “ ตอนนี้ล่ะโจมตีเลย ” ทาลิวิลย่ากล่าวก้อง สิ้นคำการโจมตีทั้งหมดของทุกคนก็พุ่งเข้าหาร่างของพระเจ้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่อาจดูดกลืนเข้าไปได้อีกแล้ว การโจมตีทั้งหมดทำให้ร่างของพระเจ้าเริ่มจะสูญสลายลงไปเรื่อยๆ “ ไม่จริง…ทั้งที่ข้ามีพลังเหนือทุกสิ่งนี่…อัก ” พระเจ้าตรัส หน้ากาก ทองคำรูปมังกรเริ่มจะแตกร้าว สัญลักษณ์แห่งเวลา บนร่างเริ่มจางหายไป “ จริงอยู่แกอาจมีพลังเทียบเท่ากับพระองค์ แต่พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ด้วยการกระทำไม่ใช่พลังอำนาจ ข้าอาจเป็นเพียงแค่ความหวังของพระองค์แต่ ผู้ที่จะกอบกู้โลกนี้และช่วยพระองค์คือ ทุกชีวิตที่พระองค์ ทรงสร้างขึ้นนี่ล่ะคืออำนาจที่แท้จริงของพระองค์ ” ทาลิวิลย่ากล่าวก่อนจะตวัดดาบอีกครั้ง “ ข้าแต่มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่มหาเทพผู้มิอาจเทียมทัด โปรดฟังคำวิงวอนข้าโปรดมอบอำนาจประกาศิตแด่ข้า เพื่อสยบให้สิ้นจิตมารทั้งปวง Great of Dragon (G.O.D) ” สิ้นคำดาบแสงก็ถูกฟาดออกไป มังกรพลังงานซึ่งสยายปีกอยู่นั้นก็ พุ่งเข้าหาร่าง ที่บิดเบี้ยวของพระเจ้าก่อนที่ กระทบและระเบิดออก ความมืดได้บิดเกลียวและหด เล็กลงเรื่อยๆ ประกายแสงจำนวนมากมายได้แผ่ออกจากร่างของพระเจ้าที่เริ่มแตกสลายลง ความมืดมิดที่ดูดกลืนทุกสิ่งค่อยๆจางหายไป พร้อมกับฟื้นคืนสิ่งที่ดูดไปกลับมา ท้องฟ้ากลับมาเป็นปกติ ภัยพิบัติทั้งหมดได้หยุดลง ประกายแสงที่ไหลออกมานั้น ได้วนเวียนไปรอบพวกเขา [ถึงตรงนี้ก็ปิดเพลงเลย] “ แสงเหล่านี้คือวิญญาณที่ถูกสั่งสมไว้ในร่างของพระองค์สินะ ” ทาลิวิลย่ากล่าวก่อนที่จะโรยตัวลงมาและกลับคืนร่างเป็น Lr พร้อมกัยที่อัศวินมังกรทั้งหก และมุรามาซะโซลค่อยๆจางหายไป ดาบมาคายาเดีย ได้แยกออกจากชะตาแห่งแสง เจ้าแมวขาวหันมามองเขา และขบริมฝีปากราวกับจะยิ้มให้ก่อนจะบินหายลับไป “ ถ้าเจอกันอีกคราวหน้า ข้าจะต้องยึดร่างของเจ้ามาให้ได้เตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ.. ” มุรามาซะโซลกล่าวก่อนจะจางหายไป ศิลามังกรได้แยกออกมาจากร่างของ Lr พร้อมกับที่ดาบมาคายาเดียและโล่มิคาเอลได้รวมเข้ากับศิลา และสลายตัวเป็นกระกายแสงพุ่งตรงไปยังประตูมิติมังกร ก่อนจะทำให้มิติกลับมาเป็นดังเดิม หมู่บ้านมังกรได้กลับมาอีกครั้งแต่ทว่าครั้งนี้ มิติตมังกรมืดและมิติมังกรบาปได้หายไป ราวกับจะบอกให้ลืมความบาดหมางทั้งหมดและอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ เหล่าทวยเทพทั้งหลายได้ถอนตัวกลับคืนสู่ฟ้าพร้อมกับที่เหล่าปีศาจต่างทยอยกลับไปยังขุมนรกตามเดิม “ ครั้งนี้เราจะยอมถอยก่อนแต่พึงระวังไว้ล่ะพวกเราจะกลับมาคว่ำพวกเจ้าลงให้ได้ ” อิคนอแรนเทียกล่าว ขณะที่จะก้าวเข้าไปยังประตูมิติ “ แล้วเราจะรอ… ” หลักสวรรค์กล่าวจบก็ถอยกลับขึ้นฟ้าไป [ท่อนนี้ลงไปเปิดเพลงที่สองนี้โลด http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218960996.15227_Bleach___Sakura_Biyori.mp3&mime=audio/mp3 (http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218960996.15227_Bleach___Sakura_Biyori.mp3&mime=audio/mp3) ] “ เท่านี้หน้าที่แห่งซาราเบลดก็จบลงแล้วสินะ ” Lr รำพันกับตัวเอง อแมนคริสได้แยกกลับเป็นลูกมังกรทั้งหกอีกครั้ง เพื่อนๆของเขาวิ่งเข้ามาหาด้วยยินดีในชัยชนะ ทว่าความมืดที่ยังคงบิดเกลียวอยู่นั้นยังคงไม่สลายไป “ อย่าหวังจะได้เห็นอนาคตเลยแกจะต้องหายไปซะ.. ” สิ้นเสียงของความมืดที่ยังหลงเหลือนั้นแสงสีดำก็ยิงตรงไปยัง Lr ทว่า กาเร็ทก็พุ่งเข้าไปผลักตัวเขาออกไป แสงได้ยิงทะลุผ่าร่างของกาเร็ทแทนก่อนจะล้มลงความมืดได้สลายกลายเป็นแสงกลับขึ้นไปยังฟ้า พระองค์ได้ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว “ พี่คร้าบบบบบบบ ” Lr ตะโกนอย่างเสียขวัญขณะที่กลับเข้าไปประคองตัวพี่ชายเอาไว้ ร่างของกาเร็ทเริ่มกลายเป็นหินอย่างช้าๆ “ นี่มัน…แย่ล่ะสิต้องรีบรักษาแล้ว ” เซโร่กล่าวหลังจากที่ดูอาการก่อนจะลงมือรักษาอย่างทันทีแต่ทว่า ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ครั้นเมื่อใช้ไฟชีวิตของอิจิกิก็ยังไม่อาจคลายมนต์สะกดนี้ได้ “ พี่…อย่าตายนะครับ…เราสัญญากันแล้ว…ว่าจะ..กลับไปด้วยกันน่ะ ” Lr กล่าวทั้งน้ำตา ท่ามกลางความเจ็บใจของทุกคนที่ไม่อาจช่วยอะไรได้ “ อย่าร้องไห้สิ…นี่น่ะเหรอ…ใบหน้าของคนที่เพิ่งจะช่วยโลกมาน่ะ ” กาเร็ทกล่าวพร้อมกับฝืนตีหน้ายิ้มเพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นห่วง แต่ทว่าการกลายเป็นหินก็ยังคงลุกลามอยู่ “ พี่… ” Lr กล่าวขณะที่ยกแขนเสื้อปาดน้ำตาออกจากใบหน้า “ พี่คงจะ…กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ..ถึงจะเป็นช่วง…เวลาสั้นๆแต่เท่านี้พี่…ก็วางใจแล้ว..แม้ไม่มีพี่.. นายก็ยังอยู่ได้..แค่ก ” กาเร็ทกล่าวอย่างละล่ำละลัก “ อย่าพูดอย่างงั้นสิครับ..พี่อย่าตายนะครับ.. ” Lr กล่าวขณะที่หยาดน้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง “ อย่างนี้ล่ะดีแล้วถ้าเป็นไปได้…พี่…ก็อยากจะให้…นายลืมมันไปซะ…ว่านายคือซาราเบลด….ตอนนี้หากไม่มีพี่นายก็ไม่ต้อง …แค่ก..ถูกผูกมัดกับตระกูลอีกให้มัน…เป็นเพียงลมที่พัดผ่านไป…ก็พอ แค่กแค่ก ” กาเร็ทกล่าว ลมหายใจของเขาเริ่มถี่ลง ร่างกายค่อยๆกลายเป็นหินลามมาจนถึงต้นคอแล้ว “ พี่ครับ…นี่มัน ” Lr กล่าวก่อนจะชะงักไป เพราะมีประกายแสงซึ่งเป็นวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยออกมา 7 ดวงได้มาวน ไปรอบๆพวกเขา ก่อนที่จะประกายแสงเหล่านั้นจะเปลี่ยนรูปเป็น อิเดีย ซาเรีย มาฮา ราซานี เซโก้ แอสต้าและครึ่งสมิงพังพอนเด็กชายตัวเล็กอีกหนึ่งตน “ พ่อ….แม่ ” Lr อุทานเมื่อวิญญาณของพ่อและแม่ได้มาปรากฏต่อหน้าเขา “ ไคริ.. ” ริคุกล่าวเสียงสั่นเมื่อวิญญาณน้องชายของเขาที่ถูกเซอร์เซสฆ่าไปเมื่อสมัยเด็กได้มาปรากฏตัวอีกครั้ง “ คุณย่า… ” นีน่ากล่าวเมื่อเซโก้ซึ่งเป็นคุณย่าที่เลี้ยงดูเธอมา ได้มาปรากฏอีกครั้ง “ ท่านแม่… ” ลากูน่ากล่าวเมื่อเห็นแอสต้า “ พ่อครับ…แม่…ท่านแอสต้า ” เจนัสอุทานด้วยความตกตะลึงเทื่อเห็นบุคคลทั้งสาม เช่นกันนั้นได้มีวิญญาณอีกสองดวง เข้ามาหา ไฟร์กับ ดาร์ค ก่อนจะเผยรูป ซึ่งก็คือเทียแมตเพศเมีย และ มังกรนิทินโคออนวัยสาวอีกหนึ่งตัว “ กีซซซ ” (พี่ครับ) นิทินโคอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อบัดนี้วิญญาณพี่สาวของเขาได้มาปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง “ กีซซซซ ” (คุณแม่) ดาร์คกล่าว น้ำตาคลอเบ้าเมื่อได้เห็นวิญญาณของแม่ที่ตายไปมาปรากฏตัวอีกครั้ง “ เธอ…ไม่เป็นไรแล้วสินะ ” เทียแมตเดินเข้าไปหาวิญญาณแม่ของดาร์คซึ่งเป็นภรรยา วิญญาณของนางก็ยิ้มตอบกลับมาโดยไม่พูดอะไร แต่นั่นก็ทำให้เขาสบายใจ วิญญาณอีกดวงได้ตรงมาหาดาร์คก่อนจะเผยรูปเป็น เคาท์เพนกวินและ เจ้าหัวฝักทองบินได้แจ็ค นั่นเอง ดาร์คโผเข้าหาทั้งสองด้วยความคิดถึงทว่าก็ทะลุผ่านร่างของพวกเขาไปเพราะไม่อาจจับต้องได้ แต่เคาท์เพนกวินก็ยิ้มให้เธอ อย่างอ่อนโยนแม้สื่อสารกันไม่ได้แต่ใจยังคงส่งถึงกัน ขณะเดียวกันวิญญาณอีกดวงก็ตรงเข้ามาหา จอมเวทย์น้อยทั้งสาม ซึ่งก็คือเบอนาร์ดนั่นเอง เซโร่ ไม่รู้จะกล่าวอะไร ได้แต่เพียงก้มกล่าวขอโทษที่ หนีมา เมื่อ10 ปีก่อน ซึ่งวิญญาณของเบอนาร์ดก็โอบกอดเขาไว้ เพื่อจะปลอบโยนหลานของตน “ ลอว์เรนซ์ …น้องจงก้าวต่อไปพร้อมกับพวกเขาเถอะ…เพราะนั่นคือครอบครัวของน้อง ใช่มั้ยล่ะ…พี่จะคอยดูอนาคตที่นายจะสร้างจากนี้ไปพร้อมกับพ่อและแม่นะ… ” กาเร็ทกล่าวจบ ร่างของเขาก็กลายเป็นหินทั้งร่างและแตกสลายเป็นเศษดินไปประกายแสงวิญญาณ ของเขาได้ลอยเข้าไปหาพ่อและแม่ ก่อนที่จะหันมายิ้มให้เขาและจางหายไป พร้อมกับวิญญาณดวงอื่นๆ วิญญาณทั้งหมดได้ถูกนำทางไปหาพระผู้เป็นเจ้า ในวินาทีนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ไม่อาจ บรรยายออกมาได้ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 31-32 Post by: greamon on August 17, 2008, 07:33:32 PM เรากลับกันเถอะ
ดีวายดราก้อนเข้ามาบอกกับเขา [ถ้ามาถึงตรงนี้เพลงที่สองยังไม่จบก็รอให้จบก่อนก็ได้แต่ถ้าจบแล้วก็ปิดเลย] .. .. [ตั้งแต่ท่อนนี้เปิดเพลงที่สามอันนี้นะจ้ะ http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218961678.89659_Mahou_Shoujo_Lyrical_Nanoha_As___Spiritual_Garden.mp3&mime=audio/mp3 (http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1218961678.89659_Mahou_Shoujo_Lyrical_Nanoha_As___Spiritual_Garden.mp3&mime=audio/mp3) ] 5 ปีผ่านไป ณ ป่าลึกแห่งหนึ่ง บนเนินที่จะตรงไปยังเขตป่าของฟีเลเซีย มังกรหนุ่มพาลานัลคาเลี่ยน(Palanalcarion, the Light Dragon) กำลังบินขึ้นเนินมาอย่างรีบร้อน (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/10.jpg) รอด้วย ไลท์ เสียงดังขึ้นด้านหลังของมังกรหนุ่ม มันจึงหยุดแล้วหันกลับไปยังด้านล่าง มังกรหนุ่มสาว สี่ตัว ซึ่งมี นิลเฮอเรี่ยน (Nilhirion, the Earth Dragon) นิทินโคออน (Niltincoion, the Fire Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/11.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/12.jpg) เฟินกอลโลออน (Firngolloion, the Water Dragon) ดิมมินูวเลี่ยน (Dimminuialion, the Wind Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/13.jpg) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/14.jpg) บินตามมาโดยมี เด็กหนุ่มสาวอีกสี่คนวิ่งไล่หลังมา เด็กหนุ่มคนแรกมีผมสีทองซึ่งคาดแว่นกันลมเอาไว้ เด็กหนุ่มอีกคนที่วิ่งไล่มาติดๆนั้น เป็นครึ่งสมิงผมสีดำเขาสวมหมวกคลุมหัวเอาไว้ ชุดที่สวมเป็นชุดสีดำสวมทับ เสื้อเชิตสีขาว และอีกสองคนที่วิ่งไล่หลังมานั้น ครึ่งสมิงหนุ่มที่มีผมสีเงินสวมเสื้อสีดำแบบเดียวกับพี่ชายที่วิ่งนำเขาอยู่ และครึ่งสมิงสาวผมสีทองนางสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงสีดำที่คอผูกไทค์สีดำไว้ ครึ่งสมิงทั้งสามบัดนี้หูของสัตว์ที่แสดงความเป็นครึ่งสมิงได้หายไปจากการที่พลังในการจำแลงกายนั้น อยู่ในขั้นสมบรูณ์ตามวัยแล้ว เร็วๆสิเดี๋ยวก็สายกันพอดีโรงเรียนจะเข้าแล้วนะ ไลท์กล่าวอย่างกระวนกระวายขณะที่รอเพื่อนวิ่งขึ้นเนินตามมา ก็ตอนนี้นายบินได้แล้วนี่นารอๆพวกเรากันหน่อยสิ เด็กหนุ่มผมสีทองกล่าว ขณะที่วิ่งเข้าไปหาไลท์ (http://images.temppic.com/17-10-2008/images_vertis/1224261388_0.56096700.jpg) จะว่าไปนึกถึงเมื่อก่อนเลยนะแต่ตอนนั้นชั้นต้องเป็นคนวิ่งตามนายนี่เนอะใช่มะลอว์เรนซ์.. ไลท์กล่าวหยอกขณะที่นึกย้อนถึงเรื่องเมื่อครั้งอดีตที่ เขากับลอว์เรนซ์ เดินมาโรงเรียนด้วยกัน [ใครจำได้มั่งเอยช่วง ไตเติล ไลท์ยังบินไม่ได้เลยต้องวิ่งตาม Lr ตอนนี้กลับกันละ] นี่มัวแต่คุยกันเดี๋ยวก็ได้สายจริงๆหรอก นิลเฮอเลี่ยนกล่าวเรียกทั้งสองที่ยืนสนทนากันจน ลืมเวลาไปชั่วขณะ แล้วนี่รายงานทำมาเสร็จหรือเปล่าเจนัส เฟินกอลโลออนหันไปถามครึ่งสมิงหนุ่มผมดำ ซึ่งเขาก็คว้าเอาสมุดเล่มบางขึ้นมา ส่งให้ เจ้ามังกรไปดู ยังเหลือส่วนที่กลุ่มของนีน่ากับลากูน่าต้องทำมาเพิ่มน่ะแล้วไฟร์นายทำหน้าปกเสร็จยัง เจนัสหันไปถามนิทินโคออนที่กระวนกระวาย ก้มคุ้ยตามพงไม้ (http://images.temppic.com/17-10-2008/images_vertis/1224261385_0.05661300.jpg) หาอะไรอยู่น่ะไฟร์ ลากูน่าถาม (http://images.temppic.com/17-10-2008/images_vertis/1224261386_0.86951600.jpg) ก็าซซซซซ (ก็หน้าปกน่ะสิโดนลมพัดปลิวไปไหนแล้วก็ไม่รู้) ไฟร์กล่าว เอ กาซ..ก้าซ ก็า..ก็าซ ปกโดนลม พัดปลิวไป ..อ๋อหน้าปกโดนลมพัดปลิวไปนี่เอง.. ลากูน่ากล่าวพรางใช้ความคิดตีความคำพูดของไฟร์ ก่อนจะหน้าซีดเผือกไปตามๆกัน หน้าปกโดนพัดหาย ทุกคนอุทานเสียงก้องด้วยความผวา ก็าซ..เออสิ ก็าซซซ มาหาก็าซซ .โอยพูดจนจะไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว ก็าซซ (ก็เออสิรู้แล้วรีบมาหา กันซะทีโอยพูดจนจะไม่เป็นภาษาอยู่แล้วแว้กกก) ไฟร์กล่าวกระวนกระวายซะจนฟังไม่รู้เรื่องแต่ทุกคนก็พอจะจับใจความได้จึงช่วยกันหาเป็นการใหญ่ เออยู่ไหนน้า ครึ่งสมิงสาวก้มหน้ามองใต้พุ่มไม้ ในขณะที่มังกรสาวดิมมินูวเลี่ยนซึ่งอยู่ข้างๆนางคุ้ยด้านบนของพุ่มไม้ (http://images.temppic.com/17-10-2008/images_vertis/1224261390_0.13712200.jpg) เจอมั้ยนีน่า ดิมมินูวเลี่ยนถามนาง ไม่เจอเลยอ่ะ..แย่ล่ะถ้าไม่ส่งวันนี้มีหวังโดนอาจารย์ดีวายดราก้อนเทศเป็นชั่วโมงแน่ นีน่าบ่นด้วยความกระวนกระวาย ดมก็ยังไม่เจอเลยนี่ วิลใช้กระดาษอะไรเขียนเหรอ ลากูน่าถามขณะที่ก้มดมกลิ่นไปตามพื้น ฉันใช้กระดาษเคลือบผงสมุนไพร รีบิก (Rebic)ให้มันหอมๆน่ะ วิลกล่าวขณะที่มือยังคุ้ยเป็นประวิง หา งั้นก็ตามไม่ได้น่ะสิพวกเราสามคนแพ้กลิ่นรีบิกกันหมดเลยนะแล้วจะหายังเนี่ย นีน่ากล่าวซึ่งนั่นทำให้ ลากูน่ากับเจนัสทั้งคู่พลอยเซถลา ด้วยความตกใจกับเสียงอุทานของนาง หานี่อยู่เหรอ เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวพวกเขา ทันทีที่พวกเขามองไปยังต้นเสียง ครึ่งสมิงหนุ่มผมสีแดงแม้ เขาจะ สามารถจำแลงกายให้เหมือนกับมนุษย์ได้สมบูรณ์แล้วแต่ก็เหมือนกับพวกเจนัสถึงหูไม่โผล่แต่หางก็ยังสะบัดแกว่งไปมาอยู่ดี เขานั่งแกว่งกระดาษสีในมือ อยู่บนกิ่งไม้ กับมังกรนอฟโฮทิออนสาว ที่ยืนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ข้างๆ (Novhothion, the Dark Dragon) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/15.jpg) ริคุ ดาร์ค ลอว์เรนซ์กล่าว และทันทีที่สายตาของทุกจับไปยังกระดาษสีที่เขาถืออยู่ ก็ตาเบิกโตด้วยความตะลึง นั่นหน้าปกรายงานนี่ ลากูน่ากล่าว ซึ่งริคุก็หันมันมาอ่านก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความขบขัน และกระโดดลง มาจากกิ่งไม้ พร้อมกับดาร์ค และยื่นส่งให้ไฟร์ (http://images.temppic.com/17-10-2008/images_vertis/1224261392_0.01040200.jpg) นี่พวกนายหัวข้อรายงานของเราน่ะมัน ตำนานอัศวินแห่งทาลิวิลย่านะ ไม่ใช่ตำนานของลอว์เรนซ์ ริคุกล่าวพร้อมกับชี้ตรงจุดที่เขียนชื่อหัวข้อบนกระดาษซึ่งมันเขียนว่า ตำนานอัศวินแห่งลอว์เรนซ์ ทำเอาไฟร์ และวิลที่รับหน้าที่เขียนหน้าปกหน้าแดงด้วยความอับอาย สงสัยเมื่อคืนจะรีบไปหน่อยน่ะ วิลกล่าวพร้อมกับเอามือเกาหัวด้วยความงง เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะแล้วเราจะเอาอะไรส่งล่ะทีนี้ เอิธท์กล่าวด้วยความกระวนกระวาย ไม่ต้องตาหลีตาเหลือกขนาดนั้นก็ได้ ฉันกับริคุเขียนมาเผื่อไว้แล้วล่ะ อ่ะนี่ ดาร์คกล่าวจบก็ยื่นกระดาษสีที่เขียนอย่างถูกต้องและเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ พวกเขา ว่าแต่ริคุนายย้อมสีผมเหรอมันถึงได้แดงซะขนาดเนี้ยเมื่อวานยังสีทองอยู่เลย ลอว์เรนซ์ถามด้วยความฉงน อ๋อเปล่าหรอกชั้นไม่เหมือนกับพวกเจนัสนี่เพราะขนจะเปลี่ยนสีไปเองเมื่อพังพอนอย่างเรา อายุมากขึ้นน่ะจะว่าไปวันนี้ก็ครบรอบห้าปีพอดีเลยนะ กับวันนั้นน่ะ ริคุกล่าวก่อนจะลดเสียงลง นั่นสินะ ตั้งห้าปีมาแล้วเหรอเนี่ยรู้สึกยังกับมันพึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เองนะวันที่เราช่วยโลกเอาไว้ Lr เปรยเสียงเรียบทำให้ทุกคนเงียบลงไปเมื่อนึกถึงวันที่พวกเขากอบกู้โลกเทอร่าไว้ได้ ซึ่งนันเป็นวันที่ Lr ต้องสูญเสียพี่ซายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ไป ขณะที่พวกเขาสลดกันอยู่นั้นเอง เสียงกริ่งโรงเรียนเข้าก็ดังมา ทำให้พวกเขาได้สติ หวา จริงสิเราสายอยู่นี่นา ไลท์กล่าวทันทีที่นึกได้ แย่แล้วรีบไปเร็วเดี๋ยวประตูลิฟท์จะปิดซะก่อน Lr กล่าวก่อนจะออกวิ่งนำทุกๆคนไปยังถ้ำซึ่งเป็นทางเข้า . .. ฮูมมมมม (แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะเริ่มคุ้นกับงานที่นี่รึยัง) ดีวายดราก้อนกล่าวก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มโดยใช้แสงพลังงานจากช่องอก ยกมันขึ้นมา ก็าซซซ (ก็เรื่อยๆนะช่วงนี้ใกล้จะสอบแล้วแต่ ก๊วนนั้นก็ยังมาสายไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ) เทียแมตกล่าวหลังจากที่วางถ้วยชาลง ก่อนจะหันไปมองจอมอนิเตอร์ พวก Lr เข้ามาได้ทันก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดเพียงอึดใจเดียวถ้า เจนัสกับลากูน่าไม่ช่วย ดันประตูลิฟท์ไว้ ก่อนจะปิด ฮูมมมม (ดีแล้วล่ะที่เขายังร่าเริงได้ และข้าเองก็หวังว่าพวกเขาคงจะไม่ต้องไปสู้รบอีก เพราะเท่านั้นมันก็มากพอแล้วสำหรับพวกเขาน่ะ) ดีวายดราก้อนกล่าวขณะที่มองพวกเขาผ่านจอมอนิเตอร์ในห้องพักครู ด้วยสายตาอิ่มอกอิ่มใจ ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ก็าซซซซซ (เออนี่แล้ววันนี้จะไปรึเปล่าล่ะเห็นว่าจะมีงานฉลองครบรอบวันสมรสของ เจ้าหญิงเรจิน่ากับเจ้าฮารีซันที่มิลาบิลิสนี่) เทียแมตกล่าวก่อนจะวางถ้วยน้ำชาลง ฮูมมมมม (นั่นสิงั้นวันนี้เราก็พาเด็กๆออกไปทัศนาจรเปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อยก็ไม่เลว) ดีวายดราก้อนกล่าวพร้อมกับวางถ้วยน้ำชาลง ก็าซซซซซ (งั้นจะให้ไปประกาศเลยไหมคะ) อีสควอเทียเข้ามาถามทั้งสอง .. . . ณ เมืองมิราบิลิส เหนือท้องฟ้าเหล่ามังกรได้บินว่อนไปรอบ เพื่อจะมาอวยพรให้แก่คู่ครองทั้งสอง ภายในเมืองถูกตกแต่งและจัดงาน ฉลองอย่างยิ่งใหญ่ นี่ไม่รีบมาเดี๋ยวหมดนะลอว์เรนซ์ ไลท์เรียกเขาให้ไปที่โต็ะยาวซึ่งวางไปทั่วงานบนโต็ะเรียงรายไปด้วยอาหารมากมาย อ อืมไปเดี๋ยวนี้ล่ะ Lr กล่าวจบก็ตรงเข้าไปหาพวกเขา ถึงผมจะลืมพี่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ผมก็จะก้าวต่อไปพร้อมกับความทรงจำนี้และผมจะไม่ลืมเด็ดขาดเลยทั้งพ่อ..แม่แล้วก็พี่คอยดูผมอยู่บนฟ้าด้วยนะครับ Lr คิดขณะที่แหงนหน้ามองฟ้าที่สดใส เราก็ไปกันได้แล้วล่ะเรโค่ อิจิกิ ที่สุดขอบโลก..เนอะอิจิกิ เซโร่กล่าวพวกเขาลอยตัวอยู่เหนือน่านฟ้าของเมืองมิราบิลิสที่พึ่งก่อตั้งแห่งนี้ ว้าวฉันอยากเห็นมานานแล้วล่ะสุดขอบโลกที่ว่าจะเป็นยังไงนะ เรโค่กล่าวเสียงใส งั้นจะมารออยู่ทำไมล่ะ ไปกันเถอะ อิจิกิกล่าวจบก็ออกนำไปก่อนทันที แล้วแม่นายไม่ว่าเหรอ อิจิกิ เซโร่ถาม ซึ่งอิจิกิก็หันไปยิ้มเล็กยิ้มน้อย แม่อนุญาตแล้วล่ะ อิจิกิกล่าว ซึ่งเรโค่ กับ เซโร่ก็พลอยหน้าบานไปตามกันก่อนที่ทั้งสามจะบินหายไป ภายในเมืองเหล่าขุนนางจากทั่วทั้งทวีปได้มารวมตัวกัน เพื่อร่วมฉลอง มีขบวนพาเหรดซึ่ง นำโดยหุ่นรบรุ่นต่างๆที่ปลดอาวุธแล้ว โดยมีทิโมธีคอยควบคุม บิชอปเกรเกอรี่ ได้ขึ้นไปอวยพรให้แก่เจ้าหญิงเรจิน่าและเจ้าชายฮารีซัน โดยที่กษัตริย์ซิกมันต์แม้จะยังทรงไม่สบพระทัยแต่ก็ยังทรงขึ้นไปอวยพรให้ ในคืนนั้นท้องฟ้ายามราตรีได้สว่างไสวไปด้วยพลุและดอกไม้ไฟ รูปต่างๆ Lr และเพื่อนแหงนหน้ามองด้วยความอัศจรรย์ใจ จากนี้ไปแม้จะมีอุปสรรค เข้ามาแต่พวกเขาจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาได้ก้าวข้ามอุปสรรคที่ยากยิ่งกว่า อุปสรรคใดๆมาแล้ว [ปิดเพลงได้เลยจ้า] . อนาคตของเรา เราคือผู้ลิขิต . หากท้อก็อย่าได้ถอยแล้วซักวัน .. อนาคตก็จะมาอยู่ในมือเรา .. ก้าวข้ามลิขิตแห่งฟ้าเพื่อไขว่คว้าอนาคตมาไว้ในกำมือ ..FIN เกรม่อน:ฮือๆๆ จบเลขสวยมาก 33 แถมท่า Great of Dragon ที่แท้มีความลับเป็นคำว่า พระเจ้า(GOD)แบบนี้เอง ตอนโพสบทนี้ลงกระทู้ ใจยังสั่นไม่หายเลยเพราะเพียงแค่คลิกเดียวก็เป็นการบอกลา เรื่องราวที่เขียนมาตลอด 4 ปีนี้เลย ฮือๆๆๆ การุรุม่อน: ไม่เอาน่า อีกอย่าง 4 ปีที่ไหนกันแอบอู้ไปตั้งสองปี เฮ้อแต่ก็อย่างว่าล่ะฮ่ะ แปปๆก็มาถึงวันนี้ จนได้พอมานึกย้อนแล้วมันก็ช่างยาวนานซะจริงตั้งแต่วันที่เริ่มเขียนเรื่องนี้เนี่ย เกรม่อน: (เอามือปาดน้ำตาออก) เฮ้อ ในที่สุดก็จบลงจนได้นะครับว่าแต่บทนี้เนี่ยตอนเขียนต้นฉบับนะ น้ำตาหยดแหมะๆเลย สำหรับบางคน(ที่มาอ่านในอนาคตนะ)อาจจะบอกว่า จะจบทั้งที ยังต้องให้มีคนตายอีกหรือชอบบทที่มันรันทดหรือไง คำตอบนั้นผมอยากจะบอกว่า ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกครับแต่มันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นไป ตามความเหมาะสม เพราะมันเป็นการเตือนใจว่าไม่มีใครอยู่กับเราไปตลอดรอดฝั่งหรอกครับ การุรุม่อน : เกี่ยวกันมั้ยนั่นที่พูดมาน่ะที่จริงแกบอกเองไม่ใช่เรอะว่าเป็นถึงพระเจ้าทั้งที ดันฆ่าใครไม่ตายเลย ก็เลยจับฉลากเอาว่าจะให้ใครตาย สุดท้ายจับได้กาเร็ทซะงั้น เลยลงล็อคเป้ะนะ ว่าจะให้ Lr เป็นซาราเบลดคนสุดท้าย แหวะ เกรม่อน : ชู่ววววว อย่าเอาความจริงมาถากถางกันดิ เฮ้ยไม่ใช่ครับ อย่าไปเชื่อ มันไม่จริ้งงงอย่างผมไม่คิดอกุศลแบบนั้นแน่ครับ Lr: อ๋อที่แท้มันยังงี้นี่เอง เจนัส :คราวก่อนไปอัดในฝันยังไม่เข็ดหลาบ ลากูน่า : วันนี้ต้องเอาให้ขาหักแขนหักเลย นีน่า : ไอ้เจ้าคนไร้มนุษยธรรม ริคุ: มาทำกับพวกเราได้ขนาดนี้ตายยยย! Lr : Great of Dragon G.O.D เปรี้ยงงงงงงงงง ตูมมมมมม เกรม่อน: ขอโทษจ้าาาาา การุรุม่อน: เดี้ยนอยู่ฝ่ายภาพประกอบน้าเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ยยยย กระเด็นไปด้วยกันทั้งคู่ นี่ก็ อวสานเหมือนกันแหะ By ไทจิ Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 31-32 Post by: greamon on August 17, 2008, 07:33:45 PM Tip for dragonology จับเข่าคุยอวสานตำนานทาลิ(จริงดิ)
แหมรู้สึกยังกะตัวเองเป็นนักเขียนการ์ตูนเลยน้อ แหมจะมีคนสนใจเอาไปทำหนังแบบแฮรี่ไหมเนี่ย ภาคแรกจะได้ชื่อ ลอว์เรนซ์กับศิลามังกร(ของเขาแฮรี่กับกับศิลาอาถรรพ์)แหะๆๆมุขฝืดไปไหมเนี่ย เอาล่ะครับก่อนจะมาพูดถึงภาคสองกันขอประเดิมเรื่องของภาคหนึ่งกันซักนิด เริ่มจากเรื่องนี้ได้แต่งขึ้นตั้งแต่ผมยังอยู่ ม.ต้น อยู่เลยผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเนื้อเรื่องช่วงแรกมันถึงดูเด็กนัก นั่นคงต้องบอกว่าเค้าโครงส่วนใหญ่ได้อิทธิพลมาจากดิจิม่อนที่ ยังดังอยู่บ้างในช่วงนั้น ก่อนที่ในภาคถัดมานั้น ตั้งแต่บทที่ 11 ซึ่งผมมาต่อให้อย่างต่อเนื่องนั้น ได้มีตัวละครอย่างเจนัส ลากูน่า นีน่า และ ริคุเข้ามาผสมโรงด้วยคงต้องบอกว่า แนวความคิดของผมมันเปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีก่อนโดยสิ้นเชิง ลำพังตอนแรกผมกะจะให้ลอว์เรนซ์ผจญภัยไปกับพวกลูกมังกรเท่านั้น ไปๆมาๆผมก็เริ่มคิดแล้วว่า ลำพังคุยกับมังกรทั้งเรื่องคงเอียนตาย เลยเริ่มหาข้อมูล ช่วงนั้นติด คุณครูจอมเวทย์เนกิมะ งอมแงมเลยครับ พูดไปขนาดนี้คงรู้ กันแล้วนะครับว่าตัวละครเหล่านี้ต้นแบบมาจากไหน ถ้าท่านไหนเคยอ่านคงจะร้องอ๋อกันไปแล้ว ซึ่งช่วงนี้นั่นเองจากที่ผมแต่งกันอยู่กับเจ้าการุรุม่อนและ เพื่อนอีกคนที่แทบจะไม่ได้มาปรากฏให้เห็นตัวเป็นๆเลย แต่เขาเคยมาในฐานะผู้ช่วยผมทีนึงแล้วนะครับ ตอนที่ผมมีกำหนดการเลื่อนวันแต่งบ่อยมาก ครั้งนั้นผมต้องโพสตอนดึกเลยให้มันช่วยมาบอกว่าจะมาตอนดึกหน่อยน่ะครับ ลองหาดูนะครับว่าใคร เขาคนนี้ก็คือคนที่ช่วยวาดภาพประกอบที่เป็นภาพเขียนมือ เช่น ฟอร์มต่างๆของแอคเตอร์และอวตารร่างจิตของพระเจ้านะครับ รวมไปถึงลอว์เรนซ์ร่างแรกด้วยก่อนลงสีด้วย คิดว่าใครเคยอ่านตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มคงจะได้เห็นกัน ปัจจุบันลิงค์ภาพมันเจ๊งไปแล้ว ส่วนตัวภาพก็หายไปด้วย ใครที่เคยเห็นคงถือเป็นบุญตาได้เลย และที่สำคัญอีกเรื่องการ์ดเสริม ในตอนอวสานนี้มีออกมาใหม่ถึง 5 ใบด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นพวก Lr ในอนาคตนั่นเอง ดูๆไปแล้วแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย ส่วนที่หูไม่เป็นสัตว์แล้วนั้น เพราะพวกเขาได้โตขึ้นแล้วความสามารถในการจำแลงร่างนั้น จึงสูงตามไปด้วย แต่ก็ไม่พ้นหางยังโผล่อยู่ แต่ในการ์ดคงจะไม่เห็นหรอกครับ เพราะหันหน้ามาหมด การุรุม่อน: ที่จริงคือหาภาพไม่ได้เลยตั้งใจกลบเกลื่อนว่างั้น… เกรม่อน: เงียบไปเลยไป แหะๆอย่าไปสนใจฟังเลยครับ ว่าแต่ขออธิบายเกี่ยวกับวามสัมพันธ์ของการ์ดสองในห้า นี้หน่อยเถอะครับเพราะดูจะออกมาเอื้อกันจริงๆ เจนัสกับนีน่าเนี่ย แหมแค่ชื่อท่าก็บ่งบอกความเป็นเนื้อคู่แว้ว อย่างของเจนัสนี่ก็ตรงตัวเลย ด้วยสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะปกป้องเธอ ชื่อท่าเลยเป็น ปกป้องนีน่าไปซะงั้น ส่วนของนีน่า เพื่อที่จะตอบแทนความรู้สึกที่เจนัสมีให้เลยกลายเป็นพลังแห่งรักไปซะงั้น ภาคทาลิวิลย่านี้ พวกเขายังเด็กเกินไปคงยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่ารักมากนัก แต่เจ้าการุรุม่อนจะเอาไปต่อ ยอด หรือ ไม่คงต้องติดตามดู อีกคนนี้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยมั้งดูจะได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่นมากยังกะหลุดออกมาจาก ซองชุด คริมสันซากุระเลย ชื่อท่านี่ยุ่น จริงๆ คาไมทาจิเงี้ยคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มแต่ท่าใหม่นี่ สิ Kazumi Sakura (คาซุมิ ซากุระ) แหมชื่อท่าก็บอกแล้วว่าซากุระว่าแต่แล้วมันเป็นยังไงหรอท่าเนี้ย จะบอกความหมายของมันให้ ก่อนอื่นเราต้องรู้ความหมายประโยคแรกก่อนจึงจะตีความได้ นั่นคือคาซุมิ แปลว่า หมอก พอเอามารวมกับซากุระ เลยเป็นสายหมอกซากุระนั่นเอง ส่วนตัวท่าเป็นยังไงคิดว่าภาคสองเจ้าการุรุม่อนน่าจะเอาไปทำด้วย และนอกจานี้ยังไม่เคยอธิบายเกี่ยวกับ ดาบวิเศษทั้งสองเล่มของพี่ กา กา ทั้งหลายเลยใช่มั้ยครับ เริ่มจากชินเซเบอร์ก่อนเลย มันเป็นการรวมภาษาญี่ปุ่น กับภาษาอังกฤษเข้าด้วยกัน แปลว่าดาบที่แท้จริงครับ ส่วนมิรัยเคนนั้น เป็นญี่ปุ่นล้วนโดยเอาคำว่า มิรัย ที่แปลว่าอนาคตและ เคน ที่แปลว่าดาบมา รวมกันเป็นดาบแห่งอนาคต ซึ่งขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าบางทีมันอาจจะผิดไวยากรณ์ของภาษาเค้าก็ได้ ทั้งนี้เพราะผมแค่เอาคำมาจาก ดิค ญี่ปุ่น เท่านั้น (เราสายวิทย์อ่ะ ไม่ใช่สายศิลปะญี่ปุ่น) แหมเกริ่นกันมาซะยาว ที่จริงนอกจากผมสามคนทีมงานเรามีด้วยกันถึง 5 เชียวนะครับ เดี๋ยวจะขึ้นลิสให้ตอนท้ายรายการ(เหอๆๆยังกะทอล์คโชว) มาเข้าเรื่องกันลยดีกว่า ผมอยากลองเปิดเกมส์แฟนพันธุ์แท้ของทาลิ นี้มานานละ โดยผมได้รวบรวมคำถามมาและจัดเป็นรายการถามตอบกับสมาชิคในกลุ่มกันเอง โดยที่ผู้อ่านก็สามารถร่วมตอบไปกับเราก็ได้หลังจบรายการนะครับว่าแล้วก็เริ่มเลย ผู้เข้าแข่งขันมีสามท่าน คนแรกได้แก่ การรุม่อน “ สู้ตายฮ่ะ ” และตามมาด้วย ฝ่ายบรรณาธิการ ปิโยม่อน “ จะพยายามค่ะ ” และแขกพิเศษของเรา แวนเดม่อน “ รีบๆเริ่มซะทีข้าไม่มีเวลามานั่งไร้สาระนะ ” “ แหมดุจัง ” by เกรม่อน คำถาม 1.ในตอนอวสานเวลาได้ผ่านไปห้าปี ลอว์เรนซ์ เจนัส นีน่า ลากูน่าและริคุ ทั้ง 5 คนนี้อายุเท่าไหร่เอ่ย การุรุม่อน:โห้ยง่ายมาก เรียงตามลำดับชื่อของโจทย์ ก็ 14 15 15 14 15 ไง โฮะโฮะ ปิโยม่อน: จะถามทำไมเนี่ยขอตอบแบบข้างบนละกัน แวนเดมอน: ไร้สาระจริง ตอบเหมือนข้างบน (แล้วทำไมพวกแกไม่ตอบเองฟะ) เกรม่อน:โอเค คงง่ายไปงั้นเอาใหม่ 2.ตั้งแต่มีการนำการ์ดตัวละครเสริมมาใช้ จนถึงตอนอวสานนี้รวมทั้งสิ้นมีทั้งหมดกี่ใบ นับอันที่รีเอามาทำใหม่อย่างเซโร่ด้วยน้า การุรุม่อน:เอ 1234 โอยจำไม่ได้ว้อย (อ้าวแต่ฝ่ายตัดต่อภาพกับเสียงน่ะแกทำเองไม่ใช่เรอะ) ปิโยม่อน:แล้วกันว่าจะตอบตามซะหน่อย แวนเดมอน:ไม่รู้ไม่ตอบโว้ยย เกรม่อน:ไมมันลอกกันแหลกงี้มีปัญญาคิดเองมั่งมั้ยเนี่ย 3.จงเรียงลำดับความใจเย็นของครึ่งสมิง เจนัส นีน่า ลากูน่า และริคุ จากน้อยไปหามาก(ง่ายๆใครมันบ้าเลือดที่สุดจัดมันไปไว้คนแรกเลย) การุรุม่อน: เอ… ลากูน่า นีน่า เจนัส ริคุ เอจะว่าไปช่วงหลังๆเจนัสคุงก็ใจร้อนเหมือนกันนา เอแต่ยังไงลากุจังก็อืมเลือกไม่ถูกอ่ะ ปิโยม่อน:เจนัส ลากูน่า ริคุ นีน่า (ทำไมเรียงงี้ล่ะแถมยังเอาเจนัสไปข้างหน้าอีก) ก็ท่าส่วนใหญ่ของเจนัสต้องใช้ตอนที่เลือดออกเยอะๆนี่ ส่วนลากุก็เป็นน้องคงบ้าพอๆกัน ริคุก็ซัดกับเจนัสจนเลือดตกยางออกมาหลายตอน แล้วแต่นีน่าจังนี่สิ น่าทะนุถนอม มีหนุ่มๆคอยปกป้องตลอด อีกอย่างใบ้ไปแล้วนี่ว่าใครบ้าเลือดก็คนนั้นแหล่ะ แวนเดมอน: เท่ากันหมด (ทำไมล่ะ) เรื่องของข้าว้อย เกรม่อน: อื้อหือ ชักดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะครับ(ไม่ใช่คำถามแต่จะเดือดกับไอ้แวนเดม่อนเนี่ยแหล่ะ) 4.ในเรื่องนี้มีครึ่งสมิงโผล่ออกมาทั้งหมดกี่ตัว การุรุม่อน: 4 ชัวอยู่แล้ว ปิโยม่อน:5 ต่างหาก ลืมนับกาโรห์ไปล่ะสิ แวนเดมอน:จะจบยังข้ายิ่งรีบๆ(แล้วแกจะมาทำม้ายย) เกรม่อน:ผิดหมดคำตอบคือ นับไม่ได้ เพราะที่หมู่บ้านแหลมทวีปมีอีก เพียบ 5.พ่อและแม่ของลอว์เรนซ์ ชื่อว่าอะไรบ้าง การุรุม่อน:ง่ายแท้ อิเดีย ซาริ(ผิด) ปิโยม่อน:อิเดีย ซาเร่(ผิด) แวนเดมอน:มองหน้าหาเรื่องเรอะ พลั่ก (หมั่นไส้มานานขอสักทีเหอะเอาให้เลือดคาหมัดโลด) สุดท้ายก็ไม่เป็นอันเล่นเพราะวิวาทกันจนเละไปหมด สำหรับคำตอบที่ถูกต้องนั้น ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะคิดละกันครับเพราะผมเองก็คงตอบไม่ ถูกเหมือนกัน (แต่งเองตอบเองไม่ได้อย่าว่ากันเลยมันเยอะอ่ะ) ส่วนข่าวคราวของภาคสองนั้น ต้องขอให้เตรียมใจกันนิดนึงนะครับ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับทาลิวิลย่าแล้ว แถมยังเปลี่ยนคนเขียนเป็นการุรุม่อนอีกที่สำคัญไม่ได้โพสในกระทู้นี้แต่แยกไปอีกกระทู้ ก็มันไม่เกี่ยวกับทาลิแล้วนิ ถ้างั้นแล้วทำไมมันถึงเป็นภาคสองได้นั้นเราจะไขความลับให้กระจ่างเองครับ เริ่มจากชื่อเรื่อง ไม่ใช่ Crisis of Valkyrie นะครับแต่เปลี่ยนเป็น War of Actor In Terra นั่นแหน่ เห็นชื่อเรื่องก็พอจะเดาออกแล้วใช่มั้ยครับ เนื้อเรื่องภาคสองนี้จะเกี่ยวกับระบบแอคเตอร์ ที่ถูกสร้างขึ้นในอนาคต หรือให้เข้าใจง่ายๆมันก็คือ มาส์คไรเดอร์คาบูโตะฉบับ SMNนั่นเอง แต่ทว่าทำไมมันถึงต่อเป็นภาคสองล่ะแค่เพราะเกี่ยวกับแอคเตอร์น่ะหรือไม่ใช่หรอก ที่จริงแล้วคือตัวละครน่ะใช้ชุดเดิมด้วยอีกตะหาก แน่นอนพระเอกก็ Lr คุงเนี่ยล่ะ แต่เป็นวัยรุ่นแล้ว ยกระดับของเรื่องขึ้นมานิด และที่สำคัญ นางเอกในภาคนี้ชื่อ เทีย แต่ไม่ใช่คนที่ตายไปตอนวาเลนไทน์นะ เธอคนนี้มาจากโลกอนาคตในอีก 300 ปี โดยเธอเป็นลูกสาวของนักวิจัยระบบแอคเตอร์ เทียเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาๆ อายุของเธอคือ 14 ปี ความฝันคืออยากเป็นเจ้าหญิง ที่ถูกเจ้าชายปกป้อง (ไม ทีมเรื่องมันคุ้นๆหว่า) เพื่อความรักและความฝันแม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายก็จะไปให้ถึงนั่น คือเจ้าชายในฝันของเธอ (นี่มันหรือว่า) ซึ่งในบทแรกนั้น ชื่อตอนก็มีว่า เจ้าชายผู้มาจากฟากฟ้า (เปลี่ยนเป็นเจ้าชายที่ตกลงมาจากฟ้านะชัดเลย ) และแน่นอนว่าเจ้าชายของเธอคงไม่พ้น Lr แน่ ว่าแล้วเราลองไปดูตัวอย่างบทพูดในภาคสองนิดหน่อยเถอะ “ เอามาสเตอร์แอคเตอร์หนีไปเร็ว ” “ คือว่าที่ชั้นเรียกเธอมานี่น่ะ...ก็คือชั้น..ช…ชอบ…เธอ… ” คำสารภาพรักของใครหว่า “ เคยมีคนพูดไว้จงก้าวข้ามลิขิตแห่งฟ้าเพื่อไขว่คว้าอนาคตมาไว้ในกำมือ ” นี่ถ้ามันเป็นก้าวไปในทางแห่งสวรรค์ล่ะก็นะคงไม่ต้องไปแต่งมันแล้วล่ะ “ ถึงจะเก่งแค่ไหนก็เถอะแต่ถ้าไม่แปลงเป็น ผู้พิทักษ์ ก็สู้กับแลนทิสที่ Time Walk ไม่ได้แน่ ” “ คุณคือผู้ได้รับเลือกจากมันแล้ว จากนี้ไปชะตาของคุณจะต้องต่อสู้กับ… ” “ ชั้นไม่คิดจะกลับไปจับดาบอีกหรอกเธอไปหาคนอื่นเถอะ ” สรุปแล้วคือภาคสองนี้ไม่เกี่ยวกับทาลิวิลย่าละ สำหรับท่านต้องการติดตามก็เข้ามาดูได้ ที่บอร์ดแฟนอาร์ตอาทิตย์หน้าเวลาเดิมนะครับแต่เปลี่ยนกระทู้นะ บายครับ Staff เรื่อง by Greamon ตัดต่อภาพ by Garurumon ภาพประกอบเขียนมือ by ผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่ง บรรณาธิการตรวจเช็ครายละเอียด(ซึ่งไม่เคยละเอียดมีผิดทุกตอน) by Piyomon จัดหาข้อมูล by Tentomon (นี่ไม่เคยโผล่หน้าเลยงิ) ขอขอบคุณภาพจากเว็บ ดาต้าเบสของบริษัท และ เพลงประกอบจาก www.Gendou.com สุดท้ายจงอย่าลืม ทางเดินของเรานั้นเราคือผู้ลิขิต แต่ไม่ต้องขนาดก้าวข้ามลิขิตฟ้าเหมือนอย่างลอว์เรนซ์นะ อันนั้นมันลำบากไป…… Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 33 อนาคตที่แท้จริง(อวสาน) Post by: boy on August 17, 2008, 09:34:43 PM จบแว้วๆ ::008:: ::008:: ::008:: ลาก่อน บาย เรื่องออกจะหนุก น่าจะสานต่อ
ปล.1--- เนื้อเรื่องแบบที่เสนอมา รู้สึกขี้เกียจอ่านขึ้นมาตะหงิด ๆ ปล.2---ตอนที่บอกว่า โดยเธอเป็นลูกสาวทำระบบแอกเตอร์ บลาๆๆ จนจบ ผมว่ามันเหมือน ginban kaleidoscope + mamotte lollipop แล้วาร 2 บวก 3 เอานู่นนี่มาปนกันหมดเลยครับ ::006:: ปล.3--- ผมก็ชอบ เนกิมะเหมือนกัน ยิ่งภาคใหม่ เนกิมะ!? ก็สนุก ::011:: Title: Re: Legend of The Thaliwilya Update บทที่ 33 อนาคตที่แท้จริง(อวสาน) Post by: cocka-c on August 18, 2008, 02:23:22 AM แหม อย่าพูดยังกะจะจบไปกับนิยายด้วยสิจ้ะ ลากงลาก่อนอะไรกัน เกรม่อนคุงเค้ายังไม่ตายซะหน่อยเอ
แต่รู้สึกโดนเจนัสซ้อมอยู่นะ อีกเดี๋ยวคงตาย 5555 เอ้ยไม่ช่าย ที่จริงถึงเจ็อยากสานต่อ ก็คงสานไม่ติดอ่ะจ้ะเพราะศิลามังกรมันสลายไปแว้ว เกรม่อนคุงมัน เล่นเขียนปิดบัญชีชนิดว่าจบก็จบจริงๆ แถมยังเขียนให้โตเป็นหนุ่มหมดเลยอีกตะหาก เล่นซะเจ็ไม่มีช่องให้แทรกเลย นี่ก็อวสานแล้วไหนเจ็ขอออกความเห็นฉากที่ประทับหน่อยเถอะจำได้มั้ยว่าเจนัสกับนีน่าเนี่ยมีฉากเซอวิส อยู่สองบทแน่ะ อันแรกก็บทที่18 หนุ่มน้อยตื่นขึ้นมาร่างเปลือยเปล่าเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวเดียว ยัยม้าดีดกระโหลกมันยังเข้า ไปจ่อปืนแนบซธชิดติดเลยนะ อีกตอนก็ที่บ่นในสวนสาธารณะ ใต้ต้นไม้เนี่ยคุยกันโรแมนติกซะจริง ซึ่งสถานที่นั้นก็ได้แบบมาจากภาพนี้ตอนที่ไปทัศนศึกษากัน (http://image.ohozaa.com/ie/dsc00297.jpg) ว่าแต่ภาคสองเนี่ยเจ็ก็ไม่ได้กะแต่งให้มันเหมือน มาส์คไรเดอร์ นักหรอก ก็แค่ยืมๆเขามาหน่อยว่าแต่ เรื่อง ginban kaleidoscope เนี้ยมันคืออะไรเจ็ไม่ดูเลยอ่ะ ที่จริงทีมเรื่องตอนแรกจะเป็นการ ใช้แอคเตอร์สู้กับพวกแลนทิสที่มาจากอนาคต เพราะพวกเซโร่ ดันไปเปิดประตูเชื่อมต่อโลกอนาคตที่วิหารของ วัลคีรี่ทั้ง 12 เข้าซะี่นี่ ทำให้ อาวุธ 12 อย่างของพวกอาหมวยวัลคีรี่ กระเด็นหายไป พวก Lr เลยต้องมาตามเก็บแต่เจ็ดูแล้วว่าทำทีมเรื่องแบบนี้มันคงยาวเกินไป เพราะอีกไม่นานพวกเจ็ก็จะสอบตรงแล้ว สังเกตได้ที่เจ้าเกรม่อนคุงรีบรวบเรื่องขนาดนี้ นีเจ็พูดแล้วเหยียบไว้เลยนะ ที่จริงตอนแรกเกรม่อนคุง ตีความไว้ว่า น่าจะจบในตอนที่49 - 50 แต่ไปๆมาๆมันไม่ทันแล้ว ก็เลยต้องเร่งเรื่องขนาดนี้ดูสิขนาด ตอนแปลงเป็นทาลูคูสอ่ะยังเว้นช่วงมาแปลงเป็นทาโซรอสซะไกลเลย แล้วยังรวบ ทาลิควาสกับทาเวนทอสมาอยู่ในบทเดียวกันอีก จากนั้นก็เป็นทาลิคนัส ทาไนซ แล้วก็มุรามาซะแล้วก็เรียงไปเรื่อยเลยอ่ะจ้ะ ที่จริงนี่เป็นความลับของ ทีมงานเราเลยนะจ้ะ อย่าไปบอกใครล่ะ ดังนั้นเจ็ก็เลยเอาแค่สั้นๆ เลยเปลี่ยนทีมเรื่องซะใหม่ ความยาวบทในภาคสองนี้ก็เลย ประมาณสองบทของที่เจ้าเกรม่อนคุงแต่งอ่ะจ้ะ ยังไงๆก็ตามมาดูหน่อยเน้อ ถือซะว่าทำบุญให้เจ็เถอะน้าาา ว่าแต่ช่วงนี้อย่านึกนะว่าเจ็จะไม่ได้จับตามองถึงเกรม่อนคุงจะไม่แย้ง แต่เจ็อยากรู้อ่ะว่านอกจาก boy คุง กับ อีฝจัง มีใครมาอ่านแล้วไม่ได้ตอบกันบ้างเอ่ย เพราะ1 เดือนก่อนเจ็นั่งดูแล้วว่ามีคนเข้ามาอ่านกระทู้นี้ อยู่นานเป็นชั่วโมงถึง2 -3 คนถ้ายังไงก็ช่วยตอบเจ็ทีเถอะเน้อ Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) Post by: greamon on September 02, 2008, 02:57:32 AM ขอเชิญชมภาค 2 ได้ที่นี่เลยครับ
http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?topic=43523.0 Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) Post by: greamon on September 14, 2008, 05:50:53 PM ก่อนจะไปดูกันนั้นขอแจ้งข่าวหน่อยนะครับ เรื่องสารบัญ ที่หน้าแรกนั้นผมเขียน ไว้ว่า จะรวบรวมเนื้อหาของตอนพิเศษทั้งหมด มารวมไว้ที่เดียวกันเพื่อสะดวกในการอ่าน ดังนั้นผมจะเริ่มทยอยรวมมาไว้ที่หน้าที่19
นี้นะครับอาจทำให้กระทู้คลาดเคลื่อนกันเล็กน้อย Quote เฮ้อว่าจะไม่ยืดแล้วนะแล้วก็ยืดจนได้ว่าแต่มีคนโทรมาขอให้ต่อตอนฟูดินันได้แล้วรออ่านอยู่เนี่ยสงสัยต้องลงตอนธรรมดาแทนแล้วงั้นพรุ่งนี้ตอนพิเศษนี้ลงอีกทีวันจันทร์ก็แล้วกันส่วน Duel Legendไว้วันพฤหัสนี้ลงแน่นอนพยายามหาดูก็แล้วกัน เดี๋ยวบอกบทนำนิดหน่อยละกันของDuel Legend น่ะเป็นเรื่องราวที่ว่า ในอนาคตเวทย์มนต์กับเทคโนโลยีได้ถูกผสานกันอย่างลงแต่ทว่าในความลงตัวนั้นได้มีรอยแตกแยกเล็กๆอยู่ หากมันขยายขึ้นมาเวทมนต์และเทคโนโลยีก็จะแยกจากกันซึ่งตัวแทนของเวทย์มนต์กับเทคโนโลยีที่ผสานกันลงตัว นั้นคือการ์ดซัมมอนเน่อนั้นเอง หนุ่มน้อยที่พ่อและพี่ชายหายตัวไปจากการปะทะกับองค์กร ชั่วร้ายZodiac(จักรราศี)ที่เหล่าผู้ช่ำชองฝีมือการ์ดร่วมกันตั้งขึ้นมาเป็นผู้คนจากหลากหลายประเทศ เรื่องเริ่มขึ้นในวันหนึ่งที่พระเอกของเราได้เล่นการ์ดอยู่พวก Zodiac ก็เข้ามาก่อกวนมีด้วยกันห้าคน ที่ถูกส่งมาจัดการกับพระเอกของเรา ได้แก่ชาวกรีก ชื่อปีกัซ ผู้ใช้สำรับเปกาซัส ชาวจีนชื่อ ชง ผู้ใช้สำรับ มังกร ชาวเยอรมันชื่อ ลุคลิน ผู้ใช้สำรับ ฟีนิกซ์ ชาวญี่ปุ่นชื่อ ชุน ผู้ใช้สำรับ อันโดรเมด้า ชาวไซบีเรียชื่อ สแวน ผู้ใช้สำรับหงส์ขาว แล้วพระเอกของเราจะทำไงดีเนี่ยเอาใจช่วยเขาได้ในDuel Legend สงครามตำนานนักร่ายอสูรวันพฤหัสนี้ครับ (จะว่าไปเหมือนเอาเซนส์เซย่ามารวมยังไงไม่รู้สิ) คิดว่าคงจำคำพูดนี้กันได้นะครับ เรื่อง Duel Legend นั้น ผมคิดว่าคงจะพิมพ์ไม่ไหวแล้ว เพราะปัจจุบันตอนนี้ตัวผมก็ได้เลิกเล่น การ์ดไปนานพอดูแล้ว ทำให้ กฏกติกาเริ่มเลือนไปหมดคิดว่าคงจะเขียนต่อให้ไม่ได้ต้องขออภัยจริงๆครับ จะว่าไปแล้ว บทพิเศษ ครอบครัวนั้น เราจะได้เห็นชื่อจริงของ เทียแมต และ พ่อของนิทินโค ซาลามันเดอร์ด้วย นอกจากนี้ คุณตาของนอฟฮอฟอีกคน ในภาคสอง สงครามแอคเตอร์ก็มีน้องชายของ ไลท์โผล่มาอีก สามเลย คิดว่าคุณแม่ของไลท์คงจะได้มีบทมั่ง มั้งนะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) Post by: greamon on September 14, 2008, 06:12:59 PM Special X,Mas OF the Thaliwilya
ตอนทาลิวิลย่าปะทะเอเลี่ยน ที่ฟีเลเซีย ณ ห้องทดลองของทิโมธี " แค่กๆๆพลาดอีกแล้ว " ชายหนุ่มที่มีผมสีแดงปลายผมมีรอยไหม้นิดๆ ภายในห้องมีควันลอยโขมงอยู่เต็มห้องชายหนุ่มคนนั้นจะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายควันออกไประหว่างเดินไปนั้นมีเสียงเหล็กกระทบกันดังเรื่อยๆเพราะเครื่องมือต่างๆมากมายที่ตั้งไว้บนโต๊ะและที่พื้นถูกเขาเดินเตะปัดไปปัดมา ในที่สุดชายคนนั้นก็เปิดหน้าต่างสำเร็จเสียงลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาในห้องพัดเอาควันออกไปเมื่อควันเริ่มจางทิโมธีก็หันไปหาทินทอนหุ่นยนต์ผู้ช่วยของเขา " ทินทอนนายโอเคมั้ย " ทิโมธีพูดจบก็มองหาทินทอนแต่ไม่เจอซักพักก็มีเสียงโครมครามมาจากกองเศษเหล็กข้างๆ ทินทอนนั่นเองที่ผลักกองเศษเหล็กที่ทับตัวเองออกมา " ทิ..แก็ก..ทิ.แก็ก..โมธี " เสียงของเจ้าหุ่นยนต์ออกเสียงสูงๆต่ำๆไม่เท่ากัน " เฮ้อทินทอนระบบเสียงเจ๊งอีกแล้วเหรอเนี่ย " ทิโมธีพูดจบก็เดินไปหาทินทอนแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วควานหาอะไรซักอย่างซักพักเขาก็หยิบไขควงแล้วเข้าไปไขน๊อตที่ด้านหลังหัวของทินทอนจนมั่นใจว่าแน่นแล้วจึงลุกขึ้นเก็บไขควงกลับใส่กระเป๋าเสื้อตามเดิม " ขอบใจทิโมธี แก็ก.. " ทินทอนพูด " พรุ่งนี้ค่อยลองใหม่ละกันเรื่องประตูข้ามมิติเนี่ย " ทิโมธีพูดจบก็เก็บของแล้วเดินเข้าห้องนอนแล้วดับไฟตะเกียงทันที ทินทอนก็เช่นกันเดินเข้าไปยังห้องของตัวเองแต่ก่อนที่ทินทอนจะเดินออกจากห้องก็มีเสียงเหมือนไฟลัดวงจรและมีแสงแวบออกมาชั่วครู่ทินทอนหันมามองแต่แสงนั่นก็ดับไปแล้ว " น่าแปลกจริงๆ " ทินทอนไม่สนใจจึงเดินออกไป เมื่อทินิอนเดินออกไปเครื่องที่มีลักษณะเหมือนประตูทรงกลมก็เริ่มทำลานอีกครั้งและได้มีสิ่งที่โลกเทอร่าไม่เคยคิดว่าจะได้ประสบพบเจอเลยสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติข้ามมายังมิติเทอร่าแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตนั้นมีร่างเหมือนกิ้งก่ายักมีเล็บที่ยาวคมกริบหางที่ยาวที่ปลายนั้นเป็นหัวลูกศร มีหัวที่ใหญ่ยาวที่ปากนั้นมีปากที่เล็กกว่าอีกชั้นอยู่ในปากโลกเทอร่ากำลังจะพบกับหายนะ อสูรกายตัวนั้นผ่านประตูมิติเข้ามาอยู่ในห้องทดลองของทิโมธีมันกำลังเดินสำรวจอยู่ภายในห้องมันเดินไปจนถึงประตูห้องของทินทอนและใช้กงเล็บพังประตูเข้าไปในห้องทินทอนกำลังชาจไฟตัวเองอยู่อสูรกายตัวนั้นเดินเข้าไปหาทินทอนมันกางกงเล็บออกอีกครั้งและทำลายทุกอย่างที่อยู่ในห้อง เช้าวันถัดมา " ฮึบ อ้า เช้าแล้วเหรอเนี่ยเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยเพราะเจ้าทินทอนมัวแต่ทำอะไรโครมครามอยู่ข้างๆนะเนี่ย " ( แล้วมันยังนอนต่อไม่ห่วงเพื่อนเลยนะ ) ทิโมธีลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดหน้าต่าวเสียงนกเนด้าร้องประสานเสียงยามเช้าลมพัดเข้ามาในห้องทิโมธีและเมื่อเขามองลงไปข้างล่างภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นแทบจะทำให้หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะเบื้องร่างจากชั้น 2 ของบ้านประตูหน้าบ้านของเขาที่ทำจากเหล็กอย่างดีและเครื่องล็อกกุณแจที่เขาคิดค้นเองเมื่อคืนก็ล็อกไว้ อย่างแน่นหนาแต่ตอนนี้มันกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้วส่วนประตูก็มีคราบสีเขียวบางอย่างติดอยู่มีควันลอยออกมาจากคราบนั่นจางๆ ทิโมธีแทบล้มทั้งยืนแต่เขายังทรงตัวทันเขาพยายามตั้งสติแล้วหันไปข้างหลังสิ่งที่เห็นทำให้เขา เกือบเป็นลมประตูห้องของเขามีสภาพไม่ต่างไปจากประตูเลยเขาพยายามตั้งสติอีกครั้งเขาเดินไปที่ห้องทดลองปรากฏว่าห้องทดลองที่เคยเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องมือรกเกะกะมากมายบัดนี้ได้กลายสภาพไปไม่ต่างกับซากปรักห้กพัง " ทิ..แก็ก...ม...แก็ก.โม..แก็ก...ท.ที.แก็ก " เสียงของทินทอนที่ดูไม่ปะติดปะต่อเมื่อทิโมธีหันไปหาทินทอนเขาก็เป็นลมล้มผับไปเลยเพราะสภาพของทินทอนที่พังจนดูไม่ได้ข้างทั้ง 2 ข้างส่วนหังก็เหลือเพียงครึ่งเดียว หลังจากนั้น.... " เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะท่านเกรเกอรี่ถึงได้ให้ข้ามาขอให้พวกท่านไปช่วยสืบเรื่องนี้อีกแรง " ชาลว์พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยใจเมื่อต้องนึกถึงสภาพของบ้านทิโมธีและท่านเกรเกอรี่ที่เป็นลมหน้าบ้านทิโมธีเมื่อเห็นสภาพของทินทอนที่ออกมาต้อนรับเมื่อเช้านี้ " อ..อ้องั้นเหรอ " Lr มองชาลว์ที่มีสีหน้าเหนื่อยอ่อนแล้วก็ถึงกับอึ้งลูกมังกรทั้งหกเองก็เช่นกันด้วยว่าจอมทัพแห่งสายลมผู้นี้ไม่เคยแสดงอาการเหนื่อยใจมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย " เฮ้อเจ้านักประดิษฐ์บ๊องตื้นนั่นทำป่วนอีกแล้วสิเนี่ย " ไฟร์(นิทินโคแหละชื่อจริงชื่อ นิทินโค ออฟ ไฟร์ อ้อแล้วที่พูดภาษาคนก็เพราะมี dgh ช่วยแปล)พูด " เอาน่าฉันว่าเราไปช่วยเขาดีกว่า " เอิธร์(นิลเฮอร์)พูด " อื้อฉันเห็นด้วยจะได้ให้เขาช่วยซ่อมเครื่องสื่อสารนี่ด้วย " วิลพูด " อื้อในเมื่อความเห็นของทุกคนตรงกันงั้นเราก็ไปกันเลย " Lr พูดจบก็ออกเดินทาง ที่บ้านทิโมธี พวก Lr เดินทางมาถึงบ้านของทิโมธีก็ได้เห็นถึงความเสียหายของบ้านทิโมธีและเมื่อพวกเขาหันไปเพื่อที่จะหารือกับท่านแม่ทัพชาลว์ก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาจากทิศทางที่ท่านชาลว์อยู่ " ฮื้อบ้านฉ้านนนนนนนนนน " ทิโมธีนั่นเองที่โวยวายหลังฟื้นขึ้นมา " ทิ.แก็ก...ม..แก็ก..โม..ธธธธธี...แก็ก...ฟ..ฟ..ฟื้นแล้วเหรอ " ทินทอนเข้ามาหาทิโมธีในสภาพเสียหายเช่นเดิม " ว้ากกกกกกกกกกกกกกกก " ทิโมะร้องด้วยความตกใจจนเป็นลมไปอีกรอบ " แย่แล้วท่านทิโมธีเป็นลมไปอีกแล้ว " นายทหารที่อยู่ข้างๆทิโมธีตะโกนเรียกนายทหารอีกคนหนึ่ง " อีกแล้วเหรอนี่มันรอบที่ 3 แล้วนะแล้วสมุนไพรก็หมดไปตั้ง 5 ขวดแล้วด้วย " นายทหารคนนั้นตอบแล้วหันไปหาหมอหลวงที่กำลังดูอาการของเกรเกอรี่อยู่ " ท่านหมอหมอครับ.. " นายทหารพูด " รู้แล้วเดี๋ยวฉันจะไปดูรอแป็บนะ " หมอหลวงพูดอย่างระส่ำระส่ายขณะที่กำลังเอาสมุนไพรให้เกรเกอรี่จนในที่สุดเกรเกอรี่ก็ฟื้น " เอาล่ะเรียบร้อย " หมอหลวงพูดแล้วก็หันไปรักษาทิโมธีต่อแต่แล้วทินทอนก็หันหาเกรเกอรี่ที่พึ่งฟื้นทำให้เกรเกอรี่ตกใจมากจนเป็นลมไปอีกรอบ " ท่านเกรเกอรี่เป็นลมไปอีกแล้ว " นายทหารพูด " โอ้อีกแล้วรึ " หมอหลวงเอามือกุมหัวแล้วก็เป็นลมล้มไปอีก " ท่านหมอหลวงเป็นลมไปแล้วรีบไปเรียกหมอมาอีกคนเร็ว " นายทหารบอกนายทหารอีกคน " อีกแล้วนี่หมอคนที่ 6 แล้วนะ " นายทหารพูดจบก็ออกไปตามหมอหลวงมาอีกคน " เฮ้อคงวนอยู่อย่างนี้มาหลายรอบแล้วดิเนี่ย " Lr พูดด้วยความเหนื่อยใจ " อือมิน่าล่ะท่านชาลว์ถึงได้ดูหนักใจมากนัก " วิลพูด " พวกท่านไปก่อนเถอะ " ชาลว์พูดพร้อมกับชี้ไปที่รอยเท้าที่แปลกประหลาด " รอยนี่มัน " Lr พูดจบก็เดินไปสำรวจรอยประหลาดนั้นลูกมังกรทั้ง6ก็เช่นกันต่างก็มีสีหน้าสนอกสนใจ " เอ๋ " ดาร์ค( ชื่อจริง นอพฮอฟ ออฟ ดาร์ค )เอ่ยขึ้นระหว่างที่สายดายังคงจับจ้องอยู่ที่รอยประหลาด " มีอะไรเหรอดาร์ค " ไลท์ถามนอพฮอฟชี้ไปยังคราบสีเขียวที่อยู่รอบๆรอยที่ยังมีไอลอยออกมาเล็กน้อย " หือนี่มันเหมือนที่ติดอยู่กับประตูบ้านทิโมธีนี่ " อควา( ชื่อจริง เฟินกอลโล ออฟ อควา ) พูดหลังจากที่เบียดเข้าดูรอยกับพวก Lr " เฮ้ทุกคนมาดูนี่สิ " เอิธท์ตะโกนเรียกให้ทุกคนไปหาเมื่อทุกคนตามไปดูเอิธท์ก็ถอนใบหญ้าขึ้นมาใบหนึ่งแล้วนำมันไปแตะคราบสีเขียวที่ยังคงเกาะกินประตูอยู่เมื่อใบหญ้ากระทบกับคราบนั่นใบหญ้าก็ละลายไปพร้อมกับเสียงเหมือนน้ำเดือดและกลุ่มไอควันก็พวยพุ่งออกมามากขึ้นกว่าเดิมจนทุกคนสำลักควันจนต้องเอามือปิดจมูกแล้ววิ่งออกจากบริเวณนั้นกันเป็นการใหญ่ " แค่กๆๆมันอะไรกันเนี่ย " วิลพูดจบก็ไอเป็นการใหญ่ " ฉันคิดว่านะไอ้คราบสีเขียวๆเนี่ยมันคงจะเป็นพิษอะไรซักอย่างแน่ๆแค่กๆๆ " เอิธท์พูดไปสำลักไป " ฮ..ฮะ..ฮัดเช้ยยยยยยยย " ไฟร์จามจนไฟออกมาพร้อมกับเสียงจามที่ดังสนั่นนายทหารทุกคนหันไปเพื่อจะมองแต่แล้วเมื่อไฟออกมามันก็ลุกขึ้นเป็นเปลวเพลิงลูกใหญ่ยิ่งเปลวเพลิงกระทบกับกลุ่มควันมันก็ยิ่งลุกไหม้มากยิ่งขึ้น " หวาอะไรกันเนี่ย " ไฟร์อุทานพร้อมกับวิ่งออกกจากรัศมีของเพลิงเมื่อเปลวเพลิงเผาไหม้จนไอควันจากคราบนั่นจนหมดไฟก็ดับลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับคราบสีเขียวที่ระเหยหายไปจนหมด " รู้สึกว่าสารนี่มันจะติดไฟด้วยนะเนี่ย " เอิธท์พูดเสียงสั่น " เอาเป็นว่าเราออกเดินตามรอยนี่ไปดีกว่าเพื่อว่าเจ้าของรอยนี่จะยังไปไม่ไกล " Lr กล่าวแล้วหันไปรอคำตอบจากทุกคน " งั้นพวกท่านรีบออกเดินทางเถิดข้าจะตามไปสมทบเมื่อท่านเกรเกอรี่กับท่านทิโมธีฟื้นแล้ว " ชาลว์พูดจบก็เดินไปพาทินทอนที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้นไปให้ไกลจากทิโมธีเพื่อที่ทิโมธีฟื้นจะไม่ต้องเป็นลมเพราะทินทอนอีก พวก Lr จึงเริ่มออกตามรอยปริศนานั้นไประหว่างทางก็สวนกับหมอหลวงและนายทหารคนที่ไปตามหมอหลวงมาอีกที รอยทอดยาวเข้าไปในป่าลึกระหว่างที่พวกเขาตามรอยไปก็พบกับซากต้นที่หักโคนเพราะมีสารสีเขียวละลายที่ลำต้นจนผุพังหักโค่นลงมาตามทางซากสัตว์ที่ถูกฆ่าก็ตกเกลื่อนเต็มทางส่งกลิ่นเหม็นฉุนจนแสบจมูกยิ่งตามเข้าไปลึกมากเท่าไรตามทางก็คราบสีเขียวเปรอะเปื้อนเต็มทางไปหมดจนแทบจะต้องเลี่ยงเส้นทางหลักเพื่อไม่ให้สารนั่นละลายเท้าของต้นจนในที่สุดลูกมังกรทั้งหกก็ต้องช่วยกันแบก Lr ข้ามไปจนออกจากป่าพวกเขาจึงหยุดพักจนหายเหนื่อยจึงออกเดินตามรอยต่อจนมาถึงชายทะเล Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) Post by: greamon on September 14, 2008, 06:13:17 PM " อืมรอยสิ้นสุดตรงนี้แล้วมันไปอยู่ไหนกัน "
ไฟร์พูดอย่างพอใจเมื่อตามมาจนรอยหายลงไปในทะเล " คิดว่ามันลงไปในทะเลรึเปล่าน่ะเอิธท์ " Lr หันไปมองเอิธท์ " ไม่แน่ใจซักเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีทางที่อยู่ๆดีรอยมันจัหายไปรึมันเพิ่งจัรู้ตัวว่าตนทิ้งไว้ก็เป็นไปไม่ได้เพราะไม่ยังงั้นคงลบรอยที่อยู่ในป่านั่นไปจนหมดไปแล้วล่ะไม่ปล่อยให้ตามมาจนถึงนี่หรอก " เอิธท์พูดอย่างพินิจพิจารณาอยู่สักครู๋จึงยอมแพ้และพูดว่า " ไม่แน่อาจจะเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำก็ได้และมีพิษซะด้วยสิ " เอิธท์ตอบเสียงแผ่ว " งั้นฉันจะลงไปสำรวจให้นะ " อควากล่าว " งั้นฝากด้วยก็ละกันอ้อระวังตัวด้วยนะเพราะมันมีพิษที่ร้ายกาจมากจริงๆขนาดละลายประตูของทิโมธีที่แม้แต่ไฟของไฟร์ยังเผาไม่ละลายได้เลย " เอิธท์กล่าวอย่างห่วงใย " อื้อฉันจะระวัง " อควาพงกหัวรับคำแล้วก็ลงไปในทะเลอควาว่ายไปได้สักพักก็มีฝูงปลาฝูงใหญ่ว่ายสวนมาจนเขาต้องว่ายไปหลบแถวซอกหินบริเวณนั้นหลังจากฝูงปลาที่ว่ายแตกตื่นเหมือนกับหนีอะไรมาซักอย่างว่ายไปจนหมดก็มีเงาดำผ่านเหนือหัวของอควา " ตัวอะไรน่ะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย " อควาเอ่ยจบก็ว่ายตามไปแตเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นก็ว่ายเร็วซะจนเขาตามแทบไม่ทันแล้วมันก็ว่ายหายลับไปอควาจึงว่ายกลับไปที่ฝั่งที่นั่นพวก Lr ที่กำลังรอคำตอบของอควากำลังรอรับอยู่เมื่ออควาขึ้นมาเหนือผิวน้ำพวก Lr ก็ถอนหายใจกันเป็นแถบ " เป็นยังไงเจออะไรรึเปล่า " เอิธท์ตะโกน " เจอแล้วแต่ฉันคลาดกับ...... " อควาตะโกนตอบกลับแต่ยังไม่ทันจบปะโยคอควาก็หยุดพูดเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนดูประหลาดใจและแล้วเขาก็รู้สึกเสียวสันหลับวาบ " กลับมาอวามันกำลังจะกินนายแล้ว " ไลท์ตะโกนบอกอควาจึงหันหลังไปดูก็เห็นร่างของเงาที่เขาเห็นที่ใต้ทะเลความจริงมันไม่ได้ว่ายหนีไปแต่มันย้อนกลับมาตามล่าอควาซะเองภาพที่เห็นนั้นทำให้อควาตกใจจนต้องรีบว่ายกลับเข้าฝั่งความกลัวเริ่มแทรกเข้ามาในใจของเขอควาเร่งว่ายเข้าฝั่งแต่เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเร็วมากจนอควาว่ายหนีไม่ทันมันเอามือจับตัวอควาไว้แล้วอ้าปากออกมาและปากชั้นในก็ยื่นออกมาอีกและจ่อตรงคออควา " อควา ฮึ้ย ไลท์ไปกันเถอะอื้อ " Lr เรียกไลท์และทั้งสองก็วิ่งเข้าหาทะเล " Metamorphose Fusion ( เมตามอฟอส ฟิวชั่น ) " เสียงดังกังวานออกมาพร้อมกับแสงสว่างจ้าจาก dgh ลำแสงพลังงานสีขาวพวยพุ่งออกมาขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็วและแตกกระจายออกเป็นวงแหวนแสงขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งวงละอองแสงกระจายฟุ้งออกจากวงแหวนแสงขนาดไปทุกทิศทางวงแหวนแสงเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยวงแหวนแสงที่หมุนเร็วขึ้นรวมเอาละอองแสงที่กระจายออกมาในตอนแรกจนหมดและ แล้วลำแสงพลังขนาดใหญ่ก็ถูกยิงลงมาทั้งสองในลำแสงร่างของทั้งสองได้รวมกันเป็นหนึ่งร่างกายที่รวมกันของทั้งสองนั้นค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นลำแสงพลังงานก็สลายไปเหลือไว้แต่เรือนร่างของทั้งสองที่รวมกันเป็นหนึ่งยังคงส่องแสงเจิดจ้าและค่อยๆจางลง เผยให้เห็นร่างอัศวินมังกรสีขาวสะอาดปีกทั้งสองข้างที่สวยเหมือนดั่งปีกของพญาหงส์ตาสีแดงน่าเกรงขาม มือข้างขวาถือแท่งพลังงานแสงที่ยังคงส่องประกายเจิดจ้าอยู่สักพักมันก็ค่อยเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบสีทองที่มีแถบสีขาวพาดอัศวินมังกรตนนั้นสบัดปีกทั้งสองข้างเพื่อไล่ละอองพลังงานที่ยังติดอยู่ออกจากร่างจากนั้นก็ยกดาบขึ้นฟาดฟันเนกระบรวนท่าอันสวยงามน่าเกรงขาม บัดนี้ไลท์กับ Lr ได้รวมร่างกันเป็นอัศวินมังกรแห่งทาลิวิลย่า " แสงสีขาวที่ส่องประกายเจิดจ้าจะลบความกลัวแห่งปิศาจออกจากโลกใบนี้นามของข้าคือ ทาลูคูส ( Thalucus, the Dragoon of Thaliwilya ) " อัศวินมังกรเอ่ยขึ้นเสียงของอัศวินมังกรนั้นก็คือเสียงของไลท์กับ Lr ที่พูดพร้อมกัน (http://www.fotothing.com/photos/803/803efb05b6779febc0280211c10074ac.jpg) บัดนี้ Lr และไลท์ได้รวมกันเป็นหนึ่งทั้งกายและใจกลายเป็นอัศวินแห่งมังกรแสง ทาลูคูสบินตรงไปยังสัตว์ประหลาดที่จับตัวอควาไว้ ด้วยความรวดเร็วดังแสงเพียงชั่วอึดใจเดียว ทาลูคสู ก็อ้อมไปอยู่ข้างหลังเจ้าสัตว์ประหลาดและตั้งท่าเตรียมฟัน “ Lux et Dragos ” สิ้นเสียงดาบก็เปล่งแสงออกมาทาลูคูสฟาดคมดาบลงไปบนหลังของเจ้าสัตว์ประหลาดเต็มแรงเกิดแสงสว่างเจิดจ้ากระจายเป็นรูปปีก แห่งทูตสวรรค์สองปีกโบกสะบัดเหนือดาบเมื่อแสงที่เปล่งออกจากดาบจากลงปีกทั้งสองก็ฟาดซ้ำเข้าไปอีกเกิดแรงระเบิดอย่างแรงมือของเจ้าสัตว์ประหลาดปล่อยตัวอควาหล่นลงน้ำอควารีบว่ายเข้าฝั่งด้วยความกลัวอย่างสุดขีด “ เป็นอะไรมากไหมอควา ” เอิธท์ถามขณะวิ่งเข้าไปพาอควาเข้ามายังฝั่ง “ ไม่มากมั้งมีตาไม่เห็นรึไงโนจับตัวไว้แล้วก็กลัวจนตัวสั่นๆซะขนาดนั้นน่ะ ” ไฟร์ตอบประชด ขณะเดียวกันเจ้าสัตว์ประหลาดที่ถูกกระบรวนท่าของทาลูคูสเข้าไปแต่กลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนซ้ำร้ายดาบมาคายาเดียกลับมีรอยร้าว ซะเอง “ หะดาบ…ดาบของมาคายาเดีย ” เสียงของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นสภาพดาบของตนจึงตัดสินใจบินกลับไปยังหาดเพื่อไปสมทบกับทุกคน “ อควา เป็นยังไงบ้าง ” ทาลูคูสพูด “ ไม่เป็นไรหรอกเขาแค่กลัวจนเป็นลมเท่านั้นแหละเดี๋ยวก็ฟื้น ” เอิธท์พูดจบก็หันไปมองอควาที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัวอยู่ “ ยังไงซะตอนนี้ดาบก็ชำรุดแล้วคงต้องให้ดาบทำการฟื้นฟู Breack Fusion ” สิ้นเสียงร่างของทาลูคูสก็เกิดแสงสว่างเปล่งประกายรอบตัวและทั้งสองก็กลับมาเหมือนเดิม “ ทีนี้เราจะเอาไงกับมันดีล่ะ ” วิลพูด “ อือนั่นสินะเรายังไม่แน่ใจเลยว่ามันรึเปล่าที่พังบ้านทิโมธี ” Lr พูดขณะที่จ้องมองรูปร่างอันประหลาดของมันเสียงน้ำแตกกระจายดังขึ้น เสียงน้ำแตกกระจายดังขึ้นเจ้าอสูรกานกระโดขึ้นมาจากทะเลและเข้าจู่โจมทันทีมันพ่นสารละลายสีเขียวใส่พวก Lr แต่พวกเขาหลบทันสารนั่นตกใส่พื้นชายหาดเสียงละลายของทรายที่ถูกสารนั่นตกใส่ดังฉ่าเหมือนเอาเนื้อสัตว์ไปย่างบนเตาที่กำลังร้อนจัดควันพวยพุ่งออกมาจากสารนั้นและถูกลมทะเลพัดไปพวก Lr ยังคงจ้องอยู่ที่ทรายที่ยังละลายไปเรื่อยๆ “ ก็าซซซซซซซซซซ ” เสียงของเจ้าอสูรกายดังขึ้นทำให้พวกเขาสะดุ้งสติกลับคืนมาอยู่กับตัว “ สงสัยต้องสู้อย่างเดียวแล้วสิพวกนายพร้อมไหม ” Lr พูดลูกมังกรทั้งหมดก็มองหน้ากันและเหันกลับไปพยักหน้าให้ “ ดีล่ะ ถ้างั้น โล่แห่งความเข้มแข้งมิคาเอล(Michael, the Shield of Thaliwilya) จงมา ” Lr พูดเสียงกังวานไปทั่วทันใดนั้นที่หน้าอกของลูกมังกรทั้งหกก็มีแสงเปล่งออกมาเป็นสีและรูปตามสัญลักษณ์ธาตุ ต่างๆที่ตนสังกัดอยู่ทั้งหกธาตุ แสงค่อยสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆและพุ่งออกไปเป็นสายลำแสงและมารวมกันมือของ Lr เกิดเป็นโล่สีขาวที่ใจกลางมีพลอยสีน้ำเงินเป็นรูปคล้ายสัญลักษณ์แห่งแสงสลักอยู่ “ Weapon Fustion Metamorphose (เวพ่อน ฟิวชั่น เมตามอฟอส) ” พลอยนั้นค่อยๆส่องแสงออกมาสว่างขึ้นเรื่อยๆจนแสงนั้นห่อหุ้มตัว Lr เอาไว้จากนั้นแสงนั้นก็พุ่งแหวกเมฆขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วแตกออกเป็นวงแหวนแสงเช่นเดิมแต่เป็นยแสงสีเขียวลมบริเวณรอบๆเริ่มก่อตัวเป็นพายุหมุนพัดเอาทรายบนชายหาดปลิวขึ้นไปภายในนั้นโล่ที่ Lr ถืออยู่บัดนี้มันส่องประกายแสงเจดจ้า ประกายนั้นแตกออกเป็นหกส่วนและไปเรียงกันรอบตัวเขาแสงค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสัยลักษณ์ธาตุต่างๆอีกครั้งและหมุนรอบตัวเขาเร็วจนกลายเป็นวงแหวนแสงที่มีหีหลายหลายปะปนกันอยู่วงแหวนหมุนไปเรื่อย และหดตัวลงจนปะทะเข้ากับตัวเขาและแสงก็แตกกระจายออกห่อหุ้มตัวเขาอีกครั้งร่างของเขาค่อยๆขยายขึ้นสายลำแสงที่พุ่งขึ้นไปเริ่มดพูดเอาเมฆหมอกมารวมตัวกันและบีบอัดจนกลายเป็นชุดเกราะสีขาวลมพัดแรงขึ้นพวกลูกมังกรต้องพากันถอยออกห่างแต่เจ้าอสูรกายยังคงนิ่งเฉยไม่สะเทือนต่อเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแม้แต่น้อยชุดเกราะสีแตกตัวออกเป็นชิ้นส่วนเข้าไปสวมใส่ยัง Lr และเมื่อเขาสวมเสร็จลำแสงที่พุ่งขึ้นไปแตกกระจายออกเผยให้เห็นร่างของ Lr ที่กลายเป็นอัศวินมังกรทาลิวิลย่าเขาเอาแขนสองข้างมาประสานกันที่หน้าอกและสยายปีกสีขาวที่ปลายขนเป็นสีน้ำเงินขนาดใหญ่สวยงามดุจพญาเหี่ยวออกมากลุ่ม เมฆที่รวมตัวกันเมื่อครู่แยกออกจากแสงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบรูปร่างที่เพียวลมสีขาวส่องประกายเจิดจ้าสว่างไสวมวลแสงที่ยังคงเหลืออยู่รอบๆเริ่มรวมตัวกันไปที่มือของเเขาและกลายเป็นแท่งมือจับของโล่เขาจับเอาไว้แล้วสะบัดมันไปข้างหลังมวลแสงทมี่เกาะอยู่รอบหมุนวนเป็นพัดเรียงกันจนกลายเป็นโล่เช่นเดิมพายุที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นสายลมที่พัดอย่างอ่อนไหวดังเดิม “ นามของข้าคือ Thaliwilya (ทาลิวิลย่า)เจ้าสัตว์ร้ายเอ๋ยข้าจะจัดการเจ้าให้แหลกเป็นเถ้าถุลี Great of Dragon (ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) ” สิ้นเสียงตัวของเขาก็ส่องแสงขึ้นอีกครั้งและเขาก็เริ่มหมุนตัวเองเร็วจนกลายเป็นพายุและพุ่งออกไปขณะที่พุ่งออกไปพายุที่เเกิดจากหมุนของเขาเริ่มกลายเป็นมังกรพุ่งตรงไปยังร่างของเจ้าอสูรกายตัวนั้นและโดนเข้าไปหยั่งจังควันฟุ้ง ตลบอบอวลร่างของทาลิวิลย่ากระดดออกมาจากกลุ่มควัน (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n007/57.jpg) “ สำเร็จโดนเข้าไปขนาดนั้นไม่รอดแน่ ” ไฟร์พูดด้วยความดีใจแต่ก็ต้องกลับกลายเป็นความตกตะลึงเพราะเมื่อควันจางร่างของเจ้าอสูรกายกลับไม่มีแม้แต่รอยบาดแผลหนำว้ำมันยังคงยืนนิ่งไหวติ่ง “ ไม่จริงน่า ” อควาพูดด้วยความทึ่ง “ ทำไมหนังมันหนานักนะไอ้เจ้าตัวเนี้ย ” ทาลิวิลย่าพูดขึ้นเช่นกัน “ อย่างนี้ก็แย่ดิ ” ไฟร์พูด บัดนี้ทุกคนยังคงตกตะลึงอยู่แต่เจ้าอสูรกายนั่นก็วิ่งตรงมาหมายจะจัดการให้เสร็จสิ้นแต่ทาลวิลย่ายกดล่ขึ้นกันไว้เจ้าอสูรกายกัดเอาโล่ มิคาเอลไว้อย่างแรงมันทั้งสะบัดข่วนหมายจะทำลายให้สิ้น “ หนอยมันคิดจะพังโล่ของเรางั้นต้องอีกที ” ทาลิวิลย่าโจมตีเหมือนเดิมอีกครั้งคราวนี้เขาผลักมันตกทะเลลงไปได้และตามมันไปแต่ก็พลาดท่าถูกลากลงทะเลไปด้วย “ Lr ” ไลท์อุทานเสียงดัง “ เฮ้พวกนายเรามาแล้ว ” เสียงตะโกนที่คุ้นหูดังลงมาจากด้านบนเมื่อทุกคนมองขึ้นไปก็เห็นทิโมธีนั่งอยู่บนหลังของกริฟฟินเล็บแดง (Red Claw Griffin) โดยมีกาเทีย(เป็นชายผู้ควบคุมกริฟฟิน(Griffin tamer)ที่รู้จักกันกับพวก Lr ระหว่างการเดินทางและรู้จักกับทิโมธีด้วย)เป็นผู้ขับขี่แม่ทัพชาลว์และเกรเกอรี่เองก็ซ้อนท้ายอยู่ด้วยเช่นเมื่อกาเทียเอากริฟฟินเล็บแดงลงจอดทิโมธีก็กระโดลงมาแล้ววิ่งไปหาพวกลูกมังกรโดยมีกาเทีย ชาลว์ และเกรเกอรี่ตามมาติดๆ “ อ้าวแล้ว Lr ไปไหนล่ะ ” ทิโมธีถามพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจบริเวณรอบๆที่เละไปหมดจากการต่อสู้(ความจริงเละเพราะลอเรนส์แปลงร่างอะแหล่ะ) “ กีซซซซซซซซซซซซซซ ”( เขาถูกอสูรกายที่เราสงสัยว่าเป็นตัวที่ทำลายบ้านเจ้าลากลงทะเลไป ) วิลพูดแต่ทิโมธีฟังไม่ออกเพราะวิลพูดเป็นภาษามังกร “ จริงสิลืมไปต้องใช้เครื่องแปลภาษามังกรนี่นา ” ทิดมธีพูดพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบแท่งอะไรบางอย่างออกมาแล้วยื่นมันให้วิล “ Lr ไปไหนล่ะ ” ทิโมธีถามอีกครั้ง “ เขาถูกอสูรกายที่เราสงสัยว่าเป็นตัวที่ทำลายบ้านเจ้าลากลงทะเลไปแล้ว ” วิลพูด “ เอาล่ะรองเล่าท ั้งหมดมาซิหน้ามันเป็นยังไง ” เกรเกอรี่ถามทันทีที่เดินมาถึง พวกวิลจึงเล่าถึงหน้าตาและรูปร่างกับเรื่องราวทั้งหมด “ ถ้ายังงั้นก็ใช่แน่ๆเพราะข้ากำลังประดิษฐ์ประตูข้ามมิติอยู่เจ้านั่นคงเป็นอสูรกายที่หลุดออกมาจากอีกมิติ ประตูคงทำงานตอนข้าหลับแน่ๆ ” ทิโมธีพูดพร้อมกับเกาคางอยู่ด้วย “ งั้นก็หมายความว่าเจ้าสร้างประตูข้ามมิติอยู่แล้วระหว่างที่เจ้าหลับมันก็เข้ามายังมิตินี้และพังบ้านเจ้าแล้วพวก Lr ก็ตามาจัดการกับมันนี่ข้าพูดถูกหรือเปล่า ” เกรเกอรี่พูดพร้อมกับพยายามมเรียงลำดับเหตุการณ์ “ ก็ประมาณนั้นแหล่ะ ” ทิโมธีพูดเสียงน้อยใจพร้อมกับเอานิ้วชี้ชนกัน “ เอาเถอะเรามาช่วยกันคิดดีกว่าจะทำยังไงเพราะสัตว์ประหลาดนั่นมันฟันแทงไม่เข้าเลยนะ ” ไลท์พูดขัดขึ้นและทันใดนั้นทุกคนก้รู้สึกถึงแรงลมที่พัดไปที่ทะเลสักพักก็เกิดน้ำวนขึ้นในทะเล ทาลิวิลย่าบินขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับดล่มิคาเอลที่แตกร้าวและบินมาที่ชายหาด “ แฮ่กๆไม่ไหวสู้กับมันตั้งนานไม่มีทีท่าว่ามันจะพลังตกเลยแม้แต่น้อย ” ทาลิวิลย่าพูดด้วยความเหนื่อยหอบ “ แต่ข้ามีวิธี ” ทิโมธีพูดขัดขึ้น “ เอ๋เจ้ามีวิธีเหรอ ” เกรเกอรี่ถาม “ มีสิเจ้าอสูรกายตัวเนี้ยมันเป็นสัตว์ประหลาดต่างมิติเรียกว่าเอเลี่ยนข้าไปเจอในบันทึกลับของแวเลี่ยนเวสเล่( เป็นบันทึกเล่ามที่2ของเวสเล่ที่ดดยความจริงนั้นเวสเล่เขียนเล่มที่1แสร้จก็ข้ามไปเล่มที่3เลยแต่แท้จริงแล้วเขาเขียนเล่ม2ไว้ด้วยแต่มีคนมาขโมยมันไปและถูกเก็บไว้ที่วิหารแห่งหนึ่งหาอ่านได้ในบทที่มีชื่อว่าบันทึกลับแวเลี่ยน )ที่ Lr เอามาให้น่ะในนั้นมันมีวิธีสร้างประตูข้ามมิติอยู่ด้วยและยังเขียนถึงชาวต่างดาวอีกรวมถึงเจ้าเอเลี่ยนนี่ด้วยเอาล่ะเดี๋ยวนะข้าขอหยิบก่อน ” ทิโมธีพูดจบก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาหนังสือปกหนังสีเทาเล่มเก่าๆออกมาที่หน้าปกเขียนไว้ว่าบันทึกของแวเลี่ยนเขาเปิดหนังสือออกแล้วพลิกไปหน้าที่เข้าคั่นไว้ “ นี่แหล่ะๆเขาเขียนเอาไว้ตรงนี้ ” ทิโมธีชี้ไปยังหน้าที่รูปเจ้าอสูรกายที่สู้ด้วยเมื่อตะกี้ “ สัตว์ประหลาดอีกมิติของโลกเทอร่าเอเลี่ยนข้าได้เดินทางมายังอีกมิติหนึ่งชาวต่างดาวได้บอกเล่าถึงเกี่ยวมันเอาไว้และพาเราไปดูการปราบมันเจ้าเอเลี่ยนมันมีเกราะที่แข็งกว่าเหล็กกล้าและน้ำลายที่เป็นพิษมีฤทธิ์ละลายทุกอย่างได้แม้กระทั่งเหล็กกล้ายกเว้นตัวมันแต่ถึงข้างนอกจะแข็งแต่ข้างในมันอ่อนไหวมากวิธีการปราบจึง แค่โจมตีเข้าไปด้านของมัน ” ทิโมธีอ่านจบก็ปิดหนังสือ “ งั้นก็หมายความว่าต้องโจมตีจากข้างในเหรอ ” วิลพูด “ ให้เอาคลื่นพลังทำลายป้อนมันงั้นเหรอยากซะล่ะต่อให้เอาแขนไปไว้ในปากมันก็กัดจนขาดแถมยังมีสารละลายอีกต่าง ” ทาลิวิลย่าพูด “ แต่สารละลายนั่นข้ารู้แล้วว่ามันคืออะไรวิธีแก้ก็คือ…….. ” เสียงของเอิธท์และทิโมธีดังขึ้นพร้อมกันทั้งคู่จึงหยุดพูดแล้วมองหน้ากัน “ เอ้ารีบบอกมาซิมันจะมาแล้วนะ ” ดาร์คพูดด้วยความรีบเร่งเพราะเจ้าอสูรนั่นเดินขึ้นมาแล้วและกำลังตรงมาทางพวกเขา “ ข้าจะไปต้านไปไว้ก่อน ” ชาลว์พูดจบก็ไม่รีรอวิ่งไปประจันหน้ากับเจ้าอสูรกาย “ เอ้าเร็วๆเข้า ” ไลท์พูด “ มันคือกรดที่มีฤทธิ์รุนแรงมากเป็นพิเศษแต่ดูเหมือนมันจะไม่ถูกับน้ำทะเลนะเพราะเมื่อกี้ฉันเห็นสารที่มันทิ้งไว้เป็นทางที่เราตามรอยมันมาไว้บนหาดนี้พอถูกน้ำทะเลก็ละลายหายไปเลย ” เอิธท์พูดอย่างเร่งรีบ “ ถูกต้องในบันทึกเขียนไว้อย่างนั้นและอีกเดี๋ยวทินทอนคงมาพร้อมกับอาวุธที่จะปราบมัน ” ทิโมธีพูดจบก็มีเสียงร้องของกริฟฟินอีกตัวดังจากข้างบนเช่นเดิมทินทอนกับลูกน้องของกาเทียมาถึงพร้อมกับเครื่องมือประหลาดๆที่เหมือนกับปืนใหญ่ขนาดกลางมีถังที่เก็บพลังงานเอาไว้ด้านข้างสองถังทินทอนนำมันมามอบให้กับทิโมธี “ นี่คือปืนพลังงานแรงสูงที่ใช้กับมันได้$เอาแขนของเจ้ามาสิ ” ทิโมธีพูดจบทาลิวิลย่าก็ยื่นแขนมาให้ทิโมธีประกอบปืนพลังงานเข้ากับแขนของทาลิวิลย่า “ เอาเลยเอาปืนนี่กรอกปากมันเลย ” ทิดมธีพูดจบทาลิวิลย่าก็ออกไปสมทบกับชาลว์ที่กำลังเพียงพล้ำอยู่ “ หนอยทำไมมันแข็งงี้นะ ” ชาลว์พูดพร้อมกับยกดาบฟาดด้วยความเร็วแต่แรงดาบก็สะท้อนกลับใส่ตัวเขาแต่เจ้าเอเลี่ยนถูกลำแสงพลังงานที่ทาลิวิลย่ายิงพุ่งเข้าใส่กระแทกจนปลิวตกทะเลไปชาลว์หันไปยังต้นต่อของแสงควันพวยพุ่งมาจากปืนที่ติดอยู่กับทาลิวิลย่า “ ท่านชาลว์ช่วยหลอกล่อให้มันอ้าปากจะกัดท่านหน่อยได้ไมหมตอนนั้นข้าจะเอาปืนนี่กรอกปากมัน ” ทาลิวิลย่าพูดชาลว์ก็ผงกหัวรับและวิ่งไปยังเจ้าเอเลี่ยนและใช้ท่วงท่ากับความเร็วหรอกล่อมันเมื่อเจ้าเอเลี่ยนอ้าปากจะกัดชาลว์ทาลิวิลย่าก็พุ่งด้วยความเร็วเต้มที่อ้อมไปที่ปากของมันแล้วเอาปืนกรอกปากมันและยิงเต็มแรงร่างของเจ้าเอเลี่ยนแหลกเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าผ่า “ เฮ้อจบกันซะที ” ทาลิวิลย่าพูดพร้อมกับปลดอาวุธออกและคลายพลังกลับเป็นL r ตามเดิม หลังจากนั้นทั้งหมดจึงพากันกลับไปบูรณะบ้านของทโมธีใหม่และทุกคนก็เริ่มออกเดินทางไปตามเส้นทางของแต่ละคนพวก Lr ก็ออกเดินทางตามหา dvd ดั่งเดิมทิโมธีก็กลับไปค้นคว้าวิจัยต่อ เกรเกอรี่ก็กลับบริหารกองกำลังต่อต้านให้พร้อมกับสถานการฉุกเฉินชาลว์กลับไปหารักแท้ ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม แต่ที่ทะเลไข่ใบหนึ่งได้ถูกฟักทิ้งไว้และมันได้ฟักออกมาลูกของเอเลี่ยนมันเกิดขึ้นมาพร้อมที่จะอาละวาดอีกได้ทุกเมื่อ….. THE END Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) Post by: greamon on September 14, 2008, 06:35:24 PM Legeand of the thaliwilya special valentine day
ตอน ช็อกโกแลตมังกร วาเลนไทร์แห่งรักครั้งแรกของ ลอเลนส์ ณ ทวีปคาดาร่า เมือง ทีนวาแลน วันที่ 13 เดือน Andrew ปี พ.ศ. xxx ใจกลางตลาดสดของเมือนทีนวาแลน มีเด็กผมทองคนหนึ่งกำลังเดินอยู่กับกลุ่มมังกรน้อนหกตัวได้แก่ พาลานัลคา(Palanalcar, the Baby Dragon)มังกรขาว นิลเฮอร์(Nilhir,the Baby Dragon) มังกรพสุธา นิทินโค(Niltinco,the Baby Dragon) มังกรเพลิง เฟินร์กอลโล(Firngollo,the Baby Dragon) มังกรวารี ดิมมินิลู(Dimminuial,the Baby Dragon) มังกรวาโย และนอพฮอฟ(Novhoth,the Baby Dragon) มังกรดำ พวกเขาเดินผ่าผู้คนมากมายบนท้องถนน จนไปถึงยังสวนที่อยู่ถัดจากตลาด เด็กชายกับลูกมังกรทั้งหกต่างก็ถอนหายใจพร้อมกัน สายตาของผู้คนในเมืองจับจ้องมายังพวกเขาอย่างไม่ขาดสาย หาได้เป็นเพราะเขาอยู่กับพวกลูกมังกรไม่ หากแต่เป็นหอบของที่พวกเขาหอบเอามาด้วยนั้นเอง “ เฮ้อทำไมมันเยอะยังเงี้ย Lr ” ลูกมังกรลมนามวิลพูดพร้อมกับค่อยๆวางถุงของหอบใหญ่สามถุงที่เขาแบกมาลงกับพื้น “ เอาเถอะน่าเราสัญญากับเธอไว้แล้วนี่ ” เด็กชายที่มีนามว่า Lr (ลอเลนส์)ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบพร้อมกับเอามือปาดเหงื่อออกจากใบหน้า “ แล้วนี่เธอคนนั้นน่ะไปไหนซะแล้วล่ะ ” ลูกมังขาวนามไลท์เอ่ยขึ้นลอยๆ “ เอาเถอะรอเธอหน่อยละกัน ” Lr ตอบพร้อมกับค่อยๆคิดทบทวนเรื่องเมื่อเช้า ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางเข้ามาในเมืองนี้นั้น “ วันนี้เขามีอะไรกันนะทำไมผู้คนถึงออกมาซื้อของกันเต็มไปหมดเลยนะ ” Lr พูดระหว่างที่มองไปรอบๆภาพของผู้คนที่กำลังจับจ่ายซื้อของกันอย่างพลุกพล่านแล้ว จู่เค้าก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมากระแทกตัวเขาจนเสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้น “ อ….เอ่อข..ข..ขอโทษค่ะ ” ผู้ที่ชนร่างของเขาจนล้มกล่าวขอโทษและช่วยพยุงตัวเขาขึ้นร่างของผู้ที่มาชนเค้านั้นเป็นเด็กผู้หญิง มีผมสีแดงอมน้ำตาล ตาสีฟ้าเป็นประกาย แก้มแดงเพราะความเขินอาย ก้มหัวขอโทษเขาอยู่ ความรู้สึกอันร้อนลุ่มหลั่งไหลเข้ามาใน ร่างของเขาความร้อนในร่างกายพุ่งไปรวมอยู่ที่ใบหน้าของเขา “ ไม่เป็นไรหรอก ” Lr พูดพร้อมกับปลอบโยนเด็กน้อย “กรี้ดดดดดดดด “ เสียงกรีดร้องผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดกลางตลาดควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับชาวเมืองที่ได้รับผลกระทบ จากแรงระเบิด นอนสลบกระจัดกระจายตามพื้น “ มันอะไรกันน่ะ ” เด็กสาวอุทานด้วยความกลัว “ นี่มันหรือว่าจะ….. ” Lr พูดยังไม่ทันที่จะจบประโยคเขาก็ถูกคลื่นลมพายุสีดำพัดลอยไปเหลือไว้แต่พวกลูกมังกรเท่านั้น ที่ยังอยู่กับเด็กสาว “ Lr ถูกพัดกระเด็นไปไหนแล้วน่ะ ” ไลท์พูด “ อย่างน้อยตอนนี้พวกแกก็ แปลงเป็นทาลิวิลย่าไม่ได้แล้วสินะถ้าเด็กนั้นไม่อยู่ ” เสียงดังออกมาจากกลุ่มควัน เป็นเสียงที่เยือกเย็น เข้าไปจนถึงกระดูก และยังเป็นเสียงที่พวกเขาคุ้นเคย “ แกแบล็คไวเซอร์สินะ ” มังกรดำนามดาร์คพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น ทันทีที่กลุ่มควันสีดำที่เกิดจากการระเบิดจางลงก็เผยให้เห็นชายที่อยู่ในชุดผ้าคลุมดำลอยอยู่เหนือพื้นกับหญิงสาวผู้งดงาม ที่มีผมสีดำยาวสลวยแต่ทว่า ร่างกายท่อนร่างนั้นกลับเป็นสัตว์ป่ามีหางที่ยาวที่ปลายคล้ายหัวลูกศร “ จะแนะนำให้รู้จักนะนี่คือลูกสมุนของข้าชื่อของนาง คือซัคคิวบัท (Succubus) ” ชายนามแบล็คไวเซอร์กล่าว “ งั้นไอ้ที่ระเบิดเมื่อกี้มันก็คือ ซีลบอล สินะแสดงว่าไอ้นี่มันก็ต้องเป็นสัตว์อสูร ” มังกรพสุธานามเอิธท์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงคิดพิเคราะห์ “ งั้นถึงไม่ต้องเป็นทาลิวิลย่าพวกเราก็กำจัดได้สบายๆเลย รีบจัดการมันแล้วไปตาม Lr กลับดีกว่า ” มังกรเพลิงนามไฟร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และแล้วลูกมังกรทั้งหมดก็เริ่มโจมตี “ Light Flame ” สิ้นเสียงเปลวเพลิงสีขาวก็พุ่งออกจากปากของไลท์ “ Gaia Breat ” สิ้นเสียง เอิธท์ก็ลงไปที่พื้นแล้วเอามือกดลงกับพื้นทันใดนั้นก็เกิดแสงสีน้ำตาลอ่อนๆพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินที่เอิธท์ เอามือกดลงไปและแล้วก็มีคลื่นพลังบางอย่างไปตามพื้นดินเข้าโจมตี ซัคคิวบัท “ Flame Breat ” สิ้นเสียง ไอความร้อนก็มารวมอยู่ที่ปากของไฟร์ก่อนที่เปลวไฟจะถูกพ่นออกมา “ Blue Bubble ” สิ้นเสียง ฟองสีฟ้าจำนวนมากก็ถูกปล่อยออกมาจากปากของมังกรน้ำนาม อควา “ Flying Flame ” สิ้นเสียงก็มีลมพายุเกิดขนาดเล็กเกิดขึ้นจากการกระพือปีกอย่างเร็วของลูกมังกรลมนามวิล ก่อนจะถูกซัดเข้าใส่ศัตรู “ Dark Flame ” สิ้นเสียงเปลวเพลิงสีดำก็ออกมาจากปากของดาร์ค การโจมตีของลูกมังกรทั้งหมดพุ่งไปที่ซัคคิวบิท แต่ทว่านางกลับหลบการโจมตีของเหล่ามังกรน้อยได้อย่างรวดเร็ว “ อะไรกันหลบได้หมดเลยเหรอเนี่ย ” ไฟร์อุทาน “ ท่าจะไม่ดีซะแล้วสิต้องให้ใครสักคนไปตาม Lr มาแต่จะไปมากก็ไม่ได้ด้วยไม่งัน้จะต้านพวกมันเอาไว้ไม่ได้ ” เอิธท์ด้วยความกระวนกระวายใจ “ งั้นฉันไปเองฉันบินเร็วที่สุดในกลุ่มพวกเราเพราะฉนั้นถ้าฉันไปน่าจะหาได้เร็วขึ้น ” วิลกล่าวแล้วหันไปรอคำตอบจากทุกคน “ ก็จริงอยู่ถ้านายไปแต่เมืองนี้มันกว้างมากเลยนะแล้วอีกอย่างเราพึ่งมาเมืองนี้ได้ไม่นานนะเดี๋ยวจะหลงเอา ” ไลท์พูดขึ้นระหว่างที่ตนยังโจมตีเพื่อสกัดซัคคิวบัทกับแบล็คไวเซอร์ไว้ “ งั้นให้ฉันไปด้วยละกันนะ ” เสียงดังมาจากด้านหลังของพวกเขาทำให้ทุกคนหันไปมอง เด็กสาวที่วิ่งชน Lr จนล้มนั่นเอง “ ฉันรู้จักเส้นทางในเมืองนี้ดีฉันน่าจะช่วยตามหาเพื่อนพวกเธอได้ ” เด็กสาวกล่าว ลูกมังกรจึงหันกลับไปปรึกษากันต่อ “ คกลงเธอขึ้นมาบนหลังฉันเลย ” วิลกล่าวจบเด็กน้อยคนนั้นก็ปีนขึ้นไปบนหลังเขาแล้วทั้งสองก็ออกไปตามหา Lr “ หนอยอย่าให้มันไปได้ตามมันไป ดราก้อนเนโคแมนเซอร์(ต่อไปย่อเป็น dn ) ” แบล็คไวเซอร์ออกคำสั่งจบ ก็มีเงาสีดำห้าเงาไล่ตามพื้นไป “ ไม่ให้ผ่านไปหรอกน่ะ ” ไลท์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่พร้อนกับพ่นเพลิวขาวออกไปอีกครั้งเพลิงขาวพุ่งใส่พื้นเงาดำสลายไปถึงสามเงาด้วยกัน แต่อีกสองหนีไปได้ ทั้งสองบินไปยังทิศทางที่ Lr ถูกซัดกระเด็นไป เช่นกันเงาดำก็ตามทั้งสองไปจนทัน วิลมองลงไปข้างล่าง แล้วกัดฟันกรอด “ ชิมันตามมาเหรอเนี่ยงั้นเราก็ต้องรีบแล้วล่ะ ” วิลพูดจบสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปตอนนี้คสามงุนงงเข้ามาในหัวเขา “ จะว่าไปแล้วเธอฟังภาษามังกรออกได้ไงอ่ะ ” วิลถามด้วยสีหน้าฉงนพร้อมกับมองหน้าของเด็กสาว “ คือว่า….อ็ะนั่นไง ” เด็กสาวชี้มือิลงไปเมื่อวิลหันไปก็เห็นL r กำลังโบกมืออยู่ “ เจอแล้วอยู่นี่เองเอาล่ะจับให้แน่นๆนะเราจะลงไปกันแล้ว ” วิลบอกเด็กสาวที่ขี่หลังเขาอยู่แล้วพวกเขาก็ค่อยๆลดระดับลงสู่พื้น เมื่อทั้งสองลงถึงพื้นแล้ว Lr ก็ตรงเข้าไปหาทั้งสอง “ อ้าวเธอเด็กคนนั้นนี่ ” Lr พูดสีหน้างุนงงเล็กน้อย “ เธอมาได้ยังไงน่ะ ” Lr ถามเด็กน้อย “ คือว่าพวกเขาบอกว่าจะออกตามหาพี่น่ะค่ะหนูก็เลยอาสาช่วย ” เด็กน้อยน้ำเสียงอ้ำอึ้ง “ แล้วเธอฟังพวกเขารู้เรื่องด้วยเหรอ ” Lr ถามอีกครั้ง “ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเฮอะพวกนั้นมันตามมาทันแล้วนะ ” วิลพูดจบเงาที่ไล่ตามพวกเขามาก็พุ่งออกมาจากพื้นลงมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาเงานั้นเป็นชายสามคนที่ อยู่ในชุดสีดำพร้อมกับวงแหวนที่ใช้ควบคุมซากมังกรหรือใช้สร้างมังกรเวทย์ก็ได้เช่นกัน “ เชอะพวกปลายอย่างพวกดราก้อนเนโครเนี่ยนะใช้เวลาไม่มากหรอกพร้อมนะวิล ” Lr พูดจบกระพริบตาเป็นสัญญาณให้กับวิล “ พร้อมมาตั้งนานแล้ว ” วิลตอบกลับ ว่าแล้ว Lr ก็ยกมือข้างที่ใส่ดราก้อนฮอลลี่ขึ้นมาแต่ทว่ามันกลับไม่อยู่ซะแล้ว “ อ็ะดราก้อนฮอลลี่ไม่อยู่หายไปไหนน่ะ ” Lr พูดน้ำเสียงแฝงความกังวลอย่างเห็นได้ชัดทั้งสองจึงช่วยกันหาอย่างกระวนกระวายขณะเดียวกันพวก dn ก็กำลงเดินใกล้เข้ามา “ เอ่อกำลังหาไอ้นี่อยู่หรือเปล่าคะ ” เด็กสาวคนนั้นก็ยื่นเครื่องที่มีสายคาดซึ่งสลักเป็นมังกรสีทองที่พวกเขาเรียกว่าดราก้อนฮอลลี่(ต่อไปย่อเป็น dgh ) “ อ็า นั่นแหล่ะ นั่นแหล่ะ ” ทั้งสองคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียวแล้ววิ่งเข้าหาเด็กสาวคนนั้นทำให้เธอตกใจจนเผลอโยน dgh ออกไป ทางที่พวกdn อยู่ “ ท…ทะ..ทำอะไรน่ะหา ” วิลพูดพร้อมกับทำสีหน้าน่ากลัวจนเธอตกใจ “ ว้าย ข..ข..ขอโทษค่ะ ” เด็กสาวกล่าวขอโทษด้วยความกลัว “ ฮึบ ได้แล้วถ้าพวกแกไม่มีไอ้นี่พวกแกแปลงร่างไม่ได้แล้วสินะ ” dn คนหนึ่งที่รับเอา dgh ไว้ได้พูดด้วยความรื่นเริงใจ “ เป็นเพราะฉันแท้ๆเลยเป็นเพราะฉันพวกมันถึง ” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจต่อการกระทำ น้ำตาของเธอพยายามจะเล็ดลอดออกมา “ ไม่เป็นไรหรอกเธอไม่ผิดหรอกนะถึงพวกมันจะได้ของนั่นไปแต่แค่เธอไม่เป็นอะไรก็พอแล้วล่ะ ” Lr ปลอบเด็กสาว “ เอาล่ะวิลเราไปเอามันคืนเถอะ ” Lr พูดพร้อมกับหันไปสบตาวิล “ งั้นก็เล่นมันเลยย้าก ” วิลพูดจบทั่วทั้งบริเวณนั้นก็มีลมพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง “ ก็าซซซซซซซซ ” เสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมกันที่ใจกลางตลาดบัดนีร้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนคลึ้มไปทั่วทั้งท้องฟ้า “ เปรี้ยงงงงงงงงงงง ” เสียงฟ้าร้องดังผสมกับระเบิดที่ในเมือง “ หึๆๆป่านนี้เจ้านั่นคงถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้วมั้ง ” แบล็คไวเซอร์กล่าวจบก็หัวเราะชอบใจในชัยชนะของตน พร้อมกับมองลงไปมองพวกลูกมังกร5ตัวที่ กำลังนอนสลบไสลเพราะอาการบาดเจ็บ “ เอาล่ะซัคคิวบัทเก็บพวกมันซะ ” แบล็คไวเซอร์สั่งจบนางปีศาจก็พุ่งเข้าใส่หมายจะปลิดชีพลูกมังกรทั้งหมด “ Ventus et Dragos ” เสียงดังมาจากฟากฟ้าพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาตัดหน้านางปีศาจจนนางชะงักนางมอง ขึ้นไปข้างบนหยาดน้ำฝนตกลงมาโปรยปราย พร้อมกับการปรากฏร่างของอัศวินมังกรเทพที่มีเด็กสาวเกาะหลังอยู่ นามทาเวนทอส(Thaventos, the Dragoon of Thaliwilya) (http://www.fotothing.com/thumbs/14a/14a8e6fcf5681c58985d020200f3571f.jpg) “ ตราบใดที่ความกลัวยังปกคลุมท้องฟ้าข้าจะเป็นดังสายลมที่จะพัดพากลัวให้หายไปและนำความหวังมาแทนนามของข้าทาเวนทอส ” ทาเวนทอสค่อยๆบินลงมาพร้อมกับสายลมที่เปลี่ยนทิศอย่างกะทันหันจนรวมกันกลายเป็นพายุพัดขึ้นไปสลายเมฆฝนจนหมดไป “ ปัดโธ่วึ้ย มันแปลงร่างสำเร็จจนได้แต่ช่างเถอะแกจะสมุนที่เก่งที่สุดของได้รึเปล่าหึๆมาลองดูกันหน่อยเป็นไง ” แบล็คไวเซอร์ทาเวนทอส “ ยังไงซะเจ้านั่นมันก็แค่ดาร์คซีลเท่านั้นเองไม่น่าจะเก่งอะไรนักหนานี่ เอาเถอะถึงยังไงแกก็ท้ามาแล้วงั้นข้ารับคำท้าก็ได้ ” ทาเวนทอสพูดอย่างมั่นใจแต่แท้จริงภายในใจยังมีความกระวนกระวายใจอยู่ลึกๆ “ เก็บมันซะ ซัคคิวบัท ” แบล็คไวเซอร์ออกคำสั่งนางปีศาจก็พุ่งตรงขึ้นไปแล้วเงื้อกงเล็บหมายจะฟันให้ทาเวนทอสขาดสองท่อนแต่เขาก็ยกดาบขึ้นมาป้อง กันได้ทัน ดาบสีฟ้าตัดขาวของทาเวนทอสเริ่มเปล่งแสงสีเขียวทันใดนั้นนางปีศาจก็ถูกลมพัดไปและลมบริเวณข้างล่างก็เปลี่ยนทิศกะทันหันอีกครั้ง สายลมที่แปรปรวนรอบๆตัวของทาเวนทอสซึ่งพัดนางปีศาจไปเมื่อครู่ก็พัด หมุนพุ่งไปกักนางปีศาจเอาไว้กลางอากาศและสายลมที่อยู่บริเวณด้านของนางซึ่งแปรปรวนอยู่เมื่อครู่ก็พัดเป็นพายุหมุนตัดกับลมหมุนที่กักนางไว้สายลมทั้งสองทางหยุดพัด แต่ไปรวมกันที่ตัวนางปีศาจ จนนางลอยคว้างอยู่กลางอากาศและลมตรง่สวนนั้นยังคงพัดอยู่ สายลมได้แปรปรวนและเปลี่ยนทิศได้ดั่งใจของทาเวนทอสเสมือนเขาควบคุมสายลมได้ “ สายลมเป็นสาวกของข้า ข้าสามารถควบคุมมันได้ดังใจการที่เจ้ามาสู้ในเขตที่ลมพัด อยู่ตลอดเช่นนี้ก็ถือเป็นความผิดผลาดอย่างแรกของเจ้าแล้ว ” ทาเวนทอสพูดด้วยความมั่นใจ “ หึๆๆคิดหรือว่าแค่พื้นที่เกื้อหนุนเจ้ามัจะทำให้เจ้าชนะน่ะ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวเสียงนัยน์ตาแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ และยิ้มอย่างมีเลศนัย “ ยังจะปากดีอีกนะงั้นข้าจะจัดการทำลายความมั่นใจของเจ้าซะ ” ทาเวนทอสพูดจบก็เริ่มกวัดแกว่งดาบหมุนจนเป็นวงกลม ลมรอบๆตัวทาเวนทอสก็มารวมตัวกันที่วงรัศมีการแกว่งดาบ “ Great of Dragon ”(ความยิ่งใหญ่แห่งมังกร) สิ้นเสียง ทาเวนทอสก็ตวัดดาบปล่อยคลื่นพลังที่สะสมไว้ออกไปที่นางปีศาจซึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ คลื่นพลังค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างเป็นมังกรพลังงานสีเขียวพุ่งเข้าไประเบิดที่ตัวนางปีศาจ และทันทีที่คลื่นพลังกระจายหายจนหมดร่างของนางปีศาจก็ไม่อยู่แล้ว “ สำเร็จจัดการได้แล้ว ” ไฟร์พูดด้วยความดีใจในชัยชนะ “ ไม่ ยังหรอกมันแปลกๆนะไม่เห็นมีควันสีดำที่จะต้องออกมาหลังจากทำลายดาร์คซีลได้เลยนี่ ” เอิธท์แย้งขึ้นมา ภายในใจของเขาว้าวุ่นไปหมด "การที่แบล็คไวเซอร์มั่นใจขนาดนั้นมันจะต้องมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่” เอิธท์คิดในใจ “ ไงล่ะสมุนของแกโดนกำจัดไปแล้วนะ ” ทาเวนทอสพูด “ งั้นรึเดี๋ยวแกก็รู้ว่าใครกันแน่ที่จะหัวเราะได้ดังกว่ากันหึๆๆ ” แบล็คไวเซอร์พูดอย่างมีเลศนัยทำให้ทาเวนทอสเริ่มสงสัย “ Icy Sphere ” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านล่างพร้อมกับแท่งน้ำแข็งแหลมจำนวนมากพุ่งมาปักที่ปีกทาเวนทอส “ อ็ากกกก ” ทาเวนทอสร้องด้วยความเจ็บปวดปีกที่ถูกแหลมน้ำแข็งปักกลายเป็นน้ำแข็งในทันทีทำให้เขาต้องสยายปีกอีกข้างออกมา แทงอีกข้างที่ถูกแช่แข็งไว้ “ อควานายทำอะไรน่ะหะ ” ทาเวนทอสพูดขณะหันไปหา อควา จู่ๆก็มีเปลวเพลิงพุ่งเข้ามาใส่ตัวเขาทาเวนทอสจึงล่วงลงมากระแทกพื้นอย่างแรง “ My desire ” เสียงดังมาจากข้างหลังพวกลูกมังกร “ เสียงนี้มันเป็นไปไม่ได้ก็ข้าทำลายแกแล้วนี่ ” ทาเวนทอสพูดน้ำเสียงไม่มั่นคง และแล้วสายตาของก็ต้องเห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อนางปีศาจกำลังล่อลวงเพื่อนๆ ของเขาให้ตกอยู่ในพวัง “ ฮ่าๆๆ แล้วดูสิทีนี้แกจะกล้าทำร้ายเพื่อนแกเองมั้ยหึๆๆอยากจะหัวเราะให้ตายเลยคิดรึว่านางน่ะเป็นดาร์คซีลธรรมดาๆน่ะนางเป็นสมุนมือขวาของข้าเชียวนะ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวจบก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา “ ไม่ใช่ดาร์คซีลแต่เป็นสมุนมือขวาเรอะถึงว่าทำไมมันเก่งอย่างงี้ ” ทาเวนทอสพูด “ จะประมาทมันไม่ได้ซะแล้วล่ะ Lr ” เสียงของวิลดังขึ้นในหัวของทาเวนทอส “ อื้อแต่จะทำยังไงถึงจช่วยพวกเราได้ล่ะ ” เสียงของ Lr ก็ดังขึ้นในหัวเช่นกัน ทั้งสองกำลังสนทนากันภายในตัวทาเวนทอส “ จัดการมันซะ ” แบล็คไวเซอร์ออกคำสั่งอีกครั้ง นางปีศาจสั่งให้ลูกมังทั้งห้าเข้าโจมตีทาเวนทอส การโจมตีของทุกคนพุ่งเข้าไปโดนทาเวนทอสอย่างจัง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส “ พ..พวกเราอย่ายอมให้มันควบคุมจิตใจได้ส..สิ ” ทาเวนทอสพูดจบล้มสลบลงไป “ หึๆๆฮ่าๆๆๆ ในที่สุดข้าก็ชนะข้ารอวันนี้มานานแสนนานและแล้วมันก็สำเร็จ ในที่สุดข้าก็ชนะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆจะมาพลิกผลันได้อีก ” แบล็คไวเซอร์พูดจบก็สั่งให้นางซัคคิวบัทจัดการขั้นสุดท้าย “ ได้ค่ะท่านข้าจะเก็บเสี้ยนหนามของท่านซะ ” นางพูดจบก็ตรงเข้าโจมตีอีกครั้งแต่แล้ว ก็มีแสงสีขาวพุ่งตัดหน้านางไปและพาตัวทาเวนทอสหลบไปยั่งอีฝั่งถนน “ ค..ใครน่ะ ” นางปีศาจพูดด้วยควานร้อนรน แสงนั้นกลายเป็นชายสวมหน้ามังกรสีขาวซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวเช่นกัน “ นามข้าเมทาไนท์ ” ชายยามเมทาไนท์ได้ปรากฏตัวขึ้นและรีรอที่จะโจมตีเขาชักดาบออกจากฝักดาบแล้วเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว “ อ็าาาาาา ” นางปีศาจกรีดร้องอย่างโหยหวนก่อนจะขาดแตกกระจายเป็นชิ้นๆแล้วสลายกลายเป็นควันไป “ หนอยแกบังอาจทำลายสมุนของข้าตายซะเถอะ ” แบล็คไวเซอร์พูดจบก็ร่ายโจมตีทันทีเพลิงสีดำพุ่งอกจากคฑามุ่งตรง มายังเมทาไนท์แต่ทว่า เขากลับเอาตัดเปลวเพลิงเวทย์จนสลายสิ้น “ เอาล่ะต่อไปตาเจ้าแล้วสินะ ” เมทาไนท์พูดจบก็กระโดขึ้นไปฟันแบล็คไวเซอร์ทว่าแบล็คไวเซอร์ก็ได้จางหายราวกับควัน “ ชิหนีไปได้รึ ” เมทาไนร์พูด จบก็ขบกรามด้วยความโกรธ “ ฮ่าๆๆแล้วข้าจะกลับมาเอาคืนวันหลังวันนี้ฝากไว้ก่อนเถอะ ” เสียงของแบล็คไวเซอร์ดังมาจากทิศใดทิศหนึ่ง “ ข้าต้องไปแล้วฝากเจ้าดูแลเขาด้วยนะเด็กน้อย ” เมทาไนร์หันไปพูกับเด็กสาวที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้เป็นคนเดียวกับที่ไปตามหา Lr เม ื่อครู่ แล้วจึงจากไปอย่างไร้ล่องลอย …………………… ………………………… “ อ..อ..อาเกิดอะไรขึ้นเนี่ยจำได้ว่าเราถูกมันเล่นงานแล้วหลังจากนั้นเราหมดสติไปนี่นา ” Lr พูดขึ้นหลังจากฟื้นจากอาการบาดเจ็บเขาก็พบว่าตนนอน สลบอยู่ในสวนกลางเมืองตอนนี้ผู้กลับไปจับจ่ายซื้อ ของกันตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขามองไปรอบๆก็ไม่พบร่องรอยของเพื่อนมังกรของเขาเลย “ อ้าวฟื้นแล้วเหรอคะ ” น้ำเสียงที่สดใสดังหยาดน้ำค้างตกกระทบผิวน้ำดังมาจากข้างหลัง Lr เมื่อเขาหันไป ก็พบเจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวมีผมสีแดงอมน้ำตาลตาสีฟ้าเป็นประกายพร้อมกับเพื่อนมังกรของเขา ที่แบกของมากมายเต็มไปหมด “ เอ้อพวกนายหอบอะไรมาเยอะแยะเลยน่ะ ” Lr ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ ก็าซซซซซซซซซซซ ” (ตอนนายสลบพวกเราออกไปช่วยเธอซื้อของน่ะ) ไฟร์พูดผ่านห่อถุงของมากมายที่กองอยู่บนแขนทั้งสองของเค้า สีหน้าของ Lr แสดงความประหลาด ใจอยู่นิดแต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเพราะต่างก็ง่วนอยู่กับของที่แบกอยู่ “ จริงสิหลังจากที่ฉันสลบไปเกิดอะไรขึ้นเหรอ ” Lr ถามต่ออย่างสนอกสนใจ “ กีซซซซซซซซซซซซซซซ ” (เธอคนนี้บอกว่าเมทาไนท์เป็นคนมาช่วยเอาไว้น่ะ) วิลพูดผ่านหอบของเช่นเดียวกันกับไฟร์ “ อะจริงด้วยสิตอนที่พี่สลบไปหนูยืมของของพี่ไว้ด้วยค่ะ ” เด็กสาวเอามือลงไปควานหาของบางอย่างจากกระเป๋าหิ้วที่ทำจากผ้า แล้วเอา dgh(ดราก้อนฮอลลี่)ออกมาแล้วส่งให้ Lr “ นี่ ค่ะ ” เด็กสาวยื่นdghให้ Lr มือของเธอจับมือของ Lr และส่ง dgh ใส่มือไปความรู้สึกที่ถูกมือที่แสนจะนุ่นนวลจับ สร้างความอบอุ่นจนถึงขนาดร้อนหน้าของทั้งสองแดงก่ำขึ้นมาทันทีด้วยความเขินอายตาของทั้งสอง ส่งสายตาจ้องกันไม่หยุดเหมือนว่าเวลาจะหยุดอยู่ตรงนั้นใจของทั้งสองเต้นแรงเร็วและดังขึ้นเรื่อย ความรู้สึกนี้ได้แผ่ซาบซ่านไปทั่วหัวใจของทั้งสอง “ ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ ” Lr คิดในใจ “ เขาจ้องตาเราด้วยเราเองก็เหมือนกันรู้สึกแปลกๆจัง ” เด็กสาวคิดในใจเช่นกัน ทั้งสองจ้องกันอยู่ชั่วครู่ใบหน้าของทั้งสองเริ่มขยับเข้าใกล้กัน หัวใจของทั้งสองเต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้นศรรักของกามเทพได้พุ่ง ปักอกของทั้งสองแล้ว ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะแตะกันไลท์ก็ทำห่อของตกลงกับพื้นทำให้ทั้งสอง หลุดจากผวังแห่งรัก ทั้งสองถึงได้รู้ว่าพวกตนยังจับมือกันอย่างแน่นเช่นเดิมไม่ เปลี่ยนทั้งสองจึงถอยออกห่างจากกันแล้วก็ไปช่วยกันเก็บของที่หกกระจาย ออกจากห่อของที่ไลท์ถืออยู่ “ โทษทีนะลืมไปเลยวางของไว้ตรงนี้ก็แล้วกันนะ ” เด็กสาวชี้ไปยังรถเข็นของเธอ พวกไลท์ก็รีบยกของไปไว้ที่รถเข็นจนเต็ม Lr ก็ลุกขึ้นไปช่วยยกของด้วยเช่นกัน “ ขอบคุณนะคะที่ช่วยไปซื้อของให้น่ะค่ะเดี๋ยวยังต้องไปซื้ออีกรอบด้วยแค่นี้ไม่พอทำช็อกโกแล็ตหรอกนะ ” เด็กสาวพูดพลางเข็นรถเข็นไป “ เอองั้นพวกฉันจะไปช่วยเธอซื้อด้วยละกันนะถือเป็นการตอบแทนที่ช่วยฉันไว้ก็ละกันนะ ” Lr พูดแล้วก็หันไปขอคำตอบจากเพื่อนทกคนก็ตกลงจะไปช่วยเธอซื้อของ “ ขอบคุณนะคะจริงสืฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อเทีย(tear) ” เด็กสาวแนะนำตัวแล้วก็มอบกระเป๋าถือของเธอให้ Lr ก่อนจะเข็นรถออกไป “ เดี๋ยวฉันเอาของไปเก็บที่ร้านก่อนนะคะในกระเป๋ามีเงินกับรายการของอยู่นะคะฝากด้วยนะ ” เด็กสาวพูดจบเธอก็เข็นรถหายไป แล้วพวกเขาก็ออกไปซื้อของตามรายการจนครบแล้วกลับมารอเธอ อยู่ที่สวนเวลาตอนนี้ตกเย็นแล้ว แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องไปทั่ว Lr มองdghอีกครั้งแล้วถอนหายใจ ถึงตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าทำไมเธอถึงฟังคำพูดพวกลูกมังกรออกเพราะdghอยู่กับเธอเกือบจะตลอด แต่ที่เขายังสงสัยอยู่เรื่องเดียวคือทำไม dgh ถึงตอบสนองต่อเธอและแปลความหมายของภาษามังกรให้ฟัง เสียงเอี้ยดอ้าดของล้อรถเข็นดังแว่วมาจากด้านหลัง เมื่อเขาหันกลับไปก็พบว่าเด็กสาวเข็นรถกลับมาแล้ว “ กีซซซซซซซซ ” (มาซักทีรอนานแล้วนะ) อควาบ่นอุบอิบแต่ถึงอย่างไรเธอก็ฟังไม่ออกอยู่ดีเพราะ dgh ไม่ได้อยู่กับเธอ “ อะนี่ของเธอฝากซื้อกับกระเป๋าเงินตรวจด้วยสิว่าของครบหรือ ” Lr พูดกับส่งกระเป๋าถือกับของวางบนรถเข้นจนเต็มอีกครั้งแล้วเธอก็ก้มลงเปิดห่อเช็คความเรียบร้อย “ อือผงโก้โก้ 5 ถุง น้ำตาล 4 ถุงอือออออ…ครบค่ะ ” เด็กสาวเช็กของเรียบร้อยก็ห่อของกลับเข้าที่ “ เอ่อคือว่านี่ก็เย็นมากแล้วไปพักที่บ้านฉันก็ได้นะคะแม่ฉันท่านขอฉันชวนพวกคุณไปพักน่ะ ” เด็กสาวเอ่ยชวน Lr หันกลับไปปรึกษากับลูกมังกร “ เอาไงดีล่ะนี่เย็นมากแล้วนะถ้าจะหาที่พักก็คงไม่ทันแล้วล่ะ ” ไฟร์พูด “ งั้นก็พักที่บ้านเธอก็ได้นี่เธออุตส่าชวนแล้วแท้ๆ ” อควาพูดทุกคนก็เห็นด้วยเช่นกัน Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) Post by: greamon on September 14, 2008, 06:35:38 PM “ งั้นตกลงตามนี้นะ ”
Lr พูดจบก็หันไปพูดเด็กสาว “ ตกลงเราจะไปพักที่บ้านเธอคืนหนึ่งก็แล้วกัน ” Lr บอกเด็กสาว “ งั้นตามฉันมาเลยค่ะ ” เด็กสาวเข็นรถออกเดินนำทางไปไปบ้านของเธอ เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าทะลุก้อนเมฆขึ้นไปมีปราสาทลอยฟ้าซึ่งมีวงแหวนที่สลักอักขระเอาไว้หมุนรอบฐาน จึงทำให้ปราสาทลอยอยู่ได้ภายในห้องโถงใหญ่ของปราสาทแบล็กไวเซอร์และ 12 เทพขุนศึกอีกหกคนกับหัวหน้าของ องค์กรโฮลี่ไนท์แมร์กำลังประชุมกันอยู่ “ พลาดอีกจนได้นะแบล็กไวเซอร์ ” เสียงของหญิงสาวที่แววตาแฝงไปด้วยความมาดร้ายดาบสีเงินคลิบทองที่มีออร่าพลังเวทย์ปกคลุมอยู่ เล่มใหญ่ อยู่ในมือของนางพูดขึ้น “ เฮอะลูคเรเทียเจ้าพูดยังกับว่าเจ้าเคยทำอะไรได้ดีนักแหละ ” แบล็คไวเซอร์พูดขณะหันไปมองนางด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ หนอยคิดจะหาเรื่องรึไง ” ลูคเรเทียพูดด้วยความเกรี้ยวกราด (http://www.fotothing.com/photos/795/795f0561545c1b7a9b3d143185c86399.jpg) “ เฮอะเจ้ามันก็ดีแต่ฝึกพลังเวทย์ทั้งวันไม่เห็นจะแสดงฝีมืออะไรเลย ” แบล็คไวเซอร์พูดด้วยวาจาเย้ยหยัน “ หึยังน้อยเวลาข้าปฏิบัติงานก็ไม่เคยล้มเหลวเหมือนเจ้าหรอกน่า ” ลูคเรเทียกำดาบในมือแน่นขึ้นด้วยความโกรทจนสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ” เสียงของผู้เป็นหัวหน้าดังออกมาจากเงามืดที่ล้อมรอบบัลลังเอาไว้ “ ขออภัยด้วยขอรับ ” แบล็คไวเซอร์กล่าวด้วยความเกรงกลัวลูคเรเทียเองก็เช่นกันย่อเข่ากล่าวขออภัยต่อผู้เป็นหัวหน้า “ เฮอะแตกคอกันอยู่เรื่อยเพราะยังงี้ล่ะมั้งถึงได้เสียท่าให้แก่พวกมันตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่รู้ ” เสียงของผู้เป็นหัวหน้าดังขึ้นทั้งห้องโถงตกอยู่ในความตึงเครียด “ งานเจ้ารับหน้าที่ไปละลูคเรเทีย ” ผู้เป็นหัวหน้าออกคำสั่ง “ ค่ะโปรดวางใจจอมดาบเวมย์มนต์ผู้นี้ได้เลยข้าจะไม่ให้ผิดผลาดเด็ดขาด ” ลูคเรเทียพูดด้วยความมั่นใจแล้วก็เดินออกไป ที่บ้านของเทีย “ โอ้โหบ้านเธอเป็นร้านขายช็อกโกแล็ตเหรอเนี่ย ” Lr พูดด้วยความทึ่ง “ เทียบ้านเธอเป็นร้านทำขนมเหรอ ” Lr สายตาสอดส่องมองไปทั่วร้านซึ่งมีขนมปัง ลูกกวาด และขนมหวาน มากมายวางเรียงอยู่บนชั้นวางขนม “ โอ้โหเพียบเลยแหะน่ากินทั้งนั้น ” ไฟร์กลืนน้ำลายเสียงดังด้วยความอยากกิน “ อ้าวเทียกลับมาแล้วเหรอแล้วนั่นใครน่ะ ” ผู้หญิงดูมีอายุพอสมควรเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ แล้วตรงไปหาเทีย “ เอ่อผมชื่อ Lr คับส่วนนี่ก็ลูกๆมังกรทั้งหลายนี่เป็นเพื่อนผมเอง ” Lr แนะนำตัว “ แม่คะพี่คนนี้แหละค่ะที่หนูบอก ” เทียตอบเสียงใสหญิงที่เทียเรียกว่าแม่เข้าใจทันทีจึงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองไปยังพวก Lr ด้วยสายตาที่เป็นมิตร “ พวกเธอสินะที่ช่วยลูกฉันจ่ายตลาดขอบใจมากนะจ้ะ ” แม่ของเทียพูดน้ำเสียงนุ่มนวลและอบอุ่น ทำให้พวก Lr ยิ้มออก “ เอาล่ะนี่เย็นมากแล้วอาหารก็เตรียมเรียบร้อยพวกเธอก็เข้ามาทานด้วยกันสิไม่งั้นป้าไม่ยอนนะจ้ะ ” แม่ของเทียพูดทีเล่นทีจริงทำให้ Lr และพักพวกรวมถึงเทียเองก็ยังอดหัวเราะไม่ได้ พวก Lr ตามเทียเข้าไปในห้องครัวด้านหลังร้าน ภายในห้องมีเครื่องครัวมากมายเตาอบขนมขนาดใหญ่ซึ่งไฟในเตาดับไปแล้ว กองฟืนที่กองอยู่ข้างๆเตามีไม่มากนัก กลางห้องมีโต็ะขนาดย่อมตั้งอยู่บนโต็ะมีนก เนเดีย (Naedia) ย่างวางอยู่บนจานส่งกลิ่นหอมเย้ายวนข้างๆมีหม้อซุปใบโตวางอยู่ที่ด้านหนึ่งของโต็ะมีชายที่มีอายุพอๆกับแม่ของเทีย นั่งอยู่ที่เก้าอี้เขาลุกขึ้นทันทีที่เห็นเทียเดินเข้ามา “ อ้าวเทียกลับมาแล้วเหรอลูกวันนี้เป็นไงบ้างไหนล่ะคนที่ช่วยลูกจ่ายตลาดลูกพาเค้ามาด้วยรึเปล่า ” พ่อของเทียถาม “ เขาอยู่นั่นไงคะพ่อ ” เทียตอบแล้วก็ชี้ไปยังพวก Lr “ โอ้เชิญๆเข้ามานั่งด้วยกันสิขอบใจมากนะที่ไปช่วยเทียจ่ายตลาดปกติเทียไม่จ่ายตลาดเสร็จเร็วขนาดนี้แน่ต้องขอบใจพวกเธอจริงๆ ” พ่อของเทียพูดจบก็เชิญพวก Lr และลูกมังกรทานอาหารค่ำ ที่ใจกลางเมืองผู้คนที่ยังจับจ่ายซื้อของสำหรับวันเทศกาลวาเลนไทน์ ยังเดินกันพลุกพล่านเสียงพูดคุยต่อรองราคา ดังเซ่งแซ่ไปทั่ว ที่มุมมืดของสวนสาธารณะมีเงาของคนกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ซ่อนอยู๋ แสงจันท์ลอดเล็ดผ่านพุ่มไม้เข้ามายังที่ซ่อนของพวกเธอ เผยให้เห็นร่างของหญิงทีริมฝีปากของเธออิ่มเอิบเหมือนสาววัยแรกรุ่น ที่มือขวาของเธอกำดาบสีเงินคลิบทอง ส่องประกายระยิบยับเมื่อต้องแสงจันทร์ สัตว์ประหลาดกายสีดำสลับแดงขนาดยักษ์บนหลังมันมีหนอกขนาดย่อม งอกออกมาและที่ไหล่ของมันทั้งสองข้างเช่นกันมันพ่น ลมหายใจที่ เต็มไปด้วยไอพิษที่หากเพียงได้สูดดมเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็มี สิทธิตายได้ทันที กงเล็บของมันกางยึดติดกับพื้นยืนอยู่ข้างกายของเธอ มันคือ เทอเรียน ที่เกิดในดินแดนที่มีแต่ควันไอพิษพวยพุ่งออกมามากมาย นามของมันคือท็อคซิคเทอเรี่ยน(Toxic Therion) “ ไปกันเถอะ ไวด์(wild) เราไปแสดงพลังที่แท้จริงของ 12 เทพขุนศึกกันเถอะ ” หญิงสาวพูดกับสัตว์ประหลาดที่เธอเรียกว่าไวด์มันคำรามเบาๆเป็นสัญญาณ ว่าพร้อม ทันทีที่เงาของทั้งสองร่างออกจากพุ่มไม้ก็เกิดแสงสว่างเรืองรองของ เปลวเพลิงที่เกิดจากแรงระเบิดทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิงในที่สุด ที่บ้านของเทีย พวก Lr กำลังฟังตำนานและที่มาของเทศกาลนี้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเล็กๆอยู่กับพ่อของเทีย ส่วนเทียกับแม่นั้นอยู่ในครัวช่วยกันทำช็อกโกแลตสำหรับวันพรุ่งนี้ “ ไงจ้ะเทียชอบเขาใช่มั้ยล่ะ ” แม่ของเทียเอ่ยขณะที่เห็นเทียเอาแต่จ้อง Lr ไม่วางตา “ ค..คุณแม่อย่าล้อเล่นกันสิคะหนูอายนะคะ ” เทียรีบพูดแก้ตัวเป็นการใหญ่หน้าของเทียแดงร้อนเพราะความเขินอาย แม่ของเทียเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิกคักพร้อมกับหันไปทำช็อกโกแลตต่อ “ เอ่อคือว่า ” เทียเอ่ยขึ้นทำให้แม่ของเธอหยุดมือแล้วหันไปพูดกับเธอ “ มีอะไรจ้ะ ” แม่ของเทียพูด เมื่อเทียจะพูดก็หยุดชะงักไปกลางคันเหมือนจะตัดสินใจว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมพูด “ คือว่าหนูอยากทำอะไรให้เค้าเป็นการตอบแทนหน่อยน่ะค่ะ ” เทียพูดด้วยความเขินอาย ที่ในเมืองตอนนี้สว่างไสวราวกับกลางวัน จากแสงของเปลวเพลิง เงาของสัตว์ประหลาดและเงาของหญิงสาวที่ลากดาบเล่มใหญ่ มีลายอักขระสักอยู่บนดาบไถไปกับพื้น หน้าเงยขึ้นมองไปยัง ร้านทำขนมที่อยู่นอกเมืองร่างของทั้งสองเดินตรงไปยังที่นั่น “ นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ ” Lr พูดขึ้นแววตาแฝงไปด้วย งง งวย “ หรือว่าแบล็กไวเซอร์มันกลับมาอีก ” ไฟร์พูดขึ้น “ ดูนั่นสิเงาใครกำลังตรงมาทางนี้น่ะ ” วิลพูด มือชี้ไปยังเงาทั้งสองร่างที่กำลังตรงมา “ อาจเป็นพวกมันให้พวกเทียเข้าไปหลบก่อนฉันจะไปกับเอิธท์ที่เหลือ เฝ้าพวกเทียไว้ ไปกันเถอะเอิธท์ ” Lr พูดจบก็หันไปหาเอิธท์พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้ตามมา เอิธท์เดินเข้าไปใกล้ Lr “ พร้อมนะ ” Lr พูดขณะที่มองไปยัง เอิธท์ “ อืม พร้อม ” ทั้งสองมองหน้ากันซักครู่แสงสีน้ำตาลก็ส่องประกายออกมาจากดราก้อนฮอลลี่ แสงนั้นซักพักก็รวมตัวกันกลายเป็นเสาลำแสงสีน้ำตาล พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นวงแหวนสีน้ำตาลขนาดใหญ่หมุนเร็วขึ้นเรื่อยดูดเอา ละอองพลังงานที่เกิดจากการพุ่งขึ้นมาและยิงส่งลงไปยังร่างของทั้งสอง ร่างของทั้งสองหลอมรวมกันเป็นหนึ่งในลำแสงนั้น พื้นดินบริเวณรอบก่อตัวขึ้นครอบร่างนั้นไว้และหยุดนิ่งไป ซักพักก้อนดินก็ระเบิดแตกออก เผยให้เห็นร่างของอัศวินมังกรกายสีน้ำตาลเข้ม หางที่ยาวสะบัดไปมาในมือข้างขวาถือดาบมาคายาเดีย ที่เปลี่ยนรูปจนกลายเป็นดาบโค้งงอมือซ้ายถือโล่กะโหลกมังกร ทั้งสองกลายร่างเป็น ทาโซรอส (Thasolos, The Dragoon of Thaliwilya) “ เมื่อความกลัวเข้าปิดหนทางพลังแห่งปัญญาจักส่องนำทางสู่แสงสว่าง ทาโซรอส ” เสียงของทาโซรอสประกาศก้อง “ เข้าไปหลบในบ้านก่อน ” ทาโซรอสพูดจบทุกคนก็เข้าไปในบ้านเหลือเพียงทาโซรอสเท่านั้น “ Solum et Dragos ” สิ้นคำทาโซรอสก็เอาดาบฟาดกับพื้นจนแตกเป็นรอยแยก ทันใดนั้นกำแพงศิลาก็ปรากฏขึ้นตามรอยแยกปกคลุมบ้านเอาไว้ “ เอาล่ะคงช่วยกันไว้ได้บ้าง ” ทาโซรอสเอ่ยขึ้น (http://www.fotothing.com/thumbs/795/795f0561545c1b7a9b3d143185c86399.jpg) “ หึๆๆ คิดรึว่ากำแพงแค่นี้จะหยุดข้าได้น่ะกระจอกมาก Thunder Sphere ” ลูคเรเทียพูดด้วยน้ำเสียงยโสก่อนจะรวบรวมกระแสไฟฟ้าจากอากาศ โดยรอบจนกลายเป็นบอลพลังงานไฟฟ้าขว้างใส่กำแพงที่ป้องกันบ้านไว้ จนกำแพงระเบิดถล่มลงไปที่บ้านแต่ทาโซรอสก็กระโดด ไปรับไว้ได้ “ อึบเกือบไม่ทัน ” ทาโซรอสพูดเสียงหอบด้วยความหนักจากกำแพงศิลาที่ตนสร้างขึ้น “ ท…ทำไมมันหนักยังงี้ล่ะ ” ทาโซรอสพูดจบก็มองขึ้นไปจึงไดเห็นสาเหตุที่ทำให้หินหนักมากเกินจริง บนเศษกำแพงที่ทาโซรอสแบกไว้ มีสัตว์ประหลาดกายสีดำขนาดยักษ์ ขึ้นไปอยู่บนนั้นทำให้น้ำหนักของมันบวกกับเศษกำแพงหนักมากขึ้น “ หึๆๆ หนักมากล่ะซี่ ” ลูคเรเทียพูดเสียงแหลม “ หนอยถึงว่ามันหนักอยู่ลงไป!!! ” ทาโซรอสพูดจบก็โยนเศษศิลาทิ้งลงไปทำให้ เจ้าสัตว์ประหลาดสีดำ ตกลงไปกระแทกกับพื้นจนสลบ “ ไวด์ ” ลูคเรเทียร้องเสียงหลงรีบวิ่งไปยังร่างของสัตว์ประหลาดที่เธอเรียกว่าไวด์ “ ไวด์ !! ไวด์ !! ” ลูคเรเทียเขย่าร่างของไวด์เพื่อให้ตื่นแต่ไวด์ก็ยังคงสลบแน่นิ่งใต้กองเศษหิน ที่ทับร่างของมันอยู่ “ หนอยยยยย แกบังอาจทำร้ายไวด์เรอะตายซะเถอะ ย้ากกกกกกกกกก! ” ลูคเรเทียพูดจบก็ชักดาบขนาดใหญ่ออกมาฟันฉับลงไปที่ร่างของทาโซรอสแต่ ทาโซรอสก็เอาโล่รับไว้ทัน “ เชอะโล่กะโหลกมังกรของเจ้าทานพลังดาบของข้าไม่ได้หรอก Thunder Impulse ” ลูเรเทียพูดจบดาบของเธอก็มีประกายไฟฟ้าแลบขึ้นมาสักพัก ก็มีแสงจ้าออกมาจากดาบร่างทาโซรอสกระเด็นไปไกลจากบ้านของเทียมาก “ อ้ากกกกกกกก ” ทาโซรอสร้องด้วยความเจ็บปวดขณะกระเด็นออกมาจากแรง ปะทะรอบๆร่างกายมีประกายไฟฟ้าวิ่งอยู่รอบๆก่อนจะกระแทกกับพื้น อย่างแรง โล่กะโหลกมังกรมีรอยแตกร้าวเพียงเล็กน้อย “ คอยดูเถอะในเมื่อแกทำร้ายของรักของข้า ข้าก็จะทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุด ของแกคอยดู ” ลูเรเทียพูดจบก็รวบรวมพลังงานไฟฟ้ามาไว้ที่มือแล้วขว้างใส่บ้าน ของเทีย “ เหวอรีบหนีเร็วบ้านจะพังลงมาแล้ว ” ไฟร์ตะโกนไล่ทุกคนออกจากบ้าน เมื่อทุกคนออกมาได้หมด บ้านก็พังทลายลงพอดี “ เฮ้อเกือบไปอยู่กันรบใช่มั้ย ” วิลพูดแล้วหันไปนับจนครบทุกคนและตอนที่กำลังจะหาตัวทาโซรอสก็มีแสง พุ่งตกลงมาพร้อมกับเสียงระเบิด ร่างของทุกคน กระเด็นกระดอนไปกันคนละทิศคนละทาง “ อะไรกันเนี่ย ” อควาบ่นอย่างรำคาญแต่แล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวของเขาลอยขึ้นจากพื้น “ หวาอะไรกันเนี่ย ” อควาร้องเสียงหลงเมื่อหันกลับไปมองก็ได้เห็นว่าลูคเรเทียนั่นเองที่จับตัวเขาขึ้นมา “ ช่วยด้วย ” อคาร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีใครเข้าไปเลยเพราะกลัวว่าหากเข้า ไปอควาอาจจะได้รับอันตราย “ ทาโซรอสหากแกไม่อยากเห็นเพื่อนของแกถูกบีบจนเละล่ะก็จงส่ง ดราก้อนฮอลลี่มาซะ ” ลูคเรเทียยื่นข้อเสนอให้ “ หนอยยยยย แกอย่า… อึก ” ทาโซรอสล้มขุกเข่าลงกับพื้นหลังจากที่ยืนขึ้นมา ร่างของเขาชาไปหมดไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที “ นี่มันอะไรกัน ” ทาโซรอสพูด “ คงจะโดนเข้าไปแล้วสินะท่าที่แกโดนไปตะกี้น่ะคือการโจมตีด้วยไฟฟ้าที่รุนแรงที่สุด กล้ามเนื้อของแกก็โดนไฟฟ้าของโจมตีเข้าไปโดยตรงน่ะสิ ” ลูคเรเทียพูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสะใจขึ้นมา “ เอาไงล่ะระหว่างเพื่อนของแกกับดราก้อนฮอลลี่แกจะเลือกอะไร ” ลูคเรเทียพูดน้ำเสียงยโส “ อึกอัก ” ทาโซรอสพยายามจะลุกขึ้นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์เลยร่างกายของเค้า ชาไปหมดตาของเขาเริ่มพร่าลง “ อควา ” ทาโซรอสพูดออกมาอย่างลำบากแล้ปักดาบลงไปบนพื้นมือกำดาบนั่นก่อนจะล้มลงไป “ Lr ” อควาร้องเสียงหลงเมื่อเห็นทาโซรอสฟุบลงไป “ เชอะสลบไปแล้วเรอะก็ดี ” ลูคเรเทียเดินตรงเข้าไปยังทาโซรอสที่สลบทั้งมือกำดาบอยู่ “ เอาล่ะวาระสุดท้ายของแกแล้วตายซะเถอะย้าก ” ลูเรเทียเงื้อดาบขึ้นและขณะที่จะฟันลงไปมือของทาโซรอส ก็พลักขาของลูเรเทียล้มลงมือปล่อยอควาเป็นอิสระไป “ อ..อะไรกันก็แกขยับไปได้นี่นา ” ลูคเรเทียพูดด้วยความงงงวย พร้อมกับที่ทาโซรอสลุกขึ้นมาเอาดาบ จิ้มที่คอของหล่อน “ จะบอกให้เอาบุญ ตอนที่ฉันสลบลงไปน่ะฉันได้เอาดาบลงไปที่พื้นด้วยไง ” ทาโซรอสพูดเสียงเรียบ เมื่อลูคเรเทียได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันที “ หรือว่าแกใช้ดาบของแกแทนสายดินพลังไฟฟ้าที่ยังตกข้างอยู่จนหมดน่ะ ” ลูคเรเทียพูด “ ถูกต้องเลยแล้วก็นะฝากไปบอกท่านผู้นั้นด้วยนะว่าอีกไม่นานฉนจะตามไปจัดการกับแกแน่ ” ทาโซรอสพูดจบก็ชักดาบกลับแล้วหันหลังให้ “ เชอะไอ้หน้าโง่ …ไวด์ ” ลูคเรเทียออกคำสั่งกับเจ้าท็อกซิกเทอเลี่ยนทันใดนั้นเทียที่อยู่ใกล้ๆกันก็ถูกไวด์ คาบมาและกระโดดเข้าใส่ทาโซรอส “ เทีย!!! ” ทาโซรอสตะโกนพร้อมกับกระโดดเข้าฟันไวด์จนล้มลงและช่วยเทีย ไว้ได้ “ ไม่เป็นไรนะ ” ทาโซรอสถามเทียพยักหน้ารับ “ ตายซะเถอะย้ากกกกกกก ” ลูคเรเทียพูดจบก็ฟาดดาบลงกับพื้นทันทีที่ดาบฟาดถึงพื้นสายฟ้าพุ่งลงมายังจุดที่ดาบฟาดไป และเคลื่อนตัวอย่างเร็วไปหาทาโซรอส “ ระวังค่ะ ” เทียพูดจบก็ปัดมือทาโซรอสออกและเอาตัวเข้ารับสายฟ้าแทนแสงสว่างจ้าไปทั่ว “ เทียยยยยยยยยยยย!!!! ” ทาโซรอสตะโกนเรียกเทียจนสุดเสียง เมื่อแสงจ้าร่างของก็ตกลงกับพื้น “ เทีย ” พ่อแม่ของเทียร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ เทียไม่เป็นไรนะพูดกับฉันซิเทียๆ ” ทาโซรอสเขย่าร่างของเทียที่ร่างของเธอมีรอยไหม้ตามจุดที่ต่างๆ อย่างแรงในใจหวังลึกๆว่าเธอจะฟื้นขึ้นมา เทียค่อยๆลืมตาขึ้น “ เทีย ” ทาโซรอสพูดน้ำเสียงแฝงความดีใจไว้เล็กน้อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที “ พี่คะหนุคงไม่รอดแล้วล่ะค่ะ ” เทียพูดเสียงสั่นๆ “ อะไรกันเทียอย่าพูดอย่างนั้นสิเธอต้องไม่ตายนะเทีย ” ทาโซรอสพูดน้ำเสียงสั่นคลอน้ำตาคลอเบ้า “ พี่คะก่อนจากกันฉันมีเรื่องจะบอกให้พี่รู้นะคะ ” เทียพูด “ ไม่ต้องพูดแล้วเทียอย่าพึ่งพูดตอนนี้เลยไม่งั้นเธออาจตายนะ ” ทาโซรอสส่ายหัวเบาๆหยดน้ำตาค่อยๆไหลจากหน้าของทาโซรอส หยดลงบนใบหน้าของเทีย “ ไม่ได้หรอกค่ะฉันต้องพูดเดี๋ยวนี้ไม่งั้นฉันอาจไม่มีโอกาสอีก ” เทียพูดน้ำเสียงเริ่มเบาลงชีพจรของเธอเริ่มอ่อนลง “ เทีย…. ” ทาโซรอสกล่าวคำพูดที่เหลือที่เขาจะพูดถูกกลืนลงไปหมด “ ฉันรักพี่…ค..ค่ะ ” เทีนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบกระซิบก่อน จะหมดลมหายใจไปในอ้อมกอดของทาโซรอส “ ไม่นะเทียเธอต้องไปตายนะ ไม่ ” ทาโซรอสตะโกนเสียงดังใจเขาเหมือนจะแตกสลายไปในทันที น้ำตาเริ่มไหลพรากออกมา “ เอ้าเสียใจพอรึยังล่ะงั้นข้าจะบุกต่อล่ะนะ ” ลูคเรเทียตั้งท่าเตรียมจะร่ายเวทย์อีกครั้งแต่ทว่าเธอก็ต้องชะงัก ไปเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากตัวทาโซรอส “ อ..อะไรกันจิตสังหารที่รุนแรงขนาดนี้มันมาจากไหนหันหรือว่า ” ลูคเรเทียพูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวความกลัวเริ่มคลืบคลานเข้าสู่หัวใจเธอ เมื่อทาโซรอสลุกขึ้นอุ้มร่างไร้วิญญาณของเทียขึ้นมาหันกลับไปสายตา ของทาโซรอสเปลี่ยนไปจากตอนแรกดูหน้าเกรงขามขึ้นมาทันที ทำเอาลูคเรเทียถึงกับผงะถอยหลังไปท็อกซิกเทอร์เลี่ยน ของเธอก็ไปหลบอยู่ข้างหลังดูไม่ต่างกับลูกแมวน้อยดีๆนี่เอง “ Lr เป็นอะไรไปน่ะ ” เสียงของเอิธดังขึ้นในใจของทาโซรอส “ มัน มันบังอาจฆ่าเทียของฉันมันต้องตาย ” เสียงของ Lr ดังขึ้นในใจของทาโซรอสสักพักก็มีออร่าสีดำพุ่งออกมาจากร่าง ของทาโซรอสออร่านั่นเข้าครอบคลุมร่างของทาโซรอสจนดำสนิท สักพักร่างของเอิธก็กระเด็นออกมาไฟร์บินไปรับไว้ได้ “ เอิธนี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ ” ไฟร์ถาม “ แย่ล่ะสิไอ้นั่นมันกำลังจะออกมาอีกแล้วล่ะคงเพราะความเสียใจของ Lr ที่ เทียต้องตายแน่ๆเลย ” เอิธพูดเสียงสั่น “ ไอ้นั่นน่ะเหรอแย่แน่ๆล่ะเอาไงดีล่ะเนี่ย ” ไฟร์พูดในใจมีแต่ความว้าวุ่นไปหมด “ เหมือนตอนนั้นเลย ” วิลพูด “ ตอนนั้นน่ะเหรอ ” ดาร์คพูด “ ใช่มันกำลังจะออกมาแล้วพลังด้านมืดที่ดราก้อนฮอลลี่ได้รับจะแปรเปลี่ยน มันเป็นโซลแห่งความอาฆาต ” วิลพูดเสียงสั่นด้วยความกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ตอนนี้ร่างของทาโซรอสเริ่มเปลี่ยนแปลงไปออร่าสีดำ ค่อยๆเปล่งออกมามากขึ้นและกลายเป็นแสงสีดำพุ่งขึนไปบนท้องฟ้า กลุ่มเมฆยามค่ำคืนค่อยๆหมุนวนและแล้วแสงสีดำก็ถูกยิงลงมา อย่างแรงเสียงดังลั่นราวกับฟ้าผ่า “ ก็าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ ” เสียงคำรามแหลมจนน่ากลัวราวกับปีศาจดังขึ้น แสงที่ถูกยิงลงมาค่อยๆจางลงที่เบื้องล่างกลุ่มควันสีดำได้สลายลง เผยให้เห็นอัศวินมังกรร่างดำสนิทตาสีแดงเขี้ยวที่โง้งลงมา ราวกับดาบเกราะที่ใส่อยู่ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเกราะกระดูกมังกรสีดำ ดาบมาคายาเดียที่ถืออยู่ได้สูบกินหมอกสีดำเข้าไปเปล่งออร่าสีดำ ออกมารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆและกลายสภาพเป็นดาบยาวคล้ายๆดาบของพวกซามูไร “ มาแล้วทูตสวรรค์แห่งความตายอัศวินมังกรแห่งความกลัว Thaliwilya Muramasa Soul(ต่อไปย่อเป็นTms) ” วิลพูด ขณะที่ทุกคนยืนตะลึงอยู่นั้นที่ต้นสนต้นใหญ่ใกล้ๆต้นนึง มีร่างของอัศวินในเกราะสีขาวผ้าคลุมขาวของเค้าปลิวพลิ้วไปตามลมฝนเริ่มตกลงมา ลมแรงขึ้นๆเรื่อยๆอัศวินคนนั้นกำลังเฝ้ามองมายัง พวกเขา “ แย่ล่ะสิถูกความกลัวเข้าครอบงำซะแล้ว ” อัศวินคนนั้นก็กระโจนลงไป เมทาไนท์น่ะเองที่จับตามองพวกเขาอยู่ “ อะไรกันเนี่ยอัศวินมังกรนี่มันอะไรกัน ” ลูคเรเทียพูดไวด์ส่งเสียงครางหงิงๆอยู่ข้างหลังเธอ “ ชื่อของข้าคือมุรามาซะโซล ” Tms พูดจบก็สะบัดดาบออกไปคลื่นสีดำรูปเสี้ยวจันทร์พุ่งระเบิดใส่ ลูคเรเทียอย่างแรงจนกระเด็นไป “ อักหนอยวันนี่แค่นี้ก่อนไปเร็วไวด์ ” ลูคเรเทียพูดจบก็ขึ้นไปขี่บนหลังของไวด์และกำลังจะหนีไป แต่ทว่า Tms ก็รวบรวมออร่าสีดำไปไว้ที่หลังและค่อยๆกลายเป็นปีกสีดำคล้ายปีกค้างคาวขนาดใหญ่บินตามมือซ้ายยังคงอุ้มเทียไปแล้วเงื้อดาบฟันใส่ลูคเรเทีย แต่เธอก็เอาดาบรับไว้ได้ “ ก..แกทำไมถึง ” ลูคเรเทียพูดเสียงสั่นสีหน้าแสดงถึงความกลัวสุดขีด Tms ก็ค่อยๆเอาร่างของเทีย ยื่นเข้าไปใกล้ลูคเรเทียขยับหนีด้วยความกลัวสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ เพราะแกฆ่าเธอยังไงล่ะ ” Tms พูดน้ำเสียงเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งทำเอาลูคเรเทียถึงกับผวาแทบจะเป็นลม อยู่ตรงนั้น “ หมดเวลาเล่นซะที Fear of Testament ” Tms พูดจบออร่าสีดำก็ครอบงำ ในใจของเธอตอนนี้มีแต่ความรู้สึกหวาดกลัว อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเธอกรีดร้องเหมือนคนบ้าอยู่บนหลังของไวด์ ที่ยังคงวิ่งไป Tms จึงหยุดแล้วบินกลับไปหาพวกวิล “ เอาล่ะต่อไปก็ตาพวกแกบ้างล่ะฮ่าๆๆ Fear of Testament ” Tms พูดจบก็เช่นเคยออร่าสีดำพุ่งเข้าเล่นงานทุกคน ตอนนี้ทุกคนต้องเผชิญกับความหวาดกลัวอย่างไม่สิ้นสุด “ Holy Breaker ” เสียงของใครบางคนดังขึ้นพร้อมแสงสีขาวสามสายพุ่ง เข้าเล่นงาน Tms จนกระเด็นไปทุกคนจึงหลุดจากความกลัว “ เมทาร์ไนท์ ” วิลร้องขึ้น “ มีทางเดียวที่จะนำเอาจิตใจเขากลับมาจะต้องให้นึกให้ออกถึงความสุข ตอนก่อนที่เขาจะถูกครอบงำ ” เมทาร์ไนท์พูดพร้อมกับเอาดาบรับการโจมตีของ Tms ไว้ “ แต่จะทำยังไงล่ะถึงจะให้ Lr จำได้น่ะในเมื่อเทียก็…อ็ะ ” เอิธพูดยังไม่ทันขาดคำก็นึกขึ้นได้จึงหันกลับไปหาพ่อแม่ของเทีย “ เมื่อคืนเทียทำอะไรอยู่ในครัวน่ะครับ ” เอิธพูดทำเอาพ่อแม่ของเทียพลอยตกใจไปด้วย “ เอ่อคือเมื่อคืนเทียทำไอ้นี่ไว้น่ะจ้ะ ” แม่ของเทียพูดจบก็ล้วงเอาห่อขนมขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ “ ช็อกโกแลตนี่น่ะเทียตั้งใจจะทำให้เขาเพราะพรุ่งนี้น่ะเป็นวนวาเลนไทเหล่าชายหญิงจะบอกความในใจของตนผ่านการให้ช็อกโกแลตกับคนที่ตนรักมากที่สุด ” แม่ของเทียพูดจบก็ยื่นช็อกโกแล็ตให้เอิธ “ นี่แหละท่จะช่วย Lr กีซซซ ”(กีซซซ(ได้ล่ะ)) เอิธรีบพูดจนหลุดปากพูดภาษามังกรออกมาแทนวิลรีบหยิบเอาห่อช็อกโกแลตจากมือเอิธ ให้เมทาไนร์ “ นี่คือช็อกโกแลตที่เทียทำไว้ให้ Lr พอจะใช้ได้ไหม ” วิลพูด “ ได้เลยส่งมา ” เมทาร์ไนท์พูด “ เอ้ารับ ” วิลพูดจบก็ขว้างห่อไปเมทาร์ไนท์รับไว้และพุ่งเข้าไปหา Tms “ เอ้านี่L r นึกใหเออกสิความสุขของนายในตอนนั้นน่ะเทียเขารักนายนะแล้วนายจะมาทำยังงี้น่ะเหรอนายคิดว่าทำยังงี้แล้วเทียจะมีความสุ๘เหรอลองคิดดูสิ ” เมทาร์ไน์พูดมือก็เกาะร่างของ Tms ไว้ “ หนอยลงไป ” Tms พูดพร้อมกับออกแรงสะบัดเมทาร์ไนท์ให้หลุดออกจากตน “ นึกให้ออกสิ Lr นายต้องเอาชนะปีศาจที่อยู่ในใจให้ได้นะ ” เมทาร์ไนท์พูดจบ Tms ก็สงบลงออร่าสีดำค่อยๆสลายไป Tms กลับคืนร่างเป็น Lr ตามเดิมร่างของเทียยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ เทียนี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย ” Lr คุกเข่าลงกับพื้นเริ่มร่ำไห้อีกครั้ง ...................... ........................ .......................... รุ่งอรุณของวันใหม่ค่อยๆขึ้นมาที่เนินแห่งแห่งหนึ่งพวก Lr กำลังยืนอยู่หน้าหลุมศพของเทีย “ นี่จ้ะพ่อหนุ่มช็อกโกแล็ตของเทียเทียเขาตั้งใจจะให้เธอให้ได้เลยล่ะ ” พ่อของเทียพูดจบก็ยื่นห่อช็อกโกแล็ตให้ Lr เมื่อเปิดห่อ ออกมาช็อกโกแล็ต รูปมังกรถือหัวใจช็อกโกแล็ต (http://www.fotothing.com/photos/36d/36dd522ef3026905d6d76594a7924a64.jpg) “ เทียขอบใจมากนะ ” Lr พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ วันต่อมาพวกเขาก็ออกเดินทางต่อไป “ ลาก่อนนะ เทีย ถึงเธอจะไม่อยู่แล้วฉันก็จะไม่ลืมเธอเลย ” เสียงพูดของ Lr อ่ออยไปตามสายลม อ้อเรื่องภาพนั้นน่ะคับมีอยู่ภาพหนึ่งที่ผมเอาของคุณ Sparow มาใช้ในตอนนี้น่ะครับต้องอภัยด้วย นะคับที่ไม่ได้บอกคงไม่ว่ากันนะรูปนั้นคือรูปช็อกโกแล็ตมังกรน่ะครับ Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว Post by: greamon on September 16, 2008, 12:39:26 PM บทนี้เขียนไว้ตั้งนานแล้วล่ะครับแต่มันไม่ค่อยสมบรูณ์ ซักเท่าไหร่ถ้าลองอ่านดูแล้วรู้สึกมัน เก้ๆกังก็ขออภัยด้วย อันที่จริงบทนี้ต้องการสื่อถึงความอบอุ่นของครอบครัว เสมือนจำลองเหตุการณ์ว่า ถ้าหาก ลอว์เรนซ์ ไม่ได้มีชะตาต้องเป็นทาลิวิลย่า ชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร และเป็นเสมือนบททดสอบสุดท้าย สำหรับตัวเอกของเราเองด้วย ระหว่างอดีตและอนาคตอย่างใดคือสิ่งที่เขาควรจะเลือก ทั้งการที่จะลืมอดีตเพื่อก้าวไปยังอนาคต หรือ ยึดติดกับอดีตโดยไม่สนอนาคต ขอเชิญชมบททดสอบสุดท้ายของผู้กล้า ผู้ไขว่คว้าอนาคตได้แล้วครับ บทพิเศษ ฉลองอวสาน Legend of the Thaliwilya ตอน ครอบครัว หลังจากการต่อสู้กับ อวตารด้านลบของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด และนับเป็นวันที่ กาเร็ท ซาราเบลด เสียชีวิต เวลาได้ผ่านไป 5 เดือนกว่าๆ อาณาจักรฟีเลเซีย ซึ่งได้รับความเสียหายจากการโจมตีของ พวกมังกรทมิฬ นั้นได้เริ่มการฟื้นฟูมาอย่างต่อเนื่อง เช่นกันกับอาณาจักรอื่นๆ ที่ต้องวุ่นวายกับการฟื้นฟูบ้านเมือง โดยอาณาจักรแอนดิซองนั้น ต้องรื้อฟื้นศาสนสถานขึ้นใหม่หลังจากสงครามกลางเมือง เพื่อตามจับตัวมาสซิลิโอ้ในฐานะกบฏ ซึ่งเป็นแผนของ อวตารแห่งพระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ฟูดินันที่ แม้จะได้รับการคุ้มครองจากเหล่าเทพพิทักษ์ แต่ทว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ก็สร้างความเสียหายไปไม่น้อย เนื่องจากเทพเจ้าที่คุ้มครองถูก มุรามาซะโซล ทำลายจนสิ้น พวกเขาจึงต้องรอเวลาที่จะกลับฟื้นคืน ดังนั้นพลังการฟื้นฟูธรรมาชาติที่ควรจะ ไหลเวียนไปทั่วทั้งผืนดินนี้ จึงได้จางลงไปการฟื้นตัวของธรรมชาติจึงเป็นไปอย่างช้าๆ เช่นกันกับด้านซาโลม ที่ อยู่ใกล้กับเขตทะเลทรายแห่งการสิ้นสุด ซึ่งเป็นสนามรบในครั้งนั้น ผลกระทบจากการต่อสู้ได้ทำให้ สภาพอากาศแปรปรวนและสร้างความเสียหายให้แก่พืชผล มากมาย ด้านมิติมังกร นั้นก็ไม่ต่างกัน แม้ว่าพลังของ ศิลามังกร ดราก้อนฮอลลี่ จะช่วยทำให้มิติฟื้นกลับคืนมาแล้ว แต่การที่ มิติ ซึ่งเคยแยกจากกันมารวมกันทำให้พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้น การฟื้นฟูและการสำรวจจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะไม่อาจทราบได้ว่า ทรับพยากรที่เคยมีอยู่ได้ถูกย้ายไปอยู่จุดไหนบ้าง อีกทั้งการที่มังกรดำ ต้องมาอยู่ร่วมสังคมกับมังกร ตัวอื่นจากที่เคยอยู่แยกกันทำให้ ยังมีบางส่วนไม่ยอมรับกัน ในขณะที่ ดีวายดราก้อน และ เทียแมต ได้พยายามเป็นตัวกลางในการเชื่อมปฏิสัมพันธุ์ กับทั้งสองฝ่าย ก็ทำให้ความขัดแย้งหายไปในหลายๆเรื่องแต่ทว่า การที่จะให้ยอมีรับซึ่งกันและกัน ในเวลาสั้นๆนั้นก็ยังเป็นไปได้ยาก อยู่ดี จากปัญหาความขัดแย้งนี้ทำให้ ส่วนทำการของราชการทั้ง สภา โรงเรียน และอื่นๆต้องหยุดไปตามๆกัน ดังนั้นช่วงนี้การเรียนการสอนของโรงเรียนมังกรจึง ได้หยุดตัวลง เพื่อรอการ แก้ไขสถานการณ์ (อย่างกะบ้านเมืองเราตอนนี้เลยเนอะ) ณ เนินทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งในมิติมังกร สายลมได้พัดโชยอ่อนๆ ต้นหญ้าเล็กๆลู่ตัวไปตามลม ใต้แดดยามเช้า ของดวงตะวันในมิติ แห่งนี้ที่ค่อยๆลอยตัวขึ้น สู่ฟากฟ้า ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด เด็กชายผู้ถูกเลือกจากศิลามังกรแห่งตำนานให้เป็นทาลิวิลย่า ด้วยชะตากรรมของเขาที่รับมาทำให้เขาต้องสูญเสียครอบครัวไปจนหมด และถูกดีวายดราก้อนเก็บมาเลี้ยงดู ก่อนหน้านี้เขาคือผู้ กอบกู้โลกเทอร่า จากสงครามกับอวตารแห่งพระเจ้าที่พึ่งผ่านมาเมื่อไม่นานนี้ เขานอนมองดู ทิวทัศน์ของ หมู่บ้านจากเนินนี้ด้วยสายตา เศร้าสร้อย จากการที่ต้องเสีย กาเร็ท พี่ชาย อันเป็นที่รักไป ในการต่อสู้ครั้งนั้น มันยังคงฝังใจเขาอยู่มาตลอดเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา “ นึกว่าไปไหนที่แท้ก็มาอยู่นี่เอง… ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ลอว์เรนซ์ จึงแหงนหน้า ไปมอง ลากูน่า กำลังยืนจ้องเขา อยู่ ก่อนที่เขาจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ลากูน่า จึงย้ายมานั่งข้างๆเขา “ นี่ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ” ลากูน่าถาม แต่เขาก็ไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆเท่านั้น “ หึ..ชั้นเองก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปบอกให้นายลืมๆมันไปหรอกนะแต่… ” ลากูน่ากล่าว่กอนจะตัดไปทั้งที่ยังไม่จบประโยค เพราะ นีน่า ได้โผล่มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา โดยไม่รู้ตัวทำให้ทั้งสอง สะดุ้งด้วยความตกใจ นั่นทำให้เธอ หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะหยุดไปเมื่อเห็นว่า ลอว์เรนซ์ นั้นไม่ได้ร่าเริงสดใสขึ้นเธอจึงหยุดและเดินไปนั่งข้างๆเขาอีกคน “ ลอว์เรนซ์ ฉันไม่เข้าใจหรอกนะความรู้สึกที่ต้องเสียพี่ชายไปน่ะแต่นี่มันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วนะถ้าเธอเอาแต่เศร้าแบบนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาหรอกนะ ” นีน่า กล่าวโดยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความเศร้าหมองในใจของเขาได้บ้าง แต่ลอว์เรนซ์ก็ยังคงเงียบอยู่ นีน่า กับ ลากูน่า ทั้งสองจึงไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาอีกเพราะ กังวลว่านั่นจะทำให้ ลอว์เรนซ์ รู้สึกแย่ลงกว่าเดิม ตูมมมมม! ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับควันไฟที่ ลอยออกมาจากหมู่บ้านต่อหน้า พวกเขา นีน่า และ ลากูน่าจึงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นวิ่งตรงไปยังหมู่บ้าน โดยมี ลอว์เรนซ์ ที่ยังคงเดินไปอย่างเย็นใจ ราวกับไม่สนว่าอะไรจะเกิดขึ้น ……………………. ………………………. ณ ลานกว้างของหมู่บ้านมังกร ลานกว้างนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ประชุมหารือ ชั่วคราวในระยะที่ทำการฟื้นฟูหมู่บ้าน บัดนี้มันกำลังถูกใช้เป็น พื้นที่การปะทะของ เหล่ามังกรที่ไม่ลงรอยกัน ระหว่างพวกมังกรดำและมังกรที่เคยอาศัยในมิตินี้ เพราะแต่เดิมมิติของมังกรดำนั้นจะอยู่แยก ไปอีกมิติแต่เมื่อมาอยู่รวมกันทำให้ ทัศนคติของทั้งสองฝ่ายที่ มีต่อกันนั้นแย่ลงไปอีก “ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ถ้าต้องฝืนอยู่กับพวกโสโครกนี่.. ” มังกรซาลามันเดอร์(Salamundera, The Fire Dragon)คำรามอย่างฉุนเฉียว(ที่ไม่ใส่เป็นเสียงคำรามแล้วแปลเพราะตัวละครในที่นี้ต่างรู้ภาษามังกรกันอย่างถ่องแท้) (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n013/23.jpg) “ นึกว่าข้าอยากจะเห็นหน้าเจ้างั้นรึ ไอ้ตะกวดย่าง อย่างแกน่ะ ” เสียงคำรามอันแหบแห้งกึกก้อง ราวฟ้าผ่าของมังกรซึ่งมีร่างที่หน้าสะพรึงกลัว ร่างของมันเป็นโครงกระดูก และ มีสีดำ ลำตัวยาวเฟื้อย และเป็นสีดำ มันคือมังกรฝันร้าย บิรแกลม(Brilglam, the Dragon of Nightmare) ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอย่างรุนแรงโดยมีเสียงสนับสนุนจาก ฝูงมังกร ของแต่ละฝ่าย และมี ดีวายดราก้อนและเทียแมต ขั้นกลางอยู่ ระหว่างทั้งสองฝ่าย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n006/45.jpg) “ ท่านนายพลเบิร์น(Burn)ช่วยใจเย็นลงก่อนเถอะครับ ” ดีวายดราก้อนกล่าวโดยพยายามจะเกลี้ยกล่อม นายพลซาลามันเดอร์ ที่กำลังฉุนเฉียว โดยมี ไฟร์ หรือนิทินโค ลูกของเขาคอยช่วยเกลี้ยกล่อม “ คุณพ่อใจเย็นก่อนเถอะครับ เราไม่ควรมาทะเลาะกันนะครับ ” ไฟร์กล่าว ขอร้องด้วยความผวา “ พ่อตาใจเย็นๆก่อนเถอะครับในเวลาเช่นนี้เราไม่ควร จะมีเรื่องกันนะครับ ” เทียแมต กล่าวขอร้องให้ บิรแกลมผู้เป็นพ่อของภรรยาเขา ใจเย็นลง โดยมี ดาร์ค หรือ นอฟฮอฟ คอยช่วยเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ “ พอเถอะค่ะคุณตาเราไม่ควรจะทำให้เกิดความบาดหมางขึ้นมาอีกนะคะ ” ดาร์ค กล่าวขอร้อง ทั้งน้ำตา ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้เพื่อนลูกมังกรตัวอื่นต้องแปลกใจเพราะดาร์คที่มีนิสัยสุขุม เยือกเย็นนั้น กลับร้องขอทั้งน้ำตา “ นี่แกจะให้พ่อ ถูกไอ้ โฮล (Hole) กับพวกมันหยามเกรียติในฐานะนายพลมังกรงั้นเหรอ ” ซาลามันเดอร์ เบิร์น ผู้เป็นพ่อตะคอกใส่ไฟร์ ลูกชายของตน จนทำให้ไฟร์ต้องถอยผงะ “ แบล็ค(Black) แกไม่ต้องมายุ่งวันนี้ถ้าข้าไม่ได้สั่งสอนไอ้ตะกวดปากนี่ล่ะก็ ข้าคงนอนไม่หลับแน่ ” บริแกลม โฮล ตะคอกใส่ เทียแมต และลูก อย่างแรงก่อนจะ สะบัดพวกเขาจนพ้นออกไป และพุ่งเข้าใส่ เบิร์น ที่ถูกดีวายดราก้อนสกัดเอาไว้อยู่ ก่อนที่เบิร์นจะผลัก ดีวายดราก้อน ล้มลงไปและเข้าไป ชนกับ โฮล “ หยุดเดี๋ยวนี้… ” สิ้นเสียง ทั้งคู่ก็ถูก อะไรบางอย่างชนจนกระเด็นแยกจากกัน กลับไปหาฝ่ายของตน “ เจนัส..พวกเรา ” ไลท์ ซึ่งอยู่ข้างๆ ดีวายดราก้อน ผู้เป็นพ่อ ที่ถูกผลักล้มไปนั้น อุทานขึ้น เมื่อเห็น เจนัส ริคุ นีน่า และ ลากูน่า เข้ามาห้ามการปะทะขอมังกรเจ้าอารมณ์ทั้งสอง “ เด็กอย่างพวกแกถอยไปเลยนี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ ” เบิร์นกล่าวอย่างฉุนเฉียวขณะที่ลุกขึ้นมา “ จะว่าไปแล้ว..พวกแกก็เคยเป็นคนของไอ้พวกที่มาทำลายหมู่บ้านมาก่อนยังจะมีหน้ามาอยู่ที่นี่อีกเรอะ ” โฮล ตะหวาด ใส่คำพูดของเขาแทงทะลุจิตใจของทั้งสี่ อย่างที่สุดยิ่งไปกว่านั้น เสียงโห่ของ มังกรตัวอื่นๆที่ ตะโกนไล่พวกเขายิ่งเป็นการซ้ำเติมพวกเขาอย่างรุนแรง “ แต่พวกเขาเคยช่วยพวกเรารบจนจัดการกับ อวตารชั่วร้ายมาแล้วลืมไปแล้วรึไงกัน พวกเขาไม่ใช่พวกมันอีกต่อไปแล้ว ” ดีวายดราก้อนพยายามจะแก้ต่างแต่ก็ไร้ผล เมื่อเสียงของเขาไม่อาจสู้เสียงตะโกน ของเหล่ามังกรตัวอื่นๆได้ จนในที่ก็เกิดเป็นความวุ่นวาย เมื่อ การโต้เถียงของทั้งสองฝ่ายรุนแรงหนักข้อจนเกิดการวิวาท ทันใดนั้น ก็มีประกายแสงพุ่งตรงลงมายังหมู่พวกเขาที่ ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ เพียงพริบตาที่ประกายแสง พุ่งลงมา พวกเขาก็ถูก ประกายแสงนั้นตรึงร่างไว้ “ หึหึหึ..ข้ากลับมาแล้ว ” เสียงทีเย็นเฉียบและบาดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ ซึ่งเป็นเสียงที่ เจนัสและพวกกับเหล่าลูกมังกรนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทันทีที่พวกเขาหันไปยังต้นเสียง ที่ดังมาจากด้านบน ท้องฟ้าที่สว่างสดใส บัดนี้ได้เกิดหลุมอากาศอันมืดมิด ขึ้นมันค่อยๆขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ “ นี่มันหรือว่า.. ” ดีวายดราก้อนที่เห็นเหตุการณ์ณืตรงหน้าอุทานออกมา เช่นกันเหล่ามังกรทั้งหมดที่เคยไปรบในสงครามกับอวตารแห่งพระเจ้าครั้งนั้น ต่างจำเสียงนั่นได้ อย่างฝังใจ ……………… ……………….. ………………. “ นี่มัน…อะไรกัน ” ลอว์เรนซ์ที่พึ่งจะเดินลงมาถึงหมู่บ้าน เปรยเสียงแผ่วด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็น ความมืดมิดที่ค่อยๆแผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้า “ อัก… ” ลอว์เรนซ์ สำลัก ก่อนที่จะเอามือกุมหน้าอกซ้าย ด้วยสีหน้าทรมาน ราวกับหายใจไม่ออก เขารู้สึกแน่นหน้าอก เสียงหัวใจเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ และรัวแรงกว่าทุกครั้ง จนราวกับจะระเบิดออกมา ไม่นานนักทุกอย่างก็ดับวูบลงไป ………….. ……………… ……………….. “ พี่ชาย..ตื่นสิฮะ..พี่ ” เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้น ท่ามกลางความมืดมิด ก่อนที่ทุกๆอย่างจะค่อยๆปรากฏ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของเด็กน้อยผมสีทอง ก้มหน้ามองดูเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ก่อนที่เขาจะสะดุ้ง กระแทกตัวขึ้นมา เด็กน้อยมองเขาด้วยความฉงน ขณะที่ลอว์เรนซ์ มองไปรอบๆเขาอยู่ในสวน ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ และเด็กน้อยที่อยู่ข้างๆเขานั้น คือสิ่งที่เขาแปลกใจมากที่สุดเพราะมันคือตัวเขา ที่น่าจะอายุประมาณ 5 ขวบได้ “ เจอตัวแล้วคราวนี้ ตา ลอว์เรนซ์ เป็นคนหานะ ” เสียงดังขึ้นมาจากพุ่มไม้ด้านหลังพวกเขา ก่อนที่ ครึ่งสมิงเด็กวัยเดียวกับเด็กน้อยคนนี้ จะโผล่ออกมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ เขาประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อสมิงเด็กคนนี้ คือคนที่เขาคุ้นเคย “ ลากูน่า.. ” ลอว์เรนซ์ อุทานเมื่อครึ่งสมิงเด็ก ที่โผล่มานี้ เป็นครึ่งสมิงหมาป่า ซึ่งมีหูหมาขนสีเงิน Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว Post by: greamon on September 16, 2008, 12:40:26 PM “ พี่ชายเป็นใครกันทำไมรู้ชื่อผมล่ะ.. ”
ลากูน่าวัยเด็ก ถามเขาด้วยความฉงน ตอนนี้ ลอว์เรนซ์ รู้สึกสับสนไปหมดแต่ทว่านั่นยังไม่พอเมื่อ มีครึ่งสมิงเด็กอีกสามตน กระโดตามเข้ามาจากพุ่มไม้ และแน่นอนว่าทั้งสามนั้นก็เป็นคนคุ้นเคยของเขานั่นเอง “ เจนัส ริคุ นีน่า ” ลอว์เรนซ์ อุทานอีกครั้งเมื่อ ทั้งสามตนนั้นคือ เพื่อนของเขาในวัยเด็กทั้งสิ้น ซึ่งเจนัสกับริคุก็ดูอ่อนกว่าตัวเขา ในตอนนี้ ไป 4 ปี “ คุณหนูคะ..คุณหนูลอว์เรนซ์อยู่ไหนคะ ” เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังพุ่มไม้ ก่อนที่เด็กๆจะวิ่งออกไปตรงทะลุพุ่มไม้ไป ลอว์เรนซืนั้นไม่รู้จะทำอย่างไนจึง คลานตามออกไป ทันทีที่ทะลุพุ่มไม้ออกมา อีกด้านนั้นเป็นลานกว้าง ซึ่งเขาจำได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก่อนนั้น สายตาของคนสองคนที่จ้องลงมายังเขานั้น ทำให้เขาหันไปมองก่อนจะต้อง อุทานด้วยความประหลาดใจ ทันทีที่เห็นหญิงชรา กับ หญิงสาววัยกลางคน กำลังถูกพวกเขาในวัยเด็กรุมล้อม “ เซโก้..แล้วก็คุณแม่ ” ลอว์เรนซ์ อุทานเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ใช่ใครอื่นหญิงชราที่อยู่ตรงหน้านั้นเขาเคยเห็นในความทรงจำที่รับ มาจากมุรามาซะโซล เซโก้หรือยายของนีน่า และที่อยู่ข้างๆนั้น ก็ไม่ใช่ใครอื่น ซาเรียแม่ของเขานั่นเอง “ นี่เธอเป็นใครน่ะ เข้ามาได้ยังไง ” เซโก้ กล่าวถามด้วยท่าทีเอาเรื่อง แต่ซาเรียก็ปรามไว้ ก่อนจะส่ง ลอว์เรนซ์ในวัยเด็กให้ นางอุ้มไป “ เซโก้พาเด็กๆเข้าไปในบ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป ” ซาเรียกล่าว แม้จะไม่อยากแต่ เซโก้ก็ยอมทำตามนางพา เด็กๆเดินตรงไปยังคฤหาสน์ที่ อยู่ลึกเข้าไป ทันทีที่ ได้เห็นสภาพรอบๆภายในสวนนี้ เขาก็จำได้ทันทีว่านี่คือ ภายในคฤหาสน์ของ ซาราเบลด ที่เขาเคย มาดูกับพี่ชายก่อนจะ เกิดเรื่องเกรเกอรี่ทรยศ นั่นเอง แต่ตอนนี้มันยังอยู่ในสภาพที่สมบรูณไม่บุปสลาย “ ตามมาสิจ้ะ ” ซาเรียกล่าวก่อนจะออกเดินนำไป แม้จะยังไม่เข้าใจ แต่ลอว์เรนซ์ก็ยอมตามไปแต่โดยดี พวกเขาเดินตรงไปยัง สวนซึ่งใกล้กับแปลงดอกไม้ ที่นั่น ตัวพวกเขาในวัยเด็กกำลัง วิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน โดยคราวนี้มี เด็กชสยที่อายุคราวเดียวกับเขาในตอนนี้ และอีกคนที่ดูโตกว่า ซึ่งก็อีกเช่นเคย ทั้งสองคนนั้น คือ กาเร็ทพี่ชายของเขา และ กาเทีย ลูกพี่ลูกน้องของนีน่า ยิ่งไปกว่านั้น ครึ่งสมิงสามีภรรยา ซึ่งก็คือมาฮาและ ราซานี ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของเจนัส กับ ลากูน่า ที่ข้างๆเซโก้นั้น ชายวัยกลางคนอีกคนกำลัง สนทนากับนาง ซึ่งเขาก็คือ อิเดีย พ่อของเขานั่นเอง พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางล้อมโต็ะกลางแจ้ง “ นี่เราย้อนกลับมาในอดีตงั้นเหรอ ” ลอว์เรนซ์คิด ทว่าภาพความทรงจำของกองเพลิงที่ลุกไหม้ และเสียกรีดร้องกับน้ำตาแห่งความขมขื่นที่ประเดดัง ขึ้นมานั้นทำให้เขาฉุกคิด “ ไม่ใช่..นี่ไม่ใช่อดีต ถ้านี่คือความจริงทุกคนคงจะไม่ได้มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้แน่ ใช่แล้วถ้าว่ากันตามจริงตอนนี้เจนัส ลากูน่า ริคุ นีน่า จะต้องฝึกอยู่กับเซอร์เซสและเป็นเทพขุนพลสิ แล้วก็พี่กาเร็ท จะต้องอยู่กับเทียแมต ส่วนเราก็จะ… ” ลอว์เรซ์คิดก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมาถึงตรงนี้เพราะนี่คือส่วนที่เขาไม่อยากขะรื้อฟื้นขึ้นมา ที่สุด มันคือความทรงจำวันที่เขาต้องสูญเสียทุกอย่างไป แต่แล้วซาเรีย ผู้เป็นแม่ก็ กวักมือเรียกเขาเข้าไป ลอว์เรนซ์ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี ทุกคนต่างจับจ้องสายตามาที่เขาด้วยความสนใจ “ แม่ฮะพี่เค้าเป็นใครเหรอฮะ ” ลอว์เรนซ์ในวัยเด็กกล่าวถามด้วยความอยากรู้ “ อ๋อพี่เค้าเป็นลูกชายของเพื่อนแม่น่ะจ้ะ…เนอะ ” ซาเรีย กล่าวก่อนจะหันมาขยิบตาเป็นเชิงให้เขาซึ่งเขาก็รีบ รับคำทันที “ งั้นเหรอเธอชื่ออะไรล่ะ ” อิเดียหันมาถาม “ ลอ..ทา..ทาลิวิลย่า ” ลอว์เรนซ์กล่าวก่อนจะชะงักแล้วเปลี่ยนคำพูด เพราะนึกขึ้นได้ว่าหากเขาบอกชื่อตัวเองไป อาจจะไม่เหมาะเพราะตอนนี้ก็มีตัวเขา อีกคนอยู่ตรงหน้าแล้ว จึงได้พยายามจะหาชื่ออื่น และในตอนนั้นเขาก็เผลอหลุดคำว่า ทาลิวิลย่า ออกไปโดยไม่รู้ตัว “ ทาลิ..วิลย่าเหรอ ” อิเดียทวนคำ อย่างช้าๆชัดๆ ก่อนที่ ทุกคนจะหัวเราะเป็นเสียงเดียวกัน “ ฮะฮะฮะ..นี่แสดงว่าพ่อแม่ของเธอคงอยากจะให้เธอยอดนักรบเลยล่ะสิถึงได้ตั้งชื่อของ อัศวินมังกรแห่งตำนานให้ ” มาฮา กล่าวไปหัวเราะ ขณะที่พวกเด็กๆนั้นได้แต่เอียงคอ ด้วยความฉงน ลอว์เรนซ์ ต้องหน้าแดงด้วยความเขินอาย ในความเผอเรอของเขา “ เอาล่ะๆ พอได้แล้วเห็นไหมเขาอายหมดแล้วเนี่ย ” ซาเรีย กล่าวปรามพวกเขา “ ฮะฮะ..โทษทีนะหัวเราะมากไปหน่อย ” เซโก้ กล่าวอย่างขบขัน “ เอาล่ะนั่งก่อนสิจะได้เล่าเรื่องของเธอด้วย ” อิเดียกล่าวจบ ก็ให้ผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ซึ่งเขาก็ ยอมไปนั่งแต่โดยดี ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันไปเรื่อยๆ ถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงชีวิตอันสงบสุข นี้ บรรยากาศของครอบครัวที่แสนอบอุ่นนั้นเหมือนฝันนี้ ทำให้เขาย้อนมองตัวเอง หากเขาไม่ต้องถูกเลือกให้เป็นอวตารแห่งทาลิวิลย่า เขาก็ไม่ต้องพบกับโศกนาฏกรรม และพวกเจนัส ก็จะได้อยู่กับครอบครัวอย่างสุขสงบ ไม่ต้องถูกฝึกฝนอย่างหนัก หรือมือเปื้อนเลือด ของใครอีกหลายๆคน และคงจะได้ใช้ชีวิตครอบครัวที่แสน อบอุ่นนี้ อยู่อย่างผาสุข และไม่ต้องเกิดตัวเขาในตอนนี้ขึ้นมา ความคิดที่ว่าถ้าเขาหายไปซะก็คงจะดี หากไม่มีตัวเขาในตอนนี้ ตัวเขาที่อยู่ตรงหน้านี้ก็จะได้ไม่ต้องเป็นเพียงแค่ฝัน ตอนนี้ ที่โต็ะเหลือเพียงแค่เขากับซาเรีย เท่านั้น ขณะที่ทุกคนกำลัง เล่นและพูดคุยด้วยกันอย่างสนุกสนาน ที่สวน “ ทำไมถึงบอกพวกเขาไปอย่างนั้นล่ะครับ ทั้งที่คุณยังไม่เคยเจอผมเลย ” ลอว์เรนซ์ กล่าวถามด้วยความอยากรู้ที่ ซาเรีย ช่วยแก้ต่างให้เขาตอนที่ถูกถามว่าเป็นใคร “ แหมอย่าพูดอย่างนั้นสิจ้ะคนอื่นคนไกลที่ไหนกัน ก็ลอว์เรนซ์น่ะเป็นลูกของแม่นี่จ้ะ ” ซาเรีย กล่าวพร้อมกับหันมายิ้มให้ “ รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ ” ลอว์เรนซ์ ถามด้วยน้ำเเสียงแผ่วเบา “ แน่สิจ้ะ..ก็ตอนนั้นเธอพูดออกมาเองนี่ว่า คุณแม่ น่ะถึงจะไม่มีใครรู้แต่แม่ก็พอจะเดาได้ว่าลูกก็คือลูกในอนาคตสินะ ” ซาเรีย กล่าวพร้อมกับลุกไปหาเขา และโอบเขาไว้ด้วยความเอ็นดู “ แม่ครับ.. ” ลอว์เรนซ์ กล่าวเสียงสั่นน้ำตาคลอเบ้า ด้วยความตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะซบลงที่ตรงตักของผู้เป็นแม่ “ พักให้สบายเถอะนะ ที่แล้วมาลูกผ่านอะไรต่างๆมามากมาย.. ” ซาเรียกล่าวขณะที่ลูบหัวเขาเบาๆด้วยความเอ็นดู “ ผมรู้..ว่านี่ไม่ใช่ความจริง..เพราะตอนนี้ คุณแม่ คุณพ่อ และทุกๆคนคง.. ” ลอว์เรนซ์ กล่าวสะอึกสะอื้น น้ำตาอาบแก้ม นางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขา “ ลอว์เรนซ์ ลูกพักให้สบายเถอะจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้แต่ลูกจะต้องกลับไป..กลับไปยัง ที่ๆลูกควรจะอยู่ ” ซาเรียกล่าว “ ขอผมอยู่ต่อไปอีกซักพักนะครับ ” ลอว์เรนซ์กล่าว “ ปล่อยออกมาให้หมดเลยนะ ความอัดอั้นตลอด หลายปีที่ผ่านมาแม่ จะรับมันไว้เอง..ไม่ต้องห่วงแม่จะอยู่กับลูกตลอดไป ” สิ้นคำ บรรยากาศรอบๆของทั้งคู่ก็หยุดนิ่งลง ราวกับว่าเวลาได้หยุดเดิน มีเพียงวเลาของพวกเขาทั้งคู่เท่านั้นที่ยังคงเดินอยู่ ลอว์เรนซ์ได้ปลดปล่อยความรู้สึกตลอดหลายปีที่ผฟ่านมาออกมาจนสิ้น ทั้งความอัดอั้นตันใจ ความขมขื่นและความโศกเศร้าที่เขาเก็บเอาไว้ “ ได้เวลา..ที่ผมต้องไปแล้ว.. ” ลอว์เรนซ์กล่าวขณะที่ยกหัวออกจากตักของแม่ พร้อมกับเอาแขนปาดน้ำตาทิ้งไป ทันใดนั้นเวลาก็ได้เดินอีกครั้ง แต่คราวนี้สภาพของทุกคนเปลี่ยนไป กาเร็ท เจนัส นีน่า ลากูน่า ริคุ กาเทีย ทุกคนได้เติบโตขึ้น กลับมาเป็นสภาพที่เขารู้จักทั้งหมด “ พวกเรา.. ” ลอว์เรนซ์กล่าวขณะที่หันไป มอง ตัวเขาในวัยเด็กได้ เดินเข้ามาหาเขา “ สิ่งที่นายเห็นมานั้นคือ ภาพจากจิตใจของนาย ที่แสดงออกมา ความต้องการที่จะ อยู่อย่างสงบสุขแต่ว่าลึกๆแล้ว นายก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังในชะตาที่รับมาสินะเพราะมันทำให้นายได้ พบกับผู้คนมากมาย ได้เจอเพื่อนพ้อง และครอบครัวใหม่ นี่เป็นชีวิตของนาย จงลิขิตมันด้วยตัวนายเองเถอะ ” ตัวเขาในวัยเด็กกล่าวจบ ก็สลายกลายเป็นแสง และรวมตัวกันเป็นประตู ลอว์เรนซ์หันกลับไปมอง ทุกๆคน “ นี่คือครอบครัวของ ลอว์เรนซ์ ซาราเบลด แต่สำหรับตัวผมในตอนนี้ผมไม่ใช่ซาราเบลดอีกแล้ว ตอนนี้ครอบครัวที่แท้จริงของผมนั้นคือพวกเขา ” สิ้นคำ เหล่ามังกรทั้งหลายก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางวังวนแห่งจิตใจที่สับสนนี้ “ ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกทุกคนที่อยู่ที่นี่คือครอบครัวเดียวกัน ” ลอว์เรนซ์กล่าวจบ ประตูแสงที่ร่างของเขาในวัยเด็กก็ได้ เปิดออกก่อนที่ทุกๆอย่างจะแตกสลายลง ภาพที่แท้จริงได้ปรากฏต่อหน้า ความมืดมิดที่ ปกคลุมไปทั่วทั้งมิติ “ ได้สติซะทีนะ ” เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังก่อนที่เขาจะหันไป กาเทีย ยืนอยู่ข้างหลังเขาพร้อมกับ กรีแวร์(อดีต 12 เทพขุนศึกที่ถูกช่วยออกมา ตอนปราการลอยฟ้าถล่ม ยังจำได้เปล่า) “ หลุดออกมาได้งั้นรึสมแล้วที่เป็นเจ้า ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับที่ความมืดทั่วทั้งท้องฟ้าได้รวมตัวกัน และก่อร่างขึ้นเป็น มังกรที่อกของมันมีสัญลักษณ์แห่งการเวลาอยู่ ร่างเกิดจากความมืดมิดอันเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด “ แก..อวตารแห่งพระผู้เป็นเจ้า…นี่มันหมายความว่ายังไงกันกาเทีย ” ลอว์เรนซ์ เปรยเสียงเรียบ เมื่อบัดนี้ ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดได้มาอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง “ ตอนที่ชั้นกับกรีแวร์เข้ามาที่มิติมันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เราสองคนเห็น นายยืนนิ่งค้างอยู่นี่แหล่ะก็เลย จะเข้าไปเรียกแต่ก็ถูกกำแพงอะไรซักอย่างที่มองไม่เห็นขวางเอาไว้ก็เลยเข้าไปไม่ได้น่ะสิ ” กาเทีย อธิบายถึงสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น “ อีกอย่างตอนนี้ทุกคนก็ถูกมันจับตัวเอาไว้หมดแล้วด้วย ” กรีแวร์กล่าว พร้อมกับชี้ไปยัง พวกเจนัส และ เหล่ามังกรทั้งหมด ที่ถูกประกายแสงตรึงร่างเอาไว้ “ ข้าเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่า ควาไม่ลงรอยที่เกิดขึ้นในมิติแห่งนี้จะทำให้เกิดพลังงานด้านลบมากขนาดนี้ จนข้าสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง ถึงจะไม่มีพลังอำนาจเทียบเท่ามหาจุติก็เถอะแต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ” อวตารแห่งพระเจ้าตรัส “ แต่ชั้นว่าไม่นะ ถ้าระดับแกที่ไม่มีพลังมหาจุติล่ะกชั้นจัดการได้อยู่แล้ว ” ลอว์เรนซ์ กล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “ น่าขัน อย่ามาทำอวดดีไปหน่อยเลย ศิลามังกรก็ไม่มี แล้วเจ้าจะสู้ยังไง ” อวตารแห่งพระเจ้า ตรัสจบก็ ยิงแสงสีรุ้ง ออกมาจาก ร่างอันมืดมิด “ คำพูดของพี่ชั้นเข้าใจมันแล้ว ไม่เกี่ยวว่าชั้นจะเคยเป็นใครหรืออะไรแม้จะเป็นซาราเบลดคนสุดท้ายก็ ไม่สำคัญเพราะชั้นก็คือชั้น แม้ฟ้าจะลิขิตชะตาอย่างไร ชั้นคือผู้เลือกเดิน และตอนนี้ชั้นจะก้าวข้ามมันอีกครั้ง อนาคตชั้นเป็นคนเลือก ” ลอว์เรนซ์คิด ก่อนที่ร่างของเขาจะเปล่งแสงสีทอง ทันทีที่แสงสีรุ้งระเบิดลงมายังร่างของเขา แสงจากแรงระเบิดก็เจิดจ้าๆไปทั่ว ก่อนจะจางลง ทว่า ร่างของลอว์เรนซที่ควรจะแหลกไปแล้วกลับยังยืนอยู่ โดยที่ ศิลามังกรได้ลอยตัวอยู่ตรงหน้าเขา “ บ..บ้าน่าก็ศิลามังกรโดนทำลายไปแล้วนี่แล้วทำไม ” อวตารแห่งพระเจ้า ตรัสด้วยความตกพระทัยที่ศิลามังกรในตำนานได้ปรากฏขึ้นอีกครา ลอว์เรนซ์คว้ามันไว้ “ ไม่ใช่หรอกนี่ไม่ใช่ศิลามังกรแห่งทาลิวิลย่า อย่างที่แกเข้าใจนี่เป็นพลังแห่งจิตใจ ที่ชั้นรับมาจากทุกคน และแปรเปลี่ยนออกมาในรูปของศิลา จงดูซะให้เต็มตาก่อนที่วาระสุดท้ายของแกจะมาเยือน ” ลอว์เรนซ์กล่าวจบ ศิลาก็ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงและเผาผลาญร่างของเขา จนลุกไหม้ ก่อนที่ร่างของเขาซึ่ง เปลี่ยนแปลงไปได้ฝ่าออกมาจากกองเพลิง บัดนี้ร่างของ ลอว์เรนซ์ ได้เปลี่ยนรูปไปเป็นมนุษย์มังกร ซึ่งมีร่าง ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง “ นักสู้มังกรนามข้าคือ เอคนอไมเต้(Aegnormaite, the Drake Fighter) ” สิ้นคำ มนุษย์มังกรตนนั้นก็พุ่งเข้าหาร่างอันมืดมิดของอวตารแห่งพระเจ้า ทันทีที่ ความมืดมิดดูดกลืนร่างของ เอคนอไมเต้ เข้าไปไฟก็ได้ลุกโชน เผาผลาญร่าง อันมืดมิดจน เป็นธุรี อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีโอกาสให้ อวตารแห่งพระเจ้าได้ ตรัสกล่าวอะไรออกมาเลย (http://www.phenomenonparty.com/card_database/smncardpic/n016/37.jpg) …………… ……………. “ เอาล่ะจับมือกันซะ ” สิ้นคำของ ลอว์เรนซ์ เบิร์น และ โฮล ก็เดินเข้าหากัน แต่ทันทีที่ทั้งคู่สบตากัน ก็เมินใส่กันทั้งคู่ “ นี่คงต้องให้ออกแรงใช่มั้ย ” ลอว์เรนซ์กล่าวขณะที่ หักนิ้วมือตัวเองดังกรอกแกรก ทำให้ทั้งสอวต้องเข้าไปกอดกันด้วยความผวาจนลืมตัว ต่อหน้าต่อตา สาธารณมังกรทั้งหมดที่เป็นสักขีพยาน “ ร…เราจะไม่ทะเลาะกันอีกแล้วจ้า…สัญญาจ้า.. ” ทั้งคู่กล่าวด้วยความผวาอย่างที่สุด “ แล้วก็เรื่องของพวกเจนัสถ้าพวกเขาจะอยู่ จะมีปัญหาอะไรไหม ” ลอว์เรนซ์ กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม เพื่อข่มขู่ทั้งสองที่เป็นต้นเหตุ ให้เกิดความแตกแยกเสียจน อวตารแห่งพระเจ้าฟื้นคืนชีพ “ ม….ไม่มีปัญหาจ้าปล่อนเราไปเถอะน้าาา ” มังกรเจ้าอารมณ์ทั้งสองที่ เคยทำเป็นอวดเบ่ง บัดนี้กลับกลัว ลอว์เรนซ์ เสียจนขึ้นสมอง เพราะหลังจากที่ จัดการกับอวตารแห่งพระเจ้าลงได้ ลอว์เรนซ์ก็ได้ใช้ร่างของ เอคนอไมเต้ ซัด ถล่มภูเขาทั้งลูก แสดงเป็นขวัญตา จนทั้งต้องประจักษ์ “ ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว.. ” ลอว์เรนซ์กล่าวจบก็เดินเข้าพาพวกเจนัส ที่สะบักสะบอม กลับไปยังบ้านของดีวายดราก้อน “ ว่าแต่นายเถอะไปเจออะไรมารึไงถึงได้หายซึมแล้วน่ะ ” เจนัสถาม ด้วยความสงสัย “ ก็นิดหน่อยนะ ” ลอว์เรนซ์ตอบพร้อมกับยิ้มอมความนัยนิด “ แล้วสองตัวนั่นปล่อยไว้ยังงั้นจะดีเหรอ ” ริคุ ถามไฟร์และ ดาร์ค ถึงเรื่องของ พ่อและตา ของพวกเขา “ ปล่อยไปเถอะไม่งั้นคงไม่รู้จักเข็ด ” ไฟร์และดาร์คกล่าวด้วยน้ำเสียงสมน้ำหน้า “ จากนี้ไปผมจะไม่ยึดติดกับอดีตอีกแล้วแต่ผมก็จะไม่ทิ้งไปผมจะก้าวไปยังอนาคตพร้อมกับอดีตนี่ล่ะ ” ลอว์เรนซ์คิดขณะที่อาทิตย์อัสดงของมิติมังกรนั้นเฉิดฉายอยู่เหนือฟ้า…… Title: Re: Legend of The Thaliwilya update บทที่ 21 ฝันร้าย คฤหาสน์ผีสิง แล้ว Post by: VanilaChoco on March 01, 2009, 01:47:02 AM Quote ส่วนเซโร่น่ะเอามาจากเรื่อง mamotte lollipop ใช่ม้า 555+ ถุ....ถุ...ถุ..ถูกต้องนะคร้าบ ที่จริงตัวอื่นๆก็ด้วย ไม่ว่าจะ เจนัส ลากูน่า เรโค ่เซโร ่นีน่า Lr หรือแม้แต่Riku ก็ล้วนแล้วแต่เอามาจากอนิเมะทั้งนั้น ครับแต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยรู้หรอกว่าเรื่องอะไรเพราะกด Google เข้าไปดู ที่จำได้ก็มี Lr มาจาก เรื่อง Erementar Gerad เรโค่ มาจาก Rozen Maiden ส่วนเซโร่นี่จนปัญญาจริงๆเลยหาไปๆมาๆ ก็ถึงถึงเรื่องนี้เลย เพราะไหนๆก็มีนีน่าแล้วเซโร่แล้วงั้นเซโร่เอาจาก Mamotte Lolipop เลยละกัน ไม่แน่ต่อไปอาจจะมี อิจิอิมาอีกคนก็ได้นะครับเอหรือว่าอาจมีฟอเต้ซัน ยาคุโม่ คิระ L ลุค บลาาาาา ขืนทำอย่างนั้น เรื่องนี้มั่วแน่คงไม่มีมากกว่านี้แล้วล่ะครับ ว่าแต่ดูด้วยเหรอเนี่ยนึกว่าคนดูน้อยแล้วนาเรื่อง mamotte lolipop เนี่ย ชอบมากเลย เสียดายอนิเมะ 13 ตอนจบไม่มีภาคต่อฮือๆๆ ขอแสดงความยินดีด้วยคร้าบ เรื่อง mamotte lollipop กลับมาฉายที่ ubc - true spark อีกครั้ง ณ วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.00 น. ส่วนจันทร์-ศุกร์ก็ www.truevisionstv.com คร้าบ (ไม่ค่อยแน่ใจเวลา ::010:: ) ::001:: ผมชอบเรื่องนี้มาเล่นอะ Mamotte! Lollipop อะ Title: Re: Legend of The Thaliwilya (Complete 33 ตอน) update บทพิเศษ ครอบครัว Post by: greamon on March 01, 2009, 02:34:03 AM โอ้วไปขุดจากหน้าไหนนั่น โฮะๆๆ สำหรับผมแล้ว mamotte lollipop เนี่ยเป็นเรื่องที่สนุกมากครับแต่น่าเสียดาย อนิเม มีน้อยตอนไปหน่อยแถมเอาภาค 1 กับภาคสอง ของหนังสือมาปนๆกันนิดตรงที่ว่า
ซึระ(ไอ้ตัวมาสคอท ที่บินไปบินมาน่ะ) นั้นเป็นสัตว์รับใช้ที่ ซีโร่ ซื้อมาแทน เพิล(ในอนิเมคือตัวที่นีน่า ฟักออกมาจากคริสตัลเพิล ในตอนอวสาน) ที่เอามาใช้ในภาคแรก เพราะว่าภาคแรกเพิลเป็นสัตว์รับใช้ของ ซาราซ่า(พี่สาม อิจิอิ (พี่ไม่แท้ อ้อในหนังสือการ์ตูนเขาเรียกอิจิอิ ว่าอิชชี่)) ที่ฝากให้มาดูแลเซโร่กับ อิจิอิ แต่ในอนิเมเปลี่ยนเป็นซึระแทน และให้เพิลเป็นสัตว์รับใช้ของนีน่า ในตอนที่ฟักมันออกมา แหมคุยเพลินเลยเรา ว่าแต่ นิยายเรื่องนี้ยังมีคนอ่านอีกเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อยังดีที่มีคนเห็นค่า ::008:: ที่จริงตอนแรกคิดชื่อให้ ครึ่งสมิงสาวไม่ออก ก็เลยเอาชื่อนีน่า มาใช้ จากนั้นไปๆมาๆก็เลยอยากได้ตัวละครเพิ่มเลยไปเอา เซโร่มาไปๆมาๆเลยเอา อิจิอิ มาด้วย แล้วเปลี่ยนชื่อนิดหน่อยเป็น อิจิกิ เพื่อความเนียนเหอๆ |