Title: @@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 25, 2005, 04:29:28 AM Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง ที่บริเวณทุ่งราบคีรา การรบของอาณาจักรทั้งสองกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างโรมรันฟาดฟันใส่กันจนทั่วทั้งสนามรบแทบจะลุกเป็นไฟ กองทัพเพลิงที่มีทหารผีนรกนับหมื่นตัวเป็นกำลังสำคัญบุกตะลุยไล่ฆ่าฟันกัดกินฉีกทึ้งอัศวินฟีเลเซียอย่างโหดเหี้ยม ทั้งกองกำลังนกโมฮา มือเพชฌฆาตแห่งซาโลม นักรบเพลิงมาร นักรบเผ่ามอร์ ผู้ฝึกสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดนานาชนิดก็เข้าโรมรันพันตูเต็มกำลัง ในขณะที่กองทัพแห่งสายลมเองก็ยืนหยัดต่อกรพร้อมด้วยกำลังพลเต็มอัตราศึก ทั้งม้าศึก รถรบ ทัพนก ทัพมังกร พลธนู ทัพอัศวิน ผู้ฝึกสัตว์ป่าและมังกรหลากสายพันธุ์ พลม้าของฟีเลเซียทะยานรุกไล่ข้าศึก เสียงร้องคำรามของเหล่าทหารปีศาจดังสั่นอื้ออึงสลับกับเสียงศัตราวุธและพลสัตว์พลมังกรสนั่นทุ่ง รถศึกที่ควบตะลุยบุกอริราชศัตรูรวดเร็วปานพายุพัดกระหน่ำไอเปลวเพลิงอันร้อนฉ่า ฝ่ายทัพมือเพชฌฆาตต่างออกไล่ล่าบดขยี้หัวศัตรู นักรบเพลิงมารร่างยักษ์ก็วิ่งไล่เหวี่ยงสะบัดคมดาบใส่ทั้งมนุษย์ กริฟฟิน และ ฝูงวิหคไม่ยั้งจนดูเหมือนว่ายิ่งเห็นศัตรูก็ยิ่งคลั่งอาละวาด บริเวณใกล้กับที่มั่นของทัพฟีเลเซียมีก้อนหินขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าตัวคนตั้งอยู่ บนก้อนหินนั้นจอมทัพแห่งสายลม ชาร์ล คลาแรนซ์ยืนตระหง่านในมือกำกระชับดาบคูนีกุนเดที่อาบเลือดสีแดงฉาน ชุดเกราะของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือดจนแทบชโลมไปทั้งตัว ทว่าหาใช่เลือดของเขาไม่หากแต่เป็นเลือดของเหล่าทหารปีศาจและทหารฝ่ายซาโลมต่างหาก สายตาจอมทัพหนุ่มกวาดไปทั่วทั้งสนามรบดูเหมือนว่าเขากำลังมองหาใครสักคน ให้ตายเถอะ ตั้งแต่รบมานี่ก็หลายชั่วยามแล้วข้ายังไม่เห็นกษัตริย์ซาดินอะไรนั่นเลย ชาร์ลขมวดคิ้วแน่นกวาดตาไปยังแนวหลังของทัพข้าศึก ท่านแม่ทัพ! เสียงตะโกนเรียกของทหารฟีเลเซียจากทางปีกขวาทำให้เขารีบหันกลับโดยเร็ว ที่ทางปีกขวานั้นกองทัพผีนรกฝูงหนึ่งไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตัวกำลังวิ่งรุกไล่ทัพอัศวินที่กำลังถอยร่นหนีมาทางชาร์ลอย่างคลั่งโหย ทันทีที่ชาร์ลตวัดดาบโจนตัวพุ่งออกจากก้อนหินยักษ์ เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อสักครู่ก็กลับพร้อมใจกันวิ่งกระจายตัวออกจากบริเวณนั้นทั้งทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว แท้ที่จริงแล้วนี่คืออุบายของทัพฟีเลเซียที่จะตัดกำลังทัพปีศาจของซาโลมโดยการหลอกล่อทหารผีนรกให้เข้ามาในเขตทัพฟีเลเซียนั่นเอง จอมทัพฟีเลเซียพุ่งตัวปานลมกรดตวัดดาบกวาดแถวผีร้ายทั้งซ้ายและขวา ดาบถูกสะบัดฟาดฟันใส่ไม่ยั้ง ลมที่เกิดจากคมดาบพัดพาเอากลิ่นสาบเน่าของซากศพและกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนจนแสบจมูกขจรขจาย แสงสะท้อนแวบวับของดาบคูนีกุนเดยามกวัดแกว่งแลดูเหมือนท้องฟ้ามืดทะมึนที่มีแสงแลบแปลบปลาบเมื่อพายุคะนอง เสียงหักกรอบของกระดูก เสียงเลือดปีศาจที่เดือดพล่านด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ และเสียงร้องคำรามโหยหวนแหบแหลมของผีร้ายดังสนั่นก้อง ร่างของทหารปีศาจถูกตัดขาดสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นดิน ไอควันจากเลือดปีศาจที่เดือดพล่านพวยพุ่งดั่งม่านหมอกกำมะถันที่แสบฉุน ไม่มีทหารฟีเลเซียคนไหนกล้าอยู่ใกล้รัศมีคมดาบคูนีกุนเดแม้สักคน ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพเผาผลาญอำนาจมืดเมื่อยิ่งเสริมด้วยความแข็งแกร่งและว่องไวปานลมกรดของจอมทัพแห่งสายลมแล้วทำให้พลังอำนาจในการทำลายล้างนั้นเข้าขั้นมหากาฬ ครั้นเมื่อการลงดาบครั้งสุดท้ายมาถึงก็ไม่มีร่างของทหารปีศาจหลงเหลืออยู่แม้สักตัว จะมีก็แต่เสียงฉู่ฉ่าของเลือดปีศาจที่เดือดพล่านและเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ปูเป็นพรมเลือดชโลมดิน ชาร์ลสะบัดเลือดทหารผีออกจากดาบคูนีกุนเดแล้วจึงกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่อีกครั้งรอทัพอัศวินที่ออกไปหลอกล่อทหารปีศาจชุดต่อไป แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอุบายเช่นนี้คงใช้ได้อีกไม่นานแต่การจะกำจัดทหารปีศาจคราวละมากๆเช่นนี้คงมีไม่กี่วิธีนัก สมองของเขายังคงคิดหาอุบายใหม่ๆในขณะที่สายตาก็ยังคงค้นหาจอมกษัตริย์เถื่อน รองแม่ทัพนายหนึ่งควบม้าเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว ท่านแม่ทัพ เรายังหาตัวกษัตริย์ฝ่ายโน้นไม่พบเลยครับ หรือว่ามันจะกลัวจนไม่กล้ามาพร้อมกับกองทัพ ข่าวว่ากษัตริย์ฝ่ายโน้นเก่งกล้าสามารถนัก ปราบแว่นแคว้นทั้งน้อยใหญ่ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่น่าจะตาขาว...สั่งค้นหาต่อไป ดูสิว่ามันจะทนแอบซุ่มไปได้สักกี่น้ำ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 25, 2005, 04:30:26 AM ทันใดนั้นเสียงแตรเงินแห่งกองทัพเปกาซัสก็แผดดังกังวานจากทางตะวันตกพร้อมกับฝูงทัพเปกาซัสที่เส้นขอบฟ้าบินแผ่เรียงราวกับปีกพญาอินทรีใหญ่ เสียงแตรก้านยาวนับร้อยก็ดังขานรับการมาของทัพเปกาซัสกระหึ่มทุ่งคีราแทบจะพร้อมกัน เหล่าอัศวินแห่งฟีเลเซียต่างโห่ร้องก้องด้วยความปิติยินดี ชัยชนะที่เมืองเอรีมนำรอยยิ้มแตะแต้มบนใบหน้า สายลมแห่งความหวังและกำลังใจโหมพัดกระพืออยู่ในใจของทหารหาญทุกคน แม้แต่ชาร์ลเองก็ยิ้มอย่างโล่งใจเมื่อเห็นทัพเปกาซัสผงาดอยู่กลางเวหา จอมทัพหนุ่มควงคูนีกุนเดเป็นสัญญาณพร้อมกับการบุกตีทัพเพลิงทมิฬหนักหน่วงยิ่งขึ้น เสียงเฮโลเข้าตะลุยบอนดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง ต่างควบม้าและรถศึกไล่สังหารผู้รุกรานอย่างไม่กริ่งเกรง ทัพเปกาซัสเองก็ขานรับคำบัญชาของชาร์ลเช่นกัน เมื่อต่างพุ่งโฉบไล่ต้อนกองทัพซาโลมดั่งฝูงเหยี่ยวจู่โจมเหยื่อ กองทัพเพลิงดูจะผงะล่าถอยด้วยความตระหนกที่จู่ๆกองทัพแห่งลมก็โหมกระหน่ำรุกคืบเข้าต่อตีด้วยพลังใจที่หลั่งไหลท่วมท้น ทหารผีนรกก็ถูกทำลายล้างจนเหลือจำนวนไม่ถึงสองในสามจากเมื่อตอนยกทัพมา และกำลังลดจำนวนลงเรื่อยๆ
ขณะที่ทัพฟีเลเซียกำลังรุกไล่หนักอย่างเป็นต่อ แต่แล้วในบัดดลนั้นทัพซาโลมที่ดูเหมือนกำลังเพลี่ยงพล้ำระส่ำระสาย ฉับพลันเสียงระรัวกลองรบก็ดังกังวานถี่รัวเร้าใจ เสียงไชโยโห่ร้องจากทัพซาโลมดังสั่นก้องจนพื้นสะเทือน ความฮึกเหิมส่งผลให้เกิดพลังตีโต้กลับด้วยแรงมหาศาล เสียงแผดคำรามทุ้มกังวานของมังกรซาลามันเดอล่าก้องสะท้อนไปทั่วสนามรบ ครั้นแล้วจากทิศทางใดมิอาจรู้ได้ จู่ๆกษัตริย์ซาดินในชุดศึกเต็มยศสีแดงเพลิงบนหลังมังกรซาลามันเดอล่าก็ปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือสนามรบโฉบมังกรบินผงาดอยู่เหนือกองทัพแห่งเพลิง มือข้างหนึ่งกระชับสายบังเหี้ยนในขณะที่มืออีกข้างก็ชูกระบองคู่ใจขึ้นเหนือศีรษะรับเสียงไชโยโห่ร้องต้อนรับจากบรรดาทหารซาโลม เหล่าทหารหาญแห่งฟีเลเซียต่างก็เหลือบชำเลืองมองกษัตริย์แห่งเพลิงผู้นี้ เพราะต่างก็อยากจะเห็นโฉมหน้าของบุรุษผู้ที่ชื่อจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งเมอริเซียว่าเป็นผู้อาจหาญก่อมหาสงครามครั้งนี้ ชาร์ล คลาแรนซ์ ตวัดคูนีกุนเดชี้ตรงไปยังกษัตริย์ซาดินอย่างท้าทายหมายจะประลองกับกษัตริย์เมืองเถื่อนให้รู้ผลชี้ขาดกันในเพลงยุทธ์เดียว ทว่ากษัตริย์ซาดินกลับมีทีท่าไม่สนใจการท้าทายของจอมทัพแห่งฟีเลเซียแม้แต่น้อย กษัตริย์เถื่อนเพียงแค่มองจ้องตอบด้วยดวงตาหรี่แคบที่อ่านไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเบนสายตาไปยังกลุ่มนักรบเปกาซัสเบื้องหน้า แม้การท้าทายจะไม่ได้รับการตอบสนองแต่จอมทัพหนุ่มก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ จึงให้สัญญาณทัพเปกาซัสทำการกดดันกษัตริย์ซาดินให้ลงมาต่อสู้บนพื้นดินให้ได้ ทันทีที่ได้รับคำสั่ง โรน่า แม่ทัพเปกาซัสก็นำทัพเปกาซัสจำนวนหนึ่งเข้าล้อมกรอบซาดินทันที พร้อมกับประกาศด้วยเสียงอันดัง กษัตริย์แห่งซาโลม เราคือโรน่า แม่ทัพเปกาซัสแห่งอาณาจักรฟีเลเซีย ท่านจอมทัพชาร์ล คลาแรนซ์หมายจะประลองยุทธกับท่านเพื่อชี้ขาดสงครามแห่งทุ่งคีรานี้ หากท่านไม่ยินยอมรับคำเชิญแต่โดยดี... โรน่าควงตวัดหอกชี้หน้าซาดินอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายกล้า เราจะทำให้ท่านรับคำเชิญเอง แต่แล้วคำท้าทายของเธอนอกจากกษัตริย์เถื่อนผู้นี้จะไม่แยแสแล้ว กลับหัวเราะในลำคออย่างคนถูกใจอะไรสักอย่าง ซ้ำยังหลิ่วตาพินิจพิจารณาเครื่องหน้าของเธออย่างเปิดเผยอีกด้วย แม่ทัพเปกาซัสผู้นี้มิใช่หญิงสาวที่มีดวงหน้าสวยงามเป็นเลิศ ทว่าเครื่องหน้าแต่ละส่วนของเธอเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วกลับดูมีเสน่ห์ชวนมองอยู่ไม่น้อย แต่เธอมิใช่หญิงที่ชอบหว่านเสน่ห์และออกจะเกลียดผู้ชายที่มีท่าทางเจ้าชู้เสียด้วย ดังนั้นแม่เสือสาวแห่งฟีเลเซียจึงโกรธจนแทบเก็บอารมณ์ไม่อยู่เมื่อถูกดูหมิ่นด้วยกริยากะลิ้มกะเหลี่ยหยาบคายเช่นนี้ โรน่าไม่รอช้าสั่งการให้ทัพเปกาซัสโจมตีทันที ฝูงทัพอัศวินเปกาซัสต่างก็พุ่งโฉบบินฉวัดเฉวียนเวียนผลัดกันโจมตีใส่กษัตริย์ซาดินจากทุกทิศทุกทางด้วยความรวดเร็ว ซาดินใช้กระบองกระทุ้งที่หลังซาลามันเดอล่าเบาๆเป็นสัญญาณ มังกรซาลามันเดอล่าก็ส่ายสะบัดคอพ่นเปลวเพลิงร้อนฉ่าใส่ฝูงบินเปกาซัสทันทีเช่นกัน ทำให้วงล้อมของทัพเปกาซัสแตกกระจายออกเพราะหลบเปลวไฟ ครั้นแล้วซาดินก็โฉบมังกรพุ่งทะยานขึ้นฟ้าหมายจะสลัดให้พ้นจากการล้อมกรอบ โดยหลอกล่อให้เหล่าอัศวินเปกาซัสแตกกลุ่มและบินลุกไล่ตามเขาไป แต่แล้วจู่ๆซาดินก็กลับตัวขี่ซาลามันเดอล่าบินย้อนกลับในแนวดิ่งพลางควงกระบองฟาดใส่ฝูงเปกาซัสที่บินตามเขาขึ้นมาคนแล้วคนเล่าจนต้องชักเปกาซัสหลบเป็นพัลวัน ในขณะที่บางคนก็ต้องรีบโฉบเปกาซัสเข้าช่วยเหลือเพื่อนที่ถูกฟาดตกจากหลังเปกาซัสอย่างทุลักทุเล อัศวินเปกาซัสเคราะห์ร้ายบางคนถูกฟาดใส่อย่างจังจนร่างลอยละลิ่วไปไกลเกินกว่าจะช่วยไว้ได้ทัน ทำให้ร่างร่วงดิ่งหายไปในคลื่นสงครามเบื้องล่างอย่างน่าอนาถ Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 25, 2005, 04:31:39 AM ในทันทีทันใดนั้น ซาดินก็ชักซาลามันเดอล่าตรงเข้าหาโรน่าทันที โรน่ารีบตวัดปลายหอกปัดป้องกระบองของซาดินพลางชักเปกาซัสคู่ใจหมุนอ้อมหลบอย่างรวดเร็ว บรรดาอัศวินเปกาซัสที่บินโฉบอยู่โดยรอบพยายามหาจังหวะเข้าจู่โจมซาดินอย่างเต็มกำลัง แต่ทว่าซาดินกลับใช้ซาลามันเดอล่าพ่นเปลวเพลิงขับไล่ไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ได้เลย แล้วการต่อสู้ระหว่างกษัตริย์ซาดินแห่งซาโลมและโรน่าแม่ทัพเปกาซัสแห่งฟีเลเซียจึงเริ่มขึ้น โรน่าซึ่งแม้พละกำลังจะเทียบเท่าซาดินไม่ได้เลย แต่ก็อาศัยความปราดเปรียวว่องไวกว่าคอยพุ่งโฉบเข้าจู่โจม ในขณะที่ซาดินแทบจะไม่เป็นฝ่ายบุกเอาเสียเลยเพียงแต่คอยตั้งรับการจู่โจมในแต่ละครั้งเท่านั้น ความว่องไวของโรน่าดูจะทำให้ซาดินเกือบเพลี่ยงพล้ำและเปิดช่องให้แม่เสือสาวสามารถเข้าโจมตีในระยะประชิดอยู่หลายครั้ง แต่แล้วซาดินก็กลับสามารถรับการโจมตีได้ทุกครั้งเช่นกัน
จอมทัพ ชาร์ล คลาแรนซ์ ผู้ซึ่งจับตาดูการประมือของทั้งสองอยู่ตั้งแต่ต้นกลับมองการต่อสู้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความฉงน อากัปกริยาทั้งท่วงท่าในการออกอาวุธในแต่ละครั้งของกษัตริย์เถื่อนผู้นี้ดูช่างไม่ต่างกับนักล่าที่กำลังสนุกสนานกับการหยอกล้อเหยื่อของตน S ภายในเมืองเอรีมเวลานี้ทุกฝ่ายต่างก็กำลังสาละวนอยู่กับการพยาบาลทหารที่บาดเจ็บ และเร่งซ่อมแซมเมืองเป็นการด่วน ทุกคนดูจะวุ่นวายและไม่มีเวลาหยุดพูดคุยเรื่องไร้สาระหรือแม้จะพักมือจากหน้าที่การงานของตน ชาวฟีเลเซียมีลักษณะโดดเด่นที่ดีอีกอย่างก็คือพวกเขาจะฟื้นฟูบ้านเมืองได้เร็วเพราะพวกเขาไม่ยอมให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งหญิงและชายจะแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบและลงมือปฏิบัติทันทีที่ได้รับมอบหมายงาน ขณะที่ซิกมันต์ออกตรวจงานต่างๆภายในเมืองเรียบร้อยแล้ว และกำลังขี่ม้ากลับเข้าวังที่ประทับ มหาดเล็กนายหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงาน ฝ่าบาท หน่วยค้นหาแจ้งว่ายังไม่พบซากของแม่ทัพฝ่ายซาโลมเลยพ่ะย่ะค่ะ สั่งค้นหาต่อไป ต่อให้ต้องพลิกสนามรบก็ต้องหาให้เจอ ซิกมันต์ ขมวดคิ้วเข้าหากัน สั่งเสียงเฉียบทันที ก่อนจะชักม้าบ่ายหน้าเข้าที่พัก ฝ่าบาท มหาดเล็กร้องทัดทาน ซึ่งทำให้ซิกมันต์ต้องชักม้าหยุดและหันมามองอย่างสงสัย หน่วยสอดแนมจากเมืองวอลเนียมาขอเข้าเฝ้าเพื่อแจ้งข่าวด่วนพ่ะย่ะค่ะ เขาอยู่ที่ไหน ซิกมันต์ถามอย่างรวดเร็ว แม้ความประหวั่นจะเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ รออยู่ที่ท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้ฟังเพียงเท่านั้นซิกมันต์ก็รีบควบม้ามุ่งหน้ากลับเข้าปราสาททันที เมื่อกษัตริย์ซิกมันต์เสด็จไปถึงท้องพระโรงก็ได้พบว่าบรรดาแม่ทัพระดับสูงอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในอาการเคร่งเครียด เกิดอะไรขึ้น ซิกมันต์ถามขณะที่หย่อนตัวลงบนบัลลังก์ ทูลฝ่าบาท เวลานี้กองทัพผีนรกครึ่งแสน พร้อมทั้งฝูงมังกรไฟนับพันตัว และทหารซาโลมอีกเกือบแสน กำลังยาตราทัพเข้าประชิดเมืองวอลเนียแล้วพ่ะย่ะค่ะ ซิกมันต์รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ดวงเนตรเบิกกว้างขึ้น แววแห่งความตื่นตระหนกฉายชัดก่อนที่จะรีบเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไปอย่างรวดเร็ว ทำไมถึงเพิ่งแจ้งข่าว? ซิกมันต์เอ่ยออกมาในที่สุด ท่านบิชอปส่งคนเดินสารมาสามครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ทุกคนล้วนเงียบหาย คาดว่าคงโดนกำจัดระหว่างเดินทางมาที่นี่ ข้าพระองค์ใช้เส้นทางอ้อมเมืองมาทางทิศใต้จึงสามารถมาแจ้งข่าวแก่พระองค์สำเร็จ ตอนที่ข้าพระองค์ออกเดินทาง กองทัพซาโลมก็ยกทัพมาเกือบประชิดเมืองแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง สั่งการลงไป ทัพนก และทัพมังกรทั้งหมด จงเร่งยกทัพไปช่วยเมืองวอลเนียเดี๋ยวนี้ ซิกมันต์ประกาศก้อง ขอประทานอภัยฝ่าบาท แม่ทัพมังกรเอ่ยขึ้น ข้าพระองค์เห็นว่าเราไม่สามารถยกทัพไปได้ทั้งหมด เพราะเวลานี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเราไม่พบศพของแม่ทัพซาโลม มีเพียงแค่ซากมังกรดำที่ถูกตัดหัวขาดเท่านั้น ดังนั้นหากคิดในแง่ดี พวกทหารซาโลมคงจะนำศพแม่ทัพของตนกลับไปด้วย แต่หากในแง่ร้ายละก็ แม่ทัพทมิฬยังมีชีวิตอยู่และอาจกำลังหาโอกาสโจมตีครั้งใหม่ ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องแบ่งกำลังไปเพียงบางส่วนเท่านั้น มิฉะนั้นกำลังพลทางนี้อาจจะไม่เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ ซิกมันต์ทุบที่วางแขนอย่างแรง มือกำแน่นจนเส้นเลือดปรากฏขึ้นชัดเจน ทำไมซาโลมจึงโจมตีเมืองวอลเนีย เมืองนี้ไม่มีความสำคัญใดๆในทางการเมืองหรือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาณาจักรแม้แต่น้อยมีแต่สถานที่สำคัญทางศาสนาเท่านั้น ทั้งยังไม่ใช่เมืองที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการรุกเข้าเมืองหลวงเลยเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆที่กองทัพฟีเลเซียวางกำลังไว้ หากแต่การบุกเมืองวอลเนียนั้นเปรียบเสมือนการโจมตีหัวใจของฟีเลเซียเพราะเป็นเมืองสำคัญทางศาสนา ดังนั้นจึงทั้งน่าตกใจและน่าประหลาดใจไม่ใช่น้อยที่ซาโลมยกทัพใหญ่ไปที่เมืองวอลเนีย ซิกมันต์คำรามเสียงกร้าวด้วยความขุ่นเคือง ข้าน่าจะฆ่าแม่ทัพนั่นได้สำเร็จแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้มังกรสารเลวนั่นมาทำให้ข้าเสียจังหวะ และต้องหันไปบั่นคอมันแทน กษัตริย์แห่งสายลมขมวดคิ้วแน่น สีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก ความลำบากใจหนักอึ้งอยู่เต็มอกด้วยว่าการตัดสินใจของเขาจะชี้เป็นชี้ตายให้แก่เมืองอีกหลายเมืองในอาณาจักรทีเดียว ซิกมันต์กล่าวแก่คนนำสารเจ้าไปพักผ่อนได้ มหาดเล็กจะจัดที่พักให้เจ้าเอง เมื่อข้าหารือกับแม่ทัพทั้งหลายแล้วจะเร่งแบ่งกำลังพลและส่งไปช่วยเหลือทันที Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 25, 2005, 04:33:22 AM กองทัพเพลิงของซาโลมบุกโจมตีเมืองวอลเนียในเวลากลางดึกสงัด การบุกในครั้งนี้รวดเร็ว รุนแรง และป่าเถื่อนอย่างที่สุด เพราะผู้นำกองทัพซาโลมคือ ราชินีเนริมอร์ บลาสเซจ และ แบล็คไวเซอร์นั่นเอง ทั้งสามยึดที่มั่นบริเวณเชิงผาสูงซึ่งสามารถมองเห็นเมืองวอลเนียได้ทั้งเมืองเป็นที่บัญชาการรบ แม้องค์ราชินีจะไม่ลงรอยกับมหาอุปราช และจอมเวทย์ดำนัก แต่การทำลายล้างเมืองวอลเนียของทั้งสามก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นมหาวินาศ เพราะมีทั้งฝูงมังกรไฟและกองทหารผีนรกที่ทำการบุกพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ฝูงมังกรไฟบินโฉบเผาทำลายบ้านเรือน ในขณะที่กองทัพทหารผีนรกไล่ฆ่าฟันกวาดล้างสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดในเมือง เพียงพริบตาเดียวเมืองทั้งเมืองก็แทบจะราบเป็นหน้ากลอง
สภาพเมืองวอลเนียขณะนี้แทบจะไม่เหลือสภาพความเจริญรุ่งเรือง และทัศนียภาพอันสวยงามให้เห็นแม้แต่น้อย แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่ทั่วทั้งเมืองกลับสว่างจ้าด้วยเปลวไฟสีแดงที่ลุกลามเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างด้วยฝีมือกองทัพเพลิง บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันไฟหนาทึบพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา ฝูงมังกรไฟนับพันบินว่อนเหนือน่านฟ้าวอลเนีย ตามท้องถนนกราดเกลื่อนไปด้วยศพของชาวเมือง บรรดาอัศวินทั้งหญิงชาย และนักบวช ไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวน้อยก็ยังถูกสังหารอย่างไร้ความปราณี ท่านบิชอปรีบออกจากที่นี่ไปหลบภัยที่วิหารฟรานเชสก้าก่อนเถิด นักบวชสูงวัยรูปหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อเข้ามาภายในที่พักของบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ พวกอัศวินแจ้งมาว่าพวกเขาอาจจะต้านพวกซาโลมไว้ได้อีกไม่นาน เพราะพวกมันดูเหมือนจะแรงไม่ตกกันเลย พอเหมือนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำจู่ๆพวกมันก็มีกำลังเพิ่มขึ้นมาอย่างประหลาดทุกครั้ง แล้วพวกท่านละ เกรเกอรี่เอ่ยถามอย่างร้อนรนเช่นกัน พวกเราจะอยู่ช่วยทางนี้อีกแรงเพราะพวกทหารปีศาจจำเป็นต้องใช้พลังของนักบวชในการกำจัดจิตชั่วร้าย ท่านบิชอปอย่าเป็นห่วงพวกเราเลย ชีวิตของท่านสำคัญที่สุดรีบไปก่อนเถิด ตอนนี้บรรดาพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปพร้อมหน่วยคุ้มกันทั้งอัศวินและนักบวชเตรียมพร้อมคอยท่าอยู่ทางด้านหลังนี่แล้ว เราอยู่ช่วยพวกท่านด้วยอีกแรงจะไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยพลังของเราก็คงจะมากพอที่จะกำจัดทหารปีศาจได้หลายพันตัว เกรเกอรี่กล่าวด้วยความเป็นห่วง ท่านบิชอป พลังและชีวิตของท่านนั้นสำคัญต่อฟีเลเซียอย่างที่สุด พวกเราไม่กล้าให้ท่านเสี่ยงอันตรายในขณะที่เรายังสามารถปกป้องท่านได้อยู่หรอกครับ อีกอย่างวิหารฟรานเชสก้าจะให้พวกศัตรูล่วงละเมิดไม่ได้ หากท่านอยู่ที่นั่นพวกเราจะวางใจได้มากกว่า เราไม่มีเวลามากนักรีบไปเถิดท่านเกรเกอรี่ ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยนะ ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองท่าน บิชอปเกรเกอรี่จำต้องตัดใจไปในที่สุด ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองท่าน พระสูงวัยกล่าวก่อนจะรีบตามไปสมทบกับเหล่าอัศวินคนอื่นๆ เมื่อเกรเกอรี่ออกมาถึงลานกว้างนอกตัวอาคารที่พักก็พบว่ากองทัพอัศวินและนักบวชกว่าร้อยชีวิตกำลังรอคอยเขาอยู่ เสียงการสู้รบและเสียงอาวุธกระทบกันดังกระฮึ่มอยู่นอกกำแพง เขาสามารถมองเห็นบรรยากาศโดยรอบด้วยแสงสว่างจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ ท้องฟ้าถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงจนดูเหมือนดวงจันทร์ส่องแสงเป็นสีเลือด หัวหน้าอัศวินเอ่ยขึ้นอย่างเร่งรีบ เชิญทางนี้ครับท่านบิชอป พวกทหารปีศาจกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกเรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว เขานำเกรเกอรี่มาอยู่ตรงกลางก่อนจะล้อมเกรเกอรี่เป็นวงกลมโดยมีบรรดาอัศวินป้องกันอยู่รอบนอกต่อด้วยบรรดานักบวช เพื่อว่าบรรดาอัศวินจะเป็นผู้ปกป้องนักบวชและบิชอป ส่วนนักบวชที่อยู่วงในจะช่วยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กำจัดทหารปีศาจและเสริมกำลังด้านการรักษาให้บรรดาอัศวินไปด้วย ทุกท่านฟังให้ดี ทหารปีศาจมีหัวถึงสามหัว การมองของมันจึงได้เปรียบกว่าเรามาก แขนของมันก็ยาวและคมกริบ ต่อให้ตัดหัวทั้งสามแล้วมันก็ยังมีชีวิต ดังนั้นการที่จะกำจัดมันมีวิธีเดียวคือฟันมันให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือใช้พลังของนักบวชสังหารมันเท่านั้น สำหรับบรรดานักบวชที่อยู่ด้านใน พวกท่านต้องช่วยสอดส่องทหารปีศาจจากทุกทิศทางแม้แต่จากด้านบนเพราะมันอาจจะกระโดดลงมาจากอาคารหลังใดหลังหนึ่งได้ตลอดเวลา ทันทีที่เปิดประตูเราจะเคลื่อนกำลังมุ่งสู่วิหารโดยเร็วที่สุด Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 25, 2005, 04:34:10 AM เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมีคำถามและทุกคนก็พร้อมออกเดินทางแล้วหัวหน้าอัศวินจึงให้สัญญาณอัศวินสองนายที่เฝ้าระวังอยู่ที่บานประตู อัศวินทั้งสองจึงกระชากบานประตูออกคนละข้างพร้อมๆกับหน่วยคุ้มกันที่วิ่งบุกตะลุยทะลวงฟันทหารปีศาจนอกตัวอาคารอย่างรวดเร็ว ตลอดเส้นทางคณะของเกรเกอรี่ต้องพบกับทหารปีศาจมากมาย เหล่าอัศวินก็ต่อสู้อย่างสุดกำลังทั้งบรรดานักบวชก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ทำลายทหารปีศาจไปก็มาก มีอยู่ถึงสี่ครั้งที่ทหารผีกระโดดลงมาจากตึกสูงแต่นักบวชที่อยู่วงในก็สามารถกำจัดมันได้ทันการณ์ก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นพอดี ทว่าในครั้งที่สี่นั้นทหารผีนรกกระโดดลงมาในช่วงที่ทุกคนกำลังฟาดฟันกับทหารผีกว่าสิบตัวที่อยู่ข้างหน้าทำให้ไม่ทันระวังด้านบน กว่าจะรู้ตัวทหารผีก็กระโดดลงมากลางวงล้อมไม่ไกลจากเกรเกอรี่มากนัก มันสังหารนักบวชไปถึงหกรูปก่อนที่มันจะถูกสังหารด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ อีกครั้งหนึ่งที่อัศวินเคราะห์ร้ายไม่ทันเห็นทหารปีศาจที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดทำให้โดยจะงอยแขนของมันกระชากคอจนศีรษะหลุดกระเด็นไปต่อหน้าต่อตาเกรเกอรี่และผู้ร่วมคณะคนอื่นๆ เกรเกอรี่สังเกตเห็นเหมือนอย่างที่พระสูงวัยบอกเช่นกันคือทหารปีศาจเหล่านี้หลายครั้งที่จู่ๆก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างประหลาดทำให้การต่อสู้ยากลำบากมากขึ้น คณะของเกรเกอรี่มีกำลังใจมากขึ้นเมื่อมองเห็นยอดวิหารอยู่อีกไม่ไกล ต่างเร่งฝีเท้ากันเร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงที่หมาย
ทันใดนั่นเองก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงคนหนึ่งดังออกมาจากถนนแคบๆทางขวามือ เมื่อเกรเกอรี่หันไปมองจึงได้เห็นเด็กชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมาทางคณะของเกรเกอรี่ ทั้งคณะแทบจะหยุดระวังไปชั่วขณะเมื่อเห็นเด็กทั้งสองวิ่งตรงมา เด็กชายที่โตกว่าจูงน้องสาวที่เพิ่งผ่านพ้นวัยเตาะแตะมาไม่กี่ปีวิ่งหน้าตาตื่นร้องไห้จ้าด้วยความหวาดกลัว เพียงพริบตาเดียวทหารผีสองตัวก็พุ่งตัวพ้นซอกตึกออกมา แขนข้างหนึ่งของทหารผีทางขวามีร่างของผู้หญิงที่ถูกจะงอยแหลมเสียบทะลุอกห้อยติดอยู่ ทันทีที่พวกมันเห็นเด็กทั้งสองพวกมันก็กระโจนเข้าใส่ทันที ทว่าเหล่าอัศวินอยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าไปช่วยได้ทัน แต่เพียงพริบตาเดียวก็มีลำแสงสว่างจ้าพุ่งกระแทกทหารปีศาจทั้งสองก่อนจะเผาร่างปีศาจจนมอดไหม้ไปในชั่ววินาทีนั้น เมื่อคลายความตระหนกแล้วทุกคนจึงเห็นว่าบิชอปเกรเกอรี่นั่นเองที่เป็นผู้ช่วยเด็กๆไว้ เด็กชายวิ่งมาจนถึงคณะของเกรเกอรี่ก็ล้มคะมำลงต่อหน้าจึงได้เห็นว่าที่หลังของเด็กน้อยมีบาดแผลฉกรรจ์ทีเดียว เด็กน้อยคงต้องกัดฟันทนความเจ็บปวดพาน้องที่ยังเล็กหนีทหารปีศาจที่เพิ่งฆ่ามารดาของตนไปต่อหน้าต่อตา อัศวินนายหนึ่งรีบอุ้มเด็กทั้งสองเข้าไปอยู่ในวงอารักขา เกรเกอรี่รับเด็กหญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นเทามาดูแลในขณะที่เด็กชายที่หมดสตินั้นให้พระผู้ใหญ่ที่มีพลังรักษาดูแล ยิ่งเข้าใกล้วิหารก็ยิ่งได้พบพ่อแม่จำนวนมากที่กำลังพาลูกๆของตนมุ่งหน้าไปที่วิหารแห่งฟรานเชสก้าด้วยเช่นกัน บางครอบครัวโชคร้ายไปไม่ถึงวิหารนอนตายเกลื่อนอยู่ข้างถนนก็มาก ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนเจ็บปวดและเวทนาสงสารยิ่งนัก คณะของเกรเกอรี่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเพราะบรรดาอัศวินที่นำเด็กๆที่ได้ช่วยไว้มาฝากกับคณะ หรือไม่ก็เป็นพ่อแม่เด็กที่นำลูกๆของตนหนีมาและได้ฝากลูกๆของตนไปกับคณะด้วย ยิ่งกลุ่มขยายใหญ่ขึ้นก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายในการดักซุ่มโจมตีได้ง่าย ทำให้การปกป้องคุ้มกันทำได้ลำบากมากขึ้นทุกที เหนือขึ้นไปบริเวณเนินสูงใจกลางเมืองวอลเนียคือที่ตั้งของวิหารแห่งฟรานเชสก้า คณะของเกรเกอรี่ซึ่งสามารถฝ่าวงล้อมของทหารปีศาจเข้ามาในลานหน้าวิหารได้สำเร็จต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ทำภารกิจที่ได้รับมอบสำเร็จแม้จะเสียกำลังพลไปถึงเกือบครึ่งหนึ่ง ทุกคนมองไปรอบนอกเขตวิหารจึงได้เห็นว่าทหารปีศาจค่อยๆมาสมทบกันอยู่โดยรอบจนทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกทหารปีศาจไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในเขตศักดิ์สิทธิ์จึงได้แต่ยืนล้อมและจ้องมองกลุ่มคณะของเกรเกอรี่อยู่รอบนอกวิหาร บานประตูขนาดใหญ่สีทองอร่ามค่อยๆเปิดออกโดยผู้ปกป้องวิหาร(Sanctuarys Guard)สองนายในชุดสีแดงเลือดหมูสวมเกราะขาวประกายทองพร้อมทวนดาบขนาดใหญ่เป็นอาวุธเป็นผู้เปิดประตูวิหารรับคณะของบิชอปเกรเกอรี่ บริเวณเชิงผาที่เนริมอร์ บลาส เซจ และแบล็คไวเซอร์ เลือกเป็นที่มั่น บลาส เซจได้ตั้งโต๊ะทำพิธีสังเวยเพื่อเสริมกำลังให้ทหารผีนรกอยู่ นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้กำลังของทหารปีศาจเหล่านี้เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่สิ่งที่พิเศษในพิธีนี้ก็คือเครื่องบูชายัญที่บลาส เซจใช้ในการสังเวยนั้นคือนกฟีนิกซ์ (Phoenix) ไม่มีใครรู้ว่าบลาส เซจได้นกฟีนิกซ์มาจากไหนหรือใช้วิธีใดในการจับฟีนิกซ์มา รู้เพียงแต่ว่าการสังเวยด้วยฟีนิกซ์นั้นทำให้เกิดผลต่อเนื่องที่คุ้มค่าอย่างที่สุด เพราะเมื่อสังเวยฟีนิกซ์ ฟีนิกซ์ก็จะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านก่อนจะถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วบลาสเซจก็จะทำการสังเวยเจ้านกฟีนิกซ์อีกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นกฟีนิกซ์ในกรงอาคมเวทย์ถูกสังเวยครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเสริมกำลังให้ทัพผีนรกแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 25, 2005, 04:35:00 AM ทั้งสามต่างยืนอยู่ริมผามองเมืองวอลเนียที่ใกล้จะแตกอย่างปรีดิ์เปรม เปลวเพลิงเผาผลาญทั้งเมืองจนลุกโชติช่วงสว่างไสวราวกับเวลากลางวันแม้จะมองจากที่ไกลๆอย่างบนเชิงผาแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบล็คไวเซอร์ ผู้ที่มักนิ่งเงียบและวางตัวเย็นเฉย ทว่าขณะนี้ใบหน้ากลับฉาบรอยยิ้มแห่งความหฤหรรษ์ เนื้อตัวเกร็งสั่นเทิ้มด้วยความยินดีจนแม้แต่เจ้านกปีศาจคู่ใจก็ยังรับรู้ความรู้สึกของนายได้เพราะมันขยับตีปีกอย่างร่าเริงดวงตาทั้งสี่จ้องเขม็งไปทางตัววิหารฟรานเชสก้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขาสูงใจกลางเมืองวอลเนีย แบล็ค ไวเซอร์แสยะยิ้ม อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าเขาจะได้ตัวศัตรูคู่อาฆาตมาอยู่ในกำมือแล้ว
อย่าลืมว่าเกรเกอรี่เป็นของข้า ข้าต้องได้ตัวมันมาเป็นๆ... แต่ถ้ามันฤทธิ์มากนักจะหักแขนหักขาก่อนนำมาให้ข้าก็ได้ แบล็ค ไวเซอร์กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง มุมปากแสยะขึ้นอย่างชั่วร้ายเมื่อนึกถึงภาพหักแขนหักขาบิชอปแห่งฟีเลเซีย บลาสเซจ เหลือบไปมองแบล็ค ไวเซอร์ ริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นข้างหนึ่งอย่างร้ายกาจตอบว่า แน่นอน ต่อให้มันตาย ศพมันก็จะเป็นของเจ้า ทันใดนั้นมหาดเล็กนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน ฝ่าบาท ทัพมังกร และทัพนกของฟีเลเซียกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ บุคคลทั้งสามต่างมองหน้ากัน ก่อนที่องค์ราชินีจะยิ้มเยาะ เหยียดปากเหน็บแนม ไหนว่าพวกเจ้าวางกำลังจัดการกับพวกส่งสารไว้หมดแล้วไงล่ะ ทำไมพวกมันยังสามารถส่งกองทัพมาช่วยได้อีก หึ!แต่ก็นั่นแหละนะพวกเจ้าก็ไม่ได้เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่ ข้าไม่อยู่ตั้งสามเดือนยังไม่เห็นจะตีเมืองเพิ่มได้สักเท่าไหร่ แม้แต่เวลานี้ก็ยังต้องเดือดร้อนข้าอยู่ดีเนริมอร์หัวเราะชอบใจกวาดตามองเมืองวอลเนียที่ถูกเผาจนวอดวายโดยไม่สนใจสายตาที่มาดร้ายของชายทั้งคู่ อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามข้างหน้าเมืองวอลเนียต้องแตกแน่ ราชินีแห่งซาโลมจึงส่งสัญญาณให้เหล่าผู้คุมมังกรไฟ ก่อนจะสั่งการด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จงนำฝูงมังกรไฟไปยันทัพของฟีเลเซียเดี๋ยวนี้ ต้านไว้ให้นานที่สุด ในทันใด ฝูงมังกรไฟนับพันก็บ่ายหน้ามุ่งไปทางทิศตะวันออกทันที Title: Re:@@ นิยายSMN Chapter 31 เวลาแห่งความสิ้นหวัง @@ Post by: Little Lamb, the Little Angel on March 25, 2005, 04:36:47 AM เชิญมาเม้าส์กันต่อที่นี่คะ
http://www.smnforum.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=11714 |