Title: @@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 21, 2005, 02:12:58 AM Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด วันนี้เป็นวันโซลุม(Solum)ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหญิงอลาน่าและคณะซิสเตอร์ของซิสเตอร์โรซาน่าใช้เป็นวันสำหรับออกตรวจเยี่ยมและรักษาโรคทั่วไปให้แก่คนยากคนจนตามแหล่งสลัมและท่าเรือ และก็เหมือนกับวันลักษ์ที่เป็นวันแจกอาหาร เจ้าหญิงอลาน่ามักจะนำคณะไปตรวจเยี่ยมประชาชนแถวท่าเรือเป็นประจำ แต่การรักษานี้ก็ไม่ใช่ว่าบรรดาคนป่วยทุกคนจะได้รับการรักษาในทันที ทั้งนี้ก็เพราะไม่ใช่ซิสเตอร์ทุกคนจะมีพลังในการรักษา ซิสเตอร์ที่มีพลังพิเศษนี้จึงต้องหมุนเวียนไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปให้ทั่วถึง ซิสเตอร์ที่ไม่มีพลังในการรักษาก็จะช่วยวิเคราะห์โรค ทำความสะอาดแผล แนะนำการดูแลรักษาร่างกายเบื้องต้นให้แก่คนยากคนจน และแจกจ่ายยารักษาโรค แต่ก็ไม่ค่อยเพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยเพราะยาที่ใช้รักษาอาการเจ็บไข้ต่าง ๆ นั้นมีราคาแพงมากนั่นเอง แน่นอนว่าการออกไปรักษาโรคให้กับคนยากจนของเจ้าหญิงอลาน่านั้นถูกคัดค้านจากราชองครักษ์อองเดรเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหญิงถึงต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงต่อการติดโรคจากพวกคนจนสกปรกเหล่านั้น ซึ่งเจ้าหญิงก็ให้เหตุผลว่าประเทศชาติจะเข็มแข็งมั่นคงได้อย่างไรหากประชาชนอ่อนแอและเจ็บป่วยอยู่อย่างนี้ จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหญิงผู้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการที่จะดูแลประชาชนให้มีสุขภาพดีแข็งแรง เพื่อประชาชนจะสามารถใช้ความรู้ความสามารถมาพัฒนาแอนดิซองได้อย่างเต็มที่ ทว่าเหตุผลของเจ้าหญิงก็ไม่ได้ทำให้ราชองครักษ์ยอมรับหรือเข้าใจอะไรมากขึ้น เขายังคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางเจ้าหญิงไม่ให้ทำตามที่ปรารถนาได้ จึงได้แต่ส่งทหารตามไปอารักขาและเตรียมหมอหลวงให้ตรวจสุขภาพเจ้าหญิงทุกครั้งที่กลับจากการรักษาโรคของคนจน วันนี้คณะของเจ้าหญิงก็มาที่ท่าเรือตามเวลาปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง เต็นท์ที่ให้การรักษาถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างง่าย ๆ ด้วยความรวดเร็วโดยเหล่านายทหารที่ติดตามมาด้วย ทว่าวันนี้กลับดูแตกต่างไปจากทุกวัน เพราะบริเวณท่าเรือกลับคลาคล่ำไปด้วยคนต่างชาติมากมาย ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วเจ้าหญิงก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชาวฟูดินันและชาวฟีเลเซียแน่นอน บางคนก็มองเข้ามาในเต็นท์ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นว่าพวกซิสเตอร์เหล่านี้กำลังทำอะไรกัน บางคนที่รู้ว่าซิสเตอร์เหล่านี้รักษาอาการป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายก็มายืนเข้าแถวต่อคิวจนแถวยาวเยียด ซิสเตอร์รู้ไหมคะว่าทำไมชาวฟูดินันและชาวฟีเลเซียถึงมาที่แอนดิซองมากมายขนาดนี้? อลาน่าเอ่ยถามซิสเตอร์โรซาน่าขณะที่มือทั้งสองกำลังพันแผลที่แขนให้กับชายคนหนึ่ง อ้าว...ซิสเตอร์ไม่รู้หรือขอรับ คนพวกนี้เขาหนีภัยสงครามมา นี่เห็นว่ายังจะมีมากับเรือใหญ่อีกหลายร้อยเลยนะขอรับ คืนนี้คงมีคนนอนข้างถนนกันบานเลย ชายที่อลาน่ากำลังพันแผลให้พูดขึ้นยิ้มแห้ง ๆ เพราะคิดว่าคืนนี้คงต้องมีการแย่งที่นอนกันแน่ ๆ เขาลุกขึ้นเมื่ออลาน่าทำแผลเสร็จแล้วจึงกล่าวขอบคุณซิสเตอร์ก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ไป ซิสเตอร์คะ ซิสเตอร์คิดว่าอย่างไรถ้าหากฉันจะสร้างอาคารขึ้นหลังหนึ่งไว้สำหรับเป็นที่พักในยามค่ำคืนสำหรับผู้ยากไร้และผู้อพยพเหล่านี้? ฉันคิดว่าต่อให้เรารักษาอาการเจ็บไข้ของพวกเขา แต่ถ้าพวกเขายังนอนตากน้ำค้างและลมหนาวอย่างนี้ทุกวันก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วผู้อพยพเหล่านี้ อลาน่ากว้างตามองผู้อพยพที่มีทั้งเด็กเล็ก ๆ ผู้หญิง และคนแก่ พวกเขาบางคนอพยพมาแบบแทบจะตัวเปล่าเลย แอนดิซองอากาศหนาวเย็นกว่าที่ที่เขาจากมามากนะคะ พวกเขาจะทนสภาพอากาศแบบนี้ได้หรือ? ฝ่าบาท พระองค์ไม่จำเป็นต้องถามหม่อมฉันเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยจะทำเพื่อพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าทั้งนั้น ซิสเตอร์โรซาน่ายิ้มอย่างชื่นชม แต่พระองค์จะเอาทุนทรัพย์จากที่ไหนมาสร้างอาคารให้พวกเขาหรือเพคะ? ทั้งยังที่ดินที่ใหญ่พอจะสร้างอาคารขนาดใหญ่เพื่อจุคนเหล่านี้อีก หม่อมฉันคิดว่าพวกสมาคมพ่อค้าเจ้าปัญหาต้องไม่อยู่เฉยแน่เพคะ ใช่...ฉันก็คิดว่าพวกเขาไม่ยอมเสียผลประโยชน์แน่ ๆ เพราะที่ดินแถบนี้เป็นของพวกเขาทั้งนั้นเลยนี่คะ เจ้าหญิงอลาน่ากล่าวอย่างครุ่นคิด ซิสเตอร์โรซาน่ามองใบหน้าของเจ้าหญิงก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน ฝ่าบาท หม่อมฉันสังเกตว่าพระพักตร์ซีด ๆ ไปนะเพคะ พระองค์ประชวรรึเปล่า? ให้หม่อมฉันตรวจดูอาการสักหน่อยไหมเพคะ? ไม่เป็นอะไรหรอกคะ ซิสเตอร์ใช้พลังช่วยรักษาพวกเขาดีกว่า ฉันแค่เพลีย ๆ นิดหน่อยเท่านั้นเองคะ เพราะช่วงนี้งานในวังมีมาก ฉันเลยต้องตรวจดูอะไรหลายอย่าง อลาน่ายิ้มปฏิเสธด้วยความสุภาพ ถ้าเช่นนั้นพระองค์กลับไปพักผ่อนก่อนดีไหมเพคะ? หม่อมฉันจะดูแลงานทางนี้เอง ซิสเตอร์โรซาน่าเสนอเพราะความห่วงใย ฉันยังไหวคะ แล้ววันนี้คนป่วยมีมากกว่าทุกวันเกือบสามเท่าได้กระมัง ถ้าขาดใครไปสักคนที่นี่ต้องวุ่นวายแน่ ๆ ให้ฉันอยู่ต่อเถอะนะจ๊ะ อลาน่าขอร้อง ซิสเตอร์โรซาน่าเอียงคอเล็กน้อย มองสำรวจใบหน้าของเจ้าหญิงเพื่อประเมินอาการด้วยสายตาที่ฉายแววกังวล ก็ได้เพคะ แต่ถ้าพระองค์รู้สึกแย่ลงเมื่อไหร่ พระองค์ต้องรีบบอกหม่อมฉันทันที และเมื่อกลับไปถึงปราสาทแล้วก็ต้องรีบพักผ่อนนะเพคะ ตกลงค่ะ อลาน่ารับคำยิ้มอย่างร่าเริง Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 21, 2005, 02:15:18 AM กว่าจะรักษาผู้ป่วยจนครบหมดทุกคนก็เป็นเวลาเกือบพลบค่ำแล้ว คณะของซิสเตอร์ต่างก็มุ่งกลับอารามที่พัก โดยคณะของเจ้าหญิงอลาน่าเข้าถึงที่พักเป็นคณะหลังสุด ก่อนจากกันซิสเตอร์โรซาน่าก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับให้เจ้าหญิงพักผ่อนทันที ซึ่งอลาน่าก็รับปากแต่โดยดี ทว่าเมื่อกลับถึงปราสาทแล้วกลับมีราชกิจมากมายรออยู่ เพราะเกิดสงครามขึ้นแม้แอนดิซองมิได้เข้าร่วมในสงคราม แต่ผลกระทบต่าง ๆ ก็เริ่มจะส่อเค้าว่าจะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อแอนดิซอง มีเอกสารมากมายที่เจ้าหญิงต้องดู มีปัญหามากมายที่ต้องนำเข้าที่ประชุม
ทันทีที่เจ้าหญิงเสด็จถึงปราสาทก็ต้องรีบเข้าร่วมประชุมกับสภาขุนนาง สภาศาสนา และสภาพ่อค้าเรื่องการเพิ่มงบประมาณที่จะสำรองไว้ใช้ในราชสำนักและสภาทั้งสองสำหรับฤดูหนาวที่ปีนี้มาเร็วกว่าปกติ การประชุมที่เคร่งเครียดดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเพราะต่างก็หาข้อสรุปที่น่าพอใจไม่ได้ เนื่องจากเริ่มมีผู้อพยพเดินทางมาที่แอนดิซองมากขึ้น ทั้งยังอยู่ในภาวะสงครามจึงต้องสำรองเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ป้องกันอาณาจักรหากเกิดกรณีฉุกเฉิน กว่าที่ประชุมจะได้ข้อยุติเวลาก็ล่วงเลยเกือบถึงเที่ยงคืน อลาน่าเดินออกจากห้องประชุมพร้อมเหล่านางกำนัลสี่นางมุ่งสู่เขตพระราชฐานชั้นในด้วยความเหนื่อยอ่อน ฝีเท้าของเธอช้าลงเรื่อย ๆ จนเหล่านางกำนัลเริ่มมองหน้ากัน ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรรึเปล่าเพคะ? นางกำนัลคนหนี่งถามขึ้นในที่สุด อลาน่าหันมายิ้มน้อย ๆ พูดเสียงเบา ฉันคิดว่าวันนี้ฉันคงจะเหนื่อยไปหน่อยเท่านั้นเองจ้ะ ให้หม่อมฉันช่วยพยุงไหมเพคะ พระองค์ดูพระพักตร์ซีดราวกับกระดาษเลยนะเพคะ นางกำนัลอีกคนรีบพูดขยับตัวเข้าไปใกล้ด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าหญิง ไม่เป็นไรจ้ะ อีกนิดเดียวก็ถึงห้องของฉันแล้ว อลาน่ายิ้มก่อนจะหมุนตัวกลับ ทว่าทันใดนั้นก็เหมือนกับโถงทางเดินเหวี่ยงตัวหมุนเคว้ง เพดานและผนังดูเหมือนจะถูกบีบพับลงมากองกับพื้น เจ้าหญิงได้ยินแต่เสียงหวีดร้องของเหล่านางกำนัล อลาน่ารีบพูดปลอบขวัญพวกนางทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นแค่เสียงพึมพำเบา ๆ เข่าทั้งสองของเธออ่อนยวบแล้วทุกอย่างก็ค่อย ๆ พร่าเลือนไป คงไม่มีใครได้ยินเสียงปลอบขวัญของเธอเพราะเธอยังรู้สึกได้ว่าเหล่านางกำนัลยังคงร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่รอบ ๆ ตัวเธอก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นมืดสนิท s [/b] อลาน่ารู้สึกถึงสายน้ำเย็นสดชื่นสะอาดบริสุทธิ์ไหลผ่านทั่วทั้งร่างของเธออย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายตัวเหมือนนอนอยู่บนปุยเมฆนุ่มขาวสะอาด นี่เธอมานอนเล่นอยู่บนสรวงสวรรค์หรือไรนะ เมื่อคิดดังนั้นก็ปรารถนาอย่างเหลือเกินที่จะเห็นความงดงามของสรวงสวรรค์แห่งนี้ เจ้าหญิงจึงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ แสงอรุณรุ่งรำไรที่แผ่ลำแสงอันอบอุ่นเข้ามาเยี่ยมเยือนภายในห้องสีฟ้าอ่อนทำให้ทั่วทั้งห้องแลดูสดใสเหมือนท้องฟ้ายามเช้า ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างแสนจะธรรมดาและเรียบง่ายผิดกับห้องหับอื่น ๆ ในปราสาทที่เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาและการตกแต่งที่วิจิตรตระการตาจากบรรดาช่างฝีมือดีนับพันคน ห้องนี้ไม่มีเพชรพลอยประดับ ไม่มีเครื่องตกแต่งไร้สาระราคาแพง ไม่มีแม้แต่เครื่องเรือนหรูหราที่ประดับด้วยทองคำอย่างที่ขุนนางและชนชั้นสูงในแอนดิซองนิยมใช้กัน หากใครได้มาเห็นห้องบรรทมนี้คงไม่มีวันเชื่อแน่ว่าจะเป็นห้องบรรทมของเจ้าหญิงผู้มีตำแหน่งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแห่งแอนดิซอง แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ยามเช้าที่ทอแสงลอดตามช่องหน้าต่างเข้ามาอย่างอ่อนโยนทำให้เจ้าหญิงอลาน่ามองเห็นว่าเธออยู่บนแท่นบรรทมของเธอเองโดยมีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและน้ำตาที่เอ่อคลอของซิสเตอร์ที่เธอรักไม่ต่างจากมารดาอีกคนหนึ่งอยู่ข้างเตียงของเธอ ซิสเตอร์ดูเหมือนนางฟ้าที่มากับแสงอรุณรุ่งเลยนะคะ อลาน่าพูดเสียงเบายิ้มน้อย ๆ ยังจะมาตรัสล้อหม่อมฉันเล่นอีกนะเพคะ พระองค์ทราบไหมว่าหม่อมฉันตกใจแค่ไหนตอนที่พวกมหาดเล็กวิ่งหน้าตาตื่นไปตามหม่อมฉันที่อารามแล้วบอกหม่อมฉันว่าพระองค์เป็นลม? พอหม่อมฉันมาถึงทั้งพวกนางกำนัลและหมอหลวงก็วุ่นวายไปทั่วทั้งห้องเลย พระองค์บรรทมไปหนึ่งวันเต็ม ๆ เชียว นี่ก็เข้าเช้าวันนิล(Nil)แล้วเพคะ ซิสเตอร์โรซาน่ามองเจ้าหญิงของเธออย่างอ่อนโยน[/size] Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 21, 2005, 02:16:51 AM ฉันเป็นลมรึคะ? อลาน่าพูดงง ๆ ฉันคิดว่าปราสาทถล่มเสียอีก
ถ้าพระองค์ยังไม่ฟื้นปราสาทคงถล่มจริง ๆ นั่นแหละเพคะ ราชองครักษ์อองเดรแทบจะบีบคอหมอหลวงอยู่แล้วเพราะพระองค์ไม่ฟื้นเสียที ทั้งนางกำนัลและมหาดเล็กก็โดนหางเลขกันเป็นแถว ขนาดหม่อมฉันยังโดนไปด้วยเลยเพคะ โทษฐานที่ปล่อยให้พระองค์ตรากตรำทำงานมากเกินไป โอ!ตายจริง แล้วพวกเขาเป็นอย่างไรมากไหมคะ? แล้วซิสเตอร์ล่ะคะ? เจ้าหญิงอลาน่าอดตกพระทัยไม่ได้ที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ทุกคนต้องเดือดร้อน ไม่ต้องทรงวิตกกังวลหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร เขาไม่กล้าทำอะไรหม่อมฉันอยู่แล้วเพราะหม่อมฉันเคยช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ก็เรียกได้ว่าไม่พอใจหม่อมฉันเท่าไหร่นักหรอกเพคะ ที่ยอมสงบลงได้ก็เพราะหม่อมฉันยืนยันว่าจะใช้พลังรักษาช่วยเสริมกำลังให้พระองค์ และยืนยันกับเขาอีกว่าวันนี้พระองค์จะคืนสติ ที่พระองค์ยังไม่ฟื้นก็เพราะร่างกายอ่อนเพลียมากและต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอเท่านั้นเอง ซิสเตอร์โรซาน่าตบหลังมือเจ้าหญิงเบา ๆ หม่อมฉันบอกแล้วว่าให้พระองค์พักผ่อน ทำไมพระองค์ยังดื้อฝืนไปนั่งประชุมอีกละเพคะ? ฉันแค่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงเลยคิดว่าถ้าอดทนอีกหน่อยก็จะได้กลับเข้าห้องบรรทมแล้ว ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นลมไปน่ะคะ ขอโทษนะคะที่ฉันทำให้ซิสเตอร์ต้องลำบาก อลาน่าเอื้อมมือมาจับมือซิสเตอร์โรซาน่าที่เกาะกุมมือซ้ายของเธออยู่ ไม่เป็นไรเพคะ แต่ตอนนี้พระองค์นอนพักอีกสักหน่อยดีไหมเพคะ? หม่อมฉันจะไปแจ้งราชองครักษ์และคนอื่น ๆ ว่าพระองค์ฟื้นแล้ว พวกเขาจะได้คลายกังวลกัน นี่พวกเขาเตรียมโอสถไว้ให้พระองค์มากมายจนจะเสวยได้ทั้งปีเลยมั๊งเพคะ ซิสเตอร์โรซาน่าพูดขำ ๆ ในขณะที่อลาน่ายิ้มอย่างอารมณ์ดี ก็ดีสิคะ ฉันจะได้มียาไว้แจกประชาชนของฉัน เสียงหัวเราะของสตรีทั้งสองดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน แต่จู่ ๆ อลาน่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งขึ้น ซิสเตอร์คะ อย่าแจ้งไปทางเสด็จพ่อกับเสด็จแม่นะคะ ฉันไม่อยากให้ทั้งสองพระองค์เป็นกังวล เพคะ ซิสเตอร์มองตอบอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องและปิดประตูลงเบา ๆ เช้าวันลักษ์เจ้าหญิงอลาน่าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระฉับกระเฉง เธอฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับวันนี้ที่เธอจะได้แจกอาหารให้แก่คนยากจนอย่างมีความสุข ทันทีที่เจ้าหญิงเสด็จไปถึงบริเวณลานกว้างหน้าประตูทิศตะวันออกที่ที่เหล่าซิสเตอร์ใช้เป็นจุดนัดพบประจำก่อนออกช่วยเหลือคนยากจน เจ้าหญิงเห็นซิสเตอร์กลุ่มใหญ่ยืนรออยู่ก่อนแล้วจึงรีบตามไปสมทบทันที ทว่าบรรยากาศวันนี้กลับดูตึงเครียดหม่นหมองกว่าทุก ๆ วัน เกิดอะไรขึ้นหรือคะซิสเตอร์? เจ้าหญิงถามซิสเตอร์โรซาน่าด้วยความสงสัยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ราชองครักษ์อองเดรนำกำลังทหารหลายร้อยนายตั้งด่านสกัดตามถนนสายต่าง ๆ เพื่อกันคนยากคนจนไม่ให้เข้ามาในเขตเมืองท่าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพคะ รวมทั้งกวาดต้อนคนยากจนและผู้อพยพขึ้นเกวียนออกไปนอกพื้นที่ที่เราจะแจกจ่ายอาหารในวันนี้ทั้งหมด วันนี้จึงไม่มีคนยากจนและผู้อพยพอยู่ในเมืองเลยแม้แต่คนเดียวเพคะ ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด เขาทำอย่างนั้นทำไมคะ? อลาน่าถามอย่างตกใจ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นด้วยความตระหนก เขาบอกว่า เพราะคนจนเหล่านี้ทำให้พระองค์เหน็ดเหนื่อยจนถึงกับประชวร และถึงแม้ว่าพระองค์ประชวรอยู่อย่างนี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้จักสำนึกยังคิดจะเดินทางเข้ามารับบริจาคทำให้พระองค์ไม่ได้พักผ่อน ไม่มีเหตุผลเลย ดีละ...ถ้าเช่นนั้นฉันจะออกไปแจกอาหารพวกเขาที่นอกเมืองเอง อลาน่ากล่าวจบก็ก้าวขึ้นรถม้าอย่างเด็ดเดี่ยว ฝ่าบาท ซิสเตอร์โรซาน่ากล่าวทัดทานสีหน้ายังไม่คลายความวิตกเพราะรู้แน่ว่าอองเดรคงแทบคลั่งที่เจ้าหญิงจะเสด็จออกนอกเมืองเช่นนี้ ถ้าท่านราชองครักษ์ไม่พอใจก็ให้เขามาพูดกับฉันเองคะ ฉันจะไม่ยอมให้ประชาชนของฉันต้องหิวโหยและหนาวสั่นอยู่นอกเมืองอย่างนั้น อลาน่าพูดอย่างเศร้าสร้อยเมื่อคิดถึงภาพคนยากจนและผู้อพยพนับพันที่แออัดอยู่นอกเมืองโดยไม่มีอาหารกิน ฝ่าบาท!! เสียงเย็นยะเยือกเปี่ยมด้วยพลังอย่างนายทหารดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้เหล่าซิสเตอร์ตกใจหันไปมองที่มาของเสียงเป็นตาเดียว ทุกคนต่างยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอกับสายตาแข็งกร้าวที่ตรึงทุกคนไว้กับที่ ราชองครักษ์อองเดรยืนนิ่งอยู่ที่กาบประตูปราสาทฝั่งตะวันออกดวงตาเย็นยะเยือกฉายแววตระหนกอยู่เพียงชั่ววูบก่อนจะกลายเป็นไร้อารมณ์เช่นเดิม สายตาคมกริบของเขามองปราดเข้าไปบนรถม้าก่อนจะจ้องมองเขม็งไปทางซิสเตอร์โรซาน่าก่อนจะสาวเท้าผ่านกลุ่มซิสเตอร์ที่เดินเลี่ยงหลบเป็นทางให้เขา เจ้าหญิงยังไม่ทรงหายประชวรดีทำไมท่านถึงยังให้พระองค์ออกมาข้างนอกอย่างนี้ อองเดรตำหนิซิสเตอร์อย่างกล่าวหาด้วยสายตาและน้ำเสียงเย็นเฉียบ ซิสเตอร์ห้ามแล้วจ้ะ แต่นี่เป็นความประสงค์ของฉันเองที่จะออกไปนอกเมือง Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 21, 2005, 02:21:20 AM อองเดรร่างกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น แม้ใบหน้าจะยังคงนิ่งเฉยอยู่ นอกเมืองหรือพ่ะย่ะค่ะ!? พระองค์จะออกไปนอกเมืองเพื่ออะไรกัน? พระองค์ไม่ควรออกมาตากลมอยู่เช่นนี้ด้วยซ้ำ
ฉันก็จะออกไปแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนของฉันอย่างที่ทำทุกวันลักษ์นะสิจ๊ะ ในเมื่อพวกเขาเข้ามารับอาหารไม่ได้ ฉันก็จะออกไปส่งอาหารให้พวกเขาเอง ไม่ได้เด็ดขาด และพระองค์เองก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกมาข้างนอกอย่างนี้ด้วย อองเดรยังคงดึงดันกล่าวเสียงเฉียบ ใบหน้าแข็งกร้าวขึ้น ใครจะรู้จักร่างกายของฉันได้ดีไปกว่าตัวฉันเองล่ะจ๊ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกสบายดีมาก ๆ และตื่นเต้นมากจนแทบทนไม่ได้ที่จะได้ไปแจกอาหารให้ประชาชนที่น่าสงสารของฉัน ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันออกไปนอกเมืองก็แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาหาฉันที่นี่ละจ๊ะ อองเดรนิ่งเงียบไปทันทีรู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุมอีกครั้ง เขาจ้องพระพักตร์อันงดงามของเจ้าหญิงด้วยดวงตาสีฟ้าอมเทาที่ไร้อารมณ์ทว่ากลับฉายแววประหลาดน้อย ๆ ขึ้นวูบหนึ่งที่หากไม่จับตาดูให้ดีคงไม่มีใครสังเกตเห็น ทำไมพระองค์ถึงต้องทำร้ายพระวรกายของพระองค์เองเช่นนี้ อองเดรพูดเสียงเย็นเบา ๆ เป็นเสียงที่ทำให้ซิสเตอร์โรซาน่าต้องหันมามองด้วยความประหลาดใจในความรู้สึกที่เจือออกมาทางน้ำเสียงของราชองครักษ์หนุ่มวัยสามสิบสามปีผู้นี้ ฉันไม่ได้ทำร้ายตัวเองจ้ะอองเดร แต่การช่วยเหลือผู้คนคือความสุขเพียงอย่างเดียวสำหรับฉัน ฉันยินดีที่จะลดราชกิจต่าง ๆ ลงเพื่อแลกกับการที่ฉันจะได้ช่วยเหลือประชาชนของฉันได้มากขึ้น อลาน่าพูดขึ้นแล้วก็ต้องยิ้มออกมาในทันทีเมื่อคิดถึงเวลาที่มากขึ้นหากเธอลดงานราชการลง ทำไมเธอเพิ่งจะนึกวิธีนี้ได้นะ ถึงกระนั้น กระหม่อม... ถ้าเธอกังวลเรื่องสุขภาพของฉัน ฉันก็ยินดีที่จะตั้งซุ้มแจกอาหารที่หน้าปราสาทนี้ และถ้าฉันรู้สึกอ่อนเพลียฉันก็จะได้เข้ามาพักผ่อนในปราสาทได้ทันที อองเดรขบกร้ามแน่น สีหน้าของเขายังคงราบเรียบแต่ทุกคนก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่แผ่ออกมาเป็นริ้ว ๆ ซึ่งหมุนวนอยู่รอบ ๆ ร่างของบุรุษน้ำแข็งผู้นี้ สั่งยกเลิกด่านกักบริเวณ แล้วจัดการตั้งซุ้มที่หน้าปราสาทให้เจ้าหญิงเดี๋ยวนี้ อองเดร หันไปสั่งมหาดเล็กด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและเย็นยะเยือกจนผู้รับคำสั่งถึงกับขนลุกซู่ เมื่อพูดจบอองเดรก็โค้งให้เจ้าหญิง ถึงอย่างไรก็ขอให้พระองค์ทรงรักษาพระวรกายด้วย ขอบใจจ้ะ อลาน่ายิ้มกล่าวอย่างมีความสุข อองเดรยืนนิ่งมองเจ้าหญิงอยู่ครู่หนึ่งดวงตาสีฟ้าหม่นของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ริมฝีปากเม้มแน่นสนิทแต่ท่าทางของเขากลับดูเหมือนว่าเขามีความลังเลใจคล้ายกำลังตัดสินใจว่าจะกล่าวอะไรบ้างอย่างกับเจ้าหญิง ทว่าเพียงชั่วครู่เขาก็เปลี่ยนใจก่อนโค้งให้เจ้าหญิงอย่างสง่างามพลางหมุนตัวกลับก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความโล่งใจของบรรดาซิสเตอร์ อองเดรเดินจากไปพร้อมกับคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในใจของเขา เขาไม่เคยห้ามเจ้าหญิงได้สำเร็จเลยสักครั้ง เขาไม่เคยเข้าใจความคิดของเจ้าหญิงเลย ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องปฏิเสธความหวังดีของเขาทุกครั้ง? ทำไมเจ้าหญิงถึงต้องทำเพื่อคนยากจนสกปรก ไร้ค่า และไม่มีอะไรเลยมากมายถึงขนาดนี้? เขาไม่เข้าใจว่าทำไมความสุขเพียงอย่างเดียวของเจ้าหญิงคือการช่วยเหลือคนเหล่านี้? ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหญิงถึงไม่ต้องการความสุขสบายและความร่ำรวยทั้ง ๆ ที่ทุกคนในอาณาจักรนี้ปรารถนาและขวนขวายหามันอย่างไม่เคยพอ? ทำไม?...ทำไม? Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 21, 2005, 02:23:46 AM ภายในงานชุมนุมหัวหน้าเผ่าใต้มหาพฤกษาอิกดราซิลที่ทางเผ่าฟูดินันได้จัดขึ้นซึ่งหลังจากเทศกาลเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว(Harvest Spirit)หนึ่งวัน หัวหน้าเผ่าและผู้นำระดับสูงจากเผ่าต่าง ๆ ทั้งน้อยใหญ่ต่างเดินทางมาร่วมชุมนุมกันมากมาย รวมถึงผู้อาวุโสของเผ่าต่าง ๆ ก็ได้รับเชิญมาร่วมในงานชุมนุมในวันนี้เช่นกัน แต่เผ่าที่ดูโดดเด่นและเป็นที่น่าจับตามองคงไม่พ้นเผ่าฟูดินัน เผ่าเซนทอร์ เผ่าสมิง และ เผ่าป่าทมิฬ
เผ่าสมิงเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่มากบริเวณตอนใต้ของเผ่าป่าทมิฬ ถิ่นอาศัยกินอาณาบริเวณกว้างตั้งแต่ตอนใต้ของป่าทมิฬจรดทะเลสาบนีรันดาซ้ายติดเทือกเขาที่เป็นที่ตั้งเมืองวอลเนียของฟีเลเซียส่วนด้านขวาติดกับเผ่าฟูดินัน เผ่าสมิงส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมทั้งสามตน คือ คาร์น(Karn, Leon Infantry) สมิงสายพันธุ์สิงโตผู้ซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์สูงใหญ่กำยำบึกบึน ใบหน้าเหมือนราชสีห์ดูองอาจน่าเกรงขามสมกับเป็นจอมทัพสมิงตัวแทนของผู้นำเผ่า ข้างกายคาร์นคือยอดฝีมือนามว่า แกสช์(Gash) สมิงสายพันธุ์เสือผู้มีเขายาวสีทองบิดเป็นเกลียวอยู่บนหน้าผาก ใบหน้าดุดัน ท่วงท่าสง่างามไม่ต่างจากพยัคฆ์ใหญ่ผู้เจนไพร มีอาวุธร้ายกาจถึงสองชิ้นเป็นอาวุธคู่กายคือขวานสองคมขนาดใหญ่และโซ่ที่ปลายมีตุ้มหนามเหล็ก ส่วนสมิงอีกตนหนึ่งคือผู้ที่มีฉายาว่าโทมาฮอว์ค เลพเพิร์ด(Tomahawk Leopard) สมิงสายพันธุ์เสือดาวรูปร่างใหญ่โตเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขี้ยวยาวคมกริบสีขาวทั้งสองยาวเกือบจรดอกแลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาแต่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกเขาว่าโทมาฮอว์ค เลพเพิร์ด ตามฝีมือที่ร้ายกาจในการใช้อาวุธคู่กายของเขา ซึ่งก็คือขวานสองคมขนาดใหญ่ที่มีผ้าสีแดงราวกับเลือดผูกคิดอยู่ที่โค่นขวานยักษ์นั่นเอง การปรากฏตัวของสมิงทั้งสามสร้างความครั่นคร้ามให้แก่หัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ไม่น้อยทีเดียว เผ่าสมิงเป็นเผ่าที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครนัก ไม่เคยเข้าร่วมสงครามหากไม่ถูกบีบบังคับ ดังนั้นการที่เผ่าสมิงมาร่วมในงานประชุมในครั้งนี้จึงทำให้หลาย ๆ เผ่าอดหวั่นวิตกกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นไม่ได้ ข้างฝ่ายเผ่าป่าทมิฬนำโดยดามิก้า ผู้นำระดับสูงของเผ่าทมิฬที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นระดับหัวหน้าได้แม้จะเป็นผู้หญิงและอายุยังน้อย ดามิก้ามีโทนิม่านักรบผู้ฝึกสัตว์ที่มากด้วยความสามารถเป็นผู้ติดตาม และ ฟูมิน(Fumin)นักรบระดับสูงอีกผู้หนึ่งของเผ่าป่าทมิฬ เขาสวมผ้าคลุมสีน้ำตาลขนาดใหญ่ แต่งกายมิดชิดจนไม่เห็นผิวเนื้อ เขาซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากากสีขาวที่เห็นเพียงดวงตาที่แข็งกร้าวของเขาเท่านั้น อาวุธคู่กายคือดาบสีแดงสองปลาย ฟูมินก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าร่วมในสงครามระหว่างเผ่าเมื่อสิบห้าปีก่อน หลายคนเชื่อว่าเขาถูกไฟคลอกตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างเผ่าในครั้งนั้นจนกลายเป็นคนที่มีรูปร่างและหน้าตาอัปลักษณ์ เป็นเหตุให้เขาต้องสวมหน้ากากและแต่งกายปกปิดผิวหนังที่ถูกไฟไหม้อย่างน่ากลัว ตั้งแต่นั้นมาจึงแทบจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาอีกเลยแม้แต่คนเดียวตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่แท้จริงแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ชาวเผ่าป่าทมิฬมักจะโดนตั้งข้อรังเกียจและถูกดูแคลนระคนหวาดกลัวจากเผ่าอื่น ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเพราะความเหี้ยมโหดหรือฝีมือการรบที่รุนแรงร้ายกาจตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่า การใช้เวทย์สายดำของเหล่าพ่อมดหมอผีในเผ่า และรวมไปถึงการอยู่ร่วมกันอย่างแปลกประหลาดและหลากหลายของคนต่างเผ่าต่างพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เผ่าต่าง ๆ สมิงที่หลากหลายสายพันธุ์ และรวมไปถึงเผ่าประหลาดอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมประสมปนเปกันไปหมด จนทุกเผ่าตราหน้าว่าเผ่าป่าทมิฬเป็นเผ่าที่ไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสามจะถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก ในขณะที่เผ่าเซนทอร์เองก็ส่งนายพลทราเฮิร์น(Trahern, the Centaur General) แม่ทัพเซนทอร์ผู้มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในเผ่าเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน อาวุธประจำกายของเขาคือทวนปลายแหลมขนาดใหญ่อันแข็งแกร่ง แม่ทัพทราเฮริ์นก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เคยนำทัพเมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฟูดินันเนื่องจากเผ่าเซนทอร์นั้นเป็นพันธมิตรที่เหนี่ยวแน่นของเผ่าฟูดินันมาช้านาน โดยนายพลทราเฮิร์นนั่งอยู่ไม่ไกลจากผู้เฒ่าวูจินนัก เมื่อทุกเผ่ามาพร้อมหน้ากันแล้ว ฮารีซันจึงลุกขึ้นกล่าวต้อนรับด้วยเสียงอันดัง ขอบคุณท่านผู้นำเผ่า ผู้อาวุโส และตัวแทนเผ่าต่าง ๆ ทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานชุมนุมในวันนี้ เหตุที่ข้า ฮาริซันแห่งฟูดินันต้องเชิญทุกท่านมาร่วมชุมนุมเป็นการด่วนในวันนี้ก็เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้ข้าเพิ่งได้ข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างซาโลมและฟีเลเซียที่กำลังเกิดขึ้นอีกฟากของคีรีบันดา เสียงฮือฮาด้วยความตระหนกตกใจดังกระหึ่มขึ้นทันที เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งผู้อาวุโสและบรรดาผู้นำเผ่าต่าง ๆ ดังเซ็งแซ่ ท่านรู้ได้อย่างไร? ผู้อาวุโสจากเผ่าหนึ่งเอ่ยถามขึ้นในที่สุด ฮารีซันจึงเล่าเหตุการณ์ที่ได้ฟังจากโจซานให้ฟังทั้งหมด ทุกคนที่ได้ฟังต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 21, 2005, 02:25:30 AM ข้าเพิ่งรู้ว่าหัวหน้าเผ่าฟูดินันเชื่อลมปากช่างโม้ของเจ้าโจซานด้วย ฟูมินพูดขึ้นมาลอย ๆ แต่ก็ทำให้หลายคนที่ยังกังขาในความอ่อนเยาว์เกินไปของฮารีซันที่ได้เป็นหัวหน้าเผ่าใหญ่อย่างฟูดินันอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ดามิก้าซึ่งถือว่ามิตรที่สนิทสนมกับเผ่าฟูดินันโดยเฉพาะกับครอบครัวบันดาราจึงอดโมโหแทนไม่ได้ที่เพื่อนของตนถูกหักหน้ากลางที่ประชุม จึงตบโต๊ะเสียงดังหันไปมองฟูมินทันที พร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะที่เงียบสนิทลงทันทีเช่นกัน ในขณะที่ฟูมินก็จ้องตอบดามิก้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่เป็นไรหรอกดามิก้า ท่านฟูมินและคนอื่น ๆ ก็มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นเช่นกัน และด้วยอุปนิสัยของโจซานก็เป็นไปได้ที่จะทำให้คิดเช่นนั้น คำพูดที่ไม่แม้แต่จะแสดงความโกรธเคืองหรือคิดถือสาหาความของฮารีซันนั้นทำให้ผู้อาวุโสและผู้นำเผ่าหลายคนเกิดความประทับใจในความอดทนและใจกว้างของผู้นำเผ่ารุ่นเยาว์ผู้นี้ ฮารีซันกล่าวต่อไปว่า ทุก ๆ ท่าน แม้โจซานจะชอบคุยโม้คุยโตจนเกินจริงแต่ทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมีพื้นฐานมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงทั้งนั้น พวกเราทุกคนที่นี่ก็ล้วนแล้วแต่ทราบดีว่าฝูงมังกรไฟที่บุกเผาทำลายป่าของพวกเราที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นฝีมือของอาณาจักรซาโลมเช่นกัน ซึ่งก็เป็นที่เครื่องยืนยันว่าอาณาจักรซาโลมได้ยกทัพมาทางตอนกลางของทวีปเมอรีเซียจริง พวกมันคงหวังจะขยายอาณาจักรจึงคิดทำลายล้างและขับไล่พวกเรา เพียงแต่ท่านมหาพฤกษาอิกดราซิลช่วยคายน้ำดับไฟป่าให้เรา ทำให้แผนการของพวกมันไม่สำเร็จจึงได้หันไปโจมตีอาณาจักรฟีเลเซียแทน แต่พวกเราก็คงเคยได้ยินกิตติศักดิ์ของอาณาจักรซาโลมมาแล้วว่าหากหมายตาสิ่งใดแล้วละก็จะไม่ยอมรามือง่าย ๆ ดังนั้นข้าจึงเห็นว่าเวลานี้พวกมันอาจจะแค่เปลี่ยนแผนไปบุกฟีเลเซียก่อนและอาจจะกำลังรอเวลาที่จะโจมตีพวกเราอีกครั้ง ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของฮารีซัน แม้จะมีบางคนที่ยอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าการวิเคราะห์ของฮารีซันมีความเป็นไปได้สูง แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ไม่ใช่รึว่าพวกมันอาจจะเปลี่ยนใจแล้ว ผู้อาวุโสจากเผ่าเล็ก ๆ เผ่าหนึ่งกล่าวขึ้น สีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เหลวไหลน่า พวกเราทุกคนก็เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับอาณาจักรซาโลมกันมาแล้วว่าพวกมันร้ายกาจแค่ไหน ผู้อาวุโสอีกเผ่าเอ่ยขึ้น ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดี? ผู้นำเผ่าขนาดกลางคนหนึ่งถามด้วยความวิตก ถ้ามีสงครามอีก เผ่าของข้าคงไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป ลูกเผ่าก็เหลือน้อยจนจะไม่เรียกว่าเผ่าแล้ว ข้าจะอพยพ หัวหน้าเผ่าเล็ก ๆ อีกเผ่ากล่าวเสียงสั่น ขี้ขลาด ถ้าเจ้าอ่อนแอขนาดนี้ก็ยุบเผ่าของเจ้าแล้วออกจากการประชุมไปซะเดี๋ยวนี้เลยสิ ที่นี่ไม่เหมาะให้หมาขี้แพ้อย่างเจ้ามานั่งให้พื้นสกปรกหรอก ฟูมินกล่าวหยามดวงตาแข็งกร้าว เพราะสำหรับนักรบที่สู้ไม่เคยถอยอย่างเขาการถอดใจเป็นเรื่องที่น่าสมเพทที่สุด สิ้นคำฟูมินก็เกิดการทุ่มเถียงกันในหมู่ผู้นำเป็นการใหญ่ หลายคนที่ไม่พอใจท่าทีของฟูมินก็กล่าวหาชาวป่าทมิฬอย่างรุนแรง ในขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสงครามก็ยิ่งทวีความหวั่นวิตกในหมู่ผู้ชุมนุมขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การประชุมระอุแทบจะลุกเป็นไฟ ฉับพลันนั้นจู่ ๆ หัวหน้าเผ่าผู้ถูกหยามก็ชักดาบพุ่งเข้าใส่ฟูมินอย่างรวดเร็ว ด้านฟูมินเองก็ตวัดดาบกระโจนเข้าใส่อย่างไม่กริ่งเกรงท่ามกลางเสียงอุทานและความตระหนกตกใจของบรรดาผู้อาวุโสและผู้นำเผ่า เคร้ง!! ที่กลางลานประชุมนั้นเองดาบของทั้งสองกระทบเข้ากับอะไรบางอย่างจนต้องหยุดค้างอยู่ห่างจากกันเกือบวา ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงระคนโล่งใจของทุกคนเมื่อระหว่างบุคคลทั้งสองคือฮารีซันผู้นำแห่งเผ่าฟูดินันซึ่งพุ่งตัวออกไปขวางคนทั้งสองไว้ได้ทันท่วงที ฮารีซันยกโล่ที่แขนขึ้นรับแรงปะทะจากดาบทั้งสองไว้ได้อย่างมั่นคง เมื่อถูกฮารีซันขวางเช่นนี้ทั้งสองจึงชักอาวุธกลับแม้จะไม่ค่อยพอใจนัก ท่านทั้งสองและทุก ๆ ท่าน เวลานี้อยู่ในช่วงเวลาคับขัน ข้าศึกอาจจะบุกโจมตีเราได้ตลอดเวลา เราควรจะสามัคคีกันและมาช่วยกันหาทางรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นดีกว่า ท่านฮารีซันพูดถูกแล้ว พวกเราก็อยู่มานานแล้วแต่กลับลืมตัวปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความคิดเสียได้ช่างน่าละอายจริง ๆ ท่านวูจินคิดถูกแล้วที่มอบเผ่าฟูดินันให้ท่านดูแล ผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับเสียงสนับสนุนจากผู้นำอื่น ๆ มากมาย ซึ่งวูจินก็ยิ้มรับอย่างยินดี วันนี้ฮารีซันพร้อมจะเป็นผู้นำเต็มตัวแล้ว ฟูมินซ่อนแห่งความชิงชังไว้ใต้เปลือกตาที่หรี่แคบ แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจเก็บซ่อนอารมณ์ที่ประทุจนเดือดไว้ได้ข้าไม่ยอมรับเจ้าหรอกเจ้าเด็กเมื่อวานซืน เจ้ามันก็เหมือนกับพ่อของเจ้านั่นแหละ อวดดีทำเป็นนิ่งเงียบไม่ตอบโต้เหมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง แล้วยังมาเจ้ากี้เจ้าการทำตัวเป็นผู้นำเผ่าต่าง ๆ คนอย่างข้าจะก้มหัวให้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นไม่ใช่เด็กอ่อนแอขี้ขลาดแล้วยังอวดดีอย่างเจ้า ฟูมินประกาศกร้าวเผยความในใจออกมาในที่สุด ที่ข้านิ่งเฉยใช่ว่าเพราะข้าโง่งม ที่ข้าอดกลั้นไม่ใช่เพราะข้าขลาดกลัว แต่การที่ข้าอดทนและปกป้องนั่นต่างหากคือความเข้มแข็งที่ประเสริฐสุดฮารีซันกล่าวชัดถ้อยชัดคำด้วยความสุภาพไม่เจืออารมณ์เคืองโกรธแม้สักนิดจึงยิ่งทำให้เหล่าผู้นำและผู้อาวุโสยิ่งเกิดความนับถือในน้ำใจของผู้นำรุ่นเยาว์ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 21, 2005, 02:27:17 AM ทำเป็นพูดดีไปเถอะ ข้าจะคอยดูว่าคนอย่างเจ้าจะไปได้สักกี่น้ำ กล่าวจบฟูมินก็สะบัดผ้าคลุมเดินออกจากที่ประชุมไปโดยไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น เมื่อฟูมินจากไปแล้วดามิก้าจึงลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุมด้วยเสียงเคร่งเครียด
ขออภัยท่านผู้นำและผู้อาวุโสทุกท่านที่ฟูมินเสียมารยาท แต่เพราะเขาสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปมากรวมถึงครอบครัวของเขาตั้งแต่สมัยสงครามระหว่างเผ่า แล้วยังการโจมตีของซาโลมครั้งที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าเผ่าป่าทมิฬโดนโจมตีหนักที่สุด จึงทำให้เขายังมีความแค้นฝั่งลึกอยู่ในใจ เมื่อกลับไปถึงเผ่าข้าจะพูดกับเขาเอง ขอบใจมากดามิก้า ท่านฟูมินเองก็จัดว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ข้าก็หวังว่าเขาจะใช้ความสามารถของเขาช่วยเหลือพวกเราได้ในอนาคต อย่าวิตกเลยข้าไม่ถือสาหาความหรอก เรามาหารือกันต่อเถอะว่าพวกเราจะเตรียมรับมือพวกซาโลมอย่างไรดี เป็นอีกครั้งที่แม้ตัวฮารีซันเองจะไม่ได้สังเกตเห็นแต่คำพูดของเขาที่แสดงถึงความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจไม่ถือโทษคนที่ร้ายกาจกับตนได้ทำให้เหล่าผู้นำและผู้อาวุโสยิ่งเลื่อมใสในตัวของเขา จากนั้นการประชุมจึงได้เริ่มดำเนินต่อไปด้วยความสงบ ทว่าก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการประชุมที่ราบรื่นนักเพราะเผ่าสมิงยืนกร้านที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ข้าไม่เห็นว่าเผ่าสมิงจะมีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องเข้าร่วมในการเตรียมการครั้งนี้ คาร์นกล่าวด้วยเสียงคำรามต่ำคล้ายสิงโต แต่อย่างน้อยพวกเราก็อยู่ร่วมป่าเดียวกัน หากเกิดภัยสงครามขึ้น ทั่วทั้งป่าก็ต้องลุกเป็นไฟและแม้เผ่าสมิงเองก็มิอาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนมิใช่หรือ? นายพลทราเฮิร์นออกความเห็น ผลกระทบพวกนั้นไม่เคยสร้างปัญหาให้เผ่าของเรา คาร์นกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจนักเพราะตลอดมาเผ่าสมิงแทบจะปิดเผ่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเผ่าใด ๆ มาช้านานแล้วทำให้ผลกระทบต่าง ๆ ภายนอกเผ่าแทบจะไม่เคยย่างกรายเข้าไปในเขตแดนของเผ่าสมิงเลย คาร์นกวาดดวงตาที่เป็นประกายคมดุอย่างสิงโตมองไปทางตัวแทนเผ่าต่าง ๆ ซึ่งก็มีทั้งคนที่หลบตาและผู้อาวุโสบางคนถึงกับตัวสั่น คาร์นหัวเราะในลำคอคล้ายเสียงคำรามแฝงแววยิ้มเยาะในแววตา หึ หึ ท่านฮารีซัน ท่านคิดอย่างไรหรือถึงเชิญเผ่าสมิงให้ร่วมเตรียมการณ์ในครั้งนี้? ที่คาร์นกล่าวเช่นนี้ก็เพราะรู้ดีว่าเผ่าสมิงเองก็ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับของหลาย ๆ เผ่าเช่นกัน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเผ่าสมิงทำเรื่องร้ายกาจอะไร แต่เป็นเพราะความกลัวพื้นฐานที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ในเผ่าต่าง ๆ นั่นเอง ใบหน้าที่ดุดันเยี่ยงสัตว์ร้ายของเผ่าสมิง ทำให้ผู้คนแค่เพียงต้องเผชิญก็ต้องหวาดกลัวด้วยเกรงจะถูกทำร้ายตามสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วพวกเขาก็มีความนึกคิดไม่ต่างกับมนุษย์เพียงแค่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาทำให้มีรูปร่างแตกต่างไปเท่านั้น แต่ความหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผลของพวกมนุษย์และการแสดงความรังเกียจที่ฉายชัดในแววตาของพวกมนุษย์ สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับเผ่าสมิงไม่น้อย จากความไม่เข้าใจกันนานวันเข้าก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเบื่อหน่ายรำคาญใจ ในที่สุดเผ่าสมิงจึงตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับเผ่ามนุษย์อีก แต่ในครั้งนี้ที่เผ่าสมิงยอมมาเข้าร่วมประชุมหัวหน้าที่ฟูดินันจัดขึ้นก็เป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างเผ่าสมิงและเผ่าฟูดินันตั้งแต่ครั้งกาลก่อน อีกทั้งผู้เฒ่าวูจินก็เคยมีบุญคุณกับแกสช์ สมิงสายพันธุ์เสือเขาทองเพราะเคยช่วยชีวิตแกสช์เอาไว้เมื่อครั้งสงครามระหว่างเผ่า แกสช์ถูกลอบทำร้ายเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นสมิงจากเผ่าป่าทมิฬ ในครั้งนั้นวูจินได้ช่วยชีวิตเอาไว้และรักษาจนหายดี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าสมิงและเผ่าฟูดินันดีขึ้น แม้เผ่าสมิงยังคงปิดตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครแต่เมื่อฟูดินันเชื้อเชิญมาเผ่าสมิงจึงให้เกียรติยอมมาร่วมงานในครั้งนี้ ข้าคิดว่าพวกเราทุกคนก็ล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ใต้ร่มเงามหาเทพพฤกษาอิกดราซิล ซึ่งก็เสมือนอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ดังนั้นพวกเราก็คือพี่น้องที่แม้จะไม่ได้ร่วมอุทรจึงย่อมต้องมีความแตกต่างกันบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะต้องแบ่งแยกกันมิใช่หรือ? ฮารีซันกล่าว คาร์นเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ แม้ความคิดของหัวหน้าเผ่ารุ่นเยาว์ผู้นี้จะยังไม่อาจเปลี่ยนทัศนะคติของเผ่ามนุษย์และเผ่าสมิงในเวลานี้ได้ แต่ก็ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มมองเห็นประกายแห่งการปรองดองระหว่างเผ่าต่าง ๆ เปล่งออกมาจากเขา คาร์นมิได้พูดใด ๆ ต่อปล่อยให้การประชุมดำเนินต่อไปโดยเผ่าสมิงเริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้นด้วยการร่วมออกความเห็นต่าง ๆ กระนั้นก็ดีเผ่าสมิงก็ยังคงไม่มีท่าทีใด ๆ ที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้แม้ฮารีซันจะพยายามพูดหว่านล้อม ที่สุดวูจินจึงลุกขึ้นหันหน้าไปเผชิญสมิงทั้งสามกล่าวแนะให้ทั้งสามได้คิด ข้ารู้ดีว่าพวกเรามนุษย์เคยสร้างความบาดหมางให้บรรพบุรุษของท่านมาตั้งแต่ครั้งกาลก่อน ทำให้พวกท่านเบื่อหน่ายและไม่อยากสุงสิงกับพวกมนุษย์อีก แต่นี่แน่ะท่านทั้งสาม ไม่มีใครสามารถอยู่อย่างโดดเดียวได้ตลอดไปหรอกนะ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ทุกชีวิตบนโลกนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่ต้องพึงพาอาศัยกันทั้งนั้น ท่านจะก่อกำแพงขังตัวเองไว้ตลอดกาลอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่ใช้เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้คืนดีและเรียนรู้เข้าใจกันและกันให้มากขึ้นล่ะ? เมื่อคาร์นและโทมาฮอว์ค เลพเพิร์ดยังคงนิ่งเงียบ แกสช์จึงกล่าวออกมาในที่สุด ข้าเข้าใจดีว่าเผ่าของข้ายังไม่พร้อมที่จะคบค้ากับเผ่าอื่น ๆ ในทันที จึงเป็นการลำบากที่พวกข้าจะรับปากใด ๆ กับพวกท่าน แกสช์กล่าวด้วยเสียงทุ้มดังเหมือนเสือคำราม แต่สำหรับตัวข้า ในเมื่อท่านวูจินออกปาก ข้าก็ยินดีจะให้ความช่วยเหลือเท่าที่สามารถ ถือว่าเป็นการตอบแทนท่านที่เคยช่วยเหลือข้าอย่างดี โทมาฮอว์ค เลพเพิร์ด เมื่อได้ยินดังนั้นจึงกล่าวตอบเสียงคำรามต่ำ ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจของเจ้าเป็นการส่วนตัว ทางเผ่าก็คงไม่มีปัญหาหรือมีข้อขัดข้องใด ๆ ต่อการตัดสินใจของเจ้าในเรื่องนี้ คาร์นเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกัน ทั้งวูจิน ฮารีซัน และคนอื่น ๆ ต่างก็ยินดีอย่างยิ่ง วูจินจึงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ขอบใจมาก พวกเราได้ยอดฝีมืออย่างท่านมาช่วยก็เบาแรงไปได้มากเชียวล่ะ อย่าเกรงใจไปเลยท่านผู้เฒ่า ข้ามีโอกาสตอบแทนบุญคุณของท่านก็ยินดีแล้ว แกสช์ตอบ หลังจากนั้นการประชุมก็ยังคงดำเนินต่อไปจนเมื่อล่วงเข้าเวลาพลบค่ำทุกเผ่าจึงได้ข้อสรุปว่า เผ่าเซนทอร์จะส่งเซนทอร์เรนเจอร์(Centaur ranger)ออกดูแลความสงบเรียบร้อยและส่งเซนทอร์สเกาท์(Centaur scout)คอยออกสอดแนมพื้นที่โดยรอบ ในขณะที่เผ่าสมิงก็มีแกสช์ซึ่งอาสามาช่วยฝึกการรบให้แก่ฟูดินันโดยแต่งตั้งแกสช์ให้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าในการฝึกการรบแห่งฟูดินัน (Gash, the Fudenuns Warlord) โดยเผ่าน้อยใหญ่อื่น ๆ จะส่งกองกำลังมาฝึกกับแกสช์ร่วมกันที่เผ่าฟูดินัน ข้างฝ่ายเผ่าป่าทมิฬก็จะช่วยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยร่วมกับเผ่าเซนทอร์รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในต้านตั้งรับการโจมตีจากซาโลมด้วย เมื่อตกลงกันได้ดังนี้แล้วทุกคนจึงได้แยกย้ายกันกลับที่พักที่ทางฟูดินันจัดไว้ต้อนรับก่อนจะแยกย้ายกันเดินทางกลับเผ่าของตนในวันรุ่งขึ้น Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 34 ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on August 26, 2005, 05:01:27 AM มาเม้าส์ที่นี่เลยคะ
http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=14431 |