Summoner Master Forum

Summoner Master => SMN FanCard FanArt & FanFic => Topic started by: !!! Unknow !!! on August 19, 2005, 01:58:14 AM



Title: FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on August 19, 2005, 01:58:14 AM
ความเดิมตอนที่ผ่านๆมาถึง 10 ตอนนั้นสามารถดูได้จาก

http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=7;action=display;threadid=13548

---------------------------------------------------------------------

ตอน จันทราในราตรี

         ทุกสิ่งในค่ำคืนที่เงียบสงัด ผู้คนนอนหลับสนิท พวกเขาไม่ระวังตัวอะไรกันเลย และรอบข้างตัวของพวกเขานั้น กำลังอยู่ในอันตราย สัตว์อสูรตัวหนึ่งบินวนอยู่รอบเรือเหาะเพื่อสังเกตุดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยอย่างที่มันวางแผนคิดเอาไว้

         แต่ดูเหมือนว่าเจ้าอสูรตัวนี้ยังคงรอคอยบางอย่าง แล้วแสงจันทร์ที่สว่างจ้านั้นก็สาดส่องมาบนดาดฟ้าเรือเหาะ ผู้คนต่างหลับใหล เรือเหาะก็แล่นไปอัตโนมัติ แล้วก็มีเงาหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นี้ ทำให้อสูรตัวนั้นบินพุ่งเข้ามาโจมตีด้วยกงเล็บอันเลียวแหลม แต่เกิดแสงสะท้อนสว่างจ้าสาดส่องใส่อสูรตัวนั้นจนอสูรตัวนั้นบินหนีไปโดยทิ้งเพียงหญิงสาวผู้นั้น

         ต่อมาเธอก็คุกเข่าลงท่องคาถาบางอย่าง จนเบื้องหน้าของเธอปรากฏเป็นลูกแก้วใสๆลูกหนึ่งสว่างจ้าออกมา แต่ก็มีปลดไกปืนดังขึ้น
“ไม่ต้องหันมามอง” นพใช้ปืนจ่อที่ศีรษะของเธอ
“ท่านยิงฉันไม่ลงหรอก” หญิงสาวคนนั้นบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ลูกแก้วใสลอยได้ นพก็รู้ตัวเองว่ายิงสาวคนนั้นไม่ลงจึงเก็บปืน
“เจ้าเป็นใครกัน ทำไมตอนขึ้นเรือเหาะข้าไม่เห็นเจ้า” นพถาม หญิงสาวจึงหันมาอย่างช้าๆ เมื่อนพเห็นถึงกับตะลึงในความงดงามของเธอจนอ้าปากค้าง
“ฉันเป็นใคร เธอต้องค้นหาเอาเอง แต่ฉันมาดีแน่นอน และมีบางอย่างอาจจะให้ช่วยสักหน่อย” สาวคนนั้นบอก นพจึงกลืนนำลายไปอึกหนึ่ง
“เรื่องอะไรที่จะให้ช่วย แต่ก่อนอื่นขอทราบเจ้าก่อนจะได้มั้ย” นพถาม
“ฉันชื่อ ลูน่า เรื่องที่อยากจะให้ช่วยคือ ช่วยนำลูกแก้วนี้ไปให้กับเด็กหญิงตัวน้อยๆที่ชื่อ คูห์ ให้ที” ลูน่าตอบและยื่นลูกแก้วให้นพด้วยมือทั้ง 2 ข้างประคองแต่มือนั้นไม่ได้สัมผัสลูกแก้วเลย
“โอเค ข้าจะทำสักครั้ง แต่บอกไว้อย่างว่าต้องมีค่าแลกเปลี่ยน ข้าไม่ทำอะไรฟรีๆแน่นอน” นพบอก ลูน่าจึงหัวเราะเล็กๆ
“มนุษย์หนอ สงสัยฉันจะเลือกคนผิด แต่ไม่เป็นไร ท่านจะได้เศษผงจันทรา และจงจำไว้ว่าลูกแก้วนี้ห้ามถูกแสงใดๆ นอกจากแสงจันทร์” ลูน่าบอกข้อตกลงเรียบร้อย นพก็เดินเข้ามาคว้าลูกแก้วและเศษผงจันทรา
“ต้องการอะไรอีกมั้ย” นพถาม
“ไม่ต้องอะไรแล้วละ ฉันขอลา” ลูน่าพูดจบก็มีแสงสว่างจ้าไปทั่วจนนพต้องเอาแขนมาบังตา เมื่อแสงนั้นดับลง นพก็เห็นภาพเลือนรางที่เห็นลูน่านั่งบนดวงจันทร์เสี้ยวและสลายหายไป แล้วนพก็เดินกลับเข้าไปในห้องของตนแล้วขึ้นเตียงหลับทันที
“ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอนะ” ลูน่าคอยเฝ้าดูภารกิจที่ฝากฝังให้กับนพจากที่ใดสักแห่ง

         ที่อเบสต้า แม้จะดึกดื่นแค่ไหน แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มคนที่ทำงานในยามราตรี พวกนักฆ่าต่างๆ วิ่งไปตามหลังคาบ้านไปมา แต่ที่หน้าประตูเมืองนั้นมีชายคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซด์มาถึง และมาหยุดปะหน้ากับกลุ่มนักฆ่าเหล่านั้น
“นักฆ่ากลุ่มไซด์ร๊อคเหรอ ดับสิ้นคืนนี้แน่” ชายคนนั้นบิดเสียงเครื่องขู่
“ที่จะดับเป็นแกต่างหาก เจ้ากระสุนโลกันต์” หัวหน้ากลุ่มนักฆ่าไซด์ร๊อคสั่งลูกน้องกว่า 10 ชีวิตลุยเข้าสู้ ฟามจึงบิดมอเตอร์ไซด์เข้าปะทะพร้อมชักปืนคู่ใจออกมาสู้ และในคืนนั้นก็เกิดการต่อสู้ที่เกิดเสียงดังขึ้นจนมีทหารนั้นรีบมุ่งหน้ามา

         แต่เมื่อทหารมาถึงก็พบเพียงร่างที่สะบัดสบอนของพวกไซด์ร๊อคที่ทางการต้องการตัวอยู่จึงถือโอกาสจับตัวทันที แล้วได้ส่งข่าวไปยังศูนย์ใหญ่ที่มหานครเวลเรี่ยนว่าได้จับกลุ่มไซด์ร๊อคได้ ทำให้ตัดชื่อเหล่านักฆ่าที่ถูกตั้งหมายจับออกไปได้อีก นอริสหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการที่ศูนย์ใหญ่นั้น เห็นเช่นนี้ก็ดีใจ จึงเดินลงไปยังคุกใต้ดินที่ลึกและหนาที่สุด

         เมื่อลงมาถึงก็สั่งให้ยามเปิดประตูห้องขังนั้นออก แล้วเขาก็เดินเข้าไป
“ไง อยากเห็นแสงจันทร์บ้างมั้ย ถ้าพวกไซด์ร๊อคที่ถูกจับส่งตัวมาถึงเมื่อไหร่ แกจะได้ถูกประหารไปพร้อมๆกับมันแน่” นอริสพูดให้นักโทษคนหนึ่งฟัง แต่ดูเหมือนว่านักโทษคนนั้นจะนิ่งเงียบเหมือนไร้วิญญาณ แล้วนอริสก็เดินออกจากห้องไปพร้อมให้ปิดห้องขัง

-------------------------จบตอนที่ 11--------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on August 28, 2005, 04:52:47 AM
ตอน ชายที่มากไปด้วยปริศนา

“ข้าชื่อ วิน เป็นนักโทษที่มีค่าหัวมากที่สุด ณ เวลานี้ ชีวิตอันแสนจะสั้นของข้ากำลังจะใกล้เข้ามา ทางเดียวที่ข้าจะหลุดพ้นจากความตาย ต้องทำตัวเหมือนดั่งฉายาและความน่ากลัว เงามืดเพชฌฆาต” วินนักโทษสำคัญที่สุดที่นอริสจับตัวมาได้โดยการที่วินนั้นยอมเสียสละตนช่วยน้องสาวให้หนีพ้นจากการบุกจับของเหล่าทหาร
“อาหารเช้ามาแล้ว กินซะ อีกไม่กี่อาทิตย์แกก็เตรียมไปนอนในหลุมแทนนอนในห้องนี้ได้แล้ว” ยามเฝ้าประตูเปิดช่องเล็กๆสอดถาดอาหารเข้ามาให้แล้วก็ปิดลงทันที

         บนเรือเหาะอันหรรษาที่พวกพงวิชนั้นอยู่ พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ กินข้าว ชมวิวทิวทัศน์ บ้างก็หาจีบสาว บ้างก็อ่านหนังสือเรียนรู้เวทย์มนต์ต่างๆ บ้างก็ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ แต่แล้วพงวิชก็เหลือบไปเห็นนพทำทีท่ามีพิรุต จึงเดินตามไป
“ข้ารับสัมผัสถึงพลังของด้านมืดอันแรงกล้ากำลังมาทางนี้” อีฟริตสื่อสารผ่านจิตให้พงวิชได้รับรู้ พงวิชจึงเลิกติดตามนพและกลับขึ้นไปยังบนดาดฟ้า

         เมื่อเขาขึ้นมาถึงก็มองไปรอบๆก็เห็นเพียงแต่เพื่อนๆของเขา
“มันมาถึงแล้ว” อีฟริตบอกแล้วเงาของอีฟริตก็เปร่งประกายร่างออกมาใช้หมัดไฟอันทรงพลังระเบิดพลังออกมา ทำให้เกิดแรงปะทะพลังขนาดใหญ่ ซึ่งฝั่งตรงข้ามกับพลังของอีฟริตนั้นปรากฏร่างของชายชุดดำขี่มังกรดำขนาดใหญ่พร้อมกับใช้ทวนขนาดใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งด้านมืดปะทะพลังเพลิงแห่งอีฟริต

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เมโรดีนตกใจพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปแอบสุ่มดูเหตุการณ์อยู่ที่ห้องคนขับ
“ทุกคนหลบเข้าไปข้างล่าง” พงวิชไล่ผู้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องลงไปหลบอยู่ยังข้างล่าง แล้วพวกเขาและเพื่อนต่างก็มาเตรียมสู้อาวุธพร้อมมือ
“มันอีกแล้วเหรอ” บุ๊คเห็นหน้าชายชุดดำแล้วหมดใจ
“อย่ากลัวมัน ลุยเลย” พงวิชจับดาบอีฟริตไว้แน่นในกำมือพร้อมกับวิ่งเข้าฟาดฟันอย่างไม่กลัวเกรง
“เศษผงจันทราในราตรี สิ่งกำเนิดแห่งชีวิต การกำเนิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง จัดการมันเลย อสูก้า” นพใช้เศษผงจันทราส่วนหนึ่งที่ได้มาอัดใส่เป็นกระสุนแทนดินดำแล้วยิงออกมา ทันทีลั่นไกปืนก็มีกลุ่มควันพุ่งนำออกมาพร้อมกับแสงสีขาวพุ่งตรงเข้าใส่มังกรดำ แล้วก็เกิดการระเบิดแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งๆที่ยังกลางวัน

         ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของนกสีรุ้งบินวนไปทั่วท้องฟ้า มังกรดำก็ยิงลำแสงสีดำใส่อสูก้าทันที เมื่อลำแสงนั้นกระทบร่างของอสูก้า ร่างของอสูก้าก็แตกสลายเป็นเศษผุยผงลอยไปทั่วท้องฟ้าและกลับมารวมใหม่ยังหน้าของมังกรดำและใช้ปีกขนาดใหญ่โอบล้อมมังกรดำไว้แล้วเปร่งแสงระเบิดตัวเองและมังกรดำไปพร้อมๆกัน จนมังกรดำนั้นหมดสภาพล่วงตกลงไปยังพื้น ชายชุดดำที่ขี่บนหลังก็กระโดดขึ้นมาบนเรือเหาะแทน แล้วอสูก้าก็รวมร่างอีกครั้งแล้วบินสลายหายไปบนท้องฟ้า

“อย่า งง จัดการมันซิวะ” อรุณบอกแล้วก็วิ่งเข้าใส่ชายชุดดำด้วยความบ้าคลั่งอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ชายชุดดำกลับสลายตัวเป็นควันลอยจางหายไป

“หนีไปซะได้” อรุณเตะควันเหล่านั้นด้วยความเซง ที่ช่วงเวลาสนุกของตนจบลงอย่างว่องไว
“ชายชุดดำ ถึงจะไม่เห็นความน่ากลัวอยากคำล่ำลือ แต่เพียงแค่สบตาก็บอกถึงพลังแล้ว สมชื่อจริงๆ” นพบอก ทำให้พงวิชเอะใจจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“รู้จักชายคนนั้นด้วยเหรอ” พงวิชถามด้วยความสงสัยและกะวลกะวายใจ
“ไม่รู้จักหรอก น้อยคนนักที่จะรู้กับชายชุดดำ แต่ส่วนมากจะรู้จักเขาเพียงแค่ชื่อชายชุดดำ ทุกคนเชื่อกันว่าเขาไม่ใช่คน เขาอาจจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีอีกพวกที่เชื่อตามหลักศาสนาว่าเขาเป็น... เป็น ... เป็นอะไรหว่า ลืมแล้วอ่ะ โทษด้วยที่จำไม่ได้” นพบอกแล้วก็เดินไปหาอรุณ

แต่พงวิชเองก็ยังสงสัยอยู่ดี จึงเดินย้อนกลับมาหาพวกเพื่อนๆ
“จะเอาไงดีละ เหมือนเจ้านั่นมันจะตามล่าพวกเราอย่างไรกะนั้นเลย” แพ๊คบอก
“ต้องอยู่ที่ๆมีคนเยอะๆ อย่างน้อยก็มีเพื่อนตาย” ปอนแนะความคิดมาจึงโดนตั้มทุบใส่
“จะบ้าเหรอ” ตั้มบอกแล้วก็วิ่งไล่ทุบ
“แต่ชายชุดดำนั่นมันต้องมีปริศนาอะไรบางอย่างแน่” พงวิชยืนเก๊กหล่อเกินหน้าเกินตาแพ๊ค
“เมื่อกี๊ไปถามคนขับเรือเหาะมา เขาบอกว่าเย็นนี้ก็จะถึงอเบสต้าแล้ว” อิศรานึกได้จึงบอกให้ทุกคนได้รับรู้ แต่ทุกคนก็ยังไม่แสดงอาการดีใจอะไรออกมา

“นี่ พวกเธอไม่แปลกใจอะไรบ้างเลยเหรอว่า ทำไมทุกครั้งที่เจอชายชุดดำ เขาต้องมีสัตว์ขี่มาด้วย ต้องใส่แว่นเลเซอร์ดำปิดตาอย่างมิดชิด ไม่พูดไม่จา มันน่าสงสัยออก” เมโรดีนบอก พวกพงวิชก็กลับมานึกและคิดไตร่ตรองดูอีกครั้ง
“ฉันจะตอบให้ ข้อแรก ชายชุดดำนั้นจะเรียกสัตว์ของเขาออกมาตามสถานการณ์อย่างตอนนี้เราอยู่บนเรือเหาะ เขาคงจะขี่อะไรมาไม่ได้นอกจากมังกรที่มีขนาดตัวใหญ่พอให้เขาขี่ได้ ข้อสองคนส่วนใหญ่จะลือเรื่องดวงตาของชายชุดดำว่าเป็นตาแห่งพญามาร ใครที่ได้สบตาตรงๆจะตายได้ในทันที แต่หากเขาโดนแสงอาทิตย์ส่องเพียงเล็กน้อย เลือดเขาก็จะไหลออกมา เขาจึงใส่แว่นปิดมิดชิดตลอดเวลาเพื่อตัวเขาเอง และข้อสามเขาจะไม่พูดกับใครนอกจากบุคคลเหล่านี้ หนึ่งเหล่าเทพ เทวดา สองพวกที่เขาโกรธแค้นมากๆ สามญาติหรือเพื่อน สี่ตัวเขาเอง ถ้าสงสัยอะไรอีกก็หาคำตอบเอาเอง” นพบอกแล้วก็เดินลงไปยังในเรือกับอรุณ

“หายสงสัยแล้วก็ไปหาไรกินกัน” บุ๊คบอก
“หาเรื่องแต่จะกินอย่างเดียวเลย เออ งั้นพวกเราไปหาไรกินกันก่อนเถอะ พอท้องอิ่มสมองเดี๋ยวก็แล่น” ปอนบอก แล้วทุกคนก็ตกลงเดินเข้าไปในเรือเหาะเพื่อรับประทานอาหาร แต่พงวิชเองก็ยังไม่เลิกคิดสงสัยในเรื่องชายชุดดำ จนใกล้เย็น

         พวกพงวิชก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือเหาะชมแสงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า ท่ามกลางบรรยายกาศที่สวยงามจนพวกเขาลืมนึกถึงเรื่องกังวลไปเลย และพวกเขายังเห็นเมืองอเบสต้าที่รออยู่ข้างหน้าเพียงอีกไม่ไกลนัก
“ความกล้าหาญนั้นสำคัญยิ่ง แต่ศัตรูนั้นช่างเก่งกาจเกินยิ่งกว่า เจ้าต้องระวังตัว” อีฟริตเตือนสติให้พงวิชเริ่มรู้จักระวังตัวจากอันตรายรอบข้าง แต่พงงวิชเองก็ยังมีความคิดที่มุ่งมั่นเชื่อในฝีมือตนเองว่าไม่เกรงกลัวศัตรูหน้าไหนทั้งนั้น...

-------------------จบตอนที่ 12--------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 02, 2005, 12:10:22 AM
ตอน อเบสต้า กับศัตรูตัวใหม่แข็งอย่างหิน

         เมื่อเรือเหาะแล่นมาลงจอดที่ท่าอากาศยานในเมืองอเบสต้า พงวิชก็ย่างก้าวออกมาเหยียบพื้นเป็นคนแรกด้วยอาการตื่นเต้นที่ได้มาในเมืองใหญ่ๆอย่างนี้ ส่วนนพและอรุณต่างก็เดินจากหายไปทันทีโดยไม่ล่ำลา
“เอาไงต่อ” บุ๊คสะกิดหลังพงวิช
“เดินเล่นก่อน แล้วค่อยเดินหาฟาม” พงวิชบอกแล้วก็ออกวิ่งนำหน้าไปทันที
“อะไรเนี่ย” ตั้มบ่นพรึมพรำแต่ก็เดินตามพงวิชไป

         บนภูเขาสูงไม่ใกล้ไม่ไกลที่ตั้งติดกับเมืองอเบสต้า นันได้มองดูพวกพงวิชที่ลงจากเรือเหาะและเดินเที่ยวเล่นในเมืองอย่างมีความสุข ด้วยความแค้นของตนจึงร่ายเวทย์มนต์ขึ้น
“ปีศาจแห่งหินผา เจ้าแห่งการแช่แข็ง รูปปั้นแห่งมาร ออกมาเลย !!! เคาท์ !!! ” นันเรียกลูกน้องของตนออกมาปรากฏตรงหน้า
“ไปจัดการมันเลย แล้วชิงเอาอัญมณีแห่งจันทรามาให้ข้า” นันสั่งเสร็จ เคาท์กึ่งคนกึ่งปีศาจ รับคำสั่งแล้วก็มุ่งหน้าไปที่เมืองอเบสต้าทันที
“คราวนี้แหละพวกแก” นันยืนหัวเราะด้วยความซะใจ พร้อมดูความสำเร็จของลูกน้อง

         เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก พวกพงวิชก็เดินทางมาถึงอีกฝั่งของเมืองซึ่งเป็นทางออกอีกฝั่ง ซึ่งที่นั่นมีร้านเบียร์ร้านหนึ่ง พวกพงวิชจึงเดินเข้าไปพักที่นั่นกันก่อน แต่พบว่าข้างในนี้พวกเขาได้พบกับฟามที่นั่งดื่มเบียร์อยู่ พงวิชจึงยิ้มออกมาและวิ่งเข้าไปหา
“ฟามอยู่นี่เอง มาถึงก่อนก็ไม่บอก” พงวิชบอก แต่ฟามก็นั่งนิ่งพร้อมกับกระดกเบียร์ต่อ
“อย่าเพิ่งสนใจเลย หาอะไรกินก่อนดีกว่า” บุ๊คบอกแล้วก็เดินไปสั่งเอาเป๊ปซี่คนละขวดมาให้เพื่อนๆ
“พวกเจ้านำ หายนะมาสู่คนในเมืองนี้รู้ตัวมั้ย” ฟามถาม
“ไม่รู้ ไม่สน เรามาปกติ” ตั้มตอบ
“งั้นเราไปกันต่อเหอะ” ปอนบอก
“ไอ้เอ๋อ อย่า Error ให้มาก เดินมาเหนื่อยๆยังจะเดินต่ออีกเหรอ” แพ๊คตบหัวเข้าที

         แล้วก็มีชายสูงร่างใหญ่ใส่หมวกทรงสูงชุกดำ หนวดยาว เดินเข้ามาในร้าน ฟามเห็นจึงเอามือข้างหนึ่งจับที่ปืนเต็มชักออกมาทันที
“มันมาละ” ฟามบอก พวกตั้มจึงมองไปที่ชายคนนั้น
“นั่นหนะเหรอ แก่อย่างกับรุ่นคุณตา จะมีแรงอะไรมาสู้” พงวิชชี้บอก แล้วชายคนนั้นก็เดินไปที่เคาท์เตอร์
“เคยเห็นชาย 2 คนที่คนหนึ่งมีมือเป็นปืนกระบอกใหญ่ๆมั้ย” เคาท์ถาม เจ้าของร้านก็ส่ายหน้าปฎิเสธ
“อ๋อ ถ้า 2 คนนั้นฉันรู้จักเลย” พงวิชลุกขึ้นเดินเข้ามายืนประชันอก ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันด้วยสายตา
“เจ้าหนู ถ้าไม่อยากเจ็บก็กลับไปนั่งกินเป๊ปซี่ซะ” เคาท์บอก
“แล้วถ้าไม่ จะเกิดอะไรขึ้นละ” พงวิชพูดด้วยความมั่นใจ แต่ทางเดียวกันกับพวกตั้มกลับนั่งเหงื่อตกและรีบดื่มเป๊ปซี่ให้หมด
“ก็ได้ งั้นเตรียมรับให้ดี” เคาท์บอกเสร็จก็หมุนตัวถีบด้วยความเร็วที่ทุกคนยังทึ่ง ใส่พงวิชจนพงวิชะลอยกระแทกติดฝาผนัง
“หมัดสลายพลัง” เคาท์ใช้หมัดของตนออกหมัดเป็นแรงลมพุ่งโจมตีใส่พงวิช อิศราเห็นเช่นนี้จึงรีบลุกมาขว้างพร้อมร่ายเวทย์
“Wall Magic Slot” อิศราสร้างกำแพงเวทย์มนต์แต่พลังนั้นทำให้ทั้งอิศราและพงวิชกระเด็นทะลุออกจากฝาผนังร้านออกไปข้างนอก
“เตือนแล้วไม่เชื่อ” เคาท์บอกแล้วก็เดินออกจากร้านไป เมโรดีนจึงรีบวิ่งออกไปดูอาการของพงวิชและอิศรา
“มันเตะหนักจังวะ อะ... แอ๊ก..” เมโรดีนพยุงพงวิชขึ้นมาด้วยอาการจุกท้อง
“อิศรา เจ็บมั้ย” ตั้มวิ่งมาดูอาการ
“เจ้านั่นมันไม่ใช่คน อย่าสู้กับมันเลย” ฟามบอก

         ส่วนทางด้านอรุณและนพก็ออกเดินทางไปตามที่นพเล่าเหตุการณ์ให้อรุณฟัง แต่พวกเขาทั้ง 2 ยังไม่รู้ว่ากำลังมีอันตรายเข้ามาใกล้ตัว

         และเวลาผ่านไปสักพักหลังจากที่พวกพงวิชหายจุกจากการโจมตีของเคาท์ พวกเขาก็มาปรึกษากัน
“จะทำยังไงดีกับเจ้าบ้านั่น” พงวิชถาม
“รีบไปจากที่นี่กันดีกว่ามั้ย” แพ๊คตอบ ตั้มจึงตบหัวทันทียังไม่ทันขาดคำ
“ไอ้นี่คิดแต่เรื่องหนี” ตั้มชี้หน้าบ่น
“ถึงพวกเราจะรุมมันก็ใช่ว่าจะสู้ง่ายเสมอไปนะ ดูจากรูปร่างแล้ว” อิศราบอก ในขณะที่ทุกคนกำลังปรึกษากัน ฟามกับนั่งหลับอยู่นอกวง
“ฉันว่า ฉันอาจจะช่วยพวกเธอได้บ้างนะ ถ้าให้ฉันช่วย” เมโรดีนเสนอความคิดขึ้น ทุกคนจึงหันไปมอง
“มีของดีอะไรเหรอหนูน้อย” พงวิชถาม เมโรดีนจึงทำหน้าไม่พอใจกับคำที่พงวิชเรียกจึงหยิบเก้าอี้ฟาดใส่หัวพงวิชจนอนาถ
“คือฉันมีสร้อยคอประจำตระกูลของฉัน ซึ่งท่านพ่อเล่ามาว่า หากพบปัญหาหรือศัตรูที่ร้ายกาจเกินจะเอาตัวรอด ให้นึกถึงสิ่งที่คิดว่าจะชนะมันได้ แล้วสร้อยเส้นนี้จะช่วยได้ทันที” เมโรดีนบอก ทุกคนก็เงียบไปสักพัก
“อิศราเข้าใจปะ” ปอนถาม
“ไม่เข้าใจ” อิศราตอบ เมโรดีนจึงโมโหแล้วยกโต๊ะขนาดใหญ่เหวี่ยงฟาดใส่พวกอิศราจนอนาถตามพงวิชเหลือเพียงฟามที่นั่งหลับอยู่ลำพัง

         สักพักฟามก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเอะอ่ะ
“คิดออกแล้ว” ฟามบอก
“คิดอะไร” พงวิชคลานออกมาจากซากเก้าอี้ถาม
“คิดว่าที่จริงในเมื่อมันไม่ตามมาจัดการพวกเราแล้ว เราก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ไปตามทางของพวกนายต่อไปเถอะ” ฟามบอก

         สักพักทุกคนก็เริ่มคิดเป็นความเห็นเดียวกันที่จะออกเดินทางต่อ พวกพงวิชจึงเดินตามฟามออกจากร้านมาเมื่อฟามมาหยุด พวกพงวิชตามก็ตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
“นี่รถ Mitsubishi GTO 3000 ของใหม่เพิ่งซื้อมา ขึ้นมาเร็ว รถมันแรง” ฟามอกแล้วก็ขึ้นรถทันที

         เมื่อทุกคนขึ้นรถกันหมดฟามก็สตาร์ทเครื่องขับออกไปทันทีด้วยความเร็วสูง ซึ่งระหว่างทางนั้นมีทหารตรวจตราอยู่ ซึ่งฟามนั้นก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ทางการทหารต้องการจับ ฟามจึงเลี้ยวกลับไปอีกทาง จนมาถึงทางตรงฟามจึงบิดเครื่องด้วยความเร็วสูงสุด แต่แล้วจู่ๆเคาท์ก็เดินออกมาขวางทางพร้อมกับยิงพลังหินพสุธาโจมตีใส่ พวกงพงวิชเห็นจึงรีบกระโดดออกจากรถ เหลือเพียงฟามที่ยังขับและชักปืนออกมาทั้ง 2 ข้างเมื่อรถแล่นมาจนชนกับพลังหินพสุธา ฟามก็กระโดดออกจากรถพร้อมยิงปืนใส่เคาท์ เมื่อทุกคนลุกขึ้นตั้งหลักได้จึงวิ่งมาหาฟาม
“ขอโทษด้วย ทางนี้เป็นทางตัน” เคาท์บอก
“สงสัยจะหนียากซะแล้ว” พงวิชชักดาบอีฟริตออกมา และคนอื่นก็เช่นกันตั้งท่าเตรียมสู้เต็มที่
“อยากให้การต่อสู้นี้จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่แกตายไปซะ” ฟามบอก
“งั้นเข้ามาได้เลย” เคาท์ตั้งท่าเตรียมสู้

------------------------------จบตอนที่ 13-----------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 05, 2005, 12:21:27 AM
ตอน สายลมที่พัดผ่าน

         เมื่อกลุ่มควันจากแรงระเบิดของรถคันใหม่ของฟามจางหายไป การต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้น
“Holy Guard” อิศราร่ายเวทย์มนต์สร้างเกราะให้พงวิชและบุ๊ค
“Ice Lance” ตั้มร่ายเวทย์มนต์สร้างน้ำแข็งขนาดใหญ่ยาวเป็นทวนหลายแท่งโจมตีใส่
“Thunder Bird” แพ๊คสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นรอบๆตัวปรากฏเป็นนกที่ร่างเป็นไฟฟ้า
“ลุยมันเลย” แพ๊คสั่งให้นกไฟฟ้าพุ่งออกไปโจมตี

         เมื่อพลังตั้มและแพ๊คโจมตีออกไปพร้อมกันเคาท์ก็โต้ตอบทันทีด้วยการชาร์ตพลังแล้วปล่อยโจมตีเป็นคลื่นปะทะกัน ทำให้พลังของตั้มและแพ๊คนั้นแข็งเป็นหิน และสเก็ตพลังยังทำให้เกราะเวทย์มนต์ที่อิศราเสริมให้พงวิชและบุ๊คแตกสลายด้วย
“จะจัดการมันยังไงดี” พงวิชวิ่งหาที่หลับและตั้งสติ
“หนีโล้ด” ปอนบอก

         ในขณะที่คนอื่นๆมาหลบอยู่ที่ซอกตึก พงวิชก็เหลือบไปเห็นเมโรดีนที่ยังยืนปะกับเคาท์อย่างตัวต่อตัวอยู่
“ด้วยสายลมที่ยังคงพัดผ่านไม่สิ้นสุด ผู้พิทักษ์ที่ผ่านไป จงกลับมาอยู่ยังเบื้องหน้าของข้าเถอะ ซิลด์” เมโรดีนท่องคาถาบางอย่างแล้วสร้อยคอของเธอก็เปร่งแสงออกมา
“Stone Curse” เคาท์ยิงพลังแช่แข็งใส่เมโรดีนทันที ทำให้เธอนั้นแข็งเป็นหินทันทีก่อนที่จะเรียกมนต์อสูรสำเร็จ พงวิชเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งออกไปช่วยแต่สายเกินไปที่จะหยุดยั้ง บุ๊คและคนอื่นๆจึงรีบดึงพงวิชกลับมา เมื่อเคาท์เห็นพงวิชจึงยิงพลังแช่แข็งใส่ แต่พงวิชก็หลบได้ทัน พงวิชแทบจะร้องไห้ออกมาแต่ก็กั้นใจไว้ได้
“หนีก่อนเหอะ” ปอนบอก พงวิชก็หันมาพยักหน้า
“ถ้าจะหนีทางนี้เร็ว” ชายคนหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งของซอกตึกกวักมือเรียกแล้วพวกพงวิชก็วิ่งตามไปทันที โดยทิ้งเพียงร่างของเมโรดีนที่ถูกแช่แข็งเป็นหิน
“ขอโทษด้วยคุณหนู” เคาท์เดินมาที่ร่างของเมโรดีนและกล่าวคำขอโทษก่อนที่จะเดินจากไป

         เมื่อพวกพงวิชทั้งหมดตามชายคนนั้นมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งที่นี่คืออู่ซ่อม
“นายเป็นใครกัน” ฟามถาม
“ฉัน มิ้ง นี่คือร้านของฉันเสี่ยมิ้งการช่าง” มิ้งตอบแล้วเดินเข้าไปในร้าน
“พงวิชอย่าร้อง” แพ๊คปลอบ แต่พงวิชก็ทำหน้านิ่งที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

         เมื่อเขาเดินเข้าไปในร้านก็ดูเหมือนจะไม่มีใครอื่นเลยนอกจากมิ้งภายในร้าน ปอนจึงเดินดูทั่วร้านเผื่อจะเจอบางอย่างที่ตนเอาไปประดิษฐ์ได้ แล้วมิ้งก็เดินมานั่งที่เก้าอี้
“เห้ย นั่งก่อน อุตส่าพาหนีมานะเนี่ย” มิ้งบอก
“ฉันจะฆ่ามัน” พงวิชพูดด้วยน้ำเสียงอันโกรธออกมา
“เออ เก่ง เก่งจริงๆ” มิ้งปรบมือให้
“นายช่วยพวกเราทำไม” ฟามถาม
“เอาเป็นว่าฉันช่วยพวกนายได้เยอะแล้วกัน ดูจากคู่ต่อสู้แล้ว” มิ้งยิ้มเหมือนมีความคิดบางอย่างอยู่
“เจ้านั่น ฉันจะฆ่ามันเอง อิศราช่วยหาวิธีรักษาให้เมโรดีนที ลาก่อนทุกคน หาก 6 โมงเย็นที่ทางออกไม่เจอฉัน ก็คิดซะว่าฉันตายไปแล้ว” พงวิชบอกแล้วก็เดินออกไปทันที แม้เพื่อนๆจะเตือนหรือห้ามไว้ เขาก็ยังคงมุ่งมั่นเดินต่อไป
“งั้น ฉันจะไปช่วยมันเอง ส่วนวิธีรักษา พวกนายคงต้องขึ้นเขาไปเก็บเห็ดเข็มพิเทอมั่ม แล้วก็นำเห็ดนั่นหั่นเป็นเข็มแล้วนำไปปักลงที่คนที่จะรักษา” มิ้งบอกแล้วก็ขึ้นมอเตอร์ไซด์คันเก่าๆคันหนึ่งบิดออกไปพร้อมกับพกประไจขนาดใหญ่ติดตัวไปด้วย
“สรุปเจ้าหมอนั่นมันช่างซ่อมหรืออะไรกันวะ” ปอนสงสัย

         ฟามจึงนำทางพวกตั้มขึ้นไปยังภูเขาใกล้ๆ เพื่อไปหาเห็ดเข็มมารักษาเมโรดีน ส่วนพงวิชเองก็ยังคงออกเดินตามหาเคาท์เพื่อแก้แค้น มิ้งเองก็ยังตามไปเพื่อช่วยพงวิชอีกแรง

         แต่ทางด้านเคาท์ เขาออกตามหาอัญมณีแห่งจันทราที่อยู่กับนพ และในที่สุดเขาก็ไปนพกับอรุณ ซึ่งอรุณกับนพก็ยืนรออยู่
“ว่าแล้วไง ต้องมีคนมาตาม” อรุณบอก
“เห้ย อรุณ สนุกๆหน่อย เสร็จงานนี้จะได้ไปกินข้าวแล้วออกเดินทางต่อ” นพบอกแล้วก็ชักปืนออกมา
“กระผมต้องการแค่สิ่งที่ท่านมีอยู่ ถ้าหากไม่ให้ก็คงต้องใช้กำลังเพื่อแย่งมา และก็คงขอโทษในสิ่งที่จะทำลงไปด้วย” เคาท์บอก

         เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายกล่าวคำขู่เตรียมพร้อมกันเสร็จ นพก็เปิดฉากโดยใช้ปืนใหญ่ของเขาตั้งขึ้นพร้อมชาร์ตกระสุน ส่วนอรุณก็วิ่งบู๊เข้าทันทีโดยบุกแบบไม่ให้เคาท์ตั้งตัว แต่เคาท์ก็หลบได้บ้าง แต่ก็ยังมีบางจุดที่โดนอรุณอัดใส่เต็มๆ จนเคาท์ต้องใช้พลังแช่แข็งโจมตีใส่อรุณ นพจึงตะโกนบอกให้อรุณหลบไป แล้วตนก็ยิงปืนใหญ่วายุโจมตีสวนกลับมาปะทะกับพลังแห่งดิน ด้วยแรงกระทบกันของสองพลัง พลังของเคาท์กลับเป็นฝ่ายที่แตกสลาย เคาท์เห็นจึงกระโดดหลบปืนใหญ่วายุทันที

“ถ้าคิดจะสู้ยากแล้ว ว๊าย ขำ ดินมาสู้กับลม ตายห่าแน่” นพหัวเราะอย่างสะใจ
“จบไปเสียที จัดการเลยนพ เดี๋ยวเตรียมให้” อรุณบอกแล้วพุ่งเข้าไปหาเคาท์ด้วยความเร็วจนถึงกับขนาดเคาท์สวนกลับด้วยหมัดอรุณยังหลบอ้อมไปเข้าด้านหลังแล้วก็ล๊อคตัวเคาท์ไว้
“ยิงเลย” อรุณตะโกนบอก เคาท์ก็พยายามดิ้มแต่ก็ไม่หลุด
“สายลมดั่งพายุคลั่งกับเศษดินที่หาญกล้า กลับไปเป็นเศษเถ้าธุลีซะ Air Cannon” นพปรับระบบปืนใหญ่ในรูปแบบพิเศษแล้วก็ยิงใส่เคาท์ เมื่อกระสุนลั่นออกจากปากกระบอกแรงลมมหาศาลก็พัดไปทั่วเมืองและพงวิชกับมิ้งก็สัมผัสได้ถึงต้นลมที่มาจากนพได้จึงรีบไปที่นั่นทันที

         อรุณจึงใช้เคล็ดวิชาดัดจุดตามตัวเคาท์ ทำให้เคาท์ขยับไปไหนไม่ได้
“บ๊าย บาย” อรุณบอกแล้วก็เดินออกห่างจากเคาท์

         เมื่อพลังแห่งสายลมที่นพยิงออกมาใส่เคาท์นั้น ทำให้ร่างของเคาท์แตกสลายเป็นผุยผงปลิวไปไกล แล้วสักพักพงวิชและมิ้งก็มาถึง
“ไง พงวิช” อรุณเดินเข้ามาทัก
“เห็นชายแก่ๆมั้ย” พงวิชถาม
“อ๋อ ปลิวไปโน้นแล้ว” นพชี้
“มิ้งช่วยที พาฉันไปที่นั่น” พงวิชบอก มิ้งก็พยักหน้าแล้วพงวิชก็ขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของมิ้งแล้วทั้งคู่ก็บิดออกไปยังภูเขาใกล้ๆ
“อรุณ ไปต่อเหอะ” นพบอกแล้วก็เดินทางต่อไป

         ในทางเดียวกันพวกฟามก็กลับลงมาจากภูเขาพอดี พร้อมกับเห็ดเข็ม ฟามจึงนำมารักษาคำสาปแช่แข็งให้เมโรดีนจนเธอหายดี แล้วพงวิชก็มาถึงพอดี
“ไปจัดการมันพร้อมๆกันเถอะ อัดก้นมันให้เละไปเลย” พงวิชจุดประกายไฟแห่งความสามัคคีของพร้องเพื่อน แล้วทุกคนก็มมุ่งหน้าไปยังภูเขา

         ที่ภูเขา เคาท์เดินขึ้นมาด้วยสภาพที่บาดเจ็บ
“ไม่ได้เรื่องลูกน้องแต่ละคน” นันมองดูสภาพของเคาท์
“ยากเกินกว่าข้าจะสู้ได้ ขอโอกาสข้าอีกสักครั้ง” เคาท์บอก นันจึงยืนดูสักพัก
“ได้ คราวนี้เจ้าจะมีพลังแกร่งขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ข้าจะให้เจ้าไปจัดการกับพวกเด็กแสบพวกนั้น เจ้า 2 ตัวนั่นข้ามีของขวัญจะให้มันหลายอย่าง” นันบอกแล้วก็เพิ่มพลังให้เคาท์ แล้วก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังโขดหิน เคาท์เห็นชายคนนั้นจึงอึ้ง
“2 แสบนั่นข้าให้เจ้านี่ไปจัดการจะดีซะกว่า” นันบอกแล้วก็ยืนหัวเราะ

-----------------------------จบตอนที่ 14------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on September 05, 2005, 07:50:29 PM
ยาวเฟื้อย มาอ่านตอนนี้เลยไม่เข้าใจเท่าไหร่ ขอเวลาไล่อ่านก่อนแล้วกัน แล้วอาจมาติชมทีหลัง


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 07, 2005, 01:19:50 AM
ตอน สายลมแห่งชีวิตกำเนิดใหม่

         ทันทีที่พวกพงวิชมาถึงเชิงเขา ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ขึ้นเป็นระยะ
“ไหวปล่าว” แพ๊คถามเมื่อแรงสั่นสะเทือนนั้นหายไป
“ไม่ไหววะกลับกันเถอะ” ปอนบอก แล้วตั้มก็ตบหัวทีแล้วลากขึ้นเขาตามพงวิชไปเรื่อยๆ

         เมื่อพงวิชที่วิ่งนำหน้าคนอื่นมาจนถึงล่องหุบเขา ก็พบเคาท์ที่กำลังนั่งหันหลังให้ แล้วเคาท์ก็หัวเราะขึ้นมา พงวิชจึงชักดาบออกมาตั้งท่าเตรียมสู้ทันที
“เจ้าเด็กน้อย เจ้ามีความแกร่งเกินที่เจ้าเห็น ถึงแม้วันนี้ข้าจะตายเอา อย่างน้อยข้าก็อยากจะเห็นพลังของเจ้า จงแสดงให้ข้าดูซะ” เคาท์บอกแล้วก็ลุกขึ้นยืน
“ฉันมาเพื่อล้างแค้นที่แกทำกับพวกเรา เท่านั้น พลังอื่นใดข้าไม่สนใจหรอก” พงวิชบอกแล้ววิญญาณของอีฟริตก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพงวิช
“ข้าจะสู้กับเจ้าเอง” อีฟริตบอกแล้วก็เดินออกมาจากร่างของพงวิช
“เพื่ออะไร” พงวิชถาม แล้วอีฟริตก็หยุดนิ่งสักพัก
“เพื่อส่งให้เขาได้ไปสู่สุขติ หากเขายังอยู่แบบนี้ ข้ารู้ถึงความเจ็บปวดอันแสนทรมานในใจของเขาได้ ฉันจะปลดปล่อยให้เขาเป็นสุข โปรดรักษาดาบนั้นด้วย” อีฟริตบอกแล้วก็เดินต่อไปพร้อมเปวเพลิงที่รุกโชดห่อล้อมร่าง
“แม้ตาย ก็ขอตายหลังจากที่ข้าได้สิ่งที่สมใจ” เคาท์ก็หันมา เมื่อพงวิชเห็นก็ตกใจ
“ข้ามีพลังมากขึ้น ถึงแม้ร่างกายจะปรากฏร่างกึ่งปีศาจก็ตาม ข้าไม่มีทางเลือกแล้ว” เคาท์กำหมัดไว้แน่น พงวิชที่มองดูอีฟริตเดินเข้าไปหาเคาท์ด้วยความแน่วแน่อย่างไม่หวั่นเกรงแม้ศัตรูจะเป็นอะไรก็ตาม ทำให้พงวิชเรียนรู้ถึงบางอย่างจากอีฟริตได้เพิ่มอีกข้อหนึ่ง

         เคาท์เปิดฉากโดยการใช้หมัดของตนต่อยลงที่พื้นเกิดเป็นแท่งหินแหลมพุ่งขึ้นจากพื้นโจมตีใส่อีฟริต แต่อีฟริตก็ยังเดินต่อไปแม้ว่าพลังนั้นจะปักเข้าตามแข้งขา ซึ่งพงวิชเห็นแล้วยังตกใจและพยายามจะเอ่ยปากห้าม แต่เมื่อนึกถึงความตั้งใจของอีฟริตแล้ว เขาจึงหยุดยืนดูอย่าห่างๆ
“Earth Lance” เคาท์ชูมือขึ้นเหนือหัวแล้วเศษดินผุยผงจำนวนมากก้มารวมเป็นแท่งหินแหลมขนาดใหญ่ แล้วก็ใช้แท่งหินแหลมโจมตีใส่อีฟริตเข้าไปที่ขาขวา และอีฟริตก็หลบแต่อย่างใด ทำให้เขาทรุดลงทันที
“ทำไมกัน ทำไม ทำไม” พงวิชยืนกัดฟันกำหมัดแน่นเมื่อเห็นอีฟริตโดนทำร้ายโดยไม่โต้ตอบแต่อย่างใด และยิ่งหนำซ้ำตัวเองยังไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้อีก
“อย่าร้องไห้นะเจ้าหนู การที่เราจะชนะอุปสรรคได้ต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย หากเจ้าจะคิดยอมแพ้ เจ้าไม่สามารถที่จะชนะสิ่งใดได้หรอก” อีฟริตสื่อจิตเข้าหาแม้ตนเองจะบาดเจ็บเพียงใด พงวิชที่ได้ยินแล้วจึงเงยหน้ามองดูอีฟริตที่เดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น
“อึดนักนะ ดูซิจะทนได้มั้ย Quakion Strike” เคาท์สร้างพลังแล้วก็เล็งโจมตีใส่อีฟริตแล้วก็มีหินจำนวนมากมายพุ่งเข้าโหมโจมตีใส่

         เมื่อกลุ่มควันนั้นจางหายไป พงวิชก็เห็นเพียงร่างของอีฟริตที่ทรุดลงไปกองกับพื้น
“เจ้าหนู ข้าต้องการเห็นพลังของเจ้า พลังอันมหาศาลที่ข้าอยากจะเห็น ใช้มันเพื่อฆ่าข้าซะ” เคาท์บอก
“แต่ยังก่อน” อีฟริตพูดขึ้นแล้วก็ค่อยขยับร่างลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ทำไมไม่โต้ตอบละ อีฟริต” พงวิชถาม
“ถ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่ขัดศรัทธา การที่ข้าปล่อยให้เจ้าโจมตีเพื่อรวบรวมพลังของเจ้า ตอนนี้ละ ข้าจะขอสู้กับเจ้าอย่างแท้จริง” อีฟริตที่ยืนหยัดขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง พงวิชก็ยิ้มออกมาทันทีด้วยความปลื้มปิติ

“ได้งั้นก็ตายทั้งคู่ซะ Earth Quake” เคาท์ใช้หมัดของตนต่อยลงที่พื้นเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่จนพวกตั้มที่อยู่ข้างนอกนั้นยังสัมผัสได้
“ถล่มมันให้จมดินไปเลย” เคาท์เรียกกำแพงดินขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสูงเหนือล่องหุบเขาแล้วก็ถล่มเป็นคลื่นโจมตีใส่พงวิชและอีฟริต
“Fire Wall” อีฟริตเรียกกำแพงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นจากพื้นปะทะกับพลังของเคาท์ แล้วตนก็กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า
“Meteor Fire” อีฟริตเรียกหินขนาดใหญ่ลอยขึ้นมาจำนวนมากด้วยพลังที่ได้รับมาจากเคาท์ แล้วหินเหล่านั้นก็มีเปวเพลิงห่อหุ้มจนเป็นลูกอุกกาบาต แล้วอีฟริตก็อัดใส่ลูกบอลเพลิงเหล่านั้นโจมตีใส่เคาท์ดั่งอุกกาบาตถล่ม เคาท์เห้นเช่นนั้นจึงรีบสร้างกำแพงดินมาป้องกันทันที อีฟริตจึงโจมตีต่อเนื่องทันที
“Hell Fire” อีฟริตคำรามดังลั่นไปทั่วหุบเขาแล้วก็เกิดเป็นนรกไฟขนาดใหญ่เขาล้อมตัวเคาท์และอีฟริตไว้
“ที่นี่ไม่มีดินให้เจ้าป้องกันอีกแล้ว” อีฟริตบอกแล้วก็ใช้หมัดเพลิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งไฟจำนวนมหาศาลพร้อมดวงวิญญาณอีกนับหมื่นๆแสนๆที่พร้อมใจส่งพลังให้อิฟริต นั้นอัดใส่เคาท์อย่างเต็มจนเกิดแรงระเบิดกระจายไปทั่วท้องฟ้าเหนือภูเขานี้

         เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างจบลงร่างของอีฟริตที่สลายหายไปเพราะใช้พลังงานไปมากจนตัวเองนั้นต้องพักฟื้นอยู่ในดาบของพงวิช ทำให้ดาบนี้ไร้ซึ่งพลังแห่งอีฟริตแล้ว จากนั้นพวกเพื่อนๆก็ตามมาถึงพอดี ซึ่งทุกคนก็เห็นเพียงร่างของเคาท์ที่ยังมีไอความร้อนระเหยออกมาจากตัวและร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเคาท์
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ พงวิช” เมโรดีนถาม
“มาไม่ทันงานเลิกจนได้” บุ๊คบอก
“เออเว้ย กลับกัน” มิ้งบอก
“ไม่หรอก มันยังไม่จบ” ฟามบอกแล้วทุกคนก็นิ่งกันสักพักและจ้องมองไปที่ร่างของเคาท์

         อยู่สักพัก ร่างของเคาท์ก็ลอยขึ้นมา ทุกคนจึงอึ้งทันที ทุกคนจึงตั้งท่าระวังตัว แล้วร่างของเคาท์ก็มีแสงเปร่งประกาย เมื่อแสงนั้นดับลงทุกคนก็เห็นแมงป่องขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนหัวของมันคือเคาท์
“เอาไงดี” ตั้มถาม แล้วทุกคนก็มองหน้ากัน แล้วก็พยักหน้า
“ความกลัวทำให้พวกเราแพ้ เพราะฉะนั้นหากเราคิดว่าชนะได้ เราก็จงทำมันอย่างตั้งใจ จัดการมันเลย” พงวิชพูดปลุกใจเพื่อนแล้วพงวิช บุ๊ค ฟามและมิ้ง ต่างก็วิ่งเข้าสู้ทันที

“Perfect Shied” อิศราร่ายเวทย์สร้างเกราะให้กับเพื่อนๆทุกคนรวมทั้งตัวเอง
“Thunder Shock”  แพ๊คร่ายเวทย์มนต์สายฟ้าโจมตีใส่เคาท์
“เอา บอมเบย่า ไปกิน” ปอนเขว้งระเบิดใยแมงมุมที่เหนียวจนทำให้การเคลื่อนไหวของเคาท์นั้นช้าลง

         พงวิชและมิ้งต่างวิ่งไต่ตามขาขนาดใหญ่ของเคาท์ขึ้นไปจนถึงส่วนหลัง แต่ก็ถูกหางขนาดใหญ่ฟาดใส่จนกระเด็นตกลงมา บุ๊คจึงวิ่งขึ้นมาแทน
“บุ๊ค เอาโล่ทำมุมเฉียงไปที่รูของหางมัน” ฟามบอก บุ๊คจึงกระโดดพร้อมเอาโล่ทำเอียงมุมเฉียง ฟามที่แม่นปืนอย่างมากจึงยิงกระสุนเพียงนัดเดียวสะท้อนกับโล่ของบุ๊คเข้าที่รูหางของเคาท์เข้าไป
“กระสุนพิษ มันจะทำลายระบบของส่วนนั้นทั้งหมด ตอนนี้หางมันใช้งานไม่ได้แล้ว” ฟามบอกแต่ตัวเองก็ถูกก้ามแขนขนาดใหญ่ฟาดใส่และบุ๊คก็โดนจับเหวี่ยงไปกระแทกกับผนัง เมโรดีนที่ยืนมองดูคนอื่นสู้อย่างจริงจัง แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็รู้สึกเหมือนไร้ประโยชน์ต่อพวกเพื่อนๆ เธอเองจึงพยายามนึกหาทางจะช่วยบางอย่างจนเธอนึกได้ถึงสร้อยคอของเธอ เธอจึงหยิบสร้อยออกมากำไว้

“ด้วยสายลมที่ยังคงพัดผ่านไม่สิ้นสุด ผู้พิทักษ์ที่ผ่านไป จงกลับมาอยู่ยังเบื้องหน้าของข้าเถอะ ซิลด์” เมโรดีนเรียกมนต์อสูรออกมา ซึ่งต้องใช้เวลาในการร่ายที่ไม่นานนัก เมื่อเคาท์เห็นจึงเล็งมาที่เมโรดีน
“บุ๊ค แม้ตายก็ยอมถวาย ป้องกันเธอไว้ด้วย” พงวิชบอกแล้วตนก็วิ่งเข้าฟันที่ขาของเคาท์ทำให้ทรุดลงแต่เคาท์ก็ยังลุกขึ้นมุ่งหน้ามา บุ๊คจึงเข้ามาขวาง แต่ก็ถูกก้ามขนาดใหญ่ฟาดจนกระเด็นไป

         และแล้วก็ไม่มีสิ่งไหนกั้นขวางทางของเคาท์ได้ จนมันมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของเมโรดีนที่กำลังยืนร่ายมนต์อสูร แล้วมันก็ชูก้ามทั้ง 2 ขึ้นและฟาดลงใส่ที่ตัวเธอ อิศรายังไม่สามารถร่ายเวทย์ป้องกันไว้ได้ทันที แต่ในเวลานั้นเองก่อนที่ก้ามใหญ่ยักษ์ที่กำลังจะปลิดชีพของเธอนั้น เธอเองได้ร่ายมนต์อสูรสำเร็จก่อนเพียงเวลา 3 วินาทีซึ่งเป็นระยะที่ก้ามห่างจากตัวเองเพียง 5 ฟุต แล้วเวลาทุกอย่างก็ช้าลงทันที เธอจึงเรียกมนต์อสูรออกมา

“อัศวินแห่งสายลม นักรบที่พัดมาพร้อมกับความยุติธรรม ออกมาเลย เซฟิ” เมโรดีนเรียกมนุษย์วิหคปักษาเด็กชายน้อยที่ถือดาบขนาดใหญ่มากซึ่งมีสัญลักษณ์แห่งสายลมสลักลงที่ดาบ
“กำแพงแห่งสายลมที่เพียบพร้อมไปด้วยความสงบ จงออกมา เฟียเรียส” เมโรดีนเรียกมนุษย์วิหคปักษาสาวน้อยที่ออกมาพร้อมโล่ขนาดใหญ่
“สายลมที่พุ่งเร็วเหนือสิ่งอื่นใด ความแม่นยำและคมแห่งสายลม จงออกมา อูติก” เมโรดีนเรียกมนุษย์วิหคปักษาเด็กชายน้อยที่ถือธนู

         แล้วเซฟิใช้ดาบของตนฟันต้านก้ามข้างหนึ่งและเฟียเรียสก็ใช้โล่ขนาดใหญ่ป้องกันให้กับเมโรดีน และสุดท้ายอูติก
“Million Arrow” ลูกดอกที่สร้างขึ้นมาจากสายลมนับล้านดอกถูกยิงใส่หัวใจของเคาท์
“Wind Cross” เซฟิหมุนตัวด้วยดาบขนาดใหญ่แล้วพุ่งฟันใส่ร่างของเคาท์และเกิดแรงลมมหาศาลพัดผ่าน
“Spearo Gust” เฟียเรียสตั้งโล่ของตนกับพื้นแล้วก็มีลมจำนวนมากมาห่อหุ้มและยิงพลังเป็นสายลมโจมตีใส่

         ทุกคนอึ้งกับสิ่งที่พวกเขาเห็น พวกเขาแทบจะไม่เชื่อว่าสาวน้อยอย่างเมโรดีนจะมีพลังที่สามารถเรียกมนต์อสูรออกมาได้
“and Last…” สามพี่น้องวิหคน้อยพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

         วิหคน้อยทั้ง 3 บินสูงขึ้นไปเหนือเมฆ และเกิดแรงลมหมุนเบาๆรอบๆตัวเคาท์ที่บาดเจ็บจากการถูกโจมตีอย่ารวดเร็วและต่อเนื่องของวิหคน้อยทั้ง 3
“Air Force Tornado” เสียงของ 3 พี่น้องดังไปทั่วฟ้าแล้วท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว และเกิดทอร์นาโดขนาดใหญ่ขึ้นที่ตัวเคาท์ พวกพงวิชต่างหาที่ยึดจับไว้ มีเพียงเมโรดีนที่ยืนหยัดมองดูความสำเร็จและความน่าทึ่งที่ตนเองสามารถทำได้ถึงขนาดนี้
“Geaser Earth” เคาท์ใช้พลังสุดท้ายของตนเงยหน้าขึ้นและยิงลำแสงแห่งดินขนาดใหญ่สวนทางทอร์นาโดขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เที่ยวบินสุดท้ายแห่งชีวิต”  3 วิหคน้อยพูดพร้อมกัน แล้วก็มีพลังขนาดมหาศาลถล่มยิงลำแสงขนาดมหึมมาโจมตีใส่กลางมอร์นาโด แล้วแรงลมขนาดมหึมมาก็พัดไปทั่วเมืองอเบสต้าไกลไปจนนักบุญออแกนยังสัมผัสได้และยืนมองจากยอดเขา

         เมื่อแรงลมทุกอย่างพัดผ่านสลายไป พวกพงวิชก็ออกมาจากที่หลบภัยและเห็นร่างของ 3 พี่น้องวิหคที่บินอยู่ตรงหน้าทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงสีขาวปนเขียว และวิญญาณของเคาท์ที่สลายลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
“พวกเรา 3 พี่น้องต้องขอขอบคุณพี่สาวด้วยที่ปลดปล่อยพวกเราจากสร้อยคอเส้นนั้น แต่เรา 3 พี่น้องก็จะขออยู่เคียงกับพวกท่านตลอดไป” เซฟิซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุดกล่าวคำขอบคุณเมโรดีน และเธอก็ยิ้มตอบรับ
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ฉันเพียงต้องการที่จะช่วยเพื่อนๆ ฉันไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงเพื่อนๆก็เท่านั้นเอง” เมโรดีนบอกแล้ว 3 วิหคน้อยก็ยิ้มอย่างดีใจ
“นี่สิ่งที่จะแทนตัวพวกเรา เราจะขอตามพวกท่านไป ขอเพียงท่านรักษาพวกเราไว้ให้ดี” เฟียเรียสบอกแล้วก็มอบโล่ให้กับบุ๊ค บุ๊คจึงรับไว้และยังมึนงงนิดๆ
“ท่านเป็นคนแรกที่ได้ถือดาบเล่มนี้ ขอให้ท่านคิดซะว่ามันคือ 1 ชีวิต” เซฟิมอบดาบแห่งสายลมให้กับพงวิช พงวิชก็รับด้วยความดีใจ
“และคันธนูนี้ฉันก็ขอมอบให้ท่าน” อูติกมอบคันธนูของตนให้ แต่พวกพงวิชก็ไม่มีคนใดรับไว้เลย เพราะทุกคนใช้ธนูไม่เป็นกัน
“ไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่ว่าพวกเราไม่มีใครใช้ธนูเป็นเลยสักคน” พงวิชบอก
“งั้นฉันรับไว้เอง ฉันจะพยายามหัดใช้ธนูให้เป็น ฉันจะได้มีประโยชน์ต่อทุกคนด้วย” เมโรดีนรับคันธนูนี้ไว้และบอกให้ทุกคนรับรู้ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มที่เห็นเมโรดีนคิดได้เช่นนี้
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วละ ต่อไปจะเอาไงต่อละ” ตั้มถาม
“งั้นไปเมืองแรฟอสซิ ที่นั่นเป็นเมืองการค้า เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่มากๆ และฉันมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย” เมโรดีนตอบ
“จะได้ไปเล่นน้ำแล้ว” เฟียเรียสดีใจที่ได้ยินเมโรดีนพูดแบบนั้น
“อ้าวเฮ้ย จะไปทั้งที เราช่วยเอง เสี่ยมิ้งการช่างซะอย่าง ไปเร็วมีมอเตอร์ไซด์หลายคัน บิดไปพร้อมๆกันเลย” มิ้งบอกแล้วทุกคนก็เดินลงเขา พวกพงวิชต่างก็มองดู 3 วิหคน้อยเล่นกันตลอดทางเหมือนเด็กน้อยธรรมดาที่มีปีกติดอยู่เท่านั้น

--------------------------------จบตอนที่ 15-------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 10, 2005, 11:52:03 AM
ตอน การหลบหนีและการตามล่า

         ที่มหานครเวลเรี่ยนยามราตรี ผู้คนต่างหลับกันอย่างสุขสบาย แต่เหล่าทหารต่างก็ต้องเฝ้าคุมนักโทษกันอย่างเข้ม แม้แต่ผู้การนอริสเองก็ยังคงคอยสั่งการต่างๆ
“อีกไม่นานแล้วละ เจ้าวินนั่นมันต้องหาทางหนีออกมาแน่ เพราะหากรุ่งขึ้นมันยังอยู่ นั่นคือจุดจบชีวิตของมัน เพราะฉะนั้นต้องเข้มงวดไว้ อย่าให้มันหนีออกมาได้” ผู้การนอริสสั่งการเสร็จ ก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
“ผู้การครับ ท่านนายพลเชิญให้ไปพบครับ” นอริสจึงเดินออกจากห้องมุ่งหน้าตรงไปที่ห้องของนายพลทันที

         แต่ในเวลาเดียวกันนั้นการทำตัวเหมือนหลับใหลอยู่ในคุกมานาน เขาก็ตื่นขึ้นมา และไม่มีสิ่งไหนที่เขาจะเกรงกลัว
“ชีวิตนี้แม้ตายก็ขอออกจากที่นี่ก่อนเว้ย” วินถีบประตูเหล็กหนาขนาดใหญ่พัง สัญญาณเตือนจึงดังขึ้นทันที
“จับมัน” ทหารนายหนึ่งเห็นจึงตะโกนเรียกคนอื่น แต่เมื่อสิ้นเสียงทหารนายนี้ก็ถูกวินหักคอทิ้ง
“ไว้เจอกันในนรกแล้วกัน” วินวิ่งหนีออกไปตามทาง

“มีนักโทษหากคุก” นอริสได้ยินสัญญาณจึงนึกขึ้นได้ถึงวิน บุคคลที่ตนเองคิดไว้ตามแผน จึงรีบวิ่งกลับไปที่หอบัญชาการเพื่อปฏิบัติหน้าที่

“ถ้าไม่อยากตาย หลบไปซะ นี่คือคำขาด” วินวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าทหารกลุ่มหนึ่งที่มาขวาง
“20 ต่อ 1 จับมันเว้ย” นายกองสั่งแล้วทหารต่างก็ระดมยิงปืนใส่
“ต้องให้ออกแรงอีกแล้ว Magnum Step” วินพุ่งฝ่ากระสุนปืนโดยใช้หมัดของตนหมุนแรงลมเป็นโล่ป้องกันเข้าไปยังกลุ่มทหารแล้วก็ระเบิดลมที่หมุนอยู่รอบแขน ทำให้ทหารเหล่านั้นโดนแรงลมพัดกระเด็นกระจาย แล้วเขาก็วิ่งต่อไป

“ผู้การครับ เราจะจับมันยังไงดีครับ ขนาดตอนจับครั้งแรกมาได้ ท่านเองก็ยังเอาตัวแทบไม่รอดเลยนะครับ” ทหารนายหนึ่งถาม
“แน่นอนว่า เจ้าวิน มันจะต้องหนีไปทางดาดฟ้าเพื่อใช้ยานเหาะขับหนีออกไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นไปดักมันที่นั่น และเปิดแสงที่นั่นให้สว่าง เพราะเจ้านั่นมันกลัวแสงมากถึงขนาดหากโดนแสงกระทบตา เลือดมันจะไหนออกจากตาทันที แล้วเราก็จัดการมันง่ายๆ” นอริสสั่งแล้วก็เดินตามทหารขึ้นไปยังดาดฟ้าทันที

“ดักรอรึ เจ้าพวกโง่” วินถีบประตูดาดฟ้า เมื่อเขาโผล่ออกมาก็พบทหารจำนวนมาก
“หนีไม่พ้นหรอก วิน” นอริสยืนหัวเราะแล้วเหล่าทหารก็วิ่งเข้าไปล้อม
“ประมาณพลังข้าต่ำไปรึปล่าว” วินบอกแล้วก็ยืนนิ่ง ทหารพวกนั้นต่างก็กลัวๆไม่กล้าวิ่งเข้าไปจับ
“ไหนๆพรุ่งนี้มันก็จะตายแล้ว ยิงมันเลย” นอริสสั่ง ทหารนับ 100 จึงระดมยิงใส่วิน แต่หารู้ไม่ว่า ตัวตนตรงนั้นเป็นเพียงเงา ซึ่งตัวจริงของวินนั้น
“ลาก่อน ไว้เจอกันใหม่ตอนไล่จับฉันแล้วกัน ฮ่าๆๆๆ” วินโบกมือลานอริสจากเครื่องบินขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงสุดของที่นี่ แล้วเขาก็ขับหนีออกไป
“มันหนีไปจนได้” นอริสเครียดทันทีแล้วก็เดินกลับไปยังห้องนายพล

         เมื่อนอริสเดินเปิดประตูห้องนายพลเข้ามา
“อย่าไปใส่ใจกับความผิดพลาดครั้งนี้เลย ผู้การ” นายพลบอก นอริสจึงทำความเคารพและถามขึ้น
“เรียกมาพบเพื่ออะไรเหรอท่านนายพล”
“ตอนแรกเราก็กะว่าจะให้เจ้านั้นไปจับนักฆ่าอื่นๆที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ตอนนี้ดูแล้วเราเห็นว่าจะให้เจ้าออกตามจับ นักโทษที่หนีไปแทน ส่วนนักฆ่าคนอื่นๆ เราจะให้ผู้การนิมเบิลจัดการเอง” นายพลบอก เมื่อนอริสได้ยินจึงแย้งขึ้น
“ไม่ได้นะ ท่านนายพล หากให้ผู้การนิมเบิลปฏิบัติหน้าที่ เมืองเราอาจจะถูกโจมตีได้โดยง่ายจากเมืองอื่น” นอริสบอก
“อันนี้ข้ารู้ ผู้การนอริสท่านหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ ท่านมีหน้าที่คอยจับกุมบุคคลอันตราย และผู้การนิมเบิลเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาการเมืองต่างๆ หากไร้ซึ่งเขาไปแล้ว เราเองก็อยากจะออกกำลังบ้าง ท่านจึงอย่าได้วิตกเลย” นายพลบอก
“ครับ ท่าน” นอริสทำความเคารพแล้วก็เดินออกจากห้องไป

         เมื่อนอริสออกจากห้องมาภาพหลอนที่ติดตาเขาตลอดเวลาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เขาเห็นชายชุดดำยืนมองมาที่เขา ความกลัวของเขาเพิ่มขึ้นทันทีที่เห็น เมื่อเขาตั้สติได้สักพักเขาก็ชักปืนยิงใส่ชายชุดดำทันที แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่กลับทำให้ชายชุดดำเดินเข้ามาใกล้ขึ้น แล้วชายชุดดำก็ถอดแว่นสบสายตาจ้องมองตากับนอริส นอริสเห็นดวงตาสีขาวที่ข้างในเต็มไปด้วยความว่างปล่าว แล้วเขาก็มองลึกลงไปข้างใน เขาเห็นภาพในอดีตที่ฝั่งในจิตใจของเขามานานเกี่ยวกับชายชุดดำที่ได้ถล่มเมืองที่เขาเคยประจำการอย่างย่อยยับไม่เหลือซาก แล้วเขาก็เห็นชายชุดดำกำลังชักดาบออกมาฟันใส่เขา จนเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วเขาก็พบว่าตัวเขานั้นนอนอยู่ที่หน้าห้องของนายพล
“ฝันไปหรือนี่” นอริสเอามือกุมขมับเล็กน้อยและลุกขึ้นมา เมื่อเขาลุกขึ้นมาก็เห้นชายชุดดำยืนอยู่ข้างหน้า
“ฉันจะจับแกให้ได้” นอริสตะโกนใส่แล้วชายชุดดำก็กลายเป็นควันสลายหายไป

         วันรุ่งขึ้น นอริสตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัวเพื่อออกตามล่าวิน เขาเตรียมกำลังพลทหารอยู่ 300 นาย ซึ่งมากกว่าตอนที่จับวินครั้งแรกอยู่ 50 คน พร้อมยานขับเคลื่อนขนาดใหญ่ แล้วตัวเขาเองก็นำดาบของพ่อและปืนของพี่ชายที่เสียชีวิตลงไปในคืนที่ชายชุดดำถล่มเมือง ติดตัวไปด้วย เมื่อนอริสเดินขึ้นเครื่องมาก็เห็นเหล่าทหารทำงานกันอย่างเข้มแข็ง ทำให้ใจของเขาเองก็รู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา
“ไม่ว่ายังไง วันนี้หรือวันหน้า หากพวกเราจะตาย ใครจะตายเคียงข้างฉันบ้าง” นอริสถาม
“พวกเราครับท่าน” ทหารเหล่านั้นตอบ
“ดีงั้นออกเดินทาง ที่แรกมุ่งหน้าไปที่เมืองแรฟอส” นอริสสั่ง แล้วการเดินทางของเหล่าทหารก็เริ่มขึ้น

         ที่เมืองแรฟอส เมืองแห่งตลาดการค้า เหล่าพ่อค้าจำนวนมากต่างมารวมกันแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆกันที่นี่ แต่แล้วก็มีสิ่งบางอย่างที่จะนำความวิบัดมาสู่เมืองนี้ นั่นคือ........

-----------------------------จบตอนที่ 16-----------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 10, 2005, 10:23:38 PM
ตอน สาวน้อยนักสู้

“!!! อรุณ !!! เร็วๆหน่อย เนี่ยถึงแล้วจะได้ไปหาที่พักแล้วกินข้าว” นพบอก
“เรื่องกินไม่ต้องบอก ยังไงเรื่องกินมาก่อนอยู่แล้ว” อรุณพูดเสร็จก็วิ่งเข้าไปในเมืองทันที
ทั้งคู่ต่างก็เข้าไปในเมืองเพื่อเดินเที่ยวเล่นใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยของทั้งคู่

ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในเมือง และเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะ
“เอาสูตรเด็ดประจำร้านมาเลย 2 ที่” อรุณสั่ง แล้วเจ้าของร้านก็จัดทำให้ ในระหว่างที่รอโต๊ะข้างๆก็คุยกัน และนพก็สนใจที่จะฟัง

“เฮ้ย วันนี้ขึ้นเขามั้ย” ชายคนที่ 1 บอก
“เออ ไปดิ ขึ้นไปหา 2 พี่น้องนั่น แถมความลือนี้ไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือปล่าว ที่เขาบอกว่า หากใครเห็นเรือนร่างของน้องสาวก็จะได้แต่งงานด้วย ส่วนพี่สาวหากใครสู้ชนะก็จะได้แต่งงาน สงสัยวันนี้พวกเราเหมา 2 เลยปล่าว” ชายอีกคนพูด นพจึงสนใจอย่างมากจึงกระซิบบอกอรุณ
“กินเสร็จรีบขึ้นเขากัน”
“เออ กินให้อิ่มก่อนจะไปไหนก็ไป” อรุณบอก
แล้วก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน แล้วเดินไปหาสาวน้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่ค่อนข้างไกลจากโต๊ะอรุณ ทหารนายหนึ่งพูดคุยอะไรบางอย่างกับเธอ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเธอจะพูดอะไรแต่ เมื่อทหารนายนั้นเอารูปให้ดู เธอก็หันมามองที่นพและอรุณ ทำให้อรุณและนพตกใจกับแววตาที่ดุดันยิ่งกว่าเพชฌฆาต แต่แล้วสาวน้อยคนนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ทหารกลุ่มนั้นจึงเดินออกไป ทำให้อรุณและนพโล่งอก แต่ก่อนที่ทหารจะออกไปมีทหารนายหนึ่งสังเกตเห็นอรุณ

“เฮ้ย มันอยู่นั่น” ทหารนายนั้นตะโกนบอก แล้วสาวน้อยคนนั้นก็หยิบค้อนขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาทุบใส่ทหารกลุ่มนั้นด้วยความเร็วที่นพและอรุณที่เป็นนักฆ่ายังต้องตะลึงกับความเร็วเกินตัวของเธอ
“เสร็จแล้วจ้า กินกันซะ เรื่องพวกนี้อย่าไปสนใจเลย” เจ้าของร้านนำอาหารมาเสิร์ฟ
“ลุงรู้จักสาวน้อยคนนั้นมั้ย” นพถาม
“ไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่หรอก แต่เคยถามชื่อ เธอบอกว่าชื่อ นาโอะ” เจ้าของร้านบอก
“เออ กินก่อนนพ จะได้ไปต่อ”  อรุณบอกแล้วก็รับประทานอาหารทันที
“ไม่น่าเชื่อว่า จริงๆ พอฉันเห็นเธอ 2 คน ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกเปลี่ยนความคิดที่ว่า นักฆ่า ทุกคนนั้นโหดเหี้ยม แต่เธอ 2 คน นพปืนใหญ่วายุ กับ หมาบ้าอรุณ ถึงจะเป็นนักฆ่าแต่นิสัยของพวกเธอดียิ่งกว่าคนปกติหลายๆคนซะอีก” เจ้าของร้านบอก
สักพักเมื่ออรุณและนพกินอิ่ม ทั้งคู่ก็ลุกเดินออกไปจากร้านทันทีโดยไม่จ่ายเงิน
“สงสัยต้องเชื่อความคิดเดิมซะแล้ว นักฆ่า ทุกคนเป็นคนเลว” เจ้าของร้านเซงแล้วก็เดินเก็บจานเข้าไปหลังร้าน

เมื่อออกมาจากร้านได้ นพรีบดึงอรุณวิ่งขึ้นภูเขาข้างๆเมืองทันที
“เฮ้ย จะรีบไปตายที่ไหนวะ” อรุณถาม แล้วทั้งคู่ก็หยุดพักเหนื่อย
“แล้วไมอ่ะ ชีวิตใคร หรือจะรอข้างล่างให้พวกทหารมาจับละ” นพตอบ
สักพักก็มีชาย 2 คนที่อยู่ในร้านเดินขึ้นมา
“พวกแก 2 คนหนะถ้าจะนอนไปนอนที่อื่นไป” ชายคนหนึ่งบอก นพจึงมองด้วยสายตาอาฆาตแล้วเล็งปากกระบอกปืนใหญ่ไปที่ชาย 2 คนนั้น
“ไม่รู้ฉันหรือรู้จักน้อยไปซะแล้วมั้ง แก 2 คนเนี่ย อย่างมากก็แขน ขาหัก” นพยิงปืนใหญ่ด้วยแรงดันลมสูงใส่ชายทั้ง 2 จนกระเด็นภูเขาที่สูงลงไปข้างล่าง
“ไป อรุณ ไปต่อ เร็ว” นพบอกแล้วก็วิ่งขึ้นไปโดยไม่รออรุณ

         เมื่อนพวิ่งขึ้นมาถึงก็เห็นบ้านไม้แบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งรอบๆเป็นลานกว้างและป่า นพจึงเดินเข้าไปข้างในก็เห็นนาโอะนั่งอยู่กลางห้องกับสาวคนหนึ่งที่ใส่ชุดกิโมโนอย่างเรียบร้อย
“นั่งก่อนค่ะ” สาวชุดกิโมโนบอก นพเดินมานั่งและนึกในใจ
“นี่นะเหรอ 2 พี่น้องที่เขาบอกกัน” และนาโอะก็เพ่งมองมาที่นพ จนนพหวาดระแวง
“ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเหรอคะ” สาวชุดกิโมโนถาม
“อ๋อ คือ เมื่อเช้า นาโอะ เขาช่วยผมกับเพื่อนอีกคนไว้จากทหารก็เลยอยากจะมีขอบคุณ คุณชั่งมีน้องสาวที่น่ารักดีจัง” นพบอก
“น้องสาว ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คงจะเข้าใจอะไรผิด นาโอะเป็นเพียงศิษย์ของท่านพี่ และขอโทษที่เสียมารยาทไม่ได้แนะนำตัว ฉันชื่อ อายะ” อายะบอก นพจึงหัวเราะออกมาแล้วอรุณมาถึงจึงฟุบนอนทันทีด้วยความเหนื่อย
“ใครมาเหรออายะ” มีเด็กสาวน้อยตัวเล็กราวกับเด็กอายุ 9 ขวบเดินเข้ามาจากห้องข้างๆและถาม
“คือ 2 คนนี้จะมาขอบคุณนาโอะที่ช่วยพวกเขาไว้เมื่อเช้าค่ะ ท่านพี่” อายะบอก นพจึงมองไปที่เด็กสาวคนนั้นและนึกในใจ
“นั่นหนะเหรอ พี่สาว วันนี้หัวจะแตกตาย ทำไมเมืองนี้มาถึงก็เจออะไรแปลกๆเลย”
“นี่ พวกนายหนะ คงไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องอื่นอีกนะ” เด็กสาวคนนั้นถาม
“ไม่มีอะไรมาก คือ พวกเราเป็นนักเดินทาง ไปมาไม่มีที่เป็นหลักแหล่ง และมาถึงเมืองนี้ แล้วได้ยินข่าวลือที่ว่า 2 พี่น้องที่นี่...” นพพูดยังไม่ทันขาดคำ
“ข่าวลือนั่นถูกต้อง แต่ก็คงยากที่จะหาใครสักคนที่เหมาะสม เอาล่ะ พวกนายกลับไปกันได้แล้ว จริงซิเป็นนักเดินทางนี่ รีบๆไปจากเมืองนี้ซะเถอะ” เด็กสาวคนนั้นบอกแล้วก็เดินออกจากห้องไป
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่ท่านพี่ไล่พวกคุณ คือท่านพี่มักจะไม่ค่อยถูกกับคนแปลกหน้านัก ส่วนชื่อ ท่านพี่ชื่อ มายะ แต่ฉันจะไปส่งพวกคุณก็แล้วกันนะคะ” อายะบอกแล้วเธอก็เดินออกมาส่งนพที่หน้าบ้าน

“ขอบคุณครับที่มาส่ง แต่มีหนึ่งอยากจะถามเกี่ยวกับนาโอะนะครับ” นพถาม ส่วนอรุณก็ไปนั่งพัก
“ถามมาได้เลยคะ” อายะบอก
“คือ อยากจะทราบประวัติของเธอ และอยากจะรู้ว่า ทำไมเธอถึงไม่ค่อยพูดเลย และยังมีวิชาการต่อสู้ที่เกินเด็กในวัยนั้น” นพถาม
“นาโอะ มีพ่อเป็นหัวกลุ่มโจรสลัด แต่ตัวเธอนั้นต่อต้านพวกกลุ่มโจรหรือต่างๆ เธอจึงขอมาอยู่กับพวกเราและขอให้ท่านพี่ฝึกฝนวิชาต่างๆให้ แต่เธอชอบช่วยเหลือคนอื่นที่เธอคิดว่าคนนั้นคือคนดี และเธอชอบของแปลกๆด้วย ส่วนที่เธอไม่ค่อยพูดนั้น เธอฝึกสมาธิของเธอให้แน่วแน่ไม่ขวักไขว่กับสิ่งต่างๆ ส่วนเรื่องการต่อสู้นั้น เธอฝึกมาจากท่านพี่” อายะเล่าให้ฟัง ทำให้นพสงสัยขึ้นมาอีก
“แล้วพี่สาวของเธอทำไมถึงตัวเล็กยิ่งกว่านาโอะซะอีก” นพถาม
“คือท่านพี่ฝึกฝนไปในตัว ซึ่งหากจะอธิบายก็คงจะไม่เข้าใจหรอกค่ะ งั้นฉันจะแสดงให้ดู” อายะบอกแล้วก็ย่อส่วนตัวเองให้เล็กเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆเหมือนพี่สาวเธอ นพเห็นตกใจทันที
“ถ้าไม่สงสัยอะไรแล้ว งั้นฉันกลับเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ” เสียงน้อยๆของอายะตอนเด็ก นพและอรุณจึงเดินลงกลับไปยังเมืองแรฟอสพร้อมทั้งยังงงและยังไม่เชื่อกับสายตา

--------------------------จบตอนที่ 17--------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 11, 2005, 12:43:47 AM
วันนี้ผมฟิตจัดแต่งได้ 3 ตอนติด เพราะได้กำลังใจจากผู้ที่เข้ามาอ่าน (หากสนุกก็บอกกันได้นะครับ หรือว่าเราคิดไปเอง  :( )
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน ความน่ากลัวของหมาบ้า

“เฮ้ย ครบ 1 เดือนแล้ว ไปเก็บค่าที่ซะ” หัวหน้ามาเฟียสั่ง
“ครับลูกพี่”

ที่ท่าเรือเมืองแรฟอส แหล่งการค้าที่ผู้คนชุกชุม เหล่าพ่อค้าต่างนำสินค้าและข่าวต่างๆจากเมืองตนมาเผยแพร่และแลกเปลี่ยนกัน แต่เมืองการค้าอย่างนี้แน่นอนต้องมีพวกมาเฟียอยู่เบื้องหลัง อรุณและนพที่เพิ่งลงมาจากบ้านของ 2 พี่น้องตระกูลนัสซึเมะ อรุณเกิดนึกอยากจะไปเดินเล่นแถวตลาด ทั้งคู่จึงเดินเข้าไปแถวท่าเรือ

เมื่ออรุณและนพเดินเที่ยวดูสินค้าไปสักพักก็มีชายสูทดำกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา พ่อค้าต่างก็หวาดกลัวและจ่ายเงินค่าที่ให้ และชายกลุ่มนั้นเดินมาเจออรุณและนพยืนขวางทางอยู่และไม่ยอมหลีกทางให้
“สงสัยอยากตายเว้ยเฮ้ย จัดการมัน” ชายกลุ่มนั้นชักปืนออกมายิงทันที นพจึงใช้ปืนใหญ่แปลงชิ้นส่วนมีสภาพเหมือนจานดาวเทียมกลมและมีปืนอยู่ตรงกลาง
“หนีเว้ย เฮ้ย ของมันใหญ่กว่า” ชายกลุ่มนั้นรีบหนีทันที อรุณจึงยืนหัวเราะ แล้วสักพักก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากกำลังเดินเข้ามาใกล้ นพและอรุณจึงหันหลังไปมอง

“นพปืนใหญ่วายุ หมาบ้าอรุณ นักฆ่าที่ทางการต้องการตัว จับมัน” ผู้กองมอแกนสั่ง แต่อรุณนั้นยังตะลึงกับร่างกายที่ใหญ่ราวกับยักษ์ของผู้กอง
“อย่าหมายจับพวกเรา มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก” นพบอกแล้วก็เล็งปืนใหญ่มาที่พวกทหารเรือ ทำให้ทหารเหล่านั้นหวาดกลัวจนไม่กล้าวิ่งเข้ามาใกล้อีก
“อรุณเคลียร์ทางดิ” นพบอก
“ได้” อรุณก็ใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างทุบลงที่พื้นเกิดเป็นกำแพงดินพุ่งขึ้นจากพื้น
“Air Burst” นพอัดแรงดันลมสูงใส่ไปที่กำแพงดิน ทำให้กำแพงนั้นเคลื่อนพุ่งเข้าใส่พวกทหารเรือ เหล่าทหารต่างวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย แต่ผู้กองมอแกนกลับยืนเฉย และเมื่อกำแพงพุ่งเข้ามาใกล้เขาใช้หมัดขนาดใหญ่อัดใส่กำแพงจนพังทลายลง
“นพ วิ่ง” อรุณรีบกลับหลังหันวิ่งหนีทันที
“จับมัน” ผู้กองมอแกนสั่งแล้วทหารเรือและตนต่างก็วิ่งตามนพและอรุณไปทันที

         นพและอรุณรีบวิ่งหนีหน้าตั้งแม้จะชนกับเหล่าหาบเร่ของพ่อค้าจนพัง พวกเขาก็ยังวิ่งต่อไปจนมาถึงทางแยก ทั้งคู่ไม่หยุดรอคิดอะไร แต่กลับวิ่งแยกไปคนละทางทันที
“ชีวิตอันสนุกจะจบลงวันนี้เหรอวะเนี่ย” นพวิ่งไปสลับกับหันมามองหลังไป จนพวกทหารเรือนั้นตามมาไม่ทัน แต่เมื่อเขาหายเหนื่อยและเงยหน้าขึ้นมา
“ไง จ๊ะ สุดหล่อ” สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าทัก
“เธอเป็นใคร” นพเดินมานั่งพิงกับกำแพง
“เอาเป็นว่า ฉันมีข่าวดีและข่าวร้ายจะมาบอกก็แล้วกัน” สาวคนนั้นบอกและยื่นแก้วน้ำให้
“เอาข่าวร้ายก่อนดีกว่า ค่อยข่าวดีทีเดียวให้วันนี้มันได้ดีสักที” นพบอกพร้อมกับรับน้ำมาดื่มแก้เหนื่อย
“ข่าวร้ายคือ ฉันมาที่นี่เพื่อเล่นอะไรสนุกๆกับเธอและเพื่อนของเธอ ส่วนข่าวดีเธอจะได้ไม่ต้องหนีทหารอีกเพราะว่า ฉันจะฆ่าแกตรงนี้แหละ” เมื่อสิ้นเสียงสาวคนนั้น เธอก็ชักดาบฟันใส่นพด้วยความเร็วสูง แต่นพก็รีบลุกหลบออกมา แต่ก็ได้แผลที่แขนข้างซ้าย

“ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่มีอคติที่จะสู้กับสาวเซ๊กซี่อย่างเธอหรอก ไปซะ” นพบอกและหันหลังให้
“หยามข้ามากไปแล้วนะ” สาวคนนั้นพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วจนนพสัมผัสถึงแรงลมที่พัดผ่านได้พร้อมกับเธอใช้ดาบนั้นฟันเข้าที่ข้างลำตัวนพ แต่ทันใดนั้นสิ่งที่นพไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ก็เกิดขึ้น นาโอะพุ่งเข้ามาขวางด้วยความเร็วแม้แต่สาวคนนั้นยังตะลึงและโดนเธอใช้ค้อนขนาดใหญ่ฟาดใส่จนกระเด็นออกไป
“ฝากไว้ก่อนแล้วกัน” สาวคนนั้นรีบลุกขึ้นและหนีไปทันที
“ขอบคุณนะที่ช่วยไว้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว” นพบอกแต่นาโอะก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินจากไป นพเองจึงเดินต่อไปแม้ตัวเองจะบาดเจ็บ

         ทางด้านอรุณ
“จะตามมาไมวะ” อรุณวิ่งหนีอย่างสุดกำลังจนมาถึงทางตัน จึงหันกลับตั้งหลัก
“รู้งี้วิ่งไปทางนพดีกว่าเว้ย” อรุณบ่นพรึมพรำ
“ปิดฉาก หมาบ้าอรุณ ก็มาจนมุมอย่างหมานี่เอง” ผู้กองมอแกนหัวเราะอย่างสะใจ
“โมโหแล้วเว้ย” อรุณวิ่งเข้าประจัญทันที เหล่าทหารเรือก็ระดมยิงปืนใส่แต่ไม่โดนสักนัด
“หมัดอสูร 9 มังกรน้ำ” หมัดของอรุณมีพลังน้ำไหลเวียนและเมื่ออรุณออกหมัดน้ำที่ไหลเวียนนั้นปรากฏเป็นมังกรน้ำ 9 ตัวพุ่งไหลผ่านพัดพาเหล่าทหารเรือไปตามกระแสน้ำ เหลือเพียงผู้กองมอแกนที่ยืนต้านทานแรงน้ำนั้นได้
“มาเลยไอ้หมาบ้า” ผู้กองมอแกนตั้งท่าเตรียมสู้ และเมื่ออรุณเงยหน้าขึ้นมาแววตาดั่งหมาบ้าที่กำลังคลั่งก็ปรากฏ
“เจ้านี่มันปล่อยพลังจากภายในร่างกายออกมาถึง 60% หากเราต้านพลังมันได้ ยังไงเราก็ชนะ” มอแกนนึกในใจแต่พอตั้งสติกลับมาก็ไม่เห็นอรุณแล้ว

“อยู่นี่เว้ย” มอแกนหันไปทางขวาตามเสียงก็ถูกอรุณต่อยเสยคางกระเด็นไปชนกำแพง
“เร็วมาก” มอแกนลุกขึ้นได้จึงตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่จับทิศทางการเคลื่อนที่ของอรุณ จนจับจุดได้จึงใช้กำปั้นขนาดใหญ่อัดใส่ แต่อรุณก็ใช้หมัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังต้าน จนเกิดแรงพลังหมุนเวียนรอบตัวทั้งคู่และพื้นและกำแพงบริเวณต่างทนแรงพลังไม่ได้จนเกิดรอยแยกและพัง ทั้งคู่ต้านพลังอยู่นานจนพลังของอรุณเริ่มลดลง
“เสร็จละ” มอแกนออกดันงัดอรุณลอยไปติดกำแพงอีกฝั่ง

เมื่อกลุ่มควันจางหาย มอแกนก็เห็นอรุณที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับอะไร
“จับได้ 1 เหลืออีก 1” มอแกนขยับแขนบิดกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลายเล็กน้อย แล้วก็เดินตรงมาที่ร่างของอรุณ และดึงคออรุณขึ้นมา
“หมาบ้าอรุณ มีดีแค่นี้เอง กระจอกสิ้นดี” มอแกนหัวเราะ แล้วตนเองก็รู้สึกถึงกล้ามที่คอของอรุณขยับ จึงมองดูอรุณ

ทันใดนั้นดวงตาสีแดงก็เปิดขึ้น มอแกนตกใจทันทีแล้วอรุณก็อัดใส่มอแกนจนกระเด็นไปติดกำแพงแล้วพุ่งเข้าไปอัดใส่รัวจนไม่มีจังหวะให้มอแกนได้ตั้งหลักหรือป้องกัน

ไม่นานนักบริเวณก็เต็มไปด้วยเลือดที่หลั่งนองจากผู้กองมอแกนที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือด อรุณก็กลับคืนตั้งสติได้ก็เดินจากไปทันที
“เจ้า 2 คนนั้นฝีมือร้ายกาจใช่ย่อย หากปล่อยให้เป็นนักฆ่าแบบนี้ คงจะหาคนหยุดยั้งได้ยากและอาจจะมีคนตายมากขึ้น” มายะที่ยืนอยู่บนขอบตึกมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด
“งั้นเราจะทำยังไงดีคะ ท่านพี่” อายะถาม
“เราต้องทำให้เจ้า 2 คนนั้นไม่ตกไปอยู่ในกำมือของพวกคนชั่ว ไปกันเถอะอายะ” มายะบอกแล้วก็กระโดดไปตามดาดฟ้าตึก

----------------------------------จบตอนที่ 18----------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on September 12, 2005, 09:03:56 AM
อ่านได้เรื่อย ๆ ลื่นดีแฮะ ท่าทางจะชอบแต่ง fic. มากนะครับ  ;D


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 12, 2005, 09:57:15 PM
ตอน ผู้มาเยือน

“เจ้า 2 ตัวนั่นมันจะน่ากลัวอะไรเช่นนี้ และเจ้า ข้าไม่ต้องการเห็นความผิดพลาดเหมือนอย่างเจ้านั่นอีก” นันสั่ง แล้วลูกสมุนตนที่ 2 ก็หายตัวไปทันที

“เจอเมืองแล้ว เราต้องทิ้งยานแล้วหนีไปทางอื่นแทน” วินขับยานเร็วสูงมาห่างจากชายฝั่งเมืองแรฟอส 5 กิโลเมตร แต่แล้วก็เหมือนมีบางอย่างฟาดใส่ยานอย่างแรงจนยานเกิดการสะเทือน วินจึงปลดเข็มขัดและลุกขึ้นวิ่งขึ้นไปดูบนดาดฟ้า เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบชายคนหนึ่งยืนอยู่
“แกเป็นใครวะ” วินถาม
“แกนั่นแหละ ถ้าไม่อยากตายรีบกลับเข้าไปซะ” ชายคนนั้นตอบ วินจึงมองดูดีๆ จนไปสังเกตุเห็นสัญลักษณ์ที่หัวไหล่
“สัญลักษณ์นั้น ลูกน้องไอ้นัน” วินนึกในใจแล้วก็มองดูรอบๆตัวเองจนไปเจอท่อนเหล็กอันหนึ่ง
“ออกไปจากยานฉันเดี๋ยวนี้” วินบอก
“ไม่ !!!!!!!!!!” ชายคนนั้นพูดเสร็จวินก็วิ่งเข้าไปใช้ท่อนเหล็กฟาดใส่ทันที แต่ชายคนนั้นก็ปัดได้หมดโดยไม่แสดงอาการบาดเจ็บใดๆ แล้วชายคนนั้นก็เดินตรงมาที่วิน ทั้งคู่ต่อสู้กันบนดาดฟ้าของยานขับเคลื่อนเร็วสูงที่ไม่มีใครบังคับ

“Water Ball” ชายคนนั้นร่ายเวทย์ลูกบอลน้ำโจมตีใส่วิน วินจึงพุ่งสวนทางลูกบอลน้ำนั้น
“Soul Break” หมัดที่มีควันหุ้มแขนของวินอัดใส่ชายคนนั้นจนกระเด็นออกไป แต่ก็ตั้งหลักได้
“เจ้าโดนสลายพลังไปหลายส่วน พลังเจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก” วินบอก
“ข้า กีทานัส ผืนน้ำคือชีวิตข้า เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ถ้าจะฆ่าก็ต้องทำให้น้ำหายไปจากโลกทั้งหมดซะ” กีทานัสยืนหัวเราะอยู่
“สงสัยเราทำได้เพียงไล่ให้มันไปจากที่นี่” วินยืนนึกสักพักแล้วยานก็กระทบกระแทกกับผิวน้ำ จนทั้งคู่เสียหลัก วินที่ยืนอยู่ใกล้ประตูจึงจับขอบประตูเอาไว้ กีทานัสสร้างแท่งน้ำแหลมปักที่ยานและจับเอาไว้ แล้วการสะเทือนในยานก็ทำให้คันโยกบังคับยานนั้นเปลี่ยนไป ยานลำนี้เริ่มบินสูงขึ้นสู่ท่องฟ้า
“ได้การละ บนฟ้าไม่มีน้ำ มันทำอะไรได้ไม่มากนักหรอก รวมทั้งโดนเราสลายพลังวิญญาณด้วย” วินยิ้มทันที พอยานเริ่มนิ่งทั้งคู่ก็หันกลับมาต่อสู้กันต่อ

         กีทานัสใช้หอกน้ำฟาดฟันใส่วิน วินเองก็ใช้ท่อนเหล็กในมือตนป้องกันและหาจังหวะสวนกลับ จนได้สักพักยานเริ่มบินสูงเกินเหนือระดับเมฆ
“หากปล่อยแบบนี้เราตายแน่” วินยืนตั้งหลักแล้วก็พุ่งใช้ท่อนเหล็กฟาดใส่กีทานัสจนเกบิเอรัสกระเด็นหลุดจากยานไปได้
“จบเสียที ยุ่งยากฉิบ” วินยืนมองดูสักพักแล้วก็ค่อยเดินกลับเข้าไปในยานอย่างระมัดระวังด้วยแรงกดดันของลมที่สูงมากในอากาศและความเร็วของยานแบบนี้ แต่จู่ๆก็มีมังกรดำตัวหนึ่งพุ่งชนใส่ยานลำนี้ แรงกระแทกทำให้วินนั้นลอยออกจากยานแต่เขาก็คว้าสายไฟด้านข้างของยานไว้ได้ แล้วมังกรดำตัวนั้นก็บินมาเทียบด้านหน้ายาน และอ้าปากกว้างมีควันสีดำลอยอยู่รอบๆปาก วินเห็นจึงรีบปล่อยมือจากสายไฟทันที แล้วมังกรดำตัวนั้นก็ยิงพลังใส่ยานจนยานระเบิด

วินนั้นตกลงมาจากยานด้วยความเร็วสูงมาก แต่เขาก็พยายามตั้งสติและมองดูด้านล่าง
“เราอยู่เหนือเมืองนี่ หากตกกระแทกพื้นเราตายแน่ แต่หากตกลงน้ำก็อาจจะสาหัสหรือตายอยู่ดี คิดซิคิด นักฆ่าอันดับหนึ่งจะมาตายง่ายๆแบบนี้ไม่ได้” วินมองดูรอบๆตัวว่าเตรียมของอะไรมาบ้าง แต่ก็หมดหนทางช่วย

จู่ๆ บนยอดเขาที่มีบ้านของ 2 พี่น้องตระกูลนัสซึเมะ นั้นมีแสงสีขาวสว่างจ้า ปรากฏเป็นนกสีขาวขนาดใหญ่สยายปีกทั้ง 4 ออกและบินมารองรับตัววินเอาไว้ ส่วนยานนั้นตกลงไปยังหลังคาบ้านของหัวหน้ามาเฟีย

“ห่า เฮ้ย มันตกมาจากไหนวะ บ้านพังหมด แค่หลังคาเป็นล้านนะเนี่ย” Mr.อาร์ทยืนดูสภาพบ้านของตนที่ถูกยานขับเคลื่อนของทหารตกใส่
“ลูกพี่ครับ ผมได้ภาพถ่ายจากดาวเทียมของเราว่า คนที่อยู่ในยานเป็นใครตอนยานนี้กำลังพุ่งมา โปรดให้ผมคนนี้เป็นคนไปจัดการมันเถอะครับ” ชายคนหนึ่งบอก
“ไม่ต้อง บอกมาว่ามันเป็นใคร หรือพาข้าไป ข้าจะเก็บมันเอง บังอาจมาทำหลังคาบ้านข้าพัง ต้องชดใช้” อาร์ทกำหมัดด้วยความโมโห

         เมื่อวินฟื้นขึ้นมาได้ก็เห็นนาโอะนั่งเฝ้ามองอยู่ข้างหน้า
“เจ้าเป็นใคร แล้วนกสีขาวนั่นหายไปไหนแล้วละ” วินถาม แต่นาโอะก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่ส่ายหน้าเล็กน้อย
“ข้าต้องหนีไปจากที่นี่ และข้าขอเตือนเจ้าว่า หากเจอชายที่มีผ้าพันคอสีฟ้า เจ้าอย่าไปยุ่งกับมัน” วินบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินดูพื้นที่รอบๆ นาโอะก็มองดูวินเดินไปเดินมา สักพักเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงจากยอดเขา
“เดี๋ยว เจ้าจะไปไหน บอกได้มั้ยว่ามีทางไหนที่จะออกจากเมืองนี้โดยไม่ถูกทหารจับได้” วินถาม แต่นาโอะก็ยังเดินต่อ วินจึงวิ่งตามไป จนมาถึงหน้าบ้านของ 2 พี่น้องนัสซึเมะ นาโอะก็ชี้ไปที่ทางเดินลงภูเขาไปยังเมืองและให้รูปอรุณและนพ
“นี่มันรูปเจ้า 2 คนนั้นนี่ แปลว่าพวกนั้นมันอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ได้มีเพื่อนในวงการ หลายหัวดีกว่าหัวดีเว้ย เจอทหารยังพอช่วยกันสู้ได้” วินยืนพูดอยู่คนเดียว และพอเขาเงยหน้ามาก็ไม่เห็นนาโอะแล้ว เขาจึงเดินลงภูเขาไป

         ในเวลาเดียวกันอีก 8 ชีวิตก็มุ่งหน้ามาใกล้ถึงเมืองนี้
“ขอดูฝีมือหน่อยนะ” ปอนบอกแล้วก็บิดมอเตอร์ไซด์เต็มอัตราเร็วสูง พงวิชและบุ๊คต่างก็ไม่ยอมจึงบิดเร่งเครื่องตามไปทันที
“ถนนเส้นนี้ช่วยก่อนถึงเมืองจะมีทางขาดยาว 50 เมตร ถ้าไม่แรงพอก็เตรียมใจตายซะ” ฟามบอก
แล้วจู่ๆในระหว่างที่ทั้ง 3 แสบแข่งกันอยู่นั้น มิ้งที่ขี่มอเตอร์ไซด์คันโปรดก็งัดสูตรเด็ดของเครื่องยนต์ออกมาใช้เร่งเครื่องแซงไป ฟามเองก็อัดเทอร์โบมอเตอร์ไซด์ของตนเร่งเครื่องตามมิ้งไปทันที
“ขี้โกงหว่ะ” พงวิชและเพื่อนๆต่างเร่งเครื่องตามทันทีเพื่อไม่ให้เสียหน้า

จนมิ้งและฟามมาถึงทางขาดที่เป็นเหวลึกมองไม่เห็นก้นเหว ซึ่งตอนนี้เป็นทางเหินสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ไขควงมรณะ” มิ้งบิดเครื่องเหินลอยขึ้นมาก็ล่วงหยิบไขควงออกมาถือข้างละ 4 ด้าม ฟามเองก็ชักปืนคู่ออกมา
“มาแข่งความแม่นกันดีกว่า” ฟามบอกแล้วก็มีมอนสเตอร์ขนาดมหึมาที่มีหัวเป็นงูหลายหัวพุ่งขึ้นมาจากก้นเหว มิ้งก็ปาไขควงมรณะโจมตีใส่ ฟามเองก็ใช้ปืนคู่ยิงอัดใส่งูยักษ์เหล่านั้น
“ข้างหน้าเล่นกันมันเลย พวกเราแสดงฝีมือ” บุ๊คบอกแล้วก็หยิบโล่ของเฟียเรียสออกมาถือข้างหนึ่ง
“ได้เลย” พงวิชชักดาบของเซฟิออกมาควงเก๊กเท่
“ทำเท่ อิศราไม่ต้องไปสนหรอก พวกเราเอาพอรอดพอ แถมเรามีคนซ้อนท้ายด้วยไม่กล้าเล่นอะไรพิเลน” ตั้มบอก

เมื่อพงวิชและบุ๊คขึ้นทางสูงเหินขึ้นมาก็มีงูยักษ์จำนวนมากพุ่งเข้าโจมตี
“Wind Cross” พงวิชใช้ดาบของเซฟิฟันเป็นคลื่นดาบตัดหัวงูยักษ์ขาดสะพั่ง
“Spearo Gust” บุ๊คใช้โล่ของเฟียเรียสเล็งใส่งูยักษ์ที่พุ่งเข้ามาแล้วก็มีกระแสลมขนาดใหญ่พุ่งออกจากโล่กดดันงูเหล่านั้นจนปลิว แล้วเมื่อถึงชุดของพวกตั้มและแพ๊ค
“Raining Arrow” เมโรดีนเงยหน้าขึ้นและเล็งธนูขึ้นฟ้า แล้วก็มีศรลมจำนวนมากขึ้นสู่ฟ้าตกลงมาเป็นดั่งฝนโจมตีใส่มอนเตอร์ตัวนั้นจนมันกลับลงไปยังก้นเหว

ทุกคนต่างสนุกและดีใจที่ผ่านมาได้
“เมืองอยู่ข้างหน้าแล้ว พวกเราเตรียมตัวไปสนุกกันต่อ” พงวิชชูดาบชี้ไปข้างหน้า

--------------------------จบตอนที่ 19----------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 13, 2005, 02:00:38 AM
ตอน ค่ำคืนของเพชฌฆาต

         เมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้า เทพธิดาแห่งจันทราก็เจิดจรัส เมืองท่าแรฟอสก็เต็มไปด้วยแสงจากหลอดไฟตามหน้าร้านและในร้านอาหาร ผับ โรงแรม และสถานที่ต่างๆ รวมทั้งแสงส่องนำทางเรือจากประภาคาร วินที่แอบหลับอยู่บนต้นไม้แถวเชิงภูเขาใกล้ๆเมืองนั้นก็ตื่นขึ้นมา เขาจึงกระโดดลงจากต้นไม้ และเดินลงมายังตัวเมือง

“เฮ้ย ไปหาอะไรกินกัน” บุ๊คบอก
“เรื่องกินมาก่อนตลอดเลยเหรอไงวะ” ปอนบ่น
“เอาเถอะ ถึงยังไงก็ต้องหาอะไรลองท้อง กินวันนี้ อิ่มไปด้วยในวันหน้า” ฟามบอก
“เฮอะ เก่งจริงๆ” มิ้งปรบมือให้ แล้วบุ๊คก็เดินไปหาร้านอาหารทันที ทุกคนต่างก็เดินตามไป

         เมื่อบุ๊คเจอร้านอาหารก็รีบวิ่งไปทันที พงวิชก็วิ่งตามไป แต่พงวิชรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงเหลือบมองไปทางขวาเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ซอกตึกในเงามืด แล้ววินก็หายเข้าไปในเงา พงวิชจึงหยุด
“มีอะไรเหรอ พงวิช” เมโรดีนถาม
“ไม่มีแรงเดินอ่ะดิ หิวก็บอก” แพ๊คตอบแล้วตั้มก็ตบหัวแพ๊ค
“อย่าไปยุ่งกับชายคนนั้น เขาอันตรายกว่าใครเกือบทุกคนในวงการนักฆ่า” ฟามบอกแล้วก็เดินต่อโดยไม่หยุด
“ไปเถอะ พงวิช” ตั้มบอก พงวิชก็เดินต่อไปแต่ยังคงสงสัยเกี่ยวกับชายคนนั้น

         เมื่อบุ๊คเปิดประตูร้านอาหารเข้ามาก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กผมสีขาวม่วงยาวเลยขานั่งอยู่คนเดียวในร้าน
“นี่ก็เพิ่งมืดนี่หว่า ทำไมมีลูกค้าแค่คนเดียว” บุ๊คสงสัย
“ร้านพี่หมู อิ่ม อร่อย ชื่อร้านสุดยอดมาก คิดได้ไง” มิ้งอ่านชื่อร้านในช่วงที่เดินเข้ามา
“พี่หมู อยู่มั้ยเนี่ย ลูกค้ารอเนี่ย” บุ๊คเดินชะโงกหัวที่เคาท์เตอร์มองหาพนักงาน
“พวกเธอรู้จักชาย 2 คนนี้มั้ย” เด็กหญิงคนนั้นชูรูปให้ดู ทุกคนจึงเดินมาดู
“ชัว ใช่เลย อ้วนๆอย่างนี้ อรุณ ส่วนไอ้ผอมนี่นพ ชัว ทำไมพวกเราจะไม่รู้จัก มันอยู่วงการเดียวกับข้า” ฟามบอก
“งั้นตามไปที่บ้านฉันที ตอนนี้หากดึกกว่านี้ในเมืองนี้จะอันตรายมาก” มายะบอกแล้วก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่พงวิช
“นี่ฉันขอขึ้นไหล่คงไม่บ่นอะไรนะ ที่นี่เดินไปตามทางที่ฉันบอกที” มายะบอก
“อย่างน้อยคืนนี้ก็มีของกินมีที่หลับนอน” มิ้งบอก
“พงวิช ยิ้ม อย่างน้อยก็ยังมีสาวน้อยมานั่งบนไหล่” ตั้มแซว พงวิชจึงรีบเดินออกจากร้านพี่หมูไปทันที

“ที่นี่ไม่ใช่มีนักฆ่าคนอื่นเพียง 2 คน แต่มีถึง 3 คน ต้องยึดกฎแห่งวงการนักฆ่าไว้” วินท่องนึกในใจแล้วก็มีรถมาเฟีย 5 คันขับมาล้อมไว้ แล้วมาเฟียทั้งหมดก็ลงจากรถ
“นั่นไงลูกพี่ มันเป็นคนขับยานนั่น” ชายคนหนึ่งบอก
“รู้มั้ยหลังคาบ้านข้าเท่าไหร่” อาร์ทถาม
“รู้เพียงแต่ว่า ค่ำคืนนี้ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก ต่อให้พวกแกมาเป็นร้อยๆคนก็ตาม” วินบอกแล้วก็ยืนกอดอก
“เก็บมัน” อาร์ทสั่งแล้วชายสูทดำต่างก็ชักปืนออกมาระดมยิงใส่วิน

         เสียงปืนที่ดังลั่นทำให้มายะหันไปมองต้นเสียงปืน
“พวกที่ใช้ปืนไม่ทหารกับมาเฟีย คืนนี้ไม่รอดแน่” ฟามบอก
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเสียงปืน แต่ฉันสนใจที่ว่า แถวนั้นมีลูกศิษย์ฉันอยู่” มายะบอก
“ไปต่อเถอะ” พงวิชบอกแล้วก็เดินต่อ มายะจึงใช้ดาบเคนโด้ฟาดใส่หัวพงวิช
“หยุดนะ พวกนายไปรอบ้านฉัน เดินตรงทางนี้และขึ้นภูเขาไป น้องสาวฉันจะรออยู่” มายะบอกแล้วกระโดดลงจากไหล่ของพงวิชและวิ่งไปยังบริเวณที่มีการต่อสู้กัน พงวิชเลยจะวิ่งตามไปแต่ฟามดึงแขนเอาไว้ พงวิชจึงหันมามอง ฟามจึงส่ายหน้า แล้วพงวิชก็ดูมายะวิ่งไป จากนั้นตนก็เดินขึ้นภูเขาไป

         1 นาทีต่อมา เมื่อมายะมาถึงก็เห็นเพียงร่างของชายสูทดำพวกมาเฟียจำนวนมากนอนล้มเจ็บสาหัส เมื่อเธอเดินไปเรื่อยก็เห็นวินยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและมองมาทางเธอ แล้วนาโอะก็เดินออกมาหามายะ
“เธอไม่เป็นไรนะ” มายะถาม นาโอะก็ยังมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักแต่ก็พยักหน้าเล็กๆ
“ไงจ๊ะสาวๆ” เสียงของวินดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเธอที่ใกล้มาก เมื่อทั้งคู่หันไปก็เห็นกีทานัส มันใช้มือทั้ง 2 ข้างบีบคอนาโอะและมายะและยกพวกเธอจนตัวลอยขึ้นจากพื้น
“ตั้งตัวไม่ทันเลยแบบนี้ จะกลับสู่ร่างเดิมก็ไม่ได้” มายะและนาโอะพยายามดิ้นให้หลุด แต่กลับสูญปล่าว กลับทำให้กีทานัสออกแรงบีบคอพวกเธอทั้ง 2 มากขึ้น จนพวกเธอเริ่มหมดแรงที่จะดิ้นให้หลุดแล้ว
“ตอบแทนคุณที่ช่วยฉันไว้เมื่อเย็น” วินพูดขึ้นซึ่งตัวเขานั้นอยู่จ่อตรงหน้าของกีทานัส
“Broken Shadow” วินอัดหมัดใส่ท้องกีทานัสอย่างแรงจนตัวมันกระเด็นไถกับพื้นเป็นทางยาวไปไกล และมีเงาควันสีดำลอยฟุ้งอยู่รอบๆตัววิน

         สักพักอรุณกับนพก็วิ่งมาดูเหตุการณ์เช่นกันแต่เมื่อมาถึงก็เห็นวินและสาวๆทั้ง 2
“โว้ว เฮ้ย อรุณ ตบหน้าทีดิ ฝันไปแน่เลย มาเจอโล้นซ่าที่นี่” นพหัวเราะดีใจที่ได้เจอวิน แต่อรุณก็ซัดหมัดขเที่หน้านพจึงปลิว
“อยากได้ก็จัดให้” อรุณบอก นพจึงลุกขึ้นโดยเอามือกุมกามเอาไว้
“เออ เราผิดเอง ไม่น่าบอกอะไรให้เจ็บตัวเลย” นพบอกแล้วก็วิ่งเข้ามาหาวิน
“แก 2 คนอยู่รอดโดยไม่โดนจับได้ถือว่าดีแล้วละ” วินบอก
“แต่นายซิ คิดไงแหกคุกหนีมาเนี่ย” นพถาม
“ไม่แหกก็โดนประหารตายดิ” วินตอบแล้ว กีทานัสก็ลุกขึ้นยืน วินจึงหันไปมอง
“นั่นใครวะ ตอนกลางคืนยังกล้าสู้กับวิน เจ๋งมากเลย” นพหัวเราะใหญ่
“นี่ ถือว่าข้าตอบแทนที่ช่วยไว้เมื่อเย็นแล้วนะ ทีนี้จะไปไหนก็ไปได้แล้ว ให้ไอ้ 2 ตัวนั้นไปส่งก็แล้วกัน” วินหันมาบอกแล้วมายะกับนาโอะก็ขึ้นหลังอรุณ
“ไปส่งบ้านแล้วกัน” นพบอกแล้วก็วิ่งนำอรุณไปทันที
“ทีนี้มาวัดหน่อยซิว่า จะอึดอยู่ได้นานแค่ไหน” วินหันมามองดูกีทานัสที่ยืนโซซัดโซเซ

“ลูกพี่ไม่เป็นไรใช่มั้ย” ชายสูทดำถาม
“เออ มันเป็นใครวะ 10 วิ ฆ่าคนของข้าไปเป็น 10 , 20 คน” อาร์ทตอบ
“ไม่เกิน 2 วันได้ข้อมูลแน่ลูกพี่” ชายสูทดำบอก แล้วจู่ๆรถก็ขับไปชนต้นไม้
“ขับภาษาห่าอะไรวะ” อาร์ทตะหวาดใส่
“ขอโทษครับลูกพี่ ผมถูกมันเล่นงานจนแขน ขาหักอย่างละข้าง ขับรถไม่สะดวก” คนขับรถตอบ และเอามือหนึ่งบีบบาดแผลไว้ แต่เลือดก็ยังพุ่งกระฉูดกระจายเปื้อนเบาะหน้าและกระจกรถ
“โฮย เซง” อาร์ทไม่พอใจและมองมาที่ชายสูทดำที่นั่งข้างๆ
“แล้วไอ้ที่ไม่บาดเจ็บไม่ไปขับวะ นั่งนทำอะไร” อาร์ทตะหวาด
“ผมขับรถไม่เป็น” ชายสูทดำตอบ
แล้วมาเฟียกลุ่มนี้ก็ถกเถียงตะหวาดกัน อยู่ในรถที่ชนกับต้นไม้อย่างยับ จนพวกเขาตัดสินใจได้ให้ชายสูทดำ 4 คน มาแบกหามอาร์ทกลับไปยังศูนย์ลับของพวกมาเฟีย

“คืนนี้ ลงไปฆ่าคนในเมืองอย่าให้เหลือ แล้วจับตัวสาวน้อยที่มีดวงตาสีแดงมาให้ข้า”

-----------------------------------จบตอนที่ 20----------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 14, 2005, 11:49:46 PM
ตอน ศึก 3 เส้า โจรสลัด ทหารเรือ และมาเฟีย

         ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนใหญ่ดังลั่นขึ้นจากนานครั้งจนเสียงปืนใหญ่ดังรัวขึ้นเรื่อย ลูกระเบิดพุ่งมาตกยังบ้านหลังใกล้ๆกับวิน เศษไม้กระเด็นใส่ตัวเขา เมื่อเขาหลบได้พ้นจนคาดสายตาจากกีทานัส เมื่อมองกลับมาก็ไม่เห็นซะแล้ว
“มันหนีไปจนได้” วินเจ็บใจแล้วก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็มีเสียงกรีดร้องของชาวเมืองวิ่งหนีเอาตัวรอดออกจากบ้าน บางคนจับอาวุธเตรียมสู้กับพวกโจรสลัด วินจึงมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ เหล่าทหารเรือต่างก็เตรียมประจำการรบทันที

ที่ฐานลับใต้ดินของแก๊งพยัคทมิฬของมาเฟียอาร์ท
“เอาไงลูกพี่” ชายสูทดำถาม
“ค่ำคืนนี้พวกทหารเรือจะต้องโดนพวกเราถล่มให้ย่อยยับ เราต้องครองเมืองนี้ให้ได้ เปิดศึกไปเลย ถ้าคืนนี้ไม่สำเร็จก็ไม่รู้จะอีกนานแค่ไหนที่พวกเราจะได้ขึ้นไปเชิดหน้าชูตาอยู่ข้างบนได้ จัดการมัน” อาร์ทสั่งแล้วเหล่าบรรดาลูกน้องทั้งหลายต่างขนเสบียงอาวุธต่างๆและขึ้นไปยังเมือง

ส่วนบ้านของตระกูลนัสซึเมะ อรุณและนพวิ่งขึ้นมาถึง ก็เห็นพวกพงวิชและอายะกำลังยืนดูฝูงกองเรือโจรสลัดจำนวนมากแล่นเข้ามาและยิงต่อสู้กับพวกทหารเรือ
“สัญลักษณ์ของโจรสลัดนั่น” มายะเห็นก็ชะงักใจทันทีจึงหันกลับไปหานาโอะ แต่นาโอะนั้นรีบวิ่งลงจากภูเขาไปทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ท่านพี่” อายะเดินเข้ามาถาม
“โจรสลัดกลุ่มนั้นหัวหน้ามันก็คือพ่อของนาโอะ ต้องหยุดเธอไว้ ไม่งั้นอาจจะเกิดการต่สอู้ของพ่อลูกคู่นี้ได้” มายะบอก พงวิชจึงเดินเข้ามาหา
“ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้และพวกเรากำลังต้องการหาอะไรสนุกๆทำ พวกเราจะอาสาทำงานนี้ให้เอง” พงวิชบอก
“เออ เก่งจริง โจรสลัดมาเยอะแยะจะไปให้มันฆ่าตายรึไง” มิ้งถาม
“ชีวิตใคร” ฟามบอกแล้วก็กระโดดลงจากหน้าผาไปด้วยความเร็ว
“เอาล่ะรู้เรื่องแล้ว ไปกันเหอะ” บุ๊คบอกแล้วก็ดึงแขนเพื่อนๆวิ่งลงภูเขาไป เหลือเพียงเมโรดีนกับ 2 พี่น้องนัสซึเมะ
“ฝากด้วยนะ” มายะบอก
“ท่านพี่คะ คือฉันสงสัยในตัวของนาโอะมานานแล้วค่ะว่า ท่านพี่รู้ประวัติของเธอมากกว่านี้แต่ไม่บอกฉันเลย ท่านพี่ปิดบังอะไรไว้เหรอคะ” อายะถาม
“ตอนนี้คงยังบอกไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่า เราตอนยุติเรื่องต่างๆในคืนนี้ไม่ให้เกิดการสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้” มายะบอกแล้วก็ร่ายเวทย์มนต์เรียกดาบคู่ใจออกมาและคืนร่างสู่ร่างสาวนักสู้อย่างปกติและกระโดดใต่ตามหน้าผาลงไป อายะจึงมองดูพี่สาวตนมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ แต่เมื่อตนได้ยินเสียงม้าร้องดังขึ้น เธอและเมโรดีนก็หันไปตามเสียงซึ่งบนยอดภูเขานั้น เป็นเงาของชายร่างใหญ่ขี่ม้าอยู่

“อีฟริต ออกมาช่วยเราเถอะ” พงวิชสื่อจิตในใจ
“ในเมื่อเจ้าต้องการข้าก็จะช่วย แต่ทุกครั้งที่ข้าใช้พลังในการออกมาช่วยเจ้า เจ้าจะสูญเสียพลังไปค่อนข้างมาก อาจเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเองได้” อีฟริตตอบกลับแล้วดาบแห่งอีฟริตก็เปร่งแสงขึ้นโดยลำแสงนั้นพุ่งตรงขึ้นไปเหนือเมืองและปรากฏเป็นอีฟริตเจ้าแห่งอสูรกายไฟนรกร้องคำรามจนทำให้เหล่าทหารเรือ มาเฟียและโจรสลัดเสียขวัญไปบ้าง แล้วอีฟริตก็พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

และในเวลาต่อมาจิตวิญญาณของ 3 พี่น้องซิลด์ก็ปรากฏเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้ามารวมกันเป็นจุดเดียวปรากฏเป็นปักษาน้อยทั้ง 3
“เมื่อไหร่จะได้เล่นน้ำหน้อ” เฟียเรียสเศร้าที่ตนอดเล่นน้ำตามใจคิด
“ไปกันเถอะ” เซฟิบอกแล้วปักษาน้อยทั้ง 3 ก็บินมุ่งหน้าตามพวกพงวิชไป

ที่ท่าเรือไม่นานนักเรือของกองโจรสลัดก็เข้าเทียบกับเรือของทหารเรือ พวกโจรสลัดทอดบันไดพาดและวิ่งข้ามต่อสู้กับเหล่าทหารเรือ และมีทหารเรือนายหนึ่งโดนโจรสลัดยิงอัดใส่ที่หัวไหล่จนกระเด็นพัดตกน้ำ วินจึงยื่นแขนไปจับเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะ” วินถาม ทหารเรือนายนั้นรู้ว่านี่คือนักโทษที่แหกคุกมา แต่ในช่วงเวลานี้เขาจะมัวมาคิดจับกุมก็เสียปล่าว เขาจึงยิ้มให้แล้ววินก็ดึงทหารเรือนายนั้นขึ้นมา
“เดี๋ยวจัดการให้” วินบอกแล้วก็วิ่งขึ้นเรือไปสู้กับเหล่าโจรสลัด

         ไม่นานนักกองเรือของโจรสลัดก็เทียบท่า เหล่าโจรสลัดจำนวนมากต่างบุกเข้าเมืองต่อสู้กับเหล่าทหารเรือ จนในขณะนั้นแทบทุกพื้นที่ภายในเมืองเต็มที่ไปด้วยการต่อสู้ของเหล่าทหารเรือ โจรสลัด และพวกแก๊งมาเฟีย ชาวเมืองต่างอพยพจากในตัวเมืองหนีกระจัดกระจาย บ้างก็หนีไปอยู่ในฐานทัพของทหารเรือ บ้างก็หนีขึ้นภูเขาไปให้ไกลจากเมือง บ้างก็อยู่ต่อสู้กับโจรสลัด

         ที่บนยอดภูเขา ชายร่างใหญ่ที่ขี่ม้าอยู่นั่นก็ยังคงอยู่แบบนั้นไม่ขยับอะไรมีเพียงเสียงม้าร้องเป็นระยะให้อายะและเมโรดีนหวาดกลัว
“ชายคนนั้นเป็นใครกัน” อายะยังคงกลัวๆกล้าๆแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะขยับเท้าไปไหน
“ถ้าฉันคิดไม่ผิด นั่นคืออันตรายถึงตายได้ต่อพวกเรา” เมโรดีนมองดูชายร่างใหญ่คนนั้นอย่างจดจ่อเพื่อให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องบดบังให้เห็นเพียงเงาของชายคนนั้น

         เหล่าแก๊งมาเฟียขับรถติดอาวุธออกมาซึ่งนำหน้าโดยอาร์ท จนกองขบวนรถไปหยุดอยู่ทางกว้าง
“เฮ้ย มันมาแล้วเว้ย ยิงมัน” อาร์ทสั่ง แล้วชายสูทดำก็กระโดดลงจากรถมากระหน่ำยิงใส่เหล่าโจรสลัดที่ผ่านมาแถวนั้นจนล้มตายหมดสิ้น แล้วสักพักก็มีทหารเรือกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านมา พวกมาเฟียต่างก็ระดมยิงใส่ ทหารเรือพวกนั้นจึงหาที่หลบและยิงโต้กลับ จนพวกพงวิชวิ่งผ่านมาที่นั้น

“เสียงปืน หลบไปหลังตึกก่อน” ฟามบอกให้คนอื่นหยุด แต่ตนเองนั้นกลับวิ่งออกไป แล้วฟามก็กระโดดม้วนตัวยิงใส่พวกมาเฟียไป 1 ชุดจนตนนั้นหลบไปยังตึกอีกฝั่งได้
“แค่วิ่งก็รอดแล้ว ต้องมีกระโดด เก่งจริง” มิ้งบ่น แล้วก็มีทหารเรือนายหนึ่งลุกขึ้นวิ่งไปยังจุดที่ฟามอยู่ แต่ทหารเรือนายนั้นก็ถูกยิงตายกลางทาง แล้วฟามก็ยิ้มให้
“เอาล่ะ พวกคุณเตรียมมุ่งไปยังท่าเรือเลย เดี๋ยวพวกผมจะสกัดไว้ให้” พงวิชบอกกับทหารเรือกลุ่มนั้น แล้วบุ๊คก็ถือโล่ของเฟียเรียสออกไป แต่ทันใดนั้นเฟียเรียสก็พุ่งเข้ามากระฉากโล่ของเธอออกจากแขนของบุ๊ค
“เฮ้ย ยิงมัน” อาร์ทสั่ง บุ๊ครีบวิ่งกลับไปยังหลังตึกทันที ส่วนเฟียเรียสก็บินหลบกระสุนไปมาอย่างสนุกสนาน
“เด็กบ้า เกือบทำให้ตายซะแล้ว” บุ๊คแทบใจหาย แล้ว 3 พี่น้องซิลด์ก็ปรากฎตัวออกมายังกลางถนนพร้อมกับอาวุธของพวกเขาที่ขอคืนจากพวกพงวิชเพื่อใช้ในการต่อสู้
“ไปเถอะ พวกเราจัดการทางนี้ให้” เซฟิบอก แล้วพวกทหารเรือและพวกพงวิชก็วิ่งมุ่งหน้าไปต่อยังท่าเรือ
“เด็กประหลาด ฆ่าอย่าให้เหลือซาก” อาร์ทสั่ง ลูกน้องทั้งหมดจึงระดมยิงใส่ จนเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แล้ว 3 วิหคน้อยก็บินผ่านกลุ่มฝุ่นควันนั้นออกมาโจมตีใส่พวกมาเฟียอย่างรวดเร็ว จนอาร์ทต้องสั่งถอยกำลังหนีทันที

“ไม่ทันแน่ ฉันต้องเธอให้ได้” มายะรีบวิ่งไปยังท่าเรือโดยเร็วที่สุดและจัดการเหล่าโจรสลัดที่ขวางทางจนสิ้น

----------------------------จบตอนที่ 21-----------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 26, 2005, 02:26:41 AM
ขอโทษด้วยที่ห่างหายไปหลายอาทิตย์เพราะติดสอบ ทีนี้ก็คงจะมีต่ออีกหลายตอนจะพยายามหาเวลามาแต่ง เพราะช่วงนี้ก็มีเล่นเมกส์อื่นบ้างจนไม่ค่อยมีเวลามาแต่ง

ส่วน ตัวละครบางตัวที่ชื่อ ญี่ปุ่น หากใครเป็นคอการ์ตูนจริงอาจจะรู้ว่าเป็นใครบ้าง แต่บางคนที่ไม่รู้ก็บอกได้แค่ มายะ ให้ดูรูปแทนตัวเรานะกับรูปด้านล่างนั่นคือตอนเด็กกับตอนโต
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน มัจจุราชม้าดำ


         แล้วเรือของหหัวหน้ากองโจรสลัดก็บุกเข้าประชิด โจรสลัดต่างบุกกระหน่ำโจมตีใส่เมืองแรฟอสอย่างโหดเหี้ยม ชาวเมืองที่หนีไม่ทันต่างถูกฆ่าตาย แม้แต่เหล่าทหารเรือก็ยังมิอาจต้านทานได้ไหวนัก แล้วหัวหน้ากองโจรสลัดก็เดินปรากฏกายออกมายืนอยู่บนเรือดูผลงานของบรรดาลูกน้องตน แต่สายตานั้นเหลือบไปเห็นสาวน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นที่ไร้สาเหตุใดๆ
“จะเอายังไงดีลูกพี่” เนฟิสโจรสลัดตำแหน่งหัวหน้าควบคุมโจรสลัดต่างๆภายใต้คำสั่งของดาฟหัวหน้ากองโจรสลัด
“คิดว่าคนเป็นพ่อจะทำยังไงละ ก็คิดต่อเอาเอง เออ... ใช่ซิ แกมันยังไม่เคยมีลูกด้วยซ้ำ ไม่น่าตอบเลย” ดาฟตอบ

แล้วบรรดาโจรสลัดบริเวณนั้นต่างก็วิ่งเข้าโจมตีใส่นาโอะ แต่แล้วก็มีคลื่นแสงสีแดงจ้าพุ่งกระจายรอบๆตัวเธอจนโจรสลัดพวกนั้นตายหมด เธอเองจึงเดินมุ่งหน้ามายังเรือโจรสลัด ทุกย่างก้าวของเธอทำให้โจรสลัดต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้และวิ่งหนีหายไปหมด
“ไม่น่าเชื่อลูกพ่อจะเติบโตได้ขนาดนี้” ดาฟบอก แต่เธอก็ดูเหมือนจะไม่ฟังอันใด เธอกลับกำหมัดแน่นขึ้น แล้วมายะก็วิ่งมาถึงจึงกระโดดเข้ามาขวางหน้าไว้
“หยุดเถอะ ฉันเองไม่อยากให้เจ้าต้องสูญเสียพ่อเจ้าเหมือนอย่างแม่ของเจ้า” มายะบอก แต่นาโอะก็ไม่สนใจ เธอกลับใช้ค้อนอาวุธคู่ใจของเธอชูขึ้นเหนือหัวจะทุบใส่มายะ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ขอโทษด้วย” มายะชักดาบประจำตระกูลออกมา
“เพลงดาบพระจันทร์เสี้ยว” เธอฟันใส่ด้ามค้อนจนขาด แต่เธอก็ต้องถูกคลื่นพลังสีแดงปริศนาที่เปร่งออกมาจากร่างของนาโอะโจมตีใส่
“มาเลยลูกพ่อ วันนี้พ่อเห็นความสำเร็จที่พ่อปลูกฝังได้ขนาดนี้ พ่อจะตายก็ไม่เสียใจ” ดาฟทิ้งดาบและยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน

         ทันทีที่นาโอะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อของเธอนั้น ท้องฟ้าก็มืดครึม ฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก ดาฟก็เพ่งมองดูลูกสาวตนอย่างไม่ละสายตาแม้ว่าเรือที่ตนอยู่นั้นจะถูกคลื่นโหมใส่ลูกแล้วลูกเล่า แต่แล้วทุกครั้งที่ฟ้าผ่าแสงสว่างจากสายฟ้าสว่างไปทั่ว และดาฟก็เห็นเงาของยมทูตตนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังลูกสาวตน จึงทำให้ใจของเขาสั่นคลอเพราะรู้ว่าต้องเกิดเหตุร้ายกับเธอเป็นแน่แท้

“ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” นพนึกถึงภาพหลังทุกครั้งที่เจอกับนาโอะและตอนที่เธอช่วยเขาไว้
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและขอโทษด้วยสำหรับสิ่งที่จะทำ” นพหยิบลูกแก้วแห่งจันทราอออกมา เพราะกระสุนอื่นของเขาได้หมดไป เหลือเพียงชิ้นนี้อันสุดท้ายเขาบรรจุใส่ปืนของเขา
“ลาก่อน” นพหลับตาลงจนน้ำตาไหลปนกับน้ำฝนที่เปื้อนไปทั่วใบหน้า แล้วเขาก็ลั่นไกปืนยิงออกมา ลูกแก้วนั้นพุ่งตรงเข้ากลางหลังของนาโอะทะลุเข้าหัวใจของเธอ ดาฟเห็นจึงตกใจที่ลูกสาวตนโดนทำร้าย ตนจึงรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างของลูกสาวตน

“เสียใจเป็นกับเขาด้วยหรือ” กีทานัสปรากฎตัวบนยอดเสากระโดงเรือ
“ทำไมกัน แทนที่คนที่ต้องตายควรเป็นพ่อ ทำไม ลูกต้องไม่ตาย” ดาฟจับแก้มน้อยๆของลูกสาวตนและนึกถึงความหลังในสมัยก่อนที่ทั้ง 2 เคยอยู่เล่นกันอย่างมีความสุขแบบพ่อลูก
“นี่พวกแกทำอะไรไป” มายะหันขึ้นไปมองนพและอรุณ
“ปลดปล่อยเธอไง ฉันทำภารกิจของฉันเสร็จแล้ว ที่นี้เธอจัดการต่อเอาเอง” นพลืมตาขึ้นมาและเอาแขนปาดเช็ดหน้าและยิ้มให้ แต่มายะเองก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่นพทำและพูดออกมา แล้วกีทานัสก็กระโดดลงมาจากเรือ

“วันนี้แหละจะเป็นวันตายของพวกเจ้าทั้งหมด ตราบใดที่ยังมีน้ำอยู่ ข้าก็เท่ากับเป็นพระเจ้าไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก” กีทานัสชูมือทั้ง 2 ข้างขึ้นฟ้าและดูดพลังจากน้ำมารวมที่ตัวของมัน แล้วก็มีชายคนหนึ่งลอยขึ้นมาจากเงาของกีทานัส
“งั้นเหรอ ถ้ามีน้ำแกเป็นพระเจ้า งั้นขอลองดูฝีมือหน่อย ในความมืดข้าก็คือพระเจ้าเช่นกัน” วินกระซิบจากด้านหลัง กีทานัสจึงใช้พลังน้ำหันหลังไปโจมตี แต่ก็ไม่พบวินแล้ว เหลือเพียงเสียงหัวเราะของวินดังขึ้นอยู่รอบๆตัวของมัน

         แล้วพวกพงวิชก็มาถึงกีรีบวิ่งเข้าไปหามายะ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” พงวิชถาม
“เรื่องมันจบลงแล้ว ที่เหลือเรื่องของคนอื่นอย่าไปยุ่งเลย” นพบอกแล้วก็หันหน้าหนีเพราะใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของลูกผู้ชาย
“มากันพร้อมหน้าก็ตายกันทั้งหมดเลย” กีทานัสสร้างน้ำให้เป็นหอกขนาดใหญ่ 9 อัน ลอยวนอยู่รอบๆตัวเขา

ที่หน้าบ้านตระกูลนัสซึเมะ ฝนที่ตกหนัก อายะจึงชวนเมโรดีนเข้าไปหลบฝนอยู่ในบ้าน แต่พอทั้งสองหันไปอายะก็เหลือบขึ้นไปมองยังชายชุดดำ แล้วเธอเองก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที เมื่อเห็นชายชุดดำมองมายังเธอ แล้วม้าของชายชุดดำก็ร้องขึ้นแล้วก็กระโดดลงมายังหน้าพวกเธอ
“หลบอยู่หลังฉันไว้ ฉันจะปกป้องเธอเอง” อายะชักดาบออกมาตั้งท่าสู้ ชายชุดดำก็จ้องมองดูพวกเธอและจับจิตได้ว่าพวกเธอนั้นกำลังหวาดกลัวมาก แววตาลึกลับที่ซ้อนอยู่ใต้แว่นเลเซอร์หนาของเขา ถึงแม้จะยากต่อใครที่จะเห็น แต่ก็ยังทำให้ใครต่อใครหวาดกลัวเพียงแค่เขาจ้องมอง
“หลบไป” ชายชุดดำพูดช้าๆชัดๆ ทำให้พวกเธอประหลาดใจ แต่พวกเธอก็หลีกทางให้แต่ก็ยังระวังตัวไว้ แล้วชายชุดดำก็ขวบม้าดำตัวใหญ่กระโดดเหินจากหน้าผาลงไป

“Holy Wall” อิศราสร้างเกราะขนาดใหญ่ล้อมรอบพวกเขาไว้ เว้นเพียงแต่วินที่ยืนอยู่ไกลจากวงเวทย์เกิน
“ตายซะเถอะหอกแห่งข้า ทำลายศัตรู Deathly Water Spear” กีทานัสยิงหอกพลังน้ำทั้ง 9 โจมตีใส่วิน แล้วมายะก็ได้ยินเสียงบางอย่างจึงเกิดรู้สึกหวั่นๆ
“เกือกม้า” มายะบอก
“อะไรนะ” พงวิชไม่ค่อยได้ยินที่มายะพูดเพราะเสียงฝนที่กระหน่ำตกลงมาจนกลบเสียงอื่นไปเกือบหมด

“อดสนุกเลยวันนี้ ดันมีคนมาแย่งซะงั้น” วินพูดเสร็จตัวเขาก็ค่อยๆจมลงไปในเงาของเขาเอง แล้วชายชุดดำที่ขวบม้ามาด้วยความเร็วเหนือเสียง ทวนดำมรณะของเขาแทงจะทะลุร่างของกีทานัส
“ความเร็วขนาดนี้ ไม่จริง” กีทานัสตะลึงกับความเร็วของชายชุดดำแล้วร่างของเขาและพลังน้ำรวมทั้งฝนค่อยๆสลายหายไป ท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่างเต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์

สักพักร่างของนาโอะก็ค่อยๆเปร่งแสงขึ้น แล้วก้มีแสงจันทร์สาดส่องมายังร่างของเธอ
“ขอบคุณมากนะ” เสียงของลูน่าดังขึ้นมาในหูของนพ เขาจึงหันไปดูร่างของนาโอะที่มีแสงสว่างจ้าจนทุกคนยังทึ่งรวมทั้งตัวดาฟที่ค่อยปล่อยมือออกจากร่างของลูกสาวและลุกขึ้นถอยออกห่างอย่างช้าๆ ชายชุดดำจึงกระโดดลงจากหลังม้ายืนมองดูสิ่งบางอย่างทะลุแสงสว่างจ้านี้เข้าไป

         เมื่อแสงเริ่มสว่างหรี่ลงเรื่อยๆจนทุกคนพอมองเห็นร่างสาวคนหนึ่งปรากฏออกมาแทนนาโอะ สาวคนนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“นาโอะ” ดาฟยืนองดูหญิงสาวที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ลูกสาวตนอีกแล้ว
“ได้โปรด มอบเด็กสาวคนนี้แก่ข้า” ชายชุดดำเดินเข้ามาหาดาฟ เขาเองจึงนึกถึงความหลังถึงตอนที่ตนเคยบอกกับลูกสาวว่า “ถึงแม้พ่อจะจากเจ้าไปไกลสักแค่ไหน สักวันพ่อจะกลับมาหาเจ้า จงดูแลตัวเองดีๆละ” “ท่านพ่อ” นาโอะในตอนเด็กวิ่งเข้ามากอดดาฟ แล้วเขาก็ตัดใจได้
“ข้าจะตอบแทนท่านด้วยสิ่งนี้” ชายชุดดำบอกแล้วก็อุ้มร่างของสาวคนนั้น มายะเองจึงคิดที่จะขัดขวางแต่ฟามก็ยื่นแขนไปห้ามไว้
“ไม่มีประโยชน์หรอก” ฟามบอกแล้วชายชุดดำก็เดินมาที่ม้าของเขาอย่างช้าๆ ดาฟเองแทบใจสลายที่ต้องสูญเสียลูกสาวไป เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำ เมื่อแสงนั้นดับลง ชายชุดดำและสาวคนนั้นก็หายไป แล้วท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแสงตะวันเริ่มสาดส่อง แสงจันทร์เริ่มเลือนหาย ดาฟเองก็ปาดน้ำตาออกและลุกขึ้น

“พ่อจะไม่มีวันจากเจ้าไป พ่อจะตามเจ้าไป” ดาฟชักดาบออกมาง้างขึ้นจะแทงตัวเอง แต่แล้วก็มีเสียงแห่งปฏิหารที่ดังขึ้นมาพร้อมกับความหวังและความประหลาดใจแก่พวกเขา
“ท่านพ่อ”
“นาโอะ” ดาฟทิ้งดาบลงทันทีที่เห็นลูกสาวตนยืนอยู่ที่หัวเรือ แล้วเธอก็วิ่งเข้ามากอดผู้เป็นพ่ออีกครั้ง
“ในที่สุดท่านพ่อก็กลับมา” นาโอะกอดดาฟแน่นขึ้น ดาฟเองก็หลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติที่ได้พบลูกสาวอีกครั้ง
“พ่อจะไม่จากลูกไปอีกแล้ว” ดาฟบอก

“จริงของนพ มันไม่ใช่เรื่องของพวกเรา งั้นก็กลับกันเถอะ” พงวิชบอก แล้วทุกคนก็เดินกลับไปยังบ้านตระกูลนัสซึเมะ มายะที่เดินลั้งท้ายก็หันไปมองดูนาโอะครั้งสุดท้าย แล้วเธอก็ส่งยิ้มครังสุดท้ายให้กับนาโอะก่อนที่หนักลับวิ่งตามพวกพงวิชไป แล้ว 2 พ่อลูกก็ออกเรือไปด้วยกัน 2 คนโดยไม่มีจุดหมายปลายทางขอเพียงแค่ทั้งคู่ได้อยู่กันจนวันตายก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดในชีวิต

-----------------------------จบตอนที่ 22-----------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on September 26, 2005, 08:19:33 PM
ชอบที่ตั้งชื่อท่าจัง  ::)


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 26, 2005, 10:03:52 PM
แต่งสด 1 ชั่วโมงเสร็จพร้อมอ่านทันใจ  ;D
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน สิ่งมีชีวิตจากสวรรค์

         ดินแดนอันไกลที่ห่างจากความวุ่นวาย ดินแดนที่ไม่เคยมีสงครามหรือเหตุร้ายใดๆ เนื่องจากในโบราณที่ตั้งเมืองนี้เคยเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่าเทพ เทวดาทั้งหลาย ที่นั่นมีเมืองแห่งศาสนจักร เมืองที่มีโบสถ์ วิหาร มากมาย ผู้คนในเมืองต่างอยู่เย็นเป็นสุข เหล่านักบุญต่างแสวงบุญกันที่นี่เป็นจำนวนมาก เมืองนี้ยังเป็นที่เก็บสะสมรวบรวมข้อมูลต่างๆในโลกนี้มารวมไว้ที่นี่ ทั้งบุคคลสำคัญ สถานที่ต่างๆ เมืองนี้จึงเป็นอีกที่หนึ่งที่ดั่งโลกขนาดเล็ก เมืองนี้คือ มหานครเบรุส ตั้งอยู่ในทุ่งกว้างมาร์ส มีเทือกเขาไทคอป ล้อมรอบเป็นครึ่งวงกลม

         ที่ยอดเขาคอสมาดาจาต้า มีนักเดินทางสาวๆกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านยอดเขานี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังมหานครเบรุส และเย็นวันนั้นพวกเธอตั้งแคมป์พักผ่อนกัน
“พรุ่งนี้ก็คงจะถึงแล้วละนะ” ธิดาภาบอก
“งั้นก็รีบๆนอนแล้วพรุ่งนี้จะได้รีบไปกันเถอะ” มาย่าบอกแล้วพวกเธอก็นอนหลับพักผ่อนกันในแคมป์

         แต่กลางดึกของค่ำคืนนั้นเอง มีแสงสว่างจ้าพุ่งลงมาจากฟากฟ้าสู่ยอดเขาคอสมาดาจาต้า ซึ่งบนยอดเขาสุดนั้นมีวิหารเก่าโบราณที่พังไปแล้ว ธิดาภาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอจึงรีบเดินออกมาจากแคมป์ยืนมองดูแสงนั้น ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินขึ้นภูเขาไปยังวิหารนั้น เมื่อเธอใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ลำแสงนั้นก็ค่อยๆแพร่วเบาลงเรื่อยๆ  

         เมื่อเธอย่างท้าวก้าวเข้าสู่วิหารโบราณนี้ ลำแสงจากฟากฟ้าก็ดับวูบหายไปทันที เหลือเพียงแสงจากคริสตอลขนาดใหญ่ที่อยู่วิหาร ซึ่งคริสตอลนี้แตกกระจายจนมีเศษกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว เธอจึงเดินมาแอบมองคริสตอลนั่นจากหลังเสาต้นหนึ่ง เธอมองเห็นอะไรบางอย่างในคริสตอลนั้นแต่ไม่ชัด ในใจเธอคิดที่จะเข้าไปดูด้วยความสงสัยกับการเฝ้าดูมันอยู่ตรงนั้นด้วยความกลัว มันคงไม่เป็นอย่างที่คิดนะ ? ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่าความกลัวของเธอจึงทำให้เธอนั้นออกมาจากหลังเสาและเดินเข้าไปใกล้ๆ

         แล้วเธอก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุราวๆ 15 ปี ในร่างเปลือยที่มีขนหนาปกปิดบริเวณเอวลงไปยันเข่า และมีผมสีน้ำตาลแกมดำที่ยาวยันสะโพก ที่หน้าอกมีรอยสักโบราณที่เธอมองดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร เด็กชายคนนั้นนอนสั่นด้วยความหนาวเหน็บ เธอจึงถอดผ้าคลุมห่มร่างเด็กชายคนนั้นไว้ เธอมองดูเด็กชายคนนั้นอย่างเอ็นดู และเธอยื่นมือไปแตะเพื่อจะปลุก

         แต่ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมาและผลักเธอกระเด็นไปติดกับเสาแล้วเขาก็หลบไปหลังเสาต้นหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ทำไรเธอหรอก” ธิดาภาลุกขึ้นช้าๆ
“ที่นี่ ที่ไหน ?” ชายคนนั้นถามและมองซ้ายมองขวาอย่างเร็วด้วยความระแวง
“ที่นี่คือวิหารโบราณบนยอดเขาคอสมาดาจาต้า ส่วนฉันชื่อ ธิดาภา แล้วเธอละ เราเป็นเพื่อนกันได้นะ ออกมาเถอะ” ธิดาภาพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานของเธอจนทำให้ชายคนนั้นเริ่มค่อยๆรู้สึกว่า ตัวเธอนั้นไม่มีอันตรายต่อเขา แล้วเขาจึงออกมาจากหลังเสา
“ข้าเป็นใคร ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง” ชายคนนั้นยังสับสนกับตัวเองเหมือนกับว่าเขาสูญเสียความทรงจำไป
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ตอนนี้เธอหิวหรือเปล่า ที่แคมป์ฉันมีอาหารอยู่จะไปด้วยกันมั้ยละ” ธิดาภาพูดออกมาพร้อมกับบรอยยิ้มที่ทำให้ชายคนนั้นถึงหลงใหลในความน่ารักของเธอ
“ไม่ ข้าไม่...” ชายคนัน้นพยายามจะปฏิเสธแต่แล้วก็มีเสียงท้องร้องของเขาดังขึ้นจนได้ยินชัดเจน ธิดาภาจึงหัวเราะออกมาเล็กๆ
“ไม่ต้องฝืนหรอก หาปล่อยให้หิวแบบนี้ เธอจะไม่มีแรงเอานะ” ธิดาภาบอก
“เดี๋ยวก่อน” ชายคนนั้นพูดทำให้ทั้งคู่หยุดนิ่ง แล้วก็มีปีศาจตนหนึ่งตกลงใส่หลังคาวิหารจนถล่มลงมาจนเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ชายคนนั้นจึงอุ้มธิดาภาและหนีออกมาจากวิหารที่กำลังถล่ม

         เมื่อเขาทั้ง 2 ออกมาชายคนนั้นก้วางร่างของธิดาภาลงแล้วหันไปมองที่วิหารเห็นมังกรตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากกลุ่มควัน ชายคนนั้นจึงเดินมาขวางข้างหน้าเธอไว้
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะคุ้มครองเธอเอาไว้เอง” ชายคนนั้นแสดงท่าทางออกเหมือนกับว่าตัวเขานั้นไม่ใช่เด็ก ธิดาภาเห้นเช่นนั้นก็จับคฑาไว้แน่นช่วยเสริมกำลังให้อยู่ด้านหลัง
“Shield Protect” เธอสร้างเกราะป้องกันการโจมตีให้เขาทั้ง 2 ไว้
“ไม่จำเป็นหรอก ขอเพียงเธอถอยไว้ห่างๆก็เป็นพอ” ชายคนนั้นยิ้มออกมาเหมือนกับว่าเขาเห็นการต่อสู้เป็นเรื่องสนุก มังกรตัวนั้นจึงคำรามออกมาจนเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำให้ธิดาภาเสียหลัก แต่เธอกลับเห็นเด็กชายคนนั้นยืนนิ่งเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วมังกรตัวนั้นก็อ้าปากพุ่งเข้ามากัดเขา

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” เด็กชายคนนั้นตะโกนสุดเสียงอย่างเข้มแข็งแล้วใช้มือขวากำที่ข้อมือซ้ายแล้วอัดลงใส่พื้นแล้วก็มีไฟฟ้าปรากฏขึ้นรอบๆตัวเขาและหมัดของเขาก็ห่อล้อมไปด้วยพลังสายฟ้าที่สว่างจ้า แล้วเขาก็พุ่งเข้าหามังกรตัวนั้นด้วยความเร็วและใช้หมัดซ้ายอัดใส่ที่ใต้คางของมังกรนั้นและมีสายฟ้าฟาดทะลุจากหมัดของเขาทะลุออกหลังคอและมีสายฟ้าอีกมากฟาดใส่ที่บริเวณซ้ำๆอยู่หลายครั้งและเริ่มถี่ขึ้นจนบริเวณนั้นเต็มไปด้วยแสงที่เกิดจากสายฟ้าฟาด

         เมื่อทุกอย่างจบลงเด็กชายคนนั้นก็เดินโซซัดโซเซกลับมาหาธิดาภา เมื่อเธอเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวในตัวของเด็กชายคนนี้ขึ้นมา แล้วชายคนนี้ก็หมดแรงล้มลงไปตรงหน้าเธอ เธอจึงรีบตัดอารมย์กลัวในหัวของเธอออกรีบหันมาประคองร่างของเด็กชายคนนี้ไว้
“สงสัยจะหมดแรงเลยซิ เด็กคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ฉันจะปิดความลับของเธอเอาไว้ให้เอง” ธิดาภามองดูชายคนนี้ที่หลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมตักของเธอ แล้วสักพักพวกพิชามนญ์ก็วิ่งขึ้นมาเพราะแผ่นดินไหว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” มาย่าถามแล้วเธอก็ตกใจที่หันไปเจอมังกรตัวนั้นที่ตายอย่างอนาถ
“แล้วนี่ใครกันละ” พิชามนญ์ถาม
“เด็กหน่า ไปเจอเขาในวิหารโบราณ ตอนนี้ก็คิดว่าจะพาเขาไปที่เมืองเบรุสก่อนค่อยคิดต่อไปอีกที” ธิดาภาตอบพร้อมกับเอามือลูบศีรษะของเด็กชายคนนี้เบาๆ
“มังกรตัวใหญ่และทรงพลังขนาดนี้ เธอฆ่ามันได้อย่างไรกัน” อรนิชาถาม
“ปล่าว พอดีเมื่อกี้นี้มีชายคนหนึ่งเขามาช่วยเอาไว้แล้วก็จากไปแล้ว” ธิดาภาพูดออกมาอย่างรีบร้อน  
“ปิดบังอะไรไว้รึปล่าว” มาย่าถาม
“ปล่าว ไม่มีปิดบังอะไรหรอก” ธิดาภารีบปฏิเสธทันที
“ฉันเชื่อเธอก็ได้ เพราะว่าเธอไม่เคยโกหกหรือปิดบังใครอยู่แล้ว ส่วนเจ้าเด็กนี่ จะเหมือนลิงก็ไม่ใช่ จะเหมือนเสือก็ไม่เชิง มีขนเยอะจริง ผมก็ย๊าวยาว” มาย่าเดินเข้ามาดูเด็กชายคนนี้ใกล้ๆ
“แล้วรู้มั้ยว่าเด็กคนนี้ชื่ออะไร” อรนิชาถาม
“ไม่รู้หรอก เหมือนว่าเขาสูญเสียความทรงจำ ถามอะไรเกี่ยวกับตัวเขาก็เหมือนว่าเขาจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ธิดาภาตอบ
“งั้นกลับไปที่แคมป์กันก่อนเถอะ พักผ่อนซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้เดินทางเอาเด็กนี่ไปรักษาตัวที่เมือง” พิชามนญ์บอกแล้วก็แบกเด็กชายคนนี้ขึ้นหลังแล้วพวกเธอก็เดินลงจากยอดเขากลับไปที่แคมป์
“ฉันต้องหาความลับของเธอให้ได้ ทั้งที่มา ประวัติ รวมทั้งรอยสักที่หน้าอกของเธอด้วย” ธิดาภาเดินเหม่อลอยนึกถึงภาพตอนที่เด็กชายคนนี้ออกมาขวางและบอกว่าจะคุ้มครองเธอไว้

         เมื่อพวกเธอลงไปจากยอดเขาแล้วก็มีฝูงหมาป่ากลุ่มหนึ่งโผล่มากัดกินเนื้อมังกรที่ตายเป็นอาหาร พวกมันทั้งเห่าหอนในยามราตรีจนเสียงของพวกมันน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดในค่ำคืนนั้น และหัวหน้าฝูงของมันกระโดดมาบนโขดหินจ้องมองดูพวกเธอจากที่สูงด้วยสายตาอาฆาต

         ที่แคมป์พวกเธอต่างหลับนอนกันสนิทโดยธิดาภาเอาเด็กชายคนนั้นมานอนไว้เคียงข้าง ทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนว่าเด็กชายคนนี้เป็นน้องชายของเธอ ตัวที่สั่นเทาของเด็กชายคนนี้ที่เหน็บหนาวแม้จะห่มผ้าแล้วก็ยังไม่หายหนาว เธอจึงร่ายเวทย์มนต์สร้างไออุ่นออกมาจากตัวเธอและกอดเด็กชายคนนั้นไว้เพื่อให้ไออุ่นแก่เขา และเธอก็หลับลงอย่างสบายใจ

-----------------------------------------จบจอนที่ 23--------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on September 27, 2005, 06:18:46 AM
ด้วยความมุ่งมั่นถึงจะดึกดื่นแค่ไหน จะง่วงสักเท่าไหร่ เพื่องานอันเป็นที่รักก็จะแต่งมันต่อไป (แต่งตั้งแต่ตี 1 ยันตี 2 อย่างน้อยก็ยังมีคนอื่น คุ้มค่ากับเวลาที่ลงทุน [คนที่อ่านคนแรกเราเองแหละแต่งไปอ่านไป])
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน วิหารเทพที่ถูกลงโทษ

         เมื่อตะวันเริ่มทอแสง การเริ่มต้นของชีวิตใหม่กับวันใหม่ก็เริ่มขึ้น กลุ่มนักเดินสาวน้อยทั้ง 4 และอีก 1 หนุ่มน้อยก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่มหานครเบรุส แต่เมื่อภาพแรกที่พวกเธอออกมาจากเต้นท์นั้น คือไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่หมอกหนาทึบ พอเห็นเพียงยอดเขาสูงเหนือหมอกและแสงตะวันที่สาดส่องนำทางเข้ามาถึง
“จะเอายังไงต่อดีละ พวกเราจะไปทางไหนกัน” อรนิชาถาม
“ตามแผนที่ เมืองต้องอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากตรงนี้ ถ้าเราใช้พระอาทิตย์เป็นเครื่องนำทางก็คงไปถึงได้” พิชามนญ์หยิบเข็มทิศออกมาดู แล้วเด็กน้อยคนนั้นก็เดินออกมาจากเต้นท์ พวกเธอเห็นขนและเส้นผมบนตัวของเด็กชายคนนั้นที่เปลี่ยนเป็นสีขาวนวลกลมกลืนไปกับหมอก
“ไปย้อมสีตั้งแต่เมื่อไหร่” มาย่าถาม
“ไม่รู้ซิ ข้ารู้สึกปวดหัวนิดๆ” เด็กชายคนนั้นเอามือกุมหัวและเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่ต้องพึ่งเข็มทิศหรือสิ่งต่างๆช่วยเขากลับสามารถเดินไปได้ถูกทาง แล้วพวกเธอก็เดินตามไปทันทีในระยะประชิดเพื่อไม่ให้หลงทางกันในหมอก

“เธอพอจะนึกอะไรออกบ้างรึยัง หรือนึกชื่อตัวเองออกหรือเปล่า” ธิดาภาเดินเข้ามาใกล้ๆและถามเบาๆ
“ไม่ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ข้ายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าข้าหลับจากที่ไหน รู้เพียงตื่นมาก็เห็นเธอและข้าก็อยู่ที่นั่นได้ไง” ชายคนนั้นตอบ
“งั้นฉันตั้งชื่อให้นะ เธอมีความเป็นสุภาพบุรุษดี สมกับเป็นชาติชายชาตรี ชื่อเธอจะตั้งให้ยังไงดีนะ ขอคิดสักแปป” ธิดาภาเดินนึกไปเรื่อยๆ
“เอาชื่อเท่ๆเลยแล้วกัน ชื่อ มาร์คัส เป็นไง เธอพอรับได้มั้ย ชื่อเทพสวรรค์องค์หนึ่งเชียวนะ ชื่อนี้อาจจะทำให้ใครๆต่างเกรงกลัวก็เป็นได้” ธิดาภาบอก
“มาร์คัสเหรอ” ชายคนนั้นหยุดยืนนิ่งจนมาย่าที่เดินไม่ระวังนั้นเดินมาชนเข้า
“หยุดทำไม” มาย่าถาม
“มาร์คัส ชื่อนี้... ข้าเป็นใครกันแน่” ชายคนนั้นเริ่มปวดหัวมากจนดิ้นทุรนทุรายไปมา ธิดาภาเลยจะเข้ามาห้ามไว้เพื่อให้สงบสติอารมณ์ แต่เมื่อเธอแตะสัมผัสตัวเด็กชายคนนี้ ก้มีภาพบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองของเธอ เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน ทุกอย่างรอบๆตัวเธอล้วนแต่ว่างเปล่า แล้วก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาซึ่งที่หน้าอกของเขามีรอยสักเหมือนกับเด็กชายคนนี้ “ได้โปรด”  ชายคนนั้นยื่นมือที่จะมาจับเธอ แล้วเธอก็สะดุ้งออกมาจากภาพนั้น
”เกิดอะไรขึ้นเหรอ เธอเห็นอะไร” อรนิชารีบเข้ามาถาม
“ไม่หรอก” ธิดาภาพยายามทำตัวให้เป็นปกติและส่งยิ้มให้ว่าเธอนั้นไม่ได้เป็นอะไร
“เอาเป็นว่าฉันตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่า มาร์คัส แล้วกันนะ ทุกคนจำเอาไว้ด้วย” ธิดาภาบอก
“ชื่อจะไม่หรูไปหน่อยรึ” มาย่าถาม
“เอาเถอะ เป็นว่าเราไปกันต่อให้ถึงเมืองกันก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่นต่อ” ธิดาภาบอกแล้วก็วิ่งเข้ามาดูอาการของชายคนนั้น พอเขาเริ่มหายปวดหัวแล้ว เขาก็เดินต่อไปพร้อมกับท่าทางเหมือนเจ็บปวดบริเวณรอยสักต้องเอามือทั้ง 2 ข้างกุมหน้าอกเอาไว้

         พวกเข้าเดินทางกันจนเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษๆ มาร์คัสก็หยุดนิ่งทันที
“มีอะไรเหรอ” ธิดาภาถาม
“พอข้าให้สัญญาณ พวกเธอจงรีบวิ่งสุดชีวิตอย่ามองกลับหลังมา ไม่ต้องห่วงข้า ตามที่ฉันสัญญาโดยที่เธอไม่รู้ ฉันจะคุ้มครองพวกเธอเอาไว้เอง เพราะตอนนี้มีพวกหมาป่าที่จ้องจะทำร้ายพวกเธออยู่ เหนือหอมของสาวพหรมจรรย์อย่างพวกเธอมันถือว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดของพวกมัน มันยังไม่รู้ว่าพวกเธออยู่ไหน มันจะไม่ใช้สายตามองพวกเธอมันจะใช้หูฟังเสียงฝีเท้าของพวกเธอแทน เพราะฉะนั้นหากฉันบอกว่าวิ่งก็ต้องวิ่งให้เร็วที่สุด ฉันจะคุ้มกันหลังไว้ให้” มาร์คัสพูดอย่างแพร่วเบา

ทุกคนในที่นั้นต่างหยุดนิ่งและเงียบที่สุด ทุกคนเริ่มหนาวเหน็บขึ้นมาจากหมอกเหล่านี้จนพวกเธอหายใจออกมาเป็นไอ พวกเธอเริ่มจะทนกับสภาพอากาศอันหนาวแบบนี้ไม่ไหวมากนัก แต่พวกเธอก็ยังทน จนสักพักก็เริ่มมีเสียงฝีเท้าของพวกหมาป่าดังขึ้นเป็นฝูงใหญ่ มาร์คัสจึงก้มหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้วก็เขว้งไปสุดแรงออกไปห่างจากพวกเขา เมื่อก้อนหินนั้นตกกระทบพื้นจนเกิดเสียง พวกหมาป่าฝูงนั้นจึงรีบวิ่งไปที่นั่นทันที
“วิ่ง !!!” มาร์คัสบอก แล้วพวกเธอก็รีบวิ่งไปทันทีตามที่เขาบอก ส่วนตัวเขานั้นกลับยืนอยู่นิ่งไม่ขยับไปไหน ด้วยความเป็นห่วงของธิดาภา เธอหันไปมองดูเขา และเธอก็รอยยิ้มของชายคนนั้นเป็นครั้งที่สอง จากความคิดที่คิดเสมอว่าเด็กคนนี้เปรียบเสมือนเป็นน้องชายกลับกลายเป็นชายที่คอยคุ้มครองปกป้องเธอ รอยยิ้มนี้แสดงถึงความมั่นใจของเขามาก ธิดาภาที่เชื่อใจในตัวชายคนนี้ เธอจึงทำตามที่เขาบอกและวิ่งจากไปพร้อมกับเพื่อนๆ
“ไหนลองมาสนุกกันหน่อยซิ ไอ้พวกหมาหมู่” มาร์คัสหันหลังกลับไปก็เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าฝูงหนึ่งที่แยกเขี้ยวขู่

“เราจะทิ้งเจ้าหนูนั่นไว้คนเดียวจริงๆเหรอ” มาย่าถาม
“ฉันเชื่อว่าเขาต้องรอดและเอาชนะพวกหมาป่านั่นได้แน่” ธิดาภาตอบ
“แต่ถึงยังไงเจ้าเด็กนั่นก็คือเด็กอยู่ดี อากาศที่หนาวขนาดนี้ แถมเขาก็คงจะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน ร่างกายของเขาจะทนไม่ไหวเอานะ” พิชามนญ์พูดด้วยความเป็นห่วง แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเกือกม้าเดินอย่างช้า เธอจึงมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงพร้อมกับวิ่งไปเรื่อยๆ เสียงเกือกม้าที่ค่อยแพร่วเบาลงทำให้เธอยังมองหาต้นเสียงได้ยากรวมทั้งหมอกที่หนามากจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น

ไม่นานนักพวกเธอก็วิ่งมาจนถึงบริเวณที่หมอกเริ่มเบาบางลง พวกเธอเห็นชาวเมืองกลุ่มหนึ่งที่ผ่านมาบริเวณ พวกเธอจึงรีบวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือและเล่าเรื่องต่างๆ จนชาวเมืองกลุ่มนั้นรีบวิ่งย้อนกลับเข้าไปช่วยเด็กน้อยที่อยู่ในดงหมาป่า

“แสงไฟแห่งตะวัน เกราะแห่งอพอลโล่ Armor Sun” มาร์คัสท่องคาถาบางอย่างจนเกิดดวงอาทิตย์เล็กๆเหนือหัวเขาขึ้นไปประมาณ 3 เมตร และเปร่งแสงไฟสีแดงห่อล้อมตัวเขาไว้เป็นวงกลม
“ถึงแม้เราต้องเสียพลังจากการให้คาถานี้คงอยู่ หากปล่อยแบบนี้เราก็อาจจะหมดพลังแน่ ร่างกายเราตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกจะไม่ไหวแล้ว ถึงแม้จะมีความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์แล้วก็ตาม แต่ร่างกายเหมือนกับว่าจะขยับตัวไม่ได้ดั่งใจ เราคงต้องรอจนกว่าคาถานี้จะหมดลง” มาร์คัสหลับตาลงช้าๆ ฝูงหมาป่าต่างวิ่งกระโจนเข้าโจมตีใส่แต่เมื่อพวกมันถูกกำแพงแสงอาทิตย์แล้ว พวกมันก็กระเด็นไปทันที

แล้วเสียงเกือกม้าก็ดังขึ้น เหมือนว่ามีคนขี่ม้ามาบริเวณนั้น มาร์คัสพยายามจะลืมตาขึ้นมองดูต้นเสียงของเกือกม้านั้น แต่ด้วยความหนาวเหน็บและเรี่ยวแรงเริ่มอ่อนล้า เขาลืมตาขึ้นมาได้นิดๆเห็นภาพลางๆเป็นชายร่างใหญ่ขี่ม้าดำตัวใหญ่ตรงมาที่เขา แล้วมาร์คัสก็หมดแรงล้มลง ตาทั้ง 2 ข้างที่ลืมไม่ค่อยจะขึ้นของเขานั้นเริ่มค่อยหรี่ลงเรื่อยๆ เขาได้ยินเพียงเสียงม้าร้อง เสียงของมีคมเสียดสีกับเนื้อหนัง เสียงคร่ำครวญของหมาป่า และเสียงฝีเท้าจำนวนมากของฝูงหมาป่าที่จากไป เขาผงกหัวขึ้นมาก็เห็นศพหมาป่านอนตายเกลื่อน แล้วเขาก็คิดว่ามันจบเสียที แล้วเขาก็เห็นชายร่างใหญ่คนนั้นก้มมองจ้องหน้าเขา นั่นคือภาพสุดท้ายก่อนที่มาร์คัสจะหมดแรงสลบไป

         เมื่อพวกกลุ่มชาวเมืองมาถึง พวกธิดาภาก็เห็นเงาลางๆของชายร่างใหญ่ขี่ม้าดำจากไปทิ้งท้ายเพียงเสียงเกือกม้า ธิดาภาจึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของมาร์คัส เธอจับชีพจรของเขาจึงรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จึงรีบบอกให้ชาวบ้านช่วยพาเขาไปที่เมืองโดยเร็วเพื่อรักษาและพักฟื้น

         และแล้วตะวันก็ทอแสงขึ้นสู่เหนือหัวเป็นเวลาเที่ยง พวกเขาทั้งหมดก็มาถึงมหานครเบรุส ชาวบ้านรีบแบกร่างของมาร์คัสเข้าไปรักษาในวิหาร ให้หลวงพ่อจาค็อบรักษา

ผ่านไป 10 นาที หลวงพ่อก็เดินออกมาจากห้อง
“เขาเป้นยังไงบ้างคะ หลวงพ่อ” ธิดาภารีบเข้ามาถาม
“ก็สบายดี แค่สลบไปเพราะหมดแรงหรือใช้แรงเยอะไปก็เป็นได้ แต่พ่อสงสัยบางอย่างเหมือนกันก็เลยอยากจะขอคุยกบัหนูเป็นการส่วนตัวจะได้หรือเปล่า” หลวงพ่อจาค็อบตอบและถามกลับ
“ได้ซิคะ” ธิดาภาตอบ แล้วเธอก็เดินตามหลวงพ่อเข้าไปด้านในของวิหารนี้

“ที่นี่มีวิหารมากมายของเหล่าเทพสวรรค์ในหลายองค์ แต่ในตำนานเทพในหนังสือมีบอกไว้เกี่ยวกับรอยสักบนหน้าอกของหนุ่มน้อยคนนั้น” หลวงพ่อเดินไปและเล่าไป
“แล้วยังไงต่อคะ หนูเองยังไม่เข้าใจเลย” ธิดาภาบอก หลวงพ่อก็หัวเราะเล็กๆ
“ฟังพ่อพูดให้จบก่อนซิ ตามตำนานในหนังสือเล่าไว้ว่า นานมาแล้วในเหล่าบรรดาเทพสวรรค์ทั้งหลายจะมีเทพเพียงตนเดียวที่เป็นเสมือนหัตถ์ซ้ายของพระเจ้า และเทพธิดาอีกตนที่เป็นเสมือนหัตถ์ขวาของพระเจ้า ทั้งสองจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป และทั้งคู่ก็รักกัน แต่เกิดมีเทพสวรรค์องค์หนึ่งนึกหลงรักในตัวเทพธิดาตนนั้น จึงทำให้หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้าโกรธเลยสังหารเทพสวรรค์ตนนั้นอย่างเย็นชา เขาและเธอจึงถูกจับแยกกันโดยเขาถูกกักขังเป็นเวลานาน ส่วนเธอนั้นถูกส่งให้มาอยู่บนโลกมนุษย์เพื่อทำหน้าที่แทนพระเจ้าในบางเรื่องบนโลกมนุษย์” หลวงพ่อเล่าไปเรื่อยๆ
“แล้วมันเกี่ยวยังไงกับรอยสักคะ” ธิดาภาถาม
“ก็นี่ไงกำลังจะบอกเลย หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้านั้นมีรอยสักกลางหน้าอกเหมือนกับเด็กหนุ่มนั่น เหมือนในรูปวิหารนี้ไง” หลวงพ่อมาหยุดอยู่ที่ภาพผนังที่มีรูปหัตถ์ซ้ายของพระเจ้าซึ่งมีรอยสักเหมือนกัน เมื่อธิดาภาเห็นจึงตกใจทันทีเพราะชายคนภาพที่เธอเห็นตอนสัมผัสเด็กชายคนนั้นเหมือนกับหัตถ์ซ้ายของพระเจ้า
“ตกใจอะไรขึ้นมาเหรอ” หลวงพ่อถาม
“เปล่าค่ะ แค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตื่นเต้นตกใจเป็นปกติ” ธิดาภารีบหาข้ออ้างปฏิเสธ
“วิหารนี้ถูกปิดมาหลายปีแล้วละ ด้วยชื่อเสียงของเทพสวรรค์องค์นี้ทำให้ไม่มีใครศรัทธา แต่หลวงพ่อก็เชื่อมั่นในตัวของเทพองค์นี้ นามของเขาถูกสาปไว้จากเทพอารักขาของพระเจ้าทั้ง 5 ว่าหากใครที่เอ่ยนามของหัตถ์ซ้ายของพระเจ้าแล้วผู้นั้นจะมีชะตากรรมที่แสนโหดร้ายจากการลงโทษของเทพอารักขาทั้ง 5 วิหารนี้ก็เลยมีชื่อเรียกว่า  วิหารเทพที่ถูกลงโทษ ” หลวงพ่อเล่าให้ฟังจนสักพักหลวงพ่อก็หยุดพูดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้ธิดาภาตื่นจากอาการเหม่อของเธอที่ครุ่นคิดแต่เรื่องของเด็กคนนั้นกับภาพชายที่เห็น
“ในวิหารนี้มีห้องมากมาย จะพักในวิหารนี้กี่วันก็ได้ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ” หลวงพ่อพูดเสร็จ ธิดาภาก็ขอตัวเดินกลับไปที่ห้องพักของเด็กหนุ่มคนั้น

เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นรอยสักที่หน้าอกของหนุ่มน้อยนั้นเข้มขึ้นและขยายลามไปจากบริเวณอกนั้นขยายไปยังบริเวณไหล่ หน้าท้อง และต้นคอ ทำให้เธอตกใจมาก เธอจึงคิดที่จะไปรีบหลวงพ่อมาดูอาการแต่แล้วก็มีมือยื่นมาดึงลั้งเธอเอาไว้ เมื่อเธอหันมาก็เห็นชายในภาพอีกครั้งและเขาก็พูดประโยคเดิม “ได้โปรดอย่า...” แล้วธิดาภาก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน ในเมื่อเธอคิดไว้แล้วว่ามันคือความฝันนั่นเอง เธอจึงพยายามลืมเรื่องนี้ทั้งหมดและนอนหลับต่อในวิหารของชายที่มาเข้าฝันเธอแทบทุกคืน

----------------------------------------จบตอนที่ 24----------------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Moonshiny Doll on October 02, 2005, 09:38:22 PM
เมื่อไหร่จะมาแต่งต่อครับ


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on October 02, 2005, 10:16:02 PM
ขอโทษด้วยนะครับที่ให้รอ เพราะเรามัวแต่ไปคิดเรื่องไร้สาระอื่นจนลืมสิ่งนี้ แต่ตอนนี้ในเมื่อมีคนต้องการ แน่นอนเลยว่า เราจะตั้งแต่แต่งมาให้อ่านในต่อๆไป
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 ตอน การเดินทางใต้ทะเล

         เช้าอันสดใสหลายวันหลังจากเหตุการณ์ที่เหล่ากองทัพโจรสลัดบุกเข้าตีเมือง พงวิชตื่นขึ้นมารับแสงแดดยามเช้า เขาเดินมาเปิดบานเลื่อนออกมาจากบ้านตระกูลนัสซึเมะ เขาเดินไปชมวิวบนเนินสูง เขาไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนและเขาไม่เคยเห็นทิวทัศน์จากที่สูงขนาดนี้ เขามองเห็นทั่วเมืองและแสงแดดที่กระทบกับผืนน้ำในท้องทะเล

         ไม่นานนักพอเขาเริ่มได้ยินจากเพื่อนๆในบ้านตระกูลนัสซึเมะเริ่มทยอยตื่นขึ้นมา เขาก็เดินกลับลงไปจากเนินสูงบนยอดเขา
“แล้วจะไปไหนกันต่อดีละ” ตั้มถาม แล้วพงวิชก็เปิดบาบนเลื่อนเดินเข้ามา
“พวกแกจะไปไหนก็ไปเหอะ เราจะกลับไปดูแลอู่ต่อ มีสาขาทั่วโลก เสี่ยมิ้งการช่าง ซะอย่าง” มิ้งบอกเสร็จก็ลุกขึ้นแบกของเดินออกไปจากบ้านทันที
“ตอนมาก็ง๊ายง่าย ตอนจากไปก็เร๊วเร็ว” บุ๊คมองดูมิ้งเดินออกไป
“เอาเป็นว่าไปบ้านข้าก่อนก็ได้ รับส่งฟรี แล้วพอถึงตอนนั้นข้ามีแผนที่โลกขนาดใหญ่ พวกเจ้าดูได้เลยว่าจะไปที่ไหน” ฟามบอก
“นักฆ่าต่ำต้อยอย่างแกเนี่ยนะ” แพ๊คหัวเราะใส่
“เออเร็วเหอะ จะไปไหนก็ไปอย่างที่มิ้งมันบอกแหละ ไปบ้านเจ้านี่ก่อนก็ได้” ปอนบ่น
“ท่านพงวิชคะ ดิฉันขอคุยเป็นการส่วนตัวจะได้มั้ยคะ” อายะเปิดบานเลื่อนเข้ามาถาม
“ได้ซิ ต้องการอยู่แล้ว” พงวิชตอบแล้วรีบลุกวิ่งตามไปทันทีและหันมาทำหน้าตาล้อให้เพื่อนๆ

เมื่อพงวิชเดินตามอายะจนมาหยุดอยู่ที่ห้องฝึกซ้อมที่เป็นลานกว้างในบ้าน แล้วเธอก็นั่งอย่างสำรวมในชุดกีโมโน
“คือว่า...” อายะเริ่มหน้าแดงออกมาเล็กๆ
“ผมจะฟังอย่างตั้งใจ” พงวิชก็นั่งลงจ้องมองดูเธออย่างไม่กระพริบตาเลย
“คือว่า ในสมัยโบราณตระกูลเราจะมอบดาบของตนเองที่ใช้ในการฝึกฝนอย่างหนักแน่น จนได้เจอคนที่คิดว่าตนเองนั้น... นั้น...” อายะพูดแบบสั่นๆคลอ พงวิชก็หัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยท่าทางที่เหมือนกับจะดีใจ แล้วอายะก็ลุกขึ้นชักดาบออกมาปลายดาบนั้นจ่ออยู่ที่หน้าผากของพงวิช เขาจึงตกใจกลัวทันที
“ได้โปรดรับดาบของฉันเล่มนี้ไว้ด้วยนะคะ” อายะบอก พงวิชจึงถอนใจอย่างแรงแล้วก็ลุกขึ้น
“ครับ” พงวิชก็รับดาบจากมือเธอ ขณะที่เธอส่งดาบให้ มือทั้งสองของเขาและเธอต้องกัน ทำให้อายะหน้าแดงกล่ำมากขึ้น แล้วเธอก็รีบหันหลังเดินออกไปจากห้อง

เมื่อเธอเดินออกมาก็ปิดบานเลื่อนและยืนพิงผนัง
“ทำไมต้องให้ดาบเล่มนั้นด้วย ชายคนนั้นมีอะไรดีสำหรับเธอเหรอ” มายะถาม
“ไม่รู้ซิคะ คงอาจจะเป็นชะตาลิขิตให้หนูมาพบกับเขาและต้องมอบดาบเล่มนั้นกับเขาเพื่อสื่อจิตใจเหมือนว่าหนูได้อยู่ข้างกายเขาตลอดก็ถูกนะ พี่เองก็เคยให้ดาบของพี่กับชายคนหนึ่งเลยนี่ จนตัวเองต้องมาใช้ดาบประจำตระกูล” อายะยิ้มให้แล้วก็วิ่งจากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีความสุขสำหรับเธอ แต่มายะเองเมื่อได้ยินอายะพูดถึงตอนที่เธอเคยมอบดาบให้กับชายอันเป็นที่รัก เธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอยู่เล็กๆ
“น้องตัวแสบนี่ พี่บอกแล้วไงเรื่องนี้อย่าพูดถึงอีก” มายะรีบวิ่งตามอายะไป ทั้งเล่นวิ่งเล่นกันเหมือนกับเด็กๆ

         แล้วทั้งหมดก็มารับประทานอาหารด้วยกัน บุ๊คก็จ้องกินอย่างเต็มที่ อายะเองก็ยังคงมีอาการเขินอายเมื่ออยู่ใกล้กับพงวิช เมื่อทุกคนอิ่มจากอาหารเช้าแล้ว พวกเขาก็เดินออกมาหน้าบ้าน โดยมี 2 พี่น้องนัสซึเมะมาส่ง
“พวกเราคงต้องขอบคุณพวกเธอมากที่ให้พวกเราได้พักผ่อนที่นี่” ตั้มกล่าวคำขอบคุณ
“คือฉันจะขออยู่ที่นี่ไปสักพัก ส่วนคันธนูนี้ พวกเธอเก็บไว้เถอะ 3 พี่น้องวิหคน้อยหากขาดตนใดตนหนึ่งพวกเขาก็คงจะเศร้าและเหงา” เมโรดีนบอก
“ได้เลย” พงวิชรับคันธนูด้วยความยินดี และให้อิศราเก็บคันธนูเอาไว้ในกระเป๋า
“ถ้าโชคดีเราอาจจะได้เจอกันนะคะ” อายะยิ้มให้และโบกมือลา พวกพงวิชก็เดินลงจากภูเขาไป

กลุ่มแสบทั้งหมดเมื่อเดินลงจากภูเขามาได้ก็พูดคุยกันระหว่างทาง
“ฟามขอสักทีเหอะ บ้านแกอยู่ไหนแล้วจะไปยังไง” แพ๊คตบฟามเล่น
“ไปทางที่พวกแกทั้งหลายจะตะลึง ยังแค้นไม่หายที่มีรถคันใหม่แล้วดันโดนทำลายซะง่ายๆ ได้ใช้ไม่ถึง 10 นาที” ฟามบ่นพึมพำไปมา แล้วเขาก็เดินนำพวกพงวิชไปที่ประภาคารเก่าห่างออกไปจากตัวเมืองไม่มากนัก

“พาพวกเรามาที่นี่ทำไมเนี่ย เหนื่อยนะเนี่ยแดดร้อนก็ร้อน” ตั้มบ่นแล้วก็ปาดเหงื่อ
“เดี๋ยวได้เย็นสบายแน่นอน” ฟามบอกแล้วก็เดินเข้าไปในประภาคาร
“มันจะพาพวกเราไปไหนวะ” ปอนสงสัย แล้วพงวิชก็เดินตามเข้าไป
“เดี๋ยว !!!” เฟียเรียสพูดเตือนบุ๊คผ่านจิตของตนกับโล่ของเธอที่บุ๊คถืออยู่ แต่บุ๊คก็ไม่ฟังคำเตือนของเธอและเดินตามเข้าไป

         เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาก็เห็นสภาพประภาคารเก่าๆที่ผุพังในบางส่วน ทุกคนก็ยังคงเดินตามฟามเข้าไปยังชั้นใต้ดินของประภาคาร เมื่อเปิดประตูชั้นใต้ดินออกมาพวกเขาก็เห็น...
“เรือดำน้ำ” ปอนตะโกนด้วยความดีใจที่ได้เห็นเพราะตัวเขาชื่นชอบในพวกเทคโนโลยี
“จะนั่งเจ้านี่ไปเนี่ยนะ” พงวิชถาม
“ใช่ถูกแล้ว เชื่อเพลิงเต็มถัง ไปได้ถึงบ้านข้าแน่นอน” ฟามตอบแล้วเขาก็เดินเข้าไปในเรือดำน้ำตรวจเช็คทุกอย่างภายในเครื่อง สักพักเขาก็สตาร์ทเครื่อง
“ทุกอย่างโอเค เร็วขึ้นมา” ฟามตะโกนเรียกทุกคน พงวิชเลยเดินเข้ามาหาฟามใกล้ๆ
“เครื่องพร้อมแล้วจะไปยังไง ข้างหน้ามันทางตันไม่เห็นรึไง” พงวิชตะโกนกอกใส่หูฟามและชี้ให้ดู แล้วพวกพงวิชก็เดินกลับขึ้นไปข้างบนโดยทิ้งฟามไว้ข้างล่างคนเดียว
“เซงกับพวกปัญญาอ่อนจริง” บุ๊คบอก แล้วพวกเขาก็เดินขึ้นมายังชั้นบนสุดของประภาคารยืนชมวิวจากระเบียง
“แล้วจะยังไงต่อ ถึงยังไงทางไปหมู่บ้านของอิศราก็ต้องข้ามทะเลนี้ไปอยู่ดี” ตั้มถาม
“ไม่รู้ซิ ถึงยังไงก็ต้องไปละ” พงวิชก้มมองลงไปยังหน้าผาข้างล่างมองดูคลื่นน้ำที่ซัดใส่หน้าผา เขาเพ่งมองดูอยู่ชั่วขณะและตกใจทันทีเพราะข้างล่างนั้นมีเงาของสิ่งมีชีวิตอยู่

ในขณะเดียวกันนั้นฟามก็ออกมาจากเรือดำน้ำ
“มันจะตันยังไงวะ ปีก่อนก็เคยขับเอาเข้ามาเก็บนี่” ฟามชักปืนออกมายิงใส่หินอยู่ขวางทางอยู่ข้างหน้า แล้วทันทีที่กระสุนเจาะเข้าไป ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น หินที่ขวางทางก็ขยับออก ฟามจึงดีใจจึงกลับขึ้นไปข้างบน

แต่ทางด้านบนพวกพงวิชเองตกใจทันทีเมื่อหินที่ขวางทางนั้นคือลำตัวของมังกรน้ำที่หลับอยู่แล้วมังกรน้ำตัวนี้ก็พุ่งขึ้นจากใต้ผิวน้ำขึ้นมา ซึ่งมันมีทั้งหมด 9 หัว และหัวทั้ง 9 ของมันชูขึ้นมาสูงในระดับเดียวกับชั้นบนสุดของประภาคารทำให้พวกมันเห็นว่ามีพวกพงวิชอยู่ มันนึกว่าพวกเขาเป็นคนทำ หัวทั้ง 9 ของมันจึงคำรามใส่ แรงดันเสียงจากปากทั้ง 9 ทำให้กระจกภายในทั้งหมดแตกและไม้ต่างหลุดออกจากกันในบางส่วน
“จะเอายังไงดี” พงวิชถาม
“หนีก่อนซิ โว๊ย” บุ๊คบอกแล้วพวกเขาต่างก็รีบวิ่งลงไปทันที แต่พอลงมาถึงประตู หัวหนึ่งของมังกรน้ำก็พุ่งกระแทกอิฐเข้ามาขวางประตูไว้ พวกเขาเลยต้องวิ่งกลับขึ้นไปข้างบน

“เฮ้ย เร็ว เรือจะออกแล้ว” ฟามวิ่งขึ้นมาบอกแต่เขาต้องตะลึงเมื่อเห็นมังกรน้ำ 9 หัว เขาจึงรีบวิ่งกลับลงไปทันที
“ในเมื่อมันอยากจะสู้ก็จัดการมันเลย” พงวิชชักดาบอีฟริตออกมาตั้งไว้ที่หน้าอกและรวบรวมสมาธิ แล้วเปลวเพลิงก็ลุกโชดออกมาจากดาบ
“จะบ้าเหรอ ไฟจะไปสู้กับน้ำ” ตั้มตะโกนบอก
“ไม่ลองก็ไม่รู้ซิ” พงวิชใช้ดาบฟันเข้าที่ลำคอของมังกรน้ำหัวหนึ่งจนขาดสะพรั่ง
“นี่ไง มันใช้ได้” พงวิชยิ้มออก พวกเพื่อนเห็นเขาสู้อยู่คนเดียว พงกเขาก็เลยเข้าร่วมสู้กันเคียงบ่าเคียงไหล่
“Thunder Bolt” ตั้มและแพ๊คร่วมกันร่ายเวทย์มนต์สายฟ้าโจมตีใส่ แต่แล้วก็มีหัวหนึ่งของมันฟาดใส่ประภาคารจนประภาคารถล่มลงสู่ทะเล ทำให้พวกพงวิชนั้นกระเด็นตกทะเลไปด้วย

แล้วฟามก็ขับเรือดำน้ำออกจากใต้ดินออกสู่ทะเลและขึ้นมาบนผิวน้ำและเปิดฝา
“เร็ว รีบขึ้น” ฟามชักปืนคู่ใจทั้ง 2 กระบอกยิงสกัดมังกรน้ำไว้แล้วให้พวกพงวิชรีบว่ายน้ำมาขึ้นเรือ
“เอาล่ะ คราวนี้จะโชว์อดีตนักซิ่งให้ดู” ฟามรีบกลับเข้าไปในเรือและขับเรือดำน้ำไปด้วยความเร็วสูง แต่มังกรน้ำก็ไม่ลดละ มันพ่นลำแสงแช่แข็งโจมตีใส่ ลำแสงนั้นไล่ตามเรือดำน้ำของฟามที่ยังอยู่บนผิวน้ำไปอย่างประชั้นชิด ทางน้ำแข็งที่ทอดยาวตามลำแสงนี้ทำให้สัตว์น้ำและสัตว์ประหลาดหลายชนิดที่ลำแสงนี้ผ่านต่างแข็งเป็นน้ำแข็งทันที

แล้วทันใดนั้นเองข้างหน้าของพวกเขาที่ห่างออกไปไม่ไกลนักเรดาร์บนเรือดำน้ำของฟามจับได้ถึงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มากพุ่งตรงมาทางเขา ฟามจึงเปิดกล้องใต้น้ำดูเห็นเป็นปลาวาฬขนาดใหญ่มากๆ อิศราจึงรีบเปิดตำราดูข้อมูล
“มันคือ โอโรเกีย ปลาวาฬยักษ์ลำตัวยาวกว่า 1 กิโลเมตร มีปากขนาดใหญ่ที่กว้าง 350 เมตร ที่สามารถกินเกาะเล็กๆหรือเรือสำเภาได้ 50 ลำเพียงแค่มันอ้าปาก” อิศราอธิบายให้ฟัง ทุกคนต่างก็อึ้งทันที
“งั้นก็มาเล่นอะไรสนุกๆหน่อยซิ” ฟามหมุนหัวเรือกะทันหันและรีบขับเรือมุ่งหน้ากลับไปยังมังกรน้ำ มังกรน้ำจึงยิงลำแสงแช่แข็งทั้ง 8 โจมตีใส่ ฟามก็ขับเรือซิกแซกหลบลำแสงไปเรื่อยๆ ผืนท้องทะเลในตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
“ฟามแกจะพาพวกเราไปตายรึไง” บุ๊คพูดด้วยอารมฉุนเฉียวกับการตัดสินใจของฟามซึ่งมีชีวิตของพวกเขาในเรือเป็นเดิมพัน
“ไม่ตายหรอก” ฟามบอกแล้วเรือดำน้ำที่วิ่งบนลานน้ำแข็งก็เหินขึ้นไปตรงคลื่นทะเลที่สูงจนเป็นเนินให้เหิน

แต่แล้วมังกรน้ำก็ยิงลำแสงแช่แข็งไปโดนใบพัดเรือ จนด้านหลังของเรือดำน้ำนี้จับไปด้วยน้ำแข็ง
“ตายละหวาทีนี้” ฟามบอกและพยายามสตาร์ทเครื่องให้ใบพัดนั้นหมุน
“ไม่………….” พงวิชตะโกนกรีดร้องด้วยความกลัว แล้วเรือดำน้ำที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ทิ้งดิ่งลงสู่ลานน้ำแข็งด้วยความสูง 2 กิโลเมตรและลงมาด้วยความเร็วสูง และทุกคนในเรือก็เห็นเงาลางๆของโอโรเกียที่กำลังว่ายเข้าหาชายฝั่ง
“สวดมนย์กันได้เลย” ฟามบอกและทุกคนก็เริ่มกรีดเสียงร้องออกมาด้วยความที่กลัวความสูงที่พุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง มังกรน้ำตัวนั้นยังคงยิงลำแสงแช่แข็งใส่เรือดำน้ำซึ่งคราวนี้มันทำสำเร็จเรือดำน้ำของฟามห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็งหนา แต่ยังพอมีกระจกมองเห็นภาพข้างหน้า เมื่อเรือดำน้ำตกลงมาอยู่ในระยะ 500 เมตรก่อนโหมงลานน้ำแข็งนั้น โอโรเกียก็พุ่งทะลุขึ้นจากลานน้ำแข็งอ้าปากพุ่งขึ้นสู่ฝั่งซึ่งมีมังกรน้ำอยู่ ทำให้มันตกใจและยิงลำแสงแช่แข็งใส่โอโรเกียแต่ไร้ผล แล้วเรือดำน้ำก็ทิ้งดิ่งลงสู่ทะเลตรงรอยแตกของน้ำแข็งที่โอโรเกียพุ่งขึ้นมา ส่วนโอโรเกียนั้นก็กินเอามังกรน้ำทั้งตัวเข้าไปในท้องและทิ้งตัวลงสู่ท้องทะเลแล้วมันก็ว่ายจากไป เหลือทิ้งไว้เพียงเรือดำน้ำของฟามที่จมอยู่ก้นทะเลที่มีน้ำแข็งค่อยๆละลาย

“สนุกเป็นบ้าเลย” ฟามตะโกนด้วยความดีใจ และทุกคนต่างก็ตะลึงแต่ก็ดีใจที่เอาชีวิตรอดมาได้
“แล้วทีนี้เอาไงต่อ” พงวิชถาม ทุกคนที่กำลังดีใจต่างหยุดนิ่ง
“เอ่อ... เอาเป็นว่าให้น้ำแข็งมันละลายหมดก่อนแล้วค่อยไปกันต่อแล้วกัน” ฟามตอบ
“งั้นจะมัวรออะไร มาดีใจกันดีกว่า” บุ๊คบอก แล้วทุกคนก็สนุกคึกคื้นตื่นเต้นกันอยู่ก้นท้องทะเล

-----------------------------------------จบตอนที่ 25--------------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on October 03, 2005, 07:43:49 AM
พอดีช่วงนี้มักอยู่ดึกแอบดู DL ตอนพ่อนอน กว่าจะดูเสร็จก็ล่อไปเกือบเช้าเลยไม่ค่อยมีเวลาแต่ง แต่อย่าใส่ใจ ยังไงเราทุ่มเทอยู่แล้วตราบเท่าที่ยังมีคนสนใจและอ่านมัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน รอยสักโบราณ

“ได้โปรดอย่าทิ้งข้า...” ชายที่มีรอยสักโบราณกล่าวต่อหน้าธิดาภาในความฝันจนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป
“ฉันฝันอีกแล้ว ทำไมทุกคืนฉันฝันถึงแต่เรื่องนี้มา 3 คืนแล้ว ทำไมกัน” เธอกุมขมับด้วยอาการที่ปวดศีรษะ เมื่อเธอเริ่มรู้สึกหายปวดแล้ว เธอก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างรับแดดแรกยามเช้าจากอพอลโล่ กลิ่นไอยามเช้าที่ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที แล้วเธอก็เดินไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะไปดูอาการและเช็ดตัวให้หนุ่มน้อยที่ยังสลบไปไม่ตื่นขึ้นมา

เมื่อเธอทำธุระเสร็จทุกอย่าง เธอก็มุ่งหน้าตรงไปที่ห้องของหนุ่มน้อยคนนั้น ก่อนที่เธอจะเข้าไป เธอก็สูดลมหายใจลึกๆและคลายออกมา แล้วเธอก็เปิดประตูเข้าไป เธอก็ตกใจทันทีจนทำขันน้ำและผ้าในมือตก ภาพข้างหน้าเธอเห็นเป็นเทวดากลุ่มหนึ่งและยมทูตอีกกลุ่มหนึ่งยืนล้อมร่างหนุ่มน้อยคนนั้นไว้ ด้วยเสียงของขันน้ำที่ตกหล่ม เทวดาและยมทูตเหล่าจึงหันมาจ้องมองที่เธอเป็นสายตาเดียวกันก่อนที่จะสลายหายไป แล้วสักพักหลวงพ่อจาค็อบก็รีบวิ่งมาเพราะได้ยินเสียงขันน้ำตก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หลวงพ่อถาม
“ปล่าวค่ะ หนูแค่ทำขันน้ำหล่น” เธอรีบปฏิเสธออกไป
“ถ้ามีอะไรก็บอกพ่อมาอย่าปิดบัง” หลวงพ่อบอกแล้วก็เดินออกไปจากห้อง
“พวกนั้นมาทำไมกัน” เธอนึกแปลกใจ แต่เมื่อเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว เธอก็เดินเข้ามานั่งข้างๆร่างของหนุ่มน้อยและใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ แต่เมื่อเธอกำลังจะเช็ดบริเวณรอยสักนั้น หนุ่มน้อยก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาและจับแขนของธิดาภาไว้

“ได้โปร..ด...อย่าทิ้ง...ข้า...” ด้วยความตกใจเธอรีบหลีกตัวออกมาห่าง ซึ่งแววตาของหนุ่มน้อยคนนั้นเป็นสีเดียวทั้งหมด หนุ่มน้อยคนนั้นหันมามองที่เธอ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แล้วแววตานั้นก็หายไปกลับกลายเป็นแววตาใสๆของเด็กหนุ่มธรรมดา
“นี่ เธอ ไปนั่งหกอะไรอยู่ตรงมุมนั้นหนะ” มาร์คัสถาม ในเมื่อรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้กลับมาเป็นอย่างเดิม เธอก็โล่งอกและถอนใจอย่างแรงและลุกขึ้นมา
“แค่ตกใจ ตอนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา พอดีฉันกำลังจะเช็ดตัวให้เธออยู่” ธิดาภาตอบ
“ไม่ต้องทำให้ฉันขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ใช่พวกผู้ดี อีกอย่างฉันอาบน้ำเองได้ หรือว่าเธอจะอาบน้ำด้วย” มาร์คัสบอก ธิดาภาจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“งั้นไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ไปคนเดียวเหงาไม่มีเพื่อนคุยด้วย” มาร์คัสบอกแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากเตียงและบิดขี้เกียจสะบัดขนไปมาแล้วจึงเดินออกไปจากห้องทางหน้าต่าง
“เดี๋ยวซิ นั่นไม่ใช่ประตูนะ นั่นมันหน้าต่าง” ธิดาภารีบพยายามจะวิ่งไปเตือน แต่หนุ่มน้อยคนนั้นก็กระโดดไปเกาะต้นไม้และไต่ลงมา ท่าทางของหนุ่มน้อยที่เหมือนลิงน้อยนี้ทำให้เธอหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรของเธอเร็วหากชักช้าฉันจะจับเธอโยนลงไปอาบน้ำด้วยกันซะเลยนี่” มาร์คัสตะโกนบอกและไม่พอใจที่เธอหัวเราะใส่ที่ว่าเขาเหมือนลิง
“ค่า ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แล้วละค่ะ” เธอส่งยิ้มหวานๆให้ก่อนที่จะรีบวิ่งออกมาจากโบถส์ ด้วยรอยยิ้มนั้น เมื่อเธอออกมาก็เห็นมาร์คัสยืนอึ้งนิ่งมองค้างไปที่หน้าต่าง
“นี่ หลับในหรืออย่างไร เร็วอุตส่ามาเป็นเพื่อนแล้วนะ” เธอพูดใกล้ๆหูของหนุ่มน้อยจนเขาได้สติกลับมา แล้วเขาก็เดินเล่นไปในเมือง

         ระหว่างทางนั้นเขาและเธอต่างเดินดูชีวิตของชาวเมืองในเมืองนี้ ผู้คนต่างใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ชาวบ้านบางคนก็ไปตามโบสถ์ต่างๆเพื่อไปพักทำจิตใจให้สงบอยู่กับเทพ เทวดาที่ผู้คนเหล่านั้นนับถือกันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จนเจ้าลิงน้อยจอมตัวนี้เดินมาถึงวิหารฟอนติน่า
“เอาล่ะ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้สัก 10 นาที” มาร์คัสบอกแล้วธิดาภาก็เดินไปนั่งรอที่ม้านั่งใกล้ๆกับลานน้ำพุขนาดใหญ่ซึ่งตรงกลางมีเทวรูปฟอนติน่าและรูปปั้นเหล่าเทพอารักขาของฟอนติน่าทั้ง 4 ยืนล้อมเทวรูปไว้ ตูม

เสียงเหมือนมีบางอย่างตกลงไปในน้ำ ชาวเมืองแถวนั้นจึงตกใจแล้วก็มีพวกทหารที่เฝ้าในวิหารวิ่งออกมาดูกันเห็นเจ้าลิงน้อยว่ายน้ำเล่นอยู่ในน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของเทพฟอนติน่า ทำให้อัศวินผู้เฝ้าวิหารนี้โกรธ
“เจ้าบังอาจมากที่กล้าลงไปว่ายเล่นในน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เจ้ารู้มั้ย ว่าเจ้าทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการดูหมิ่นเทพฟอนติน่าขนาดไหน” อัศวินผู้นั้นพูดด้วยอารมฉุนเฉียวมาก แต่เจ้าลิงน้อยมาร์คัสก็ยังว่ายเล่นอย่างสบาย เมื่อธิดาภาเริ่มเห็นชาวบ้านไปมุงดูกันที่น้ำพุ เธอจึงลุกเดินไปดูเหตุการณ์ และในเมื่อเห็นมาร์คัสว่ายน้ำเล่นในน้ำพุ เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปลากมาร์คัสขึ้นมาจากน้ำพุนั้น
“นี่เจ้าบ้านี่มากับเธอเหรอ” อัศวินผู้นั้นถาม
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ คือเขายังเด็กและซน อาจจะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ยกโทษให้เขาด้วยนะคะ” ธิดาภาคุกเข่าขอร้อง
“ทำไมต้องขอโทษมันด้วย เทพฟอนติน่าเหรอ อือ... เอ่อ... เหมือนกับว่าข้าจะจำชื่อนี้ได้” มาร์คัสยืนครุ่นคิดอยู่
“เทพฟอนติน่า คือเทพแห่งอารักขาของสวรรค์” อัศวินผู้นั้นบอก
“เออใช่ จำได้แล้วฟอนติน่า ข้าเคยเห็นเธออาบน้ำในอยู่สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ของป๋าโพไซดอน แถมหุ่นดีซะด้วย แต่จำไม่ได้ว่าสระน้ำนั้นมันอยู่ที่ไหน” มาร์คัสบอกทำให้อัศวินผู้นั้นโกรธยิ่งขึ้น
“เจ้าจะบังอาจดูหมิ่นเทพฟอนติน่ามากเกินไปจนข้าจะยกโทษให้แล้ว” อัศวินผู้นั้นจึงชักดาบออกมาแล้ววิ่งเข้ามาฟัน แต่มาร์คัสหวั่นตัวทันและถอยหลบปลายดาบเพียง 1 นิ้ว
“หมัดลิงน้อย เจี๊ยกๆๆๆๆๆๆ” มาร์คัสใช้หมัดพลังลิงน้อยอัดใส่ที่ท้องของอัศวินรัว 100 หมัดจนกระเด็นออกไป เมื่ออัศวินผู้นั้นตั้งหลักได้ เสื้อเกราะของเขาก็เกิดรอยร้าวเป็นจำนวนมากจนเห็นได้ชัด
“เจ้าลิงบ้า ฉันจะฆ่าแก” อัศวินผู้นั้นไม่ลดละความพยายาม
“หยุดก่อน” เสียงชายคนหนึ่งห้ามไว้ อัศวินผู้นั้นจึงหยุดทันที
“ป๊อบ ท่านอย่าวู้วามซิ นี่เมืองแห่งความสงบสุข จะมาสู้กันทำไม” เสียงนั้นมาจากชายที่ยืนอยู่หน้าประตูวิหารฟอนติน่า แล้วเขาก็เดินลงมา
“เราต้องขอโทษด้วยที่อัศวินของเราผู้เฝ้าวิหารผู้นี้ ทำการไม่สมควรลงไป” ชายคนนั้นกล่าวคำขอโทษ
“ไม่เป็นค่ะที่จริงควรเป็นดิฉันมากกว่านะคะที่ต้องขอโทษที่เด็กคนนี้ที่มากับดิฉันลงไปเล่นในน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นี้” ธิดาภาบอก
“ถ้าไม่รังเกียจเข้ามาด้านในวิหารก่อนก็ได้นะครับ อ๊อพูดมาตั้งนานเรานี่เสียมารยาทจริง ผมชื่อจีเนียส เป็นบาทหลวงประจำวิหารนี้ และผมมีงานอดิเรกที่สนใจเกี่ยวกับตำนานโบราณด้วย” จีเนียสบอกแล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปในวิหารส่วนชาวบ้านต่างก็แยกย้ายกันไปตามปกติ เหลือเพียงป๊อปที่มองดูมาร์คัสด้วยสายตาไม่พอจแล้วเดินจากไป มาร์คัสเองก็สะบัดน้ำจนขนพองไปทั่วแล้ววิ่งตามธิดาภาและจีเนียสเข้าไปในวิหารฟอนติน่า

“ในวิหารฟอนติน่านี้ เราจะเก็บเรื่องราวของท่านไว้ และรูปปั้น ภาพผนังต่างๆ รวมทั้งมีโบถส์อยู่ด้านในสุดเพื่อให้ชาวบ้านที่นับถือได้มาศัการะบูชากัน ผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องราวในอดีตอะไรมากนัก แต่เมื่อผมได้ยินเด็กหนุ่มคนนั้นพูดถึงว่าเห็นเทพฟอนติน่าในสระน้ำของโพไซดอน ซึ่งในตำนานนั้นสระน้ำนั้นเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงในตำนานและเป็นที่เทพฟอนติน่าใช้ชำระร่างกาย ผมสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนั้นทำไมถึงรู้ได้ขนาดนั้น และผมคิดว่าเขาต้องรู้อะไรมากกว่านี้ด้วย” จีเนียสบอก
“ก็เลยจะถามมาร์คัสใช่มั้ยคะ” ธิดาภาถาม
“ครับแน่นอน” จีเนียสตอบ
“แต่มันก็มีเรื่องที่ขัดๆคือ มาร์คัสเขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างซนและไม่ยอมใคร ถ้าคุณเขาอาจจะไม่ตอบหรือบอกอะไรเนี่ย” ธิดาภาบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะลองหาวิธีดู แต่ว่าเด็กหนุ่มนั้นที่หน้าอก ผมพอจะรู้เรื่องถึงรอยสักนั้น” จีเนียสบอก
“จริงเหรอคะ งั้นช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย” ธิดาภาถาม
“ครับ คือเดิมที่รอยสักนั้นในตำนานในอดีตนั้น มันไม่ใช่รอยสักอะไรมากมายหรอกครับ แต่มันเป็นภาษาโบราณที่สักไว้บนร่าง ซึ่งถ้าผมได้อ่านภาษาโบราณบนตัวของเด็กหนุ่มนั้นชัดๆผมอาจจะแปลออกว่ามันหมายถึงอะไร อีกอย่างคนที่จะรู้จักภาษาโบราณเหล่านี้ได้ ในปัจจุบันหาแทบจะไม่มี ผมเองก็ยังสงสัยอีกว่าใครกันที่เป็นคนสักรอยสักนั้นให้เด็กหนุ่มนั่น เพราะในตำนานสมัยก่อนนั้นภาษาโบราณนี้ใช้เฉพาะบนสวรรค์เท่านั้นที่ใช้กันในการทำพิธีต่างๆ” จีเนียสเล่าให้ฟังแล้วมาร์คัสวิ่งตามเข้ามาถึงพอดี แล้วเจ้าลิงน้อยก็พลั้งมือไปโดนแจกันเก่าตกแตก

“โทษที” มาร์คัสบอก แต่ก็ทำให้ธิดาภาไม่พอใจกับการกระทำของเขา
“ไม่เป็นไรครับ เทพฟอนติน่า ท่านไม่ใช่เทพที่โกรธอะไรง่ายๆด้วยเหตุที่ไม่สมควรหรอก” จีเนียสบอก
“ใช่ฟอนติน่าไม่ใช่คนโกรธง่าย ขนาดเมื่อก่อนฉันเคยจับก้นของเธอ เธอยังไม่โกรธเลย” มาร์คัสพูดทำจีเนียสตะลึง
“เหมือนในตำนานไม่มีผิด” จีเนียสพูด
“ตำนานเหรอ” ธิดาภาถามด้วยความสงสัย
“ตามตำนานของเทพฟอนติน่า ท่านเคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถูกเทพสวรรค์ที่มีบรรดาศักดิ์สูงมากจนเหล่าเทพอื่นหลายองค์ต่างเกรงกลัว  และเทพองค์เคยจับก้นเทพฟอนติน่า จนทำให้เทพฟอนติน่านั้นเขินอายที่แทนที่จะโกรธ นับแต่นั้นมาทำให้เทพฟอนติน่าเริ่มมีความอ่อนโยนขึ้นจนเทพฟอนติน่านนั้นเป็นคนที่ไร้ซึ่งความโกรธแค้นใคร เด็กหนุ่มนั้นรู้ได้อย่างไรกัน ขนาดเราว่าเรื่องที่เกี่ยวกับเทพฟอนติน่า เรารู้ดีไปหมดทุกอย่างจนในรัศมี 10 ไมล์จากเมืองนี้ไปไม่มีใครรู้ดีเท่าแล้ว” จีเนียสบอก
“ในนี้ก็กว้างใหญ่ดีนะ” มาร์คัสมองดูไปรอบๆ แล้วจีเนียสก็หันมาสนใจกับรอยสักที่หน้าอกของมาร์คัสแทน เขาขัยบแว่นและเพ่งมองดูอย่างใจจดใจจ่อจนเหงื่อของเขาแตกท่วม
“ทำไมภาษาโบราณนี้ทำไมเราแปลไม่ออก” จีเนียสตะโกนลั่น
“อ๋อ รอยสักนี่เหรอ มันเขียนไว้ว่า เยติการัส ทอซูส เอริตาคัส ที่แปลว่า บทลงโทษอันเป็นนิรันดร์” เมื่อมาร์คัสพูดเสร็จ จีเนียสก็อึ้งทึ่งตะลึงทันทีกับความแปลกกับเกินเด็กน้อยเป็นอย่างมาก แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถแปลภาษาโบราณมันออกได้
“เจ้าหนูนี่เป็นใครกัน ทำไมถึงรู้ได้ขนาดนี้ ภาษาโบราณที่ไม่มีมีการสอนใดๆ นอกจากศึกษาจากหนังสือโบราณที่ต้องแกะออกมาทีละตัว” จีเนียสเริ่มหวาดกลัว
“นี่ธิดาภา ข้าเป็นใครกันเหรอ จริงซิเธอชอบเรียกฉันว่า มาร์คัส นี่” มาร์คัสบอก ทำให้จีเนียสอึ้งหนักกว่าเก่าเพราะชื่อนี้เป็นชื่อของเทพเจ้าองค์หนึ่งบนสวรรค์
“อยากตกใจไปนะคะ พอดีเด็กคนนี้เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้ หนูก็เลยตั้งชื่อให้เขาไปแบบนั้น” ธิดาภาบอก
“พระเจ้าช่วย” จีเนียสตะลึงค้าง แล้วธิดาภาก็รีบดึงมาร์คัสหนีออกจากวิหารนั่นกลับไปยังโบสถ์

“กลับมากันแล้วเหรอ” หลวงพ่อจาค๊อบทัก
“ค่ะ” ธิดาภาบอก
“หนีไปจู๋จี๋ที่ไหนกันมาจ๊ะ” มาย่าถาม
“ปล่าวซะหน่อยนะ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น” ธิดาภาหนักใจกับการที่ถูกเพื่อนๆแซว
“เอาเถอะ อย่ายึดติดกับคำพูดเหล่านี้ซิ เธอก็รู้ว่าถ้าไม่จริงกับเธอแล้ว เธอจะร้อนตัวไปทำไม” อรนิชาบอก แล้วธิดาภาก็เริ่มสงบสติลง แล้วเธอก็ไม่เห็นมาร์คัส แต่เห็นลางๆว่าเขาเดินไปยังห้องใหญ่ที่เป็นลานบูชาสัการะเทพที่ถูกลงโทษ
“เดี๋ยวซิ มาร์คัส เธอจะไปซนที่ไหนอีก เดี๋ยวข้าวของก็แตกพังหมด” เธอเดินตามไปจนเมื่อเธอผ่านเขาประตูมาอารมย์ที่ร่าเริงสดใจของเธอเปลี่ยนอารมย์ที่เริ่มหวาดกลัวเมื่อเห็นชายในฝันอยู่ที่กลางห้องและมองมาที่เธอ
“ได้โปรดอย่าทิ้งข้า...” ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันในกลางดึก เหงื่อที่เปียกท่วมบนร่างเธอนั้น เธอจึงลุกขึ้นเดินออกไปล้างหน้า
“มันเป็นแค่ความฝัน แต่ทำไมมันช่างเหมือนความจริงขนาดนี้ แล้วทำไมทุกครั้งที่เจอเขา ทำไมเราถึงได้มีความรู้สึกกลัวขนาดนี้” เมื่อเธอล้างหน้าเช็ดเหงื่อออกเสร็จ เธอก็กลับไปนอนพักผ่อนต่อบนเตียงอันนุ่มที่แสนจะอบอุ่นเหมือนมีใครจัดเตรียมไว้ให้สำหรับเธอ

-----------------------------------------จบตอนที่ 26--------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on October 04, 2005, 05:36:24 AM
ทำไมเหมือนไม่ค่อยมีใครออกความคิดเห็นหรือโพสบ้างเลย อยากให้มีคนสนใจแบบเรื่อง Summoner ที่พี่จิงแต่งบ้างจัง (ถ้าเป็นแบบนี้นานๆไม่ไหวนา งอนจริงด้วย  ???)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน ค่ำคืนอันเหน็บหนาว

ในบ่ายวันนั้นธิดาภากับเพื่อนๆช่วยกันเก็บกวาดบริเวณรอบโบสถ์เพื่อเป็นการตอบแทนที่หลวงพ่อจาค๊อบให้ใช้สถานที่นี้พักผ่อน จนใกล้ค่ำพวกเธอก็ทำเสร็จพอดี หลวงพ่อจาค๊อบก็เลยขอบใจและชวนมารับประทานอาหารด้วยกัน

“วันนี้เหนื่อยจังเล๊ย” มาย่าเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทันที
“เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว อ่ะซุบร้อนๆ” ธิดาภายกถ้วยซุบมาเซิร์ฟให้ทีละคน
“แปลกจัง ทำไมวันนี้มันหนาวผิดปกติ” อรนิชาพูดขึ้นทำให้ทุกคนก็สงสัยเช่นกัน
“เป็นปกติของที่นี่แหละ แต่การที่มันจะหนาวได้ขนาดนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีภัยที่ใกล้จะมาถึงเมือง และคืนนี้หลวงพ่อต้องไปที่ลานพิธีนะ อาจจะกลับดึก” หลวงพ่อจาค๊อบบอก
“ไปทำไมเหรอหลวงพ่อ” อรนิชาถาม
“เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ เหล่านักบุญที่มีจิตแรงกล้าอย่างหลวงพ่อและคนอื่นต่างจะไปรวบรวมสื่อจิตส่งไปเตือนบอกถึงเทพ เทวดาบนสวรรค์ให้มาปกป้องคุ้มครองเมืองนี้ไว้” หลวงพ่อบอก
“แล้วเจ้าลิงนั่นละ” พิชามนญ์ถาม
“อย่าเรียกว่าลิงซิ” ธิดาภาไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ง่วง ทำไมวันนี้มันง่วงอย่างนี้ แล้วนี่มีไรกินบ้างเนี่ย” มาณืคัสเดินบิดขี้เกียจเข้ามาในห้อง
“ไปแอบหลับที่ไหนมาละ เจ้ากล๊วก” มาย่าถาม
“นั่นมันเรื่องของฉัน” มาร์คัสขึ้นเสียงขู่ใส่ แต่มาย่าก็ไร้อาการที่จะเกรงกลัว
“เหรอ งั้นก็ได้” มาย่าบอก ทำให้มาร์คัสสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่กลัวเขาเหมือนที่ธิดาภากลัวเขา
“นี่เจ้าหนู คืนนี้หลวงพ่อกลับดึกนะ นอนคนเดียวก็แล้วกัน” หลวงพ่อจาค๊อบรีบกินจนเสร็จและเดินเข้ามาลูบหัวมาร์คัสเบาๆ
“หลวงพ่อจะไปไหน” มาร์คัสถามด้วยเสียงอ่อนๆ
“หลวงพ่อจะไป...” หลวงพ่อยังพูดไม่ทันเสร็จมาร์คัสยื่นมือมาปิดปากหลวงพ่อไว้
“ไม่ต้อง หลวงพ่อจะไปไหน หนูขอไปด้วย” มาร์คัสทำตาใสแป๋วบ๋องแบ๊วใส่และแสดงอาการออดอ้อน
“ทำอ้อนเป็นลูกลิงเลยนะเจ้านี่ ดูซิ” มาย่าบอก แล้วมาร์คัสก็กอดขาหลวงพ่อไว้แน่น
“ก็ได้ งั้นเราไปด้วยกันแต่อย่าซนละ” หลวงพ่อบอกเสร็จก็เดินออกไป
“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อ ในโบสถ์นี้ก็ผุพัง มันคงไม่ช่วยให้ความอบอุ่นหรือคลายหนาวได้เลย” พิชามนญ์บอก
“พวกเรามานอนด้วยกันก็ได้แล้วเอาผ้าห่มมาสุมๆให้ดุหนาๆ นอนด้วยกันมันคงจะอบอุ่นขึ้นเยอะ” ธิดาภาบอก
“ก็ได้งั้นคืนนี้นอนที่ห้องเธอแล้วกัน ฉันเห็นว่าเตียงห้องเธอใหญ่ดี” อรนิชาบอกแล้วพวกเธอก็นั่งกินน้ำซุบร้อนๆคลายหนาวไปพลางๆ

ที่นอกเมืองห่างออกไปราวๆ 10 กิโลเมตร มีฝูงหมาป่าจำนวนมากหอนโหยหวนไปทั่วและภายใต้หิมะที่ตกหนักนั้นมีฟินรอส สัตว์อสูรเจ้าแห่งหมาป่าทั้งปวง หมาป่าน้ำแข็งยักษ์ตัวนี้ค่อยเดิมที่ละย่างก้าวตรงมาเรื่อยโดยมีบริวาณจำนวนมากวิ่งอยู่รอบๆและใต้ท้องของมัน

 เมื่อหลวงพ่อและมาร์คัสมาถึงลานพิธีกรรม เหล่านักบุญจำนวนมากรวมไปทั้งบาทหลวงจีเนียสก็มาร่วมด้วย
“ในสภาวะเช่นนี้ หากเราจะเรียกทั้งหมดที่มีจากวิหารทั้งหมดในเมืองก็คงจะไม่ได้ เราจำเป็นต้องมาปรึกษาโดยด่วนที่จะเรียกเทพเพียงองค์เดียวมาปกป้องเมืองเราไว้จากความชั่วร้ายของด้านมืด” หัวหน้าคณะนักบวชกล่าวที่หน้ากองไฟ
“เทพเยเลสเป็นไง ท่านเป็นเทพที่เรื่องลือในด้านการปกป้องรักษา” บาทหลวงที่ประจำวิหารเยเลสเสนอ
“แต่ว่า หากเรามัวแต่ป้องกันไว้ ไม่นานนักเทพเยเลสก็คงต้องสูญสลายด้านพลังจนต้องกลับสวรรค์ก็เป็นได้” หัวหน้าคณะนักบวชบอก แล้วเหล่านักบวชก็ปรึกษาหาลืมกันเบาๆ
“ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาแล้ว และตอนนี้เราคงต้องให้ท่าน หลวงพ่อจาค๊อบเสนอเถอะ เพราะท่านเป็นผู้ที่อาวุโสสุด” หัวหน้าคณะนักบวชถาม
“เอ่อ... คือ...” หลวงพ่อจาค๊อบก็อ้ำอึ่ง
“ข้านี่ไง จะปกป้องพวกเข้าไว้เอง” มาร์คัสกล่าวแทรกเข้ามา
“นี่อย่าพูดอะไรผิดแปลกออกไปซิ เจ้ายังเด็กมันจะยิ่งทำให้เสียสมาธิและเวลาเปล่า” หลวงพ่อจาค๊อบตะหวาดเบาๆ
“ก็ได้ แต่ถ้าท่านต้องการเทพที่จะช่วยท่านได้ ข้าก็ขอออกความคิดเห็นสักนิดแล้วกัน ข้าอยากให้หลวงพ่อช่วยเรียกอลิเซียที่เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของเทพเจ้าโอดิน หรือเรียกเธอง่ายๆว่า วอลคิลี่” มาร์คัสกระซิบบอก หลวงพ่อที่ในสมองคิดอะไรไม่ออกก็เลยจับเอาคำพูดของลิงน้อยนี้เสนอทันที
“งั้นหลวงพ่อเสนอให้อัญเชิญเทพอลิเซีย” เมื่อหลวงพ่อพูดออกไปทุกคนก็หยุดทุกสิ้นเสียง
“แต่หลวงพ่อ ในเมืองเราก็ไม่มีวิหารของเทพอลิเซีย พวกเราเองก็ไม่สามารถรู้ถึงคาถาที่ใช้สื่อจิตเรียกได้” จีเนียสบอก
“ไม่เป็นไร ฉันจะนำบทเอง พวกเจ้าแค่ตั้งจิตและสวดตามให้ทันแล้วกัน” มาร์คัสยืนยิ้มเล็กๆ
“อ๊ะ เจ้าหนูนั่น” จีเนียสตกใจทันทีที่เห็นมาร์คัส แล้วมาร์คัสก็เดินมาที่หน้ากองไฟ
“ความหวังอยู่ที่เธอนะ เจ้าหนู” หัวหน้านักบวชบอก

แล้วมาร์คัสก็กระโดดขึ้นไปยืนบนแท่นพิธีกรรม
“วิธีที่จะเรียกเธอได้นั้น มันไม่จำเป็นต้องใช้บทสวดแต่ขอให้พวกท่านทำตามที่ข้าบอก เพราะว่าอลิเซียที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงผู้พิทักษ์ของเทพเจ้าโอดินเท่านั้นไม่ใช่เทพอยู่บนสรวงสวรรค์ ซึ่งเธอนั้นอยู่ในมิติที่ 3 ซึ่งก็เหมือนกับว่าเป้นคนธรรมดาแค่ได้รับพรวิเศษจากเทพเจ้าโอดินให้พวกเธอนั้นได้มีครึ่งหนึ่งเป็นเสมือนเทพ ข้าจะนำบทเรียกเธอแล้วกัน” มาร์คัสกล่าวบอกทำให้เหล่าบรรดานักบวชก็ยังงงอยู่เล็กๆ
“ขั้นแรกพวกท่านจงตั้งจิตสมาธิให้แน่วแน่จนเกิดพลัง ขั้นที่สองจงเปลี่ยนพลังนั้นให้กลายเป็นจิตที่จะใช้สื่อ ขั้นที่สามตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้วเนี่ย” มาร์คัสถาม
“เจ้าหนูนี่มีเล่นมุข ตอนนี้ก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้วทำไมเหรอ” จีเนียสบอก
“อ่ะได้จังหวะ แต่อาจจะหนักใจสำหรับพวกท่าน ในตอนนี้เป็นเวลาที่เหล่าบรรดาเทพธิดา สาวงามบนสวรรค์ทั้งหลายกำลังเล่นน้ำอยู่ในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ป๋าโพไซดอนประทานให้ รวมทั้งอลิเซียด้วย สิ่งที่ข้าจะบอกก็คืออยากจะให้พวกท่านใช้จิตนั้นส่งมาที่ข้าเพื่อให้ข้าได้ไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าทำไม่ได้ เมืองของพวกเจ้าก็จะสลาย” มาร์คัสบอกทำให้เหล่าบรรดานักบวชตกใจกันรวมทั้งหลวงพ่อด้วย
“เจ้าหนู พวกเราเป็นนักบุญจะมามัวคิดถึงเรื่องหญิงได้ไง” นักบุญคนหนึ่งถาม
“งั้นก็ตามใจ ข้าก็อยากจะช่วยแต่ช่วยไม่ได้” เมื่อเขาพูดเสร็จก็ยืนหลับตานิ่งจนเกิดมีแสงพลังจิตที่เปร่งออกมาได้เร็วมากจนเหล่านักบุญยังต้องตกใจ เพราะการที่จะรวบรวมสมาธิจนเกิดพลังจิตได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 นาที
“จะเอายังไงหลวงพ่อ” หัวหน้านักบวชถาม
“ก็คงต้องทำตามละ เพื่อเมืองและวิหารของเทพทั้งหลายอยู่ที่คู่บ้านคู่เมือง” หลวงพ่อจาค๊อบบอกแล้วก็เริ่มทำตามวิธีที่มาร์คัสบอก

เมื่อเหล่านักบุญทำตามจนเกิดพลังจิตเปร่งออกมาได้ก็มีอยู่หลายคนที่ทำหน้าบึ้งกับภาพที่ตนเห็นด้วยความกลัวบาป บางคนก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นจึงหลุดจากจิตออกมา แต่มาร์คัสนั้นกลับยืนนิ่งยิ้มระรื่น ทั้งที่ๆตัวเขานั้นยืนอยู่บนแท่นพิธีกรรมที่สูงขึ้นไปและมีหิมะตกค่อนข้างหนัก รวมทั้งเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอันใดนอกจากขนที่หนาของเขาปกคลุมเพียงแค่เอวลงมาถึงขาและผมที่ยาวเท่านั้น

ที่สระน้ำโพไซดอน จิตของมาร์คัสนั้นแรงกล้าจนเหมือนว่าเขาได้อยู่ที่นั่นเขาสามารถเคลื่อนไปไหนมาไหนได้ และก็มีนักบุญคนอื่นส่งจิตเข้ามาได้ แต่พวกเขาก็รีบเดินออกห่างไปจากสระน้ำนั่น หลวงพ่อจาค๊อบที่สร้างจิตของตนได้ก็ส่ายตามองหามาร์คัสทันที แต่ก็ไม่พบเขาแล้ว ที่สระน้ำโพไซดอนในตอนนี้มีเพียงเหล่าวอลคีลี่ผู้พิทักษ์เทพเจ้าโอดินต่างมาลงเล่นน้ำกันสนุกสนาน มาร์คัสที่ยืนอยู่ไกลออกไปจากสระน้ำนั้น สื่อจิตเข้ามายังอลิเซีย
“ข้ารู้ว่าท่านรู้ว่าข้าเป็นใคร ได้โปรดข้าอยู่หลังแท่นหินนี่” มาร์คัสสื่อจิต อลิเซียที่กำลังเล่นน้ำกับเพื่อนๆนั้นขึ้นมาจากสระน้ำและเดินตรงมาที่แท่นหินที่ได้ยินเสียงของมาร์คัส
“ท่านเองก็ช่วยตนเองได้นี่ ทำไมต้องขอความช่วยเหลือจากข้า ถึงข้าจะเป็นเพื่อนของท่านก็เถอะ แต่ถ้าช่วยท่านแล้ว ข้าจะโดนบทลงโทษอย่างท่านก็เป็นได้” อลิเซียบอก
“ในตอนนี้ข้าเองถูกสะกดพลังเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถใช้พลังเหล่านั้นได้ แม้แต่ตอนนี้ข้าเองยังไม่อยากให้เจ้าเห็นข้าเลยด้วยซ้ำ” มาร์คัสบอก แล้วอลิเซียก็ยังไม่เชื่อกับคำพูดนั้นจึงเดินเข้ามายังอีกฝั่งของแท่นหิน เธอเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่มีขนปกคลุมราวกับลิง
“นั่นคือท่านเหรอ” อลิเซียถาม แล้วมาร์คัสก็เลือดกำเดาไหล อลิเซียเห็นก็เลยตกใจและลืมตัวไปว่าตนเองนั้นยังไม่ได้ห่มผ้าคลุมกายใดๆ เธอจึงรีบกลับไปอีกฟากของแท่นหิน
“เชื่อข้ารึยัง” มาร์คัสถาม
“ข้าจะยอมช่วยท่าน แต่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของท่าน ข้าเห็นแล้วว่าตอนนี้ที่เมืองที่ร่างของท่านอยู่นั้นกำลังจะถูกฟินรอสโจมตี แต่ที่เมืองนั้นเทพฟอนติน่าก็ปกป้องคุ้มครองได้มิใช่หรือ” อลิเซียถาม
“ใช่แล้ว แต่ข้าเองไม่สามารถสื่อจิตถึงนางได้ฟ” มาร์คัสบอกแล้วจิตของเหล่านักบุญที่ส่งให้เขานั้นเริ่มดับลง ร่างกายของเขาเริ่มสลายหายไปทีละนิด

แล้วร่างของมาร์คัสก็ล้มตกลงมาจากแท่นพิธีกรรม หลวงพ่อจาค๊อบจึงรีบวิ่งเข้าไปรับร่างไว้ก่อนจะกระแทกกับพื้น แต่ไม่ทันการ ระยะของหลวงพ่อนั้นกับร่างของมาร์คัสไกลเกินและร่างกายที่เป็นตามกาลเวลา แต่แล้วก็มีแสงสว่างจ้าเปร่งออกมาปรากฏเป็นสาวผมแดงในชุดนักรบที่บนหมวกมีปีกเทพอัญเป็นสัญลักษณ์ของวอลคิลี่ อลิเซียรับร่างของมาร์คัสไว้ในสภาพที่ให้เขานั้นนอนศบตักของเธอ นักบุญเหล่านั้นแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเอง แล้วพวกเขาก็ทำการเคารพด้วยการก้มหัว
“ข้าจะทำเพื่อท่าน” เสียงอันแว่วหวานดั่งนกร้องเพลงนั้นทำให้หิมะที่ตกหนักกลับหยุดนิ่งเหมือนภาพที่อย่างหยุดเคลื่อนไหว เพียงเสียงของเธอก็ทำให้สภาวะทุกอย่างหยุดทันทีมีเพียงแต่เธอและเหล่านักบุญในบริเวณลานพิธีกรรมที่เคลื่อนไหวได้
“เจ้าเด็กนั่น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เราต้องหาความจริงให้ได้” จีเนียสนึกในใจ แล้วอลิเซียก็วางศีรษะของมาร์คัสลงกับพื้นเบาๆแล้วเธอก็ลุกขึ้นชักดาบ(Holy Sword)ออกมา เธอค่อยๆก้าวเดินออกไปจากลานพิธีกรรมเรื่อยๆมุ่งหน้าตรงไปยังหน้าเมือง

แล้วทันใดนั้นเหล่าหมาป่าก็บุกมาถึง ฟินรอสตั้งท่ากลางขาออกชูหางขึ้นฟ้า แล้วยิงลำแสงแช่แข็งใส่เมืองผ่านหิมะจำนวนมากที่หยุดนิ่ง อลิเซียใช้ดาบของเธอต้านพลังลำแสงแช่แข็งนี้ไว้ จนเธอปัดลำแสงนี้ไปทางภูเขาได้ แล้วเธอจึงร่ายเวทย์เรียกคันธนูสีขาวออกมาและมีศรที่สร้างมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ 3 ดอกยิงออกไปพร้อมๆกัน ฟินรอสจึงคำรามดังลั่น เมื่อศรทั้ง 3 ดอกโจมตีเข้าฟินรอสแล้วทำให้เกิดแรงระเบิดแสงสีขาวขนาดใหญ่ เมื่อแสงนั้นดับลงพวกมหาป่าลูกสมุนของฟินรอสต่างแข็งเป็นหินหมดเหลือเพียงมันตัวเดียว มันจึงวิ่งเข้ามาทันทีจนเข้าใกล้มันก็กระโจนขึ้นฟ้า อลิเซียก็ตั้งท่ากระโดดพุ่งขึ้นเล็งฟันที่ท้องของฟินรอส แต่แล้วชายชุดดำที่ปรากฎออกมาอย่างไร้ร่องลอยจากฟากฟ้าเขาใช้ดาบฟันคอของฟินรอสจนขาดและหวังสังหารอลิเซียไปในเวลาเดียวกัน แต่เธอก็หลบคมดาบได้แต่ดาบอันลึกลับของชายชุดดำนี้ทำให้ขาทั้ง 2 ข้างของเธอเลือดไหลออกมา แม้จะหลบได้แล้วก็ตาม เมื่อทั้งคู่ลงสู่พื้นได้อลิเซียก็เสียหลักล้มลงที่ไม่มีแรงขาที่จะลุกขึ้นยืนได้ ชายชุดดำเดินตรงมาที่เธอ เธอจึงใช้ดาบฟันป้องกันตัวแต่ชายชุดดำก็ปัดดาบของเธอออกไปจนดาบนั้นกระเด็นไปไกลห่าง ชายชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี้มองดูเธออย่างเวทนา เธอเองก็รู้ถึงความเป็นมาของชายชุดดำ เธอจึงหลับตาลง
“ลาก่อน มาร์คัส” ชายชุดดำยกดาบขนาดใหญ่ของเขาขึ้นฟ้าและปักลงมาที่ร่างของอลิเซียเลือดของเธอที่สาดกระเด็นไปทั่วบริเวณทำให้พื้นบริเวณนั้นเป็นสีเลือดไปหมด แต่เธอก็ยังไม่ขาดใจตาย ชายชุดดำจึงดึงดาบออกจากนั้นเขาก็ฟันที่คอเธอจนขาด แล้วเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่.........” มาร์คัสตะโกนลั่นไปทั่วจนตัวเขาตกลงมาจากต้นไม้
“ความฝันรึเนี่ย ไม่น่านอนกลางวันเลยเรา ทำไมชายชุดดำคนนั้นเป็นใคร เราทำไมเราถึงรู้จักกับอลิเซียได้ เราเป็นใครกันเนี่ย” มาร์คัสปวดหัวมากแล้วรอยสักของเขาก็เข้มขึ้นและแผ่กระจายไปมากขึ้น แล้วธิดาภาที่กวาดบริเวณนั้นก็ผ่านไปเห็นเธอจึงหลบมาแอบที่ข้างกำแพงดูอาการของมาร์คัสอยู่ห่างๆ
“ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้...” เสียงของชายที่เธอฝันถึงนั้นดังอยู่ข้างๆหูเหมือนว่าชายคนนั้นอยู่ข้างหลัง เมื่อเธอหันไปก็เห็นชายคนนั้นยืนอยู่ในใกล้มาก จนทำให้เธอหวาดกลัวอย่างมากตั้งแต่ได้ยินเสียง เธอจะกรีดร้องออกมา จนเธอตื่นจากความฝันแล้วพวกเพื่อนๆของเธอจึงรีบวิ่งมาดู

“ธิดาภาเธอเป็นอะไรมั้ย เห็นร้องเมื่อกี้นี้” พิชามนญ์ถาม
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะแค่ฝันไป” ธิดาภาตอบ
“อ่ะ ที่แท้ก็มาแอบอยู่นี่เอง บอกแล้วว่าอย่าอ่านตำราจนดึก แล้วก็มาง่วงหลับเอาตอนกลางวันเนี่ย” มาย่าบอก แล้วพวกเธอก็กลับไปช่วยกันเก็บกวาดลานโบสถ์ แต่ในใจของธิดาภานั้นยังคงแฝงถึงความฝันที่เธอเห็นทุกครั้งที่เธอหลับตาลง แล้วในวันนั้นทั้งวันอากาศก็แจ่มใจ ลมสงบ ไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้นกับเมืองนี้

------------------------------------------จบตอนที่ 27-----------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Moonshiny Doll on October 05, 2005, 12:26:41 AM
แต่งต่อเหอะนะหนุกดี :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'(


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: !!! Unknow !!! on October 06, 2005, 11:08:17 PM
ตอน ชายแห่งการทำลายล้าง

“เอาล่ะ ตอนนี้น้ำแข็งก็ละลายไปจนหมดแล้ว เราไปต่อกันเถอะ” ฟามบอกแล้วเขาก็กลับมานั่งที่คนขับและขับเรือดำน้ำออกไปทันที
“เรือเฮงซวยนี่ มันจะทนได้สักเท่าไหร่กัน” บุ๊คถาม
“ทนทานจนกว่า แกจะตายก็ได้มั้งบุ๊ค” ปอนตอบแล้วก็หัวเราะชอบใจ แล้วทั้งคู่ก็ถกเถียงออกแรงกันใช้กำลังกัน ส่วนอิศราและตั้มก็มานั่งอ่านหนังสือตำราเวทย์มนต์เพื่อศึกษาใช้เวทย์มนต์ต่างๆให้ได้คล่องเพราะว่าในตอนนี้อิศรายังคงต้องเปิดตำราท่องคาถาบางคาถาอยู่ แต่แพ๊คนั้นนั่งหลับแทน ส่วนพงวิชนั้นก็มานั่งข้างๆที่นั่งคนขับ
“ฟาม ทำไมฟามถึงคิดที่มาเป็นนักฆ่า” พงวิชถาม
“ประการแรกเกลียดขี้หน้าพวกทหาร ประการที่สองทำไปเพื่อให้ตัวเราเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นมีชื่อเสียง ประการสุดท้ายเพื่อเดินทางท่องเที่ยวหาเพื่อนไปทั่ว” ฟามตอบแล้วก็ปรับการขับเคลื่อนเป็นการขับแบบอัตโนมัต
“ทำไมถึงอยากรู้เรื่องเรานัก” ฟามถาม
“ปล่าวไม่มีอะไร แค่อยากรู้” พงวิชบอกแล้วก็ปรับเบาะให้เอนนอนได้แล้วเขาก็อนนพักผ่อน ฟามเห็นแล้วก็ทำบ้างแล้วก็พักผ่อนในเรือดำน้ำกัน

จากใต้ท้องมหาสมุทธอันกว้างขวาง เหินขึ้นมาสู่แผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ เรือเหาะรบของผู้การนอริสก็ผ่านพ้นจากแผ่นดินเข้าสู่มหาสมุทธออรอนแห่งนี้
“ผู้การครับอีก 2,185 กิโลเมตรถึงเมืองแรฟอสครับท่าน” ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงาน นอริสก็พยักหน้าอย่างเข้มขึมแล้วทหารนายนั้นก็แสดงความเคารพแล้วเดินออกจากห้อง
“ไม่ว่าจะสุดขอบฟ้าข้าก็จะตามล่าจับแกมาให้ได้” นอริสยืนมองดูท้องฟ้าผ่านหน้าต่างจากห้องทำงานของเขาออกไป

แล้วทันใดนั้นเรือเหาะรบนี้ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนจากนั้นก็เกิดสัญญาณเตือนภัยขึ้นทันที ผู้การนอริสจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปยังห้องบัญชาการ
“เกิดอะไรขึ้นรายงานมาซิ” ผู้การนอริสถาม
“ท่านครับ เราพบสิ่งบางอย่างที่ห่างออกไปทางซ้ายของเรือเราประมาณ 1 กิโลเมตรแล้วมันก็ยิงลูกไฟโจมตีใส่เรือเหาะเราครับท่าน หากปล่อยไว้แบบนี้ เกราะบาเรียที่คุ้มกันเรือเหาะเราจะแตกแล้วเรือเราอาจจะพังได้ครับท่าน” ทหารนายหนึ่งรายงานทันที
“งั้นเตรียมปืนใหญ่ทางกาบซ้ายเรือทั้งหมดเตรียมยิงสวนทันที” นอริสสั่งแล้วก็มีทหารนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานอย่างเร่งด่วนและแสดงอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ท...ท..ท่านครับ นั่น” ทหารนายนั้นชี้ไปทางลานดาดฟ้ากว้างหน้าเรือ เมื่อนอริสมองไปเขาก็ยังตกใจทันที แล้วเขาก็ตั้งสติได้และเปลี่ยนความกลัวทั้งหมดเป็นความกล้า เขาชักปืนออกมาแล้วก็เดินออกไปลานกว้างพร้อมกับเหล่าทหารจำนวนหนึ่ง
“วันนี้ข้าจะจับเจ้า” นอริสยกปืนขึ้นเล็งและเหนี่ยวไกทันที สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นสิ่งที่เขากลัวที่สุดนั่นคือ ชายชุดดำ กระสุนที่นอริสและเหล่าทหารยิงออกไปนั้น ชายชุดดำใช้ดาบขนาดใหญ่ของเขาเหวี่ยงสบัดไปมาปัดกระสุนได้หมด
“จับเป็นไม่ได้ก็ฆ่ามันเลย” นอริสสั่งแล้วพวกทหารที่ถือดาบก็วิ่งเข้าจู่โจมทันที ชายชุดดำบิดข้อมือเล็กๆแล้วก็ตะหวัดดาบเพียงครั้งเดียวก็เกิดคลื่นดาบโจมตีใส่พวกทหารถือดาบตายจนหมดสิ้น นอริสจึงรู้สึกโกรธยิ่งขึ้นแต่เขาก็รู้มาเสมอตลอดเวลาว่าเขาไม่มีทางที่จะสู้กับชายชุดดำได้ แล้วมังกรของชายชุดดำก็พุ่งมาจากกาบซ้ายเรือด้วยความเร็วและยิงลูกไฟใส่ถล่มเรือเหาะแต่บาเรียนั้นยังคงคุ้มกันได้ แล้วทหารต่างก็เริ่มหวาดกลัวกัน แล้วชายชุดดำก็ก้าวเท้ามาย่างช้าๆ และทุกย่างก้าวของเขาพวกทหารต่างก็ถอยตามด้วยความกลัว แม้แต่นอริสเองก็ยังถอยหนี
“พวกเราอย่าถอย จงสู้ต่อไป ตามข้ามา” นอริสเรียกขวัญและกำลังใจให้กับพวกทหารที่กำลงหวาดกลัวอยู่นั้นกลับคืนมา สีหน้าของพวกเขาเริ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง นอริสเองก็เดินหน้านำกองทหารของเขาพร้อมกับชักดาบออกมา แต่ทหารก็ยังกลัวๆกล้าๆ แต่เมื่อพวกเขาเห็นผู้นำเดินไปอย่างกล้าหาญแล้วพวกเขาก็ต้องตัดความกลัวออกและเอาความกล้าหาญแสดงออกมา พวกเขาชักดาบและเดินตามนอริสไปเผชิญหน้ากับชายชุดดำ

เมื่อนอริสเดินมาใกล้ชายชุดดำ ใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทั้งๆที่เขากลัวและรู้การทำเช่นนี้ตัวเองอาจจะตายได้ แล้วเขาและชายชุดดำก็หยุดเดิน ซึ่งระยะห่างของเขาทั้งสอง ห่างกันเพียง 6 ฟุต ซึ่งเป็นระยะที่ดาบของชายชุดดำโจมตีนอริสตายได้ในทันที
“วันนี้ข้าไม่ต้องการสูญเสียลูกน้องอีก ถ้าอยากจะจบเรื่อง ก็เชิญเข้ามาเลย” นอริสบอกแล้วก็ตั้งท่าสู้ ชายชุดดำได้ยินและมองดูนอริสแล้วเขาก็ยิ้มออกมาเล็กๆ แล้วเขาก็เปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นเสียงหัวเราะเหมือนกับว่าเขานั้นขำกับสิ่งที่นอริสทำ
“ขำ อะไรนักหนาวะ” นอริสโมโห แล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทุกอย่างของชายชุดดำก็หยุดลงแต่เขาใช้หมัดซ้ายอัดใส่นอริสด้วยความเร็วที่นอริสจะขยับดาบยังไม่ทัน จนเขากระเด็นทะลุห้องบัญชาการไปชนกับตู้ภายในห้อง
“ผู้การเป็นไรปล่าว” เสียงของเหล่าทหารพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงและวิ่งเข้ามาดู ส่วนทหารที่อยู่ข้างนอกนั้นก็ยังคงจ้องมองอยู่กับชายชุดดำด้วยความระแวงจากภาพที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่ก่อน

เมื่อนอริสลุกขึ้นยืนมาได้ด้วยสภาพที่สะบัดสะบอน พวกทหารที่อยู่ข้างนอกต่างก็วิ่งเข้าลุมโจมตีชายชุดดำทันที ชายชุดดำจึงวิ่งเข้าประจัญบานกัน ด้วยความเร็วดาบและความสามารถอันลือชื่อและความน่าสะพรึงกลัวของเขา จัดการกับทหารของนอริสตายไปกันหมดอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น

จากเหนือแผ่นฟ้ากลับลงสู่ใต้ท้องทะเล เรือดำน้ำของฟามก็ใกล้เข้าสู่จุดที่เรือเหาะของนอริสลอยลำอยู่
“ฟาม ในเรดาร์นี่มันบอกอะไร” พงวิชถามด้วยความสงสัยและเอานิ้วจิ้มเล่น
“ก็บอกว่าในรัศมี 10 กิโลเมตรรอบเรือดำน้ำนี้มีสิ่งอะไรเคลื่อนไหวบ้าง อย่างตอนนี้ข้างหน้าคงมีเรือเหาะลอยอยู่เหนือหัวพวกเรา ไกลออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร” ฟามอธิบายให้ฟัง
“แล้วทำไม ไม่ขึ้นไปสูดอากาศหายใจข้างบนบ้างละ” พงวิชถามต่อ
“เออ ใช่ ลืมดูไปเลย ตายละหวาอากาศในเรือเหลือแค่ 10 % ต้องขึ้นด่วนแล้ว” ฟามตกใจทันทีที่ตนนั้นลืมดูเครื่องวัดออกซิเจนบนเรือดำน้ำที่กำลังหมด เขาจึงรีบขับเรือดำน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ

เมื่อเรือดำน้ำนี้ขึ้นใกล้สู่ผิวน้ำ เรือดำน้ำของฟามเกิดขัดข้องขึ้น ภายในเรือเริ่มสะเทือนเป็นระยะๆ และมีเสียงเหมือนน๊อตบางตัวในเรือดำน้ำหลุดจากข้อ
“เฮ้ยๆๆๆ จะรอดเปล่าวะ” บุ๊คระแวงกับเสียงน๊อตนี้มาก
“ไม่รอดหรอก แต่ถามก่อนเลยอยากจมน้ำตายหรือโดนแรงน้ำฉีดร่างระเบิดตาย” ฟามถามแล้วก็เร่งเครื่องเร็วขึ้น แล้วเครื่องทั้งระบบของเรือดำน้ำก็ลวนจนแปรปวนทันที ฟามเริ่มรู้สึกว่าเขานั้นไม่สามารถบังคับเรือดำน้ำได้แล้ว เขาจึงลุกจากเก้าอี้คนขับ พวกพงวิชสะดุ้งตกใจทันที
“เฮ้ย ลุกทำไม ขับดิวะ เดี๋ยวก็ตายยกลำหรอก” บุ๊คตะครอกใส่ แล้วฟามก็เดินมานั่งกอดท่อเหล็กหนึ่งไว้แน่น
“เราบังคับเครื่องไม่ได้แล้ว มันไปเอง ที่เหลือรอความตาย” ฟามบอก พวกพงวิชก็ตกใจอย่างหนักแล้วกระวนกวายอยู่กันไม่เป็นสุข รีบทำโน้นทำนี่ อย่างวุ่นวายไปหมด

เมื่อเรือดำน้ำนี้พุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ เรือดำน้ำนี้ก็เหินลอยขึ้นฟ้าทันที แล้วระบบก็เปลี่ยนเรือดำน้ำนี้เป็นเครื่องบินเล็กอัตโนมัตบินพุ่งตรงไปยังเรือเหาะของนอริส แต่แล้วก็เป้นเป้าสายตาของมังกรดำของชายชุดดำ มันกลับตัวและบินสวนตรงมายังเครื่องบินของฟาม
“ตายกลางอากาศ เจริญเล๊ย” บุ๊คบอกแล้วมักงรดำก็ยิงลูกไฟโจมตีใส่ ฟามจึงรีบเปิดประตูและกระโดดออกไปทันทีแม้ว่าความสูงในตอนนี้จะเกิน 500 เมตรแล้วก็ตาม พวกพงวิชยังคงตะลึงกับการที่ฟามกระโดดไปโดยไม่คิดอะไร เมื่อพวกเขาเห็นว่าลูกไฟนั้นกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง พวกเขาก็ตัดสินใจกระโดดตามลงไป

ทันทีที่อิศรากำลังกระโดด พงวิชที่ยังคงคาอยู่ในเครื่องบินนั้นที่ยังไม่ได้ออกมา นั่นก็คือสิ่งเลวร้ายสำหรับเขาเมื่อลูกไฟนั้นโจมตีใส่เครื่องบินจนระเบิดก่อนที่พงวิชจะได้กระโดดตามออกมา พวกเพื่อนจึงหันมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นเศษซากของเครื่องกระจุยกระจายแล้วจู่ๆ เสียงโฮ่ร้องของพงวิชก็ดังนำมาก่อนตัว แล้วก็ปรากฎเซฟิดึงคอเสื้อพงวิชหนีออกมาได้ทัน
“ขอบใจมากนะ เจ้าเด็กน้อย” พงวิชขอบใจ
“งั้นปล่อยละ หนัก” เซฟิพูดเสร็จก็ปล่อยมือจากเสื้อพงวิชทันที พงวิชรีบพยายามจะคว้าจับเซฟิไว้แต่ก็ไม่ทันแล้ว

มังกรดำจึงบินตรงมายังกลุ่มพวกพงวิชที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้านี้ ฟามชักปืนคู่ออกมายิงใส่มังกรดำอย่างตั้งใจ แต่สายตาที่เขาจ้องมองดูอยู่นั้นเหมือนกับว่ามันจ้องอาฆาตในตัวเขามาก
“ออกห่างจากตัวข้าไว้” ฟามตะโกนบอกแล้วก็ผลักบุ๊ค ปอน ให้ออกห่างไป แล้วเขาก็เปลี่ยนแม๊กกระสุนปืน
“เอาล่ะนะเข้ามาเลย” ฟามเล็งปืนทั้งสองกระบอกไปที่หัวของมังกรดำ
เมื่อมังกรดำพุ่งเข้าใส่ฟาม เขาก็ใช้เท้าถีบหน้าผากของมันถอยออกมาพร้อมกับยิงโจมตีใส่มันใส่ระยะใกล้ๆเล็งเข้าไปที่ลูกตาของมัน มันก็พยายามจะกัดฟามให้ได้ แต่ฟามก็ถีบดันตัวออกห่างได้พร้อมกับโจมตีสวนกลับ ไม่นานนักมันก็พุ่งตรงใส่ฟามอย่างเร็วจนฟามถีบตัวออกไม่ทันแล้วร่างของมังกรดำก็ระเบิดขึ้นเป็นกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่กลบร่างของมันและฟามไว้ พวกพงวิชที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจและเป็นห่วงฟาม แต่พอกลุ่มควันนั้นสลายไปพวกเขาก็ไม่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างจากการระเบิดของมังกรดำนั้น
“ฟาม ขอบใจนะ” พงวิชพูดออกมาด้วยความตื้นตันใจ แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ตกลงสู่ท้องทะเลกระแทกกับผิวน้ำอย่างแรงจนพวกเขาต่างสลบไป

“ตายซะเถอะ” นอริสรีบฉวยโอกาสนี้วิ่งไปด้วยแรงที่มีอยู่ใช้ดาบฟันชายชุดดำ
“ผู้การ” เหล่าทหารพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
แล้วชายชุดดำก็ปักดาบลงและเอามือข้างหนึ่งปัดดาบของนอริสกระเด็นไปปักที่หัวเรือ แล้วชายชุดดำก็ใช้มือซ้ายจับที่ข้อมือขวาและใช้มือขวาอัดใส่ลงที่พื้นเกิดสายฟ้าขึ้นจากหมัดขวาของเขา เหล่าทหารที่เห็นพยายามจะวิ่งเข้าไปช่วยนอริสที่กำลังเสียหลัก

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” ชายชุดดำใช้หมัดขวาของเขาจับกำที่คอของนอริสและยกขึ้นด้วยมือเดียว เมื่อทหารพวกนั้นเห็นจึงรีบชักดาบวิ่งเข้ามาโจมตีสกัดชายชุดดำไว้ แต่ก็ถูกสะเก็ดไฟฟ้าโจมตีกระเด็นออกมา แล้วท้องฟ้าเหนือเรือเหาะลำนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างมืดครึ้มไปหมด มีสายฟ้าผ่าไปมา อย่างหนักน่วง นอริสมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นว่าเหนือหัวของเขาขึ้นไปเห็นเมฆหมุนวนเหมือนว่าเขานั้นอยู่ตรงใจกลางพายุ แล้วทันใดนั้นสายฟ้ามหาศาลต่างผ่าลงมาที่ตัวของเขาอย่างแรง ชายชุดดำมองดูนอริสที่โดนสายฟ้าผ่าใส่จำนวนมากโดยที่ตัวของชายชุดดำนั้นกลับไม่บาดเจ็บอะไรเลย เหล่าทหารที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาพร้อมกับนอริสต่างเศร้าเสียใจและไม่ยอมถอนใจยังคงจะวิ่งเข้าไปช่วยให้ได้ แล้วก็มีสายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงกลางเรือเหาะจนเรือนั้นแตกออกเป็น 2 ฝั่ง เมื่อสายฟ้าที่ผ่าลงที่นอริสดับลงร่างของเขาก็ไหม้เกียม ชายชุดดำก็โยนเขาทิ้งทันทีและยืนหัวเราะอย่างซะใจในอารมณ์ของเขาแล้วร่างของเขาก็กลายเป็นควันสลายหายไปพร้อมกับเมฆที่มืดครึ่มนั้นก็กลับเป็นท้องฟ้าที่แจ่มใสดั่งเดิม แต่เรือเหาะนี้ก็ทิ้งดิ่งลงสู่ท้องทะเล เหล่าทหารต่างวิ่งเข้ามากอดล้อมร่างของนอริสเอาไว้กันแน่น
“ผู้การ” ทหารบางคนต่างร้องไห้เสียใจอย่างมาก แม้เรือนี้จะจมลงสู่ก้นทะเล พวกเขาก็ขอยอมจมลงไปพร้อมกับผู้การของเขาที่พวกเขาภัคดีมาเสมอ

----------------------------------------------จบตอนที่ 28--------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 29
Post by: !!! Unknow !!! on October 07, 2005, 01:26:13 AM
ตอน ชายผู้ที่จากไปและหวนกลับมา

ในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำใส่มหานครเบรุส สัตว์ประหลาดจำนวนต่างไหลหลากเข้าทำร้ายชาวเมืองโดยที่พวกเขานั้นไม่ได้ระมัดระวังตัว
“ธิดาภาเธออยู่ไหนหนะ” มาร์คัสพยายามมองหาเธอท่ามกลางฝูงคนที่โกลาหน
“มาร์คัส ช่วยฉันด้วย” เสียงของธิดาภาที่ดังมาจากหอคอยสูง เขาจึงมองขึ้นไปก็เห็นเธออยู่บนยอดหอคอยกำลังรอเขาอยู่ และใต้หอคอยนั้นมีปีศาจจำนวนมากทั้งเข้าไปด้านในของหอคอยและทั้งไต่หอคอยด้านนอกขึ้นไป มาร์คัสเองรีบวิ่งไปทันทีด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเกิดอันตราย เขาฟันฝ่าปีศาจต่างๆนาๆเพื่อขึ้นไปช่วยเธอ แต่เมื่อเขาขึ้นมายันยอดหอคอย

“มา..มาร์.. มาร์คัส” เขาเห็นชายชุดดำใช้ดาบแทงหลังของเธอทะลุร่างต่อหน้ามาร์คัสทันทีที่เขาขึ้นมาถึง แล้วชายชุดดำก็ยืนมองดูมาร์คัสด้วยสายตาอันเปล่าเปี่ยวเหมือนไร้อารมณ์แล้วเขาก็โยนร่างของเธอลงจากหอคอย มาร์คัสรีบวิ่งกระโดดตามลงไปทันที เขากอดเธอไว้แน่น
“มาร์คัส” เธอมองดูหน้าของชายคนนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหลับตาลง มาร์คัสจึงกอดเธอไว้แน่นยิ่งขึ้น
“ไม่นะ อย่าจากฉันไป ไม่.......” มาร์คัสอุ้มร่างของเธอกระโดดมาอีกหอคอยหนึ่ง แล้วเขาก็วางร่างของเธอลงก่อนที่จะร้องไห้ควญครางอันแสนเจ็บปวดด้วยหัวใจที่แตกสลาย

“ไม่.........” มาร์คัสตะโกนเสียงดังจนหลวงพ่อจาค๊อบสะกิด
“นี่เจ้าลิงน้อย แกฝันร้ายบ่อยจัง รีบหุบปากแล้วก็นอนซะ ก่อนที่ฉันจะทิ้งบทหลวงพ่อมาเป็นเจ้านรกซะเลย” หลวงพ่อจาค๊อบบอกแล้วก็นอนต่อ มาร์คัสที่ตื่นจากความฝันเขาก็ยังงงและตะลึงกับภาพที่เห็น เขาดึงทั้งสองข้างออกมาจากผ้าห่มก็เห็นว่ามือทั้งสองข้างเปื้อนเลือด เขาจึงรีบลุกวิ่งออกจากห้องไปยังห้องนอนของธิดาภา เมื่อเข้าไปก็เห็นเธอนอนหลับสนิท เขาจึงโล่งอก แล้วเขาก็เดินเล่นในโบสถ์แห่งนี้

“ผนังเหล่านี้ลงอักขระแต่อักษรโบราณทั้งนั้นเลยเหรอ ประวัติของชายที่ถูกลงโทษ” มาร์คัสเดินดูภาพตามผนังทั้งหมดในโบสถ์ขนาดใหญ่แห่งนี้
“ชายผู้นี้ถูกลงโทษมาเป็นเวลานาน แต่ด้วยความสามารถปรีชาของชายผู้นี้เขาสามารถหนีหลุดจากห้วงมิติเวลามา แต่ด้วยพลังของชายผู้นี้ที่ถูกสลายและสะกดพลังไว้ ทำให้เขาถูกจับอีกและถูกลงโทษให้มาเกิดบนโลก พลังของเขาทั้ง 6 ถูกกระจายไปทั่วทุกสารทิศพร้อมทั้งเทพพิทักษ์ทั้ง 6 ของเขาต่างไปเฝ้าและคุ้มครองพลังเหล่านั้น หากวันใดที่เขาสามารถรวบรวมพลังทั้งหมดกลับมาได้ วันนั้นจะมีเพียงสิ่งเดียวที่จะหยุดความปรารถนาของชายผู้นี้ได้คือ หัตถ์ขวาแห่งเจ้านรก ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของชายผู้นี้เอง” มาร์คัสเดินอ่านไปเรื่อยจนเขาไปสะดุดและเคืองใจกับคำว่า
“เพื่อน เพื่อนเหรอ” มาร์คัสหยุดนิ่งยืนนึกสักพักแล้วเขาก็เงยหน้าอ่านต่อ
“นามของชายผู้นี้ถูกปิดต้องด้วยคำสาป หากผู้ใดที่เอ่ยขานนามของชายผู้นี้ ผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป ทำให้ชายผู้นี้ไม่สามารถรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อีกนับตั้งแต่ได้รับบทลงโทษอันเป็นนิรันดร์นี้” เมื่อมาร์คัสอ่านเสร็จผนังต่อไปคือภาพของชายต้องห้ามที่เขาอ่านอยู่มีรอยสักเหมือนกับรอยสักที่หน้าอกของเขา เขายื่นมือขนของเขาไปลูบจับรอยสักบนผนังนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านเขามาในสมองของเขา ด้วยความตกใจเขารีบชักมือกลับมาทันที พอตั้งสติได้เขาก็ยื่นมือไปแตะรอยสักนั้นอีกรอบ แล้วความทรงจำมากมายก็ไหลผ่านเข้ามาในสมองของเขาทั้งหมด แล้วรูปในผนังนั้นก็มีแสงเปร่งจ้ามาห่อหุ้มล้อมร่างของเขาไว้

“ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้อย่าง...” ชายในฝันของธิดาภาบอกกับเธอซ้ำๆเหมือนทุกคืน แต่เธอเริ่มรู้สึกเหมือนว่าความกลัวทั้งหมดของเธอเริ่มหายไป ภาพชายที่เขาเห็นเริ่มเลือนรางสลับกับภาพของมาร์คัส
“มาร์คัส นั่นเธอใช่มั้ย” เธอออกก้าวท้าวเดินเข้าไปหาแต่เธอก็รู้สึกเหมือนว่ายิ่งวิ่งมาร์คัสยิ่งออกห่างไปเรื่อยๆ ด้วยความเหนื่อยล้าเธอจึงทรุดลงพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาเพียง 1 หยด
“อย่าร้องไห้ซิ ฉันยังอยู่กับเธอมาตลอดเลยนะ” มาร์คัสยื่นมือมา เธอจึงเงยหน้าขึ้นและปาดน้ำตาออกก่อนที่จะจับมือของมาร์คัส แล้วเธอก็ตื่นขึ้นมาแต่เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน เธอไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใดแล้ว แล้วเธอก็นึกถึงมาร์คัสขึ้นได้เธอจึงรีบลุกจากเตียง แล้วม่านก็สะบัดไปมาเพราะลมผ่าน แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้สายแล้ว

เธอลุกไปหาหลวงพ่อจาค๊อบที่หน้ารูปปั้นชายในฝันที่กลางโบสถ์
“หลวงพ่อเห็นมาร์คัสมั้ยคะ” ธิดาภาถามอย่างกะวลกะวายใจ
“ไม่หรอก ตื่นมาก็ไม่เจอเขาแล้ว เขาคงจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกละมั้ง” หลวงพ่อจาค๊อบบอกแล้วก็หันมาหลังจากที่สักการะรูปปั้นเสร็จ แต่หลวงพ่อก็ทำหน้าแปลกๆทันที ธิดาภาจึงสงสัยแล้วเธอก็มองดูตัวเธอก็เห็นว่าเธอนั้นยังใส่ชุดนอนอยู่ เธอจึงรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนองของเธอและเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ใส่ชุดนอนวิ่งรอบโบสถ์แบบนี้ มันต้องมีอะไรแปลกแน่เลยเพื่อนคนนี้” มาย่าถาม
“ปล่าวนะ แค่ไปถามหลวงพ่อว่าเห็นมาร์คัสมั้ย” ธิดาภาตอบแล้วก็เปลี่ยนชุดทันที
“ปกติ เธอก็ไม่ใช่คนที่เหม่อลอยเท่าไหร่นี่ แถมก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ลืมตัวซะขนาดนี้ ต้องมีอะไรมาทำให้เธอเปลี่ยนไปแน่ๆ” พิชามนญ์บอก แล้วธิดาภาก็วิ่งออกจากห้องไปทันทีที่ใส่ชุดเสร็จ

“มาร์คัส มาร์คัส เธออยู่ไหน” ธิดาภาวิ่งตะโกนร้องหา อยู่ทั่วโบสถ์ เมื่อไม่เจอเธอก็วิ่งออกมาที่หลังโบสถ์ก็เห็นอรนิชากำลังซ้อมยิงธนูอยู่
“เธอจะรีบร้อนไปไหน เดี๋ยวก็วิ่งเชี่ยวลูกดอกของฉันหรอก” อรนิชาบอก
“เธอเห็นมาร์คัสมั้ย” ธิดาภาหยุดถาม
“เห็นลางไม่รู้ว่าใช่รึเปล่า เมื่อเช้าที่ตื่นมาฝึกเห็นเหมือนว่ามีเด็กวิ่งขึ้นภูเขาไปทางโน้น ทำไมเหรอ” อรนิชาตอบ
“ขอบใจนะ” ธิดาภาพูดเสร็จก็วิ่งไปตามทางที่อรนิชาบอกทันที

เธอวิ่งตามหามาร์คัสขึ้นมาบนภูเขาที่แสนจะลำบากทั้งชันทั้งสูง เธอก็ยังคงตามหาอย่างไม่ย่อท้อ แม้เธอจะหกล้ม เธอก็ยังคงลุกขึ้นก็เดินต่อไปเพื่อตามหามาร์คัสให้เจอ หลายเวลาผ่านไปเรี่ยวแรงที่อ่อนแรงและเหนื่อยล้า เธอขึ้นมาถึงยอดเขาแต่เธอก็ไม่พบมาร์คัส เธอล้มคุกเข่าลง้มหน้าร้องไห้ที่ต้องมาจากชายคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จักแต่รู้สึกถึงความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้น เสียงสะอึดสะอื้นของเธอนั้นเหมือนใจแทบจะแตกสลายที่เธอนั้นจะไม่ได้เจอหน้าชายคนนั้นอีก
“อย่าร้องไห้ซิ ฉันยังอยู่กับเธอมาตลอดเลยนะ” เสียงของชายในฝันดังขึ้น อยู่ข้างหน้า เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆ
“ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้อย่างเดียวดาย” ชายในฝันพูดเพียงประโยคเดียวที่เธอได้ยิน
“มาร์คัส นั่นใช่เธอใช่มั้ย” ธิดาภาพูดออกมาพลางสลับกับเสียงสะอึกสะอื้นจากการร้องไห้ ชายคนนั้นเพียงแค่ยิ้มให้และพยักหน้า เท่านี้เธอก็ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปกอดทันที
“ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว อย่าทำกับฉันแบบนี้อีกนะ” ธิดาภากอดมาร์คัสไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง มาร์คัสเองก็ลูบหัวเธอเบาๆ
“ฉันจะไม่ไปไหนไหลจากเธออีก ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหนฉันจะพาเธอไปและคุ้มครองเธอให้ได้ ฉันสัญญา” มาร์คัสบอก
“จริงๆนะ”
“แน่นอน หยุดร้องไห้เถอะนะ” มาร์คัสบอกแล้วเธอก็ปล่อยจากอ้อมแขนของมาร์คัสและปาดน้ำตาออก
“หน้าตาเปอะเปื้อนมอนแมมไปหมด ดูไม่น่ารักสมกับเป็นเธอเลยนะ” มาร์คัสยิ้มให้ เธอเองก็ยิ้มออกมาเล็กๆเช่นกัน
“เธอเปลี่ยนไปจริงๆด้วยซินะ” ธิดาภาบอก
“เปลี่ยนไปเหรอ ฉันก็ยังคงเป็นฉัน ไม่มีใครจะมาเหมือนฉันอีกแล้ว” มาร์คัสบอกแล้วก็เอามือตบหัวเธอเบาะๆเบาๆ
“มาร์คัส” ธิดาภามองดูใบหน้าของมาร์คัสที่ยังคงเดิมเสมอ
“เอาเถอะน่า อย่าร้องไห้ซิ ไปกันเถอะ เรากลับกัน นับจากนี้ไปฉันกับเธอจะได้ไปยังโลกกว้างด้วยกัน” มาร์คัสบอกแล้วก็ให้เธอขี่หลังแล้วเดินลงจากภูเขา ทั้งคู่ต่างพูดคุยหยอกล้อกันเล่น

เมื่อกลับลงมายังโบสถ์ ทั้งคู่ก็เห็นพวกสาวๆทั้ง 3 ยืนรออยู่
“หายขึ้นไปไม่นานกลับมาพร้อมกับหนุ่มจากที่ไหนเนี่ย” มาย่าถามเชิงแซว มาร์คัสจึงก้มตัวลงแล้วธิดาภาก้ลงจากหลังของมาร์คัส
“ก็นี่ไง มาร์คัส” ธิดาภาตอบ พวกเธอทั้ง 3 ต่างตกใจและเข้ามาดูใกล้ๆ
“เนี่ยนะเหรอเจ้าลิงน้อย” มาย่าเดินดูรอบๆตัวมาร์คัส
“สูงขึ้นจาก 150 มาเป็นประมาณ 177 ชุดหนานุ่มสีขาวแกมฟ้า ผ้าพันคอสีดีกับเสื้อ หน้าตาหล่อขึ้น เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าใช่เจ้าลิงน้อยนั่น” พิชามนญ์ถาม ธิดาภาเองก็พยักตอบใช่
“หล่อจัง” มาย่าชื่นชอบมาร์คัสขึ้นมาทันที

พวกเขาทั้งหมดต่างก็พูดคุยทำความรู้จักสนิทสนมยิ่งขึ้น ชายผู้ที่ถูกผนึกความทรงจำ เขาสามารถแก้ไขและเรียกความทรงจำกลับคืนมาทั้งหมดได้ การเกิดใหม่ของชายผู้ถูกลงโทษพึ่งเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น พวกเขาต้องเดินทางต่อไปอีก แต่ไม่ว่ายังไงความจริงใจและความเชื่อมั่นในตัวมาร์คัสนั้น ทำให้ธิดาภาไม่กลัวสิ่งใดอีกแล้ว ขอเพียงได้ร่วมเดินทางอยู่เคียงข้างกับมาร์คัสไปตลอด

------------------------------------------จบตอนที่ 29-----------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 30 เสร็จแล้วอ่านได้เลย
Post by: !!! Unknow !!! on October 08, 2005, 01:05:30 AM
ไร้อารมย์ ไร้ความมัน ไร้ความรู้สึกใดๆ ไร้ความคิดเห็น ไร้กำลังใจ ไร้ความจริงใจ เฮ้อ เหนื่อยใจจริง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน Start with me my friends.

“ผมตายแล้วจริงเหรอเนี่ย”
“ทำไมกัน”
“พวกเราทุกคน”
“ตั้ม... อิศรา... แพ๊ค... บุ๊ค... ปอน...”
“พวกนายอยู่ไหนกัน”
เสียงของพงวิชที่ดังขึ้นในความมืดมิดที่ไม่สามารถมองอะไรเห็นได้แม้แต่ตัวเอง ซึ่งตัวเขาเองนั้นก็ก็ไม่รู้เลยว่า เขานั้นลืมตาขึ้นอยู่หรือเปล่า ท่ามกลางความมืดมิดที่เขาสับสนและวุ่นวายไม่รู้ว่า ตัวเขาเองนั้นตายไปแล้วรึยัง เขาอยู่ในนรกหรือขึ้นสวรรค์ เขาไม่สามารถรู้ได้ เขานั่งเดียวดายอยู่ในความมืดที่ไร้เพื่อนมิตรของเขา แล้วจู่ๆทันใดนั้นดาบอีฟริตก็เปร่งแสงลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้าของเขา

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าใช่ว่าจะอยู่ตัวคนเดียว ถึงแม้เจ้าจะไกลห่างจากเพื่อนมิตร แต่จิตใจของพวกเจ้ายังคงสื่อถึงกันไม่เคยขาด ความเป็นเพื่อนนั้นถึงจะตัดยังไงมันก็คงจะไม่มีทางตัดขาดได้ ไม่ว่าเจ้าจะตายจากไปไม่มีวันหวนกลับ แต่เจ้าก็ยังคงอยู่กับเพื่อนของเจ้าตลอดไป” เมื่อสิ้นเสียงของอีฟริตไปดาบไฟเล่มนั้นก็ดับมืดมิดลง
“เราต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมองั้นเหรอ เราต้องหัดใช้ชีวิตอยู่คนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่เราก็ยังคงสามารถติดต่อสื่อจิตใจกับเพื่อนๆได้” พงวิชพูดเตือนใจ แล้วก็แสงสีเขียวเปร่งประกายออกมาปรากฎเป็นดาบของเซฟิลอยอยู่ตรงหน้า

“ท่านยังคงมีเพื่อน มีพวกเรา และยังใครอีกหลายๆคนที่ท่านมีอยู่ ท่านไม่อยู่อย่างเดียวดายตัวคนเดียว ท่านเคยลองคิดบ้างมั้ยว่า ตัวท่านมีประโยชน์ต่อเพื่อนบ้างมั้ย ถึงแม้มันจะไม่มาก แต่มันก็ทำให้ท่านเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ถึงท่านจะไม่มีคุณค่าแต่ท่านก็คือเพื่อนของพวกเขานะ ท่านจงสู้ต่อไปเพื่อเพื่อนๆ เพื่อทุกคน ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวท่านเท่านั้น” เสียงเล็กๆใสๆจากปักษาน้อยที่เตือนและบอกกล่าวให้พงวิชได้รู้
“ใช่ พวกเพื่อนๆไม่ได้จากเราไปไหนเลย เรายังคงจดจำพวกเราได้ทั้งหมด ทั้งวันเวลาเก่า พวกเขายังคงอยู่กับเรา ทำไมเราถึงคิดไม่ออกเสียสักทีว่าทำไม” พงวิชเอามือกุมหัวตัวเอง แล้วก็มีแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นตรงหน้าของเขา ปรากฎเป็นเงาลางสาวงามผู้หนึ่งยื่นมือมารับ พงวิชก็เงยหน้าขึ้นแล้วก็จับมือ แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินตามสาวงามผู้นั้นเข้าไปในแสงสีขาว แล้วเขาก็เข้ามาอยู่สถานที่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่สีขาว แล้วเขาก็ค่อยๆพบว่าเขานั้นยืนอยู่ในทุ่งดอกไม้ที่กว้างไกลมองไปสุดสายตา

“ที่นี่ที่ไหนกัน” พงวิชพูดออกมาด้วยความงสงสัยแล้วก็หันมองไปรอบๆ
“ที่นี่คือทุ่งดอกไม้ ตอนนี้ฉันเองคิดว่าท่านคงยังไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากหรอก” เสียงหวานๆอันสดใสของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนหันหลังชนหลังกับเขาอยู่จนเขารู้สัมผัสได้ว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น
“เธอเป็นใครกัน” พงวิชถามหญิงสาวผู้นั้น
“ฉันชื่อ แอริส เป็นน้องสาวของมาร์คัส สักวันหนึ่งท่านอาจจะต้องได้เจอกับพี่ของฉัน” แอริสตอบ
“แล้วข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน” พงวิชถาม แอริสก็หัวเราะเล็กๆด้วยความร่าเริงของเธอ
“ลองถามตัวท่านเองซิ คำตอบทุกอย่างมันอยู่กับท่านตลอด” แอริสบอก แล้วพงวิชก็รู้สึกถึงภาพบางทุกอย่างที่เขากับพวกเพื่อนตกจากเครื่องบิน
“นี่ฉัน ต..ตายไปแล้วเหรอเนี่ย” พงวิชแทบจะไม่เชื่อกับสิ่งที่เขาคิด
“ถึงแม้ท่านจะยังไม่สามารถรับมันได้ แต่ฉันก็ช่วยได้แค่นี้ ไปเถอะ โปรดไปตามหาเพื่อนๆของท่านเถอะ ท่านยังไม่ตายหรอก” เมื่อสิ้นเสียงแอริส พงวิชก็หันมาหาเธอแต่ก็ไม่เห็นเธอแล้ว
“มาเร็วเถอะ ท่านพงวิช” เซฟิเรียก
“พวกเราจะเดินทางไปกับท่านทุกที่” อีฟริตบอก พงวิชจึงหันกลับมาก็เห็น 2 คนนั้นยืนรออยู่ พงวิชก็หันมาพยักหน้าแล้วก็วิ่งไปหาอีฟริตและเซฟิทันที
“จงไปให้ถึงจุดหมายเถอะ” แอริสพูดทิ้งท้ายไว้และยืนโบกมือลา ก่อนที่พงวิชและเพื่อนตัวน้อยใหญ่ของเขาอีก 2 ตนจะตามหายไปในสายหมอกในทุ่งดอกไม้
 
เมื่อเขาวิ่งผ่านหมอกในทุ่งดอกไม้มาได้ พงวิชแทบจะไม่เชื่อสายตาเขาเห็นพวกเพื่อนของเขากำลังยืนรอเขาอยู่
“นั่นไง พงวิชมาแล้ว” ตั้มบอกและด้วยความดีใจจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“จริงด้วย” บุ๊คหันมามองเมื่อเห็นพงวิชก็วิ่งตามตั้มเข้ามาหา พวกเพื่อนๆคนอื่นต่างก็วิ่งเข้ามาหากัน พงวิชเองด้วยความตื้นตันใจกลัวว่าจะไม่ได้เพื่อนของพวกเขาอีก พงวิชก็วิ่งเข้ามากอดพวกเพื่อนทันที
“พวกนายหายไปอยู่ที่ไหนกัน” พงวิชถาม
“หลังจากที่ตกเครื่องบินมา พอพวกเราตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว แต่ทุกคนก็ไม่เห็นนายเลยตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา” ตั้มบอก
“ฉันเองก็เดินตามหาพวกนายเหมือนกัน แต่เมื่อเจอกันแล้วก็อย่าคิดไปเลย พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ” พงวิชบอก
“ข้างหน้าเป็นเทือกเขาเวเอล่า ถ้าข้ามเทือกเขานี้ไปได้ก็จะถึงเมืองเวเอล่า และอีกไม่นานก็จะถึงหมู่บ้านของเรา” อิศราบอก แล้วทุกคนก็หันมามองกัน ทุกคนต่างยิ้มอย่างที่คิดไว้ในใจว่าพวกเขาจะทำอะไรกันต่อ แล้วพวกเขาก็พยักหน้าก่อนที่จะร้อง เฮ้ ดังๆออกมา
“ไปกันเถอะ” พงวิชรีบวิ่งนำหน้าไปทันที

“ขอบคุณมากนะ แอริส ที่เธอช่วยให้ฉันรู้อะไรหลายๆอย่างจากตัวฉันได้เอง มันทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจที่จะยืนหยักสู้ต่อไปเพื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในตอนนี้ฉันมีเพื่อนของฉันแล้ว ฉันคงจะใช้ช่วงเวลาเท่าที่มีอยู่กับเพื่อนให้มีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอบใจเธอมากที่ให้โอกาสฉันได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในครั้งนี้” พงวิชขอบใจแอริสแม้มันจะเป็นเพียงคำพูดในใจ

พวกเขาทั้งหมดก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนอย่างสนุกสนานอย่างที่พวกเขาต้องการกัน พลังที่พวกเขารวมกันเป็นปึกแผ่นนั้นในตอนนี้ก็แทบจะไม่มีอะไรจะมาทำลายมิตรภาพความเป็นเพื่อนของพวกเขาลงได้ แม้ความตายก็ตาม พวกเขาจะยังคงสู้เคียงข้างกันเสมอ และก็ยังคงจะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆไปอีกนาน

บนยอดเขาเฟสเดอริกบนเทือกเขาเวเอล่า นันได้ขึ้นมาถึงและตรงข้างหน้าของเขาคือวิหารเทพการูด้า
“ในที่สุดข้าก็มาถึง ที่นี้แหละ” นันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างซะใจ แล้วก็สาวคนหนึ่งเดินออกมาจากวิหาร
“ขอประทานโทษด้วย ฉันไม่สามารถให้ท่านผ่านเข้าไปข้างในได้” สาวหุ่นเซ๊กซี่คนนั้นชักดาบออกมา
“คนที่ตามฉันไปที่เมืองแรฟอสก็คือเธอเองซินะ เธอทำงานให้กับใครละ หรือว่าเธอถูกจ้างให้มาฆ่าฉันงั้นเหรอ คนธรรมดาอย่างเธอจะมาฆ่าข้า มันช่างน่าขำซะเสียจริง” นันพูดเยาะเย้ย แล้วสาวคนนั้นจึงโกรธแล้ววิ่งเข้ามา แต่แล้วก็มีมังกรยักษืลงมาขวางกั้นไว้
“เล่นสนุกกับไซเคสไปก่อนแล้วกัน” นันบอก แล้วไซเคสก็ใช้อุ้มมือขนาดใหญ่ฟาดใส่ถึงเธอจะใช้ดาบรับไว้ได้แต่ด้วยแรงอันทรงพลัง ทำให้เธอนั้นกระเด็นไปชนเสาต้นหนึ่ง แล้วมันก็ใช้เท้าขนาดใหญ่เหยียบทับเธอไว้โดยให้หัวของเธอนั้นโผล่ออกมาตรงล่องระหว่างนิ้วเท้าของมัน แล้วนันก็เดินเข้ามาหา

“ไง แค่นี้ก็จบเสียแล้วหรือ แม่สาวยอดนักฆ่า” นันบอกแล้วก็หยิบผ้าชิ้นหนึ่งออกมามัดปากของเธอแล้วเขาก็จูบเธอ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินเข้าไปในวิหาร
“จับแม่สาวนั่นตึงกางเขนไว้หน้าลานวิหารนี้ล่อให้พวกการูด้าตัวไหนก็ได้ที่มันต้องการก็ให้มันมาจับเอาไป” นันบอกแล้วไซเคสก็กลับกลายร่างมาเป็นชายหนุ่มที่สง่างามใส่ชุดสีเขียวทั้งหมด แล้วเขาก็มัดแขนมัดขาเธอไว้ก่อนที่จะจับเธอไปตึงกับกางเขนหน้าวิหาร เธอพยายามจะดิ้นรนหาทางรอดแต่มันก็ไม่มีทางเสียแล้ว เสร็จไซเคสก็ตามนันเข้าไปในวิหารปล่อยทิ้งเธอไว้ข้างนอก
ทันทีที่ไซเคสเดินเข้าไปในวิหารก็มีการูด้าตัวหนึ่งบินโผล่ออกมาทันที มันจ้องมองดูเธออยู่พักหนึ่งแล้วก็กรีดเสียงร้อง แล้วไม่นานนักก็มีการูด้าอีกกลุ่มหนึ่งบินโผล่ขึ้นมา เธอรู้ตัวดีว่าต้องถูกพวกมันจับกินหรืออาจจะทำอย่างอื่น เธอก็ยิ่งดิ้นรนให้เชือกมัดนั้นหลุดออกให้ได้ แต่เมื่อยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่เธอก็เริ่มรู้สึกหมดแรงและเชือกเหมือนว่าจะหนักและมัดแน่นขึ้น การูด้าพวกนั้นก็บินลงมาที่ลานกว้างยืนล้อมกางเขนนี้ไว้ แล้วพวกมันก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ

-----------------------------------------จบตอนที่ 30-------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 31
Post by: !!! Unknow !!! on October 09, 2005, 06:22:06 AM
เห็นใจคนอ่าน แต่คนแต่งก็เริ่มจะจนปัญญาที่จะแต่งต่อแล้วนะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน อัญเชิญเทพการูด้า

ในสถานการณ์อันเลวร้ายของสาวคนนั้น ทันใดนั้นก็มีทวนดำขนาดใหญ่พุ่งทะลุการูด้าในทางที่ทวนนั้นผ่านไปปักอยู่ที่ปลายยอดของกางเขนเหนือศีรษะของเธอเพียงนิดเดียว การูด้าพวกนั้นจึงหันไปทางที่ทวนนี้พุ่งมา แต่ก็มีไม่สิ่งใด สาวคนนั้นก็ไม่เห็นเช่นกันนอกจากมีทวนพุ่งมาจากที่ๆไกลมากจนไม่เห็นผู้ที่ใช้ทวนแท่งนี้ แล้วก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะของเธอ เธอรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในแท่นกางเขน เธอพยายามจะเงยหน้ามองขึ้นไป แสงแดดที่สาดส่องเข้ากระทบสายตาเธอ ทำให้เธอเห็นเพียงเงาดำๆของชายคนหนึ่งยืนอยู่บนปลายกางเขนยักษ์นี้ แล้วพวกการูด้าก็หันไปมองบนยอดกางเขนนั่น

“รูปปั้นเทพการูด้าอันสูงสง่า ข้าจะปลุกเจ้าจากรูปปั้นนี้เอง” นันเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นเทพการูด้าที่สูงประมาณ 2 เมตรกว่าๆ
“แต่ถ้าไม่สำเร็จ เราอาจจะถูกทำร้ายแทนได้นะครับ” ไซเคสเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ข้ายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถ้ามันไม่ยอมรับใช้ข้า มันก็ตายแน่นอน” นันยืนหัวเราะอยู่สักพัก
“แต่ข้าเองก็คิดว่า หากข้าควบคุมเทพการูด้าได้ ข้าก็จะมีกองทัพการูด้าจากทั่วโลกอยู่ใต้กำมือของข้า พอถึงเวลานั้นข้าจะควบคุมเหล่าเทพต่างๆที่ถูกสะกดแบบนี้ แล้วข้าก็จะได้ครองโลก” นันเดินเข้าไปดึงผลึกสีเขียวกลางหน้าอกของรูปปั้นเทพการูด้าแล้วเขาก็กำผลึกไว้แน่น ผลึกนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้วเขาก็เอาใส่กลับไปเดิม

ทันทีที่ใส่กลับเข้าไปก็เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ นันก็เริ่มหัวเราะออกมาทันที
“ออกมาเลย เทพการูด้า เจ้านายเจ้ายืนอยู่ข้างหน้าเจ้าแล้ว” นันตะโกนบอกด้วยความดีใจ แล้ววิหารที่เก่าแก่ก็กลับกลายเป็นวิหารที่ดูใหม่ทุกอย่าง รูปปั้นเทพการูด้ากลับกลายมามีชีวิตอีกครั้ง เทพการูด้าจึงขยับตัวสักพักแล้วก็กรีดร้องคำรามไปทั่ว แล้วมันก็จ้องสายตาของมันมาที่นัน
“ข้านี่ไง เจ้านายเจ้า ข้าปลุกเจ้าขึ้นมา ก้มหัวให้ข้าซะ” นันบอก แล้วเทพการูด้าก็เปร่งแววตาอันดุดันจ้องมองมาที่นันแล้วมันก็ใช้หอกคู่กายฟาดใส่นันทันที แล้วมันก็ควักผลึกสีดำกลางหน้าอกออกแล้วก็เขวี้ยงทิ้งใส่พื้นและเหยียบซ้ำจนผลึกนั้นแตกละเอียด นันจึงรีบลุก
“ไซเคส จัดการมัน” นันสั่ง แล้วไซเคสก็ใช้มือทั้งสองข้างสร้างพลังลมยิงใส่ แต่เทพการูด้าก็ปัดทิ้งได้หมดแล้วก็ใช้หอกดันไซเคสบินออกมาเรื่อยๆจนออกมาจากวิหาร ทั้งคู่ลอยอยู่เหนือวิหาร ไซเคสก็แปลงร่างเป็นมังกรยักษ์ทันที
“เกิดอะไรขึ้น” สาวน้อยนักฆ่าพยายามจะหันไปมองแต่ตัวเองนั้นก็ไม่สามารถขยับได้ แล้วชายที่ยืนอยู่บนกางเขนก็ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เหล่าการูด้าพวกนั้นเมื่อเห็นเทพการูด้าพวกมันก็ก้มตัวลงทันทีเหมือนแสดงความเคารพ

ไซเคสใช้กงเล็บขนาดใหญ่ฟาดใส่เทพการูด้า แต่เทพการูด้าก็ใช้หอกต้านรับไว้ ด้วยขนาดของไซเคสที่ใหญ่กว่ามาก เทพการูด้าเริ่มต้านพลังไม่ไหวจึงปัดออกแล้วก็บินวนอยู่รอบๆตัวไซเคสอย่างรวดเร็วจนไซเคสมองตามไม่ทันแล้วเทพการูด้าก็ใช้หอกพุ่งแทงใส่ทันที เทพการูด้าทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ จนไซเคสเริ่มจับทางได้เขาจึงกางกงเล็บออกทั้ง 2 ข้างแล้วก็หมุนตัวเกิดพายุล้อมรอบตัวเขาไว้ เทพการูด้าที่พลั้งตัวเข้าไปในพายุถูกกงเล็บของไซเคสโจมตีอย่างหนักจนเทพการูด้ากระเด็นหลุดออกมา พอเทพการูด้าตั้งหลักได้ก็หมุนควงหอกทันทีจนเป็นรูปวงกลม ไซเคสจึงพุ่งเข้าโจมตีใส่ทันที แล้วเทพการูด้าก็พุ่งสวนมาด้วยความเร็วสูงผ่านกงเล็บของไซเคสมาถึงอกได้อย่างน่ากลัวแล้วเทพการูด้าก็ใช้หอกนี้โจมตีใส่ไซเคส พลังลมและไฟที่ได้จากการหมุนควงอย่างรวดเร็วนั้น โจมตีอัดใส่ไซเคสจนตัวเขากระเด็นตัวลุกเป็นไฟตกลงสู่เชิงเขา ด้วยความสูงราวๆ 3 กิโลเมตรเหนือน้ำทะเล แล้วเทพการูด้าก็กรีดร้องที่เป็นฝ่ายชนะ แล้วก็บินมาอยู่บนหลังคาวิหารของตน
“เหล่าพี่น้องของข้า ในวันนี้ข้าหลุดจากคำสาปแล้ว นับจากวันนี้ข้าจะสร้างอาณาจักรของข้าขึ้นมาใหม่” เมื่อสิ้นเสียงของเทพการูด้าเหล่าการูด้าบริเวณนั้นต่างก็เฮดีใจ แล้วชายที่ยืนบนกางเขนก็ดึงทวนออกแล้วก็หันหน้ามาหาเทพการูด้า ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากัน

“เจ้ามนุษย์นี่เป็นใครกัน” เทพการูด้าถาม
“นามแฝงของข้า ชายชุดดำ วันนี้ข้าจะมาดับตำนานเทพอย่างเจ้า” ชายชุดดำเอาทวนชี้หน้าเทพการูด้า ด้วยความโมโหของเทพการูด้า เขาพุ่งเข้าใช้หอกโจมตีใส่ แต่ชายชุดดำก็ใช้ทวนแทงสวนโดนปลายปีกของเทพการูด้า และเขาก็รับหอกของเทพการูด้าไว้ได้
“ฆ่ามัน” เทพการูด้าสั่งเหล่าการูด้าในบริเวณบินล้อมเข้าโจมตีใส่ชายชชุดดำ ชายชุดดำจึงร่ายมนต์เรียกดาบมรณะออกมาโจมตีใส่การูด้าพวกนั้น และป้องกันตัวเองจากการูด้าอื่นที่ฉวยโอกาส ไม่นานนักเหล่าบรรดาการูด้าเหล่านั้นก็ตายกันหมด เหลือเพียงเทพการูด้าที่บินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ตายซะเถอะ” เทพการูด้าโยนหอกขึ้นเหนือหัว แล้วปลายหอกก็เล็งตรงมาที่ชายชุดดำ
“จิตวิญญาณแห่งการูด้า พลังแค้นสังหาร Soul Spear” ทันทีที่ท่องคาถาออกมาก็มีดวงไฟวิญญาณของการูด้าลอยออกมา และมารวมกันอยู่ที่ปลายหอก แล้วเทพการูด้าก็พุ่งหอกโจมตีชายชุดดำ แต่ชายชุดดำกลับยืนกางแขนไม่ป้องกันใดๆ เมื่อหอกนั้นแทงเข้าทะลุร่างของเขาอย่างแรง เขาก็ดึงหอกนี้ออกแล้วพลังวิญญาณของการูด้าก็เหมือนถูกดูดเข้าไปในตัวของเขา
“เจ้ามันโง่จริงๆ มีเทพโง่เช่นนี้วันนี้ก็อย่าหวังมีชีวิตรอดต่อเลย” ชายชุดดำพุ่งหอกของเทพการูด้าขึ้นไป เมื่อเทพการูด้าจับหอกแล้วเขาก็ตกใจทันทีที่เห็นชายชุดดำพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ทั้งคู่ใช้อาวุธปะกัน
“เจ้ามนุษย์ เจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เจ้าเป็นใครกันแน่” เทพการูด้าสงสัย แล้วก็ผลักชายชุดดำออก แล้วเขาก็ยิ่งตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นชายชุดดำนั้นลอยอยู่บนท้องฟ้าได้

แล้วก็มีปีกมารงอกออกมาจากหลังของชายชุดดำ 8 ปีก แล้วชายชุดดำก็หัวเราะออกมาเหมือนกับว่าเขาไม่จริงใจกับการต่อสู้นี้
“หัวเราะอะไร แกมันก็แค่ไอ้ปีศาจตนหนึ่งเท่านั้น กลับหลุมไปได้แล้ว” เทพการูด้าพูดด้วยน้ำเสียงเกี๊ยวโกรธ
“ความตายหลังจากนี้ เตรียมรับไว้ดีๆ ข้าเองตายมาตั้งนานแล้ว” ชายชุดดำยืนยิ้ม แล้วเทพการูด้าก็พุ่งเข้าใช้หอกแทงใส่ตรงๆ แต่กลับตัวของเทพการูด้านั้นทะลุผ่านร่างของชายชุดำไป
“ความเร็วในระดับข้า หามีใครเท่าแล้ว แม้แต่เจ้าก็ยังหลบไม่ทัน” เทพการูด้ายิ้มและหัวเราะพลางๆ
“!!! DOOM !!!” ชายชุดดำพูดคำสั้นเพียงคำเดียว เทพการูด้าถึงกลับสะดุ้งตกใจทันที
“เจ้าไม่ได้คิดจะหลบข้าเหรอเนี่ย” เทพการูด้ามองไปรอบๆทุกอย่างก็เริ่มมืดลง มืดลง จนมืดสนิท แล้วก็มียมทูตจำนวนมากเดินเข้ามารอบทิศทางจับแขนจับขาเทพการูด้าไว้ แล้วชายชุดดำก็โผล่ออกมาตรงหน้าแล้วยกดาบขึ้น แล้วก็ฟันลงใส่เทพการูด้าจนขาดเป็น 2 ท่อน

เมื่อจบสิ้นเหตุการณ์ทั้งหมดร่างของเทพการูด้าก็ค่อยสลายหายไป ชายชุดดำก็กลับสู่ร่างเดิมและลงเดินตัดเชือกที่มัดสาวน้อยนักฆ่า
“เมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอ” สาวน้อยคนนั้นถาม แต่ชายชุดดำก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเดินหนีทันที
“เดี๋ยวซิ จะไปไหนอ่ะ ฉันไปด้วยคนจะได้มั้ย” สาวน้อยคนนั้นถาม แต่ชายชุดดำก็ยังคงเดินต่อไป เธอจึงวิ่งตามไปแต่พอมาถึงทางลงจากยอดเขานี้ เธอก็ไม่เห็นชายชุดดำแล้ว
“ไปไหนของเขา เร็วจริงๆ” สาวน้อยคนนั้นบ่นพึมพำแล้วเธอก็เดินลงจากยอดเขานี้ไปตามทางเพื่อเข้ามาเวเอล่า

-------------------------------------------------จบตอนที่ 31--------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 32
Post by: !!! Unknow !!! on October 13, 2005, 05:05:10 AM
ตอน ปราสาทแวมไพร์

         หลังจากที่มาร์คัสออกเดินทางต่อจากมหานครเบรุสมุ่งหน้าตามหาพลังของตนที่ถูกนำไปซ่อนอีก 6 แห่ง โดยเขาเริ่มต้นจากการมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกข้ามเทือกเขาไทคอปมา
         แล้วเมื่อตกเย็นพวกเขาต่างก็พักผ่อนกันที่ถ้ำในซอกภูเขา
“คืนนี้เราพักกันที่นี่ก่อนแล้วกัน” มาร์คัสบอกแล้วก็ลุกขึ้น
“เธอจะไปไหน” ธิดาภาถาม
“ฉันจะเฝ้าอันตรายให้พวกเธอเอง นอนหลับให้สบายก็แล้วกัน” มาร์คัสหันมายิ้มให้แล้วก็เดินออกจากถ้ำไป
“เจ้าลิงน้อยนี่ ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะ” อรนิชาบอก
“เขาไม่ใช่ลิงน้อยซะหน่อยนี่” ธิดาภาบอกแล้วเธอก็หยิบหนังสือออกมาอ่าน
“จะว่าไปมีเขาอยู่ พวกเราก็อุ่นใจขึ้นนะ ไม่ต้องมาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้ากัน” พิชามนญ์บอก
“นอนเถอะ ง่วงแล้ว” มาย่าบอกแล้วก็นอนทันที

ที่ข้างนอกถ้ำ อากาศที่หนาว ลมที่พัดไปมาอยู่เรื่อยๆไม่สงบ มาร์คัสเองก็นั่งเฝ้าอยู่บนปากทางเข้าถ้ำ
“พลังของเราในตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ หากเราเจอพวกเทพสวรรค์บางองค์เราอาจจะสู้ไม่ได้ สงสัยตอนนี้เราคงต้องไปยืมมือจากเพื่อนเก่าซะหน่อย” มาร์คัสพูดๆไปพลางๆและแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูดาวที่เต็มท้องฟ้าไปหมด
“วันนี้เราก็ยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลยนี่ ต้องใช้พลังซะหน่อย เดี๋ยวเครื่องจะฝืดซะก่อน” มาร์คัสร่ายเวทย์มนต์จุดประกายไฟขึ้นมาที่ปลายนิ้วของเขา แล้วเขาก็เขียนเป็นภาษาโบราณบนอากาศ เมื่อเขียนจนจบบททั้งหมดเขาก็เปล่าไฟที่ปลายนิ้ว
“มากิส ทาริเรรัส อูทอมิน เวลดารอน อลิเซีย” เขาท่องคาถาโบราณตามที่เขียนไว้ แล้วภาษาโบราณที่เขียนไว้ก็ค่อยๆมารวมตัวกันเป็นลูกไฟเปร่งแสงสว่างขึ้นที่ตรงหน้า

“ไง อลิเซีย เธอคงจะยังจำฉันได้นะ” มาร์คัสพูดทักทาย จากคาถาที่เขาร่ายนั้นทำให้เสียงที่เขาพูดนั้นดังไปจนถึงคนที่เขาต้องการจะพูดด้วย
“เธอนั่นเอง ใช่ฉันจำเธอได้” อลิเซียบอก
“คืนนี้ท้องฟ้าสวยดีนะดาวเต็มไปหมด ไม่คิดที่จะออกมานั่งดูดาวด้วยกันหน่อยเหรอ” มาร์คัสถาม
“มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก ตัวเธอเองก็เป็นเทพต้องห้ามที่หากเทพคนใดเข้าช่วยเหลือ เทพองค์นั้นจะต้องถูกเทพสวรรค์แห่งการลงทัณฑ์ลงโทษด้วยเช่นกัน ฉันคงไม่อยากจะโดนแบบนั้นหรอก และอีกสักพักฉันก็คงต้องเข้าเฝ้าท่านเทพเจ้าโอดินแล้วละ” อลิเซียตอบ
“เทพแห่งการลงทัณฑ์ ทำไมมีแต่คนเกรงกลัวมันกันนัก ข้าเองมิใช่รึที่มีพลังเหนือกว่าเทพใดๆ” มาร์คัสบอก
“นั่นมันเมื่อก่อน และไม่ใช่เทพการลงทัณฑ์หรือ ที่ทำให้ท่านต้องเป็นแบบนี้” อลิเซียบอก
“ที่ข้ายอมมันเพราะข้าเห็นแก่พระเจ้า ข้าทำผิด ข้าเองยอมรับผิดต่างหาก” มาร์คัสพูดด้วยน้ำเสียงหนักที่กระทั้นกระแทก แล้วอลิเซียก็เงียบไปสักพัก
“ข้าขอโทษด้วยที่ขึ้นเสียงใส่เจ้า ตอนนี้ข้ามันก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีพลังวิเศษอะไรที่จะทำให้เทพเหล่านั้นกลับมาเกรงกลัวข้าอีกแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดน้ำเสียงที่ดูเศร้าๆ
“ท่านเองยังมีความสามารถพิเศษในตัวท่านที่ทำให้ข้านั้นยังหลงใหลในตัวท่าน ถ้าท่านใช้ความสามารถนั้นออกมาได้มันจะช่วยท่านได้มาก และตอนนี้ข้าช่วยท่านได้เพียงแค่ ให้ท่านลองไปหาเพื่อนเก่าๆของท่านที่ไม่ใช่เทพองค์ใดๆซิ พวกเขาจะไม่เดือดร้อนจากเทพลงทัณฑ์และคงจะช่วยท่านได้” อลิเซียพูดเสร็จ ดวงไฟที่อยู่ตรงหน้าของมาร์คัสก็ดับหายไปทันที
“เราผิดเอง เรามันโง่ตั้งแต่เหตุการณ์ตอนนั้นแล้ว” มาร์คัสพูดอย่างเจ็บใจตัวเองแล้วเขาก็นอนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทุกอย่างเงียบไปหมด ลมเริ่มสงบ เขารู้สึกสบายเอามากๆ เขาหลับอย่างสบายอยู่ได้สัก 10 นาทีก็มีเสียงฝีเท้าเดินย่องอย่างเบาๆ เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้นไปดูก็เห็นแวมไพร์ตัวหนึ่งบินออกจากถ้ำที่พวกสาวๆนั้นพักอยู่ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปดูทัน เมื่อเข้ามาก็ไม่พบธิดาภาแล้ว เขาจึงรีบวิ่งออกจากถ้ำตามแวมไพร์ตัวนั้นไปทันที
“ไม่น่าเผลอหลับเลย” มาร์คัสวิ่งตามไปอย่างเร็ว จนเข้ามาในป่าแห่งหนึ่ง และเขาก็วิ่งไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจเหล่าบรรดาปีศาจมากมายที่อยู่ในป่าแห่งนี้ จนเขาวิ่งโผล่พ้นออกจากป่ามาก็พบกับปราสาทขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้าของเขาและเห็นแวมไพร์ตัวนั้นบินเข้าไปในปราสาท เขาหยุดมองหาทางเข้าสักพัก แล้วเขาก็พังรั้วเข้าไปแทนด้วยความเร่งรีบ

เมื่อเข้าเปิดประตูใหญ่เข้าไปได้ ก็เห็นภายในปราสาทนั้นหรูหรามากใหม่เอี่ยมสะอาด เขาเดินตรงเข้าไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด แล้วก็มีพ่อบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาขวาง
“ไม่ทราบ ต้องการให้ช่วยอะไรมั้ยครับ” พ่อบ้านคนนั้นถาม
“มีแวมไพร์เข้ามาในปราสาท มันอยู่ที่ไหน” มาร์คัสตอบและถามกลับ
“กระผมมิทราบครับ ที่นี่อยู่สงบมาตลอด ถ้าไม่รังเกียจโปรดมาร่วมดื่มน้ำชาก่อนก็ได้นะครับ” พ่อบ้านคนนั้นตอบแล้วก็เดินตรงไปยังห้องข้างๆ
“มันอยู่ที่ไหน” มาร์คัสพูดด้วยน้ำเสียงอันโกรธแล้วหมัดทั้งสองข้างของเขาก็มีประกายสายฟ้าเปร่งออกมา พ่อบ้านคนนั้นจึงหยุด
“ปราสาทแห่งนี้ไม่ต้องความรุนแรงโปรดออกไปเถอะครับ ไม่งั้น พวกเราต้องใช้มาตรการสุดท้าย” พ่อบ้านคนนั้นบอก
“อยากตายก็เข้ามาเลยไอ้พวกผีบ้า” มาร์คัสบอกแล้วก็พุ่งเข้าใช้หมัดขวาอัดใส่พ่อบ้านจนกระเด็นไปติดผนัง แล้วภายในปราสาททั้งที่เคยดูหรูหราก็กลับกลายเป็นเพียงภาพมายาโดยที่แท้จริงแล้วปราสาทนี้ทั้งหลังนั้นผุพังและรกร้าง แล้วก็มีพวกแวมไพร์จำนวนมากโผล่ออกมาจากหน้าต่างและประตูพุ่งเข้าโจมตีใส่มาร์คัส แต่เขาก็ต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวแล้วอัดโจมตีใส่ จัดการตัวแล้วตัวเล่า ไม่นานนักแวมไพร์เหล่านั้นก็ตายจนหมดสิ้น

“เก่งมาก” พ่อบ้านคนนั้นลุกขึ้นปรบมือให้ แล้วร่างของเขาก็กลายเป็นปีศาจมีปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง กงเล็บที่แหลมคม
“พูดกันดีๆไม่ชอบก็ตายซะเถอะ” มาร์คัสบอกแล้วเขาก็ใช้มือขวาจับข้อมือซ้าย ส่งพลังจากมือขวาเข้ารวมสู่มือซ้ายทั้งหมดจนพลังนั้นมากล้นออกเป็นประกายสะเก็ดสายฟ้าฟาดไปมารอบๆตัวของเขา
“กงเล็บแห่งความตาย Death Claw” เสียงทุ้มอันแหบแห้งของแวมไพร์ตัวนั้นตะโกนออกมาพร้อมกับบินพุ่งชูกงเล็บทั้งสองข้างเตรียมฟาดใส่มาร์คัส ทันใดนั้นมาร์คัสก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาของเขาที่น่ากลัวจนแวมไพร์ตัวนั้นเห็นยังชะงักอยู่ชั่วขณะ

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” เขาพุ่งเข้าหาแวมไพร์ตัวนั้นด้วยความเร็วแล้วใช้หมัดซ้ายอัดพลังสายฟ้าฟาดใส่แวมไพร์ตัวนั้นเต็มๆ แต่เขาเองก็โดนกงเล็บของแวมไพร์นั้นเชี่ยวใส่หัวไหล่ซ้ายของเขา แวมไพร์ตัวนั้นตายสนิทร่างของมันค่อยๆสลายหายไป มาร์คัสก็แทบเซทันทีเพราะใช้แรงไปมากและเขาก็เอามือขวากุมไหล่ซ้ายไว้ เขามองดูแผลของตนที่เป็นรอยไหม้สีดำที่หัวไหล่
“อ๊ากกกกกกกกกกก” เขาควักกงเล็บของแวมไพร์ตัวนั้นที่ฝังอยู่ที่หัวไหล่ออกพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเขาก็ลุกขึ้นวิ่งต่อเข้าไปข้างใน

เมื่อเขาขึ้นมาถึงชั้นบนก็พบกับประตูใหญ่บานหนึ่ง เขาเริ่มเหนื่อยและล้า เขาจึงยืนพิงผนังพักสักแปป และเขาก็ได้ยินเสียงจากภายในห้อง
“ข้าไม่ได้ดื่มเลือดสาวๆแบบนี้มานานแล้ว อ่า” เสียงของชายคนหนึ่งพูด แล้วก็มีเสียงของสาวคนหนึ่งที่พยายามจะพูดแต่เหมือนมีบางอย่างมัดปิดปากเธอไว้ มาร์คัสจึงรีบเปิดประเข้าไปทันที
“หยุดนะ ไอ้ปีศาจ” เมื่อเขาเข้ามาก็เห็นแวมไพร์ตัวหนึ่งรูปร่างสง่าราวกับเจ้าชายกำลังดูดเลือดสาวคนหนึ่ง เขาแทบจะหมดแรงเมื่อรู้ว่ามาไม่ทัน ขาของเขาเริ่มรู้สึกหมดแรงจนยืนไม่ค่อยจะอยู่
“อ้า สดชื่นดีจัง” แวมไพร์ตัวนั้นอิ่มจากการดูดเลือดจากสาวคนนั้น
“เจ้าเป็นใครกัน” แวมไพร์ตัวนั้นหันมาถาม เมื่อมาร์คัสเห็นร่างของสาวคนนั้นแล้วไม่ใช่ธิดาภา เขาก็ตะลึงอยู่ชั่วขณะ
“อ๋อ ไม่ซิ เราต้องมีมารยาทต่อแขก ข้ามีนามว่า เชส แล้วท่านละ” เชสถาม
“แกเอาเพื่อนของฉันไปไว้ที่ไหน” มาร์คัสกลับฮึกเฮิมมีแรงขึ้นมาทันทีและเขาก็ลุกขึ้นยืน
“แม่สาวน้อยคนนั้นแหละ ข้าเก็บไว้กินมื้ออื่นหน่าอย่าใส่ใจ ถ้าอยากจะเห็นหน้าเพื่อนเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้นะ” เชสเดินเข้าไปยังกลางห้องและเปิดผ้าคลุมออกมาปรากฏร่างของธิดาภาที่สลบอยู่และถูกมัดไว้บนแท่นบูชา
“ปล่อยเธอซะ ไม่งั้นแกจะเป็นแบบลูกน้องของแกที่อยู่ข้างล่าง” มาร์คัสบอกแล้วก็ปลดปล่อยพลังสายฟ้าออกมายังหมัดทั้งสองข้าง
“เหรอ งั้นเจ้าตอบก่อนซิว่าชื่ออะไรช่างเสียมารยาทซะจริง ข้าจะได้สลักชื่อบนหลุมให้เจ้าได้ถูก” เชสถาม
“ข้า มาร์คัส หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้า ผู้ที่จะกำหนดชะตาชีวิตพวกเจ้า และวันนี้ข้ากำหนดชะตาชีวิตให้เจ้าแล้ว” มาร์คัสตอบ เมื่อเชสได้ยินก็เริ่มจะลังเล แต่เมื่อเห็นแผลที่หัวไหล่ของมาร์คัส เขาก็เริ่มยิ้มออก
“งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า โจมตีคนละครั้งให้มันรู้ผลไปเลย” เชสชูมือขวาขึ้นแล้วก็มีดาบลอยลงมาจากเพดาน มาร์คัสก็เริ่มใช้มือขวากำข้อมือซ้ายไว้แน่น ก้มหน้าลงพลังสายฟ้าที่เต็มเปี่ยมล้นทะลักออกจากหมัดของเขาเป็นสายฟ้าฟาดไปมาใส่ของภายในห้อง
“ได้ เรื่องมันจะได้จบเร็วดี ข้าจะใช้พลังที่เหลืออยู่ในตอนนี้จัดการกับเจ้า” มาร์คัสเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแววตาที่ดุดัน

“สายฟ้าแห่งการทำลายล้าง หมัด...” มาร์คัสยังร่ายคาถาไม่ทันเสร็จ เชสก็พุ่งเข้ามาอย่างเร็วจนจับทิศไม่ได้แล้วก็ใช้ดาบนั้นแทงทะลุอกซ้ายของมาร์คัส พลังสายฟ้าทั้งหมดของมาร์คัสนั้นสลายหายไปทันที
“นี่หนะเหรอ หัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้า ฮ่าๆๆๆๆๆ” เชสหัวเราะอย่างซะใจ แล้วมาร์คัสก็หัวเราะขึ้นตาม
“ที่นี้ตาข้าบ้างละนะ” เขาใช้มือซ้ายจับคอของเชสไว้ และชูแขนขวาขึ้น
“Holy” มาร์คัสหลับตาลงแล้วก็เลื่อนมือช้าๆไปทางขวา
“Blessing” เขาก็เลื่อนมือจากขวาไปทางซ้ายผ่านหน้าอันหวาดกลัวของเชสไป
“Exocimus” เขาแบมือกลางออกกดลงไปที่กลางหน้าผากของเชส
“แสงสว่างแห่งสวรรค์ พรอันศักดิ์สิทธิ์ จงกำจัดผีร้ายตรงหน้าข้าให้สิ้นชั่วกาลนิรันดร์” เมื่อสิ้นเสียงของมาร์คัสก็มีแสงสว่างจ้าขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า ร่างของเชสค่อยๆไหม้ จนในที่สุดก็สลายไป

เมื่อแสงสว่างนั้นดับลง มาร์คัสก็ล้มลงทันที แล้วธิดาภาก็สะดุ้งฟื้นขึ้นมา เธอมองไปรอบๆจนไปเห็นมาร์คัสที่นอนล้มอยู่กับพื้นเธอจึงรีบลุกวิ่งเข้าไปหาทันที
“เกิดอะไร” ธิดาภาถามแล้วก็เห็นดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุอกซ้ายของมาร์คัส
“ไม่ต้องห่วง ช่วยดึงดาบออกให้ที มันไม่ได้แทงทะลุหัวใจฉันหรอก ฉันไม่ตายหรอก” มาร์คัสบอกและยิ้มให้
“อย่ามาทำเป็นบ้าหนะ หัวใจเธออยู่ตรงนี้พอดี มันจะไม่โดนได้อย่างไร ต้องรีบพาเธอกลับเข้าเมืองก่อนแล้วละ ถ้าตรงนี้ไม่ใช่หัวใจ แล้วหัวใจเธออยู่ตรงไหนละ” ธิดาภาถามและพยายามมองหาผ้า
“ใจฉันอยู่กับเธอไง” มาร์คัสบอก
“บ้าจะตายอยู่แล้วยังจะมาทำปากแบบนี้อีก” ธิดาภาพยุงมาร์คัสขึ้น แล้วเขาก็ดึงดาบออกจากอกเองทันทีแล้วโยนทิ้ง
“พาฉันไปนั่งพักสักแปปเดี๋ยวก็หาย” มาร์คัสบอกแล้วธิดาภาก็พยุงไปที่แท่นบูชา และให้มาร์คัสพักที่นั่น
“เดี๋ยวฉันจะไปหาผ้ามาพันแผลให้เธอก่อนนะ” ธิดาภารีบวิ่งออกจากห้องไปทั่วปราสาทหาผ้าแล้วก็กลับมาพันแผลให้กับมาร์คัส

“ขอบใจนะที่ทำแผลให้ฉัน” มาร์คัสบอก
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนที่ฉันสลบไปเธอก็คงจะมาช่วยฉันจากปีศาจซินะ” ธิดาภาถาม
“ใช่ เธอรู้ได้อย่างไร” มาร์คัสตอบและถามกลับ
“ฉันฝันเห็นเธอกำลังสู้กับปีศาจอยู่” ธิดาภาบอก แล้วทั้งคู่ก็นั่งพักอยู่ในปราสาทร้างนี่จนแสงตะวันเริ่มสาดส่อง เขาทั้งสองก็กลับไปที่ถ้ำ เพื่อไม่ให้พวกเพื่อนๆเป็นห่วง

-----------------------------------------------------------จบตอนที่ 32-------------------------------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on October 13, 2005, 07:53:31 PM
เจ้าลิงน้อย เจ้าลิงน้อย อิ ๆ ชอบคำนี้จัง
 :-*

อนึ่งทำลายล้าง น่อ ไม่ใช่ร้าง


Title: FW V ตอนที่ 33
Post by: !!! Unknow !!! on October 14, 2005, 07:29:46 AM
ขอบคุณมากครับ ที่มาแก้ไขบางจุดที่ผิดไป บางทีมันก็สะกดไม่ถูก ลืมไปบ้าง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน 6 ผู้กล้าปะทะมังกรแห่งสายลม

เมื่อทั้ง 6 แสบเดินทางมาถึงเชิงเขาเฟสเดอริก พวกเขาก็หยุดพักกันใต้ร่นเงาของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“ต้องข้ามเขาลูกนี้ไปเหรอ” บุ๊คยืนมองจากเชิงเขาขึ้นไปยันยอดเขา แล้วหันมาถาม
“ใช่ เมืองอยู่อีกฟากของเทือกเขานี้ ถ้าคิดจะเดินออกคงใช้เวลาเกือบเดือน แต่ถ้าข้ามจากตรงนี้ไปอย่างเร็วก็อาจจะ 2-3 วัน” อิศราตอบแล้วก็หยิบตำราออกมาอ่าน
“อิศรา ถามหน่อย หนังสือหนาขนาดนี้ อ่านไปกี่หน้าแล้วเนี่ย” พงวิชมองดูอิศรานั่งอ่านอย่างตั้งใจ
“อ่านไปใกล้จะจบเล่มแล้วละ อ่านมาก็คงจะ 800 กว่าหน้าอีก 200 กว่าหน้าก็จบเล่มแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่คาถายากๆจำไม่ได้สักที” อิศราตอบ พงวิชก็อึ้งทันที
“โหย เรา 100 กว่าหน้ายังไม่เคยเปิดอ่านเล๊ย” พงวิชบอก
“จะขึ้นเขาไปยังวะเนี่ย” แพ๊คนั่งบ่นพึมพำ พวกเขาต่างพักเหนื่อยกันอยู่สักพัก จนไม่นานนักพวกเขาก็ออกเดินทางมุ่งหน้าขึ้นภูเขาเฟสเดอริกเพื่อข้ามไปเมืองเวเอล่าที่อยู่อีกฟากของภูเขานี้

ตลอดเส้นทางอันแสนลำบากของพวกเขาที่ต้องฝ่าฟันไปนั้น พวกเขาต้องเจอทั้งเหล่าสัตว์ดุร้ายมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงเดินทางต่อไปโดยที่ไม่มีจุดหมายสูงสุด จนพวกเขาเดินทางมาถึงหลุมขนาดใหญ่ขวางเส้นทางของพวกเขาอยู่
“หลุมไรวะ แล้วจะข้ามไปยังไงเนี่ย” บุ๊คเดินมาถึงก่อนก็บ่นขึ้นทันที
“มีคนนอนอยู่ตรงนั้นด้วย” พงวิชชี้แล้วก็วิ่งลงไปยังกลางหลุมทันที พวกเพื่อนก็เลยเดินตามไป

พงวิชพยายามปลุกชายที่นอนอยู่กลางหลุมนี้อย่างหมดสภาพ ตามร่างมีบาดแผลอยู่
“ตายแล้ววะ อย่าไปสนใจเลย ไปต่อเหอะ” ปอนมองดูสภาพชายคนนี้แล้วก็บอก
“เดี๋ยวปั้มหัวใจให้” แพ๊คบอกแล้วก็ร่ายเวทย์สายฟ้าเบาๆกระตุ้นหัวใจของชายคนนั้น จนสักพักชายคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมา
“เป็นไง เพราะเค้าหล่อ เลยทำให้ฟื้นได้ ใครไม่หล่อทำไม่ได้หรอก” แพ๊คชมตัวเองแล้วพวกเพื่อนๆก็รุมตบหัวให้คนละที
“พวกคุณเป็นใครกัน” ชายคนนั้นถาม
“พวกเราช่วยให้คุณฟื้น แล้วนายละชื่ออะไรเหรอ” ตั้มตอบ ชายคนนั้นก็กุมขมับปวดหัวเล็กๆ แล้วตั้มก็ถาม
“ไซเคส พอดีตกจากยอดเขามาก็เลยเป็นแบบนี้” ไซเคสตอบ
“เชด ตกจากยอดเขา ไม่ตายจะเลี้ยงโตมั้ยเนี่ย” แพ๊คมองขึ้นไปบนยอดเขาแล้วก็บอก
“สูงขนาดนั้นรอดมาได้ไงวะ” ปอนสงสัย
“พวกคุณรู้จักคนที่ชื่อ พงวิช ไหม” ไซเคสถาม
“ก็เราไง พงวิช มีอะไรเหรอ” พงวิชตอบ
“งั้นผมก็คงต้องขอโทษด้วยที่เป็นคนลืมบุญคุณคน แต่ผมมีหน้าที่ถูกสั่งให้มากำจัดคนที่ชื่อพงวิชและกลุ่มคณะร่วมเดินทางของเขา” ไซเคสบอกแล้วก็ใช้เล็บอันแหลมยาวของเขาตะหวัดฟาดใส่ พวกพงวิชต่างก็รีบกระโดดดีดตัวออกห่างทันที
“ลูกน้องนันเหรอเนี่ย” พงวิชบอกแล้วก็ตั้งท่าเตรียมชักดาบออกมา ไซเคสจึงลุกขึ้นยืนแต่ก็เซไปเซมาจากการโจมตีของเทพการูด้า
“รุมมันเลย” บุ๊คบอก
“เดี๋ยว” พงวิชห้ามบุ๊คและเพื่อนๆไว้
“ทำไม” ปอนถาม
“เขาย่ำแย่ขนาดนั้น เขาต้องการจะกำจัดเราเป็นหลัก งั้นเราขอสู้กับเขาตัวต่อตัวเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ” พงวิชตอบ
“อย่าทำเท่เกินหน้าดิ หากแพ้ขึ้นมาถึงตายนะ” บุ๊คบอก
“ก็ใช่ซิ แล้วถ้าชนะขึ้นมา จะได้รู้กันไปเลยว่า คนอย่างพวกเราไม่ใช่อะไรที่จะมาจัดการกันง่ายๆ” พงวิชบอก และในเมื่อเพื่อนๆเริ่มไว้ใจ พวกเขาก็เดินออกห่าง
“เข้ามาลุยกันได้เลย” พงวิชท้าแล้วก็ชักดาบของอายะออกมา ช่วยมอบพลังให้เราด้วยนะ อายะ พงวิชนึกอธิษฐานนึกถึงอายะ

แล้วไซเคสก็วิ่งเข้ามาโจมตีใส่ พงวิชก็รับคมแหลมนั้นได้ทุกการโจมตีของไซเคส และถีบไซเคสกระเด็นออกไป ยิ่งไซเคสออกแรงโจมตีมากเท่าไหร่ การโจมตีของเขาก็เริ่มช้าลงและเบาลงจนพงวิชนั้นหลบได้อย่างสบาย และถีบไซเคสจนกระเด็นล้มลงไป พงวิชจึงเก็บดาบอายะใส่ปอก แล้วไซเคสก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแล้วก็กลางเล็บอันแหลมคมออกแล้วก็ค่อยวิ่งเข้ามาอีกครั้ง
“งั้นก็ขอให้จบไปเสียที” พงวิชเอามือจับด้ามดาบไว้แน่แต่ยังไม่ชักดาบออกมา จนเมื่อไซเคสวิ่งเข้ามาใกล้ พงวิชก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
“เพลงดาบผ่าวายุ” ร่างกายของพงวิชที่ขยับไปมาเหมือนถูกจิตวิญญาณดาบเล่มนี้สิงสถิต เขาชักดาบก้มตัวต่ำและพุ่งฟันเข้าที่ลำตัวของไซเคสอย่างรวดเร็ว ร่างของไซเคสนั้นกระเด็นปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านมาพร้อมกับคมดาบ
“โอ้แม่... เฮ้ย พงวิชไปฝึกท่าดาบพวกนี้มาจากนี้วะ” บุ๊คถาม แล้วพงวิชก็ชักดาบเก็บใส่ปอกและไม่ได้พูดอะไร เขาพูดเพียงในใจ
“ขอบใจมากนะอายะ” พงวิชสื่อจิตถึงดาบเล่มนี้   ไม่เป็นไรคะ เพื่อท่านพงวิช ฉันจะอยู่สู้เคียงข้างท่านเสมอ   เสียงอายะดังขึ้นมาในจิตใจของพงวิช แล้วพงวิชก็หันมายิ้มให้กับเพื่อน

แล้วไซเคสก็ยังคงจะหัวเราะอยู่แม้ร่างของตนนั้นจะบาดเจ็บแค่ไหน
“เพลงดาบบ้าบออะไรแค่นี้จะทำอะไรข้าได้” ร่างของไซฌคสก็ลอยขึ้นแล้วก็กลายสภาพเป็นมังกรสีเขียวขนาดใหญ่คำรามดังไปทั่ว พวกพงวิชตกใจทันทีและถอยออกห่าง แล้วทุกคนต่างก็ชักอาวุธออกมาเตรียมสู้ พงวิชก็โยนดาบเซฟิออกมา แล้วก็ปรากฏร่างของเซฟิถือดาบของตนไว้ อิศราเองก็หยิบคันธนูของอูติกออกมา และอูติกก็ปรากฏร่างออกมาพร้อมกับคันธนู และโล่ของเฟียเรียสที่บุ๊คถืออยู่นั้นก็ลอยออกมาจากบุ๊คและปรากฏร่างของเฟียเรียส 3 พี่น้องปักษาปรากฎตัวออกมา
“ให้เราสู้พร้อมกับท่านเถอะ” เซฟิบอก พงวิชก็พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ แล้วไซเคสก็กระพือปีกบินถอยออกห่างจนเกิดแรงลมและฝุ่นฟุ้งไปทั่ว
“Aero Burst” ไซเคสยิงพลังลมโจมตีใส่พวกพงวิชอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ปักษาน้อยทั้ง 3 ต่างรีบหลบได้ทัน
“Body Sheid” อิศราเปิดตำราหนังสือและยืนร่ายเวทย์มนต์สร้างบาเรียขนาดใหญ่ป้องกันพลัง
“ขอบใจนะอิศรา” พงวิชบอก
“ถ้าไม่เปิดหนังสือเราก็ร่ายไม่ได้หรอก คาถานี้ยังจำไม่ได้เลย” อิศราบอก
“ลุยโว้ย” บุ๊ควิ่งบุกเข้าทันที

ทันทีที่บุ๊ควิ่งเข้าไปไซเคสก็พุ่งเข้าโจมตีใส่ บุ๊คจึงรีบเอาโล่ของตนป้องกันแต่ตัวเองนั้นก็กระเด็นไป
“Wind Cross” เซฟิใช้ดาบฟันเป็นคลื่นลมโจมตีใส่ แต่ไซเคสก็ปัดได้แล้วใช้หมัดอันใหญ่นั้นอัดใส่เซฟิจนกระเด็น
“Cycone” เฟียเรียสยิงพลังลมโจมตีใส่แต่ถูกไซเคสตบสวนกลับจนกระเด็นไปกระแทกกับหินและเธอก็ถูกไซเคสนั้นใช้ฝ่าเท้าอันใหญ่เหยียบลงบนร่างของเธอ แต่เธอไหวตัวหยิบโล่ของเธอขึ้นมาบังไว้ ไซเคสก็เลยยกเท้าขึ้นเหยียบลงซ้ำๆ
“เอามั้งเว้ย Bloody Strike” ตั้มเปิดหนังสือตำราอย่างเร็วไปเจอหน้าไหนก็ร่ายเวทย์มนต์นั้นโจมตีใส่ไซเคสทันที เวทย์มนต์ที่ตั้มร่ายนั้น เป็นพลังสีดำเล็กและค่อยๆมีกลุ่มเลือดไหลเวียนมารวมตัวที่ลูกพลังนี้และยิงโจมตีใส่ไซเคสจนกระเด็นออกไป เฟียเรียสจึงรีบบินหนีออกมา
“พลังส่วนใหญ่ทำอะไรมันไม่ได้เลย จะเข้าสู้ตรงๆก็เสียเปรียบ” บุ๊คบอก ส่วนปอนนั้นก็ใช้ระเบิดโยนใส่ แพ๊คเองก็ร่ายเวทย์มนต์สายฟ้าเบาๆที่เขาถนัดโจมตี ถึงแม้จะทำอะไรไซเคสไม่ได้ก็ตาม

แล้วสักพักไซเคสก็ลุกขึ้น
“Million Arrow” อูติกสร้างลูกดอกลมนับล้านโจมตีอัดใส่ไซเคส แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไซเคสเลย
“Aero Burst” ไซฌคสยิงพลังลมใส่ อิศราก็รีบวิ่งเข้ามาขวางและร่ายเวทย์บาเรียป้องกันไว้
“พงวิชเห็นแผลที่ท้องของเจ้านั่นมั้ย นั่นคงเป็นแผลที่โดนพงวิชโจมตีตอนมันเป็นคน ถ้าอัดใส่อีกทีมันอาจจะตายก็ได้” ตั้มบอก
“งั้นฉันทำเอง” เซฟิรีบบินพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วสูงและใช้ดาบของตน แต่ดาบนั้นกลับไม่เข้าเนื้อของไซเคสเลย เซฟิจึงตะลึงกับสภาพร่างกายของไซเคสที่หนา แล้วก็ถูกไซเคสโจมตีใส่จนกระเด็นออกมา
“อายะ ช่วยอีกสักครั้งเถอะ ให้มันรู้ไปเลยว่าเธอนั้นก็สามารถปราบมันได้” พงวิชหลับตาลงและสื่อจิตเข้าไปในดาบเล่มนี้

แล้วไซเคสก็บินพุ่งเข้ามา
“พงวิชจัดการเลย เราจะนำล่องให้” ตั้มบอก แล้วตั้มก็เปิดตำราแบบสุ่มไปเจอเวทย์มนต์หน้าไหนก็ร่ายอันนั้นโจมตีใส่
“เพลิงสายฟ้า Magnum Bolt” ตั้มร่ายเวทย์มนต์ไฟสายฟ้าปรากฎเป็นสายฟ้าฟาดขนาดใหญ่ฟาดใส่ไซเคสและเกิดประกายเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อพงวิชตั้งสมาธิได้ก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับก้าวเท้าออกไป 2 จังหวะ
“เพลงดาบจิตสังหาร ไซโคริว” อายะที่สิงสถิตในร่างของพงวิชนั้นพุ่งเข้าฟันใส่ไซเคส 6 ครั้งอย่างรวดเร็วเพียงชั่วขณะ แล้วพงวิชก็ชักดาบเก็บ เมื่อเสียงดาบกระทอกกับปอกสนิท รอยดาบที่ฟันลงบนร่างของไซเคสก็ปรากฏขึ้นมา 6 รอย แล้วร่างของไซเคสก็ขาดเป็น 6 ส่วน
“โห ดาบนั้นมันชั่งคมจริงๆ” เซฟิตะลึงกับประสิทธิภาพของดาบของอายะ แล้วร่างของไซเคสก็ค่อยสลายหายไป พวกพงวิชต่างดีใจกันยกใหญ่

“พงวิชเก่งวะ” บุ๊คบอก
“ไม่รู้ดิ ดาบนี้มันคงดาบมากมั้ง” พงวิชบอกแล้วก็มองดูดาบเล่มนี้
“แหม ก็ดาบนี้สาวให้มาหนิ ไม่ดีได้ไง” ตั้มบอก
แล้วพวกเขาต่างก็แซวหยอกล้อกันไปตามระเบียบ ไม่นานนักพวกเขาก็ออกเดินทางไป มุ่งหน้าข้ามภูเขาลูกนี้ไป ปักษาน้อยทั้ง 3 ต่างก็ดีใจเช่นกันที่ได้เดินทางมากับพวกพงวิช และทั้ง 3 ก็บินเล่นกันบนท้องเหนือกลุ่มพงวิชขึ้นไปอย่างสนุกสนาน

----------------------------------------------------จบตอนที่ 33------------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 34 เสร็จแล้วขอรับ
Post by: !!! Unknow !!! on October 15, 2005, 01:02:44 AM
ตอน ชนเผ่าคาดาเรีย

มาร์คัสและกลุ่มสาวๆต่างเดินทางมุ่งหน้าไปเรื่อย จนพวกเขานั้นผ่านพ้นป่าปีศาจและปราสาทแวมไพร์ออกมาได้ พวกเขาก็มองเห็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่
“เอาละ คืนนี้พวกเราจะไปพักกันที่เมืองท่าแถวๆนั้นก็แล้วกัน” มาร์คัสหันมาบอกแล้วจู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากวิ่งมา มาร์คัสจึงหันกลับไปมองก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางเขา และมีกลุ่มพวกชายสูทดำกลุ่มหนึ่งตามเธอมาพร้อมกับในมือถืออาวุธ สาวน้อยคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาหลบหลังมาร์คัส
“ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย” สาวน้อยคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆหวาดกลัว
“ไม่ต้องห่วง พวกนั้นทำอะไรเธอไม่ได้หรอก” มาร์คัสบอก แล้วเขาก็เดินออกไปเผชิญหน้ากับชายกลุ่มนั้น

“พวกคุณวิ่งตามสาวน้อยคนนั้นมาทำไมกัน ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจได้” มาร์คัสถาม
“แกอย่ามายุ่งเรื่องของพวกเรา ถอยไปซะไม่งั้นตาย” ชายสูทดำตอบแล้วชายกลุ่มนั้นก็ยกปืนขึ้นเล็งมาที่มาร์คัส
“ถ้าไม่ชอบพูดคุยเจรจากับฉัน งั้นก็พูดกับเจ้านี่แล้วกัน   ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส ออกมาเลย เจ้าแมวน้อยของข้า ไวท์ไทเกอร์” มาร์คัสร่ายเวทย์มนต์โบราณเรียกแมวน้อยตัวสีขาวจ้าออกมา ด้วยขนาดที่เล็กเหมือนแมวทั่วไป ที่พิเศษกว่าแมวก็แค่มีผนึกสีรุ้งกลางหน้าผากของมัน พวกชายกลุ่มนั้นก็ตะลึงอยู่กับสักพัก แล้วมาร์คัสก็หันเดินกลับมาหาสาวน้อยคนนั้น

“ไม่ต้องห่วงหรอก แมวน้อยมันก็น่ารักแบบนี้แหละไปกันต่อเถอะ” มาร์คัสบอก แล้วเขาก็เดินตรงไปที่เมืองท่า แต่สาวน้อยคนนั้นก็ยังหวาดระแวงเดินเกาะเสื้อมาร์คัสไปจนไกลห่างจากพวกชายกลุ่มนั้นเธอก็ค่อยๆเริ่มดีขึ้น จนพวกมาร์คัสเดินไปไกลแสนไกลจากชายกลุ่มนั้นแล้ว ชายกลุ่มนั้นก็หายตะลึง
“มัวมองอะไร ยิงมันดิ” ชายคนนั้นบอกแล้วกลุ่มนั้นก็ระดมยิงใส่แมวน้อยตัวนี้ แมวน้อยตัวนี้ก็กระโดดหลบกระสุนได้หมด จนชายกลุ่มนั้นยิงปืนจนหมดแม๊ก ต่างก็ตะลึงกับความว่องไวของมัน แมวน้อยตัวนี้ก็มองพวกเขาด้วยสายตาบ๊องแบ๊วน่ารักน่าเอ็นดูใส่ ชายกลุ่มนั้นเมื่อเห็นแล้วก็หลงใหลในความน่ารักของมัน จนพวกเขาค่อยก้าวเข้าไปหาอยากจะลูบจับมัน จนพวกเขาเข้าล้อม แมวน้อยตัวนี้ก็ก้มหัวเก็งตัว ผลึกที่หน้าผากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวและสว่างจ้าขึ้น
“Rainbow Explode” แมวน้อยตัวนั้นปล่อยพลังระเบิดแสงสีรุ้งขนาดใหญ่ออกมา ด้วยแรงระเบิดทำให้มันนั้นกระเด็นลอยขึ้นฟ้ามาตกบนบ่าของมาร์คัส แล้วมันก็เลียหน้ามาร์คัสอย่างสัตว์เลี้ยงทั่วไป ส่วนชายกลุ่มนั้นก็อนาถทันที

“เจ้าลิงน้อย เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่พัฒนาสมองได้เร็วถึงขนาดรู้จักเลี้ยงแมวน้อยได้ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆ” มาย่ามองดูมาร์คัส
“บอกกี่รอบแล้วอย่าเรียกมาร์คัสว่าเจ้าลิงน้อย” ธิดาภาพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“แล้วเธอชื่ออะไรจ๊ะ ช่วยบอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น” อรนิชาถาม
“หนูชื่อ โลโล่ ที่หมู่บ้านหนูถูกชายพวกนั้นเข้ายึด แต่ท่านพ่อขอข้อเสนออื่นได้มั้ยที่จะให้พวกนั้นมายึกหมู่บ้าน พวกมันก็เลยบอกข้อเสนอว่า พวกมันต้องการไข่มุกทั้ง 6 สี เนื่องจากไข่มุกเหล่านี้มันมีอยู่ห่างไกลมาก พวกมันต้องการได้ของภายใน 1 อาทิตย์และจับหนูมาเป็นตัวประกัน แต่หนูหนีออกมาได้ พวกมันคงคิดที่จะไปทำลายหมู่บ้านของหนูแน่ ได้โปรดช่วยหมู่บ้านของหนูได้มั้ยคะ” โลโล่เล่าให้ฟัง
“เรื่องแค่นี้สบายน่า ไม่ต้องห่วงหรือกังวลใดๆ เพียงแค่เธอพาฉันไปที่หมู่บ้านของเธอก็บอก เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเจรจากับพวกมันให้เอง” มาร์คัสบอก แล้วแมวน้อยก็กระโดดเข้ามานอนซุกในอ้อมแขนของโลโล่
“เจ้าแมวน้อยถ้าเป็นคนคงจะหัวงูน่าดู คนเลี้ยงจะเป็นเหมือนกันมั้ยเนี่ย” มาย่ามองดูท่าทางของแมวน้อย แล้วโลโล่ก็ยิ้มดีใจ และวิ่งนำทางเข้าไปในป่าข้างๆ

“อะไรกันวะ แค่นี้ปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นมันหนีไปได้ไง” หัวหน้าชายสูทดำเวมขึ้นเสียงใส่ผ่านโทรศัพท์
“โถ่ลูกพี่ ก็เจ้าเด็กนั่นมันวิ่งเร็วยิ่งกว่าอะไร แถมเวลาจับได้มันก็ดิ้นจนจับไม่อยู่แล้วก็วิ่งหนีไปได้ตลอด” ชายสูทดำบอก
“ไปตามจับมันมาให้ได้” เวมสั่ง
“ตามจับแล้วลูกพี่ มันมีชายคนหนึ่งมาช่วยเด็กนั่นไว้ พวกเรารุมยังแพ้เลย” ชายสูทดำบอก
“งั้นพวกแกรีบจัดเตรียมอาวุธครบมือ หุ่นเหล็กเท่าที่มี รอข้าสั่งได้ งานนี้เดี๋ยวข้าเคลียกับมันเอง” เวมบอก
“ครับลูกพี่” ชายสูทดำรับคำสั่งแล้วเวมก็วางสายทันที
“มันเป็นใครวะ อย่างนี้มันต้องเจอดีกับข้า” เวมทุบโต๊ะอย่างแรงจนโต๊ะพังทันทีแล้วก็เดินออกจากห้องไป

“ใกล้ถึงยังละเนี่ย” มาย่าถาม
“ใกล้ถึงแล้วค่ะ อีกนิดเดียว” โลโล่ตอบ แล้วพวกเขาก็พ้นป่ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“ที่นี่หมู่บ้านอะไรเนี่ย” อรนิชาถาม
“ที่นี่หมู่บ้านของหนูเอง ทุกคนในหมู่บ้านคือชนเผ่าคาดาเรีย พวกเราจะมีความสามารถพิเศษตั้งแต่กำหนดในเรื่องความเร็ว มาซิ หนูจะพาไปหาท่านพ่อ” โลโล่บอกแล้วเดินตรงเข้าไปที่บ้านไม้ใหญ่หลังหนึ่ง พวกมาร์คัสก็เดินตามเข้าไปเรื่อยๆ มองดูชีวิตประจำวันของชาวเผ่าคาดาเรีย เมื่อเข้ามาในบ้านไม้ใหญ่ได้

“ท่านพ่อหนูกลับมาแล้วค่ะ” โลโล่พูดอย่างดีใจที่ได้กลับมาหมู่บ้านนี้อีกครั้ง
“โลโล่ พวกมันปล่อยลูกมาเหรอ” พ่อของโลโล่ประหลาดใจทันทีที่เห็น
”ปล่าวค่ะ หนูหนีออกมา แล้วคนกลุ่มนี้เขาช่วยหนูไว้ หนูก็เลยกลับมาที่นี่ได้” โลโล่บอก พ่อของโลโล่ก็ยิ้มทันที
“ต้องขอบคุณพวกท่านมากเลย ที่ช่วยลูกสาวของผมไว้ แล้วพวกท่านรู้จักลูกสาวผมหรือยัง เธอชื่อโลโล่ อายุ 14 ปี พอแตกเนื้อสาวก็มีหนุ่มๆมารุมจีบ ผมเองก็ไม่รู้จะคิดยังไง หนุ่มสาวก็งี้แหละ” พ่อของโลโล่กล่าวขอบคุณ
“ท่านพ่อนี่ละก็ นี่พ่อของหนูชื่อ ลาส เป็นหัวหน้าเผ่าของเรา” โลโล่แนะนำให้รู้จัก
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณลาส” ธิดาภาบอก
“ไม่ต้องเรียกขนาดนั้นก็ได้ครับ พวกเราถือว่าเป็นคนกันเอง ทีนี้ผมก็ยังเหลือเรื่องทุกข์ พวกคุณคงทราบจากลูกสาวผมแล้วนะครับ” ลาสบอก
“ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง พวกท่านอย่ากังวล” มาร์คัสบอก
“พวกท่านจะสู้กับชายพวกนั้นได้เหรอ พวกมันมีจำนวนมากเลยนะ” ลาสถาม
“เจ้าลิงน้อยคนเดียวก็เอาอยู่แล้ว” มาย่าตอบ
“บอกแล้วไงอย่าเรียกว่าเจ้าลิงน้อย” ธิดาภาขึ้นเสียงใส่
“ผมก็คงโล่งอกไปอยู่บ้าง ถ้าไม่รังเกียจคืนนี้พักที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ โลโล่ลูกช่วยจัดที่พักให้พวกเขาทีนะ” ลาสบอก
“ค่ะ งั้นเชิญตามหนูมาเลยนะคะ” โลโล่เดินนำเข้าไปในห้องข้างๆ ซึ้งเป็นทางเดินข้างนอกเป็นเหมือนสะพานไม้ยาว ด้านล่างเป็นบ่อน้ำ ทิวทัศน์ในป่านี้ทำให้พวกสาวๆรู้สึกสดชื่นขึ้นมา

เมื่อข้ามสะพานมาก็มีบ้านไม้อยู่หลัง แล้วโลโล่ก็ยืนงงกุมขมับ
“ว๊า ทำไมเป็นแบบนี้เนี่ย” โลโล่ตกใจ
“มีอะไรเหรอ” มาร์คัสถาม แล้วโลโล่ก็หันมาบอก
“คือ ลืมไปว่า บ้านไม้ที่พักนี้มันเหลือเพียงหลังเดียว เมื่อก่อนเคยจำได้ว่ามีหลายหลัง ในบ้านหลังนั้นพักได้ 4 คน พวกพี่สาวทั้ง 4 ท่านพักกันที่นั้นนะคะ” โลโล่บอก
“แล้วเจ้าลิงน้อยนี่ละ ! อ๋อ ใช่ซิ เจ้าลิงน้อยต้องห้อยโหนนอนตามต้นไม้นี่” มาย่าพูดไปหัวเราะไป
“ถ้าวันนี้ยังพูดว่าเจ้าลิงน้อยอีก ฉันจะไม่คุยด้วยอีกเลย” ธิดาภาโกรธขึ้นทันที
“พี่ชายคนนี้ ไปนอนที่ห้องของหนูก็ได้ค่ะ เตียงหนูมันใหญ่เกิน ยังมีที่เหลือพอจะให้อีกสักคนนอนด้วย” โลโล่ตอบ มาร์คัสก็ยืนนึกอยู่สักพัก
“เหอๆ งั้นพวกเราไปพักผ่อนกันเถอะ” มาย่านึกบอกอย่างขึ้นมาในหัวได้แล้วก็เดินเข้าไปในบ้านไม้
“ทางนี่ค่ะ เดี๋ยวจะพาไปที่ห้องของหนู” โลโล่บอกแล้วก็เดินต่อไป
“ธิดาภา ทำไมทำหน้าแบบนั้นละ” มาร์คัสหันมาเจอ
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่พากผู้เยาว์หรอก วางใจได้ คิดไปซะว่า ฉันกับโลโล่เป็นพี่น้องกัน จะนอนด้วยกันก็ไม่ผิดแปลกอะไร” มาร์คัสบอกแล้วก็เดินตามโลโล่ไป
”ไปเถอะธิดาภา เขาคงไม่หัวงูขนาดนั้นหรอกมั้ง แต่ไม่แน่ ขนาดสัตว์เลี้ยงยังหัวงูเลย” อรนิชาบอก แล้วพวกเธอก็เดินเข้าไปพักผ่อนในบ้านไม้

“เดินมาด้วยกันตั้งนาน หนูยังไม่รู้จักชื่อพี่ชายเลย” โลโล่ถาม
“ฉันชื่อ มาร์คัส ฉันเป็นแค่นักเดินทางทั่วไป ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง” มาร์คัสตอบ
“แต่เห็นพี่ชายร่ายเวทย์มนต์คาถาโบราณได้ด้วย พี่ชายต้องเรียนมาจากที่ไหนแน่ๆเลย หนูเองก็พอรู้จักอ่านเขียนภาษาโบราณได้บ้าง แต่ไม่คล่องเท่าพี่ชายเลย พี่ชายช่วยสอนหน่อยได้มั้ย” โลโล่บอก
“อาจจะได้นะ ถ้าเธอเป็นเด็กหัวดูเรียนรู้เร็ว จะสอนให้สักคาถา เอาไว้ป้องกันตัว” มาร์คัสบอกแล้วก็หยุดเดิน
“ขั้นแรกเริ่มจาก เธอรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณมากแค่ไหน ทุกตัวอักษรเลยรึปล่าว” มาร์คัสถาม
“รู้จักหมดเลยค่ะ แต่ถ้าร่ายคาถายังทำไม่ได้เลย” โลโล่ตอบ
“งั้นขั้นต่อมา ไม่มีอะไรมาก อยากให้เธอฝึกท่องคาถานี้มันเป็นคาถาที่ค่อนข้างง่ายแล้ว  ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส แล้วเธอก็เรียกเจ้าแมวน้อยตัวนั้นออกมา ถ้าเธอทำสำเร็จมันก็ง่ายแค่นี้แหละ ลองฝึกดูนะ” มาร์คัสบอก
“ค่ะ จะพยายาม” โลโล่สูดลมหายใจเข้าลึกตั้งสมาธิดีๆ
“ไลซาเก..อ.ริเด..ริกเทน ฟอ..น.มา..กิส โอโย้วโยว ร่ายคาถาไม่เป็นจังหวะเลย” โลโล่กุมขมับทันที มาร์คัสเองก็หัวเราะนิดๆ
“ครั้งแรกก็งี้แหละ ตื่นเต้นเกิน ลองไปฝึกดูบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเองแหละ ทีนี้ไปต่อเถอะ ฉันเองก็ไม่อยากหลงในหมู่บ้านนี้” มาร์คัสบอกแล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปพูดคุยสนิทสนมราวกับพี่น้องปกติ
 
เย็นวันนั้นธิดาภาก็เข้าไปหาลาสที่บ้านไม้หลังใหญ่และถามทางไปบ้านไม้ของโลโล่ แล้วเธอก็เดินไปตามทางที่ลาสบอก เมื่อมาถึงหน้าบ้านไฟในบ้านไม้ของโลโล่ก็มืดสนิทเหมือนกับว่าไม่มีคนอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปดูด้านใน เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
“มาร์คัส อย่าแรงนักซิ หนูเจ็บนะ”
“ไม่เจ็บหรอก ถ้าเจ็บเดี๋ยวจะแรงกว่านี้ให้ดู”
ธิดาภาเริ่มหนักใจกับคำพูดเหล่านี้ เธอจึงค่อยๆเดินเข้าไปยังห้องนอนอย่างช้าๆ
“หยุดนะ พอเถอะ หนูทนไม่ไหวแล้ว”
เมื่อธิดาภาชะโงกหัวเข้าไปดูในห้องนอนก็เห็นภาพที่เธอทนรับไม่ได้

“มาร์คัส” ธิดาภาตะคอกเสียงใส่จนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วเธอก็หายใจอย่างแรง
“ธิดาภาเร็ว ลาสบอกว่าในคนหมู่บ้านเห็นพวกชายสูทดำมุ่งหน้ามาทางนี้” พิชามนญ์ปลุก
“ขนาดในฝันยังละเมอถึงอีกนะ เร็วรีบไป” มาย่าบอก แล้วธิดาภาก็รีบเปลี่ยนชุดแล้วไปที่ลานกว้างกลางหมู่บ้าน ระหว่างทางที่ไปนั่นก็เห็นโลโล่วิ่งตามมาด้วยความเร็วมากจนแซงนำไป
“วิ่งช้าแบบนี้ ถ้าโดนปีศาจไล่ฆ่าจะตายเอานะ มาฉันช่วยเอง” มาร์คัสบอกแล้วก็แบกธิดาภาวิ่งไป

เมื่อมาถึงลานกว้างก็เห็นลาสยืนอยู่พร้อมกับชาวบ้านหมู่มาก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอท่านพ่อ” โลโล่ถาม แล้วจู่ๆก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในสภาพที่ถูกทำร้ายอย่างสาหัส
“พวกมันบุกมาแล้ว” แล้วชายคนนั้นก็ล้มลง
“มาแล้วเหรอเนี่ย” ลาสเริ่มหวั่นๆ
“ทุกคนโปรดหลบไปหลังต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ ฉันจะจัดการให้เอง” มาร์คัสบอกแล้วลาสที่เชื่อมั่นในตัวมาร์คัสก็อพยพชาวบ้านไปหลบอยู่หลังต้นไม้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเพียงมาร์คัสและสาวๆอีก 4 คนยืนเตรียมพร้อมต่อสู้
“พวกเธอด้วย” มาร์คัสบอก
“มาร์คัส เธอคนเดียวจะไหวเหรอ” ธิดาภาถาม
“ไหว เชื่อใจฉันซิ” มาร์คัสหันมายิ้มให้
“ไปเถอะ ธิดาภา เจ้าลิงน้อยจะโชว์เดี่ยว” มาย่าบอกแล้วก็พาธิดาภาไปหลบดูเหตุการณ์อยู่หลังต้นไม้ใหญ่กลางหมู่บ้าน
“ไอ้พวกนี้ มันต้องเจอฉันก่อนถึงจะสำนึกบาปได้” มาร์คัสดึงผ้าพันคอสีฟ้าขาวออกมาพันที่แขนซ้ายไว้

------------------------------------------------------จบตอนที่ 34-------------------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 35 เสร็จแล้ว
Post by: !!! Unknow !!! on October 15, 2005, 06:22:42 AM
ตอน เพียงคนเดียว

“แกเป็นใครวะ” เวมและบรรดาลูกน้องอีกมากมายบุกเข้ามา
“ถ้าอยากจะรู้ เอาไว้บอกตอนก่อนที่พวกแกจะตายก็แล้วกัน ถึงยังไงวันนี้ฉันจะเอาแค่ให้พวกแกได้สารภาพบาปเท่านั้นก็พอ” มาร์คัสบอก
“เจ้าหมอนั่นใช่ปะ” เวมก้มมาถาม
“ครับลูกพี่ ใช่มันเลย” ชายสูทดำตอบ เวมก็พยักอย่างเข้ม
“ยิงมัน” เวมสั่ง แล้วพวกชายสูทและบรรดาหุ่นยนต์ต่างระดมยิงใส่ มาร์คัสเองก็แค่หลับตาลงและยืนกอดอกยิ้มเล็กๆ กระสุนทั้งหมดที่ยิงมานั้นหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา
“โห มันเล่นของเว้ยลูกพี่” ชายสูทดำตกใจและบางคนก็ถอยล้นออกห่าง
“จะกลัวห่าไรมัน ยิงไม่เข้าก็ทุบมันให้ตายซิวะ” เวมสั่งแล้วพวกชายสูทดำก็ชักดาบออกมาวิ่งเข้าโจมตีใส่
“เริ่มแล้วเหรอ” มาร์คัสบอกแล้วก็ลืมตาขึ้น กระสุนที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา พุ่งยิงใส่ชายสูทดำพวกนั้น ก้นกระสุนที่ไม่แหลมนั้นทำแค่ให้ชายสูทดำพวกนั้นจุกและล้มลง ไม่ถึงกับตาย
“โถ่ เว้ย ยืนซื่อบื้ออะไรหุ่นยนต์มีไว้ทำไรก็ลุยเข้าไปดิ๊” เวมสั่งไปพร้อมกับเริ่มหงุดหงิด

แล้วพวกหุ่นยนต์ก็บุกเข้าโจมตีใส่ ในจังหวะที่หุ่นยนต์พวกนั้นใช้หมัดทุบลงใส่ มาร์คัสก็กระโดดไต่ขึ้นไปบนหุ่นยนต์และอัดใส่ชายสูทดำที่ควบคุมจนตกจากหุ่นยนต์ แล้วเขาก็บังคับหุ่นยนต์โจมตีใส่หุ่นยนต์ข้างๆจนพังและระเบิด ไม่นานนักเวมก็เห็นสภาพลูกน้องของตนล้มกองอนาถอย่างหมดท่า
“อะไรวะ แค่นี้ต้องให้ลุยเอง” เวมบอกแล้วเขาก็เดินเข้ามาหา
“แกเป็นใครเก่งมาจากไหนวะ” เวมบอกแล้วเขาก็ใช้หมัดอัดใส่ แต่มาร์คัสปัดได้และเวมก็เตะใส่อย่างเร็ว จนมาร์คัสกระเด็นออกไป
“คนธรรมดาเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” มาร์คัสประหลาดใจ
“เหมือนจะเก่ง ฝีมือแค่นี้เองเหรอ” เวมเยาะเย้ยใส่
“ฝีมือนายดูเข้าท่า ความเร็วการเคลื่อนไหวดูใช้ได้ แต่อยากจะรู้ว่าเร็วได้ขนาดนี้หรือเปล่า” มาร์คัสบอกแล้วก็พุ่งเข้าใช้หมัดซ้ายอัดใส่ เวมยิ้มและใช้มือข้างเดียวรับหมัดของมาร์คัสได้ แล้วมาร์คัสก็ยิ้มออกมาทำให้เวมชะล่าใจ แล้วมาร์คัสก็กระโดดเตะใส่เวม 100 ครั้งอย่างรวดเร็ว แล้วถีบเวมจนกระเด็นออกไปชนกับซากหุ่นยนต์

“ยอมรับมาเถอะ พวกอันธพาลอย่างแก ไม่มีอะไรดีในตัวหรอก กลับไปหางานดีทำซะ อย่าให้เดือดร้อนคนอื่นด้วยละ เอาล่ะทีนี้ก็คุเข่าซะ เตรียมตัวสารภาพบาป พวกเจ้าจะได้หมดบาป ชาติหน้าจะได้เกิดมาได้ดี” มาร์คัสบอก ทำให้เวมนั้นรู้สึกเจ็บใจยิ่งขึ้น แล้วเวมก็ลุกขึ้น
“แก ไปตายซะ” เวมวิ่งเข้ามาพร้อมใช้หมัดทั้งสองข้างอัดใส่มาร์คัส 1000 หมัดอย่างรวดเร็วแต่มาร์คัสก็รับหมัดได้หมดและใช้หมัดซ้ายอัดสวนใส่ในจังหวะสุดท้ายจนเวมกระเด็นออกไป แล้วเขาก็วิ่งเข้ามาทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็โดนอัดใส่กลับไปทุกครั้ง จนเขาล้มลง
“เจ้าบ้านี่เป็นใครกัน ทำไมยังมีคนที่เร็วกว่าข้าอีกเหรอเนี่ย” เวมพูดพึมพำ แล้วเขาก็ลุกขึ้น แล้วมาร์คัสก็ปวดหัวอย่างหนักขึ้นทันทีและจู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องอันโหยหวนอย่างน่ากลัว และภาพความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเขา พอทุกอย่างสงบลง เขาก็เงยหน้ามองไปที่เวม ทันทีที่มองไปเขาเห็นชายชุดดำใช้ดาบแทงทะลุหลังเวมและมองมาที่เขา

“ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ มาร์คัส” ชายชุดดำบอก
“แก ฆ่าเขาทำไม” มาร์คัสถาม
“ฉันมีหน้าที่บนโลกนี้เพื่อฆ่า และมันก็เป็นสิ่งที่สนุกไม่ใช่น้อย ส่วนนาย ตอนนี้ฉันยังไม่อยากฆ่าแกหรอก รวบรวมพลังให้ครบ แล้วเรามาตัดสินชะตาชีวิตของโลกนี้ไปทีเดียว” ชายชุดดำบอกแล้วร่างของเขาก็หายตัวมาโผล่กระซิบเบาๆอยู่ด้านหลังมาร์คัส
“ลาก่อน เพื่อนเอ๋ย” แล้วร่างของชายชุดดำก็สลายเป็นควันลอยหายไป พวกชายสูทดำพอเริ่มมีแรงต่างก็รีบนำร่างของเวมกลับไปรักษาทันที
“แกมันบ้า” มาร์คัสพูดพึมพำแล้วก็เดินไปหลังต้นไม้ใหญ่และดึงผ้าพันคอออกจากแขนมาผูกไว้ที่เดิม
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไปเก็บกวาดกันได้เลย” มาร์คัส แล้วพวกชาวบ้านต่างก็ดีใจกันอย่างมาก
“ขอบคุณพ่อหนุ่มเล๊ย” ชายแก่คนหนึ่งเข้ามาขอบคุณ
“คืนนี้เราจะจัดงานฉลองกันหน่อยเพื่อหมู่บ้านของเรา” ลาสบอก แล้วทุกคนต่างก็รีบไปจัดเตรียมของ

เมื่องานฉลองในหมู่บ้านเริ่มขึ้นที่กลางลานหมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านต่างก็ออกมาร้องเล่นเต้นรำกันสนุกสนาน
“มาร์คัส ข้ามีเรื่องอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวกับท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” ลาสบอกแล้วเขาก็เดินไปที่สระน้ำโอรอนท้ายหมู่บ้าน ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่ศาลาริมสระน้ำและก็นั่งพัก
“เรียกข้ามาทำไมหรือ” มาร์คัสถาม
“ท่านคิดว่าสระน้ำนี้ตอนกลางคืนมันสวยมั้ย แสงจันทราที่สาดส่องกระทบไข่มุกมรกตใต้ก้นสระเปร่งแสงเรืองรองไปทั่ว” ลาสชมวิวสระน้ำโอรอน
“ใช่ มันสวยมาก” มาร์คัสบอก
“มาเข้าเรื่องกัน เดี๋ยวสักพักก็คงจะมีเหล่าภูตสาวน้อยทั้งหลายมาเล่นน้ำ ข้ามาเพื่อแอบดูพวกเธอเล่นน้ำกัน” ลาสบอก แล้วมาร์คัสก็ประหลาดใจ
“เอางั้นเลยเหรอ” มาร์คัสถาม
“ปล่าวไม่ใช่หรอก ล้อเล่นหนะ เรื่องที่จะบอกคือ ท่านคือหัตถ์ซ้ายแห่งพระเจ้าใช่หรือไม่ แน่นอนเลยว่าใช่ เทพอลิเซียฝากให้ข้ามาช่วยเหลือบอกสารกับท่านบางอย่าง” ลาสบอก
“ใช่ แล้วสารอะไรที่จะบอกเรา” มาร์คัสถาม
“เทพอลิเซียบอกให้ท่านมุ่งหน้าไปมหานครเวเอล่า แล้วที่นั่นจะมีโบสถ์ของเทพอลิเซีย ให้ท่านไปหาสาวคนหนึ่งที่ชื่อ เกลวารีน เธอจะบอกสถานที่ซ่อนพลังของท่านแห่งหนึ่งให้กับท่าน” ลาสบอก
“เมืองเวเอล่า ต้องเดินเรือจากเกาะนี้ไปก็ไม่ไกลนี่ ขอบใจท่านมากที่นำสารจากอลิเซียมาบอกแก่เรา” มาร์คัสบอก แล้วก็มีเสียงบางอย่างจากป่าฟากตรงข้ามของสระนี้
“นั่น มาแล้ว ภูตน้อยน่ารัก มาหลายตนด้วย” ลาสบอกแล้วก็ก้มตัวต่ำเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แต่มาร์คัสก็ไม่สนใจและเดินกลับไปที่หมู่บ้าน

ที่หมู่บ้านเหล่าชาวบ้านต่างสังสรรค์เฮฮารื่นเริง และเหล่าสาวๆทั้ง 4 ที่ง่วงมาก พวกเธอก็กลับไปนอนในที่พักของเธอ
“ธิดาภา ฉันขอถามจริงๆนะ นั่นใช่เจ้าลิงน้อยเหรอ ตอนเธอพากลับมาเนี่ย พามาผิดคนหรือเปล่า” มาย่าถาม แล้วธิดาภาก็หันมาทำหน้าไม่พอใจใส่
“อูย โทษทีที่เผลอเรียกว่าเจ้าลิงน้อย” มาย่าบอก
“อันนี้แน่นอนว่าใช่ เด็กน้อยที่เคยอยู่กับพวกเรา แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาก็กลับกลายเป็นแบบนี้ได้” ธิดาภาตอบ
“นี่มาย่า เธอนี่ก็ช่วงสงสัยจริงๆนะ” อรนิชาบอก
“ก็มันน่าสงสัยนี่ จู่ๆจะมีใครเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้” มาย่าบอก
“เธอง่วงไม่ใช่เหรอ ก็รีบนอนซะซิ” พิชามนญ์บอก
“ใช่จริงด้วย งั้นนอนละ” มาย่าบอกแล้วเธอก็ดึงผ้าห่มมาคลุมนอนหลับทันที
“แม่นี่ก็แปลกคนจริงแท้” อรนิชามองดู แล้วพวกเธอต่างก็เข้านอนกันทันที เพื่อพักผ่อนร่างกาย

------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 35--------------------------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 36 เสร็จแล้ว
Post by: !!! Unknow !!! on October 15, 2005, 06:47:32 AM
ตอน เหตุบังเอิญ และการเดินทางมุ่งสู่เวเอล่า

เมื่อกลับมาที่หมู่บ้านโลโล่ก็ตรงเข้ามาหา
“พี่ชาย หนูมีอะไรจะให้ดูตามมาเร็วซิ” โลโล่บอก
“โอย ง่วง ขอไปนอนจะได้มั้ย” มาร์คัสบอกแต่โลโล่ก็ไม่สนใจและดึงแขนมาร์คัสวิ่งขึ้นไปยังด้านบนของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งข้างบนนี้เป็นหอสังเกตการณ์
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ดับไฟก่อนที่จะทำอะไรต่อไป” โลโล่บอก มาร์คัสก็ตกใจกับคำพูด
“คอยดูดีๆนะ” โลโล่บอก
“อืมจะดู อย่านานละเดี๋ยวฉันจะหลับซะก่อน” มาร์คัสนั่งลืมจดจ้องมอง
“ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส เจ้าแมวน้อยจงออกมา” โลโล่ร่ายคาถาโบราณเรียก ไวท์ไทเกอร์ ออกมา ลำตัวของมันเปร่งแสงสว่างออกมาได้ มาร์คัสเห็นก็ปรบมือให้ทันที
“เก่งนี่ เรียนรู้ได้ไว ทีนี้ก็ขอไปนอนก่อนนะ” มาร์คัสบอก
“คะ” โลโล่ลุกขึ้นเดินตามไป แล้วเจ้าแมวน้อยก็กระโดดขึ้นมาเกาะโลโล่ โดยที่เธอไม่ทันจะรับเจ้าแมวน้อย เล็บของมันข่วนเสื้อของโลโล่จนขาด โลโล่ก็กรีดออกมาทันที มาร์คัสจึงหันไปก็เห็นโลโล่เอาแขนทั้งสองข้างกุมหน้าอกไว้
“เจ้าแมวน้อยกลับไป” มาร์คัสขึ้นเสียงไล่ใส่มัน แล้วมันก็สลายหายไป
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ โลโล่” มาร์คัสถาม
“เสื้อหนูขาดอ่ะ เจ้าแมวน้อยมันกระโดดมาเกาะแต่หนูรับไว้ไม่ทันมันเลยข่วนเสื้อจนขาด” โลโล่ตอบ แล้วมาร์คัสก็ถอดเสื้อให้โลโล่ใส่แทน
“ทำไมวันนี้มันง่วงขนาดนี้” มาร์คัสบ่นแล้วเขาก็เดินลงจากหอนี้
“เดี๋ยว พี่ชาย หากท่านลงไปพวกชาวบ้านจะเข้าใจผิดได้ รอให้ชาวบ้านข้างล่างนั้นกลับเข้านอนให้หมดก่อนได้มั้ย ค่อยกลับไปที่พัก” โลโล่บอก แล้วทั้งคู่ก็นั่งพักอยู่บนหอ

ไม่นานนักมาร์คัสก็เผลอหลับไปทันทีด้วยความง่วง โลโล่เองก็เริ่มง่วงและอากาศตอนกลางคืนในป่านี้ก็ค่อนข้างร้อนไร้ลมพัด โลโล่ที่ไม่เคยใส่เสื้อหนา เพราะปกติเธอจะใส่เสื้อจากผ้าไหมบางๆที่ใส่แล้วสบาย เธอก็เลยถอดออกแล้วนำมาคลุมปิดร่างกายบางส่วนแทน ด้วยความง่วงเธอก็เลยนอนลงและหลับไปในเวลาต่อมา กลางดึกชาวบ้านเริ่มทยอยกลับเข้าบ้านนอนกัน และบนหอสังเกตการณ์นี้ก็มีมาร์คัสกับโลโล่ที่เผลอหลับไป โลโล่ที่นอนกลิ้งไปมาจนกลิ้งหันหน้ามาหามาร์คัส มาร์คัสเองก็ละเมอโอบกอดโลโล่ไว้ในอ้อมแอนอันอบอุ่นของเขา

เมื่อใกล้ตะวันรุ่ง ลาสที่ต้องตื่นแต่เช้าออกมาคอยดูความปลอดภัยให้กับหมู่บ้าน เขาจึงเดินจิบกาแฟร้อนๆขึ้นมายังหอสังเกตการณ์ เมื่อเขาขึ้นมาก็เห็นมาร์คัสกับโลโล่นอนกอดกันในสภาพที่โลโล่และมาร์คัสเปลือย
“เวรกรรม ลูกสาวเราเสียตัวซะแล้ว” ลาสตกใจ จึงรีบกลับลงไปทันทีและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องอันใดแล้วเขาก็เดินกลับเข้าบ้านหลังใหญ่ไป โลโล่ที่ตื่นมาเธอจึงนึกได้ว่าต้องรีบกลับไปที่บ้านก่อนที่จะมีคนมาเห็น เธอจึงรีบวิ่งกลับไปที่บ้านของเธออย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครรู้ และสักพักมาร์คัสก็ตื่นขึ้นมา เขาเห็นเสื้อของเขาวางอยู่ข้าง เขาก็เลยสวมใส่และเดินลงจากหอสังเกตการณ์ แล้วลาสก็รีบเดินตรงเข้ามาทันที
“มาร์คัส ข้ามีเรื่องด่วนจะให้ท่านรับผิดชอบ” ลาสพูดด้วยน้ำเสียงอันหนักเข้ม แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่

“มีอะไรเหรอ” มาร์คัสถาม
“ท่านรู้มั้ยท่านทำอะไรลงไป หากชาวบ้านรู้เขาลูกสาวข้าจะมีแต่เสื่อมเสีย” ลาสตอบ
“ข้าทำอะไรลงไปเหรอ” มาร์คัสยังงงกับที่ลาสพูด
“เมื่อเช้าข้าขึ้นไปที่หอสังเกตการณ์ ข้าเห็นลูกสาวข้าเสียตัวให้ท่านแล้ว หากท่านไม่รับผิดชอบ หากลูกสาวข้าท้องไม่มีพ่อขึ้นมา ชาวบ้านจะต่อว่าเอาได้” ลาสบอก มาร์คัสก็สะดุ้งตกใจทันที
“เมื่อคืนฉันแค่ง่วงแล้วก็หลับไปไม่รู้เรื่องอะไรเลย คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” มาร์คัสบอก
“ไม่รู้ละ ท่านต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ หากท่านไม่รับผิดชอบ ข้ากับลูกสาวข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ลาสบอก
“แล้วจะให้รับผิดชอบยังไงละ” มาร์คัสบอก
“ท่านต้องแต่งงานกับลูกสาวข้าทันทีภายในวันนี้” ลาสบอก มาร์คัสก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
”ก็ได้ ถือว่าฉันเห็นแก่ท่านแล้วกัน” มาร์คัสบอก
“งั้นท่านไปเตรียมตัวได้เลย เที่ยงวันนี้จะเริ่มพิธี เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับโลโล่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน” ลาสพูดเสร็จก็ลุกเดินออกจากบ้านไปทางบ้านของโลโล่
“เวรแล้ว เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นบ้างวะเนี่ย” มาร์คัสที่ไม่ร็เรื่องอะไร เขาเองก็เดินไปล้างหน้าที่สระน้ำโอรอน
“จะว่าไป โลโล่ก็น่ารักใช่ได้เลยนิ เราจะกังวลใจทำไม” มาร์คัสพูดกับตัวเองแล้วเขาก็ก้มหน้ามองดูตัวเองในน้ำอยู่นาน

ที่บ้านของโลโล่ เมื่อลาสมาถึงก็เดินเข้าไปในบ้านก็เห็นโลโล่เพิ่งสวมใส่เสื้อผ้าใหม่
“ลูกรู้มั้ยว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น” ลาสถาม
“เรื่องอะไรเหรอคะท่านพ่อ” โลโล่ยังไม่เข้าใจ
“ก็เมื่อเช้าพ่อขึ้นไปที่หอสังเกตการณ์เห็นลูกกับมาร์คัสนอนกอดกันในสภาพเปลือย ลูกจะบอกพ่อมาว่ายังไง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน” ลาสบอกโลโล่ก็ตกใจทันที
“ไม่นะ เมื่อคืนหนูแค่เผลอหลับไปเท่านั้นเอง” โลโล่บอก
“แล้วลูกก็เสียตัวให้กับมาร์คัส พ่อคิดว่าจะให้ลูกแต่งงานกับมาร์คัสทันทีในเที่ยงนี้ เพื่อไม่ให้ลูกเสื่อมเสียชื่อว่าท้องไม่มีพ่อ ลูกเตรียมตัวไว้ด้วยละ เที่ยงนี้ไปหาพ่อที่ลานกว้าง เดี๋ยวพ่อจะไปประกาศงานก่อน พ่อทำเพื่อตัวลูกนะ” ลาสบอกเสร็จแล้วก็เดินออกไปทันที โลโล่ก็ยังตะลึงแล้วก็ก้มมองเอามือลูบท้องของเธอเบาๆ
“นี่เราท้องเหรอเนี่ย” โลโล่ยืนอึ้งไปอยู่นาน

เมื่อใกล้เที่ยงเข้าไป ลาสก็ประกาศไปทั่วหมู่บ้านว่าจะจัดงานแต่งงานระหว่างโลโล่กับมาร์คัส เหล่าหนุ่มๆภายในหมู่บ้านที่แอบชอบโลโล่ต่างผิดหวังและแอบเสียใจทันทีอยู่ในบ้านของพวกเขา ธิดาภาที่ยังแปลกใจว่าชาวบ้านต่างแห่ไปที่ลานกว้างกัน เธอจึงเดินเข้าไปถามป้าคนหนึ่ง
“นี่ป้าคะ ไม่ทราบว่าเขามีอะไรกันเหรอคะ” ธิดาภาถาม
“อ๊อ ก็หัวหน้าเผ่าเขาคงจะขอบใจที่พ่อหนุ่มนั่นช่วยหมู่บ้านนี้เอาไว้มั้ง ก็เลยยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย” เมื่อป้าพูดเสร็จ ธิดาภาก็ตะลึงอยู่ชั่วขณะ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอธิดาภา” มาย่าถาม
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก แค่มีงานแต่งงานกันหนะ พวกเราไม่มีอะไรนี่ ก็คงจะต้องออกเดินทางต่อเถอะ ธิดาภาบอกแล้วก็เดินตรงไปที่ทางออกของหมู่บ้าน
“เดี๋ยวซิ มันต้องมีเรื่องอะไรขึ้นแน่ ทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ละ” อรนิชาถามด้วยความสงสัย
“มาร์คัสเขาแต่งงานกับโลโล่” ธิดาภาบอก
“เรื่องแค่นี้ อย่าเศร้าใจอะไรไปซิ เขาแค่คงจะขอบคุณก็เลยยกลูกสาวให้ เธอน่าจะจำได้นะว่าพวกชนเผ่าแบบนี้หัวหน้าเผ่ามักจะขอบคุณผู้ที่มีบุญคุณต่อหมู่บ้านโดยการยกลูกสาวให้ประมาณนี้” มาย่าบอก
“ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ เราก็คงต้องออกเดินทางต่ออยู่ดีแหละ ไปกันเถอะ เราไปที่เวเอล่า แล้วค่อยคิดเรื่องอื่นต่อก็แล้วกัน” ธิดาภาบอกแล้วก็เดินออกจากหมู่บ้านไปทันที

พอถึงเที่ยง ลาสก็ขึ้นมากลางลานและประกาศต่างๆนาๆ เกี่ยวกับที่มา
“จากที่ชายหนุ่มผู้นี้ได้ช่วยเหลือหมู่บ้านเราไว้ ข้าเองก็ไม่รู้จะขอบคุณหรือตอบแทนอย่างไร ข้าก็เลยขอยกลูกสาวคนเดียวของข้าให้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้นี้แทน” ลาสพูดเสร็จเขาก็เริ่มเข้าพิธีตามเผ่าของเขา จนเสร็จงานทั้งหมด ชาวบ้านต่างก็เข้ามาอวยพรต่างๆให้แก่โลโล่และมาร์คัส
“แล้วพวกธิดาภาละ พวกเธอไม่ได้มางานนี้เหรอ” มาร์คัสกวาดสายตามองหา
“ท่านไปเถอะ เธอคงจะรักท่านมากจนอาจจะรับงานแบบนี้ไม่ได้ เธออาจจะน้อยใจจนหนีไปจากท่าน ท่านจงไปตามหาเธอซะ อย่าให้เธอต้องผิดหวังในตัวท่านซิ” โลโล่บอก
“ไม่ ฉันรับปากกับลาสแล้วว่าจะรับผิดชอบเรื่องเธอ ถ้าฉันจะไป ฉันก็จะพาเธอไปด้วย” มาร์คัสพูดเสร็จก็จูงมือโลโล่เดินออกไปจากหมู่บ้านทันที

ที่ลานกว้าง
“ท่านหัวหน้า” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยทั้งคู่ไปเถอะ” ลาสบอกแล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่

“มาร์คัส แล้วที่ท่านพ่อบอกว่าฉันท้องเนี่ยจริงเหรอ” โลโล่ถามเพื่อให้หายคาใจ
“จะจริงหรือไม่จริง หากเธอมีลูกออกมาก็ถือซะว่าฉันเป็นพ่อของเด็กก็แล้วกัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แน่นอน ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเธอเลย อย่าคิดอะไรเลยเถิดไปขนาดนั้นซิ เรื่องแบบนั้นไว้วันหลังก็ได้” มาร์คัสบอกแล้ว โลโล่ได้หายคาใจก็เริ่มยิ้มออกแล้วเธอออกแรงวิ่งด้วยความเร็วสูงนำ มาร์คัสไป มาร์คัสเองก็ออกแรงวิ่งเต็มที่แต่ก็ไม่ทัน
“วิ่งตามมาเร็วซิ” โลโล่บอก แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินทางตามหากลุ่มสาวๆที่เข้าใจในเรื่องนี้ผิดไป

-------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 36-------------------------------------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Amankris_Dragon on October 15, 2005, 03:56:31 PM
 ;Dผมชอบที่ตั้งชื่อท่า มันเท่ดี



Title: FW V ตอนที่ 37 เสร็จแล้ว
Post by: !!! Unknow !!! on October 17, 2005, 07:18:34 AM
ตอน เวเอล่า

เมื่อพวกพงวิชนั้นเดินทางขึ้นมาถึงยอดเขาเฟสเดอริกก็เริ่มจะค่ำ ตะวันยังทอแสงสีแดงส้มใกล้ลับขอบฟ้า  
“กว่าจะขึ้นมาถึง เหนื่อยโคตร” บุ๊คล้มนอนหน้าวิหารเทพการูด้าทันที พงวิชก็เดินตรงไปทางลงอีกฟาก เมื่อเขาเดิน เขาก็พบกับวิวทิศน์อันสวยงามจากยอดภูเขานี้ และข้างล่างนั้นเขายังเห็นมหานครเวเอล่า เขามองดูมันอย่างชื่นชม
“พวกเรา เมืองอยู่นั่นไง” พงวิชเรียกพวกเพื่อนมาดู ทุกคนก็เห็นภาพจากมุมนี้นั้นมองเห็นเมืองเวเอล่าที่ใหญ่และกว้างมาก พวกเขามองดูบ้านเรือนมากมายที่ตั้งทอดยาวจากเชิงเขาตรงไปยังทะเล และยังมีบ้านแพลอยน้ำอีกมากบริเวณริมทะเล
“จะใหญ่อะไรขนาดนี้วะเนี่ย” แพ๊คทึ่งกับความใหญ่โตของเมือง
“หิวแล้ว เร็วรีบลงไปหาอะไรกินกัน” บุ๊คบอกแล้วก็เดินนำลงไปทันที
“เรื่องกินมาตลอดเลย ไอ้นี่” ปอนบ่นแล้วก็เดินตามไป
“พงวิช ไปกัน” ตั้มมาสะกิดเพราะเพื่อนๆต่างเดินไปกันหมดแล้ว พงวิชจึงรีบวิ่งตามไป

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองเวเอล่า บุ๊คก็รีบพาเพื่อนๆเดินหาร้านอาหารทันที
“นั่นไง ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพี่หมู !!! เจ้าเก่า !!!” บุ๊ครีบเดินเข้าไปในร้านทันที พวกเพื่อนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และพวกเขาก็หิวเช่นกัน จึงเดินตามเข้าไป
“เล็กแห้งไม่งอก” บุ๊คเข้ามาในร้านได้ก็สั่งอาหารทันทีแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ
“ได้ๆ” พี่หมูบอกแล้วก็ลวกเส้นทันที
“พี่หมู ร้านนี้มีรายการอาหารอะไรเด็ดๆบ้าง” พงวิชถาม
“มีโกลเด้น แฮมเมอร์ สไปซ์ ทุบหัวทีเดียวแตก” พี่หมูตอบ
“เอ๊ย นี่มันร้านก๋วยเตี๋ยวจะสั่งอะไรมาก” เสียงชายคนนั้นพูดขึ้น พวกพงวิชจึงหันไปมอง
“อ้าว แบมบู อยู่นี่เองเหรอ” ตั้มไม่นึกว่าจะเจอเพื่อนเก่าที่นี่จึงเข้ามาทักทาย แล้วพงวิชก็กวาดสายตามองไปทั่วร้านแล้วเขาก็หนักใจและเพ่งสายตามองไปที่โต๊ะในสุด เขาสบสายตากับชายคนหนึ่ง
“ฮือ.. เฮ๊ย” พงวิชตกใจทันที
“พวกแกอีกแล้วเหรอ” พงวิชชี้ไปทางโต๊ะในสุด
“ชาติก่อนทำบุญกับมันแน่เลย ชาตินี้เลยเจอกันบ่อย” นพบอกแล้วก็กินก๋ยวเตี๋ยวต่อ
“มีปัญหาเหรอ” อรุณถามอันน่ากลัวที่ดูยังไงก็ตลกซะมากกว่าใส่
“แล้วจะเอาไรละเนี่ย” พี่หมูถาม
“พี่หมูอีกชาม” อรุณสั่ง
“เอ่อ งั้นเราเอา ไม่น้ำ ไม่ผัก เอ่อ... ไม่เอาแล้วไม่กิน” พงวิชสั่ง แล้วพี่หมูก็จ้องหน้า
“พี่หมู 6 ชาม ตั้มมื้อนี้เลี้ยงเอง” แบมบูบอก แล้วพวกพงวิชก็เดินมานั่งโต๊ะเดียวกับแบมบู
“แบมบูตอนออกจากโรงเรียนเนี่ยไปไหนเหรอ ทำไมไม่เห็นเจอเลย” ตั้มถาม
“อ๊อ เค้าก็ตรงมาที่นี่เลยแหละ ก็ตอนแรกเค้าไปกับพวกสาวๆกลุ่มหนึ่ง พวกเธอบอกจะไปที่เบรุส แต่เค้าจะมาที่นี่ก็เลยแยกกันระหว่างทาง” แบมบูบอก
“ไอ้แว่นหน้าลิง เรียนจบสาขาไร บอกมาดิ” แพ๊คถาม
“เค้าจบสาขาเวทย์มนต์ สายเวทย์มนต์เหลือง พวกถอนพิษ สร้างพิษ ทุกชนิดอ่ะ สายเราจะเน้นเรื่องนี้อย่างมาก เวทย์เพิ่มพลังต่างๆเล็กน้อย และก็พวกเวทย์มนต์โจมตีด้วยพิษ” แบมบูตอบ
“จะเก่งสักแค่ไหนเวทย์มนต์สายนี้” ปอนถาม
“สักตั้งยังได้” แบมบูตอบ แล้วพี่หมูก็ล่อนชามก๋วยเตี๋ยวมาลงกลางโต๊ะพอดี
“พี่หมูนี่สุดยอด” บุ๊คตะลึง
“เออ กินกันก่อนเว้ย กินเสร็จเดี๋ยวจะเล่าที่มาอื่นๆให้ฟัง” แบมบูบอกแล้วพวกเขาก็นั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างอร่อยเพราะฝีมือสูตรเด็ดจากพี่หมูทำเอง  

เมื่อพวกเขากินกันอิ่ม
“ชามเดียวอิ่มอร่อยจริงๆ” แพ๊คบอก
“แต่ดูบุ๊ค 5 ชามถึงจะอิ่ม” พงวิชมองดูชามที่บุ๊คกินตั้งซ้อนกัน
“เอาเถอะ ไม่เป็นไร พอดีเราโชคดี” แบมบูบอก
“แล้วแบมบูเอาเงินมาจากไหนเนี่ย” ตั้มถาม
“ระหว่างทางที่เค้ามาเมืองนี้เนี่ย มีชายแก่คนหนึ่งเขาเป็นมหาเศษฐี เขาจ้างให้เค้าเนี่ยคุ้มครองเขามาที่เมืองนี้ แล้วเขาก็ให้ค่าจ้างมา 1 ล้านโกล…” แบมบูพูดให้ฟัง บุ๊คถึงกับสำลักก๋วยเตี๋ยวออกมาทันที
“ตั้ง 1 ล้าน” แพ๊คตะลึงไปเลย
“ใช่ 1 ล้าน เขาบอกเขากลัวที่จะถูกชายคนหนึ่งฆ่า ก็เลยจ้างเค้าให้คุ้มครอง” แบมบูบอก
“เออดีจริง” ตั้มก็นั่งฟังเรื่อยๆ
“แล้วชายที่ตาแก่นั่นกลัวอ่ะ ใครตาแก่นั่นไม่ได้บอกอะไรมากเลยเหรอ” พงวิชถาม
“ไม่รู้ดิ ไม่ได้บอกอะไรมาก แค่เรียกว่า ชายชุดดำ” เมื่อแบมบูพูดเสร็จ คนทั้งร้านรวมทั้งพี่หมูต่างหยุดนิ่งเงียบทันที แต่มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเขานั่งซดเบียร์อยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง เสียงซดเบียร์ของเขาดังไปทั่วร้าน
“เก็บร้านก่อนเว้ย ไม่รับลูกค้าเพิ่มแล้ว” พี่หมูรีบปิดประตูหน้าร้านทันที
“เฮ้ย ทำไมกันละ” แบมบูถาม
“แล้วระหว่างทางนี่ไม่ได้เจอกับชายชุดดำเลยเหรอ” พงวิชถามต่อ
“เจอแล้วเค้าก็ฆ่ามันตายสนิท แค่เค้าคนเดียวก็ฆ่าได้สบายมาก” แบมบูยอความเก่งกาจของตัวเอง
“โม้ปล่าววะ” ตั้มถาม
“ใช่ เค้าโม้ อันที่จริง เค้าสู้ไม่ได้เลย ตอนนั่งเรือ เค้าพาตาแก่นั่นกระโดดลงทะเล แล้วก็ร่ายเวทย์มนต์เพิ่มพลังกายของเค้า แล้วเค้าก็ว่ายน้ำลากตาแก่นั่นขึ้นฝั่งที่เวเอล่าด้วย” แบมบูบอกแล้วก็นั่งจ๋อยทันที
“นึกว่าจะเก่ง” ปอนบ่นทันที
“เออ แล้วรู้มั้ยว่า ที่เมืองไดนาสในอีกไม่กี่วัน ราชินีบูเนสจะประกวดเต้นระบำของเหล่านักเต้น ซึ่งมีเจ้าหญิงชานย่าลงแข่งด้วย ไปดูกันมั้ย” แบมบูถาม
“ไปก็ดี” พงวิชบอก
“งั้นคืนนี้ เค้าจองห้องที่โรงแรมไว้ ไปพักที่นั่นก็ได้ห้องกว้าง มีเกือบ 10 เตียง ห้อง 203 นะอย่าลืมละ ทีนี้ตอนกลางคืนของเมืองนี้จะมีงานต่างๆมากมายทั่วเมือง จะไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้” แบมบูบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วก็เดินออกจากร้านไป พวกพงวิชเองลุกเดินออกจากร้านไป

“งั้นก็เอาตามที่แบมบูบอกนะ คืนนี้ไปเดินเที่ยวกันก่อน เจอกันที่ห้องแล้วกัน” ตั้มบอกแล้วก็เดินแยกตัวออกไป
“เจอกันที่ห้อง งั้นเราไปนอนรอที่ห้องก่อนเลย” พงวิชบอกแล้วก็เดินไปที่โรงแรมทันที
“ง่วงเหมือนกัน ขอไปนอนก่อนแหละ เฮ้ย รอด้วย” บุ๊ครีบวิ่งตามพงวิชไปทันที แล้วที่เหลือต่างก็เดินเที่ยวเล่นตามงานต่างๆภายในเมืองอันกว้างใหญ่นี้

ทางด้านนพและอรุณ เมื่อกินอิ่มเสร็จก็ลุกไปจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วก็เดินออกจากร้านพี่หมู
“คืนนี้นอนไหนละเนี่ย” นพถาม
“ไม่รู้ นอนตามโบสถ์แล้วกัน ม้านั่วยาวอ่ะมีเยอะแยะ ไปจองได้เลย” อรุณตอบแล้วทั้งคู่ก็เดินไปที่โบสถ์ร้างแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายเมือง ภายในค่อนข้างรกร้าง แต่ก็ยังมีม้านั่งยาวอยู่บ้าง นพกับอรุณก็เลยนอนพักผ่อนกันที่นั่น

ที่โรงแรม
“พงวิชคิดยังไงกับเรื่องที่แบมบูเล่าให้ฟัง” บุ๊คถาม
“เชื่อได้ 90%” พงวิชตอบแล้วก็ขึ้นเตียงนอนทันที
“อย่าเพิ่งหลับดิ แล้วคิดยังไงกับเรื่องเมืองไดนาสละ จะไปหรือไม่ไป” บุ๊คเดินเข้าไปสะกิด
“ไปแน่นอน ไปดูนักเต้นสาวๆสวยๆ นึกแล้วชื่นใจ นอนละเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ทัน” พงวิชตอบแล้วก็ดึงผ้าห่มมาห่ม
“เรื่องพวกนี้เพื่อนเรานี่ที่หนึ่งจริงๆเล๊ย” บุ๊คพูดพึมพำแล้วก็นอน

---------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 37------------------------------------------------------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on October 18, 2005, 07:11:26 PM
ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพี่หมู  นี่พี่หมู Onizuka อะป่าวอะ


Title: FW V ตอนที่ 38 เสร็จแล้ว
Post by: !!! Unknow !!! on October 19, 2005, 08:24:03 AM
ผมคงต้องขอโทษด้วยนะ ที่จะบอกว่า พี่หมู ที่ผมเอ่ยถึง คือเพื่อนในห้อง ใครๆต่างเรียกว่าพี่หมู ที่ทำแบบนี้เพราะเพื่อนหลายคนในห้องก็อ่านกัน เมื่ออ่านแล้วเห็นคนในห้องมาทำอะไรแบบในเรื่อง แล้วพวกเขาก็ตลกและสนุกไปด้วย ก็เลยมีชื่อไทยมาเยอะหน่อยครับ  ;D
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน ไปให้ถึงเวเอล่า

โลโล่ที่วิ่งมาถึงท่าเรือโอรอนในเมืองโอรอนที่ติดกับทะเล เธอก็กวาดสายตามองหาพวกกลุ่มสาวๆทั้ง 4 ทันที แล้วมาร์คัสก็วิ่งตามมา
“เห็นบ้างมั้ย” มาร์คัสถาม
“อือ.... ไม่เห็นเลย ท่าเรือนี้แทบจะร้างไปเลยด้วยซ้ำ ไม่มีคนอยู่เลย” โลโล่ตอบ แล้วก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากกองลังไม้ใกล้ๆ มาร์คัสจึงเดินเข้าไปดู เมื่อเขาเดินเข้าไปดูใกล้ก็เห็นชายแก่คนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส เขาจึงรีบเข้าไปดูอาการทันที
“ลุง ที่นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมืองมันร้างขนาดนี้” มาร์คัสถาม
“ยั...ยักษ์..สี.....สี.เลือ เลือด” แล้วชายแก่ผู้นั้นก็สิ้นใจทันที
“ยักษ์สีเลือด มันมาที่นี่ทำไม” มาร์คัสสงสัย แล้วก็มีแรงสั่นสะเทือนไปจังหวะเหมือนมีบางอย่างขนาดใหญ่เดินอยู่แถวนั้น มาร์คัสและโลโล่จึงแอบอยู่หลังลังไม้ทั้งคู่เฝ้ามองไปดูมุมตึกอีกฟาก ไม่นานนักยักษ์สีเลือดก็ปรากฏออกมา ร่างกายอันใหญ่โตของมัน ทำให้ทั้งคู่ยังตะลึงอยู่ชั่วขณะ
“เราจะสู้มันยังไงเนี่ย ถ้าเราใช้พลัง หากโลโล่รู้เข้า ความลับเราจะแตกได้ มันต้องมีวิธีอื่นที่จะฆ่ามันได้ซิ” มร์คัสนึกในใจและกวาดสายตามองดูไปรอบๆ
“อ่า อันนี้น่าจะพอใช้สู้กับมันได้” มาร์คัสเหลือบไปเห็นปืนไรเฟิลตกอยู่ข้างเกวียนไม่ไกลจากตัวเขามากนัก
“โลโล่ เธอพยายามแอบอยู่ตรงนี้อย่าให้มันเห็นนะ ที่เหลือฉันจะจัดการกับมันเอง” มาร์คัสบอก โลโล่ที่ยังหวั่นๆและไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่เธอก็มีความเชื่อใจในตัวมาร์คัสมากจน เธอยอมทำตามที่เขาบอก แล้วมาร์คัสก็ยิ้มให้เพื่อแก้สถานการณ์ไม่ให้มันเครียดนัก แล้วเขาก็พุ่งตัวออกจากหลังลังไม้ ไปหยิบปืนไรเฟิลเล็งมาที่ยักษ์สีเลือด

“กระสุน 4 นัด ต้องเล็งจุดสำคัญ จุดอ่อนมันอยู่ตรงไหนกัน” มาร์คัสเล็งอยู่นาน แล้วเขาก็ลั่นไกออกไป กระสุนนั้นเข้ากลางอกของยักษ์สีเลือด แต่มันกลับไม่รู้สึกอะไร แล้วมันก็หันมา เมื่อมันเห็นมาร์คัส มันจึงวิ่งเข้าใส่ทันที มาร์คัสจึงวิ่งหนีขึ้นไปยังเรือ ยักษ์สีเลือดจึงใช้กระบองขนาดใหญ่ฟาดใส่เรือ จนเรือขาดเป็นสองท่อน แต่มาร์คัสก็กระโดดออกจากเรือได้ทันและลั่นไกอีกครั้ง เข้าหางคิ้วซ้ายของยักษ์สีเลือด ด้วยความเจ็บมันจึงทิ้งกระบองและเอามือทั้งสองข้างกุมที่ตาซ้าย แล้วมันก็ทรุดตัวลงและมีเนื้อบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากหลังคอของมัน
“นั่นซินะ จุดอ่อนของมัน” มาร์คัสเห็นแล้วก็ยกปืนขึ้นเล็งทันที แต่เขายังไม่ทันได้ลั่นไก ยักษ์สีเลือดมันก็เงยหน้ามองมาที่มาร์คัส เนื้อเยื้อนั้นก็กลับเข้าไปในร่างกายของมัน แล้วมันก็ใช้แขนเหวี่ยงไปมา ไปโดนถังที่บรรจุน้ำมันเข้า แล้วเกิดระเบิดเป็นเพลิงรุกไหม้ไปทั่วท่าเรือ มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาอย่างช้าๆ เพลิงที่รุกไหม้ไปทั่วทำให้ มาร์คัสนั้นหาหนทางหนีไปยาก และเขาก็นึกถึงโลโล่ที่ยังอยู่หลังลังไม้ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงไฟได้ดี เขาจึงรีบวิ่งกลับไปที่ลังไม้ แต่ก็ถูกยักษ์สีเลือดเหวี่ยงแขนฟาดใส่จนเขานั้นกระเด็นลอยไปชนกับตึก เมื่อเขาลุกขึ้นมาได้เขาก็เอาเลี่ยวแรงที่มีเดินเข้ามาใกล้ลังไม้

“โลโล่ รีบหนีไปซะ ไปให้ถึง เวเอล่า ตามหาพวกธิดาภา และบอกพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ฉันคงไปกับเธอต่อไม่ไหว ฉันมีแรงพอที่จะคุ้มครองให้เธอไปจากที่นี่ได้เท่านั้น ยังมีเรือที่พร้อมทำงานอยู่ รีบไปซะ” มาร์คัสตะโกนบอก แล้วยักษ์สีเลือดก็เดินตรงเข้าไปหาเขา เขาจึงยกปืนขึ้นเล็ง โลโล่ที่ได้ยินมาร์คัสพูดแบบนี้ เธอเองก็ยังห่วงมาร์คัส เธอเดินออกมาจากหลังลังไม้
“ไปซะ” มาร์คัสหันมาตะโกนใส่ แล้วโลโล่ที่ยังกังวลลังเลใจอยู่นั้น เธอก็ตัดสินใจ เธอจึงยิ้มและพยักหน้าอย่างเต็มใจ เมื่อมาร์คัสเห็นรอยยิ้มของเธอนั้น เขาเองก็อดที่ยิ้มไม่ได้ แล้วโลโล่ก็วิ่งตรงไปที่เรือเล็กลำหนึ่งด้วยความเร็ว ยักษ์สีเลือดเห็นจึงหันไปสนใจเธอแทน ทันทีที่มันหันไป มาร์คัสก็ลั่นไกปืนยิงใส่เข้าที่ตาขวาของมัน เลือดที่สาดกระเด็นไปทั่ว เสียงร้องอันเจ็บปวดรวดร้าวแสนจะทนของมันนั้นดังลั่นไปทั่ว แล้วมันก็ทรุดตัวลงไปอีกครั้ง เนื้อเยื้อนั้นก็โผล่ออกมา มาร์คัสก็ไม่รีรอเขาลั่นไกอีกที เข้าทะลุเนื้อเยื้อนั้น ยักษ์สีเลือดก็ล้มนอนนิ่งไปทันที มาร์คัสจึงทิ้งปืนและเดินมาที่ท่าเรือ เขามองดูเรือที่โลโล่นั่งอยู่นั้นแล่นออกไปไกลเรื่อยๆ โลโล่เองก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้เธอจึงหันมามองดู แต่เธอกลับเห็นรอยยิ้มของมาร์คัส เธออยากที่จะกลับเรือไปรับเขา แต่เธอก็ไม่อยากจะขัดคำที่มาร์คัสบอกให้ทำไว้ แล้วจู่ๆเธอก็ตกใจทันที เหนือเปลวเพลิงสูงขึ้นไป เธอเห็นยักษ์สีเลือดชูกระบองขนาดใหญ่ฟาดใส่มาร์คัส ท่าเรือที่มาร์คัสยืนอยู่นั้นแตกกระจายไปทั่ว แรงฟาดที่ทำให้นน้ำกระเด็นกระจายไปหมด แล้วเมืองทั้งเมืองและยักษ์สีเลือดก็ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ไปจนหมด เธอแทบจะเป็นลมทันทีที่เห็นภาพเหตุการณ์นั้น แต่เธอนั้นก็ทำได้แค่นั่งโศกเศร้าเสียใจอยู่บนเรือที่แล่นไกลออกไปจากท่าเรือโอรอนที่กำลังไหม้

“นี่เราต้องตายไปจริงหรือนี่ ความฝันที่จะรวบรวมพลังกลับคืน มันสลายไปเพียงแค่เรานั้นสู้ยักษ์ตัวเดียวไม่ได้” ร่างของมาร์คัสที่ค่อยๆจมดิ่งลงสู่ก้นทะเล
“ไม่หรอก พี่ใฝ่ฝันไว้อย่างไร พี่ต้องทำให้ได้ และหนูก็เชื่อว่าพี่นั้นย่อมทำได้อยู่แล้ว” เสียงน้อยๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาให้จิตของเขา
“พี่คงไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้วละ ทางเลือกของพี่มีสองทางคือ กลับขึ้นสวรรค์ไปรับบทลงโทษตามเคย หรือต้องลงนรกไปทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์” มาร์คัสบอก
“แต่หนูมีทางเลือกที่สามให้นะ” แอริสบอก
“พี่คงไม่รอดแล้วละจากตอนนี้ ตัวพี่นั้นเองก็ไร้เพื่อนอยู่เดียวดายมาอยู่นาน คงจะไม่มีใครอยากจะยื่นมือมาช่วยพี่แล้วละ” มาร์คัสบอก เมื่อแอริสได้ยินเธอก็หัวเราะ
“พี่นี่ก็คิดไปได้ โตมาจนมีสาวมาชอบขนาดนี้แล้ว ยังคิดเป็นเด็กไปได้ เอาเป็นว่าพี่คงไม่ลืมนะว่าหนูเป็นใคร” แอริสถาม
“ใช่ พี่ไม่ลืม เธอก็คือน้องของพี่ไง” มาร์คัสตอบ
“พี่นี่เป็นพี่ที่ไม่เอาไหนจริงๆ พี่เคยจำอะไรเกี่ยวกับน้องคนนี้ได้บ้าง แม้แต่ชื่อก็เถอะ” แอริสถาม แต่มาร์คัสก็นิ่งไปทันที
“นี่ไงละ พี่มัวแต่ห่วงแต่เรื่องของตนจนลืมน้องคนนี้ไป เอาเป็นว่า หนูจะพาพี่มาพักผ่อนสักวันสองวันที่บ้านก็แล้วกัน ” แอริสบอก
“เธอจะพาฉันไป...” มาร์คัสถาม
“ใช่ กลับบ้านของเรากันเถอะ พักผ่อนซะบ้าง แล้วนึกถึงวันดีๆกับความทรงจำเก่าๆ เมื่อพี่จำได้ว่ามีน้องคนนี้อยู่เมื่อไหร่ หนูก็จะพาพี่กลับไปเดินตามหาความฝันของพี่ต่อ” แอริสบอก แล้วมาร์คัสก็ลืมตาขึ้นมาเห็นน้องสาวตนยืนอยู่เบื้องหน้า แอริสจึงยิ้มให้ทันทีที่ได้เห็นพี่ชายกลับสู่บ้านอีกครั้ง มาร์คัสจึงมองไปรอบๆก็เต็มเป็นด้วยดอกไม้ แล้วแอริสก็จับมือพี่ชายวิ่งตรงหายเข้าไปในสายหมอก

“มาร์คัส” โลโล่สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันอันน่ากลัวที่ติดตาเธอตั้งแต่บ่าย ยามดึกดื่นกลางทะเลที่เงียบสงบ เธอจึงนอนลง
“เธออยู่ไหน หวังว่าเธอคงปลอดภัย” โลโล่กำมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างแน่น แล้วเธอก็หลับเข้าสู่นิทรา

เมื่อเธอเข้าสู่ความฝัน ความฝันของเธอนั้น เธอเห็นท้องฟ้าที่แปรปวนไปหมด พื้นดินที่แตกระแหง เมืองที่พังทลายเหลือแตกซาก น้ำทะเลที่เต็มไปด้วยสีเลือด เธอตกใจและหวาดกลัวอย่างมาก แล้วเธอก็เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นเทพสวรรค์และพญามารคู่หนึ่งกำลังสู้กัน แรงปะทะของทั้งคู่ทำให้เมืองหรือภูเขา พังทลายได้ทันที แล้วเทพสวรรค์องค์นั้นก็ถูกพญามารอัดใส่จนกระเด็นตกลงสู่พื้นมาใกล้ๆกับจุดที่เธอยืนอยู่ เทพสวรรค์องค์นั้นที่พยายามจะลุกขึ้นโดยใช้ดาบนั้นยันตัวเขาขึ้นมา เมื่อโลโล่เห็นเธอรู้ทันทีว่านั่นคือ แล้วพญามารก็บินพุ่งลงมาใช้ดาบแทงทะลุร่างของเทพสวรรค์องค์นั้น เลือดที่กระเด็นเปื้อนไปทั่วหน้าของพญามารนั้น ทำให้มันซะใจเป็นอย่างมาก แล้วมันก็ดึงดาบออกปล่อยให้ร่างของเทพสวรรค์องค์นั้นค่อยๆล้มลงและตายลงอย่างช้าๆ พญามารหัวเราะขึ้นทันที โลโล่จึงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเทพสวรรค์องค์นั้น เธอมองดูเทพสวรรค์องค์นั้นที่กำลังจะสิ้นใจ แล้วเธอก็หันไปมองที่พญามาร พญามารที่ยืนมองดูเธออย่างเวทนา แล้วมันก็ตะหวัดดาบใส่เธอ แต่เทพสวรรค์ใช้เลี่ยวแรงที่มีเอาตัวเข้ารับดาบแทน โลโล่น้ำตาไหลออกมาทันทีที่เห็นเทพสวรรค์องค์นั้นทำแบบนี้ แล้วเธอก็เห็นเขาส่งยิ้มให้และปาดน้ำตาของเธอออก เธอจึงตะโกนสุดเสียงด้วยใจที่สลาย

แล้วเธอก็สะดุ้งขึ้นมาอีกทีก็ก็จะเช้าแล้ว เธอยังคงสงสัยและค้างคาใจว่าทำไม คนที่ยอมตายแทนเธอนั้น เขาถึงยิ้มอย่างมีความสุขแต่ตัวเธอเองนั้นกลับเศร้าใจยิ่งมากขึ้น แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกเรือ เธอก็เห็นแสงไฟนำทางเรือจากประภาคาร เธอจึงรู้ดีว่าเธอนั้นใกล้ถึงท่าเรือเวเอล่าแล้ว เธอจึงกลับลงไปเตรียมตัว เพื่อออกเดินทางทำตามที่ชายผู้ที่ยอมเสียสละเพื่อเธอนั้นขอไว้
“เราต้องไม่ร้องไห้ซิ เราต้องเข้มแข็งไว้” เธอพยายามพูดปลอบใจตัวเอง เมื่อเธอจัดเตรียมของเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินออกมานอกเรืออีกครั้ง ยืนมองดูแสงตะวันที่ค่อยๆทอแสงสาดส่องขึ้นอย่างช้าๆ
“ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวังเลย มาร์คัส” โลโล่บอกกับตัวเอง แล้วเธอก็ยิ้มออกมาแทนที่จะโศกเศร้าเสียใจอีก

-----------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 38---------------------------------------------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 39 เสร็จแล้ว
Post by: !!! Unknow !!! on October 20, 2005, 09:25:29 AM
ตอน ปีศาจน้อยนักล่า

ที่ยอดเขาเวเอล่า นันที่บาดเจ็บอยู่นั้นในตอนนี้ เขาได้หายดีเป็นปกติ เขาลุกขึ้นมานั่งบนแท่นที่เคยมีรูปปั้นเทพการูด้า
“มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย ลูกน้องก็ตายห่าเกือบหมด เจ้าปีศาจอย่างเราตกอับขนาดนี้เชียวเหรอ” นันนั่งบ่นพึมพำ แล้วก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาด้านในวิหาร นันจึงสลายตัวเป็นเงาล่องหนอยู่ติดกับกำแพง เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา เมื่อถึงใจกลางวิหาร นันก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งมัดผมเป็นจุกยื่นออกมาด้านหน้า มีคันธนูประหลาดสะพายอยู่ เด็กน้อยคนนั้นเมื่อเดินเข้ามาก็กวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง แล้วก็เหมือนกับว่าเขาเห็นบางอย่างที่ต้องการ เขาจึงวิ่งเข้าไปที่มุมห้อง

“หาตั้งนานอยู่ที่นี่เอง” เด็กน้อยคนนั้นก้มลงไปหยิบสิ่งของบางอย่างในซากหินที่ทับถม
“นั่นมัน ข้าเห็นหน้าไม่ถนัด สงสัยต้องเข้าไปดูใกล้กว่านี้จะได้รู้” นันนึกพึมพำในใจแล้วเขาก็เดินเข้าไปใกล้เด็กน้อยคนนั้น เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ เสียงหัวเราะดีใจของเด็กน้อยคนนั้นก็เงียบลงทันที แต่เขากลับชักมีดสั้นออกมาจ่อใส่นัน
“เผยตัวออกมานะ ไม่งั้นเสียบให้พุงแตกเลย” เด็กน้อยคนนั้นพูดจาอย่างดุดันใส่ แล้วนันก็เผยตัวออกมา
“ฮอนเน็ท นั่นใช่แกใช่มั้ย” นันถาม
“พี่นัน” ฮอนเน็ทดีใจทันทีที่รู้ว่านั่นคือพี่ชายของตน เขาจึงลุกขึ้นหันมายิ้มและดีใจที่ได้เจอ
“แกมาที่นี่ทำไม” นันถาม
“ฉันก็เดินทางไปทั่ว ไม่มีอะไรจะทำ พอดีนึกได้ว่า ฉันเคยลืมลูกแก้ววิญญาณไว้ที่นี่ก็เลยกลับมาเอา แล้วพี่ละ มาที่นี่ทำไม” ฮอนเน็ทบอกและถามกลับ นันก็เดินนั่งที่แท่นและนึกอยู่สักพัก
“ช่วงนี้ แกว่างมั้ย พี่ว่าพี่มีอะไรอยากจะให้แกช่วย” นันบอก
“เรื่องฆ่าคนอย่าบอกเลย ฉันไม่ใช่พวกใจโหดเหี้ยมอย่างพี่ ลูกน้องพี่ก็มีเยอะแยะไม่ใช้พวกมันละ ฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้” ฮอนเน็ทตอบแล้วก็หันหลังให้
“นี่พี่แกนะเว้ย” นันขึ้นเสียงใส่ จนฮอนเน็ทสะดุ้งสุดตัว
“จ้า พี่คนเก่ง ใครจะกล้าขัดคำของพี่ได้เล่า งานอะไรละที่จะให้ช่วย” ฮอนเน็ทถาม
“แกเคยมีประวัติอะไรดีๆ ลองเล่ามาหน่อยดิ จะได้จัดหน้าที่ให้ถูก เพราะงานนี้ แกต้องร่วมมือกับลูกน้องพี่ด้วย ให้พวกมันไปคนเดียวตายห่าหมด” นันถาม แล้วฮอนเน็ทก็ยืนนึกอยู่สักพัก
“ประวัติดีๆเหรอ อ๋อจำได้ละ เคยจัดการกับฝูงมิโนทอร์ที่บุกเข้าเมืองอีสตั้น เคยช่วยพาคุณยายจากเมืองเบรุสไปเมืองคอนเวส เคยช่วยคุณลุงที่กำลังถูกพวกโจรมาขโมยผลไม้ในสวน เคย...” ฮอเน็ทยังเล่าไม่ทันจบนันก็ตะลึงจนตกจากแท่น
“ดีบ้าอะไรของแกวะ เออข้าผิดเอง ดีในที่นี้หมายถึงพวกฆ่าคน ดีในภาษาปีศาจอย่างพวกเราจำเอาไว้ ไม่ใช่ดีแบบนั้น” นันตะหวาดใส่
“จ้า หลายเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ออกแรงจริงๆจังๆเลย เลยจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไปหรือปล่าว แต่ที่แน่ๆ ฉันมันยอดนักล่ามือหนึ่งของตระกูลอยู่แล้ว เรื่องล่าหรือโจมตีจากระยะไกลที่ฉันถนัด ไม่เคยเป็นรองใคร” ฮอนเน็ทยิ้มให้
“ทำใจกับน้องคนนี้ลำบาก” นันก้มหน้าเซงนิ่งไปอยู่สักพัก

“สรุปพี่มี 2 งาน แต่จะให้แกเลือกทำอย่างเดียว งานแรกจัดการกับกลุ่มคนธรรมดา 6 คน งานที่สองชิงเอาลูกแก้วไฟที่ไดนาสมาให้พี่” นันเสนอตัวเลือกให้
“งานแรกแค่ 6 คนมันก็จัดการได้สบายๆ เอาเป็นฉันเอางานแรกง่ายกว่าไม่ต้องลำบากเดินทางไปที่ไกลกว่า” ฮอนเน็ทบอก
“แต่เพราะไอ้ 6 คนเนี่ยแหละ พี่ต้องเสียลูกน้องหลักๆไป 3 ตน รวมหมาที่พี่เลี้ยงไว้อีก 1 ด้วย” นันบอก
“งั้นโปรโมชั่นพิเศษเลย ฉันจะรับทั้งสองงานเอง แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อย” ฮอนเน็ทคิดเสนอข้อแลกเปลี่ยนขึ้น
“ก็ได้ ก็ได้ ต้องการอะไรไอ้น้องตัวแสบ” นันถาม
“ข้อแรก ฉันขอเลือกลูกน้องพี่ไปเล่นด้วยสักตนสองตน” ฮอนเน็ทบอก
“อันนี้ไม่มีปัญหาเลือกได้ตามสบาย” นันบอก
“ข้อสอง เอ่อ... ช่วงนี้ฉันดูว่าลูกแก้ววิญญาณของฉันจะหมด ฉันขอเพิ่มสัก 100 ลูกจะได้มั้ย” ฮอนเน็ทถาม
“จะเอาไปทำไรของแกตั้งเยอะแยะ ลูกแก้ววิญญาณใช่ว่าจะหาผลิตกันได้ง่ายๆนะ กว่าจะได้ 1 ลูกต้องบูชายัญคนทีละคนกว่าจะได้มา” นันบ่นใส่
“เถอะน่านะ พี่น้องกันแบ่งปันกันบ้างซิ มาข้อสุดท้ายเลย ฉันขอดื่มเลือดของแฟนพี่หน่อยซิ จำได้ว่าพี่สาวคนนั้นเคยให้พี่มา แน่นอนว่าพี่คงไม่กล้ากินที่เดียวหมด มันต้องมีเหลืออยู่บ้าง” ฮอนเน็ทพูดพร้อมกับทำแววตาเจ้าเล่ห์ใส่
“เออๆ ได้ เลือดนีวานทำให้พวกปีศาจอย่างเรามีพลังเพิ่มขึ้น แต่เชิญเอาไปได้ตามสบาย มันเหลืออยู่ 2-3 หยด” นันร่ายมนต์เรียกขวดแก้วที่ใส่เลือดของนีวานไว้และส่งให้
“อะไร ทำไมมันเหลือเลือดแค่นี้ ตอนพี่สาวให้มามันมีตั้งเยอะนี่” ฮอนเน็ทดูหยดเลือดที่อยู่ในขวด
“เหลือแค่นี้ไม่เอาก็ตามใจ แล้วลูกน้องเนี่ยจะเลือกใครไปเล่นกับแกด้วย ฮึ” นันถาม
“ตนแรกขอเป็นทาร่อน ตนที่สองขอเป็นพัฟแล้วกัน” ฮอนเน็ทตอบ
“ทาร่อน ออกมาดิ ส่วนพัฟพี่ปล่อยเธอกลับบ้านเกิดไป เห็นว่ายังเด็กไม่อยากให้มาทำงานมาก” นันบอก
“ไม่เชื่อ พี่โกหก พัฟ ฉันอยู่นี่เรามาเล่นด้วยกันนะ เหมือนตอนยังเล็กไง” ฮอนเน็ทตะโกนไปทั่ววิหาร
“บอกว่าไม่อยู่ก็ไม่อยู่ไงหนวกหู” นันตะหวาดใส่
“มีอะไรเหรอนัน” ทาร่อนห้อยหัวลงมาจากเพดาน
“งานที่ฉันเคยบอกพวกแกอ่ะ ฉันจะให้น้องฉันเป็นคนนำทีม ทำตามที่น้องฉันบอกด้วยละ แต่ถ้านอกเรื่องจากงานที่บอกมากเกินไป ก็อย่าไปทำตาม” นันสั่ง
“ฮอนเน็ท” เสียงเด็กสาวเล็กๆดังขึ้นทั่ววิหาร
“พัฟ” ฮอนเน็ทตะโกนเรียก แล้วเด็กสาวตัวเล็กก็วิ่งตรงเข้ามาหาฮอนเน็ท นันก็กลุ้มใจทันที
“งานนี้จะรอดมั้ยวะเนี่ย” นันนั่งเศร้าคอตก
“เอาล่ะ ไปก่อนนะพี่ชาย พวก 6 คนนั้นอยู่ในเมืองนี้ใช่มะ โอเค รอฟังผลได้เลย ฉันไม่เคยทำอะไรให้ตระกูลต้องผิดหวังเลยสักครั้ง” ฮอนเน็ทหันมายิ้มให้แล้วก็วิ่งออกจากวิหารไป
“รอฉันด้วยซิ” พัฟวิ่งตามออกไป
“นัน เชื่อใจเถอะน่า ฉันอยู่ทั้งคน น้องแกก็เก่งไม่ใช่เล่นนี่ จะกลัวอะไรไป” ทาร่อนเดินเข้ามาอยู่เหนือหัวนันขึ้นไป
“เห็นว่าแกเป็นเพื่อนเก่านะถึงไว้ใจได้อยู่บ้าง แต่ที่หนักใจ สิ่งที่เรากำหนดว่าจะเจอมันเมื่อไหร่มันทำไม่ได้ หากแกกับน้องฉันไปเจอกับชายชุดดำเข้า ฉันเชื่อในตัวแกนะเพื่อน โปรดพาน้องฉันหนีจากมันให้ได้” นันเงยหน้าขึ้นไปบอก
“โอเค ถ้าเจอก็หนีทันทีไม่รีรอ เชื่อใจได้ไปละ” ทาร่อนบอกแล้วก็หมุนตัวจนเกิดควันขึ้นฟุ้งไปทั่วห้องและสลายหายไป

และแล้วเรือน้อยของโลโล่ก็ลอยเข้าสู่ฝั่งติดกับเชิงเขาเวเอล่า แล้วโลโล่ก็เดินลงจากเรือและเดินอ้อมทะเลเพื่อเข้าใปในเมือง แต่ระหว่างทางนั้นเธอก็เดินไม่ได้ดูตาม้าตาเรือจนไปชนกับคนกลุ่มหนึ่งจนทั้งคู่ล้มลง
“ขอโทษค่ะ พอดีหนูเดินไม่ได้ดูทาง มัวแต่เหม่อ” โลโล่รีบขอโทษทันที
“เธอเป็นใครกัน ฉันไม่คุ้นหน้าเลย” ฮอนเน็ทถามแล้วก็ลุกขึ้น
“หนูมาจากคาดาเรีย มาตามหาคนกลุ่มหนึ่ง หนูเชื่อว่าพวกเธอได้มาที่นี่” โลโล่ตอบ
“มาจากโน้นเชียวเหรอ แถวนี้มันอันตราย มาซิ มากับฉัน ฉันก็จะเข้าเมืองอยู่พอดี” ฮอนเน็ทบอกและส่งมือให้ โลโล่จึงจับมือแล้วฮอนเน็ทก็ออกแรงดึงเธอขึ้นมา
“น้องชาย อย่านอกงานจนเสียเวลาละ” ทาร่อนเดินเข้ามาสะกิด
“เอาเถอะน่า นิดเดียวจะเป็นไรไป พี่นันคงไม่รีบร้อนขนาดนั้นหรอก” ฮอนเน็ทหันมาบอกแล้วก็เดินไปต่อ โลโล่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับคนกลุ่มนี้เท่าไหร่ แต่เธอเห็นว่ายังมีเด็กรุ่นเดียวกับเธอในกลุ่มอีก 2 คนทำให้เธอนั้นไม่กังวลอะไรมากและเธอก็เดินตามพวกเขาเข้าไปในเมือง

เมื่อพวกเขาเดินทางมาจนถึงประตูเมืองเวเอล่า พวกเขาก็หยุดยืนดูชาวเมืองมากมายเดินผ่านไปผ่านมาในเมือง
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อไปละ จะไปตามคนที่เธอตามหาเองหรือจะไปกับฉันให้ฉันช่วยกันหาด้วย” ฮอนเน็ทหันมาถาม
“จะเอายังไงก็ได้ เพราะหนูก็ไม่คุ้นเคยกับคนในเมืองนี้ หากเดินคนเดียวอาจจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ได้ งั้นหนูไปกับพวกเธอก็แล้วกันจะได้อุ่นใจอยู่บ้าง” โลโล่บอก
“ไม่ต้องห่วงหรอก มากับพวกเราสนุกแน่นอนละ” พัฟบอกแล้วก็วิ่งนำเข้าไปในเมือง ผ่านสายตาหลายคู่ของชาวเมืองรวมทั้งนพและอรุณที่อยู่บริเวณนั้นด้วย

“เฮ้ย สัญลักษณ์ลูกน้องนี่หว่า จัดการมันเลยมั้ย” อรุณถาม
“เด็กขนาดนั้นยังทำลงอีกเหรอ” นพตอบ
“เด็กบ้าอะไรไม่สน ชาตินี้เกิดมาเป็นนักฆ่า หมาบ้าอรุณ ไม่ตายกันไปข้างก็ให้รู้กันไป” อรุณบอก แล้วพวกฮอนเน็ทที่เดินตามเข้ามาก็เดินตรงเข้าไปพัฟ
“พวกมันมากันหลายคนวะ” นพสะกิดให้อรุณดู
“งั้นก็ล้อมมันไว้ดิ” อรุณบอกแล้วก็จะเดินเข้าไปสู้ทันที แต่นพดึงหลังไว้
“ล้อมห่าไร กี่คนนับดิ 2 ต่อ 4 มันจะล้มแกซะมากกว่า” นพบอก
“เออเราผิด เราผิด 4 อะไรดูนั่นอีกคนไม่มีสัญลักษณ์ของนัน แปลว่ามันต้องจับเด็กสาวมาเป็นตัวประกันหากไม่ช่วย แล้วพวกมันเอาไปบูชายัญจะว่าไง” อรุณถาม
“งั้นก็หาพวกก่อนซิวะ มีกัน 2 คนจะสู้อะไรมันได้” นพตอบ
“เออเราผิด แล้วจะไปหาพวกจากที่ไหน” อรุณถาม
“พวกพงวิชไง ถึงจะไม่สนิทกับพกวบ้านั่นเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องสู้กับพวกนันเนี่ย พวกนั้นอาจจะเอาด้วย ไปเหอะ” นพบอกแล้วก็เดินไปทันที
“รอด้วย” อรุณรีบวิ่งตามไป

“เอาไงดีละ เมืองนี้มันก็ใหญ่โต คงต้องแยกกันหาแล้วละ” ฮอนเน็ทบอก
“แยกกันหาก็ดี คืนนี้ค่อยลุย เอาตอนพวกมันหลับก็แล้วกัน ฉันจะไปดูแถวชานเมืองฝั่งโน้นแล้วกัน” ทาร่อนบอกแล้วก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง
“พัฟ งั้นเธอช่วยไปดูแถวบ้านแพรลอยน้ำแล้วก็ท่าเรือแถวนั้นด้วยนะ คืนนี้ค่อยกลับมาเจอกันที่โรงแรม เดี๋ยวฉันจะไปจองให้ ถ้าไปดูเสร็จเร็วถ้าจะมาหา ฉันก็อยู่แถวกลางเมืองนี่แหละ” ฮอนเน็ทบอก
“ได้เลยค่ะ” พัฟวิ่งไปทันที
“งั้นฉันจะพาเธอไปหา พวกคนที่เธอตามหาก็แล้วกัน” ฮอนเน็ทหันมาบอก แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปยังใจกลางเมือง

-------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 39----------------------------------------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 40 เสร็จแล้วจ้า (เหอๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีคนเข้ามาโพสเท่าไหร่เลย)
Post by: !!! Unknow !!! on October 21, 2005, 07:27:54 AM
ตอน คำสาปสาวพหรมจรรย์

นพและอรุณรีบมุ่งหน้าออกตามหาพวกพงวิชก่อนที่พวกฮอนเน็ทจะเจอเข้า ทั้งคู่ต่างใช้วิธีของแต่ละคนในการตามหาที่ต่างกัน โดยนพยิงกล้องดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้า และปรากฏจอภาพของเมืองในจอคอมพิวเตอร์ของปืนใหญ่ เขาซูมภาพมองหาพงวิชไปทั่วเมือง แต่เขาก็ประหลาดใจเพราะมองไปมองมาเห็นทาร่อนที่กระโดดไปตามหลังคาตามหาพวกพงวิชได้อย่างเร็วมากๆ แล้วก็มีเสียงที่ทำให้นพนั้นตกตะลึงวิตกกังวลมากขึ้นกว่าเก่า
“พงวิชโว้ย อยู่ไหนวะ” อรุณตะโกนสุดเสียงเรียกหาพงวิช ท่ามกลางผู้คนมากมาย จนผู้คนเหล่านั้นรุมกันจ้องมองมาที่นพและอรุณเป็นสายตาเดียวกัน
“เฮ้ย อรุณ หยุดก่อนดิ ใช้วิธีอื่นเหอะ อย่าใช้วิธีนี้เลย” นพบอกแล้วก็เอามือปิดหน้าทันทีเพราะทนรับความอับอายขายขี้หน้าไม่ได้
“เอองั้นลองไปถามที่โรงแรมดูแล้วกัน เมื่อคืนพวกนั้นคงไปพักกันที่นั่น” อรุณหยุดและหันมาบอก
“แล้วเรื่องคนพวกนี้ละ” นพถาม
“ไม่มีปัญหา” อรุณพูดเสร็จ ก็ทำสีหน้านักเลงโคตรน่ากลัวใส่ จนผู้คนแถวนั้นเห็นต่างตะลึงและหนีกันไป
“โอเค มีเพื่อนแบบนี้ มีแต่ต่ำลง” นพบ่น
“เฮ้ย ไอ้แว่นหน้าลิง อยู่นั่นไง เมื่อคืนเห็นพวกมันคุยกัน คงเป็นเพื่อนกัน เข้าไปถามมันดีกว่า” อรุณเหลือบไปเห็นแบมบูที่เดินผ่านไปแถวนั้น ทั้งคู่จึงวิ่งเข้าไปหา

“ไงไอ้หน้าลิง แล้วพวกแกละ” อรุณถาม
“คุณเป็นใครกัน” แบมบูที่ถามเพราะไม่รู้จักทั้งคู่
“พวกเราต้องรีบไปหาพวกพงวิชด่วน หากช้า พวกนั้นอาจโดนฆ่าตายได้” นพตอบ
“โดนฆ่า จากใครแล้วทำไม พวกนายเป็นใครยังไม่ตอบเลย” แบมบูเริ่มงงๆ
“นี่หมาบ้าอรุณเว้ย ถ้าไม่อยากโดนฆ่าตายก่อนพวกนั้น ก็รีบพาพวกเราไปหาซะ” อรุณกระชากคอเสื้อแบมบูอย่างโหดเหี้ยม
“เดี๋ยวแปปดิ บอกก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกแกเป็นนักฆ่า ถ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าเลยซิ แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกนั้นด้วย” แบมบูถาม
“มีพวกปีศาจกลุ่มหนึ่งมาที่นี่เพื่อเก็บเพื่อนของแกอ่ะ ทุกทีมันมาตัวเดียวแล้วพวกนั้นก็ชนะได้ แต่คราวนี้มันมา 3 พวกนั้นอาจจะเอาไม่อยู่ หากข้าไม่ช่วยพวกนั้น รับรองไม่รอดแน่” นพตอบ
“อย่างงั้นซินะ เร็ว ตามมา จะพาไป” แบมบูบอกแล้วก็วิ่งไปทันที อรุณกับนพจึงวิ่งตามไป

เมื่อแบมบูกลับมาถึงที่โรงแรมก็ไม่เจอพวกพงวิชแล้ว
“อ้าว พวกนั้นออกไปกันหมดแล้ว” แบมบูตกใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปไม่เจอใครเลย
“แล้วพวกนั้นไปไหนกันวะ” นพบ่นพึมพำแล้วแบมบูก็วิ่งออกจากโรงแรม อรุณกับนพก็วิ่งตามไปติดไม่ห่าง
“ไอ้หน้าลิง จะวิ่งไปไหนของแกวะ” อรุณตะโกนถาม
“วิหารอลิเซีย ที่นั่นมีคนคนหนึ่งที่อาจจะรู้ว่าพวกพงวิชอยู่ที่ไหนกัน” แบมบูตอบแล้วทั้ง 3 ก็วิ่งตรงไปที่วิหารอลิเซีย

“เฮ้ย มาที่นี่ทำไมวะ” พงวิชถาม
“ไม่รู้ดิ มาเมืองไหนทั้งทีก็น่าจะเดินเล่นในวิหาร จะได้รู้จักพวกตำนานบ้าง หัดหาอะไรดีๆใส่สมองบ้างดิวะ” ตั้มตอบแล้วทั้ง 6 ก็เดินเข้าไปในวิหาร เมื่อพงวิชผ่านประตูวิหารเข้ามา เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งด้านใน พงวิชก็เริ่มมีอาการท่าทีดีใจออกมาเล็กๆ
“คึกอะไรอีกพงวิช” บุ๊คถาม
“ธิดาภา” พงวิชตะโกนเรียก แล้วสาวๆกลุ่มนั้นที่นั่งอยู่ด้านในก็หันออกมามอง
“พวกนั้นอีกแล้วหรือ ถ้าเจอพวกนี้ อยู่กับเจ้าลิงน้อยยังจะดีกว่ามั้งเนี่ย” มาย่าบ่นพึมพำ แล้วพวกพงวิชก็เดินเข้ามาหา
“ไง ไม่นึกว่าจะได้พวกเธอที่นี่” พงวิชทัก
“ไม่รู้เหมือนกันซิ แต่ก็ดีนะที่ได้เจอเพื่อนเก่าในโรงเรียน” ธิดาภาบอก
“ก็ล่อหนีเจ้าลิงน้อยมานี่” มาย่าพูดแทรกขึ้นมา
“พวกเธอจะไปไหนกันมั้ย หรือถ้ายังไม่มีที่ไป ไปกับพวกเราก่อนก็ได้” พงวิชบอก
“ก็ดีนะ หรือคิดว่าไง” อรนิชาบอกแล้วก็หันไปมองเพื่อนๆ
“6 คนจะดีเท่าเจ้าลิงน้อยมั้ยเนี่ย” มาย่าบอก
“เจ้าลิงน้อยคือใครกัน” พงวิชถามด้วยความสงสัย
“ก็เจ้าลิงน้อยคือ...” มาย่ากำลังจะตอบ แต่ธิดาภาก็รีบเอามาปิดปากมาย่าไว้
“คือลิงตัวเล็กๆละ ไม่ต้องสนใจอะไรมากหรอก” ธิดาภาก็พูดตอบแทน
“ตั้มมมมมม” เสียงแบมบูที่ตะโกนมาแต่ไกล

“แบมบู รีบร้อนอะไรนักหนาวะ” ตั้มถาม
“ขอพักแปป” แบมบูหมดแรงล้มลงนอนบนม้านั่งยาวทันที
“กินน้ำก่อน” อรนิชาส่งน้ำให้ แบมบูก็รีบดื่มแก้เหนื่อยทันที
“แล้วพวกนี้ใครกัน อ๋อ พวกแกนี่เอง” พงวิชถามด้วยความสงสัยแล้วก็หันไปเจออรุณและนพ
“พวกเรามาดี” นพบอก
“แบมบู เล่ามาดิเกิดไรขึ้น รีบร้อนแบบนี้มีเรื่องไม่ดีแน่” ตั้มถาม
“พวกเราจะเล่าให้ฟังเอง นพเล่าดิ” อรุณบอกแล้วก็หันไปสะกิดนพเบาๆ
“คือ เมื่อเช้า ที่ประตูเมืองหนะ พวกเราเห็นพวกลูกน้องนัน มันมากัน 3 คน มันมาเยอะกว่าคราวก่อนๆคงหวังจะเก็บพวกแกให้สิ้นซากชัว พวกเราก็เลยสงสารไม่อยากจะเห็นพวกที่ยังมีอนาคตแบบพวกแกต้องตายอย่างอนาถเอา ก็เลยคิดที่จะมาช่วย อยู่ที่พวกแกจะรับการช่วยเหลือจากพวกฉันมั้ย” นพบอก
“พวกนันอีกแล้วเหรอ” พงวิชบอก แล้วนพกับอรุณก็พยักหน้า
“เอาไงดีละ พงวิชหันมาถามเพื่อนๆ
“แล้วรู้มั้ยว่าพวกมัน 3 คนหน้าตาเป็นยังไงกันบ้าง” ตั้มเอ่ยถามขึ้น

“พี่ชายสุดหล่อและพี่สาวสุดสวย ช่วยหลีกทางให้ผมเข้าไปสักการบูชารูปปั้นเทพอลิเซียหน่อยจะได้มั้ย” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากประตูวิหาร พวกเขาทั้งหมดจึงหันไปมองตามเสียง แล้วนพกับอรุณก็ผวาทันที แล้วพวกเขาก็หลีกทางให้
“ขอบคุณครับ” เด็กน้อยคนนั้นค่อยก้าวเท้าเดินเข้ามา ทั้งวิหารต่างหยุดเงียบไปหมดมีเพียงเสียงฝีเท้าของเด็กน้อยคนนี้เท่านั้น เมื่อเด็กน้อยคนนี้เดินผ่านไป พวกพงวิชก็เดินเข้ามากระซิบกัน
“นั่นหนะเหรอลูกน้องเจ้านัน” พงวิชพยายามจะพูดเสียงดังแต่กั้นเสียงให้เบาๆ
“มันนั่นแหละ” นพกระซิบบอก
“ทำไมมาแค่คนเดียววะ” บุ๊คถาม
“มาคนเดียวเก็บแมร่งเลย” อรุณบอกแล้วก็จะเดินตามเด็กน้อยคนนั้นไป แต่พวกพงวิชก็ดึงลั้งเอาไว้
“แล้วพวกเธอคิดว่าไงกับเรื่องแบบนี้” พงวิชหันไปถามพวกสาวๆ
“มากับพวกนี้แค่ไม่ถึง 5 นาทีก็เจอเรื่องเลย” มาย่าบ่นขึ้น
“ช่วยพวกเขาก็แล้วกันนะ ยังไงหลายคนย่อมดีกว่า” ธิดาภาบอก
“งั้นเอาตามนี้เลย พวกเรา 13 คน รุมมันเลยคนเดียว” พงวิชบอก
“แต่นั่นยังเด็กอยู่เลยนะ จะรุมกันแบบนี้มันไม่อายบ้างเหรอ” พิชามนญ์บอก แล้วพวกพงวิชก็เงียบลงทันที จนสักพักเด็กน้อยคนนั้นก็บูชากราบไหว้รูปปั้นเทพอลิเซียเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นและกลับหลังหันมาพร้อมกับรอยยิ้มและสายตาที่แฝงความน่ากลัวอยู่ด้านใน
“พี่สาว พี่ชาย เรามาเล่นอะไรกันสนุกๆดีกว่ามั้ย เห็นจำนวนคนเยอะกว่าที่คาดคิดไว้ดี” เด็กน้อยคนนั้นบอก
“เล่นอะไรหรือจ๊ะ แต่พวกพี่ขอทราบชื่อหนูจะได้มั้ย” ธิดาภาถาม
“อ๋อ ผมชื่อ ฮอนเน็ท ส่วนเรื่องที่จะมาเล่นด้วยกันนั้น คิดว่ามันต้องออกแรงกันสักเล็กน้อย” ฮอนเน็ทตอบ แล้วพวกพงวิชก็ตั้งท่าสู้ทันที
“ใจกล้าแบบนี้ ถึงว่า ทำไมพวกนันถึงแพ้ มา 3 แต่อยากลุยเดี่ยว” พงวิชบอกแล้วก็ชักดาบออกมา

“หยุดเถอะนะคะ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากหลังรูปปั้นเทพอลิเซีย แล้วเธอก็เดินออกมา
“นี่มันเขตศักดิ์สิทธิ์อย่ามาฆ่าฟันกันในนี้เลยนะ อีกอย่าง ทำไมพวกคุณต้องสู้กันด้วย ทั้งๆที่พวกคุณก็อยู่กันอย่างปกติ ไม่มีเหตุร้อนอันใดแล้วนี่ จะมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นกันทำไม” แม่ชีผู้นั้นบอก
“แม่ชีเกลวารีน” แบมบูเอ่ยขึ้นพร้อมกับตกใจที่เห็นเกลวารีนทำสีหน้าหวาดกลัว
“ก็ได้ครับ ผมจะไม่เล่นก็ได้ ผมเองแค่อยากเล่นนอกเวลาก็เท่านั้นเอง แล้วส่วนพี่ชายทั้ง 6 คืนนี้เราค่อยมาเล่นกัน อย่าหลับแล้วกันละ ถ้าหลับเดี๋ยวผมจะไปปลุกถึงที่เลย” ฮอนเน็ทบอกแล้วก็เดินตรงเข้ามา พวกพงวิชต่างหลีกห่างออกทันที แล้วพวกพงวิชต่างก็วิ่งเข้าไปหาแม่ชีผู้นั้น

“พวกท่านโปรดอย่าได้ฆ่าฟันกันเลยนะคะ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่คนแท้ๆ แต่พวกเขาก็เป็นเพื่อนกับพวกคุณได้ การที่จะมาฆ่าฟัน พวกท่านเอาเวลานั้นไปทำอย่างอื่นจะดีกว่ามั้ย” แม่ชีผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงแพร่วเบา
“สีหน้าแบบนี้ แม่ชี ท่านต้องบางอย่างปิดบังไว้แน่” แบมบูถาม แล้วเกลวารีนก็ไอออกมา
“แม่ชี ไม่สบายนี่เอง นึกว่าอะไร” บุ๊คบอก
“รีบพาแม่ชีไปที่ห้องด้านในก่อน” แบมบูบอกแล้วบุ๊คก็อุ้มร่างของแม่ชีตามแบมบูเข้าไปด้านใน

และไม่กี่นาทีต่อมา แบมบูก็เดินออกมาจากห้อง
“แม่ชีผู้นั้นเป็นอะไรเหรอคะ” ธิดาภาถาม
“คงจะโดนคำสาปบางอย่างเข้า บวกกับไม่สบายอยู่ด้วย” แบมบูตอบ
“แล้วจะหาวิธีรักษาได้อย่างไร” ตั้มถาม
“โรคปกติคงรักษาได้แหละ แต่คำสาปนี่ดูท่าจะยาก มันเป็นคำสาปโบราณที่ร้ายแรง ถึงขนาดหากปล่อยไว้เกิน 7 วันโดยไม่รักษาอย่างถูกต้องจะต้องตายได้ในทันที” แบมบูตอบแล้วพวกพงวิชก็ตกใจขึ้นทันทีที่ได้ยินแบมบูเล่าให้ฟัง
“ถึงตายเลยเหรอ” บุ๊คบอก แล้วแบมบูก็พยักๆและเดินไปนั่งที่ม้านั่ง
“คืนนี้ ถ้าพวกเราไม่ชัว ก็จะโดนไอ้เด็กนั่นมันเล่นเอา แต่ถ้าไม่หาวิธีรักษา แม่ชีผู้นี้ก็ต้องตาย” พงวิชบอก
“คืนเป็นแบบนี้ ไม่พวกเราก็แม่ชี ต้องได้ตายกันไปข้างละ” บุ๊คบอก
“เดี๋ยวแต่ถ้าเราทำแบบนี้ละ” ตั้มนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“อะไรเหรอตั้ม” พงวิชถาม
“ถ้าพวกเรามั่นใจว่าพวกเราชนะเจ้าเด็กนั่นได้แน่ พวกเราจะทุ่มเททั้งหมดไปทำไมกัน เราก็น่าจะแบ่งกลุ่มนะ กลุ่มแรกคือพวกเรา 6 คนหลักกับอรุณและนพ เตรียมตัวรอจัดการเจ้าเด็กนั่น อีกกลุ่มให้แบมบูนำพาพวกสาวๆไปหาวิธีที่จะมาช่วยรักษาแม่ชีผู้นี้ เป็นไง ความคิดดีมั้ย” ตั้มตอบ
“มีเพื่อนแบบนี้ มีประโยชน์ดี” พงวิชบอก
“งั้นตามนี้เลย” แบมบูบอกแล้วก็เปิดหนังสือตำราของเขาขึ้น
“เอาละ ที่นี้มาดูวิธีถอนคำสาปกัน ขั้นแรก คนไข้ที่จะโดนคำสาปนี้จะเป็นสาวพหรมจรรย์หรือพวกนักบวชเท่านั้น ขั้นที่สองต้องนำเลือดของผู้ที่ใช้คำสาปนี้มา 1 หยด ขั้นที่สามนำเลือดนั้นมาผสมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ และขั้นสุดท้ายเทน้ำที่ผสมแล้วนั้นลงบนร่างของคนไข้พร้อมกับร่ายคาถาโบราณแก้คำสาป” แบมบูอ่านตามตำรา
“เกือบทุกขั้นตอน ทำยากวะ” พงวิชฟังแล้วบ่นทันที
“จะรู้ได้ไงวะว่าใครเป็นคนสาป แล้วทั้งหมดนี่ก็ไม่มีใคร พูดภาษาโบราณเป็น เคยอ่านสะกดที่ละคำยังไม่รู้เรื่องเลย” บุ๊คบอก
“งั้นต้องไปถามแม่ชีละ เพราะคำสาปนี้ ผู้ที่สาปจะต้องยืนร่ายคาถาคำสาปต่อหน้า” แบมบูบอกแล้วพวกเขาก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

“แม่ชีเกลวารีน ท่านจำได้มั้ยว่า มีใครที่พูดภาษาโบราณต่อหน้าท่านบ้าง” แบมบูถาม
“ฉันจำได้ ใช่ ฉันจำได้ มีชายร่างสูงใหญ่อยู่คนหนึ่ง เข้ามาในวิหารเพื่อถามหนทางสู่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่ แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่ ฉันควรจะบอก เขาก็เลยพูดภาษาโบราณบางอย่างจนฉันสลบไป” แม่ชีเกลวารีนเล่าให้ฟัง
“แล้วจำได้มั้ยชายคนนั้นแต่งตัวยังไง หรือหน้าตายังไง” แบมบูถามต่อ
“เขาสวมแว่นเหล็กหนาๆ ผมตั้งสูง และที่เห็นเด่นชัดเป็นเอกลักษณ์ของชายคนนั้น ก็คงจะเป็นที่เขาสวมใส่เสื้อผ้าและผ้าคลุมสีดำหมด” ทันทีที่แม่ชีเล่าให้ฟังเสร็จพวกพงวิชก็ตกใจกะทันหัน
“ชายชุดดำ ชัวเลย” อรุณบอก
“สงสัย ระบบแบ่งกลุ่มต้องยกเลิกแล้วมั้งเนี่ย ถ้าให้แบมบูเป็นคนหาวิธีรักษา ก็ต้องซัดให้เจ้าบ้านั่นเลือดไหลสักหยด แน่นอนว่า ไอ้แว่นหน้าลิงนี่ทำไม่ได้แน่นอน” พงวิชบอก
“แต่ปล่อยไว้ก็ไม่ได้” ตั้มบอก
“ไม่เป็นไร เค้าพอสู้ได้ แค่เอาเลือดหยดเดียว เค้าแค่ยอมเสี่ยงเข้าใกล้มัน แล้วเอามีดกีดให้โดนเพียงนิดเดียวแล้วก็หนี มันก็จบแล้วละ” แบมบูบอก
“มันจะไม่จบอย่างนั้นซิ” บุ๊คบอก
“แล้วจะเอาไง” แบมบูถาม
“งั้นถ้าแกกล้าตายก็โอเค ตั้มอย่าไปห้ามเลย” พงวิชบอกแล้วก็เดินออกจากห้องไป
“โอเคตามนี้ เขาตายก็ไปฝังศพให้เค้าด้วยนะ แน่นอนถ้าเค้าตาย แม่ชีเกลวารีนก็หมดทางรอด ถ้าทำได้เอาเค้าฝั่งข้างหลุมศพแม่ชีด้วยนะ ชาติอย่างน้อยก็จะได้เกิดมาเจอกันอีก” แบมบูบอก แล้วเขากับพวกสาวๆก็เดินออกไป
“มันอยากตายปล่อยมันเห๊อะ” บุ๊คบอกแล้วพวกตั้มก็เดินตามออกไป

----------------------------------------------------------------------------------------------จบตอนที่ 40--------------------------------------------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 41 แผนการล่าล้างทรชนคนเหนือโลก
Post by: !!! Unknow !!! on October 22, 2005, 07:46:36 AM
ยิ่งแต่ง จำนวนคนเข้าอ่าน ช่วงห่างระหว่างตอนต่อตอน มันน้อยลงจนมีคนเข้ามาอ่านตอนนึงไม่ถึง 20 ครั้งเลย  :(
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน แผนการประหลาด

คืนวันนั้นปีศาจน้อยฮอนเน็ทก็รอเพื่อนที่มาเล่นกับเขาด้วยอีก 2 คนอยู่ในโรงแรม
“มีเยอะกว่าที่คิดซะอีก ถ้าพวกนั้นฝีมือดีจริงเหมือนอย่างที่พี่นันบอกไว้ คืนนี้ก็คงจะได้เล่นอย่างสนุกแล้วละ” ฮอนเน็ทนั่งพูดอยู่คนเดียวอยู่บนเตียง แล้วเขาก็เงียบไป ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องล้วนแต่เงียบสนิท
“ทำไมมันง่วงแต่เย็นแบบนี้เลยละ นอนก่อนก็แล้วกัน” ฮอนเน็ทที่ทนรับความอบอุ่นและอ่อนนุ่มที่เขาไม่ได้นอนมานาน แล้วเขาก็หลับลงทันทีในเวลาต่อมา
“โถ เด็กเอ๋ย เด็กน้อย ถึงเจ้าจะเป็นปีศาจแต่ยังไงก็ยังเด็ก ทำตัวซ่าร่าเริง ไม่เกรงกลัวความตายเลย    พัฟ” ทาร่อนยืนห้อยหัวมองดูฮอนเน็ทจากเพดาน
“คะ” พัฟขานขึ้น
“เธอเฝ้าดูแลเจ้าหนูนี่เอาไว้นะ ถ้าถึงเที่ยงคืนก็ปลุกซะ แล้วบอกด้วยฉันจะไปรอที่ถนนใหญ่ มันกว้างพอที่จะสู้” ทาร่อนพูดเสร็จเขาก็จมหายไปในเพดาน

ที่วิหารอลิเซีย พวกพงวิชต่างนั่งเคร่งเครียดวิตกกังวลกันนิ่งมากจนไม่มีเสียงอื่นใด พงวิชที่ทนอยู่นิ่งไม่ได้เขาก็มองดูเพื่อนๆ ที่นั่งหลับตาหน้าเคร่งเครียดกัน พงวิชเลยคิดจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก่อนที่เขาจะพูด พงวิชก็ได้ยินเสียงกรนของบุ๊คดังขึ้น เพื่อนคนอื่นค่อยๆลืมตาขึ้นมามองอย่างช้าๆ แล้วพวกเพื่อนก็ลุกเดินมายืนเรียงอยู่ตรงหน้าบุ๊ค แต่บุ๊คก็ยังนั่งหลับกรนเสียงดังอยู่ พวกเพื่อนจึงหันมามองแล้วก็พยักหน้าให้สัญญาณกัน แล้วพวกเขาก็บริจาคสหบาทาสามัคคีใส่บุ๊ค

“มันบุกมาแล้วเหรอ ไหนๆ” บุ๊ครีบลุกขึ้นมองหาทันที
“ไม่มีหรอก 5 บาทานี้ถีบแกเอง คนอื่นเขานั่งเครียดว่าจะทำไง ส่วนแกมานั่งหลัง น่าซะอีกรอบ” พงวิชบอก
“เราหลับไปเหรอ โทษที ไม่รู้เห็นมันเงียบ ก็เลยหลับไปเอง” บุ๊คบอกแล้วพวกเพื่อนๆต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งคิดกันอย่างเงียบๆ แล้วอรุณกับนพก็เดินเข้ามา
“ได้ไรบ้าง” พงวิชถาม
“ไอ้เด็กบ้านั่นมันเอากระดาษพับจรวดพาใส่หัวมาอ่ะดิ เลวจริงๆ” นพตอบแล้วก็ยื่นกระดาษให้
“คืนนี้เที่ยงคืนเจอกันถนนใหญ่ ถ้าไม่มา เราจะไปหาเอง” พงวิชอ่าน แล้วเพื่อนๆก็หนักใจอยู่เล็กๆ
“พวกมันเอาจริงเว้ย” บุ๊คบอก
“ง่วงเว้ย” อรุณบอกแล้วก็เดินไปกระโดดนอนลงบนม้านั่งยาว แต่ทันทีที่ตัวลง ม้านั่งก็หักทันที
“ไม่ดูหุ่นตัวเองเล๊ย เจอเข้าไปทีหายง่วงเลยอ่ะดิ” นพบอก แล้วอรุณก็ลุกขึ้นไปนอนบนม้านั่งยาวแบบปกติ
“เตรียมตัว เร็วพวกเรา นี่มันก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว” พงวิชบอก
“จะไปจริงเหรอพงวิช” ตั้มถาม
“ไม่ไปมันก็มา ไปสู้ซึ่งๆหน้าเลยดีกว่า เรายังมี พี่น้องปักษาและอีฟริตอยู่ด้วย เรายังได้เปรียบอยู่บ้างนะ” พงวิชตอบแล้วก็เดินออกไปทันที
“ไปเร็ว ยังไงก็ต้องลุย ตายก็ตายวะ เรื่องมันจะได้จบๆไปเสียที” บุ๊คบอกแล้วพวกเพื่อนๆก็เดินตามพงวิชออกไป เหลือเพียงพวกสาวๆและแบมบูที่คอยดูแลแม่ชีเกลวารีน

“ฮอนเน็ท ฮอนเน็ท” พัฟเขย่าร่างของฮอนเน็ทไปมา จนฮอนเน็ทค่อยๆตื่นขึ้นมา
“อะไรกัน มาปลุกทำไมตอนดึก” ฮอนเน็ทขยี้ตาแล้วถาม
“ทาร่อนบอก เมื่อถึงเที่ยงคืนให้พวกเราไปที่ถนนใหญ่” พัฟบอกแล้วฮอนเน็ทก็ลุกเดินออกจากห้องไปพร้อมกับพัฟ เมื่อเขาเดินออกมาจากโรงแรมก็เห็นโลโล่ยืนรออยู่แล้ว
“จะไปไหนกันเหรอ” โลโล่ถาม
“ทำงานนิดหน่อยน่ะ จะไปด้วยกันมั้ย คืองานนี้ จะบอกเลยว่า มันรุนแรงถึงขนาดต้องฆ่ากันตาย” ฮอนเน็ทตอบ แล้วโลโล่ก็ตกใจทันทีที่ได้ยิน
“มีใครจะฆ่าเธอเหรอ” โลโล่ถาม
“ใช่ มีพวกคนกลุ่มหนึ่ง มันคิดจะฆ่าฉัน” ฮอนเน็ทตอบแล้วก็เดินต่อไป
“ให้ฉันช่วยมั้ย เผื่อจะได้ช่วยอะไรเธอได้บ้าง” โลโล่บอก แล้วฮอนเน็ทก็หันมายิ้มทันที
“ก็ได้ มาซิ” ฮอนเน็ทกวักมือเรียกแล้วเด็กน้อยทั้ง 3 ก็มุ่งหน้าไปถนนใหญ่

ที่ถนนใหญ่ พวกพงวิชได้เดินเรียงหน้ากันมาอย่างองอาจหาญกล้าไร้ความกลัวตาย และพวกเขาก็เห็นทาร่อนที่ยืนอยู่กลางถนนอีกฝั่งคนเดียว
“มาคนเดียวรึ” พงวิชตะโกนถาม แล้วสักพักฮอนเน็ทและสาวน้อยอีก 2 คนก็โผล่ออกมา
“เฮ้ยอรุณไหนบอก 3 ไง ทำไม 4 คนวะ” พงวิชหันมาถาม
“ไหนละอรุณ ที่บอกอีกคนไม่เกี่ยว บอกแล้วว่า 4” นพตอบ แต่อรุณก็ยืนยิ้มนิ่งๆ
“พงวิช มีแผนอะไรมั้ย” บุ๊คถาม
“ไม่มี แต่เวลาสู้เดียวมันก็มีเอง” พงวิชตอบแล้วก็ท่องคาถาเรียกวิญญาณอีฟริตออกมา แล้ว 3 พี่น้องปักษาก็ปรากฏตัวออกมาจากอาวุธของพวกเขา
“มีของดีแบบนี้ ก็สนุกดีนะ” ฮอนเน็ทบอกแล้วก็หยิบคันธนูสีม่วงประหลาดออกมา
“ทำไมพวกนั้นถึงอยากฆ่าเธอละ” โลโล่เริ่มหวาดกลัวเล็กๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันดูแลตัวเองได้ และเธอเชื่อเถอะ พวกนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” ฮอนเน็ทบอก

แล้วพงวิชก็สะดุ้งตัวขึ้นมาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“พงวิช มีแผนแล้วเหรอ” ตั้มถาม
“ไม่อ่ะ ไม่เชิงแผนหรอก ในนี้ใครเร็วที่สุด” พงวิชหันมาถาม
“ทำไม ในนี้ถ้าจะเร็วก็คงจะเป็น 3 ปักษาน้อยนั่นแหละ” บุ๊คตอบ
“โอเค เซฟิ มานี่ที” พงวิชเรียกแล้วเซฟิก็บินเข้ามาหา พงวิชก็กระซิบเบาๆทันที
“แผนไรวะ พงวิช ไม่บอกเพื่อนเลย” ตั้มบ่น
“โอเค มาเริ่มเล่นกันเลยดีกว่า” พงวิชหันกลับไปตะโกนบอก

ฮอนเน็ทก็ยิ้มทันที
“ทาร่อน พัฟ เรามาเล่นด้วยกันกับพวกเขาให้สนุกนะ” ฮอนเน็ทบอกแล้วเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งที่ไม่ได้จับคันธนูร่ายมนต์สร้างลูกศรวิญญาณสีม่วงชาร์ตไว้
ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส   โลโล่ร่ายเวทย์มนต์คาถาโบราณเรียก ไวท์ไทเกอร์ ออกมา ทันทีที่เธอท่องคาถา ฮอนเน็ทและพวกพงวิชทึ่งทันที
“สาวน้อยคนนี้ เรียนรู้เวทย์มนต์โบราณเป็นด้วยเหรอเนี่ย” ฮอนเน็ทหันมามองและนึกไปในใจ พงวิชเองก็ยิ้มออกทันที
“เซฟิเปลี่ยนแผน เปลี่ยนเป้าหมายเล็งที่คนนั้นนะ เธอยังมีประโยชน์ต่อเรา” พงวิชตะโกนบอกแล้วเซฟิก็พยักหน้า แล้ว 3 พี่น้องปักษาก็บินพุ่งบุกเข้าโจมตีทันที

“Soul Wind” ฮอนเน็ทยิงลูกศรวิญญาณโจมตีเป็นสายลมออกไป เฟียเรียสจึงพุ่งตัวเอาโล่ของเธอเอามาป้องกันพวกพี่ๆของเธอไว้
Million Arrow อูติกบินพุ่งขึ้นเหนือน้องสาวและยิงลูกศรลมนับล้านโจมตีใส่ ไวท์ไทเกอร์จึงพุ่งออกมาได้หน้าและสร้างบาเรียแสงป้องกันไว้ แล้วก็ร่ายเวทย์มนต์จากด้านหลัง เซฟิจึงบินพุ่งผ่านทะลุบาเรียเข้ามาใช้ดาบฟันใส่ฮอนเน็ท แต่ทาร่อนปรากฏตัวออกมาด้านหลังเซฟิจนเขานั้นตกใจกับความเร็วในการเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ได้จนไม่ทันได้สังเกต
“Sorrow Punch” ทาร่อนสร้างพลังความมืดและโจมตีอัดใส่เซฟิจนกระเด็นออกไป แล้วอีฟริตก็พุ่งตรงเข้ามา ร่างกายที่ล้อมไปด้วยเปลวไฟอันร้อนแรงจนพื้นดินที่มันผ่านนั้นไฟรุกโชดขึ้นตามเป็นทาง
Magma Burst อีฟริตพุ่งผ่านกลุ่มพวกฮอนเน็ทไปอย่างรวดเร็ว แล้วไฟที่รุกตามเป็นทางนั้นก็ค่อยขยายกว้าง พื้นเริ่มร้อนระอุขึ้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิง
Ice Storm พัฟที่ร่ายเวทย์มนต์เสร็จก็เรียกพายุหิมะพัดโจมตีใส่พวกพงวิช และทำให้ไฟบนพื้นนั้นดับลงหมด
“อิศราเปิดเร็วๆ” เพื่อนๆต่างเร่งรีบช่วยอิศราเปิดตำราหาเวทย์มนต์มาป้องกัน
“อ๊ะได้ละ Body Shied ” อิศราร่ายบาเรียออกมาป้องกันพายุหิมะที่โหมกระหน่ำใส่อย่างรุนแรง
Meteor Flare  อีฟริตที่ลอยตัวอยู่เหนือพวกฮอนเน็ทนั้นเรียกพายุอุกาบาตรขนาดใหญ่จำนวนมากโหมโจมตีใส่พวกฮอนเน็ท ไวท์ไทเกอร์จึงพุ่งเข้าสร้างบาเรียป้องกันแต่บาเรียทนรับพลังไม่ได้จนแตกกระจายไปหมด อุกาบาตรที่โฆมตกใส่จนทาร่อนนั้นต้องหลบหนีออกจากบริเวณอย่างรวดเร็ว แต่ฮอนเน็ทใช้ลูกแก้ววิญญาณสร้างเกราะพิเศษคุ้นครองตน เมื่อหลังจากที่อุกกบาตรชุดนั้นได้ถล่มจนหมดสิ้นไป ทาร่อนและฮอนเน็ทต่างก็กลับมาตั้งหลักที่เดิม แต่เขากลับเห็นพงวิชยืนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ยิ้มอะไร โจมตีเพียงแค่นี้คิดว่าจะชนะงั้นเหรอ” ฮอนเน็ทบอก
“ไม่ เราไม่ชนะแกหรอก แกมันเก่งเกิน แต่เราก็มีวิธีบางอย่างที่จะชนะเอาให้ได้” พงวิชบอก
“วิธีอะไรของแก” ฮอนเน็ทถาม แล้วพงวิชก็หลีกทาง ฮอนเน็ทตกใจขึ้นเล็กๆ พัฟและโลโล่ที่ถูก 3 พี่น้องปักษาจับตัวไป ในสภาพที่ถูกมัดมือมัดเท้าและปิดปากไว้
“พัฟ” ฮอนเน็ทตะโกนเรียก
“ถ้าไม่อยากให้ฉันปลิดวิญญาณของสาวน้อยทั้ง 2 คนนี้ก็กลับไปซะ แล้วเลิกตามล่าพวกฉันซะที ภายใน 7 วันฉันถึงจะปล่อย 2 คนนี้” พงวิชบอก
“แกมันไร้ศีลธรรมแห่งการต่อสู้ ขี้โกงกันซึ้งๆหน้า” ฮอนเน็ทด่าใส่
“ใช่ เรามันขี้โกง แต่แกจะยอมทำตามไม่ละ” พงวิชบอกแล้วก็ดาบเล็กเล่มหนึ่งกีดเข้าที่หน้าอกของพัฟจนเลือดไหลออกมา
“อย่า” ฮอนเน็ทตะโกนบอก
“อ่ะ ที่แท้สาวน้อยคนนี้ก็คงจะมีค่าต่อแกมากเลยซินะ” พงวิชบอก
“พงวิช แผนนี้มันเหมือนตัวโกงมากเลยนะ ทำตัวก็เหมือน มาเป็นพวกเราได้ไงเนี่ย” ตั้มบ่น
“เถอะน่า วิธีนี้ละถึงจะชนะ” พงวิชบอก
“แล้วแกจะเอายังไง” พงวิชหันไปถาม แต่ฮอนเน้ทก็ยังลังเลใจ
“ฮอนเน็ท เจ้าอย่าได้เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน เรา 2 คนถ้าเอาจริงก็ชนะพวกมันได้ง่ายๆ” ทาร่อนบอก แต่ฮอนเน็ทก็ยังลังเลใจ
“เร็ว” พงวิชบอก แต่ฮอนเน็ทยังก็ยืนนิ่งลังเลในการตัดสินใจ
“ยังช้าอีก ไม่งั้นสาวน้อยคนนี้ แกจะได้เห็นใบหน้าอันน่ารักของเธอเป็นครั้งสุดท้าย” พงวิชบอก
“เฮ้ย พงวิช มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ” ตั้มถาม
“อย่างนี้ เป็นพวกนักฆ่าได้เลย พงวิชจอมเจ้าเล่ห์ ชื่อฉายาเข้าท่าดีเลย” นพบอก
“เอาเถอะ” พงวิชตอบ แล้วก็เอาปลายดาบนั้นมาจ่อลงบนแก้มของพัฟ สีหน้าของเธอที่หวาดกลัวเป็นอย่างมากนั้น ยิ่งทำให้ฮอนเน็ทกังวลใจยิ่งขึ้น
“ฮอนเน็ท อย่าเชื่อมัน ถึงแม้พัฟต้องตาย แต่พวกเราก็ฆ่ามันชดใช้แทนกันได้นี่” ทาร่อนบอก แล้วพงวิชก็ค่อยออกแรงทิ่มปลายดาบลงไปเบาๆจนมีเลือดไหลออกมาจากแก้มของพัฟ
“ก็ได้” ฮอนเน็ทตะโกนบอก แล้วพงวิชก็ดึงดาบออก
“ฮอนเน็ท” ทาร่อนพูดขึ้น แต่ฮอนเน็ทก็หันหลังและเดินจากไป
“ฉันคือผู้นำทีม ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่คนแท้ๆ แต่พวกเราก็เห็นความสำคัญของเพื่อนๆมาตลอด รวมทั้งที่พี่นันเขาไว้ใจในตัวนายใช่มั้ยละ ทาร่อน” ฮอนเน็ทบอก แล้วเขาทั้ง 2 ก็เดินจากไป

“แล้วทีนี้จะเอายังไงก็ 2 สาวนี้ละ” บุ๊คถาม
“ก่อนอื่นต้องห้ามเลือดให้ก่อน” พงวิชบอกแล้วก็ดูดเลือดบนแก้มของพัฟที่ไหลออกมา
“ห้ามเลือดบ้าอะไรของพงวิชวะ” ตั้มและเพื่อนๆรีบดึงพงวิชออกมา
“เห็นเป็นสาวน้อยไม่ได้เลยนะ ไอ้นี่” นพบอก แล้วอิศราก็ควักหายามาทำแผลให้พัฟ
“ต้องขอโทษ เธอด้วยนะ ที่เพื่อนเราทำเกินเหตุไปซะขนาดนี้ เรารู้ว่า พวกสาวๆนั้น ใบหน้านั้นสำคัญมากแค่ไหน” ตั้มกล่าวคำขอโทษ แล้วบุ๊คก็ดึงผ้าปิดปากที่ปิดปากพวกเธอไว้ออก
“พวกเธอจะทำอะไรฉันก็ทำไปเถอะ ฮอนเน็ท เขาคงทิ้งฉันไปแล้วละ” พัฟพูดอย่างเศร้าใจ
“งั้นดีเลย” พงวิชบอกและเริ่มนึกอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาในสมอง
“พอเลย พงวิช ในหัวคิดอะไรอยู่ นึกว่าไม่รู้เหรอ” ตั้มตบหัวพงวิชเข้าที
“อะไรวะ ก็เธอบอกมานี่ว่าจะทำอะไรก็ได้” พงวิชเอามือลูบหัวเบาๆ
“ส่วนสาวน้อยคนนี้ พวกเราเห็นเธอใช้พวกเวทย์มนต์โบราณได้ แปลว่าเธอต้องรู้และอ่านภาษาโบราณออกใช่มั้ย” ตั้มถาม
“พวกคุณจับหนูมาเพราะหนูนั้นพูดภาษาโบราณที่หายากได้งั้นซินะ” โลโล่บอก
“เปล่าหรอก ก็แค่อยากจะให้ช่วยเฉยๆ คือตอนนี้ มีแม่ชีผู้หนึ่ง โดนคำสาปโบราณวิธีแก้มันก็ต้องทำการร่ายคาถาโบราณแก้ขวบคู่ไปด้วย แต่ไม่มีใครที่สามารถจะพูดภาษาโบราณได้เลย แต่ก็มาเจอเธอนี่แหละ” พงวิชบอก
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หนูเองก็จะช่วย” โลโล่บอก
“โอเค คืนนี้ไปนอนกันเถอะ ง่วงแล้ว” บุ๊คบอกแล้วก็เดินตรงกลับไปที่วิหาร
“ใช่ ง่วงแล้วเหมือนกันกลับกันเถอะ” พงวิชบอก
“แล้ว 2 คนนี้ละจะทำยังไง” ตั้มถาม
“เอาไปนอนกับเราก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราจะเฝ้าไว้ เผื่อเจ้าเด็กผีนั่นมันคิดไม่ซ่อกะจะมาชิงเอาตอนพวกเราหลับ” พงวิชตอบ
“ปล่อยไว้ไม่ได้ มีเพื่อนแบบนี้ ขนาดต่อหน้าเพื่อนๆยังกล้าทำแบบเมื่อกี๊เลย ถ้าไม่มีพวกเราจะขนาดไหนวะ” ปอนบ่นใส่
“ให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพวกธิดาภาแล้วกัน” ตั้มบอก
“โห่ อดเลย” พงวิชเดินเตะฝุ่นทันที แล้วอรุณก็แบกร่างของพัฟและโลโล่เดินตามพวกพงวิชไป

-----------------------------------------------------จบตอนที่ 41---------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 42 เขี้ยวเล็บเทพเจ้ามังกร ปะทะ ไอ้ตัวแสบ
Post by: !!! Unknow !!! on October 23, 2005, 05:43:30 AM
ตอน ซามูไรลึกลับ

เช้าวันต่อมา พวกพงวิชก็ตื่นมากันอย่างสดชื่นภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องผ่านกระจกในวิหาร
“หลับสบายดี ขนาดนอนแค่บนม้านั่งนะเนี่ย ถ้านอนบนเตียงจะสบายขนาดไหน” พงวิชพูดไปเรื่อยๆ
“แล้วพวกอรุณละ” บุ๊คหันมาถาม
“อ๋อ พวกนั้นเห็นไปแต่เช้าแล้วละ” แบมบูตอบ
“มาแล้วก็ไป เดี๋ยวก็มา มันแปลกหน๊อ 2 คนนั้น” พงวิชบอก
“แล้วทีนี้จะช่วยแม่ชียังไงต่อละ อีก 5 วันตามล่าชายชุดดำเนี่ยนะ แล้วต้องเอาเลือดมันมาให้ได้ ให้ตายเถอะ ทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้” บุ๊คบ่นขึ้นทันที
“เฮ้ย แต่ยังไงก็ต้องหาทางช่วยแม่ชีไว้ให้ได้นะ เธอเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อเมืองนี้และสมาคมนักบวชมาก” แบมบูบอก
“แล้วจะทำกันอย่างไรละ พวกเราก็เคยเจอชายชุดดำ ก็รู้ดีกันอยู่นี่ว่า มันโหดขนาดไหน” ตั้มบอก
“งั้นไม่ต้องช่วยหรอก คนเรจะถึงคราวตายมันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก” พงวิชบอก
“เฮ้ย พูดอะไรอย่างงั้นวะ” แบมบูพูดแย้งขึ้น
“พวกเราก็เห็นด้วย” ปอนพูดขึ้น
“เพราะเค้าหล่อ เดี๋ยวก็หายเอง” แพ๊คเก๊กหล่อทันที
“เอาดีๆกันดิวะ” ตั้มบอก  

แล้วและพวกสาวๆก็เดินมาจากด้านในวิหาร พวกหนุ่มๆต่างตะลึงกับความน่ารักของพัฟจนอ้าปากค้างทันที
“พงวิช ระวังย้อย” ตั้มบอก แล้วพงวิชก็ปาดน้ำลายตัวเอง
“ทำอย่างกะหมาบ้าเลย” อิศราบอก
“ไม่น่าเชื่อ ขนาดเมื่อคืนก็โดนเราสร้างแผลบนใบหน้าให้ แต่วันเดียวแผลนั้นหายไปแล้ว” พงวิชทึ่งอยู่กับความน่ารักของเธอ แล้วพงวิชก็เหลือบไปเห็นโลโล่และธิดาภาที่มีสีหน้าเศร้า
“ธิดาภา มีเรื่องเศร้าใจอะไรเหรอ” พงวิชถามด้วยความสงสัย แต่เธอก็ไม่ตอบอะไร
“ก็เจ้าลิงน้อย ตายไปแล้วละซิ” มาย่าตอบขึ้นแทน
“ใครกันเจ้าลิงน้อย ฉันเริ่มสงสัยแล้วละเนี่ย ทำไมมันมีความสำคัญต่อเธอขนาดนั้นเลยเหรอ” พงวิชถาม
“ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ธิดาภาถึงเห็นเขาสำคัญขนาดนี้” พิชามนญ์ตอบ
“แล้วพัฟ ทำไมวันเดียวถึงเปลี่ยนไปเหมือนคนละคนเลยละ จากที่เป็นพวกนั้น ทำตัวเหมือนสนิทเป็นพวกเราเลย” ตั้มถาม
“ฉันก็คิดว่า ถ้ามีเพื่อนเล่นด้วยกันเยอะมันก็คงจะดีนะ ก็เลยอยากจะมาอยู่กับพวกเธอไง” พัฟตอบ
“เอาเถอะ คราวนี้พวกเราก็ต้องออกเดินทางช่วยแม่ชีผู้นี้ให้ได้ภายใน 5 วันนับจากนี้” พงวิชบอก
“แล้วจะปล่อยให้แม่ชีนอนพักอยู่ในนี้เหรอ แล้วใครจะช่วยหากแม่ชีป่วยหนักมากๆละ” แบมบูถาม
“เอ่อ... งั้นบุ๊ค ช่วยอุ้มแม่ชีขึ้นหลังแกพาไปด้วยแล้วกัน” พงวิชตอบ
“เราอีกแล้วเหรอ” บุ๊คถาม แล้วเพื่อนๆก็พยักหน้า บุ๊คจึงเดินเข้าไปในวิหารและแบกแม่ชีขึ้นหลังและเอาผ้าคลุมมาคลุมปิดไว้เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและเอาผ้านั้นมัดร่างของแม่ชีกับบุ๊คไว้เพื่อไม่ให้หลุดออกจากกัน

เมื่อพวกเขาเริ่มออกเดินทางกันเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังเมืองไดนาส แต่ระหว่างที่พวกเขาจะไปนั้น บุ๊คเกิดหิวข้าว เพราะเช้านี้เขายังไม่ได้ทานอะไรเลย เขาจึงบอกให้เพื่อนๆแวะไปกินข้าวก่อนออกเดินทางต่อ พวกเขาจึงเข้าไปในร้านอาหารพี่หมูเจ้าเก่า ทันทีที่บุ๊คเข้าไปในร้านก็สั่งอาหารทันทีและเดินไปรอข้างใน
“เรื่องกินยกให้ที่ 1 ในโลกเลย” พงวิชบอกแล้วก็เดินตามเข้ามาและตรงไปนั่งโต๊ะที่บุ๊คนั่งอยู่ ซึ่งโต๊ะข้างๆนั้น มีชายใส่ชุดเกราะซามูไรสีน้ำเงินทั้งชุดเตรียมขั้นกำลังทานอาหารอยู่
“บุ๊ค ห่วงกินแบบนี้ เวลาใกล้ตายยังจะกินอยู่ปะ” พงวิชถาม
“แน่นอน ของมันตาย ถึงจะตายก็อิ่มก่อนตายจะดีกว่า ตายไปจะได้ไม่ต้องทนหิว” บุ๊คตอบ ไม่นานนักพี่หมูก็ร่อนอาหารเสิร์ฟให้ พวกเขาต่างก็ทานอาหารกันจนอิ่ม พวกเขาก็ลุกขึ้นไปจ่ายเงินให้พี่หมูและออกจากร้านไป

“ทีนี้จะเอายังไงต่อ มีอะไรค้างคาอีกมั้ย ถ้าไม่มีจะได้ไปทีเดียวเลย” พงวิชถาม แล้วซามูไรคนนั้นก็เดินออกจากร้านมา ธิดาภาที่สบสายตากับซามูไรคนนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียว เธอก็ตะลึงอยู่นานจนพวกพงวิชนั้นสังเกตได้
“เป็นอะไรไป ธิดาภา” พิชามนญ์พยายามสะกิดเรียกสติเธอคืนมา แล้วพงวิชก็เห็นซามูไรคนนั้นเดินผ่านไป จึงนึกสงสัย
“เฮ้ย แกน่ะ ใครวะ หันมาคุยกันก่อนดิ” พงวิชตะโกนเรียกแล้วซามูไรคนนั้นจึงหยุดเดิน
“โปรดอย่าเรียกอีก ถ้าไม่มีเรื่องอันใด” ซามูไรคนนั้นบอก
“แกชื่อไรวะ แล้วจู่ๆทำไมเพื่อนฉันถึงเป็นแบบนี้ แกทำอะไรเธอ” พงวิชถาม ซามูไรผู้นั้นก็หัวเราะเล็กๆ ก่อนที่จะหันมา
“ข้าชื่อ อสุเระ ส่วนเรื่องของเพื่อนนายนั้น ฉันไม่รู้เรื่องอันใด” อสุเระตอบ พวกสาวๆจึงตกใจทันทีที่เห็นใบหน้าของซามูไรคนนั้น

“นั่นมันเจ้าลิงน้อยนี่” มาย่าบอก
“แล้วทำไมต้องปิดตาข้างขวาด้วยละ” อรนิชาถาม
“เจ้าลิงน้อย ใครกัน อีกอย่างฉันก็ไม่เคยเจอกับพวกเธอมาก่อน” อสุเระตอบ
“แล้วทำไมต้องปิดตาด้วย หรือไปทำอะไรไม่ดีไว้แล้วกะหนีความผิดละซิ จริงเปล่า” แพ๊คถาม
“มันไม่เกี่ยวกันเลย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัว” อสุเระบอกแล้วก็หันหลังกลับเดินต่อไป
“นั่นไม่ใช่มาร์คัสหรอก ถึงเขาจะรูปร่างหน้าตาเหมือนกันจนหาที่แยกแยะออกไม่ได้ว่า นั่นไม่ใช่มาร์คัสก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่คนที่พวกเราเอ่ยถึงหรอก” โลโล่บอก
“ทำไม” มาย่าถาม
“มาร์คัส เขาไม่เย็นชาขนาดนี้ และรอยยิ้มของชายคนนั้นมันไม่เหมือนกับมาร์คัสเลย” โลโล่ตอบ
“เดี๋ยว” พงวิชตะโกนเรียก อสุเระจึงหยุด
“แกต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเธอแน่ ฉันจะล้างแค้นให้พวกเธอ ฉันไม่รู้หรอกแกไปทำอะไรพวกเธอไว้ แต่วันนี้ แกตายแน่” พงวิชบอก อสุเระจึงหันหลังกลับมา
“ถ้าทำได้ก็เอาซิ” อสุเระบอกแล้วก็ยืนกอดอก พงวิชจึงก้าวออกมา
“ทุกคนไม่ต้อง ฉันขอดวลกับมันตัวต่อตัว” พงวิชบอกเสร็จก็เอามือจับด้ามดาบของอายะไว้ในปอก (ช่วยฉันหน่อยนะอายะ) พงวิชสื่อจิตในใจ

“เพลงดาบคลื่นวารี เนมโมคุ” พงวิชชักดาบฟันออกมาอย่างเร็วจนเกิดคลื่นพลังน้ำโจมตีใส่ อสุเระก็ไม่รีบร้อนอะไรเขาแค่ชักดาบเล่มหนึ่งออกมาปักไว้ตรงหน้าของเขา เมื่อคลื่นดาบวารีโจมตีเข้าใส่ดาบของอสุเระ พลังของคลื่นวารีก็พุ่งกระจายออกเป็น 2 ทางผ่านตัวอสุเระไป พงวิชและเพื่อนๆทึ่งกับดาบเล่มนั้นทันที
“จบรึยัง หรือมีแค่นี้” อสุเระถาม พงวิชจึงโกรธมากและร่ายมนต์เรียกเซฟิออกมาพร้อมกับดาบ

“จัดการมันเลยเซฟิ” พงวิชสั่ง แล้วเซฟิก็บินพุ่งตรงเข้าไป
“Grand Slash” เซฟิชูดาบขึ้นจนมีพลังลมเปร่งออกมาจากดาบ อสุเระจึงใช้มือข้างหนึ่งจับดาบที่ปักไว้ แล้วเซฟิก็ฟันลง
“Jet-X” อสุเระชักดาบอีกเล่มหนึ่งออกมาพร้อมพุ่งเข้าฟันเป็นรูปกากบาทอย่างรวดเร็วแม้แต่การฟันอย่างรวดเร็วของเซฟิยังหลบและโจมตีสวนกลับได้ แล้วร่างของเซฟิก็สลายเป็นสายลม
“สงสัยจะกินอิ่มไป จุกเลย” อสุเระบ่นพึมพำ
“ออกแรงมากจนจุก คราวต่อไม่รอดแน่” พงวิชร่ายมนต์เรียกอีฟริตออกมา
“เผามันให้สิ้นซาก...” พงวิชกำลังจะสั่ง
“หยุดเถอะ พงวิช” ธิดาภาพูดห้ามขึ้น
“ไม่หรอก มันยังไม่จบแค่นี้หรอก มันต้องยิ่งกว่านี้” พงวิชบอก แล้วอีฟริตก็พุ่งเข้าไปพร้อมกับลูกไฟจำนวนหนึ่งที่วนอยู่รอบตัวมัน

“Flare Bomb” อีฟริตยิงลูกบอลไฟทั้งหมดโจมตีใส่ อสุเระ
“Cross Blade” อสุเระใช้ดาบทั้ง 2 ฟันลูกไฟจนขาดกระจายไปทั่ว แต่อีฟริตก็เร่งยิงลูกบอลไฟเข้าโหมใส่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพวกพงวิชก็ทึ่งมากกับลีลาของอสุเระที่เขาสามารถชักดาบอีก 2 เล่มออกมาโดยมือข้างหนึ่งนั้นจับดาบ 2 เล่มไว้และฟันลูกบอลไฟจนหมดสิ้น เมื่อเปลวเพลิงและควันไฟนั้นจางหายไป พวกพงวิชก็เห็นดาบทั้ง 4 เล่มของอสเระที่รุกโชดด้วยเปลวเพลิงและรอยยิ้มของเขา

“มันทำได้ไงวะ” พงวิชตกใจทันทีและถอยออกมาก้าวหนึ่งอย่างกลัว แล้วอสุเระก็ใช้ดาบ 2 เล่มในมือข้างหนึ่งกวักท้าทายพงวิช
“อีฟริต เรามาลุยไปพร้อมๆกันเลย” พงวิชสั่งแล้วทั้งคู่ก็ออกวิ่งตรงเข้าไปหาอสุเระ
“Fire Bird” อีฟริตใช้หมัดเพลิงอัดพุ่งเข้าตรงใส่เป็นรูปนกไฟยักษ์ที่พุ่งเข้าโจมตีเหยื่อ
“เพลงดาบสลายพลัง ไซกุเดน” พงวิชชักดาบพุ่งแทงใส่ร่างของเขาหลอมรวมไปกับเปลวเพลิงของอีฟริต พลังของเขาทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียว อสุเระจึงวิ่งเข้าปะทะกัน
“กงเล็บมังกร Dragon Claw” อสุเระชักดาบที่เหลืออีก 2 เล่มออกมาถือเป็นกงเล็บกระโดดพุ่งเข้าทะลุหมัดไฟของอีฟริตและใช้กงเล็บนั้นฟันทะลุผ่านออกมา เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเปลวไฟที่รุกไปทั่วร่างและค่อยๆดับลง แต่อีฟริตนั้นก็สลายเป็นเปลวเพลิง และพงวิชนั้นทรุดตัวล้มลงทันที
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะฆ่าใครทั้งนั้น ถือว่าแกโชคดีมาก ไอ้หนู เพราะฉันเพิ่งอิ่ม” อสเระบอกแล้วก็เก็บดาบทั้ 6 เล่มใส่ปอกและเดินจากไป

“นี่เราแพ้มันหรือเนี่ย” พงวิชเจ็บใจที่ตนเองนั้นแพ้จึงเอามือทุบลงบนพื้น แล้วพวกเพื่อนๆก็วิ่งเข้ามาหา
“เฮ้ย ไปท้ามันเองนี่ แพ้ซะหมดท่าเลย” แบมบูบอก
“พงวิช ไม่น่าไปยุ่งกับมันเลย” ตั้มจับไหลพงวิช แล้วตั้มก็ต้องดึงมือกลับทันที เพราะร่างของพงวิชนั้นร้อนเอามากๆจากการรวมพลังกับอีฟริต
“ร้อนขนาดนี้ หมอนั่นมันทนได้ไงวะ” ตั้มเป่ามือตัวเองทันที
“พงวิช” ธิดาภาพูดปลอบใจ
“หมอนั่น เก่งกว่าเจ้าลิงน้อยซะอีก” มาย่าบอก
“เขาก็เลยไม่ใช่เจ้าลิงน้อยของพวกเราอีกแล้วไง” อรนิชาบอก
“พงวิช ไปต่อเถอะ คนเราใช่ว่าจะแพ้หรือชนะกันตลอดหรอก สักวันเดี๋ยวเจ้าหมอนั่นมันก็แพ้คนอื่นไปเองแหละ” บุ๊คบอก แล้วพงวิชก็ทำใจได้จึงลุกขึ้นยืน และส่งยิ้มให้กับเพื่อนๆเพื่อให้รู้ว่าเขานั้นยังปกติไม่ได้โศกเศร้าเสียใจอะไรกับการดวลครั้งนี้
“ไปกันเถอะ” พงวิชบอกแล้วก็วิ่งนำออกไปทันที
“รอด้วยดิ ไปไม่รอเลย” ตั้มรีบวิ่งตามพงวิชไป พวกสาวๆก็หัวเราะกันเล็กๆกับพวกหนุ่มๆที่ดูแปลกคน แล้วพวกเธอก็เดินตามไป เหลือเพียงพัฟที่หันหลังกลับไปมองดูอสุเระที่เดินจากไป
“มังกรอสุเระ เหรอ นี่น่ะเหรอซามูไรในตำนาน” พัฟพูดพึมพำแล้วเธอก็วิ่งตามพวกพงวิชออกไป

------------------------------------------------------------จบตอนที่ 42----------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 43 จูบเพื่อวิญญาณรักของสองเรา
Post by: !!! Unknow !!! on October 23, 2005, 07:53:24 AM
ตอน เส้นทางสู่ไดนาส

“ทำไมแกไม่จัดการพวกมันวะ” นันตะหวาดเสียงใส่น้องชายของตนด้วยความโมโห
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ มันมีชีวิตของพัฟเสี่ยงอยู่ ฉันไม่กล้าเสี่ยง อีกอย่างพวกมันก็ทำจริงด้วย ฉันทนเห็นมันใช้ดาบกีดไปบนร่างของพัฟไม่ได้ เลยต้องกลับมานี่ไง” ฮอนเน็ทบอก
“โถ่เว้ย มีน้องใจอ่อนแบบนี้ จะมีไปทำไมวะเนี่ย” นันกลุ้มใจทันที
“ใจเย็นๆ นัน อย่างน้อยน้องชายแกก็ยังอยู่” ทาร่อนบอก
“แล้วรู้มั้ยว่าพวกมันจะไปไหน” นันถาม
“เมืองที่ใกล้จากเวเอล่าก็มีเพียงเมืองไดนาสเท่านั้นที่ใกล้ที่สุด” ทาร่อนตอบ
“งั้นเอางี้ ฉันจะให้โอกาสแกไอ้น้องเฮงซวย ฉันจะให้แกแก้มืออีกครั้ง หากพลาดตัดความเป็นพี่น้องกันเลย แล้วคราวนี้แกไม่ต้องลุยด้วย แค่ค่อยเข้าเสริมเวลา ลูกน้องฉันพลาดก็พอ ยิววา ออกมาดิ” นันบอก แล้วพื้นที่พวกเขายืนอยู่นั้นก็มีกลุ่มเส้นผมสีดำขยายไปทั่ว แล้วก็มีมือพุ่งเข้ามาจับขานัน จนนันสะดุ้งสุดตัว
“จับห่าอะไรอีกวะ คนยิ่งหงุดหงิด” นันตะหวาดใส่
“ขอโทษค่ะ นายท่าน” เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นแล้วร่างของเธอก็ค่อยๆลอยขึ้นมา โดยเส้นผมบนพื้นพวกนั้นก็คือเส้นผมของเธอ เส้นผมเหล่านี้ปิดบังร่างกายของเธอจนมิด
“ที่ไดนาสจะมีประกวดใช่ปะ เธอแฝงตัวเข้าไปร่วมงาน หาโอกาสชิงลูกแก้วไฟมา และถ้ามีโอกาสก็จัดการไอ้ตัวแสบพวกนั้นด้วย” นันสั่ง แล้วยิววาก็เดินเข้ามาหานันใกล้ๆและขึ้นนั่งค่อมบนตักของนันและทำสายตาเย้ายวนใส่
“ค่ะ นายท่าน” ยิววาบอก นันแทบจะหลวมตัวหลงเสน่ห์ของเธอ เขาพยายามจะห้ามใจแต่เสน่ห์ร้ายแรงของเธอนั้นแรงจนเกินที่ห้ามใจได้
“เด็กห้ามดูนะ” ทาร่อนเดินเข้ามาด้านหลังฮอนเน็ทและเอามือปิดตาไว้ ก่อนที่ฮอนเน็ทจะเห็นภาพอันมิควร

“แบมบูแน่ใจนะว่าพามาถูก ทำไมแถวนี้มันร้อนขนาดนี้ละ แถมมองไปไกลๆก็เห็นภูเขาไฟเพียบเลย” ตั้มปาดเหงื่อทันที แต่แบมบูก็แค่พยักเหมือนตอบว่าใช่
“อิศรา พอมีเวทย์อะไรช่วยคลายร้อนได้บ้างมั้ย” พงวิชถาม
“ไม่มีอ่ะ มีแต่เวทย์มนต์ป้องกันพลังไฟ ไม่ใช่ป้องกันความร้อน” อิศราตอบ
“Cold Fog” พัฟร่ายเวทย์มนต์สร้างหมอกเย็นปกคลุมบริเวณรอบๆพวกเธอ ทำให้อากาศที่ร้อนนั้นเปลี่ยนกลับมาเย็นสบายปกติ
“เย็นขึ้นหน่อย” บุ๊คสูดอากาศอันเย็นสบายเข้าไปลึกสุดปอดและผ่อนคลายออกมา

แล้วสักพักพัฟก็เริ่มรู้สึกหมดแรงลงจนเดินต่อไม่ไหว จนล้มคุกเข่าลงกับพื้น
“พัฟ เธอเป็นอะไรมั้ย” ธิดาภาเดินย้อนกลับมาถาม และพวกเพื่อนๆคนอนื่ก็หยุดเดินและหันกลับมามอง
“พลังวิญญาณหนูใกล้จะหมดลงแล้วละ หนูต้องการลูกแก้ววิญญาณ ไม่งั้นร่างกายของหนูจะสลายไปในไม่ช้า” พัฟบอก พวกพงวิชตกใจทันที
“แล้วลูกแก้วที่ว่าจะหาจากที่ไหนกัน” พงวิชถาม
“พวกเธอคงไม่มีหรอก แต่ถ้าพวกเธอยอมพลังวิญญาณบางส่วนมาให้หนู หนูอาจจะพอมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก แม้มันจะไม่มากนัก แต่มันก็อาจจะให้หนูรอดไปถึงเมืองใกล้ๆได้” พัฟบอก
“พลังวิญญาณคืออะไร” พงวิชยังงงและสงสัย
“พลังวิญญาณคือ พลังของวิญญาณในร่างกาย หากร่างกายบาดเจ็บเมื่อไหร่ เราจะสูญเสียพลังวิญญาณเหล่านั้นไป หากพลังวิญญาณหมดลง ร่างกายก็จะตายทันที จำที่เจ้าเด็กนั่นควักลูกแก้วออกมาได้มั้ย นั่นคือลูกแก้ววิญญาณ มันใช้ทดแทนพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกายของมัน เพราะพลังของอีฟริตนั้นร้ายแรงจนทำให้เจ้าเด็กนั่นตายได้ แต่มันรู้ว่าต้องตายเลยใช้ลูกแก้วนั้นทดแทนพลังวิญญาณที่เสียไป” แบมบูอธิบายให้ฟัง แล้วก็เริ่มมีพลังบางอย่างค่อยๆลอยออกมาจากร่างของพัฟ
“หนูเริ่มจะไม่ไหวแล้ว” พัฟบอก
“จะเอาไงดีวะเนี่ย” พงวิชเริ่มลน
“ต้องแบ่งพลังวิญญาณของพวกเราให้ละ คนอย่างพวกเราแค่ได้พักพลังวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นเอง” แบมบูบอก
“งั้นใครจะแบ่งให้ละ” ตั้มถาม
“ฉันเอง” พงวิชบอกแล้วก็เดินตรงไปที่พัฟ
“แต่ว่า มันทำยังไงละ ไอ้วิธีแบ่งพลังวิญญาณเนี่ย” พงวิชงงขึ้นจนไม่รู้จะทำอะไร
“จูบ” พัฟเริ่มพูดเสียงที่แพร่วเบาลงเรื่อยๆ เพราะแรงของเธอที่ค่อยๆหมดลง แม้แต่ตาของเธอยังลืมตาไม่ขึ้น ร่างกายของเธอนั้นขยับไม่ได้ แต่คำพูดของเธอนั้น ทำให้พวกพงวิชนั้นตกใจกับคำพูด
“เฮ้ย ฉันทำเอง” บุ๊คพยายามจะเข้ามาแย่ง แต่พวกตั้มช่วยกันห้ามไว้ พงวิชจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ (โอกาสมาถึงแล้ว เย้า เย้า) พงวิฃนึกไปในใจ พวกเพื่อนๆต่างหันหลังไม่กล้ามอง แล้วเขาก็บรรจงจูบริมฝีปากของพัฟ แล้วเธอก็เริ่มดูดพลังวิญญาณของพงวิชเข้าไป แล้วพงวิชก็เริ่มได้ใจวางร่างของพัฟนอนราบไปกับพื้นและตนขึ้นค่อมร่างของเธอ ไม่นานนักร่างกายของพัฟก็เริ่มกลับมาแข็งแรงปกติ เธอจึงค่อยๆดันพงวิชออก
“ขอบคุณนะคะ ที่มอบพลังวิญญาณให้เยอะขนาดนี้” พัฟกล่าวคำขอบคุณ พวกเพื่อนจึงหันกลับมามอง
“เฮ้ย ถ้าให้หมดแกก็ตายเองนะ” แบมบูรีบหันมาบอกทันที
“ไม่รู้ซิ มันเริ่มง่วงๆไม่มีแรงแล้วอ่ะ” พงวิชบอกแล้วก็หลับลงทับบนร่างของพัฟ
“สงสัยจะให้ซะเกือบหมดเลย” ตั้มบอก
“อิจฉา ว้อย” บุ๊คบ่นแล้วก็เดินต่อไปทันที
“เฮ้ย แล้วใครจะแบกพงวิชไปวะเนี่ย” ปอนตะโกนเรียกบุ๊ค แล้วปอนกับแพ๊คก็ต้องมาหิ้วปีกพงวิชไป

 เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเขตภูเขาไฟ ลำธารน้ำเต็มไปด้วยลาวาร้อน
“อีกฟากของภูเขาไฟลูกใหญ่โน้นไง คือเมืองไดนาส” แบมบูชี้ให้ดู
“งั้นก็ออกเดินทางต่อเถอะ ขนาดมีหมอกเย็น ยังเริ่มร็สึกอุ่นๆร้อนๆเลย” ตั้มบอกแล้วพวกเขาก็เดินทางตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเห็นเหล่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในสภาพร้อนขนาดนี้ได้ บางตัวถึงกับสามารถลงไปว่ายเล่นในลาวาได้
“อีกนานมั้ยกว่าพงวิชจะฟื้น” ธิดาภาถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง ถ้าให้พอประมาณคงไม่เป็นแบบนี้หรอก แต่เจ้านี่มันให้ซะจนมันเกือบจะตายซะเองเนี่ย แค่วันสองวันเดี๋ยวก็ฟื้น” แบมบูตอบ
“ธิดาภา คิดยังไงกับเจ้าลิงน้อยในตอนนี้” อรนิชาถาม
“ก็คงจะนึกเสียใจที่ทิ้งเขามาจนเขาต้องตามหาเธอจนไปตายซะแบบนั้นละซิ” มาย่าพูดขึ้น
“อย่าพูดแบบนั้นซิ” อรนิชาตะหวาดใส่
“ใช่อย่างที่มาย่าบอกละ ฉันผิดเองที่ทิ้งเขามา ไม่งั้นพวกเราและเขาก็คงจะได้รอดมาคุยด้วยกันอยู่ในวันนี้” ธิดาภาพูดขึ้นทำให้เธอเริ่มเศร้าใจและรู้สึกผิด
“อย่าเศร้าไปซิ คนตายไปแล้วจะทำยังไงก็คงไม่กลับมาหรอก” พิชามนญ์บอก

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงภูเขาไฟลูกใหญ่ที่แบมบูบอก เส้นทางก็ตัดขาดหายไปทันที
“แบมบูแล้วไงต่อวะ” ตั้มถาม
“ไม่รู้ดิ เค้าจำไม่ได้แล้ว ไม่ได้มานาน สงสัยต้องกลับกันเถอะ” แบมบูตอบแล้วก็หันหลังเดินกลับทันที ตั้มจึงดึงเสื้อเอาไว้
“ถ้าไม่ไปต่อ ถีบตกลาวาจริงด้วย” ตั้มบอก
“ก็ได้ เค้าจะลองหาวิธีเข้าไปดู แต่ที่แน่ๆ เมืองไดนาสอยู่อีกฟากของภูเขาไฟนี้แน่นอน” แบมบูบอกแล้วก็มองดูไปรอบๆ
“แล้วทำไมไม่เดินอ้อมภูเขาไฟไปละ” บุ๊คถาม
“จะเอามั้ย” แบมบูตอบ แล้วเพื่อนๆก็พยักหน้า
“แต่ทางมันลำบากนะ หากเดินพลาดตกลาวาตายแน่นอน” แบมบูบอก
“สักทีเหอะ รีบหาทางเข้าไปในเมืองให้ได้ดิ” แพ๊คเริ่มบ่นออกมา
“อ๊ะนี่ไง มันมีสัญลักษณ์อะไรไม่รู้บอกอยู่ด้วย” แบมบูเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์บนพื้นภูเขาไฟลูกนี้
“ที่นี่พวกท่านไม่สามารถเข้าไปได้ ถ้าร่างกายพวกท่านนั้นมีอุณหภูมิไม่ถึง 40 องศา” อีฟริตปรากฏร่างออกมาตรงหน้าพวกเขาและบอก
“งั้นก็พอเดี๋ยวหมอกนี่หายไปก็คงเข้าไปได้เอง” บุ๊คบอกแล้วก็นั่งรอบนพื้นทันที
“ให้ข้าช่วยพวกท่านมั้ย” อีฟริตถาม
“เอาเล๊ย” แบมบูตอบ แล้วอีฟริตก็ลอยวนไปรอบๆกลุ่มของพวกเขาจนเร็วขึ้นเรื่อยๆและเกิดเป็นวงแหวนไฟ สลายหมอกเย็นไป พวกเขาเริ่มร้อนระอุขึ้นมาทันที
“พวกท่านรีบเข้าไปเถอะ ก่อนที่พวกท่านจะทนความร้อนไม่ได้ ทางข้างหน้าเป็นแค่ภาพลวงตา แต่ท่านจะผ่านไปได้ก็ต่อเมื่อมีอุณหภูมิ 40 องศาขึ้น” อีฟริตพูดเสร็จบุ๊ครีบลุกวิ่งผ่านเข้าไปคนแรกทันที แล้วคนอื่นๆก็รีบวิ่งตามเข้าไป

เมื่อพวกเขาเข้ามาด้านในก็เห็นด้านในของภูเขาไฟที่โล่งและกว้างมากๆ ด้านล่างของสะพานนี้เป็นแม๊กม่าที่ร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกคนก็แปลกใจมากที่ว่า ในนี้ควรจะร้อนมากๆ แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกร้อนอะไร แต่กลับเริ่มรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาแทน
“นั่นไง ประตูเมือง” แบมบูชี้ให้ดู แล้วพวกเดินก็เดินข้ามสะพานนี้ไปอย่างช้าๆไม่รีบร้อนอะไร
แต่เมื่อพวกเขาเดินไปได้ถึงกลางทางก็มีสิ่งบางอย่างพุ่งขึ้นมาจากแม๊กม่ามาตกลงบนสะพาน ปรากฎเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเปลือยทั้งร่างมีเพียงเปลวเพลิงที่รุกไหม้ปกคลุมส่วนสำคัญของเธอ ผมของเธอที่ยาวเป็นสีแดงส้มพริ้วไปมาราวกับเพลิงที่รุกไหม้อยู่ตลอดเวลา
“พวกท่านคงจะมาชมการประกวดหรืออาจจะมาประกวดละซิ” หญิงสาวคนนั้นถาม
“ใช่ พวกเราแค่มาดู” แบมบูตอบ
“งั้นโปรดเตรียมตัวรับ เปลวเพลิงอันเร้าร้อนก่อนชมการประกวดแล้วกัน” หญิงสาวผู้นั้นพูดเสร็จเธอก็พุ่งเป็นเปลวไฟผ่านพวกแบมบูและสลายไป
“นั่นใครกัน” บุ๊คถาม
“ไม่รู้ แต่ยังไงก็ไปกันเถอะ รีบไปหาจองที่พักในโรงแรมก็แล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวเต็ม ต้องไปนอนตามวิหารอีก” แบมบูตอบ แล้วพวกเขาก็เดินทางตรงเข้าเมืองไดนาส ผ่านประตูเมืองภูเขาไฟนี้ไป

-------------------------------------------------------จบตอนที่ 43------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 44 เพลิงไฟอันเร่าร้อน
Post by: !!! Unknow !!! on October 29, 2005, 02:46:40 AM
ไม่อยากให้มันเกิน 2 อาทิตย์เดี๋ยวขุดทีจะโดนว่าเอา
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน เต้นระบำไฟอันเร่าร้อน

หลังจากที่พวกพงวิชได้เดินผ่านประตูภูเขาไฟยักษ์เข้ามา พวกเขาก็เห็นบ้านเมืองและทิวทัศน์ในหุบเขาไฟอันนี้ที่สวยงามมาก เปลวเพลิงอันร้อนแรงแต่กลับไม่ทำให้ตัวของพวกเขานั้นรู้สึกร้อนใดๆ
“เอาไงต่อ แบมบู” ตั้มถาม แบมบูจึงหยุดและหันกลับมา
“เอาเป็นว่า เดินเล่นกันไปก่อนแล้วกัน เค้าจะไปจัดการเรื่องที่พักให้ เพราะงานประกวดนี่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ โอเค ไปเถอะ” แบมบูพูดเสร็จ พวกเพื่อนๆต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงพงวิชที่ยังหลับไม่ตื่น โดยเพื่อนๆลืมเขาไว้ที่จุดนั้น

เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาเขาก็พบว่าของเขานั้นกำลังยืนอยู่เหนือลาวาข้างล่างลึกลงไปไม่กี่เมตร ตัวของเขาเหมือนกับว่าลอยได้ เขาก็สนุกและตื่นเต้นกับการที่เขาลอยตัวได้ แต่สักพักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า
“ไงสุดหล่อ” หญิงสาวคนนั้นทักขึ้น ทันทีที่พงวิชเห็น เขาก็ตะลึงกับความงามของหญิงสาวผู้นั้น จนเขาพูดอะไรไม่ออก
“อยากไปเดินเล่นด้วยกันมั้ย” หญิงสาวผู้นั้นถามต่อ พงวิชก็พยักหน้าตอบทันที เธอจึงค่อยๆเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ

“พ..พง..ง..วิ..วิช” แม่ชีเกลวารีนพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันแพร่วเบา ซึ่งมีเพียงบุ๊คที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุดได้ยิน บุ๊คจึงหยุดเดิน
“มีอะไรเหรอบุ๊ค” ตั้มหันมาถาม
“แม่ชีคนนี้พูดถึง พงวิช” บุ๊คตอบ
“เออ ใช่ ลืมพงวิชไปเลย” แพ๊คพูดขึ้นและรีบวิ่งกลับไปหาพงวิชทันที

“Sonic Flame” หญิงสาวร่างไฟคนหนึ่งบินพุ่งเข้ามาขวางไว้และคลื่นไฟจำนวนมากโจมตีใส่ หญิงสาวที่เดินเข้ามาหาพงวิช จนเธอต้องถอยหลบออกไป
“นี่เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หญิงสาวร่างงดงามผู้นั้นถาม
“ห้ามแตะต้องชายผู้นี้เป็นอันขา” หญิงร่างไฟพูดด้วยเสียงอันแข็งแกร่งและทรงพลังจนหญิงสาวร่างงามนั้นหนักใจทันที สักพักหญิงสาวผู้นั้นก็ค่อยๆปล่อยรอยยิ้มออกมา
“โอ้ ใช่ซิ นึกได้ละว่านี่คือใคร ผู้ที่จะเข้ามาอำนาจของข้าได้นั้น ข้อแรกต้องไม่ใช่คนธรรมดา ข้อสองต้องมีพลังธาตุแรงกล้าบวกกับสถานที่นั้น เจ้าก็คือ เจ้าหญิงอันเร่าร้อนชานย่า ซินะ” หญิงสาวผู้นั้นบอกแล้วก็เดินวนไปรอบๆอย่างช้าๆ
“จงกลับไปซะ ไม่งั้นข้าจะเผาเจ้าให้ไหม้ด้วยไฟ 10,000 องศา” ชานย่าบอกแล้วเธอก็ปลดปล่อยพลังไฟบางส่วนออกมาจากร่าง
“งั้นเราไม่เริ่มเต้นกันเลยดีกว่า” หญิงสาวผู้นั้นพูดเสร็จร่างของเธอจากสตรีผู้งดงามเริ่มปรากฏร่างปีศาจที่แท้จริงของเธอออกมา พงวิชที่ยังตกอยู่ในมนต์สะกดของเธอนั้น ไร้ซึ่งความรู้สึกและเสียงใดๆ เขายืนอยู่นิ่งอยู่ตรงนั้น ชานย่าจึงร่ายคาถาบางอย่างเรียกลาวาจากข้างล่างพุ่งขึ้นมาล้อมร่างของพงวิชไว้
“เริ่มเลยซิ เจ้าหญิง” ปีศาจสาวตนนั้นท้า

“Dancing Flame” ชานย่าเริ่มหมุนตัวและปลายผมของเธอที่เป็นไฟนั้นสะบัดหมุนวนรอบตัวเธอ แล้วเธอก็บินพุ่งตรงเข้ามาและสะบัดเปลวผมอันยาวโจมตีใส่ แต่ปีศาจสาวนั้นชูแขนป้องกันขึ้นและเส้นผมอันดำนั้นพุ่งเข้ามาสานเป็นโล่ป้องกันไว้
“Hair Cage” ปีศาจสาวสร้างเส้นผมจำนวนมากพุ่งประสานล้อมร่างของชานย่าไว้ เส้นผมที่ดำบวกกับเสียงหัวเราะของปีศาจสาว ทำให้ชานย่านั้นสับสนว่า ตัวตนของปีศาจที่อยู่ข้างนอกกรงขังเส้นผมนี้อยู่ด้านไหน
“Fire Strike” ชานย่ายิงพลังไฟโจมตีใส่เส้นผมเหล่านั้นจนเส้นผมนั้นขาดสลายไป เธอจึงดีใจขึ้นมาเล็กๆ แต่แล้วเส้นผมเหล่านั้นก็ประสานรวมกันอีกจนไร้ช่อง
“ไงละ เจ้าหญิง จุดจบของเธอนั้น ข้ามีให้เลือกอยู่นะ ระหว่างยอมเป็นทาสของข้า หรือไม่ ก็ถูกเส้นผมของฉันนั้น รัดจนเจ้าหญิงตาย จะเอายังไง มีเวลาให้เลือกนะ” ปีศาจสาวตนนั้นบอก แล้วเส้นผมสีดำก็ค่อยๆหดลงบีบรัดเข้ามาเรื่อยๆจนกรงขังเส้นผมนี้เล็งลงเรื่อยๆ ชานย่าเริ่มหนักใจกับสภาพในตอนนี้ เธอเริ่มตั้งสติแล้วก็หลับตาลง จนสักพักชานย่าก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม จนปีศาจสาวนั้นยังงงและไม่เข้าใจว่า ทั้งๆที่ใกล้จะถึงจุดจบของตนแต่ยังยิ้มได้
“เธอนี่ชั่งไม่รู้อะไรเลย คิดเหรอเส้นผมเหล่านั้นจะฆ่าฉันได้ เสียใจด้วยนะ” ชานย่าบอก
“พูดอะไรของเธอ” ปีศาจสาวถาม
“ไฟอันเร่าร้อน เผาผลาญทุกอย่างจนหมดสิ้นด้วยไฟ 10,000 ฟาเรนไฮต์ Flare Spread” ชานย่าก้มตัวลงและก็ปลดปล่อยพลังไฟจำนวนมากเปร่งกระจายออกมาจนเผาไหม้เส้นผมทั้งหมดภายในครั้งเดียว ไฟอันร้อนระอุที่เผาไหม้เส้นผมจนกรงขังนั้นกลายเป็นกรงไฟไปหมด เสียงร้องอันเจ็บปวดของปีศาจสาวที่ดังขึ้นจนมันทนไม่ไหว และร่างของมันกระเด็นออกมาจากเปลวเพลิงมหาศาลนั้น ร่างกายนั้นมีรอยไหม้เต็มไปหมด และชานย่าก็ค่อยๆเดินออกมาผ่านเปลวเพลิงของเธอนั้น
“จบเสียที” ชานย่าบอกแล้วก็ยกมือขึ้นสร้างลูกพลังไฟขึ้นเหนือหัว
“ยังหรอก เจ้าหญิง มันยังไม่จบแค่นี้ เรายังคงต้องเจอกันอีก” ปีศาจตนนั้นพูดเสร็จร่างของมันก็สลายหายไป แล้วพงวิชก็ถูกคลายจากมนต์สะกดของปีศาจ เขามองไปรอบๆแล้วก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น
“พงวิช” เสียงที่เรียกชื่อเขานั้นดังขึ้นอยู่ในหูทุกขณะ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจอะไรนัก เขามองไปเห็นหญิงสาวที่มีเปลวเพลิงรุกขึ้นบนร่างของเธอ เขาพยายามจะเดินเข้าไปหาแต่เขาก็เห็นหมัดอันหนึ่งพุ่งเข้าใส่หน้าของเขา
 
“ตื่นซะทีซิวะ” บุ๊คตะโกนใส่ แล้วพงวิชก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
“ใครต่อยวะ” พงวิชถามแล้วก็เอามือข้างหนึ่งลูบไปบนใบหน้า
“เราเองแล้วจะทำไม” บุ๊คตอบ
“พงวิช ไมนอนไม่ตื่นเลยวะ” ตั้มถาม
“ไม่รู้ดิ สงสัยเมื่อกี๊จะฝันไป” พงวิชตอบ
“เอาเหอะ จะฝันห่าอะไรก็เชิญ ทำซะเป็นห่วงหมด เร็วลุก” บุ๊คบอกแล้วพวกเพื่อนก็เดินจากไป พงวิชจึงลุกขึ้นและวิ่งตามไปทันที

“นั่นไง แบมบู” ตั้มชี้แล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปหา
“ไงแบมบู เป็นไงเรื่องที่พัก” ตั้มถาม
“ไม่หวังวะ เขาบอกว่า เต็มตั้งแต่เมื่อวาน เค้าเลยออกมาตามหาพวกนายนี่ไง” แบมบูตอบ
“แล้วจะทำยังไงดีละหว่า” บุ๊คถาม
“ไม่รู้เว้ย ไปนอนตามวิหารก็แล้วกัน” แบมบูบ่นขึ้น
“ราชินีเสด็จ” เสียงทหารผู้หนึ่งประกาศดังไปทั่ว ชาวบ้านต่างรีบออกมาหน้าบ้านกันและตั้งแถวรับเสด็จ พวกพงวิชที่ยังยืนงงอยู่นั้นก็ไม่รู้ว่าพวกชาวบ้านกำลังทำอะไรกัน

แล้วก็มีทหารจำนวนมากเดินนำหน้ามา
“พวกเจ้ากล้าดียังไงมาขวางทางเสด็จขององค์ราชินี” ทหารนายหนึ่งเอาหอกชี้หน้าพวกพงวิช
“พวกเราไม่รู้จริงๆครับ โปรดยกโทษให้ด้วย” แบมบูรีบตอบทันที
“ทำไมต้องหลบ” พงวิชพูดขึ้น ทำให้แบมบูและเพื่อนๆตกใจทันทีที่ได้ยินพงวิชพูดแบบนั้น
“กล้ามากนะ งั้นจับมันไปตัดหัว” ทหารนายนั้นสั่งแล้วก็มีพวกทหารวิ่งมาล้อมพวกพงวิชไว้
“ช้าก่อน” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกพงวิช แล้วพวกทหารก็หลีกทางให้ พวกพงวิชจึงหันกลับไปดู เห็นสาวคนหนึ่งยืนอยู่
“ท่านจะนำพวกเขาเหล่านี้ไปลงโทษไม่ได้” หญิงสาวคนนั้นบอก
“ทำไมละ องค์หญิง” ทหารนายนั้นถาม
“นี่น่ะเหรอ องค์หญิง” พงวิชกระซิบเบาๆ เพราะการแต่งกายและท่าทางของเธอนั้นดูไม่เหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์เลย
“พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน ท่านจะนำไปลงโทษไม่ได้เด็ดขาด” เจ้าหญิงชานย่าตอบ พงวิชจึงได้ใจเลยหันกลับไปหาทหารนายนั้น
“เป็นไงละ อยากตายรึไง ถึงมาสั่งแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ” พงวิชเยาะเย้ยใส่
“พวกท่านโปรดหลีกทางให้กับขบวนเสด็จของท่านแม่ด้วย ไม่งั้นหากเป็นคำสั่งของท่าแม่แล้ว ฉันเองก็ช่วยท่านไม่ได้” เจ้าหญิงชานย่าบอก แล้วพวกตั้มรีบลากพงวิชหลีกทางให้กับขบวนเสด็จทันที

เมื่อขบวนเสด็จนั้นผ่านไป ชาวบ้านต่างก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ
“ทำไมถึงช่วยพวกเราละ เจ้าหญิงชานย่า” แบมบูถาม
“ไม่รู้ซิ ฉันเองก็ไม่อยากเห็นใครมาตายในเมืองของฉันละมั้ง” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“เอ... คุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” พงวิชบอกแล้วพยายามมองหน้าของเจ้าหญิงชานย่าอย่างชัดๆ แต่เจ้าหญิงชานย่าก็พยายามหลีกหน้าหนี
“พงวิช ทำไรวะ” ตั้มถาม
“ไม่ใช่ จริงด้วย” พงวิชตอบ
“ฉันไม่เคยเจอพวกท่านมาก่อน เพราะฉะนั้นเราคงไม่รู้จักกันมาก่อนหรอก” เจ้าหญิงชานย่าบอก
“นั่นไง พวกสาวๆมากันละ” บุ๊คบอก แล้วพัฟกับโลโล่ก็วิ่งเข้ามาหา
“อ้าว แล้วคนอื่นละ” พงวิชถาม
“ขอโทษนะคะ คือพวกเธอบอกว่าจะขอเดินทางต่อ” โลโล่ตอบ
“ส่วนเราสองคนก็คิดว่าจะไปกับพวกเธอด้วย แต่เพียงแค่มาบอกลาเท่านั้น” พัฟบอก
“เดี๋ยวซิ แล้วใครจะท่องคาถาโบราณช่วยแม่ชีคนนี้ละ” แบมบูถาม
“หนูคิดไว้แล้วว่า พวกคุณต้องพูดแบบนี้ ก็เลยเขียนคาถาไว้ให้ ลองฝึกดูนะคะ เดี๋ยวก็จะท่องคาถาได้เอง” โลโล่ตอบ
“ไม่เป็นไร ฉันพอรู้จักคนคนหนึ่ง พูดภาษาโบราณเป็น” เจ้าหญิงชานย่าบอก
“งั้นดีเลย เอาเถอะ เธอ 2 คนไปเถอะ เราไม่จับตัวไว้แล้วละ” ตั้มบอก พวกเธอจึงวิ่งจากไปทันที
“แล้วเอาไงต่อละ ที่พักก็หาไม่ได้” บุ๊คถาม
“ไม่เป็นไร พวกนายเป็นเพื่อนฉันแล้วนี่ เข้าไปพักในพระราชวังก็ได้ ตามมาเลย” เจ้าหญิงชานย่าบอกแล้วก็เดินตรงไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลออกไป พวกพงวิชก็เดินตามไปทันที

“เอาล่ะ คืนนี้พวกนายนอนทีนี้แล้วกันนะ” เจ้าหญิงชานย่าเปิดประตูของพักของพวกพงวิชภายในคฤหาสน์ของเธอ
“โอ้โห มันจะใหญ่อะไรขนาดนี้” พงวิชตะลึงกับความยิ่งใหญ่
“ขอถามนิดนะเจ้าหญิง ทำไมเจ้าหญิงถึงแต่งตัวแบบนั้นละ” แบมบูถาม
“ฉันชอบออกไปเที่ยวเล่นเสมอ ไม่ชอบอยู่แต่ภายใน ก็เลยแต่งตัวแบบสบายๆ” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“แล้วที่เขาลือกันว่า ในงานประกวดพรุ่งนี้ เจ้าหญิงจะลงประกวดด้วยจริงหรือ” แบมบูถามต่อ
“นั่นมันก็จริงอยู่ แต่ฉันก็บอกท่านแม่แล้วว่า อย่าตัดสินแบบเข้าข้าง ให้การประกวดครั้งนั้น ผู้ชมเป็นคนตัดสิน” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“ขอแทรก ในคฤหาสน์กว้างขนาดนี้ อยู่คนเดียวเหรอ” พงวิชพูดแทรกขึ้น
“ไม่หรอก ก็จะมีพ่อบ้านและแม่บ้าน มาทำความสะอาดอยู่เกือบตลอดเวลา และมีทหารยามเฝ้าอยู่รอบๆ แล้วก็เหล่าอัศวินที่ทำหน้าที่คุ้มครองท่านแม่โดยตรงอีก 2 คน ซึ่ง 2 คนนั้นพวกนายอย่าไปยุ่งอะไรกับพวกเธอมากนักนะ พวกเธอไม่ชอบคนแปลกน่านัก สุดท้าย เย็นนี้จะไปร่วมทานอาหารกับฉันมั้ย แล้วจะไปทานอาหารข้างนอกหรือในพระราชวังหลวงของท่านแม่” เจ้าหญิงชานย่าถาม
“โย้ว โย้ว อาหาร กินที่ไหนก็ได้” บุ๊คตอบ เจ้าหญิงชานย่าก็หัวเราะทันทีที่เห็นท่าทางของบุ๊คเวลาที่ดีใจ
“ข้างนอกแล้วกัน พวกเราคนธรรมดาไม่กล้าไปใกล้ชิดสนิทกับองค์ราชินีหรอก” ตั้มตอบ
“งั้นตกลงตามนี้นะ เย็นนี้เจอกันที่ ร้านราดหน้าพี่หมูสูตรเด็ด แล้วกัน ฉันไปละ ถ้ามีอะไรก็ถามพ่อบ้านโพทัสได้ คนที่แก่ๆหน่ะ มีอยู่คนเดียวในคฤหาสน์นี้” เจ้าหญิงชานย่าพูดเสร็จก็เดินกลับออกไปจากคฤหาสน์ของตน

-----------------------------------------------------จบตอนที่ 44---------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 45 การกลับมาของ หมัดค้อนเทพทอร์สายฟ้าฟาด
Post by: !!! Unknow !!! on October 29, 2005, 10:58:08 PM
เนื่องจากตอนนี้มันมีตัวละครในเนื้อเรื่อง Summoner หลักมาเกี่ยวกับ อยากจะถามว่า จะเอามาดัดแปลงแต่งใส่เนื้อเรื่องนี้ดีมั้ย ถ้าไม่จะได้ไม่หามาใส่อีก จะได้แต่งขึ้นเอง ไม่ต้องมีดึงตัวละครจากเนื้อเรื่องหลักมาเกี่ยวข้อง (ช่วยตอบหน่อยเหอะ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน สายฟ้า ปะทะ แสงไฟ

หลังจากที่ผ่านพ้นหุบเขาไฟมาได้ พวกสาวๆต่างก็เริ่มมีสีหน้าที่ไม่ดีกันเท่าไรนัก ทุกคนต่างเงียบไม่พูดจาอะไรกันเลย
“นี่ ธิดาภา ทำไมพวกเราถึงต้องรีบออกเดินทางกันต่อละ ทำไมไม่รอไปพร้อมๆกับพวกกลุ่มนั้น” มาย่าถาม
“ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงหรือเป็นภาระให้กับพวกเขาหรอก ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่พวกเธอก็ตาม ฉันอยากจะไปคนเดียวด้วยซ้ำไป” ธิดาภาตอบพร้อมกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก
“ถ้าเธออยากจะไปก็เชิญไปเลย ในเมื่อเธอคิดแบบนั้น” มาย่าพูดอย่างเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นใส่ ทำให้ธิดาภาตกใจกับคำพูดนั้นและหยุดหันหลังกลับมา
“มาย่า” เธอมองดูสีหน้าของมาย่าที่โกรธกับความคิดของเธอ
“เธออยากจะไปก็เชิญไปเลย และโปรดจำไว้ด้วยว่า ความตายเท่านั้นที่จะพากความเป็นเพื่อนของเราได้ ฉันไม่ได้โกรธเธอ แต่ฉันอยากให้เธอทำตามใจที่เธอคิดซะบ้าง ในเมื่อเธอต้องการไปคนเดียวก็เชิญเลย” มาย่าบอก
“มาย่า มันจะรุนแรงไปรึเปล่า” อรนิชาถาม
“ไม่หรอก ระยะมันตัดขาดความเป็นเพื่อนของพวกเราไม่ได้ แต่การที่พวกเราอยู่ร่วมกันแบบนี้ ฉันเองรู้ดีว่า พวกเราทุกคนก็อยากอยู่ในแบบที่พวกเราคิดไว้ แม้แต่ตัวฉัน หรือพวกเธอ มีสิ่งที่ฝันที่อยากจะทำ แต่พวกเรายอมทำเพื่อเพื่อน ถ้าหากพวกเรายังคงอยู่แบบนี้ต่อไป มันก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก” มาย่าบอก

และในขณะที่พวกสาวๆกำลังเศร้าใจกับเรื่องที่พวกเธอพูดกัน ก็มีกงเล็บพิฆาตพุ่งหมายฆ่าชีวิตของพวกเธอ
“ระวัง” พัฟที่รู้สึกถึงการโจมตีนั้นพูดเตือนขึ้นและชี้ทางโจมตีนั้น ทำให้พวกเธอหลบการโจมตีนั้นได้ทัน พวกสาวจึงชักอาวุธออกมาตั้งท่าสู้เตรียมพร้อมไว้
“แกเป็นใคร” มาย่าถาม แล้วชายที่มีแขนข้างซ้ายทั้งแขนเป็นสนับกงเล็บขนาดใหญ่ก็ค่อยๆลุกขึ้นและหันมา
“จะรู้ไปทำไม ในเมื่อรู้ไป ที่สุดพวกเธอก็ต้องตายอยู่ดี ให้รู้แค่ว่า ฉันเป็นนักฆ่า ก็พอ” ชายคนนั้นบอกแล้วก็มองดูเรียวแขนเหล็กของเขา
“แล้วถ้าพวกเราอยากจะรู้ก่อนที่แกจะตายแทนละ” พัฟถาม
“งั้นก็ได้ ข้าชื่อ ฟาริด กงเล็บอเวจี ถ้าเทียบในบรรดาเหล่านักฆ่าแล้ว ถ้าไม่นับพวกนักฆ่าชั้นยอดที่หายสาบสูญและที่ถูกจับ ข้านี่แหละคือนักฆ่าอันดับหนึ่ง” ฟาริดตอบเสร็จก็พุ่งเข้าโจมตีใส่อย่างรวดเร็ว พิชามนญืที่ไม่ทันระวังตัวนั้นถูกโจมตีจนเธอนั้นเสียหลัก แต่เธอรีบกลับมาตั้งรับได้อย่างปกติ จนฟาริดนั้นถีบเธอจนล้มลงไปและชูแขนซ้ายขึ้นจะสังหารพิชามนญ์ในทันที

“Black Thunder” มาย่าร่ายเวทย์สายฟ้าดำฟาดใส่ฟาริดจนกระเด็นออกไป
“ขอบใจนะมาย่า” พิชามนญ์บอกแล้วก็ลุกขึ้น
“Hero Wall” ธิดาภาร่ายเวทย์มนต์สร้างบาเรียให้กับพวกเธอทั้งกลุ่มเพื่อป้องกันทำให้อาวุธที่จะโจมตีพวกเธอนั้นต้องออกแรงเป็น 2 เท่าเพื่อผ่านบาเรียเข้ามา แล้วฟาริดก็ค่อยลุกขึ้นมา พอเขาตั้งหลักได้ก็มองมาที่พวกเธอด้วยสายตาดั่งเพชฌฆาตอันน่ากลัว แล้วฟ้าก็ผ่าดังลั่นไปทั่วก่อนที่ฝนจะค่อยๆตกลงมา
“บาเรียพวกนั้นช่วยอะไรไม่ได้หรอก” ฟาริดบอกแล้วเขาก็ชูแขนซ้ายขึ้นแล้วก็ต่อยลงใส่พื้น สักพักก็มีแท่งดินแหลมจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้นโจมตีใส่พวกเธอ
“Ice Land” พัฟร่ายเวทย์มนต์สร้างลานน้ำแข็งเคลือบพื้นดินป้องกันพลังของฟาริดไว้
“ไลซาเกอริเดริก เทน ฟอน มากิส” โลโล่เรียกไวท์ไทเกอร์ออกมา แล้วมันก็พุ่งเข้าโจมตีใส่ฟาริดทันทีที่ออกมา
“ไปตายซะให้แมวบ้า” ฟาริดใช้หมัดเหล็กของเขาอัดใส่เจ้าแมวน้อยจนกระเด็นออกไป (เชื่อมั่นในตัวของมัน) เสียงของมาร์คัสดังขึ้นมาในจิตใจของเธอ แล้วไวท์ไทเกอร์ก็ลอยนิ่งค้างไว้อยู่ตรงนั้น
“ทีนี้ตาพวกเธอเตรียมตัวตายกันได้เลย” ฟาริดชี้หน้าใส่ แล้วเจ้าแมวน้อยก็ก้มหัวมุดตัวขดเข้าหากันจนกลม แต่ฟาริดนั้นไม่สนใจเขาวิ่งตรงเข้าโจมตี ทันใดนั้นก็สีแสงสว่างเปร่งออกมาจากเจ้าแมวน้อยมากจนทุกคนในบริเวณนั้นยังต้องเอามือและแขนบังแสงนั้นไว้

หลังจากที่แสงนั้นดับลงฟาริดก็ลดแขนของเขาลง เขาแทบตะลึงเบื้องหน้าของเขาเป็นสิงโตขนาดใหญ่มีปีกนกสีขาวปลายขนสีรุ้ง ขนคอที่พองเป็นสีรุ้ง มันยืน 2 ขาคำรามดังลั่นไปทั่วบวกกับเอามือทั้งสองข้างของมันตบไปมาบนหน้าอกแสดงความน่ากลัวออกมาให้ฟาริดเห็น จนฟาริดนั้นตกใจกลัวและเสียขวัญจนต้องถอยออกห่าง
“เจ้าแมวน้อย สู้ๆ” มาย่าพูดขึ้นอย่างดีใจ
“เราต้องไม่กลัวมัน สัตว์ประหลาดแบบนี้เราก็เคยชนะมาอยู่มากมายหลายหลากแล้วนี่ ทำไมเราต้องกลัวมันด้วย” ฟาริดพูดขึ้นเตือนใจตนเอง แล้วสักพักเขาก็ตัดความกลัวทิ้งออกไป เขาพุ่งกระโจนเข้าโจมตีใส่
“คิดผิดแล้วเจ้ามนุษย์” เสียงของสิงโตตัวนั้นพูดออกมาทำให้ทุกคนยังตกตะลึงว่าสิงโตตัวนั้นสามารถพูดได้ แต่ฟาริดไม่สนใจเขาใช้กงเล็บโจมตี
“Beo Light” สิงโตตัวนั้นใช้หมัดซ้ายง้างขึ้นฟ้าแล้วต่อยลงใส่ฟาริด เกิดพลังระเบิดแสงสีรุ้งพุ่งขึ้นจากฟื้นเป็นวงกว้างขนาดใหญ่ แล้วร่างของฟาริดก็กระเด็นออกไปอย่างหมดสภาพ
“ไม่น่าเชื่อว่า เจ้าแมวน้อยจะพัฒนาร่างได้ด้วย” โลโล่ดีใจกับผลงานที่เธอทำขึ้น
“ฉันจะคุ้มครองพวกเธอเอง” สิงโตตัวนั้นหันหน้ามาบอก คำพูดของสิงโตนั้นสะเทือนเข้าลึกลงไปในจิตใจของธิดาภา แล้วฟาริดก็ลุกขึ้นพร้อมกับหัวเราะเหมือนเขานั้นได้บ้าไปแล้ว
“งั้นมาทำเรื่องให้มันจบเลยดีกว่า” ฟาริดบอก สิงโตตัวนั้นจึงบินพุ่งเข้ามาใช้มือกำร่างของฟาริดไว้แล้วก็เหวี่ยงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“Rainbow Burst” สิงโตตัวนั้นใช้มือทั้งสองข้างชาร์ตพลังจนเกิดแสงสีรุ้งค่อยๆสว่างขึ้นในมือทั้งสองข้างแล้วก็ประสานมือทั้งสองข้างยิงพลังเข้าโจมตีใส่ฟาริด

“Crisis Claw” ฟาริดพุ่งลงมาจากฟากฟ้าด้วยความเร็วเหนือแสงปรากฏเห็นเงาลางๆสีแดงของเขาที่พุ่งลงมา เขาง้างแขนซ้ายเตรียมสังหารธิดาภา
“ธิดาภา” มาย่าเอาตัวของเธอวิ่งเข้ามารับการโจมตีของฟาริดแทน กงเล็บเหล็กอันแหลมคมของฟาริดนั้นแทงทะลุของมาย่า
“มาย่า” ธิดาภารีบประคองร่างของมาย่าทันที ส่วนฟาริดนั้นง้างกงเล็บขึ้นกะสังหารพวกเธอไปทั้งคู่ ไวท์ไทเกอร์ร่างพัฒนารีบบินพุ่งมาที่ฟาริดแต่ระยะทางนั้นมันชั่งห่างไกลอยู่ ซึ่งมันคงจะไม่ทันแน่ พวกเพื่อนๆเธอของเธอต่างก็รีบวิ่งเข้าขัดขวางไว้ แต่แล้วฟาริดก็สับกงเล็บลงใส่
“สายฟ้าแห่งการทำลายร้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด Thor Hammer” สายฟ้าที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วนั้นอัดใส่ฟาริดอย่างแรงจนกระเด็นออกไป แล้วเสียงที่พวกเธอได้ยินนั้นรู้ทันว่านั่นคือ
“มาร์คัส” ธิดาภาเงยหน้าขึ้นมองดู แต่เธอกลับต้องผิดหวังในเมื่อชายที่อยู่ตรงหน้าที่มาช่วยเธอนั้น ไม่ชายที่เธอนึกไว้
“ฉันบอกว่า ไม่รู้จักคนที่ชื่อ มาร์คัส และฉันก็ไม่ใช่เขาคนนั้นเด็ดขาด แต่จากที่เธอคิดไว้แบบนี้ ฉันพอจะรู้ว่า เขาคนนั้นคงจะเป็นฝาแฝดกับฉันซินะ” อสุเระพูดเสร็จฟ้าก็ผ่าลงมา ฝนก็เริ่มกระหน่ำตกลงมาแรงขึ้น
“ส่วนเจ้าคนนั้นฉันจะแก้แค้นให้พวกเธอเอง ส่วนเรื่องชายที่เธอพูดถึง ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะบอก แต่ไว้หลังเสร็จจากงานนี้ก่อน ไวท์ไทเกอร์ คุ้มครองพวกเธอด้วย ฉันจะตัดสินกับมันเอง” อสุเระพูดเสร็จก็ชักดาบทั้ง 3 เล่มที่อยู่ข้างขวาของเขาออกมาจับเป็นกงเล็บในมือข้างซ้าย
“แกเป็นใครไม่สน แต่ขอโทษเถอะ ฉันมันไม่ใช่นักฆ่ากระจอกๆหรอกรู้ไว้ซะ” ฟาริดลุกขึ้นมาแล้วก็ปลดปล่อยพลังไฟออกมาที่ปลายกงเล็บของเขา

“ตัดสินครั้งเดียวไปเลย อย่าหมายให้ฉันหรือแกนั้นรอดจากการโจมตีครั้งนี้” อสุเระบอก
“แกเตรียมตัวนอนได้เลย” ฟาริดพูดเสร็จแววตาของเขาก็เปร่งประกายไฟออกมาให้เห็น อสุเระจึงใช้มือขวาเปิดตาข้างขวาของเขาที่ปิดไว้ออก แต่พวกสาวๆนั้นไม่สามารถเห็นดวงตาที่แท้จริงของชายคนนั้นได้ แล้วดาบทั้ง 3 เล่มของเขาก็ค่อยเปร่งแสงสีฟ้าออกมาและค่อยๆมีประกายไฟฟ้าปรากฏขึ้นบนดาบของเขา
“หมัดเหล็กมหาเพลิง พญามารแห่งไฟ Deimos Hand” ฟาริดปลดปล่อยไฟออกมาจนร่างกายของเขามีแต่เปลวไฟ
“กงเล็บเปลวฟ้าเพลิงพสุธา Blue Blaze” อสุเระวิ่งกางกงเล็บเป็นใบพัดและหมุนควงเข้าไป และฟาริดต่างวิ่งเข้าปะทะกัน เมื่อทั้งคู่เข้าปะทะกัน อสุเระก็ใช้มือซ้ายบีบดาบทั้ง 3 เล่มกลับเข้ามาเป็นกงเล็บดังเดิมแล้วมีพลังบางอย่างถูกยิงจากมือของเขาไปสู่ปลายกงเล็บ หลังจากที่ทั้งคู่ได้วิ่งผ่านไปแล้วนั้น พลังของทั้งสองก็สลายไป

ฟาริดก็หัวเราะขึ้นทันทีเขามองดูกงเล็บเหล็กของเขาที่มีเลือดเปื้อนอยู่เต็ม ทำให้พวกสาวๆที่ยืนดูอยู่นั้นตกใจทันที แล้วอสุเระก็ล้มคุกเข่าลง
“ลาก่อน” อสุเระก็เก็บทั้ง 3 เขาใส่ปอก แล้วฟาริดที่หัวเราะนั้นก็มีเลือดพุ่งออกมาจากตามร่างมากมายแล้วฟาริดก็ตายลงในทันที แล้วอสุเระก็ลุกขึ้นพร้อมกับดึงผ้ามาปิดตาข้างขวาก่อนที่จะหันหลังกลับมา

“มาย่า ฟื้นซิ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ” ธิดาภาพยายามจะเรียกมาย่าให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
“ธิดาภา ฉันจะต้องอยู่เป็นเพื่อนกับเธอต่อไปให้ได้” มาย่าบอก
“รีบพาไปยังหมู่บ้านอินเดท ตามหาชายที่ชื่อ วิรัส เขาสามารถช่วยคนที่ตายเมื่อเกิน 7 วันนั้นกลับมามีชีวิตได้” อสุเระบอก
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยไว้ แต่พวกเราไม่รู้ว่าหมู่บ้านนั้นอยู่ที่ไหน ช่วยนำทางไปได้มั้ยคะ” อรนิชาถาม
“ไปตามทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 4-5 กิโลเมตรก็จะเจอ ฉันคงไปกับพวกเธอไม่ได้ แต่ฉันมีบางอย่างอยากจะให้เธอคนนี้ไปกับฉันด้วย” อสุเระตอบและก็เดินจากไป
“ฉันน่ะเหรอ” ธิดาภาถาม
“ไปเถอะ ธิดาภา ไปตามหาเจ้าลิงน้อยของเธอเถอะ ส่วนมาย่าพวกเราจะดูแลให้เอง” อรนิชาบอกแล้วไวท์ไทเกอร์ร่างพัฒนาก็ช้อนร่างของมาย่ามาอยู่ในอุ้งมือ แล้วพวกสาวๆที่เหลือก็ขึ้นหลังของมัน ธิดาภาที่ยังกังวลเป็นห่วงเพื่อน แต่ในเมื่อเพื่อนๆนั้นยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเธอนั้นได้ไปตามทางของเธอ เธอเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธความหวังดีจากเพื่อนได้ แล้วเธอก็วิ่งตามอสุเระไป

--------------------------------------------------------จบตอนที่ 45--------------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on October 31, 2005, 12:21:41 AM
45 ตอนแล้วรึ เร็วมาก


Title: FW V ตอนที่ 46 ไม่รู้จะแต่งยังไงแล้ว (นี่แหละชื่อตอน)
Post by: !!! Unknow !!! on November 06, 2005, 12:54:12 AM
ตอน โลกที่ 4

“นี่ แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน ฉันใช้จิตสื่อถึงคนอื่นไม่ได้เลย” มาร์คัสถาม
“ที่นี่คือโลกที่ท่านพ่อสร้างไว้ให้เราสองคนไงพี่ชาย อยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กจำไม่ได้หรือ” แอริสตอบแล้วก็ยกถาดคุ๊กกี้มาวางที่โต๊ะ
“ท่านพ่อเหรอ ท่านพ่อเป็นใครกัน แล้วพี่จะไปจากที่นี่ได้อย่างไร โลกทั้งใบมีเพียงเราสองคนเองเหรอ” มาร์คัสถาม แล้วแอริสก็หยิบคุกกี้ขึ้นมากินพร้อมกับนมร้อนๆ จากนั้นเธอก็ยื่นคุกกี้ให้พี่ชายของเธอได้ลองชิม มาร์คัสก็รับคุกกี้นั้นมาชิม
“หนูทำเองกับมือเลยนะคะ” แอริสบอกแล้วก็ยื่นนมร้อนๆให้
“หนูเองก็ไม่ได้เจอท่านพ่อมานานแสนนานแล้วละ ส่วนเหตุผลที่ท่านพ่อสร้างโลกนี้ขึ้นมา ก็คงจะเป็นเหตุผลที่หนูเองนั้นสามารถมองเห็นอนาคตของคนคนนั้นได้เพียงแค่สัมผัส ความสามารถของหนูนี้ท่านพ่อคงคิดว่าหากไปอยู่ในมือของใครสักคน มันอาจจะทำให้เกิดเหตุเลวร้ายได้ ส่วนโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงเราสองคนหรอกนะ ยังมีเหล่าเทพบางองค์อยู่ที่นี่ รวมทั้งโลกนี้เป็นสถานพักผ่อนของเทพด้วย ทั้งสวนดอกไม้แพนโดร่า สระน้ำโพไซดอน และอื่นๆ” แอริสเล่าให้ฟัง แล้วสักพักเธอก็ตกใจเมื่อเห็นคุกกี้ในถาดนั้นหมดเกลี้ยงทันที
“พี่กินหมดเลยเหรอ” แอริสถาม
“ก็มันอร่อยดี ไม่ยักรู้ว่าเธอทำขนมได้อร่อยขนาดนี้” มาร์คัสตอบ
“พี่อ่ะ แย่งหนูกินหมดเลย” แอริสน้ำตาคลอทันที มาร์คัสเห็นแล้วก็ตกใจทันที
“อ่ะขอโทษเดี๋ยวจะไปทำให้ใหม่” มาร์คัสบอกแล้วก็รีบถือถาดคุกกี้วิ่งเข้าไปในครัว

ไม่นานนักมาร์คัสก็รีบวิ่งออกมาพร้อมกับถาดคุกกี้
“เชิญรับประทานให้อร่อยเลยนะ” มาร์คัสวางถาดคุ๊กกี้
“ไม่เอาพี่ต้องกินก่อน หนูไม่ไว้ใจในฝีมือของท่านพี่” แอริสพูดเสร็จมาร์คัสก็สะดุ้งตกใจและเหงื่อแตกทันที
“ถ้าพี่ไม่กิน หนูจะไม่บอกวิธีออกไปจากโลกนี้แน่นอน” แอริสบอก
“ได้ ได้” มาร์คัสปาดเหงื่อแล้วก็หยิบคุกกี้ขึ้นมา 1 ชิ้น เขาจดจ้องมองดูคุกกี้ที่เขาทำอย่างน่ากลัว (อาหารเราก็ไม่เคยทำ สัดส่วนเราก็ไม่รู้ ยิ่งกว่ายาพิษอีก ถ้ากินถึงตายแน่) มาร์คัสพูดกับตัวเองไปในใจ แล้วเขาก็หลับตาอ้าปาก
“งั้นหนูกินเอง” แอริสรีบคว้าคุกกี้ในมือของมาร์คัสมากินทันที มาร์คัสตกใจจนหน้าซีด แล้วสักพักแอริสก็เริ่มมีอาการเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นภายใน
“เกิดอะไรขึ้น” มาร์คัสรีบเข้ามาพยุงไว้
“พี่ใส่ซอสพิษขวดสีเขียวที่ตั้งไว้ในลังไม้หรือเปล่า” แอริสถาม
“พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้ว่ามันคือขวดอะไร ทำใจเอาไว้ดีๆนะ” มาร์คัสบอก
“ยาพิษนั้นรักษาไม่ได้ ลาก่อน พี่ชาย...” เมื่อสิ้นเสียงของแอริสแล้ว เธอก็หมดลมไปทันที
“ไม่ ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ซิ ได้โปรดอย่าทิ้งพี่ไป แอริสสสสสสสสส” มาร์คัสตะโกนออกมาอย่างคร่ำครวญ
“ท่านพี่เรียกชื่อหนูเหรอ ท่านพี่จำชื่อของหนูได้แล้วจริงๆด้วย” จู่ๆแอริสก็ฟื้นขึ้นมา
“นี่เธอไม่ได้ตายหรอกเหรอ” มาร์คัสตั้งสติได้ก็ถามทันที แอริสก็หัวเราะเล็กๆ
“หนูรู้ว่าพี่น่ะห่วยแตกมากในเรื่องทำอาหาร หนูก็เลยแกล้งทำเป็นว่ากินยาพิษเข้าไป ที่จริงหนูไม่มีหรอกยาพิษแบบนั้น หนูแค่อยากจะให้พี่นั้นเรียกชื่อของหนูเพื่อแสดงว่าพี่ยังคงจำชื่อของหนูได้ก็เท่านั้นเอง” แอริสพูดเสร็จมาร์คัสก็ทิ้งร่างของเธอลงกระแทกกับพื้นทันที
“ทำให้เป็นห่วง ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้อีกละ พี่ไม่ใช่ห่วงว่าเธอจะตาย แต่ถ้าเธอตายไปฉันจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรต่างหาก” มาร์คัสบอก
“พี่ใจร้าย หนูไม่บอกทางออกจากที่นี่หรอก” แอริสเชิดหน้าหนีทันที
“จริงซิ ถึงแม้ฉันจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ฉันก็คงต้องปักหลักสร้างครอบครัวในนี้ซะเลย พร้อมแล้วรึยังแม่สาวน้อย” มาร์คัสทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ ทำให้แอริสตกใจกลัวทันที
“อย่านะ อย่าทำหนูนะ หนูยอมแล้ว หนูจะพาพี่ออกไปจากโลกนี้” แอริสยอมทันที
“ดีงั้นไปกันเลย” มาร์คัสบอก
“ไม่เอา หนูยังไม่ได้กินอะไรเลย เพราะพี่แย่งหนูกิน เพราะฉะนั้น หนูจะไม่ไปไหนจนกว่าหนูจะอิ่มซะก่อน” แอริสพูดเสร็จก็เดินเข้าไปในครัวทันที
“ไม่รู้ว่ามีน้องสาวแบบนี้ได้ยังไง ไม่น่าจะมาเป็นน้องสาวเราเลย ทำตัวแบบนี้ถ้าไม่ใช่น้องเสร็จไปแล้ว” มาร์คัสบ่นพึมพำแล้วก็เดินออกไปที่ระเบียง

ในครัว
“พี่นี่จริงๆเลย ทำไมต้องมีพี่แบบนี้ด้วย อยากมีพี่ชายที่แสนดีกว่านี้ ไม่ใช่พี่เจ้าเล่ห์แบบนี้ซะหน่อย” แอริสยืนบ่นพึมพำแล้วสักพักก็มีกลิ่นไหม้
“ว๊าย ลืมไปเลยว่าอบคุกกี้อยู่” แอริสรีบเปิดฝาเตาอบออกมาแล้วดึงถาดคุกกี้ออกมา
“ยังดีนะที่ไม่ไหม้” แอริสเป่าควันออกที่ลอยออกมาจากคุกกี้
“ทีนี้ก็เหลืออะไรอีกนะ อือใส่ถุงก็แล้วกัน นมสักขวดไว้เผื่อหิวกลางทาง ทีนี้ก็เรียบร้อย” เมื่อแอริสจัดเตรียมของเสร็จเธอก็ถือเสบียงพวกนั้นเดินออกมาหาพี่ชายของเธอ
“ทำไมนานนักฮะ” มาร์คัสถาม
“แต่หนูก็มาแล้วนี่ไง ไปเถอะ ทางออกจากที่นี่ต้องไปที่พีโนเมส ประตูแห่งโลกทั้ง 9” แอริสตอบแล้วก็วิ่งนำออกไปทันที มาร์คัสก็เดินตามน้องสาวไป

แล้วสองพี่น้องคู่นี้ก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นราชวังขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้มากมายเต็มไปหมด
“ที่นี่น่ะแหละ” มาร์คัสถาม
“เปล่าค่ะ ที่นี่คือ สวนดอกไม้แพนโดร่า พี่ชายคงจำได้นะคะ” แอริสตอบแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน
“แพนโดร่าเหรอ” มาร์คัสยังคงสงสัยแต่เขาก็เดินตามน้องสาวเข้าไป
พอเข้ามาทางเดินโถงกว้างขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้รายล้อมเต็มไปหมดไม่ว่าจะเพดานหรือเสา แอริสหยุดพักยืนชมดอกไม้ริมทาง ส่วนมาร์คัสนั้นยังคงเดินต่อไปข้างใน
“นานมาแล้ว มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเดินก้าวเข้ามาในสวนดอกไม้นี้ ชายผู้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และเป็นเกียรติอีกครั้งที่ชายผู้นั้นได้กลับมาที่นี่ มาร์คัส” เสียงสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากเสาใกล้ๆพร้อมดอกไม้ดอกหนึ่ง แล้วเธอก็ให้ดอกไม้นั้น
“เธอเป็นใครกัน” มาร์คัสถาม
“ฉัน แพนโดร่า สาวงามแห่งดอกไม้ โปรดรับดอกกุหลาบดอกนี้เถอะ” แพนโดร่าแนะนำตัวเองแล้วมาร์คัสก็รับดอกกุหลาบนั้นมา
“ผู้ที่เฝ้ากล่องแห่งความชั่วงั้นเหรอ” มาร์คัสถาม แต่แพนโดร่าก็หัวเราะนิดๆ
“เรียกซะยืดยาวเลยนะ เรียกว่าหีบเพลงจะไพเราะกว่า แต่อย่าไปสนใจมันเลย ท่านกลับมาเยือนที่นี่เป็นครั้งที่สอง แปลว่าท่านต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน” แพนโดร่าถาม
“ใช่คือฉันต้องการจะไปจากโลกนี้ แต่เอ๊ะ ทำไมเธอถึงยอมพูดคุยสนิทสนมกับฉันละ ทั้งๆที่สวรรค์นั้นมีกฎว่าห้ามเกี่ยวข้องกับฉันนี่” มาร์คัสถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วละ แต่นี่ไม่ใช่สวรรค์ ไม่ว่าเทพ มนุษย์ หรือหมู่มารก็สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ จงวางใจไว้เถอะ” แพนโดร่าตอบ
“ไงพี่สาว” แอริสเข้ามาทักทายแพนโดร่าทันที
“อ้าว มานี่ด้วยเหรอ แอริส” แพนโดร่าเห็นก็ดีใจขึ้นเล็กๆ
“นี่พี่ชายของหนูรู้จักกันรึยัง” แอริสถาม
“จ้า ฉันเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้วละ” แพนโดร่าตอบ
“ขอโทษด้วยนะคะที่มาเยี่ยมเพียงแปปเดียว คือพี่ชาย อยากจะไปจากโลกนี้กลับไปยังเดิม” แอริสบอกแล้วก็เดินไปตามทางเดินต่อ มาร์คัสเองก็เดินตามไปทันที
“เดี๋ยว ดอกไม้ดอกนั้น ท่านโปรดจำไว้ว่า หากวันใดท่านนึกถึงฉัน ท่นโปรดเรียกชื่อฉันต่อหน้าดอกไม้นั้นได้เลย แล้วฉันจะไปหาท่านภายในทันที แต่ถ้าวันใดที่ท่านเห็นดอกไม้นั้นเหี่ยวเฉาหรือเน่าตาย ฉันอยากขอให้ท่านรู้ไว้ว่า ฉันได้สิ้นใจแล้ว และท่านโปรดดูแลหีบเพลงใบนี้แทนฉันด้วย” แพนโดร่ากล่าวเสร็จก็ยื่นหีบเพลงอันหรูหราลายสวยงามใบหนึ่งส่งให้ มาร์คัสเองก็รับอย่างเต็มใจแล้วก็วิ่งออกไปพร้อมโบกมือลา
“หวังว่าท่านคงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ” แพนโดร่านึกไปในใจแล้วเธอก็เดินกลับเข้าไปในวังดอกไม้ของเธอ

“พี่ชายรู้จักพี่สาวคนนั้นด้วยเหรอ” แอริสถาม
“ไม่รู้ซิ เหมือนว่าจะจำไม่ได้แล้วละ แต่เธอจำพี่ได้ ก็คิดว่าเมื่อก่อนเราคงเคยรู้จักกันมาก่อน” มาร์คัสตอบแล้วก็เอาดอกกุหลาบนั้นขึ้นมาดู
“ว้าว ดอกกุหลาบดอกนี้แปลกดีจัง มีหลากสีหมุนเวียนสลับอยู่ภายในดอกเลย” แอริสตะลึงกับความงามของดอกกุหลาบนั้น
“เอาล่ะ คราวนี้อีกไกลมั้ยกว่าจะถึงประตูโลกที่เธอบอก” มาร์คัสถาม
“ก็ดูไม่ไกลหรอกนะ แต่ว่า พี่อ่ะฝีมือยังมีอยู่หรือเปล่า เพราะคนที่จะผ่านประตูไปได้นั้นต้องชนะเทพพิทักษ์ประตูแห่งโลกซะก่อน ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมให้ผ่านไปง่ายๆแน่นอน” แอริสตอบ
“ไม่รู้ซิ นับตั้งแต่หนีมาได้ พลังแห่งธาตุทั้งหมดก็ถูกสลายไปหมด เหลือเพียงพลังเล็กน้อยบางส่วน” มาร์คัสบอกแล้วก็หยุดเดิน
“พี่ชายยังคงจำ พี่ชายอีกคนได้มั้ย ฝาแฝดกับพี่ไง” แอริสถาม
“ไม่ ฉันจำอะไรไม่ได้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยซิ” มาร์คัสตอบ
“พี่ชายคนนั้นเขาคือก็พี่ เขากับพี่คือคนเดียวกัน และตอนนี้เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าหนูเนี่ยแหละ” คำพูดของแอริสทำให้มาร์คัสนั้นงง
“เธอพูดอะไรของเธอ ช่วยอธิบายให้เข้าใจกว่านี้หน่อยซิ” มาร์คัสถามต่อ
“เขาคือด้านมืดของพี่ หากพี่นั้นโกรธขึ้นเมื่อไหร่ เท่ากับพี่จะปลดปล่อยเขาออกมา ซึ่งแน่นอนว่าหนูไม่อยากจะเจอกับเขาอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนของพี่แล้ว หนูก็คงไม่ได้อยู่จนวันนี้ การที่พี่จะรวบรวมพลังกลัลบมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง หากี่ควบคุมตัวพี่เองและจิตใจไม่ได้ เขาคงจะฆ่าพี่ได้ทันทีแล้วฆ่าทุกคนตามมา เพราะฉะนั้นพี่สัญญาได้มั้ยว่า หากพี่เริ่มควบคุมตัวเองและจิตใจไม่ได้ พี่จงปิดชีพตนก่อนที่เขาจะออกมา ถ้าไม่สัญญาหนูไม่พาพี่ออกไปแน่นอน” แอริสอธิบายให้ฟัง มาร์คัสจึงนิ่งไปสักพักแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ได้ซิ พี่สัญญา เพราะสิ่งที่เธอพูดนั้นคงจะเป็นความจริงซินะ เธอมองเห็นอนาคตของตัวพี่ได้ หากพี่ปลดปล่อยเขาออกมา เธอคงเห็นอนาคตหลังจากนั้นแล้วซินะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น พี่สัญญาเลยว่าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เขาได้ออกมา และสัญญาว่าจะคุ้มครองน้องสาวของพี่คนนี้ไปตลอด” มาร์คัสพูดเสร็จทั้งคู่ก็ยิ้มออกมา
“อย่างงี้ซิถึงจะสมกับเป็นพี่ชายของหนู ไปเถอะ เราไปต่อกันเลย” แล้วสองพี่น้องก็ออกเดินทางกันต่อไป

------------------------------------------------------จบตอนที่ 46-------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 47 หีบเพลงสวรรค์ แพนโดร่า
Post by: !!! Unknow !!! on November 06, 2005, 06:44:26 PM
ตอน เทพแห่งการลงทัณฑ์

เมื่อสองพี่น้องได้มาถึงดินแดนที่เรียกว่าพีโนเมส ประตูแห่งโลกทั้ง 9
“เอาล่ะ นี่ไง เรามาถึงแล้ว” แอริสชี้ไปยังลานกว้างที่สลักวงเวทย์โบราณขนาดใหญ่
“นั่นน่ะเหรอ” มาร์คัสค่อยๆเดินไปยังลานนั้น
“เดี๋ยวซิ รอหนูด้วย” แอริสวิ่งตามไปทันที
“จะตามมาทำไม เธอทำหน้าที่มาส่งฉัน ก็เสร็จสิ้นแล้วนี่ กลับไปเถอะ” มาร์คัสหันมาบอก
“ไม่ หนูจะไปกับพี่ พี่สัญญาว่าจะคุ้มครองหนูไม่ใช่เหรอ แค่ไม่กี่นาทีก็จะทิ้งไปซะแล้ว พี่นี่เจ้าเล่ห์จริงๆ” แอริสพูดอย่างไม่พอใจ
“ก็ได้ จะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน แต่เธอต้องทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยละ” มาร์คัสบอก แล้วแอริสก็พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้
“เอาละ งั้นบอกมาซิ ว่าจะทำยังไงต่อ” มาร์คัสถามขึ้นทันที
“เอ่อ..... ไม่รู้ซิ ถ้าประตูพีโนเมสเปิด วงเวทย์นี้ก็น่าจะมีพลังปรากฏขึ้นมานะ” แอริสวิ่งดูวงเวทย์ไปรอบๆ

“ขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถให้ท่านผ่านประตูนี้ไปได้” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ดูแกร่งกล้า
“โอ ใครละนี่” แอริสหันไปมองและถามขึ้น
“ข้าคือ ผู้เฝ้าประตูแห่งโลกทั้ง 4 ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือประตูพีโนเมส” หญิงสาวผู้นั้นตอบ
“เจ้าชื่ออะไร เงยหน้าให้ข้าเห็นชัดๆได้มั้ย” มาร์คัสถาม แต่หญิงสาวผู้นั้นก็หัวเราะเล็กๆ
“ข้าชื่อ รามิเอล ผู้ควบคุมกฎแห่งสวรรค์ ผู้ที่ตัดสินชะตาเทพทั้งปวง ข้าคือ เทพแห่งการลงทัณฑ์ ไง มาร์คัส” หญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าขึ้นพร้อมสยายปีกทั้ง 4 คู่ใหญ่ออก แสดงความยิ่งใหญ่ให้เห็น
“รามิเอล” มาร์คัสตกใจเมื่อเจอเธออีกครั้ง
“ข้ามาเพื่อจับท่านกลับไปขังที่นรกน้ำแข็งเนฟเฮม โลกที่ 9 เป็นโลกที่ประตูเนฟเฮมจะเปิดทุกๆ 1,000 ปี” รามิเอลบอก มาร์คัสก็หัวเราะเล็กๆ
“แอริส หลบไปข้างหลัง” มาร์คัสบอกแล้วก็ปลดปล่อยพลังให้ไหลมาที่มือทั้งสองข้างของเขา
“ถ้าขังจนแก่ตายก่อนได้กลับมา จับตายฉันซะจะดีกว่านะ” มาร์คัสบอกแล้วก็ประสานมือทั้งสองข้างจนพลังสายฟ้านั้นมาไหลรวมกันเป็นจุดเดียว
“จับตายก็ง่ายดี ฆ่าให้มันจบๆเรื่องไป” รามิเอลก้มตัวลงกลางปีกออก

“Laser Wing” รามิเอลยิงลำแสงขนนกจากปลายปีกทั้ง 4 โจมตีใส่มาร์คัสจำนวนมาก
“สายฟ้าแห่งการทำลายร้าง หมัดค้อนเทพเจ้าทอร์สายฟ้าฟาด !!! Thor Hammer !!!” มาร์คัสพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วและหลบหลีกลำแสงเหล่านั้นจนเข้าประชิด เขาออกหมัดสายฟ้าฟาดโจมตีใส่รามิเอล แต่รามิเอลกลับใช้มือของเธอรับหมัดของมาร์คัสได้
“พลังหดถอยไปเยอะเลยนะ” รามิเอลยิ้มเล็กๆแล้วก็บิดมือเบาๆ ทำให้ร่างของมาร์คัสกระเด็นออกไป แต่เขาก็พลิกตัวตั้งหลักได้
“มันจบแล้วละ มาร์คัส” รามิเอลพูดเสร็จก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวและมีแสงสว่างเปร่งออกมา เมื่อแสงนั้นดับลงก็ปรากฏดาบเล่มหนึ่งในมือของเธอ
“มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” มาร์คัสยืนขึ้นและชาร์ตพลัง
“คำพิพากศักดิ์สิทธิ์ Holy Judgment” รามิเอลบินพุ่งตรงเข้าไปพร้อมร่างเงาของเหล่าเทพสวรรค์ต่างๆที่บินพุ่งเข้าโจมตี แล้วเธอก็ฟันดาบเล่มนั้นลงแต่ทันทีที่ฟันร่างของมาร์คัสก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“หมัดตัดเปลวฟ้าผ่า Thunder Shock” ทันใดนั้นก็มีวงเวทย์ที่เขียนสลักด้วยสายฟ้าขนาดใหญ่อยู่ที่พื้น แล้วมาร์คัสก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้าหมัดของเขามีพลังสายฟ้าเต็มเปี่ยม สายฟ้าที่ผ่าลงตามหมัดของเขานั้นพุ่งลงมาเร็วยิ่งกว่าฟ้าผ่า สายฟ้าจำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาในวงเวทย์แล้วหมัดของเขาก็ตัดผ่าสายฟ้าเหล่านั้น

เมื่อสายฟ้าทั้งหมดสลายหายไป ร่างของรามิเอลก็ค่อยๆทรุดตัวลงทันทีเธอใช้ดาบค้ำยันเอาไว้ แต่มาร์คัสนั้นปรากฎรอยดาบฟันลงยาวจากไหล่ซ้ายไปยังชายเอวขวา แล้วเขาก็ล้มลงไป แอริสจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“พี่คะ พี่เป็นอะไรมากมั้ย” แอริสถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ พี่ยังพอไหว” มาร์คัสลุกขึ้นยืนแต่ด้วยความบาดแผลนั้นทำให้เขายืนไม่อยู่แล้วล้มลงไป สักพักรามิเอลก็ลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้ามาหา แอริสจึงรีบวิ่งเข้ามาขวาง
“ได้โปรดเถอะ อย่าฆ่าพี่หนูเลย” แอริสพยายามกล่าวคำขอร้องอ้อนวอน
“เขาเป็นนักโทษที่อันตราย หากเขารอดไป ในอนาคตอาจจะเป็นอันตรายยิ่งกว่านี้” รามิเอลบอกแล้วก็ง้างดาบขึ้นฟ้า
“ถ้าอย่างงั้นก็ข้ามศพหนูไปก่อนแล้วกัน” แอริสบอกด้วยความมุ่งมั่นเพื่อปกป้องพี่ชาย
“แอริส” มาร์คัสเห็นน้องสาวตนยอมทำเพื่อเขา
“งั้นขอโทษด้วยนะ ที่ต้องทำเช่นนี้” ทันทีที่รามิเอลชักดาบฟันลงก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้น

“Black Hawk Fallen” เหยี่ยวไฟสีดำขนาดใหญ่บินพุ่งชนรามิเอลจนกระเด็นออกไป
“เหยี่ยวดำนี่มัน” รามิเอลตั้งหลักได้ก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
“ใช่ ข้าเอง หนึ่งเดียวที่แม้แต่เทพหรือจ้าวนรกยังเกรงกลัว” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาอยู่รอบๆ แล้วก็มีหมอกลงหนามากปกคลุมไปรอบๆบริเวณ
“ออกมาซิ ถ้าเก่ง แล้วจะหลบซ่อนในหมอกไปทำไม” รามิเอลตั้งท่าเตรียมรับมือ
“ไปซะ ข้าไม่ต้องการฆ่าเจ้าในวันนี้” เสียงของเขานั้นยังดังไปรอบๆ
“พี่ค่ะ พี่จะรอดมั้ย” แอริสน้ำตาคลอขึ้นเมื่อมองดูร่างของพี่ชาย มาร์คัสก็เริ่มหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ แค่นี้พี่ไม่ถึงตายหรอก” มาร์คัสบอกแล้วหีบเพลงแพนโดร่าก็หล่นออกมา
“ปรากฏตัวให้ข้าเห็นชัดๆซิ” รามิเอลถาม แต่กลับมีเพียงเสียงหัวเราะราวกับเยาะเย้ยของชายคนนั้นดังอยู่ตลอดเวลา
“แอริส เปิดหีบเพลงนั่น” มาร์คัสบอก
“ไม่ หนูจะไม่ยอมให้พี่ปลดปล่อยด้านมืดออกมาหรอก” แอริสบอก
“เจ้าจงเลือกว่าอยากให้พี่นั้นอยู่หรือตาย” เมื่อสิ้นเสียงของมาร์คัสเขาก็หมดแรงลงไปทันที แอริสไม่มีทางเลือกเธอจึงหยิบหีบเพลงแพนโดร่ามาวางในอกของพี่ชาย แล้วเธอก็เปิดหีบเพลงนั่น

ความชั่วช้าเลวทรามของเหล่ามนุษย์ที่ตายจากไปและได้เป็นเทพสวรรค์ บาปทั้งปวงที่ถูกสกัดมาเก็บไว้ในหีบเพลงนี้ ถูกส่งมาเป็นพลังด้านมืดให้กับมาร์คัส ร่างของค่อยๆลอยขึ้น เสียงเพลงบรรเลงบทเพลงแห่งพลังที่ดังขึ้น จนรามิเอลนั้นหันมามองทางต้นเสียง
“เป็นไปได้ไง พลังนั่นควรปลิดชีพไม่ใช่ฟื้นคืน ไม่มีทางซะหรอก” รามิเอลบินพุ่งตรงเข้าไปพร้อมชูดาบขึ้น แอริสจึงรีบลุกเข้ามาขวาง แล้วเธอก็รู้สึกว่ามีมือคนแตะที่ไหล่ของเธอและดึงเธอถอยออกไป
“หมัดสลายวิญญาณ Broken Soul” ชายชุดดำปรากฏขึ้นตรงหน้ารามิเอลและใช้หมัดขวาอัดใส่เธอจนกระเด็นออกไป เมื่อเธอตั้งหลักเธอก็กระอักเลือดออกมาทันที
“ฟื้นขึ้นมาเลยมาร์คัส ฟื้นขึ้นมา ข้ารอเจ้าอยู่” ร่างของมาร์คัสก็ค่อยๆยืนขึ้นมา ร่างของเขาเต็มไปด้วยพลังความมืดห่อล้อมเอาไว้

ในขณะนั้นเอง รามิเอลก็เปิดประตูพีโนเมสและหนีหายเข้าไป
“เจ้ายังตายไม่ได้ จำไว้ด้วยมาร์คัส ไม่ว่าเจ้าจะมีพลังมากแค่ไหนก็ตาม ข้าจะต้องสู้ตัดสินกับเจ้าให้มันรู้ไป” ชายชุดดำพูดเสร็จมาร์คัสก็ลืมตาขึ้น เขาพุ่งเข้าอัดใส่ชายชุดดำ แต่ชายชุดดำรับหมัดของมาร์คัสได้
“พลังของเจ้ายังไม่เต็มที่ รอไว้วันหลังเราจะได้สู้กันอีก” ร่างของชายชุดดำก็ค่อยๆมีเปลวไฟสีดำรุกโชยขึ้น
“อยากรู้จังในตอนนี้เจ้ายังต้านพลังของข้าได้มั้ย” ชายชุดดำออกแรงต้านหมัดของมาร์คัส พลังอันมหาศาลของเขาทำให้ร่างของมาร์คัสกระเด็นไปกระแทกขอบประตูพีโนเมส
“เธอใช่มั้ย น้องสาวของมาร์คัส รีบถือหีบเพลงนั้นไปวางตรงหน้าของเจ้าหมอนั่น แล้วก็หมุนไขลานข้างๆหีบ พลังทั้งหมดจะถูกดูดกลับเข้าไปในหีบ ส่วนในตอนนี้ร่างของเจ้าหมอนั่นพลังของหีบฟื้นฟูจนหายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งหีบแล้ว และบอกมันด้วยว่า เพื่อนจากนรกมาเยี่ยม” ชายชุดดำพูดเสร็จก็เดินไปขี่ม้าและขวบเข้าไปในประตูพีโนเมส

แอริสจึงรีบวิ่งไปหยิบหีบและวิ่งไปวางแล้วหมุนลานขึ้น จากนั้นหีบเพลงก็ถูกเปิดออกและมีเสียงเพลงดังขึ้น แต่ทันใดนั้นเองมาร์คัสก็ลุกขึ้นมา
“พี่ค่ะ...” แอริสตกใจอยู่เล็กๆกับแววตาของพี่ชายที่จ้องมองมาที่เธอ แล้วมาร์คัสก็ใช้มือทั้งสองข้างบีบคอน้องสาวตน
“พี่ฟื้นสักทีซิ” แอริสพยายามพูดเพื่อเรียกสติของพี่ชายคนเดิมกลับมา แต่เขากลับออกแรงมากขึ้น แต่สักพักกลุ่มพลังความมืดที่ห่อล้อมร่างของมาร์คัสไว้ก็ค่อยๆถูกดูดลงเก็บเข้าไปในหีบแพนโดร่า แล้วมาร์คัสก็ได้สติกลับมาอีกแต่เขาแทบช๊อคเมื่อเขาเห็นมือทั้งสองข้างนั้นบีบคอน้องสาวจนเธอหมดลมแน่นิ่ง
“แอริส แอริส” มาร์คัสร่างคลายมือออกและเข้าไปประคองร่างของน้องสาวไว้
“ฟื้นซิฟื้น พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ขอโทษ” มาร์คัสโศกเศร้าเสียใจมากที่ต้องสูญเสียน้องสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ
“เธออยากออกไปดูโลกกว้างไม่ใช่เหรอ จะมาจบอยู่เพียงเท่านี้ไม่ได้ พี่จะพาเธอออกไปดูโลกกว้างเอง” เขาปาดน้ำตาแล้วก็อุ้มร่างของน้องสาวเดินผ่านประตูพีโนเมสออกไป

----------------------------------------------------------ตอนที่ 47------------------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 48 Crimson Butterfly
Post by: !!! Unknow !!! on November 19, 2005, 06:40:48 PM
หายไปนานเลย เหอๆ ขี้เกียจแต่งเหมือนกันช่วงนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอน แสงเทียนในความมืด

ที่ร้านพี่หมูราดหน้า
“สรุปพวกนายกำลัง จะหาทางช่วยแม่ชีคนนี้ โดยการนำเลือดจากชายคนนั้นมาเป็นส่วนผสม” เจ้าหญิงชานย่าถาม แล้วพวกพงวิชต่างก็พยักหน้า
“ต่อให้ฉันช่วย แค่เลือดหยดเดียวก็แทบจะแลกมาด้วยชีวิตเลยนะนั่น” เจ้าหญิงชานย่าบอก
“พี่หมูเอาอีก 7 ชาม” บุ๊คตะโกนสั่ง แล้วพี่หมูก็ทำราดหน้าเพิ่ม
“อีก 5 วันถ้ายังไม่ได้ แม่ชีผู้นี้ก็คงถึงคราว...” แบมบูมองดูร่างของแม่ชีเกลวารีนที่หลับอยู่
“ต่อให้ยกทัพแห่งอาเบรอนมาช่วย ก็ไม่มีทางชนะได้หรอกเจ้าหนู” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพวกเขา พวกพงวิชจึงหันไปมองที่ต้นเสียงเป็นชายวัยกลางคนที่ดูเซอๆใส่หมวกโจรสลัด
“นายเป็นใครล่ะ เฮ๊ย” บุ๊คถาม
“ฉันมันก็แค่นักเดินทางอิสระ มาที่นี่ก็เพราะอยากจะมาดูการประกวดของสาวงามต่างหาก” ชายคนนั้นตอบแล้วก็เดินวนไปหาเจ้าหญิงชานย่า
“หน้าอย่างนี้มาดูแน่เหรอ” เจ้าหญิงชานย่าถาม ชายคนนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ก็ใช่น่ะซิ เจ้าหญิง” ชายคนนั้นตอบแล้วเขาก็หันหลังกลับ
“เอาล่ะพวกนายคงสงสัยกัน งั้นฉันขอแนะนำตัว ฉัน แจ๊ค ฉันไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อพวกนาย แต่พวกนายต้องรู้จักจำชื่อของฉันเอาไว้จนตาย” แจ๊คบอก แต่เขากลับเห็นพวกพงวิชกำลังก้มหน้าก้มตากินราดหน้ากันอย่างเอร็ดอร่อย
“เมื่อกี๊พูดอะไรนะ พูดใหม่ซิ ลืมฟัง” พงวิชถาม ทำให้แจ๊คฉุนขึ้นทันที

“กัปตันแจ๊ค เขาชื่อแจ๊ค ชายสติเฟื่อง บ้าๆบอๆ ไร้ที่ไป เร่ร่อนหาขโมยเล็กเลี้ยงชีพไปเรื่อย” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“ใช่ฉันคือ กัปตันแจ๊ค แต่นั่นมันเป็นแค่อดีต ตอนนี้แนคือ แจ๊คผู้ยิ่งใหญ่” แจ๊คบอก
“แล้วรู้จักชายชุดดำได้อย่างไร” พงวิชถาม
“ฉันเคยสู้กับมัน” แจ๊คตอบ
“แล้วรอดมาเนี่ยนะ” ปอนถาม
“ใช่เขารอดมา แต่ลูกน้องเกือบ 100 ชีวิต ตายเรียบ” เจ้าหญิงชานย่าตอบขึ้นแทน ทำให้แจ๊คหงุดหงิดขึ้น
“เออใช่ ลูกน้องข้าตายหมด พวกนั้นยอมอุทิศชีวิตเพื่อข้าอยู่แล้ว แต่มีใครอย่างฉันบ้างมั้ยที่จะรอดมาเล่าให้ฟังได้เนี่ย” แจ๊คบอก
“พวกเราไง เคยเจอ 2 ครั้ง รอดมาทั้ง 2 ครั้ง” พงวิชบอก แจ๊คก็อึ้งทันที
“ใช่ พวกเขารอดมาได้ กัปตันแจ๊คผู้ยิ่งใหญ่และสุดยอดในเรื่องโกหก ยังตะลึงกับเด็ก 6 คน” เจ้าหญิงชานย่าบอก ทำให้แจ๊คบึ้งหน้าทันทีแล้วเขาก็เดินเข้ามาหาเจ้าหญิงชานย่าอย่างฉุนเชียว
“จำไว้เลยเจ้าหญิง” แจ๊คพูดเสร็จก็เดินออกไปจากร้านทันที
“เจ้าบ้าสติเฟื่อง” ปอนบ่นพึมพำแล้วก็กินราดหน้าต่อ

“เป็นยังไงบ้างละ กัปตันแจ๊ค” ทันทีที่แจ๊คเดินออกมาจากร้านเขาก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งพูดขึ้น เขาจึงเดินต่อไปโดยไม่สนใจ จนสักพักเสียงของหญิงผู้นั้นก็ดังขึ้นอีก
“คงจะหงุดหงิดละซิ” แล้วแจ๊คก็หยุดเดินและหันหลังกลับมา
“นี่ใครๆก็รู้ฉันไม่เคยจะเครียดหรือหงุดหงิดใดๆ แต่ขอเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว” แจ็คพูดเสร็จเขาก็หันกลับและเดินไปต่อ
“ฉันข้อเสนอเล็กๆน้อยๆมาให้” คำพูดของหญิงคนนั้นทำให้แจ๊คหยุดเดิน
“ข้อเสนออะไร” แจ็คถาม
“ฆ่าเจ้าหญิงชานย่าซะ” หญิงคนนั้นตอบ
“เท่าไหร่” แจ็คถามต่อ
“เต็มอัตรา 1 แสนโกล บวกโบนัสถ้าเสร็จภายในคืนนี้อีก 5 หมื่นโกล” หญิงผู้นั้นตอบ
“งั้นขอลา ฉันไม่ใช่พวกนักฆ่า ฉันเป็นกัปตัน ไม่ใช่พวกบ้าฆ่าคน ไปหาจ้างเอาแล้วกัน” แจ๊คพูดเสร็จเขาก็เดินต่อไป
“เชิญเลย ถ้าอยากจะจมปักอยู่แบบนี้” หญิงคนนั้นบอก
“แบบนี้ แบบไหน แล้วทำไมต้องมายุ่งเรื่องของฉันด้วย อย่ามาทำให้ฉันโกรธ ไม่งั้นฉันไม่ไว้เธอแน่ ยิววา” แจ๊คก็เดินไปต่อ
“กัปตันแจ๊คผู้ยิ่งใหญ่ กลับต้องมาเดินดินลำพังอย่างเห็นแก่ตัว ทุเรศที่สุด” ยิววาบอกแล้วเธอก็หัวเราะขึ้น ทำให้แจ๊คกำหมัดแน่น แล้วเขาก็เดินไปต่อโดยไม่สนใจคำพูดใดๆที่ยิววาพูดออกมา

“เจ้าหญิงชานย่า ทำไมเธอถึงนึกลงประกวดครั้งนี้ละ” พงวิชถาม
“ไม่หรอก ท่านแม่เป็นคนสั่งให้ฉันต้องลงประกวดเอง แต่ใจจริงแล้วฉันไม่อยากลงประกวดเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าจะขอถอนตัวในวันพรุ่งนี้” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“แล้วรู้จักชายคนนั้นได้อย่างไรกัน” พงวิชถามต่อ
“นานมาแล้ว เขานั้นเป็นกัปตันโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่และเก่งกาจที่สุดในโลก ลูกเรือของเขาเพียงลำเดียว เอาชนะเหล่ากองทัพโจรได้นัพร้อยได้ แต่เขากลับไม่สามารถชนะคนเพียงคนเดียวได้ เธอก็คงจะรู้นะ” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“แล้วที่มันบ๊องๆ ติงต๊องละ เพราะอะไร” บุ๊ควางชามราดหน้าที่กินเสร็จลงและถามขึ้นทันที
“เขาบอกว่าเขารอดจากการสู้กับชายชุดดำมาได้ โดยที่เขาฟันคอชายชุดดำจนขาด แต่เขาได้แผลบนหัวกระเทือนเข้าสมองของเขา แต่เพราะสมองของเขาไม่ดีมั้ง เลยกุเรื่องไปทั่ว” เจ้าหญิงชานย่าตอบแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินค่าราดหน้า
“แต่ดูไปเหมือนมันไม่ได้บ้านะเว้ย เหมือนบางทีมันจงใจจะทำหรือพูดออกมาแล้วทำเป็นแกล้งบ้าไปเอง” บุ๊คบอก
“อย่าไปสนใจมันเลย” พงวิชพูดเสร็จก็กินราดหน้าที่เหลืออยู่ในชาม

เมื่อพวกเขากินอาหารกันจนอิ่มเต็มที่ พวกเขาก็นั่งพักอยู่ในร้านไปสักพัก
“พี่หมู เปิดกิจกาทั่วโลกนี่ กำไรได้ดีมั้ย” ตั้มถาม
“กำไรได้มากกว่าทุนเป็นหลายเท่าเลย” พี่หมูตอบ แล้วก็เก็บกวาดจัดระเบียบภายในร้านเพื่อปิดร้าน
“เจ้าหญิงชานย่า ปกติท่านทรงใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดเลยเหรอ ไม่เคยที่จะมีช่วงไหนทำตัวสมกับสตรีผู้สูงศักดิ์บ้างเลยรึ” แบมบูถาม
“ก็มีบ้างนะ แต่ส่วนใหญ่แล้วฉันชอบใช้ชีวิตแบบนี้มากกว่า เมื่อก่อนก็ทำตัวสมกับเป็นเจ้าหญิง แต่เมื่อโตขึ้น ฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป จะกลับไปเป็นเจ้าหญิงแสนสุภาพก็คงจะยากอยู่ละ” เจ้าหญิงชานย่าตอบ แล้วบุ๊คก็หาวขึ้น
“หนังท้องตึงหนังตาหย่อนไปหาที่นอนกันเหอะ ง่วงแล้ว” บุ๊คบอกแล้วก็เดินออกไปจากร้าน และเพื่อนๆต่างก็เดินตามออกมา
“พงวิช พวกเธอไปนอนกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะตามไป ฉันต้องไปธุระสักครู่” เจ้าหญิงชานย่าบอกเสร็จก็เดินแยกไปอีกทาง ทันทีที่เธอเดินหายไปในอีกทาง พงวิชก็นึกขึ้นได้ที่จะถามเจ้าหญิง แต่เมื่อเขาวิ่งตามไปก็ไม่เห็นเจ้าหญิงชานย่าแล้ว

“แจ๊ค เขาไปไหนของเขาเนี่ย” เจ้าหญิงชานย่าเดินหาไปตามทางเดินในเมือง จนออกมานอกเมือง แต่ตัวเธอนั้นก็ไม่ได้ระวังภัยใดๆที่ใกล้เข้ามาหาเธอ
“ทาร่อน คนนี้ใช่มั้ยเจ้าหญิงชานย่า” ฮอนเน็ทถามพร้อมกับขึ้นสายธนูวิญญาณเล็งไม่ขาดสายตา
“ใช่แล้วละ ฆ่าได้มันก็จบเรื่อง เราได้ลูกแก้วไฟ งานของพวกเราก็เสร็จ” ทาร่อนตอบ
“เล็งตรงไหนดีนะ” ฮอนเน็ทยิ้มขึ้นทันที
“อย่ามัวแต่ชักช้า” ทาร่อนบ่นแล้วเขาก็กระโดดลงไปจากโขดหิน

แล้วก็มีผีเสื้อสีแดงเข้มตัวเล็กๆตัวหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าเจ้าหญิงชานย่า เธอค่อยๆเดินเข้าไปหาผีเสื้อตัวนั้น แล้วเธอก็จับความรู้สึกว่าตนนั้นกำลังมีอันตราย เธอจึงกระโดดหลบไปข้างๆหลบลูกศรวิญญาณได้ทัน แต่แล้วทาร่อนก็พุ่งเข้ามาอย่างเร็วอัดใส่ท้องของเธอจนจุกและล้มลงไป
“งานง่ายแค่นี้ทำไมต้องให้พวกเรา 2 คนมาทำด้วยวะเนี่ย” ทาร่อนยืนบ่นแล้วก็พยุงร่างของเจ้าหญิงชานย่าที่สลบขึ้นและเข้าล๊อคจากด้านหลังไว้
“ยิงเลย” ทาร่อนบอกแล้วฮอนเน็ทก็ยกคันธนูขึ้นเล็ง แล้วฮอนเน็ทก็ยิงลูกศรวิญญาณออกไป ทันใดนั้น

ผีเสื้อสีแดงตัวนั้นก็บินเข้ามารับลูกศรวิญญาณแทนเจ้าหญิงชานย่า
“ผีเสื้อตัวน้อยแสนห่วงใย บัดนี้เจ้าเป็นอิสระได้พบกับสุขที่แท้จริง” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทาร่อน เขาจึงกงเล็บข้างหนึ่งปาดคอเจ้าหญิงชานย่า แล้วก็โยนร่างของเจ้าหญิงทิ้งไปและหันกลับมาหาชายที่อยู่ด้านหลัง
“ความตายเป็นเพียงการเริ่มต้น ดั่งผีเสื้อตัวนั้น ก็ไม่แตกต่างอะไรกับเจ้าหญิงผู้นี้” ชายคนนี้พูดขึ้น
“แกเป็นใครกัน” ทาร่อนยืนมองดูชายใส่ผ้าคลุมถือตะเกียงอยู่ข้างหนึ่ง
“ท่านจงโปรดหลีกทางและกลับไปเถอะ ข้ามาเพื่อช่วยปลดปล่อยความทุกข์ของเหล่าผู้คนและดวงวิญญาณ ฉันจะช่วยคนที่ยังไม่ถึงคราวตายเท่านั้น นั่นก็คือเจ้าหญิง” ชายคนนี้บอก
“Black Spin” ทาร่อนเขว้งกงจักรที่มีเปลวไฟสีดำใส่ ชายคนนั้นเพียงแค่ปล่อยมือจากตะเกียงและกางแขนสยายออก ทาร่อนและฮอนเน็ทตกใจทันทีที่เห็นตะเกียงนั้นลอยได้โดยไม่ต้องจับ แล้วก็มีผีเสื้อสีแดงจำนวนมากมหาศาลบินออกมาผ้าคลุมของชายคนนั้น มารวมตัวเป็นเกราะป้องกัน
“ผีเสื้อเหล่านี้คือดวงวิญญาณที่ใกล้จะได้รับการปลดปล่อยเพื่อไปสู่สุขติจากพระเจ้า ไม่มีใครที่จะสามารถทำลายเกราะแห่งดวงวิญญาณนับล้านที่รวมพลังกันได้หรอก พวกท่านจงกลับไปเสียเถอะ” ชายคนนั้นบอก

แล้วผีเสื้อแดงเหล่านั้นก็รวมตัวกันอีกครั้งก่อนที่พวกมันจะบินกระจายออก ปรากฎร่างอัศวินชุดเกราะสีแดงขนาดใหญ่พร้อมดาบที่ปักอยู่ตรงหน้า
“คิมสัน เจ้าจงขับไล่ปีศาจ 2 ตนนั้นที” ชายคนนั้นสั่ง แล้วแผ่นดินก็เริ่มสะเทือนชุดเกราะสีแดงนั้นเริ่มเปร่งประกายไฟออกมาล้อมชุดเกราะไว้ทั้งตัว
“วิชาเงามายาแยกร่าง” ทาร่อนเรียกเงามายาของตนออกมาอีก 2 ร่าง
“Soul Break Burst” ฮอนเน็ทยิงกระสุนพลังวิญญาณขนาดใหญ่โจมตีใส่ แต่คิมสันนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย แล้วมันก็ใช้มือทั้งสองข้างจับดาบขนาดใหญ่ตรงหน้าและชูขึ้นเหนือหัว แล้วธารลาวาที่ไหลอยู่ใกล้ๆก็มีลูกแม๊กม่าพุ่งขึ้นมาจากลาวาจำนวนมากโจมตีใส่ทาร่อนและฮอนเน็ท ในขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังหลบลูกไฟเหล่านั้น ดาบของคิมสันก็มีลำแสงสีแดงฉานพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ดาบทั้งเล่มปรากฏอักษรประหลาดและเต็มไปด้วยผีเสื้อสีแดงที่มีปีกเปร่งประกายเป็นเปลวเพลิงจำนวนมากมายมหาศาล
“Rising Butterfly” คิมสันก็ใช้ดาบเล่มนั้นสับลง ทาร่อนจึงรีบดึงฮอนเน็ทมาและใช้วิชาสลายตัวหนีไป

เมื่อทุกอย่างจบลง คิมสันก็เอาดาบปักลงและยืนหยัดอย่างสงบ ผีเสื้อแดงจำนวนมากต่างก็พากันบินเข้ามาล้อมร่างของคิมสันไว้ แล้วสักพักพวกมันก็บินกระจายกันออกร่างของคิมสันก็สลายหายไปแล้ว จากนั้นผีเสื้อจำนวนมากมายมหาศาลต่างก็กลับมาเข้ามาในผ้าคลุมของชายถือตะเกียง เขาเดินถือตะเกียงตรงมาที่ร่างของเจ้าหญิงชานย่าที่ไร้ซึ่งวิญญาณ
“เจ้าหญิงผู้น่าสงสาร ท่านยังไม่ถึงคราวตาย คราวตายของท่านนั้นยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่มันก็คงจะอีกไม่นาน ท่านจะตายด้วยฝีมือของชายอันเป็นที่รักและตายในอ้อมแขนของเขา” ชายคนนั้นนั่งคุกเข่าลงยกร่างของเจ้าหญิงขึ้นมาพิงบนเข่า
แล้วเขาก็ยกตะเกียงสูงขึ้นเหนือหัว แล้วผีเสื้อแดงตัวหนึ่งก็บินออกมาจากผ้าคลุม มันบินผ่านเปลวไฟในตะเกียงจนร่างของมันนั้นเต็มไปด้วยไฟ
“ข้าจะมอบชีวิตอันสั้นนี้แก่ท่าน เจ้าหญิง” แล้วผีเสื้อตัวนั้นก็บินเข้ามาเกาะที่บริเวณแผลที่ลำคอ แล้วร่างของผีเสื้อตัวนั้นก็ค่อยๆรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของเจ้าหญิงจนร่างกายของมันนั้นหายไป บาดแผลของเจ้าหญิงชานย่านั้นก็หายตามไปด้วย ชายคนนั้นยิ้มอย่างพอใจ แล้วเขาก็วางร่างของเจ้าหญิงลง ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินจากไป

-----------------------------------------------------------จบตอนที่ 48--------------------------------------------------


Title: FW V ตอนที่ 49 แผนสังหารดับทรชนเหนือโลก
Post by: !!! Unknow !!! on November 21, 2005, 10:51:14 PM
ตอน แผนสังหาร

ณ วันต่อมา ที่พระราชวัง

“อะไรนะ เมื่อคืน ทหารหลวงที่เฝ้าประตูเมืองโดนสังหารหมด” นาตาลีตกใจกับรายงานของทหาร
“ครับ หลังจากที่เปลี่ยนยามเฝ้าเวร เพียง 5 นาที พอกลับไปก็เห็นทหารของเราตายเรียบแล้วครับ” ทหารนายนั้นบอก
“วันนี้ คงมีเหตุร้ายเกิดขึ้นแน่ รีบไปบอกเหล่าทหารทั้งหมดให้ระวังมากขึ้น มีนักฆ่าฝีมือดีหลุดเข้ามาในเมือง” นาตาลีสั่งให้ทหารรีบไปประกาศ ทันทีที่ทหารนายนั้นวิ่งออกไป ก็มีทหารอีกนายวิ่งเข้ามารายงาน
“เลดี้นาตาลี เมื่อเช้า ที่นอกเขตเมืองพบเจ้าหญิงชานย่าสลบอยู่ครับ ตอนนี้ได้นำกลับมารักษาตัวในพระราชวังแล้วครับ” ทหารนายนั้นบอก นาตาลีตกใจทันที
“งั้นเจ้ากลับไปทำงานต่อเถอะ ฉันจะไปเฝ้าพระองค์เอง” นาตาลีบอกแล้วก็รีบวิ่งตรงไปที่ห้องของเจ้าหญิงชานย่า

เมื่อมาถึงประตูหน้าห้องก็พบนินายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
“นินา เจ้าหญิงอยู่ในห้องใช่มั้ย” นาตาลีถาม
“ใช่แล้วละ แต่ตอนนี้ องค์ราชินีได้ทรงโปรดที่จะอยู่ลำพังกับองค์หญิง” นินาตอบ นาตาลีก็ถ่อนหายใจแล้วก็เดินวนอยู่หน้าประตู แล้วสักพักพวกพงวิชก็เดินผ่านไปที่นั่น นาตาลีจึงรีบเดินเข้าไปหา
“เมื่อคืนองค์หญิงไปกับพวกเจ้า จงบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” นาตาลีพูดด้วยน้ำเสียงแรงรุนกระแทกกระทั้น
“อ้าวเห้ย เกิดอะไรขึ้นเหรอ” บุ๊คตกใจกับน้ำเสียงของนาตาลี
“ก็ตอนนี้องค์หญิงบาดเจ็บต้องพักอยู่ในห้อง บอกความจริงมา ไม่งั้น ข้าจะสั่งให้ทหารจับพวกเจ้าไปตัดหัว” นาตาลีบอก
“เห้ย โหดไปรึเปล่า เมื่อคืนเจ้าหญิงก็แค่พาพวกเราไปกินอาหารที่ร้านพี่หมู แล้วพวกเราก็เจอกับชายที่ชื่อ แจ๊ค เขาทำตัวเหมือนรู้จักกับเจ้าหญิง แล้วพอออกจากร้าน เจ้าหญิงก็ขอแยกตัวไปทำธุระ นอกจากนี้พวกเราไม่รู้เรื่องอีกแล้ว” แบมบูอธิบายให้เข้าใจ แต่สีหน้าของนาตาลีก็ยังเคร่งเครียดอยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้าจะลองเชื่อพวกเจ้าดู เห็นว่าเป็นเพื่อนขององค์หญิงหรอกไม่งั้น ข้าไม่ไว้แน่” นาตาลีบอกแล้วก็เดินกลับไปที่หน้าประตูห้องของเจ้าหญิงชานย่า แล้วพวกพงวิชก็เดินออกไปจากพระราชวัง ไปยังย่านชานเมือง

“แม่สาวนั่นโหดเป็นบ้าเลยจริงๆ” บุ๊คบอก
“แต่เราว่าน่ารักดีออก นิสัยยังไงไม่สน แบบนั้นอ่ะตรงสเป๊กเราเลย สวย น่ารัก ใจกล้า” พงวิชยังคงเดินเพ้อเหม่อไปเรื่อย แต่พวกเพื่อนๆที่ได้ยินต่างตกใจกับอารมณ์ของพงวิช แต่พวกเขากลับตกใจยิ่งกว่าเมื่อ...
“ฝ่ามือเมฆาล่องลอย” อรุณวิ่งเข้ามาอัดฝ่ามือโจมตีใส่พงวิช พวกเพื่อนๆต่างหลบทัน ทำให้พงวิชนั้นโดนคนเดียวไปเต็มๆ จนลอยกระเด็นไปไกล พงวิชนิ่งคาที่
“เห้ย ทำอะไรของแกวะ” บุ๊คเดินเข้ามาหาอรุณ
“จะต่อยปะละ” อรุณมองหน้า สีหน้าของอรุณทำให้บุ๊คขำกลิ้งทันที
“นั่นน่ะการทักทายของอรุณ ถ้าหลบได้แปลว่าไม่ใช่เพื่อน ถ้าไม่ยอมหลบแปลว่าเป็นเพื่อนอรุณ” นพบอก
“แล้วคิดยังไงถึงมาที่นี่” ตั้มถาม
“มีคนจ้างมาฆ่าพวกแกวะ” อรุณตอบ ทำให้พวกพงวิชตกใจค้างอยู่ชั่วขณะ
“ล้อเล่น” อรุณบอก พวกพงวิชจึงถอนหายใจ
“นึกว่าจะมาฆ่าจริงๆ” ตั้มบอกแล้วก็เดินเข้าไปสะกิดพงวิช
“แต่พวกเรามีคนจ้างมาฆ่าผู้นำระดับประเทศ ถ้าสำเร็จเราจะได้ค่าจ้าง 1 แสนโกล มัดจำไว้แล้ว 1 หมื่นโกล ส่วนพวกนายนั้นเหรอ ยังจำไอ้เด็กนั่นได้มั้ยละ ฉันเห็นมันมาที่นี่ พวกแกเตรียมตัวรับมือให้ดีละ ข้าไม่ช่วยอีกแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่องาน ไปละ” นพบอกแล้วก็เดินจากไปพร้อมอรุณ
“แล้วพงวิชละจะทำไง” ตั้มตะโกนถาม
“อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อ ปล่อยไว้สักครึ่งวันเดี๋ยวก็หาย” นพตะโกนตอบ

ที่หน้าห้องของเจ้าหญิงชานย่า องค์ราชินีเมื่อเสด็จออกมาก็ทรงเสด็จไปยังลานประกวดของงานในทันที แล้วนินาก็ตามไปอารักษ์ขาองค์ราชินี เมื่อองค์ราชินีเสด็จออกจากพระราชวังไป นาตาลีก็รีบกลับเข้าไปที่ห้องของเจ้าหญิงชานย่า
“เจ้าหญิง พระองค์ทรงสบายดีมั้ยเพค่ะ” นาตาลีแสดงความเคารพและถามขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก เมื่อคืนแค่มีชาย 2 คนเข้ามาทำร้าย แต่พอตื่นมาก็ไม่เห็นอะไรแล้ว” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“ชาย 2 คนนั้นมันรูปร่างเป็นอย่างไร หม่อมฉันจะรีบนำตัวมาลงโทษในทันที
“คนนึงเป็นเด็กถือคันธนูประหลาดๆ มัดผมจุกหน้า อีกคนผมสีแดงตั้ง มีปลอกแขนเหล็กและปลายนิ้วแหลม” เจ้าหญิงชานย่าตอบ
“องค์หญิงทรงวางใจได้ ไม่ช้านี้ ชาย 2 คนนั้นหม่อมฉันจะจับตัวมาลงโทษ” นาตาลีพูดเสร็จก็เดินออกไปจากห้องทันที

ที่ลานประกวด ณ ไดนาส สเตเดี้ยม ซึ่งใช้ปากปล่องภูเขาไฟยักษ์นั้นเป็นลานแสดง ผู้คนมากมายต่างเข้าไปรอชมกันอย่างล้นหลาย
“และนี่ก็ใกล้เวลาที่จะเริ่มการแข่งขันแล้ว ในอีกไม่ช้า องค์ราชินีมิเอล่า ก็จะเสด็จมาถึงเพื่อเปิดพิธี และบุคคลคนสำคัญอีกท่านก็คือ เจ้าชายซาร์คารอสแห่งอาณาจักรเมเทลิโอส ได้เสด็จมาเยี่ยมชมการแข่งขันในวันนี้ด้วย” โฆษกประกาศรายงานผ่านไมค์ดังไปทั่ว เหนือปากปล่องภูเขาไฟยักษ์นั้นมีแต่เรือเหาะจำนวนมาก ลอยวน และเต็มไปด้วยเสียงผู้คนจำนวนมาก และบนเรือเหาะลำหนึ่ง
“พงวิช หายจุกยัง” อิศราถาม
“ค่อยยังชั่วแล้วละ” พงวิชตอบ
“ทำไมคนแน่นจังวะ” บุ๊คบ่น
“นี่ลุง จะมาดูจะเอาตะเกียงมาถือทำไมเนี่ย มันร้อน” ปอนหันไปบ่นใส่ชายใส่ผ้าคลุมถือตะเกียง
“ขอประทานโทษคุณชายด้วยที่ทำให้ร้อน แต่ข้าเองนั้นก็มิอาจดับไฟในตะเกียงนี้ได้ ข้าจะย้ายไปยืนที่อื่นก็แล้วกัน” ชายคนนั้นตอบแล้วก็เดินหายไปในฝูงชน
“ขอทางหน่อยนะครับ ช่วยหลีกทางหน่อย” เสียงเด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นและเดินแทรกเข้ามา ทันทีที่เด็กชายคนนั้นโผล่พ้นมายังระเบียงนอกสุดได้
“พี่ชายครับ เห็นแฟนผมมั้ยครับ” เด็กชายคนนั้นถาม บุ๊คหันไปมองก็สะดุ้งตกใจทันที
“อ้าว ไอ้เด็กเวรนี่หว่า” บุ๊คตะโกนบอก พวกเพื่อนๆจึงหันมาดู
“แฟนแกเสร็จเป็นของข้าแล้วเว้ย” พงวิชบอก แล้วฮอนเน็ทก็ยื่นจมูกเข้ามาดมที่พงวิช อยู่สักพักแล้วเขาก็ตกใจทันที
“ไม่จริงนะ พัฟไม่ใช่คนแบบนั้น แกบังคับเธอใช่มั้ย” ฮอนเน็ทยกคันธนูขึ้นมาเล็งจ่อหน้าพงวิช
“ฮอนเน็ท เรามาทำงาน ไม่ใช่มานอกเรื่อง” ทาร่อนห้อยหัวจากเพดานลงมาบอก แล้วฮอนเน็ทก็กัดฟันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังคาเรือเหาะ

“และในบัดดนี้ องค์ราชินีได้เสด็จมาถึงแล้ว” โฆษกประกาศและวงดนตรีก็บรรเลงเพลงต้อนรับขึ้นทันที แล้วขบวนเรือเหาะหลวงแห่งไดนาสก็ลอยขึ้นมาจนเหนือภูเขาไฟยักษ์ แล้วองค์ราชินีและเจ้าชายซาร์คารอสก็แสดงความเคารพให้แก่กันและกัน
“ทีนี้เรามาเริ่มการแข่งขันประกวดเต้นระบำอันเร่าร้อนได้เลย” โฆษกประกาศ แล้วก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นไปทั่ว เหล่านักเต้นต่างก็ออกโชว์ลีลาการเต้นอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน และก็มีเสียงเฮ และปรบมือจากผู้ชมขึ้นเป็นระยะๆ
“นักเต้นเบอร์ 12 ลีลาเหลือร้ายจริงๆ ต่อไปนักเต้นเบอร์ 13 เธอชื่อ ยิววา ไม่ทราบแหล่งที่มาของเธอ เชิญชมการระบำของเธอได้” เมื่อโฆษกพูดเสร็จภูเขาไฟก็ปะทุขึ้นแล้วก็ดับลงปรากฏร่างของยิววายืนอยู่บนลานภูเขาไฟที่ข้างล่างนั้นเต็มไปด้วยลาวา

“ทาร่อน แม่นั่นออกมาแล้ว ยิงเลยใช่ปะ” ฮอนเน็ทถาม
“เล็งอย่าให้รอด นัดเดียวจอดเลย” ทาร่อนตอบ
“อรุณเร็วหน่อยดิวะ อ้วนแล้วอย่าชักช้า” เสียงของนพดังขึ้น ฮอนเน็ทและทาร่อนจึงหันไปมอง พออรุณกับนพปีนขึ้นมาบนหลังคาเรือเหาะได้ พวกเขาก็หันมาจ้องหน้ากันอยู่สักพัก
“แกนี่เอง” ทาร่อนชี้หน้า
“จะต่อยปะละ” อรุณบอก
“เฮ๊ย อรุณ นี่ๆๆ พวกแกอ่ะ ถูกสั่งให้มาฆ่าใคร พวกเราก็ถูกจ้างมาฆ่าคน จะไม่ฆ่าใครนอกงาน เอาเป็นว่า งานใครก็งานมัน อย่ามายุ่งเกี่ยว” นพบอก
“ในเมื่อพวกเราก็ทำงานที่เดียวกัน จะมาร่วมมือกันเลยมั้ยละ” ฮอนเน็ทถาม
“พวกเราเก็บเจ้าชายสุดหื่นนั่น แล้วแกละ” นพถาม
“ฉันก็มาฆ่าราชินีและชิงเอาลูกแก้วไฟไป” ฮอนเน็ทตอบ
“เออๆ งั้นมาร่วมมือกัน พักเรื่องเป็นศัตรูกันก่อน” นพตอบแล้วก็ปรับกระบอกปืนใหญ่แปลสภาพเป็นปืนไรเฟิลติดลำกล้องพิเศษขนาดใหญ่ที่มีกลไกซับซ้อน แล้วเขาก็มานอนราบกับพื้นตั้งปืนเล็งไปยังพระที่นั่งบนเรือเหาะส่วนตัวของเจ้าชายซาร์คารอส
“มาดูกันว่าฝีมือใครจะแม่นกว่ากัน” ฮอนเน็ทบอกแล้วก็นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งและยกคันธนูขึ้นเล็งไปยังพระที่นั่งของราชินีมิเอล่า
“รอจังหวะภูเขาไฟปะทุตอนจบอีกครั้ง” อรุณและทาร่อนพูดพร้อมกันแล้วทั้งคู่ก็หันมามองหน้า
“ลูกดอกนรกนี้ใครโดนตายสถานเดียว แม้แต่เทพ เทวดาก็ไม่รอดหรอก” ฮอนเน็ทชาร์ตพลังค้างเอาไว้

เมื่อเพลงจบยิววาจบท่าการสแดงด้วยภูเขาไฟปะทุพุ่งสูงขึ้น
“ยิง” ทาร่อนและอรุณพูดพร้อมกัน
นพยิงกระสุนสังหารจากอีกฟากของเรือเหาะเมเทลิโอส ฮอนเน็ทเองก็ยิงลูกดอกมรณะออก กระสุนของทั้งสองผ่านทะลุลาวาร้อนทะลุออกอีกฟาก ทันทีที่กระสุนนั้นทะลุออกมา นินาก็เห็นลูกศรที่พุ่งมาด้วยความเร็วจึงเอาตัวพุ่งเข้ามารับลูดอกมรณะนั้นแทนองค์ราชินี ส่วนเจ้าชายซาร์คารอสนั้นโดนกระสุนไรเฟิลยิงทะลุเข้าหัวใจ จากเสียงเฮของผู้คน เปลี่ยนกลายเป็นเสียงหวีดร้องขึ้น และแตกตื่นไปทั่ว
“หนีเว้ย” นพบอกแล้วก็รีบลุกขึ้นทันที
แล้วยิววาก็ปล่อยผมของเธอนั้นพุ่งเข้าโจมตีใส่เรือเหาะทั้งหมด จนเรือเหาะบางลำนั้นตกลงสู่พื้นข้างล่าง

แล้วจู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องของมังกรตัวหนึ่ง เสียงมันชั่งน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร เสียงของมันทำให้ผู้คนนั้นเงียบและหยุดลงทันที แม้แต่ทาร่อนเองก็ยังหนาวสันหลังทันที
“เสียง...น..น...นั่นมัน...” ทาร่อนพูดด้วยความกลัว แล้วเขาก็ตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
“ฮอนเน็ทรีบหนีไป” ทาร่อนบอกแล้วก็โยนฮอนเน็ทลงไปข้างล่าง
แล้วท้องฟ้าเหนือบริเวณนั้นก็มืดครึ้มลง แต่มีแสงสว่างนั้นสาดส่องทะลุผ่านกลุ่มเมฆส่องลงมาที่เรือเหาะขององค์ราชินี

“เกิอะไรขึ้นวะ” บุ๊คและพวกพงวิชต่างงงและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็กวาดสายตามองไปทั่วด้วยความลน แต่เห็นเพียงชายถือตะเกียงยืนนิ่งในขณะที่ผู้คนอื่นต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดกัน
แล้วก็มีดวงอาทิตย์ขนาดเล็กลอยลงมาจากฟากฟ้าเหนือเรือเหาะขององค์ราชินี ดวงอาทิตย์นั้นสาดแสงส่องสว่างไปทั่ว
“นั่นมัน” พงวิชตะลึงค้าง
“เทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์ อพอลโล่” ชายถือตะเกียงบอก

-------------------------------------------------------จบตอนที่ 49-------------------------------------------------------


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on November 26, 2005, 07:17:41 AM
แต่งได้ดีครับ น่าติดตามและนำเสนอได้ดีครับ แต่อยากให้ระวังคำเชื่อมเนื้อหานิด อย่างคำว่า "แล้ว" ที่ปรากฏบางจุดมากเกินไปแล้วทำให้อารมณ์สะดุดเล็กน้อยได้ครับ  :D


Title: FANTASY WORLD V : The Last Chapter
Post by: !!! Unknow !!! on November 26, 2005, 01:35:31 PM
ตอน ลาก่อน

แสงแห่งเทพอพอลโล่ส่องสว่างไปทั่ว เทพเจ้าอพอลโล่ค่อยๆสยายปีกกางออกเกิดเป็นคลื่นไฟตีแผ่กระจายออกไป ดวงอาทิตย์ที่ห่อหุ้มนั้นที่จริงแล้วก็คือปีกของอพอลโล่นั่นเอง ภายในมีชายใส่ชุดขาวเบาบางมีปีกขนาดใหญ่มากยืนหลับตานิ่ง ยิววาเห็นจึงใช้เส้นผมของเธอโจมตี แต่ทันทีโจมตีนั้น เส้นผมของเธอก็รุกเป็นไฟไหม้ขึ้น
“ยิววาหนี ที่นี่ไม่ปลอดภัย” ทาร่อนบอก แล้วเสียงของมังกรลึกลับนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทาร่อนขาชาขยับไม่ได้ เขาจึงค่อยๆหันกลับไปและออกแรงสุดท้ายยกเท้ากระโดดหลบไปข้างๆ ทำให้เขานั้นรอดจากการโจมตีของมังกรดำลึกลับตัวนั้น
“มังกรดำนั่น” พงวิชเห็นก็รู้ทันที
“แล้วมันละ” บุ๊คมองหา
ส่วนยิววาเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ไหวเธอก็วิ่งไปที่จะกระโดดลงไปจากปากปล่องภูเขาไฟ แต่ทันทีที่เธอหันหลัง เธอก็เห็นชายชุดดำยืนขว้างอยู่เบื้องหน้า
“Demon Hole” ชายชุดดำร่ายมนต์เปิดประตูปีศาจ ดูดทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นเข้าไป เทพเจ้าอพอลโล่ใช้ปีกขนาดใหญ่โอบเรือเหาะองค์ราชินีไว้ ส่วนพวกพงวิชนั้นโดนพลัดตกลงมาข้างล่างยังลานภูเขาไฟ
“ปีกเทพสวรรค์โปรดคุ้มครองลูกด้วย Angel Wing” อิศราร่ายมนต์เรียกปีกเทพออกมาโอบล้อมพวกเขาทั้ง 7 ไว้ แล้วเรือเหาะของพวกพงวิชและยิววาต่างถูกดูดหายเข้าไปในประตูปีศาจ แล้วประตูนั้นก็ปิดลง

“เยริ ฟอรีมัส เดคิซัส เยอุส ด้วยแสงมรณะแห่งบิดา...” ในทันทีที่ชายชุดดำกำลังท่องคาถาร่ายเวทย์มนต์ก็มีเสียงปืนดังขึ้น กระสุนตรงเข้าที่ท้องของชายชุดดำ
“แค้นนี้ต้องชำระ ที่เหลือจัดการเองนะ ไอ้หนู” แจ๊คเป่าควันจากปากกระบอกปืนแล้วเขาก็เดินกลับลงไปจากลานภูเขาไฟ
“ยิงเอาง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ” พงวิชยังงง พอเขาเห็นกลับไปมองที่ชายชุดดำก็เห็นร่างของชายชุดดำล้มคุกเข่าลง
“เล่นมันเลยเปล่า” ปอนหันมาถามเพื่อนๆ
“เอาทีเดียวพร้อมกันเลย เอาแบบสิ้นใจไปเลยนะ พวก” พงวิชชักดาบอีฟริตออกมา แล้วเพื่อนๆต่างก็พยักหน้าตกลงกันในความคิด
“Meteor” ตั้มร่ายเวทย์มนต์เรียกอุกกาบาตขนาดเล็กลูกหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้าโจมตีใส่ชายชุดดำ แต่ทันทีที่อุกกาบาตจะตกถึงพื้นก็มีวงเวทย์โบราณเรืองแสงขึ้นรอบๆชายชุดดำ เมื่ออุกกาบาตนั้นตกใส่ ก็มีสนามพลังพุ่งขึ้นมาป้องกัน ทำให้พวกพงวิชตกใจ
“งั้นเวทย์มนต์ ไสยศาสตร์ไม่ได้ผล เอาระเบิดไปกินไป๊” ปอนเขว้งระเบิดใส่ แต่ระเบิดนั้นกลับเด้งออกมาทันทีที่ชนกับสนามพลัง พวกพงวิชตกใจหนัก พอได้สติพวกเขาต่างก็วิ่งหนีหลบระเบิด
“บ้าแล้วโว๊ย” บุ๊ควิ่งเข้าไปพร้อมกับเอาโล่เฟียเรียสตบใส่สนามพลังนั้น แต่เขากลับกระเด็นออกมาอย่างแรง
“มาดิเรส ฟอดิส เดริ สเปว” ชายถือตะเกียงร่ายคาถาโบราณสลายสนามพลังนั้น พวกพงวิชตกใจทันทีเมื่อรู้ว่าชายถือตะเกียงพูดภาษาโบราณได้
“พงวิช จัดการมันเลยดิ” ตั้มสั่ง พงวิชก็พยักหน้าแล้วเขาก็จับดาบแน่น
“เดี๋ยวก่อน ท่านจงอย่าได้คิดที่จะจัดการชายผู้นั้นด้วยมือเปล่าเลย ชายผู้นั้นทรงพลังยิ่งเหนือกว่าสิ่งใด เราต้องรวมพลังกัน ท่านชายที่ถือดาบอีฟริตเล่มนั้น โปรดท่องคาถาตาม ข้าพเจ้าเถอะ” ชายถือตะเกียงบอก พงวิชเองก็ยังสงสัยว่าทำไมแต่เขาก็ลองทำดู ชายถือตะเกียงจึงปล่อยมือจากตะเกียงให้ลอยอยู่ในระดับหน้าและเขาก็กางแขนออก

“เยนอส” พงวิชและชายถือตะเกียงพูดพร้อมกัน ทันทีที่พงวิชพูดออกมา ต่างทำให้เพื่อนๆตกใจกันว่าทำไมถึงพูดออกมาได้
“คิสามอส” ทั้งคู่ต่างพูดกันต่อ แล้วตั้มก็เหลือบไปเห็นชายชุดดำที่ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“อีฟิรอส” ทั้งคู่หลับตาลงและท่องคาถาต่อ
“กาดิออรุส เทพพิทักษ์แห่งอพอลโล่ ถล่มชายผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าบัดเดี๋ยวนี้” พงวิชและชายถืองตะเกียงชี้ไปทางชายชุดดำ หลังจากนั้นก็มีผู้เสื้อแดงจำนวนมากพุ่งออกมาจากแขนเสื้อชายถือตะเกียงพุ่งตรงไปยังชายชุดดำ ส่วนพงวิชนั้นปรากฏชายสูสง่างามมีเปลวไฟรุกขึ้นออกมาจากตัวในบางส่วนพุ่งออกจากตัวพงวิชไปพร้อมกับถือดาบอีฟริต ผีเสื้อแดงและมนุษย์ไฟนั้นพุ่งเข้าโจมตีใส่ชายชุดดำพร้อมๆกัน ทันทีที่เข้าใกล้กลุ่มผีเสื้อแดงก็รวมตัวและปรากฏร่างคิมสันออกมา
“ดาบเพลิงสุริยัน เผามารจนมอดสิ้น Holy Sun Sword” คิมสันและอีฟริตใช้ดาบของตนฟันลงใส่ชายชุดดำพร้อมกัน จนเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกมากระจายไปทั่ว

เมื่อเปลวเพลิงนั้นดับลงและหายไป พวกพงวิชและชายถือตะเกียงต่างตะลึง ชายชุดดำใช้มือทั้งสองรับดาบของเทพพิทักษ์แห่งอพอลโล่ไว้ แต่ในมือของชายชุดดำนั้นมีเลือดไหลหยดออกมา
“Thousand Flame” อีฟริตใช้ดาบไฟแทงใส่ชายชุดดำพันครั้ง แต่ชายชุดดำก็หลบได้หมด
“Crimson Strike” คิมสันใช้ดาบเพลิงผีเสื้อแทงเข้าที่หน้าของชายชุดดำจนกระเด็นออกไป
“ชนะแน่โว๊ยวันนี้” พวกพงวิชต่างวิ่งเข้ามาดีใจกัน

แต่แล้วพวกเขากลับต้องหยุดดีใจ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของชายชุดดำดังขึ้นพร้อมกับเขาค่อยๆลุกขึ้น ใบหน้าของเขานั้นมีเลือดไหลนอง
“นานมาแล้วที่ข้าไม่เคยได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด ขอบใจพวกแกมากที่ช่วยเตือนสติให้ข้านั้นไม่ประมาท…” ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้นเงาของเขาก็มีไฟสีดำค่อยๆรุกขึ้นท่วมร่างของเขา เขาดึงแว่นเลเซอร์ออกก่อนที่ไฟดำจะท่วมร่าง ทันทีที่ไฟนั้นคอบคลุมชายชุดดำจนร่างของเขานั้นเป็นเปลวเพลิงสีดำไปแล้ว ก็มีเพียงแต่แววตาสีขาวอันน่ากลัวที่เปร่งออกมาให้เห็น
“ท่านพญามาร ด้วยคำขอจากเจ้าแห่งสุริยาแล้ว ข้าขอให้ท่านจงกลับไปเถอะ” เสียงอันหวานคมของเทพเจ้าอพอลโล่ดังขึ้นพร้อมกับสยายปีกออก
“แน่นอน แต่ข้าจะกลับหลังจากที่เจ้าต้านพลังข้าได้เท่านั้น” พญามารก้มตัวลงแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับปีกมารทั้ง 8
“ชแว็ป ท่านเทพอพอลโล่” เสียงอันแหลมดังขึ้น แล้วก็ปรากฏร่างของเทพองค์หนึ่ง
“ข้ามีนามชื่อ เยรูซา ข้านำคำบัญชาจากพระองค์เจ้ามาบอกกล่าวให้พวกท่านฟัง ในนามตัวแทนแห่งพระองค์เจ้า ข้าขอให้พญามารจงยกเลิกการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ฉะนั้นตัวข้าและผู้พิทักษ์อีก 4 องค์จะสาปแช่งท่าน” เยรูซาอ่านคำบัญชานั้นเสร็จก็สลายหายไป
“จำคำทำนายของข้าไว้ให้ดีไอ้พวกเทพทั้งหลาย หลังจากนี้ 5 ปี ข้าจะเป็นหนึ่งเดียวในโลกทั้ง 9 ที่จะไม่มีใครกล้ามาขัดข้อต่อข้า และพวกเจ้าข้าจะจับลงโทษประหารทั้งหมด ถึงแม้ใน 5 ปี ข้างหน้าข้าจะไม่ใช่หนึ่งเดียวในโลกทั้ง 9 แต่มาร์คัสพวกเจ้าไม่รอดแน่ เขาจะกลับมาแก้แค้นที่พวกแกทำกับเขาไว้” พญามารตะโกนพร้อมกับชี้ด่าขึ้นไปบนท้องฟ้าเสร็จก็สลายกลายเป็นควันจางหายไป

“มันจบแล้วละ” ชายถือตะเกียงบอกแล้วคิมสันก็สลายไปกลายเป็นผีเสื้อแดงบินกลับเข้าไปในแขนเสื้อของชายถือตะเกียง
“เออใช่ ท่านพูดภาษาโบราณได้ ท่านช่วยแม่ชีผู้นี้ที” แบมบูบอกแล้วก็อุ้มร่างของแม่ชีมา
“นั่นไงเลือดของชายชุดดำที่เปื้อนอยู่บนดาบอีฟริต มันใช้ในการรักษาได้” แบมบูชี้
“งั้นข้าจะช่วยแม่ชีผู้นี้เอง” ชายถือตะเกียงบอก แล้วเขาก็ชูตะเกียงเหนือหัวแม่ชี
“โวเรที มะลาราส รีเวิส แค” ทันทีที่ชายถือตะเกียงร่ายมนต์เสร็จน้ำของชายชุดดำก็กลับใสสะอาดเป็นน้ำบริสุทธิ์ไหลลงบนหน้าของแม่ชี สักพักแม่ชีเกลวารีนก็ฟื้นขึ้นกลับกลายเป็นปกติ

“ขอบใจมากนะ” แบมบูวิ่งเข้ามากอดชายถือตะเกียง แล้วเขาก็กลับไปพยุงร่างของแม่ชีเอาไว้
“แบมบูจะไปไหนอ่า” ตั้มถาม
“เออ เค้าก็คิดว่าจะพาแม่ชีกลับไปยังโบถส์ที่เวเอร่าก่อน พวกนายจะไปไหนละ” แบมบูหันมาตอบ
“ไปหมู่บ้านอินเดท แล้วเจอกันที่นั่นนะ” ตั้มบอกแล้วพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไป เทพเจ้าอพอลโล่ก็กระพือปีกอีกครั้งปลดปล่อยกลุ่มเมฆฟ้าอันมืดทึบให้กลับมาแจ่มใสดังเดิมและองค์ท่านก็ลอยกลับขึ้นไปยังดวงอาทิตย์

หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกันไปนั้น พวกพงวิชก็ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนอย่างมีความสุข พวกเขาออกเดินทางไปเรื่อยๆ มิตรภาพของพวกเขาสร้างพลังในการนำพาให้พวกเขาก้าวหน้าเดินต่อไป ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ก็ตาม ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ที่ไดนาส 1 อาทิตย์ พวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านอินเดท เขาได้พบกับเหล่าเพื่อนสาวที่พามาย่ามารักษา จากนั้นพวกเขาทั้ง 6 ต่างก็ตกลงที่จะหยุดการเดินทางมาพักผ่อนในหมู่บ้านเล็กอันแสนจะสงบ ชีวิตของพวกเขาสดใสเหมือนดอกไม้บานในยามเช้า แต่หลังจากที่พวกเขานั้นได้ใช้ชีวิตกันอย่างแสนสุขได้ 6 เดือน พวกเขาต่างก็มาปรึกษากันและตกลงใจกันที่จะแยกทางออกไปผจญในทางใครทางมัน โดยมีโทรศัพท์มือถือไว้คอยสื่อสารหากันในยามคิดถึง และพวกเขาก็ยังต้องการที่จะนำประสบการณ์เก่ามาใช้และศึกษาประสบการณ์ใหม่ในชีวิตข้างหน้า

แต่ในทางเดียวกัน ในโลกลึกลับที่ชายคนหนึ่งเดินไปทั่วจนไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกไม้ไปหมด เขาท้อแท้และหมดหวังกำลังใจ เขาเดินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดวันแล้ววันเล่าเป็นเวลาหลายเดือน จนเขามาเจอกับต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาทั้งท้อทั้งเหนื่อยทั้งหิวและอ่อนล้าจึงหยุดพักและวางร่างของน้องสาวผู้จากไปไม่หวนคืนลงบนตักของเขา สายลมที่พัดมาอันแพร่วเบาทำให้เขานั้นรู้สึกเย็นสบาย
“แอริส ทิวทัศน์ในตอนนี้มันสวยงามมากจริงๆ” มาร์คัสมองไปรอบๆและหยิบเศษขนมปังที่แอริสทำชิ้นเล็กๆชิ้นสุดท้ายที่เท่าหัวนิ้วก้อยขึ้นมา แต่พอเขาก้มลงมองน้องสาวตน เขาแทบกั้นน้ำตาไม่ได้จนไหลออกมาเมื่อนึกถึงความหลังอันดีและแสนสนุกที่มีต่อน้องสาว
“แอริส” เขาร้องไห้อยู่สักพัก ไม่นานักเขาก็หยุดสะอึ้งและปาดน้ำตาออก
“หลับให้สบายเถอะน้องรัก” เมื่อสิ้นเสียงของพี่ชายที่แสนดีแล้วนั้น เขาก็หลับตาลงพร้อมกับน้ำตาไหลออกมาและไม่ยอมตื่นขึ้นอีกเลย สองพี่น้องคู่นี้ได้จากลาโลกทั้ง 9 ไป อยู่กันเพียงลำพังบนโลกที่ 10 ที่มีเขาทั้งสองมีคู่เดียว

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

และแล้ว นิยายเรื่องใหญ่ของผมในภาค 5 นี้ก็สิ้นสุดและจบลงในตอนที่ 50 พอดี เนื้อเรื่องต่อจากนี้จะเป็นภาคที่ 6 ซึ่ง 2 ภาคนี้จะทำเนื้อเรื่องออกมาเชื่อมต่อกัน และในภาค 6 จะมีการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น ความล้ำสมัยในเทคโนโลยีผสมผสานไปกับเวทย์มนต์ต่างในแบบฉบับ Fantasy World

โปรดติดตามชมนิยายเรื่องต่อจากนี้ได้ในภาค 6 นะคร๊าบ


THE END
[/size]


Title: Re:FANTASY WORLD V
Post by: Nihil on November 28, 2005, 09:26:59 PM
โอ้วจบแล้ว ยาวดีจริง ๆ ตอนจบเหมือนรวบรัดไปนิดแต่ก็ลงตัวตามแบบฉบับที่มันควรจะเป็นดีครับ  :D